♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)  (อ่าน 82519 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #90 เมื่อ26-12-2016 22:12:09 »

พี่พายรักใคร????

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #91 เมื่อ26-12-2016 22:19:35 »

ตอนแรกเราคิดว่าเป็นแฮงค์
พอพี่เฟรนด์เลยคิดว่าเป็นพี่ตุลย์แน่นอน ฟันธง
 :katai5: :katai5:
 :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #92 เมื่อ26-12-2016 22:46:27 »

รักมั่นคงมากอ่ะแฮงค์ o13 o13

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #93 เมื่อ27-12-2016 19:02:30 »

พอพี่เฟรนด์บอกว่าเป็นหมอ นี่ก็คิดถึงหมอตุลย์เลย


ใช่ไหมนะ?

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #94 เมื่อ28-12-2016 14:21:19 »

หมั่นเขี้ยวน้องแฮงค์ 55555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #95 เมื่อ31-12-2016 10:41:31 »

เมาครั้งที่ 11




ยามเที่ยงวันที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะแบบนี้ทำให้เหงื่อจำนวนมากเปียกชื้นไปตามเส้นผมและผิวหนัง แสงแดดลอดรอยแยกของกิ่งไม้ลงมาเป็นจุดๆ อยากจะหนีอากาศร้อนไปเจออากาศเย็นสบายที่ต่างประเทศบ้างแต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดงานสอนที่มหา'ลัย ผมลัดเลาะไปตามทางเดินมุ่งสู่โรงจอดรถ ต้องออกไปบริษัทอย่างเร่งด่วนเพราะลูกน้องในทีมมีปัญหากับงานขึ้นมากะทันหันและไม่สะดวกในการวีดีโอคอลคุยกันสักเท่าไหร่ พี่ต้นออกอาการไม่อยากให้ไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะเป็นเรื่องสำคัญ

ผมขับรถออกมาจากบ้านได้ไม่นานก็เป็นอันต้องแวะจอดที่ร้านอาหาร หิวจนไส้จะขาดแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเพราะพี่ส้มไม่สบาย ที่จริงเขาจะเตรียมอาหารให้นั่นล่ะแต่ผมไล่เธอไปพักผ่อนเอง เล่นไอคอแทบแตกใครจะทรมานเขากันล่ะ

หลังจากที่จัดการเรื่องปากท้องตัวเองเสร็จผมก็มุ่งหน้าสู่บริษัททันที พี่ต้นโทรทางไกลมาถามเป็นระยะว่าถึงที่หมายหรือยัง เพราะเจ้าตัวไปต่างประเทศหนึ่งอาทิตย์ ไม่วายฝากดูแลแฟนตัวเองไว้อีก จะชวนไปเที่ยวจนฟ้าสว่างเลยคอยดูเถอะ หมั่นไส้ความหวงน้องหวงแฟนของเขาเหลือเกิน แต่ดูเหมือนกันย์จะชอบให้เขาแสดงออกแบบนี้ ก็ดีรู้สึกยังไงก็ซื่อตรงกับมัน ไม่เหมือนคนบางคนหรอกกว่าจะบอกความรู้สึกออกมาได้ตอนที่ใครอีกคนกำลังจะเข้ามาแย่งไปนั่นล่ะ

ผมก้าวขายาวๆ อย่างเร่งรีบเพราะโทรศัพท์จากลูกน้องดังไม่ขาดสาย พอไปถึงแผนกก็แทบจะโดนรุมทึ้งทันที คนนั้นบอกข้อผิดพลาดตรงนี้ คนโน้นบอกข้อเสียตรงนั้น ปรึกษาหน่อย ให้คำแนะนำที หัวหมุนจนแทบอยากปลีกตัวกลับบ้าน กว่าจะเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบสามชั่วโมง ไอ้จุ้นถึงขนาดลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างๆ โดยไม่ปริปากคุยด้วยสักคำเพราะรู้ว่าผมกำลังเหนื่อย

"งานประกวดออกแบบตัวละครฝ่ายมึงเตรียมไปถึงไหนแล้ว"
ผมถามในขณะที่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ดวงตากลมปิดลงเพื่อคลายความตึงเครียดตลอดสามชั่วโมงให้เบาบางลง ได้ยินเสียงคนข้างตัวขยับเสียดสีกับเบาะหนังเล็กน้อย

"จะลงประกาศรับสมัครวันพรุ่งนี้ล่ะ มึงเอาไปบอก 'เด็ก' ที่คณะด้วยสิ"
คำว่าเด็กนี่จะเน้นเสียงให้ได้อะไรขึ้นมาไม่ทราบ พอผมเปิดเปลือกตาขึ้นก็เห็นเพื่อนส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ แบบนี้ชัดเลย ความหมายของประโยคมีนัยยะแฝงแน่นอน

"มึงหมายถึงแฮงค์ก็บอกมาเหอะ ไม่ต้องเด็กที่คณะ"
ผมเบ้ปากเล็กน้อยใส่มัน ยิ่งรู้ว่าแฮงค์ยอมสารภาพความจริงออกมาแล้ว ไอ้จุ้นก็แซวหนักขึ้นเรื่อยๆ เอาง่ายๆ เหมือนมันรับสินบนมาจากแฮงค์ เพราะออกอาการเชียร์กันเหลือเกิน แต่อย่าคิดว่าผมจะตกหลุมง่ายๆ ระดับนี้ใช้ระยะเวลาในการศึกษาดูใจนานนะ อายุเบญจเพสไม่คิดคบกับใครเล่นๆ แล้ว ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชายก็เถอะ มันก็ควรจริงจังเหมือนกัน

ไอ้จุ้นเหลือบสายตามองกันอย่างเจ้าเล่ห์ มันเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเพื่อจะกวนประสาทกัน แล้วพูดประโยคที่ขัดกับการกระทำออกมาอย่างหน้าตาเฉยจนผมรู้สึกหมั่นไส้อยากบีบคอ

"อ้าวเหรอ ไม่เห็นจะรู้ตัวเลยว่ากูหมายถึงแฮงค์อะ"
พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งนิ้วเรียวมาจิ้มแก้มกันเพื่อหยอกล้อ ผมปัดมือมันทิ้งแล้วไถเก้าอี้ออกห่างจากไอ้จุ้น น่ารำคาญจริงๆ คนอะไร

"ตอแหลเอาโล่เหรอมึง"

“หูย แรงอะ เสียใจที่สุด”
พูดจบยังแสร้งเบะปากเหมือนกำลังจะร้องไห้ ผมเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้เลยเตะเข้าที่ขาของมัน ไอ้จุ้นถลึงตาใส่เล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ของมันต่อ จะอ่านอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ยังไม่หมดเวลาทำงานเลยนะเว้ย

“ตอแหลจริงๆ”
ผมด่ามันเสียงเบาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมาดูรายชื่อคนโทรเข้า มองเวลาตรงหัวมุมหน้าจอก็ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงโทรมาได้ ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนไม่ใช่หรือไงกัน คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมกดปุ่มสีเขียวตอบรับ

"ทำไมโทรมาตอนนี้ เรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ"
ไม่มีการทักทายหรือทำเสียงอ่อนเสียงหวานให้อีกฝ่ายรู้สึกดี มีแต่คำถามตรงๆ ขวานผ่าซากเหมือนไม่อยากรับสาย แต่แฮงค์คงชินไปแล้วกับนิสัยแบบนี้ของผม เขาเลยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ

'อาจารย์ปล่อยให้ทำงาน อย่าดุนักสิพี่ข้าว เดี๋ยวไม่น่ารักนะครับ'
ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงบ่งบอกว่าตัวเองอารมณ์ดี ผมเผลอย่นจมูกใส่เล็กน้อย แต่สายตาดันไปเจอไอ้จุ้นที่ทำหน้าล้อเลียนมา คุยโทรศัพท์เรื่องสัพเพเหระยังโดนขนาดนี้ ถ้าคุยกันทำนองหวานชื่นไม่โดนล้อยันตายกันไปข้างเลยหรือยังไงวะ แปลกนะที่มันรู้ว่าผมคุยกับใคร หรือหน้าตาบ่งบอก... ไม่ใช่มั้ง

"ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมายุ่งกันดิ"
ผมแกล้งพูดไปเพราะอยากรู้ว่าแฮงค์จะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยังไง ถือว่าเป็นการทดสอบเขาอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่าจะมีวิธีการง้อแบบไหน โดนส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นคนขี้งอนอะไรด้วยซ้ำ

ปลายสายเงียบไปอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า

'ล้อเล่นนิดหน่อยเองครับ พี่ข้าวน่ารักสำหรับผมเสมอนั่นล่ะ ไม่งั้นคงไม่อยากจีบหรอก'
คำพูดหวานๆ นั้นไม่ได้ชวนให้ใจเต้นอย่างที่คิดหรอก มันตลกจนผมเผลอหัวเราะออกมา นี่สาบานว่าแฮงค์กำลังจีบผู้ชายอยู่

"บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าชมว่าน่ารัก คำนั้นมันเอาไว้ใช้กับผู้หญิงไม่ใช่เอามาใช้กับผู้ชายหล่อๆ อย่างพี่เข้าใจปะ"
จริงๆ แล้วผมไม่ได้จะเอาเรื่องอะไรหรอก ออกจะชินด้วยซ้ำกับการโดนแฮงค์ชมว่าน่ารัก แต่ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำนิยามน่ารักของเขาเป็นแบบไหน ผมก็ทำตัวปกตินะ...

'โอเคๆ ยอมแพ้ครับคนหล่อ'
แฮงค์พูดเสียงอ่อยราวกับยอมแพ้กันจริงๆ ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้รับชัยชนะเล็กๆ กลับมา ดูท่าทางเขาจะยอมคนที่ชอบได้มากพอตัว ต่างจากผมที่จะยอมเป็นเรื่องๆ ไป ส่วนมากไม่ค่อยเอาใจหรอก

"อืม แล้วโทรมามีอะไร พี่อยู่บริษัท"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วตรงไปที่ประตูกระจกเพื่อเปิดออกไปยืนรับลมที่ระเบียงของชั้น ดีหน่อยที่ตัวเผือกอย่างไอ้จุ้นโดนคนในทีมของมันลากไปปรึกษางานพอดี ไม่อย่างนั้นคงได้เดินตามกันมาติดๆ แน่ๆ

'คิดถึงน่ะครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน'
แฮงค์พูดเสียงเบาราวกระซิบ แต่คนที่กำลังตั้งใจฟังอย่างผมกลับรู้สึกถึงชีพจรที่เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เพราะคำว่าคิดถึง... มันดูมีพลังในการทำให้คนๆ หนึ่งหวั่นไหวเหลือเกิน ไม่ได้ฟังคำนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ นานคนลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าความรู้สึกตอนได้ยินมันเป็นยังไง

"ปากหวานแบบนี้กับคนอื่นด้วยหรือเปล่า"
ผมถามจบแล้วเม้มปากลงก่อนจะเดินไปตามทางระเบียงเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และปล่อยหัวใจให้เต้นช้าลงเป็นปกติ ท้องฟ้าสีครามปลอดโปรงชวนมอง อากาศแบบนี้อยากไปเหยียบหาดทรายขาวๆ เดินเตะน้ำทะเลเล่นจังว่ะ... แต่เมื่อไหร่จะมีโอกาสปลีกตัวไปเที่ยวกันนะ พี่ต้นไม่ชอบทะเล ไอ้จุ้นติดพีช หรือจะชวนแฮงค์ดี

'เห็นผมเป็นคนเจ้าชู้เหรอครับ ผมไม่เคยปากหวานใส่ใครนะ'
แฮงค์พูดเสียงกะเง้ากะงอด ผมพอจะจินตนาการหน้าตาของเขาได้ว่ามันบึ้งตึงสักแค่ไหน ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมจะดึงแก้มให้ย้วยเลย โทษฐานทำอะไรโอเวอร์เกินไป แต่ที่เขาถามว่าเห็นเป็นคนเจ้าชู้เหรอ ก็ไม่หรอก ดูจริงจังจริงใจซะมากกว่า

"เชื่อได้แค่ไหน มีอะไรพิสูจน์"
ผมแค่อยากแกล้งแฮงค์ก็เท่านั้นไม่ได้คิดว่าเขาเจ้าชู้เลยสักนิด ก็คนมันว่างไม่มีอะไรทำ จริงๆ ก็หลีกเลี่ยงอาการเขินเล็กๆ ที่เกิดขึ้นด้วย มีอาการแบบนี้กับผู้ชายรู้สึกว่าเริ่มอันตรายแล้วล่ะ

'ผมชอบพี่มาตั้งนานนะ ไม่เคยวอกแวกด้วย แค่นี้ยังเชื่อกันไม่ได้อีกเหรอ'
เขาพูดด้วยเสียงงอแงจนผมกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเห็นใบหน้าหล่อเหลาในตอนนี้เหลือเกินว่ามันจะบึ้งตึงแค่ไหน ก็น้องไม่ยอมบอกผมเองว่าชอบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เค้นแค่ไหนก็ไม่ยอมบอก มันน่านัก ขอกั๊กบ้างเถอะ

"ไปทำงานต่อได้แล้ว วันนี้เลิกเรียนกี่โมง"
ผมเลือกตั้งคำถามแทนที่จะตอบ เพราะในเมื่อเขาไม่ยอมบอกว่าชอบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็อย่าคิดว่าผมจะเชื่อใจง่ายๆ เลย ดื้อมากดื้อกลับไม่โกงครับ

'เลิกเรียนห้าโมงครับ พี่ข้าวจะกลับบ้านตอนไหน รอผมก่อนได้ไหม'
ปลายสายใช้น้ำเสียงออดอ้อนกันเล็กน้อย ผมเลิกคิ้วขึ้นเพราะสงสัยว่าทำไมเขาต้องให้ผมรอ หรือว่ามีธุระด่วนนะ

"หือ ก็ว่าจะกลับแล้วล่ะ มีอะไรหรือเปล่า"
ผมยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว บนถนนจราจรคงติดขัดน่าดูเพราะเป็นเวลาหลังเลิกเรียนพอดี ถ้าอยู่รอเจอแฮงค์สักหน่อยคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ กว่ารถจะซาก็สองทุ่มนู่นล่ะ

'ว่าจะชวนไปกินข้าวเย็นน่ะครับ แต่ถ้าพี่ข้าวไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ ไว้ครั้งหน้าก็ได้'
เขาพูดเสียงอ่อย ใจจริงแฮงค์คงอยากให้ไปแต่ก็เกรงใจกันอยู่ดีอาจจะเพราะผมอายุมากกว่า

"พูดง่ายๆ คือชวนไปเดทใช่ไหม"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ปลายสายกลับร้องเฮ้ยออกมาซะเสียงดัง ไม่รู้ว่าตกใจอะไรนักหนา

'พี่ข้าวทำไมรู้ทันวะ'
แฮงค์บ่นงุ้งงิ้งเหมือนกำลังเขินถ้าจะใช้คำว่าขอเดทตรงๆ ความจริงแล้วผมไม่แคร์คนอื่นหรอก อยากให้เขาแสดงสิ่งที่อยากทำออกมามากกว่า ไม่ต้องคิดมาก หรือกลัวสายตาของใคร ก็เขาจีบผมไม่ได้จีบคนอื่นจริงไหม

"เรื่องแค่นี้ พี่ไม่ได้โง่ คราวหน้าถ้าอยากชวนไปเดทก็บอกตรงๆ"
ผมลอบยิ้มเล็กน้อยกับความเนียนของเขา อยากเดทแต่ทำเป็นชวนกินข้าวธรรมดา เด็กน้อยจริงๆ บางครั้งเขาก็ดูเป็นคนกล้าหาญแต่บางครั้งกลับกลายเป็นคนขี้อายซะอย่างนั้น แปลกดี น่าสนใจ

'อ่า กลัวพี่ข้าวจะไม่ยอมไปด้วยนี่หว่า เดทกับผู้ชายมันดูแปลกๆ ไม่ใช่หรือไงกัน'
น้ำเสียงไม่มั่นใจดังลอดออกมาจนผมเผลอคลี่ยิ้มบาง ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่เขาจะกลัวนั่นกลัวนี่ เพราะการชอบผู้ชายคนหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย จะจีบ จะวางตัวก็ต้องระวังว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงนะ

"พี่ยอมให้แฮงค์จีบขนาดนี้ยังคิดมากอีกเหรอ ถ้าพี่รังเกียจผู้ชายคงไม่ยอมแบบนี้หรอก พี่คงต่อยเราไปแล้วมั้ง"

'ครับผม ~ งั้นตอนเย็นเจอกันที่ร้าน IT' s LOVE แถวมหา'ลัยนะครับ'

"โอเค ตั้งใจทำงานครับ"

หลังจากวางสายเสร็จผมก็กลับเข้ามาในแผนกอีกครั้ง ไอ้จุ้นกำลังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ชะเง้อหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ กลับพบว่ามันนั่งอ่านบทความอะไรสักอย่างอยู่ ตอนแรกนึกว่าปั่นงานอยู่ซะอีก

"อ่านอะไรอยู่วะ"
ผมทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วกอดอกมองเพื่อนที่ยังคงไม่ละสายตาออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยม สีหน้าของมันในตอนนี้มีทั้งกลั้นยิ้มและฟินในคราวเดียวกัน ไม่ใช่ว่ากำลังอ่านเรื่องลามกอยู่นะ ไอ้จุ้นนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ขนาดอยู่ในที่ทำงาน... ยังไม่เว้น

"อ่านนิยายวายอยู่ หูย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม"
มันบอกเสียงกระซิบกระซาบเพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินโดยไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์เลยแม้แต่นิดเดียว ผมขมวดคิ้วแน่นแล้วพยายามขยับเข้าไปใกล้กน้าจอมากกว่านี้เพราะไม่รู้จักนิยายวายที่มันว่า เป็นแนวอะไรวะ

"นิยายวายอะไรของมึง ฉิบหายวายวอดเหรอ"
ผมพูดออกไปด้วยความใสซื่อเพราะคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามันเป็นนิยายแนวไหน ไอ้จุ้นหันขวับมามองกันด้วยใบหน้าเหยเกแล้วใช้มือดันท้ายทอยของผมให้ใบหน้าเข้าไปใกล้จอมากขึ้น

ผมขัดขืนเล็กน้อยแต่ก็ยอมไล่สายตาไปตามตัวหนังสือบนจอสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ อืม... กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันจริงๆ ด้วย ไอ้เชี่ย!

'ร่างบางแอ่นสะโพกรับการกระแทกช่องทางด้านหลังจากคนรัก มือเรียวจิกทึ้งผ้าปูที่นอนเพื่อระบายอารมณ์วาบหวามที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะเจ็บมากแต่ความรู้สึกเสียวกลับแทนที่ได้อย่างรวดเร็ว'

ผมช็อกจนเบิ่งตาโตแล้วรีบผละออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมแทบจะทันที คำนิยามของนิยายวายกระแทกเข้าลูกตาเต็มๆ มันคือนิยาย 'ชายรักชาย' นี่เอง ไอ้จุ้นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยผลักหัวมันไปเป็นสิ่งตอบแทนที่ให้คำตอบกันมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรทำสีหน้ายังไงดี... แก้มร้อนแปลกๆ ว่ะ

"เป็นไงมึง ฉิบหายวายวอดปะ"
ไอ้จุ้นถามเสียงกลั้วหัวเราะ ผมเบ้ปากใส่แล้วขยับตัวออกเล็กน้อย ฉิบหายวายวอดสิใจกูเนี่ย ให้อ่านอะไรวะ ตอนดูหนังโป๊ยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนอ่านทำไมมันรู้สึกวาบหวิวแปลกๆ

"พ่อง มึงอ่านอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ"

"เออ ญาติกูแต่งนิยายเรื่องนี้อะ เอากูกับไอ้พีชเป็นต้นแบบ ตอนแรกก็แหยงๆ อยู่เหมือนกัน พออ่านไปก็สนุกดีว่ะ"
ไอ้จุ้นตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แต่หน้าตาดูภูมิใจที่ตัวเองได้เป็นพระเอกนิยายวายเหลือเกิน ส่วนไอ้พีชนี่เขาต้องเรียกอะไรวะ นางเอกเหรอ แต่มันเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นต้องเรียก เอ่อ... นายเอกปะวะ

"เอ่อ... กูจะไปล่ะนะ มีนัด"
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไอ้จุ้นขมวดคิ้วมองกันก่อนจะใช้มือจับแขนเสื้อเชิ้ตเอาไว้

"แหนะๆ นัดกับใครครับคุณข้าว ใช่หนุ่มหล่อเดือนมหา'ลัยหรือเปล่า ~"
ไอ้จุ้นพูดด้วยเสียงหยอกล้อพร้อมกระตุกแขนเสื้อกันอย่างน่ารำคาญ ผมใช้มือปัดๆ ออกแล้วจัดให้มันเข้ารูปซะใหม่ก่อนจะใช้สายตาทิ่มแทงมองไปที่มัน

"ไม่รู้สักเรื่องคงไม่ตายหรอกมั้ง กูไปล่ะ เบื่อหน้ามึง"
ผมแลบลิ้นใส่ก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วไม่หันกลับไปมองอีก จะว่าไปปกติสามารถบอกไอ้จุ้นได้ทันทีว่าไปไหนกับใคร แต่คราวนี้เลือกปิดบัง คงแค่อยากแกล้งเพื่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก

ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบกุญแจรถออกมาควงเล่นระหว่างเดินไปลานจอดรถ พี่ยามยิ้มให้กันเล็กน้อยแล้วตอนที่เดินผ่านกัน ประตูถูกเปิดออกอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะสอดตัวเข้าไปแล้วจัดการสตาร์ทรถ รอเครื่องปรับอากาศแผ่ไอเย็นอยู่สักครู่ มือเข้าเกียร์ เท้าเหยียบคันเร่งทะยานสู่ท้องถนนเบื้องหน้าในเวลาต่อมา

แฮงค์ไปถึงร้านก่อนเพราะอยู่ใกล้ เขากำลังคุยกับไอ้จีบที่วันนี้ปลีกตัวมาจากการทำงานบริษัทได้ น่าแปลกอยู่ที่ทั้งสองคนรู้จักกัน ไม่เคยคิดเลยว่าน้องจะกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมไปได้

"เฮ้ย วันนี้ปลีกตัวมาที่ร้านได้ด้วยเหรอวะ"
ผมจงใจเอ่ยทักเพื่อนร่วมรุ่นก่อนที่จะทักคู่เดทของตัวเองในวันนี้ ไอ้จีบยิ้มหน้าระรื่นแล้วเปลี่ยนเป้าหมายแทบจะทันที นั่นเลยส่งผลให้แฮงค์ทำหน้าประหลาดออกมาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นกลับทำหน้าบึ้ง ไม่รู้ว่าสงสัยหรือออกอาการหวงกันแน่

"ไอ้ข้าว ไม่เจอกันตั้งนานนะมึง เออ ก็เมียอยากมาที่ร้านกูเลยพามา"
ไอ้จีบพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะชี้ชวนให้มองคนที่ยืนทำกาแฟอยู่หน้าเครื่อง ผมร้องอ๋อออกมาเบาๆ แล้วทิ้งสายตาไว้ตรงนั้น จากที่เคยพบเคยเจอกันเป็นครั้งคราว ผมคิดว่าคิสเป็นเด็กที่น่ารักนะ ถึงบางครั้งจะใสซื่อดูไม่ทันเพื่อนผมไปหน่อยก็เถอะ จะเรียกว่าเป็นเสน่ห์ของน้องมันก็ได้

"เมียมึงนี่... น่ารักเนอะ"
ผมชมจากใจจริงแต่จีบคงคิดว่าผมกวนตีน เพราะมันตีหน้ายักษ์ใส่กันแล้วใช้มือบังคับให้หันหน้าหนีจากน้องคิส ไอ้นี่มันขี้หวงออกนอกหน้านอกตา ไม่เหมือนแฮงค์หรอก นั่งเม้มปากจนขาวซีดไปหมดแล้ว

"มึงจะชอบผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เมียกู"
ส่งสายตาดุๆ มาให้กันไม่พอยังแยกเขี้ยวอีก... นี่คนหรือหมาวะ ขู่กันจังเลย แต่จีบก็ดูน่ารักดีนะตอนแสดงออกว่าใครเป็นคนสำคัญของเขาแบบนี้

"กูแค่ชม จะหวงอะไรนักหนาวะจีบ"

"เมียกู"
เสียงเข้มมาเชียว หน้านี่จริงจังได้อีก

"ครับๆ ไม่ยุ่งหรอกน่า"
ผมตอบก่อนจะคลี่ยิ้มให้ มันเหล่สายตามองแล้วพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้

"เออดี แล้วนี่มาคนเดียวหรือไง"
จีบจ้องหน้ากันอย่างต้องการคำตอบ ผมไหวไหล่แล้วเลือกที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับแฮงค์ก่อนจะยักคิ้วให้กับเพื่อนร่วมรุ่น มันทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มกรุ้มกริ่ม อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้แอบคุยอะไรกันไว้

"คู่เดทที่มึงพูดถึงเหรอวะแฮงค์ เซอร์ไพร์สสุดๆ กูนึกว่าจะเป็นสาวสวยซะอีก นี่เดือนชนเดือนเลยเหรอ"
ไอ้จีบหันไปถามแฮงค์ด้วยสายตาล้อเลียน ผมได้แต่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะเสมองออกไปนอกร้าน พอมาอยู่ตรงนี้ต่อหน้าต่อตาแล้วโดนแซวก็รู้สึกแปลกพิกล จะว่าเขินก็ไม่ใช่ วางตัวไม่ถูกก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเป็นความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ หาคำนิยามให้ไม่ได้

"อย่าแซวดิวะ เขินนะเว้ย"
แฮงค์พูดเสียงอ้อมแอ้มแต่หางตาผมกลับเห็นว่าเขาคลี่ยิ้มกว้างขนาดไหน ตกลงว่าเขินหรืออะไรกันแน่ ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

"คนอย่างมึงเขินเป็นด้วย ร้ายกว่ากูอีกมั้ง ~"

"พูดไปเรื่อยว่ะ เดี๋ยวพี่ข้าวเข้าใจผิดขึ้นมาผมก็แย่ดิ เพิ่งจีบนะเว้ย ยังไม่ติดด้วย"
แฮงค์ยังคงพูดต่อไปโดยที่สายตาจับจ้องมาที่ผมเป็นระยะ ไอ้จีบยิ้มกรุ้มกริ่มจนน่าหมั่นไส้ ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะปลีกตัวออกไปไกลๆ สักที แล้วไอ้ที่บอกว่าน้องร้ายกว่าคืออะไรยังไง ต่อมอยากรู้เริ่มทำงานอีกแล้ว อยากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แต่ทำไม่ได้ เพราะผมเองก็สงสัยว่านิสัยที่แท้จริงของคนตรงหน้าเป็นยังไง เรียบร้อย เงียบขรึม หรือว่าขี้เล่น

"ข้าว..."
จีบเปลี่ยนมาเรียกชื่อกันพร้อมใช้นิ้วสะกิดแขน ผมเหลือบสายตามองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คนอุตส่าห์นั่งเงียบแสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ได้ตั้งนาทีสองนาที ดึงไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาซะอย่างนั้น

"ระวัง อย่าใจอ่อนให้ไอ้แฮงค์ง่ายๆ นะเว้ย เสือตัวพ่ออะบอกเลย"
มันพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วใช่มือตบบ่าเหมือนจะปลอบใจกันแล้วผละออกไปหาคุณเมียที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่หลังเค้าน์เตอร์บาร์ ผมหันกลับมามองคนตรงหน้าก่อนจะใช้สายตากดดันให้เขาพูดอะไรออกมาบ้าง มัวแต่ทำหน้าตาตื่นอ้าปากค้างอยู่ได้

"พี่... อย่าไปเชื่อไอ้พี่จีบนะ ผมไม่ได้เป็นเสืออะไรทั้งนั้นล่ะ รักเดียวใจเดียวครับ"
น้องพูดรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน ผมมองเขานิ่งๆ อยู่สักครู่ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะสีหน้าของแฮงค์ดูแย่มาก ค่อยๆ อธิบายก็ได้มั้ง ผมไม่ได้เป็นคนใจร้อนด่วนสรุปอะไรสักหน่อย

"สั่งอะไรกินเหอะ หิวแล้ว"
ผมเลื่อนเมนูบนโต๊ะให้กับเขาเล่มหนึ่งก่อนจะหยิบส่วนของตัวเองขึ้นมาเปิดก่อนจะไล่สายตามองหาของที่อยากกิน บางจังหวะก็เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูกระอักกระอวนอยู่ตลอดเวลา เพราะผมตัดจบบทสนทนาเมื่อครู่ไปดื้อๆ หรือเปล่านะ

"นี่... มาเดทนะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
ผมทักเขาแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพราะกลัวว่าอีกคนจะยิ่งแสดงอาการกล้าๆ กลัวๆ ออกมาเยอะกว่าเดิม

"อ่า... ก็พี่ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมเลยไม่รู้ว่าพี่คิดยังไง"

"ให้เวลาการกระทำและเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วกัน"




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #96 เมื่อ31-12-2016 10:45:31 »

หลังจากจบมื้ออาหารเย็นโดนที่แฮงค์เป็นฝ่ายเลี้ยงจนได้ โดยยื่นข้อเสนอว่าครั้งต่อไปจะให้ผมเลี้ยงกลับ เราเดินทอดน่องออกมาที่ลานจอดรถ น้องขี่บิ๊กไบค์คันโตสีแดงมา อยากลองนั่งสักครั้งนะ ว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง

แฮงค์เดินไปส่งที่รถหลังจากนั้นก็เอ่ยลากันเล็กน้อย ผมสอดตัวเข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทรถขับออกไป และไม่นานนักก็ต้องก็เบิกตากว้างเพราะควันสีขาวพวยพลุ่งขึ้นมาจากกระโปรงรถให้ตกใจเล่น ผมหักเลี้ยวเข้าข้างทางและเหยียบเบรกทันที ไฟฉุกเฉินถูกเปิดใช้ในรอบแรมปีจนได้ อะไรจะซวยขนาดนี้วะ

ผมดับเครื่องยนต์แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา คนแรกที่นึกถึงคือคนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อครู่นี้ ผมไม่รอช้าที่จะต่อสายหาเขาแทบจะทันที รอสัญญาณอยู่สักพักก็มีทั้งเสียงลมและเสียงเขาลอดออกมา

'ครับพี่ข้าว มีอะไรหรือเปล่า ลืมหัวใจไว้ที่ผมเหรอ'
น้ำเสียงทะเล้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงลมที่หยุดลง คงจะจอดรถเพื่อรับสายโดยเฉพาะ แต่นี่มันไม่ใช่เวลาเล่นมุกปะวะ เดี๋ยวพ่อโบกหัวทิ่ม

"เดี๋ยวเตะเลยนี่ มาหาพี่หน่อยได้ไหม"
ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงเพราะนี่เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว อู่ที่ไหนจะเปิดรับซ่อมรถคงไม่มีแล้วล่ะ นอกจากจะเจรจากับลูกชายเจ้าของอู่

'หือ พี่ข้าวมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เสียงเครียดเลย'
น้ำเสียงแฮงค์จริงจังขึ้นในทันที ถ้าเขายังกวนตีนกันต่อผมจะตัดคะแนนการจีบของมันให้ติดลบเลยคอยดูเถอะ เอาแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด จีบสิบปีก็ไม่ติดอะไรทำนองนั้น

"รถเป็นอะไรก็ไม่รู้"

'เฮ้ย อาการเป็นไงบ้างครับ'

"มาดูเองเลย ไวๆ ด้วย อยู่แถว..."
ผมบอกสถานที่ให้เรียบแล้วก่อนจะวางสายแล้วนั่งรออยู่ในรถโดยเปิดประตูเอาไว้ ถนนเส้นนี้ดีตรงที่มีคนผ่านไปผ่านมาไม่ขาดสายเลยไม่น่ากลัวอะไร แถมไฟยังสว่างอีกด้วย ไม่นานนักรถบิ๊กไบค์ที่คุ้นตาก็เข้ามาจอด เจ้าของรีบสาวเท้าลงมาหากันทันที

ผมยังไม่ทันได้ลุกขึ้นแฮงค์ก็เข้ามายืนตรงหน้าแล้วใช้แขนข้างหนึ่งเท้ากับประตูรถเอาไว้ สถานการณ์แบบนี้พาลให้คิดถึงฉากพระเอกนางเอกในละครเลยว่ะ แต่รถกำลังเสียกูจะฟุ้งซ่านเพื่ออะไร...

"พี่ข้าวเปิดกระโปรงรถหน่อยครับ ท่าทางหม้อน้ำจะมีปัญหา"

"โอเคๆ"
ผมทำตามที่เขาบอกทันที แฮงค์ตรวจเช็คเบื้องต้นแล้วโทรเรียกช่างที่อู่ให้มาลากรถ เขาหันมองกันก่อนจะคลี่ยิ้มบางแล้วเดินมาหาผมที่ยืนพิงตัวรถอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนคราบสีดำเล็กน้อย ถึงจะมอมแมมแต่ยังดูดี เป็นบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งเดือนมหา'ลัยจริงๆ

"หน้าเลอะน่ะ"
ผมชี้นิ้วไปที่แก้มของเขาที่มีรอยเลอะ แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนนี้ผมคว้ากระดาษทิชชู่ในรถส่งให้

"วานพี่ข้าวช่วยเช็ดให้หน่อยได้ไหม ผมมองไม่เห็นอะ"
พูดจบก็คลี่ยิ้มหวานให้กันพร้อมขยับแก้มด้านที่เลอะมาให้ ผมแอบย่นจมูกเล็กน้อยให้กับความเจ้าเล่ห์ภายใต้การแสดงออกที่ใสซื่อนั่น ยิ่งนานไปยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้มันร้ายจริงๆ แต่เช็ดหน้าให้แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกมั้ง

"อืม... ได้"
ผมตอบกลับก่อนจะใช้ทิชชู่ในมือเช็ดคราบดำๆ ออกจากแก้มนุ่มนั่น ปลายนิ้มเผลอสัมผัสโดนเล็กน้อยจนทำให้เขาเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มเล็กน้อย ผมหมั่นไส้เลยแกล้งถูแรงๆ ซึ่งนั่นทำให้มือเรียวคว้าจับมือผมทันที

"มือนิ่มจัง"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่จับรวบมือผมเอาไว้อย่างนั้น แทนที่จะโวยวายเรื่องเจ็บตัวแต่หลอกแต๊ะอั๋งกันแบบนี้...

"อย่ามาเนียน"
ผมถลึงตาใส่เขาแล้วดึงมือออกจากการเกาะกุม แฮงค์ทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา ท่าทางตอนนี้ดูน่าหมั่นไส้จนอยากง้างเท้าเตะสักทีสองที

"โอ๊ะ เปล่านะครับ"
ยังมีหน้ามาพูดเสียงกลั้วหัวเราะใส่กันอีก แล้วไอ้นิ้วที่เอื้อมมาจิ้มแก้มกันคืออะไร ผมยกมือปัดสิ่งรบกวนออกแล้วผละตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อย คำพูดของไอ้จีบเมื่อตอนเย็นฉายชัดในหัว

'ร้ายกว่ากูอีกมั้ง'

ร้ายกว่าไอ้จีบนี่... ผมควรรับมือยังไงดี เพื่อนร่วมรุ่นคนนั้นเป็นประเภทที่คิดอะไรแสดงออกชัดเจน อยากหอม อยากจูบ หื่นก็บอกหื่นไม่มีการกั๊กบอกเมียมันทุกอย่าง เจ้าเล่ห์ แผนสูง อ่า ตายห่า!

"รู้ความหมายที่ไอ้จีบพยายามสื่อแล้ว"
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเม้มปากแน่น ถ้าวันหนึ่งเกิดรู้สึกอะไรๆ กับแฮงค์ขึ้นมาจริงๆ อนาคตคงน่ากลัวพิลึก หรือจะวาบหวามตื่นเต้นจนขาดใจตายกันแน่นะ

"หา... อะไรครับ"
แฮงค์ถามย้ำอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป แสงไฟนีออนทำให้ตาพร่าเลือนเล็กน้อย อากาศเริ่มเย็นลงจนต้องกอดกระชับตัวเอง เมื่อไหร่ช่างที่อู่จะมาสักทีนะ

"พี่ข้าว... จะกลับบ้านไหม เดี๋ยวผมไปส่ง"
หลังจากที่ยืนเงียบกันไปสักพัก แฮงค์ก็เอ่ยถามขึ้นมา ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขาเล็กน้อย ยามต้องแสงไฟดูแล้วยิ่งหล่อกว่าเดิมไปอีก น่าอิจฉา... นี่เหรอความดีงามของเดือนมหา'ลัย เดือนคณะเทียบไม่ติดเลยว่ะ

"หืม ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแฮงค์กลับคอนโดใช่ไหม พี่ติดรถไปนอนที่นั่นก็ได้ อาทิตย์นี้พี่ต้นไม่อยู่"
ผมตอบกลับไปแบบนั้นเพราะจะกลับบ้านก็ไกล ไปคอนโดคงใกล้กว่า พี่ต้นก็ไม่อยู่บ้านเรื่องอะไรที่ต้องเสียเวลานั่งรถไกลๆ ให้เมื่อย แถมเกรงใจคนข้างๆ ด้วย อะไรจะเสนอตัวขนาดนั้น แสนดีเกินไปแล้วมั้ง หรือปฏิบัติแค่เฉพาะคนที่ตัวเองจีบ อันนี้น่าสงสัย

"อ๋อ ได้ครับ แต่ผมต้องไปทำงานที่ร้านก่อน รอได้ไหม"
ผมพยักหน้ารับ แฮงค์ส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้เล็กน้อยก่อนจะยืดตัวขึ้นเมื่อเห็นรถยนต์คันหนึ่งชะลอเข้ามาจอดด้านหน้า ชายหนุ่มสองคนลงมาแล้วพูดคุยกันยังสนิทสนม และไม่นานพวกเขาก็เข้ามาทักทายและลากรถของผมกลับไปที่อู่

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์โดยถูกบังคับให้ใส่หมวกกันน็อกแทนเขา ก่อนจะบอกว่าปลอดภัยไว้ก่อน... กับผีน่ะสิ แล้วตัวเองเป็นคนขับ บ้าบออะไรวะเนี่ย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามเพราะเจอสายตาออดอ้อนเข้าให้

"กอดเอวผมไว้ดีกว่านะ เดี๋ยวจะตกรถ"
น้ำเสียงกึ่งจริงจังกึ่งเล่นดังขึ้น ผมเลิกคิ้วก่อนขมวดเข้าหากัน จริงๆ การกอดเอวใครสักคนมันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่มันอยู่ที่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าแฮงค์มากกว่า หาโอกาสเอากำไรจากผมตลอด ร้ายจริงๆ

"หึ พี่รู้ทันเราหรอก ออกรถได้แล้ว"
ผมต่อยหมัดลงบนแผ่นหลังกว้างไม่แรงมากนักก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะใสๆ กลับมา

"โธ่ รู้ทันแบบนี้ผมก็แย่สิครับ แต่ถ้ากลัวตกก็จับไหล่ผมไว้ก็ได้นะ"

"โอเค"
ผมลอบยิ้มก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนออกไป แฮงค์ไม่ได้ขี่รถน่ากลัวแต่อย่างใด ความเร็วกำลังพอดีให้สายลมเย็นยามค่ำคืนตกกระทบผิว ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว... ถ้ากอดคนด้านหน้าร่างกายคงอุ่นขึ้นมาหน่อยนึงล่ะมั้ง และโดยที่สมองยังไม่ทันประมวลผลหาการตัดสินใจ แขนทั้งสองข้างก็เผลอโอบกอดแฮงค์ไปซะแล้ว.... เขาสะดุ้งเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าคงตกใจ ไม่มีเสียงแซวหรือพูดคุยอะไรกันระหว่างทาง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี

นี่สินะที่เขาบอกกันว่า 'อุ่นกายสบายใจ' ในเวลาเดียวกัน





---------------------------------------------------------

สวัสดีวันสิ้นปี ~ เรามาพร้อมนิยายตอนที่ 11 ล่ะ 55555555
ดูเจ้าแฮงค์นะ ใสซื่อจริงๆเล๊ยยย ลายเริ่มออกแล้วคนเรา

ใครอยากรู้ว่าคุณจีบร้ายยังไง ไปอ่านเรื่อง Coffee Shop รักนี้รสกาแฟ ดูนะ หึหึ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2016 10:50:25 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #97 เมื่อ31-12-2016 11:10:20 »

ออกลายเเล้วแฮงค์เอ้ยยย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #98 เมื่อ31-12-2016 13:00:28 »

พี่ข้าวกอดน้องแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #99 เมื่อ31-12-2016 18:27:33 »

แฮงค์ ร้ายกว่าจีบ  :katai1: :katai1: :katai1:
แต่ข้าว กับแฮงค์ ใกล้ชิดกันแล้วนะ
ไปกินข้าวด้วยกัน เช็ดหน้าให้
กอดเอว ซบหลัง อ๊า.......ฟินนนนนน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
« ตอบ #99 เมื่อ: 31-12-2016 18:27:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #100 เมื่อ31-12-2016 20:42:33 »

ร้ายกว่าพี่จีบอีกหรือเนี่ย?

อุ้ยยยยย เตรียมรับมือดีๆนะพี่ข้าว

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #101 เมื่อ01-01-2017 01:32:57 »

 :katai3:


ฉ่ำ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #102 เมื่อ01-01-2017 04:47:04 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #103 เมื่อ01-01-2017 18:59:38 »

เดินหน้่าจีบเต็มที่เลยจ้า

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #104 เมื่อ01-01-2017 19:33:20 »

 แฮงค์แอ๊บใสใช่มั้ย
ความจริงแฮงค์มันร้ายๆใช่มั้ย55
 :pig4: :pig4:

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #105 เมื่อ01-01-2017 21:52:38 »

จีบได้ พี่ชายไม่อยู่ 55555

สวัสดีปีใหม่ค่าา

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #106 เมื่อ02-01-2017 03:25:35 »

ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หัวใจกันไปทีละนิด ^^

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 11 -P.4- (31.12.2016)
«ตอบ #107 เมื่อ02-01-2017 10:27:58 »

 :mew1: :hao7:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #108 เมื่อ03-01-2017 11:09:44 »

เมาครั้งที่ 12




บรรยากาศของร้านอาหารกึ่งบาร์ไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายเท่าไหร่นัก เพลงที่เปิดคลอเบาๆ ยังเน้นแนวฟังสบายๆ มีทั่งเก่าและใหม่ปะปนกันไป เก้าอี้ตัวสูงหน้าเค้าท์เตอร์บาร์ริมสุดถูกจับจองโดยตัวผมเอง ส่วนแฮงค์หายเข้าไปหลังร้านเพราะต้องไปหยิบเสื้อกั๊กมาใส่ มาดบาร์เทนเดอร์เข้าสิงทันใด

เขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยก็สาวเท้าเข้ามาหากัน ใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อเล็กน้อยเพราะเข้างานสาย ตอนแรกเฟรนด์ตั้งท่าจะด่าน้อง แต่พอเห็นผมเดินมาด้วยกันเลยเปลี่ยนท่าทีแทน

"พี่ข้าวดื่มอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมทำให้"
เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วผายมือไปตามชั้นส่วนผสมคอกเทลต่างๆ ทางด้านหลังโดยไม่สนใจเสียงสาวๆ ที่เอาแต่เรียกชื่อแฮงค์ไม่ขาดสาย บางคนถึงขนาดส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ ช่วยไม่ได้นะ ผมไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย แค่นั่งอยู่เฉยๆ

"มีอะไรเด็ดๆ แนะนำไหม"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะใช้มือเท้าคางแล้วช้อนสายตามองคนตรงหน้า แฮงค์คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ออกจะทำเกินไปหน่อยแต่ผมกำลังสนุกที่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ จากสาวๆ เหล่านั้น

"ผมเนี่ยล่ะ เด็ดที่สุดในร้านแล้ว"
เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหูแต่ผมได้ยินอย่างชัดเจนจนคิ้วกระตุก แฮงค์ผละออกไปแล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน คิดว่าแน่นักหรือไงไอ้เด็กเมื่อวานซืน

"หึ จะเด็ดไม่เด็ดก็จีบพี่ให้ติดก่อนแล้วค่อยคุยนะครับน้อง ไปทำงานได้แล้ว สาวๆ เขาเรียกจนเสียงแหบกันละ"
ผมโบกมือไล่เขา แล้วก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อขึ้นมา แต่ตอนที่กำลังจะปลดล็อกหน้าจอกลับสังเกตได้ว่าแฮงค์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน จะมองกันให้ได้อะไรขึ้นมา เดี๋ยวเฟรนด์ก็เขามาด่าทั้งผมทั้งมันหรอก

"มีอะไรอีก"
ผมเงยหน้าขึ้นจากเครื่องมือสื่อสารแล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง แฮงค์มองกันก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดลงเล็กน้อย เป็นอะไรของเขาอีกล่ะ หรือผมพูดอะไรทำร้ายจิตใจ

"ไม่หวงกันบ้างเหรอ"
เขาถามเสียงอู้อี้เพราะใช้หลังมือขยี้จมูกตัวเองไปด้วย ผมเผลอเลิกคิ้วมองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร ตัวโตซะเปล่าแต่ขี้น้อยใจชะมัด เด็กหนอเด็ก

"ยังเร็วไปที่จะให้พี่หวง ไปทำงานได้แล้วครับ อย่าชักช้า"
ผมพูดก่อนจะใช้มือดันไหล่ให้คนตรงหน้าออกเดินไปจากตรงนี้สักที แฮงค์ย่นจมูกใส่กันเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ แต่ไม่วายกันมามองกันอีกรอบเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้

"สี่ทุ่มช่วยไปนั่งโต๊ะหน้าเวทีหน่อยดิพี่ข้าว"
เขาใช้น้ำเสียงออดอ้อนกัน ดวงตาคมจ้องมองมาอย่างคาดหวัง ขอร้องมาแบบนี้มันก็ทำได้อยู่หรอก แต่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมต้องไปนั่งตรงส่วนนั้นด้วย ผมขมวดคิ้วแล้วเอียงคอเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจ แฮงค์มีท่าทีอึกอัก มือไม้ยกขึ้นถูท้ายทอยไปมา

"ผมต้องร้องเพลงตอนสี่ทุ่มน่ะ เพราะพี่นักร้องเขาติดธุระ"
แฮงค์ตอบเสียงอ้อมแอ้มแล้วทอดสายตามองไปที่เวทีซึ่งมีวงดนตรีสดอยู่ตรงนั้น ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจอยู่ไม่น้อย และได้รู้จักตัวตนของเขามายิ่งขึ้น เพิ่งรู้ว่าร้องเพลงเป็นด้วย... คนๆ นี้มีอะไรให้ค้นหาอีกมากมายสินะ ผมลอบยิ้มกับท่าทางที่ดูไม่ค่อยมั่นใจนั่น ให้เดาคงไม่บ่อยนักที่เจ้าตัวจะยอมแหกปากให้คนจำนวนมากแบบนี้ฟัง

"แล้วยังไง"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขากันกลับมาสบตากัน ดวงตาคมกริบฉายแววอ้อนวอนขอร้องอย่างไม่ปิดบัง เห็นแล้วทำให้คิดถึงเจ้าซามอยด์ที่บ้านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าตอนนี้งอแงกับพี่ส้มไปหรือยัง เจ้านายไม่อยู่บ้านสักคน

"อยาก... ได้กำลังใจ"
แฮงค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วงเหมือนไม่กล้าขออะไรแบบนั้น แต่แววตากลับมุ่งมั่นวอนขอ เชื่อว่าเขาคงอยากได้กำลังใจจากผมจริงๆ แต่เพื่ออะไรล่ะ คนอื่นๆ เขาก็พร้อมที่จะมอบสิ่งนั้นให้แฮงค์อยู่แล้ว ดูอย่างสาวๆ ที่นั่งกันหน้าบาร์นี่สิ มองเขาซะตาเยิ้ม อ่อยกันเหลือเกิน มันเผื่อแผ่มาทางผมด้วยเหอะ...

"สาวๆ เขาก็ให้กำลังใจอยู่แล้วน่า จะเอาจากพี่ทำไมอีก"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวเจ้าเด็กน้อยตรงหน้าที่เบ้ปากใส่กันทันทีที่ฟังประโยคนั้นจบ เขาไม่ได้ปัดป้องอะไรกับการทำผมหล่อๆ นั่นให้เสียทรง ติดจะชอบมากกว่าด้วยซ้ำล่ะมั้ง ก็ดันหัวให้ลูบซะขนาดนี้

"มันไม่เหมือนกัน"
แฮงค์บอกด้วยน้ำเสียงงอแงเล็กน้อยแล้วดึงมือข้างที่ลูบหัวไปกุมไว้หลวมๆ ผมมองหน้าเขาสลับกับตำแหน่งที่ถูกแต๊ะอั๋ง หึ เนียนอีกแล้วว่ะคนเรา แต่ช่างเถอะ จับนิดจับหน่อยไม่ได้สึกหลออะไร ผู้ชายเหมือนกัน

"ยังไงครับ"
ถามกลับพร้อมกับทอดสายตามองใบหน้าหล่อเหลานั่น ปากหยักเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงก่อนจะคลายออกแล้วเอื้อนเอ่ยถอยคำที่สั่นคลอนหัวใจคนฟังเล็กๆ พร้อมสบตาแบบไม่หลบเลี่ยง

"ก็... อยากได้กำลังใจจากคนที่ตัวเองชอบนี่นา ไม่ได้เหรอครับ"
ปลายน้ำเสียงเว้าวอนจนทำให้จังหวะหัวใจผิดแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะแสร้งยิ้มขำออกไปกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิด

"หึ ถ้าพี่อยากให้กำลังใจเรา ตอนสี่ทุ่มจะเห็นพี่หน้าเวทีเองล่ะ ไปทำงานได้แล้ว โอเค๊"
ผมบอกน้องไปแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วกวนให้แล้วดึงมือที่โดนกอบกุมกลับมา แฮงค์ถอนหายใจเสียงดังอย่างไม่เกรงใจก่อนพยักหน้าเบาๆ ยอมรับแต่โดยดี คงผิดหวังอยู่ไม่น้อยล่ะมั้ง

"ครับๆ โอเคก็ได้"
เขาตอบเสียงอ่อยก่อนจะโดนบาร์เทนเดอร์อีกคนโวยวายให้ไปช่วยงานกันสักที สาวๆ ต่างมองตามร่างสูงที่ผ่านหน้าตัวเองไปด้วยสายตาหวานเยิ้ม กลัวว่ามดจะขึ้นเข้าสักวัน ในตอนแรกรู้สึกอิจฉาความฮอตนั้นแต่ตอนนี้กลับไม่ชอบซะแล้วสิ อาการหวงของกำเริบมั้ง ถึงไม่ได้ชอบเขาแต่ถือว่าเขาจีบผมอยู่นี่... หงุดหงิดบ้างคงไม่แปลก

เด็กน้อยบาร์เทนเดอร์ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ลีลาในการควงเชคเกอร์โชว์พอเป็นพิธีสามารถเรียกเสียงกรี๊ดของสาวๆ ได้มากพอตัว เห็นแบบนั้นก็นึกย้อนไปถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลของเขาที่พลาดพลั้งจากการฝึกซ้อมโยนขวด เดี๋ยวนี้คงเก่งแล้วล่ะมั้ง

เมื่อมีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะหันมาคลี่ยิ้มให้กันเสมอ ผมไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไรสักเท่าไหร่ที่โดนหนุ่มรุ่นน้องแสดงท่าทางว่ามีซัมติงต่อหน้าคนอื่น เปิดเผยแบบนี้ถือเป็นข้อดี เพราะผมไม่ชอบหลบๆ ซ่อนๆ ชอบคนตรงๆ ไม่อ้อมค้อม การแสดงความรักความชอบแบบพอดี ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนทั้งโลกแค่แคร์คนสำคัญก็พอ

ผมกระดกแก้วเหลี่ยมใส่ที่บรรจุวิสกี้สีอำพันเข้าปาก รสชาติขมปร่านุ่มนวลสัมผัสกับต่อมรับรสภายในช่องปากก่อนจะไหลลงสู่ลำคอ อ่า... แอลกอฮอล์นี่มันดีนะ ถ้าไม่ดื่มมากจนเกินไป สายตาทอดมองไปตามส่วนต่างๆ ของร้าน บรรยากาศตอนนี้ให้ความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด อาจจะด้วยเสียงเพลงหรือไฟสีส้มก็ตามแต่ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือ... สายตาของแฮงค์ที่คอยส่งมาถามไถ่ ราวกับกลัวผมเบื่อจากการรออย่างไรอย่างนั้น ถ้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมคงเดินออกไปเรียกแท็กซี่กลับคอนโดเองแล้วล่ะ

"พี่ครับ"
เสียงเรียกดังขึ้นทำให้ผมเบนสายตากลับมาที่เค้าท์เตอร์บาร์ตามเดิม บนใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นประปราย จะว่าไปแล้วอากาศก็ไม่ร้อนสักหน่อย หรือว่าตื่นเต้นเพราะใกล้ถึงเวลาขึ้นร้องเพลงแล้วนะ

"ครับ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ รอว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อ เขาอึกอักอยู่ชั่วครู่แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นคลี่ยิ้มบาง

"ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ เดี๋ยวจะไปที่เวทีแล้ว"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงโทนปกติจนถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่าดวงตาคมคู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อย ผมเลือกที่จะนิ่งแล้วคลี่ยิ้มตอบกลับไปเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เขาพยายามสื่อ

"อื้ม"

"ครับ ไปนะ"
เขาบอกก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่มีคำอ้อนขอกำลังใจอีก ดูเหมือนเจ้าตัวไม่อยากเซ้าซี้กรือทำให้ปมลำบากใจมากนัก ถือว่าทำตัวดีและเชื่อฟังในระดับหนึ่ง ควรให้รางวัลใช่ไหม...

ผมลุกขึ้นจากหน้าบาร์แล้วก้าวขายาวไปทางหน้าเวลาทีอย่างไม่รีบร้อน ไม่ต้องกลัวว่าโต๊ะจะเต็มแต่อย่างใดเพราะเจ้าของร้านชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังโบกไม้โบกมือให้กันอยู่ตรงนั้น ดูท่าทางจะตื่นเต้นที่น้องชายต้องขึ้นร้องเพลงเลยว่ะ เรียกว่าเห่อคงไม่แปลกมานัก

"ใจอ่อนแล้วเหรอจ๊ะพ่อหนุ่มหล่อ"
เฟรนด์เอ่ยแซวกันเมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ จนชายหนุ่มอีกคนต้องกระทุ้งศอกใส่เธอแล้วหันมายิ้มแหย่ให้ เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะเพราะโดนขัดใจ แต่ยังไม่วายยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม

"คุณชายปรานต์มาฟ้องอะไรแกอีกล่ะหืม"
ผมถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วรับแก้วคอกเทลสีฟ้าสดใสมาจากบริกรคนหนึ่ง โดยกระซิบบอกกันว่ามีสาวๆ โต๊ะริมซ้ายฝากมาให้ หึ... โดนอ่อยอีกแล้ว รับไว้คงไม่เสียหาย แต่จะให้เล่นด้วยคงยาก ไม่ชอบผู้หญิงดื่มเหล้าสักเท่าไหร่

"บอกว่าแกใจแข็ง"

"เหรอ ก็เปล่านี่ แค่อยากแกล้งเฉยๆ"
ผมพูดเสียงสบายๆ ก่อนจะยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วจิบคอกเทลฟรีก่อนจะจ้องมองแฮงค์ที่ใส่แค่เพียงเสื้อยืดสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีซีดเท่านั้น แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้สาวๆ ทั้งร้านแทบจะเป็นลมกันอยู่แล้ว หล่อแบบธรรมชาติไม่ต้องเสริมเติมแต่งให้วุ่นวาย

เฟรนด์อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจกลับส่งสัญญาณให้เงียบ เป็นแฟนที่ยับยั้งผู้หญิงก๋ากั๋นได้อย่างอยู่หมัดจริงๆ ขอนับถือจากใจเลย

แฮงค์ทักทายลูกค้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มร้องเพลงอกหักยอดฮิตตามสมัยนิยม ไม่ว่าผู้ฟังจะมีความสุขหรือทุกข์เพลงแนวนี้ก็ไม่เคยถูกทิ้งขว้างไปไหน ถ้าถามว่าผมชอบเพลงแนวไหน บอกได้เลยว่าทุกแนวแต่ยกเว้น ลูกทุ่ง เพื่อชีวิตไว้สักหน่อยแล้วกัน

เวลาล่วงเลยมาจนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว และแฮงค์กำลังจะส่งบทเพลงสุดท้ายของวงดนตรีสดในค่ำคืนนี้ให้ผู้ฟังทั้งหลาย เขามีทางทีอึกอักขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเตรียมพูดอะไรบางอย่าง ให้เดาคงกำลังลำบากใจล่ะมั้ง คิ้วขมวดกันเป็นปมเชียว

"เพลงสุดท้ายนี้ อาจจะเก่าไปหน่อย แต่ผมอยากร้องให้คนๆ หนึ่งในที่นี้ฟัง เพราะไม่ว่าจะเป็นการเจอกันครั้งไหนๆ ก็รู้สึกว่าคนๆ นี้... น่ารัก"
ดวงตาคมหันมาสบมองกันก่อนรอยยิ้มละมุนจะคลี่ออก เสียงเกากีต้าร์แผ่วเบาดังขึ้น ริมฝีปากหยักค่อยๆ เปล่งเสียงทุ้มนุ่มออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเพราะได้ขนาดนี้

'น่ารักเมื่อเธออยู่ใกล้ หวานๆ ละไมนี่แหละใจของเธอ ซ่อนใจฉันไม่กล้าเสนอ เกรงว่าฉันจะเก้อเธอรักก่อนได้ไหม'

ท่วงทำนองหวานซึ้งไหล่ลื่นผ่านหู ดวงตาคมไม่ได้ละออกไปจากผมแม้แต่นิดเดียว ผู้หญิงหลายคนทำใบหน้าเคลิ้บเคลิ้ม และอีกหลายชีวิตกำลังมองตามแฮงค์มาที่ผม เจอแบบนี้ก็แบบหน้าร้อนผ่าวไม่หยอก ร้องเพลงจีบกลางร้านเลยเหรอวะ

'หากรักบอกมาค่อยๆ ขวัญฉันจะลอยลิ่วไปไกลแสนไกล โธ่เอ๋ยขวัญนั้นคงหวั่นไหว ยามที่เห็นเธอใกล้ใจฉันสั่นละเมอ'

กำลังโดนขอความรักหรือเปล่า ได้แต่คิดแล้วก็หวั่นไหว ไม่เคยรู้สึกใจสั่นแบบนี้มาก่อน ทั้งชีวิตไม่ว่าจะผ่านการรักใครชอบใครมายังไม่เคยสัมผัสอาการแบบนี้  'ใจเต้นรัว' อ่า... แฮงค์กำลังปั่นป่วนความรู้สึกกันได้อย่างน่ากลัว เขาร้ายกาจจริงๆ

'ยิ่งคิดบางครั้งฉันก็ ท้อใจด้วยจนหนทาง รักเอ๋ยช่วยเผยอำพราง เปิดทางให้บ้างสร้างสะพานรัก'

สายตาหวานซึ้งอ้อนวอนฉายชัดจนผมเผลอเบนหน้าหนีแล้วยกคอกเทลสีหวานขึ้นมากระดกใส่ปากจนเกลี้ยง ลิ้นเล็กแลบเลียคราบน้ำที่เปียกชื้น ไม่กล้าหันกลับไป กลัวว่าตัวเองจะลืมวิธีหายใจ เฟรนด์กับเจนั่งเงียบตลอดเวลาที่เสียงเพลงถูกถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของผมหรือแฮงค์ก็ตกอยู่ในสายตาของพวกเขา รอยยิ้มหวานๆ ของพี่สาวเผยขึ้นอย่างอ่อนโยน กำลังชื่นชมน้องชายตัวเองล่ะมั้ง ไม่ใช่เย้าหยอกความรู้สึกกัน...

'ทอดไว้ให้ใจฉันข้าม แล้วฉันจะตามติดเธอไปทุกทาง บ่ายเย็นเช้าสายยามรุ่งสาง มอบใจรักเคียงข้างจะไม่สร่างรักเธอ'

เสียงทุ้มนุ้มในทุกช่วงคำร้องสามารถทำให้ทุกคนเคลิ้บเคลิ้มไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเองที่กำลังถลำลึกในบทเพลงแสนหวาน ถึงมันจะไม่ใช่เพลงที่คิดว่าจะฟัง แต่ในตอนนี้กับไพเราะเหลือเกิน

'อยากรักแต่ใจไม่กล้า คิดมาเนิ่นนานรั้งรอ ท้อถอยจะพลอยเสียดาย สักวันเขาหน่ายจะเจ็บใจนัก'

อยากรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แฮงค์เริ่มมองผม นานเท่าไหร่แล้วนะ... ทำไมเขาต้องเก็บมันเป็นความลับด้วย

'น่ารักเมื่อเธออยู่ใกล้ ฝันหวานละไม หลับในความสัมพันธ์ มอบใจของเธอให้กับฉัน ตราบชั่วนิจนิรันดร์ จะยึดมั่นรักเธอ'

บทเพลงจบลงด้วยเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดเล็กๆ ของสาวๆ แฮงค์กล่าวลาและลงจากเวทีตรงมาหากัน ความหวานของเนื้อร้องยังตราตรึงในโสทประสาท ผมเชื่อว่าถ้าเขาได้รักใครแล้วจะไม่มีวันเลิกรักง่ายๆ แน่ๆ

แฮงค์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมายืนตรงหน้าของผมด้วยร้อยยิ้มหวานๆ เธอคือคนที่มอบคอกเทลสีฟ้าใสเพื่อหวังสานสัมพันธ์ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ชอบเลย ดูน่ากลัวและอันตรายเกินไป ถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนก็ควรวางตัวให้เหมาะสมไม่ใช่หรือไง อ่อยผู้ชายอะนะ ดูแย่ว่ะ แต่ผมก็ยังคลี่ยิ้มมารยาทไปให้

"สวัสดีค่ะ เราชื่อกุ๊งกิ๊งนะ พี่ชื่ออะไรเหรอ"
ส่งรอยยิ้มหวานเยิ้มมาให้กัน แถมยังแอบดึงเสื้อยืดตัวบางให้โน้มต่ำลง หึ ร่องอกนั่นอยากโชว์ขนาดนี้เลยเหรอ ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แต่ขอบอกเลยว่า... ประเคนให้ถึงที่แบบนี้หมดอารมณ์ว่ะ ถึงจะแก้ผ้าต่อหน้าก็คงไม่แข็ง

"มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ ทวงค่าคอกเทลเหรอ"
ผมพูดน้ำเสียงเรียบเฉย ไอ้ที่รับน้ำใจไว้เพราะไม่อยากให้เธอเสียหน้า แล้วสมควรเหรอมายืนอ่อยผู้ชายอยู่แบบนี้น่ะ เธอแสดงสีหน้าตกใจก่อนจะส่ายหัวเป็นพัลวันเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหานั่น

"พี่อะ อารมณ์ขันจังเลยนะคะ ไม่รู้จริงๆ เหรอว่ากิ๊งอยากรู้จัก"
ปลายประโยคเธอโน้มตัวเข้ามากระซิบใกล้ๆ ก่อนจะผละออกไปแล้วคลี่ยิ้ม แฮงค์ก้าวเข้ามายืนซ้อนหลังกันทันทีเมื่อสถานการณ์ดูจะเลวร้าย ใบหน้าหล่อแสดงอาการหงุดหงิดออกมาชัดเจน อ่า... โดนหึงซะแล้ว

"หึ ชื่อข้าวครับ คราวนี้เราก็รู้จักกันแล้วเนอะ พี่ขอตัวก่อนล่ะ อยากนอน"
ปลายประโยคจงใจพูดกับคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เขายกมือขึ้นจับบ่าทั้งสองข้างเหมือนเรากำลังเล่นรถไฟปู้นๆ เธอทำสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อยแต่ไม่ยอมปล่อยพวกเราไปง่ายๆ โดยถือวิสาสะจับต้นแขนกันในระหว่างที่ผมหมุนตัว

"เดี๋ยวสิคะพี่ข้าว ขอเบอร์ติดต่อได้ไหม"
เธอบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ ผมส่งสายตาดุๆ ให้ปล่อยแขนกัน กิ๊งทำตามแต่ไม่มีความกลัวเกรงเลย

"พี่ผมกำลังง่วงนะครับ กรุณาปล่อยพวกเราไปเถอะ"
แฮงค์ออกมายืนขวางระหว่างผมกับเธอ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยจนน่ากลัว กิ๊งผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าแบบชัดเจนเต็มสองตา ดูเหมือนเธอจะเปลี่ยนเป้าหมายซะแล้ว เฮ้อ

"ไม่ได้เบอร์พี่ข้าว งั้นขอเบอร์นายแทนได้ปะ"
เธอคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนผมแอบปวดหัว ผู้หญิงคนนี้พยายามจับทางที่ควรแสดงออกต่อหนุ่มๆ ที่ต่างนิสัยกันเหรอ... ว้าว เจอเพลย์เกิร์ลเข้าให้แล้วสินะ แฮงค์กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมกระตุกชายเสื้อเขาเพื่อห้ามไว้ก่อนจะออกโรงซะเอง ดูท่าทางถ้าปล่อยให้เด็กน้อยเคลียร์เรื่องอาจจะใหญ่โตกว่าเดิม

"กิ๊งครับ... เกรงใจคนที่มาด้วยกันหน่อยนะ เขายืนรอน้องจนขาแข็งแล้ว"
ผมพยักพเยิดหน้าไปที่หนุ่มแว่นหนาที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ดูท่าทางเขาอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างสองคนนั้นคืออะไร แต่ผมลากข้อมือแฮงค์ให้เดินเลีายงออกมาตอนที่เธอละสายตาจากเราได้สำเร็จ หนีปัญหาอย่างชาญฉลาดที่สุด...

"เดี๋ยวๆๆ พี่ข้าว"
แฮงค์ขืนตัวไม่ยอมเดินตามเมื่อเรามาถึงบริเวณหน้าร้าน ผมเผลอถอยหลังเล็กน้อยเพราะไม่ได้ตั้งตัว ดีนะที่ไม่ได้เหยียบเท้าเขาน่ะ

"อะไร"
ผมปล่อยมือออกจากแขนของเขาแล้วมองนิ่ง ไม่เข้าใจว่าจะหยุดทำไม ง่วงจะตายแล้ว อยากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ ไม่อยากอาบน้ำด้วยซ้ำ เพลีย

"ผู้หญิงคนนั้น... เขาตั้งใจเข้ามาจีบพี่เหรอ"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สีหน้าไม่สู้ดีนัก ความกังวลแสดงออกทางดวงตาอย่างชัดเจน ก็ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกแบบนั้น ในเมื่อผมก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ยังชอบผู้หญิงและไม่ได้รังเกียจผู้ชาย

"ไม่รู้สิ ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ ทำไมเหรอ หรือว่าชอบเขา"
ผมแกล้งแหย่เขาไปแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าเจ้าตัวชอบใคร แต่โดยรวมที่สังเกตพฤติกรรมอีกฝ่าย แฮงค์คงชอบผู้ชายคนแรกคือตัวผม เพราะสายตาคู่นั้นไม่ได้มองเพศเดียวกันสักเท่าไหร่ หนักไปทางสาวๆ สวยๆ ซะมากกว่า จะเรียกว่าไบเซ็กซ์ชวลคงใช่

"เฮ้ย ไม่ได้ชอบเว้ย พี่ก็รู้ความจริงข้อนี่ดีนี่หว่า"
บ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วเตะก้อนหินหน้าร้านกระเด็นกระดอนไปไกล ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้ากับความเป็นเด็กของเขา ยอมรับว่ามันก็ดูน่ารักดี

"อืม พี่มีเรื่องจะถาม"

"อะไรเหรอ"

"เมื่อกี้น่ะ... ร้องเพลงจีบกันเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้ราบเรียบทั้งๆ ที่หัวใจกำลังเริ่มเต้นแรง ตั้งแต่เกิดมีคนเข้ามาจีบก็เยอะ ไปจีบเขาก็พอมีบ้าง แต่ไม่เคยมีใครคนไหนร้องเพลงให้แบบนี้นี่หว่า โคตรแปลกใหม่ เอาจริงๆ โคตรชอบ มันดูโรแมนติกดี

"ก็ใช่... เขินปะ หวั่นไหวบ้างหรือยัง"
แฮงค์ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น แต่แก้มใสๆ กลับซับสีเลือดจนแดงปลั่ง สรุปว่าคนจีบเขินกว่าคนโดนจีบใช่ไหม ตลกเกินไปแล้วนะเจ้าเด็กน้อย

"หึ ไม่กลัวสาวๆ จะหนีหายหรือไง แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น"
ผมเลี่ยงไม่คอบคำถาม จะให้บอกเหรอว่าก็แอบใจสั่นอยู่เหมือนกันแบบนั้นเหรอ ก็แค่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ บอกไม่ได้หรอกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นเรียกว่าอาการหวั่นไหวได้หรือเปล่า

"ไม่ เพราะผมจีบพี่ไม่ได้จีบพวกเธอสักหน่อยนี่หว่า ทำไมต้องสนใจ"
น้ำเสียงแข็งกระด้างบ่งบอกว่าเขาไม่สนใจใครจริงๆ นอกจากตัวผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ ดวงตาคมไม่เคยแสดงออกว่าเจ้าชู้กับใครที่ไหนเลยตั้งแต่รู้จักกันมา มีแต่พยายามสื่อความหมายลึกซึ้งมาให้ผมตลอด... เสือจะสิ้นลายเพราะคนเรียบง่ายอย่างผมน่ะเหรอ มันเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า

"แต่นั่นลูกค้า..."
ผมบอกเสียงเบาก่อนจะเลี่ยงเดินออกมาจากตรงนั้น เสียงฝีเท้าของแฮงค์ตามมาติดๆ ไม่ได้เรียกให้รั้งรอแต่อย่างใด

"ไม่สนหรอก ผมแคร์ความรู้สึกของคนที่ผมชอบมากกว่า"
น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับทำให้คนฟังใจกระตุก อาการแบบนี้มันแย่เอามากๆ เลยล่ะ กลัวสักวันจะเผลอลืมวิธีการหายใจถ้ายังโดนเด็กรุ่นน้องคนนี้หยอดทุกวี่ทุกวัน

"อืม ~ กลับเถอะ ง่วงแล้ว"

มาถึงคอนโดตอนเกือบตีหนึ่ง ในขณะที่ขึ้นลิฟท์มาก็ควานหาคีย์การ์ดให้วุ่นวาย ไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกง แม้แต่ในกระเป๋า Mac Book ก็ไม่มี...

เหี้ยไหมล่ะ ลืมคีย์การ์ดไว้บนรถ

"หาคีย์การ์ดเหรอพี่"
แฮงค์ถามขึ้นทำให้ผมชะงักมือแล้วพยักหน้ารับแกนๆ จะว่าไปคืนนี้จะนอนที่ไหนล่ะเนี่ย เฮ้อ

"ลืมไว้บนรถว่ะ ทำไงดี"
ผมบอกก่อนจะถอยหลังไปยืนพิงผนังลิฟท์อย่างหมดแรง สภาพในตอนนี้อยากทิ้งดิ่งลงบนที่นอนนุ่มๆ จะแย่ ดันมาลืมของสำคัญซะอย่างนั้น แฮงค์เบิกตากว้างขึ้นแล้วรีบกุลีกุจอล้วงโทรศัพท์ออกมาดูเวลาในตอนนี้ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

"อีกห้านาทีตีหนึ่ง... จะให้ช่างบึ่งรถเอามาให้คงยาก เอางี้แล้วกัน พี่ไปนอนห้องผมก่อนก็ได้"
แฮงค์เสนอทางออกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า... จะค้างห้องคนที่คิดไม่ซื่อกับตัวเองหลังโดนจีบแบบหนักหน่วงมาเนี่ยนะ แอบรู้สึกขัดเขินแปลกๆ ว่ะ ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลย ให้ตาย

"รบกวนหรือเปล่า"
ผมถามออกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ตัวเองดูเป็นคนใจง่ายเกินไป ทั้งๆ ที่ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้วว่าจะนอนที่ห้องแฮงค์อย่างแน่นอน ก็จะให้ผมไปไหนได้เล่า เขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายแล้วนี่

"สำหรับพี่ข้าวผมเต็มใจครับ ไม่รบกวนแน่นอน"
แฮงค์คลี่ยิ้มกว้างและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูลิฟท์เปิดออก ผมเดินนำเขาออกไปแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องแรกของชั้น

"ถ้างั้นก็... ขอค้างที่ห้องคืนนึงก็แล้วกัน"

หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวจะต้องตกลงกันเรื่องที่นอน ผมคิดไว้ว่าจะขอนอนโซฟาเพราะไม่อยากรบกวนแฮงค์สักเท่าไหร่ ปกตินอนคนเดียวถ้ามีคนไปนอนข้างๆ เจ้าของห้องคงไม่ชิน

ผมนั่งรอแฮงค์อาบน้ำโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบข้อความของพี่ต้นที่ส่งมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไปเรื่อยๆ ไม่นานนักเสียงลูกบิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่มีกางเกงนอนขายาวติดตัวเพียงชิ้นเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าอวดกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวกันสวยอย่างชัดเจน หยดน้ำเกาะพราวบนร่างกายยิ่งทำให้เขามีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น อ่า... คนบ้าอะไรวะ โคตรของโคตรดูดี เผลอมองอยู่นานจนแฮงค์รู้ตัว น่าอายว่ะ!

"มองงี้ผมเขินนะครับ"
เดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแล้วเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาให้ผ้าขนหนูที่พากไหล่ไล่ซับหยดน้ำออกจากร่างกาย ผมนั่งนิ่งทอดสายตาไปเบื้องหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะใช้หางตาสอดส่องเขา มันรู้สึก... ขัดเขินแปลกๆ

"เขินเป็นด้วยหรือไง ปกติเห็นหน้าออกจะด้าน"
ผมพูดเสียงทะเล้นใส่ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปมองคนข้างหายที่ตอนนี้ก็มองมาทางผมเช่นกัน ไม่มีการแสดงสีหน้างอแงหรือจะต่อว่าอะไรกลับมา มีแต่ดวงตาหวานซึ้งที่สื่อความหมายว่ามันชอบ ชอบคนตรงหน้าเหลือเกิน จะชัดเจนเกินไปแล้วมั้ง

"ผมเขินนะ ทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับพี่ แต่ไม่อยากแสดงออกเพราะมันจะทำให้ผมดูเป็นเด็กน้อย ไม่คู่ควร"
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความกังวลและคิดมาก ดวงตาคมที่มักฉายแววมุ่งมั่นตอนนี้กลับสั่นไหว ขาดกลัว ไม่กล้าสบมองกันตรงๆ มันเป็นความหวาดกลัวเล็กๆ ของคนอายุน้อยกว่า ที่หากย้อนกลับว่าผมเป็นฝ่ายจีบเขาซะเองก็คงคิดมากเหมือนกัน แก่กว่าตั้งห้าปีเชียวนะ

"คิดมากไปหรือเปล่า เป็นตัวของตัวเองเถอะ ไม่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เกินตัวทุกเรื่องก็ได้ มุมเด็กๆ ในตัวแฮงค์พี่ว่ามันไม่เสียหายนะ น่ารักดี"
ผมพูดตามสิ่งที่คิดแต่ปลายประโยคนั้นงึมงำกับตัวเอง เชื่อว่าแฮงค์คงไม่ได้ยินหรอกเพราะเขาเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ มาให้แล้วพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ถ้าขืนได้ยินคำชมนั้นคงร้องเสียงหลงทำท่าตกใจไปแล้ว

"พี่ข้าว... น่ารักว่ะ!"
แฮงค์อ้าแขนรวบตัวผมไปกอดทันที ผมดิ้นไปมาด้วยความตกใจ อะไรจะจู่โจมกันขนาดนี้วะ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็ต้องระวังตัว

"ปล่อยเลย มากอดทำไมวะ"
ผมกระทุ้งศอกใส่ไม่แรงมากนักก่อนจะสะบัดตัวออก ไอ้น้องแฮงค์ผละออกแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเป็นการใหญ่เมื่อผมทำหน้าบึ้งตึง

"พี่แม่ง... น่ารักอะ ทำให้ผมหลงไม่เว้นแต่ละวันแล้ว รู้ตัวบ้างไหม"
พูดด้วยน้ำเสียงสดใสต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ผมได้แต่เม้มปากแน่น จะด่าเรื่องชมกันแบบนั่นก็พูดไม่ออก เพราะโดนสายตาหวานเชื่อมจ้องมองมา ไหนจะแอบคิดถึงสัมผัสที่โดนกอดจากช่วงบนที่เปลือยเปล่านั่นอีก ขนลุกว่ะ!

"ไม่รู้เว้ย จะนอนแล้ว"
ผมโวยแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทันที แฮงค์ทำหน้าเหวอก่อนจะนั่งยองๆ ลงข้างโซฟา ใช้นิ้วสะกิดต้นแขนยิกๆ อะไรของมันอีกวะ

"นี่ๆ ไปนอนในห้องสิครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยบอกกัน ผมลืมตาขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วใส่ ก็คนจะนอนตรงนี้ ไม่อยากรบกวน

"ไม่ พี่นอนตรงนี้ล่ะ ขอผ้าห่มด้วยแล้วกัน"
ผมบอกก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ค่อยชอบระยะที่ใกล้จนลมหายใจของแต่ละคนกระทบผิวอีกฝ่ายแบบนี้ ใกล้ไปจนอันตรายต่อความรู้สึกและร่างกาย

"อย่าดื้อสิครับ ไปนอนข้างในด้วยกันเถอะ เตียงออกจะกว้าง"

"ไม่"

"พี่ข้าวครับ ไม่ดื้อดิ"

"ก็จะนอนตรงนี้ ไม่อยากเบียด"

"ไม่ลุกไปเองผมอุ้มนะ"

"ไอ้แฮงค์!"
ผมลืมตาทันทีแล้วดีดตัวขึ้นจากโซฟา มือเรียวง้างขึ้นผลักหัวคนที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า แต่แทนที่เขาจะโวยวายกลับตอบรับด้วยน้ำเสียงทะเล้น หมั่นไส้เว้ย ถ้าไม่เกรงใจนี่ถีบยอดอกไปแล้ว แม่ง...

"ครับผม ~"
ยักคิ้วหลิ่วตาประกอบน้ำเสียงทะเล้นไปอีก ผมได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง รีบกระทืบเท้าตึงตังหนีเข้าห้องนอนทันที ใครมันจะอยากโดนอุ้มเล่า บ้าฉิบ!

"กวนตีน!"
ผมตะโกนด่าไป โดนได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังตอบกลับมา ฮึ่ย... ร้ายกาจ ไอ้เด็กนี่มันร้ายกาจที่สุดเลยเว้ย!!




-------------------------------------------------

เบาหวานก็ขึ้น แถมตาร้อนอีก โอย... อิจพี่ข้าวเบาๆ เลยฮะ 55555
ปล. ฟังเพลง น่ารัก ของ ดิว ไปด้วยนะ จะอินกว่าเดิม ~

Happy New Year 2017 น้า

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #109 เมื่อ03-01-2017 13:36:38 »

อร๊ายยยยยย :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
« ตอบ #109 เมื่อ: 03-01-2017 13:36:38 »





ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #110 เมื่อ04-01-2017 22:04:33 »

 o13

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #111 เมื่อ04-01-2017 23:23:11 »

มีหวง มีหึงกันแล้ว ชอบบบบ
ร้องเพลงจีบข้าวซะด้วย
รำมาก ชะนีกุ๊งกิ๊ง
จะจับหนุ่มหล่อสองคนเลย
ไม่ไหวๆ  :ling2: ข้าวไล่ไปไกลๆ ยังตื๊ออีก
ชอบเลย ที่ข้าวลืมคีย์การ์ด
เขานอนห้องเดียวกันแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #112 เมื่อ05-01-2017 00:18:10 »

ร้ายกาจจริงๆด้วยพี่ข้าว ทำพี่ข้าวเขินได้ตั้งหลายรอบในวันเดียวเนี่ย...ฮาาาา

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #113 เมื่อ05-01-2017 02:13:37 »

 :laugh:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #114 เมื่อ05-01-2017 06:05:14 »

หวานไปค่ะ  :mew1: :mew1:
 :L1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #115 เมื่อ05-01-2017 08:49:23 »

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #116 เมื่อ07-01-2017 22:38:56 »

 :pig4:

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 12 -P.4- (03.01.2017)
«ตอบ #117 เมื่อ08-01-2017 16:14:31 »

โอ้ยย เด็กมันร้ายย555555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #118 เมื่อ08-01-2017 21:31:13 »

เมาครั้งที่ 13




เตียงนอนขนาดหกฟุตไม่ได้คับแคบอะไรสำหรับคนสองคนเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าในช่วงเวลาที่แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามารบกวนนั้นทำให้ผมสะดุ้งตื่น ไม่ใช่เพราะรีบร้อนไปทำงาน แต่เป็นเพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนนอนเรียบร้อยมากแค่ไหน... ผ้าห่มกระจัดกระจาย เคยถีบไอ้จุ้นตกเตียงแล้วก็มี สิ่งที่พบเจอหลังลืมตาคือผมนอนคนเดียว แล้วแฮงค์ล่ะ!

ผมรีบกุลีกุจอคลานไปดูข้างเตียงทันทีเพราะจำได้ว่าเมื่อคืนเขาก็ขึ้นมานอนด้วยกัน สายตาเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตานอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่บนพื้นโดยมีหมอน ผ้าห่มเรียบร้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าแฮงค์ย้ายสำมะโนครัวลงไปนอนเองไม่ได้เกิดจากฝีเท้าผม แต่ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ หรือโกรธที่นายการินนอนดิ้นเกินไป

ผมก้าวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ร่างสูง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขานอนขดได้ขนาดนี้ ลมแอร์ตกเต็มๆ กลัวแฮงค์จะไม่สบายเลยแอบเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก พบว่าอุณหภูมิเป็นปกติ ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง คราวนี้ก็เหลือแค่ถามเหตุผลว่าทำไมลงมานอนตรงนี้ เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว ถ้าอย่างนั้นถือวิสาสะปลุกเลยดีกว่า

"แฮงค์"
ผมเรียกชื่อพร้อมกับเขย่าแขนของคนที่เปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายด้วยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เขาไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวอะไรทั้งสิ้น แต่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ามันๆ นั่นกลับสะดุดสายตาผมอย่างจัง แฮงค์คงกำลังฝันดีอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ทั้งที่ตัวเองนอนบนพื้นเย็นๆ

"แฮงค์ เจ็ดโมงแล้วนะ มีเรียนหรือเปล่าเนี่ย"
ผมเพิ่มเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยแต่ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เนื่องจากไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนตื่นง่ายหรือหลับลึก แรงเขย่าตัวเพิ่มขึ้นตามกันทำให้ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย สีหน้าที่คลี่ยิ้มในตอนแรกกลายเป็นบูดบึ้งเพราะทำปากคว่ำเหมือนเด็กเวลาโดนขัดใจ มองไปมองมาก็... น่ารักดีมั้ง

"อือ"
เสียงครางดังขึ้นมาแต่เจ้าตัวยังคงปิดตาสนิทแถมยังเอื้อมมือกระชับผ้าห่ม ทำให้ผมเผลอถอนหายใจเฮือกเมื่อจับเค้ารางได้ว่าแฮงค์น่าจะขี้เซาอยู่ไม่น้อย แต่จะให้ละความพยายามตอนนี้ก็กลัวว่าเขาจะมีเรียนแล้วไปสาย แบบนั้นจะซวยเอาได้ ผมเลยพยายามปลุกต่อไป

"ปรานต์ สายแล้ว!!"
ผมตัดสินใจตะโกนเรียกชื่อจริงของเขาไปและมันก็ได้ผลฉับพลัน แฮงค์ดีดตัวลุกขึ้นแบบไม่ส่งสัญญาณใดๆ ศีรษะของเขาเลยกระทบเข้ากลับปลายคางของผมเต็มๆ จนหงายหลังไปเลย ไอ้เหี้ย โคตรเจ็บ สั่นสะท้านไปถึงสมองเลย!

"โอ๊ยแม่ง! เจ็บเว้ย!!"
เสียงแฮงค์ดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะลูบหัวตัวเองป้อยๆ และดูเหมือนจะตื่นเต็มตาในทันที สีหน้าแสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมนอนแผ่ราบไปกับพื้นไม่ร้องออกมาสักแอะเพราะเจ็บจนจุกไปแล้ว จะอ้าปากยังสงสารขากรรไกรเลย ระบมไปหมด แถมจังหวะที่ฟันกระทบกันกระพุ้งแก้มเสือกคั่นกลาง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั้งปาก แสบแผลฉิบหาย

"เฮ้ย! พี่ข้าวมานอนแผ่อะไรตรงนี้"
เหมือนแฮงค์เพิ่งสังเกตว่ามีบุคคลนอนกลับหัวกลับท้ายกับตัวเองอยู่ บุญแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เอาเท้ายัดปากมัน เขาขยับแล้วโน้มตัวลงมามองกัน ท่าทางล่อแหลมเหมือนมันจะคร่อมผม... มันใช่เวลามาคิดหื่นเหรอวะ เลือดกบปากขนาดนี้

"เพราะมึงเลยน้องแฮงค์"
ผมพูดเสียงเครือด้วยใบหน้าบูดบึ้งก่อนจะใช้มือผลักอกมันที่โน้มตัวลงมาให้ถอยออกไปห่างๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงอีกคนเดินตามมาไวๆ คงไม่เข้าใจว่าที่ผมพูดไปหมายถึงอะไรแน่ๆ ไม่ถุยเลือดใส่หน้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังมายืนหน้ามึนมองกันผ่านกระจกอีก ต่อยกันไหมห๊ะ

"ผมทำอะไรวะพี่ ไม่เข้าใจอะ"
แฮงค์ยืนเกาหัวแกรกๆ ด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ผมเผ้ายิ่งกว่ารังนกซะอีก แต่น่าอิจฉาตรงที่แม้แต่เพิ่งตื่นนอนยังดูมีเสน่ห์ คนบ้าอะไรจะหล่อได้หล่อดีขนาดนี้ ดูอย่างผมสิ... หน้ามันเยิ้มแถมดูเหมือนผีตายซากอีก ช่วงนี้ทำงานหนักนอนดึกเลยขอบตาคล้ำหมดหล่อไปอีก

ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแล้วก้มหน้าคายเลือดผสมน้ำลายที่อยู่ในปากลงอ่างล้างหน้าก่อนจะเปิดก๊อกน้ำแล้วใช้แก้วรองไว้จนเต็มกะว่าจะบ้วนปาก แต่แฮงค์ร้องเสียงดังขึ้นมาก่อน

"เฮ้ย ทำไมเลือดออกขนาดนั้นล่ะพี่ข้าว ไปทำอะไรมาครับ!"
พูดพร้อมกับทำหน้าตาตื่นใส่กัน เท่านั้นไม่พอยังใช้มือประคองใบหน้าของผมให้หันซ้ายหันขวา แฮงค์ใช้สายตาสำรวจไปทั่ว อยากจะบอกว่าไอ้ที่มึงทำแบบนี้เนี่ย กูเจ็บเว้ย นิ้วโป้งนี่ก็กดแผลที่กระพุ้งแก้มจัง ชอบกันจริงหรือจะฆ่ากันแน่ โว้ย จะไม่ทน!

"ปล่อย เจ็บ!"
ผมตีมือแฮงค์แล้วสะบัดตัวหนีหันกลับไปบ้วนปากทันที แสบ... แสบจนอยากตะโกนดังๆ เมื่อน้ำแทรกซึมผ่านเข้าไป แล้วแบบนี้จะกินอะไรได้ล่ะ จะบ้าตาย กะว่ากินชาบูให้หนำใจสักหน่อย แผนการล่มไม่เป็นท่า น่าหงุดหงิดชะมัด แดกหัวไอ้เด็กบ้าแทนได้ไหม ฮ่วย ก็รู้ว่าไม่ควรโมโหเพราะเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ แต่อดไม่ได้ ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะเด้งตัวขึ้นมาแบบนั้น

"พี่..."
แฮงค์เรียกกันเสียงแผ่วเบา ใบหน้าหงอยลงถนัดตาจนผมไม่กล้าเอ่ยปากด่าสักเท่าไหร่ เจอแบบนี้ทีไรพาลคิดถึงหมาที่บ้านทุกที เฮ้อ... ดูท่าทางจะเผลอเอ็นดูไอ้เด็กคนนี้เข้าให้แล้วล่ะ ผมใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเล็กน้อยเพราะยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ยิ่งเจ็บยิ่งทำให้เจ็บกว่าเดิม จะหาว่าโรคจิตก็ไม่แคร์ อย่าปฏิเสธเลยว่าพวกคุณไม่เคยกดแผลตัวเองแบบนี้

"หัวนายกระแทกคางพี่ ฟันมันกัดกระพุ้งแก้มพอดี ซี๊ด"
เผลอซี๊ดปากปิดท้ายประโยคไปก่อนจะทำหน้าเหยเก แฮงค์เลิกคิ้วเหมือนยังงุนงงในคำพูดของผม แต่ไม่นานนักใบหน้าหล่อเหลาก็สลดลงคงคิดได้ว่าตอนตื่นนอนตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน หัวโขกคางคนอื่นเนี่ย มึนไหมล่ะ

"ขอโทษครับ ผมตกใจเสียงพี่น่ะ นึกว่าเผลอหลับในห้องเรียน"
แฮงค์หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะส่งสายตาเป็นห่วงมาให้กัน ผมหลุดหัวเราะออกไปซะอย่างนั้น ตลกที่เขาคิดว่าตัวเองหลับในคาบเรียน เพราะโดนเรียกด้วยชื่อจริง ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า...

"แอบหลับในห้องเรียนบ่อยเหรอ"
ผมถามก่อนจะพิงสะโพกลงบนเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้าแล้วกอดอกมอง แฮงค์เบิกตาโตก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ โกหกได้ไม่เนียนเอาซะเลย

"วิชาพี่ข้าวผมไม่เคยหลับเลยนะ"
แฮงค์ว่าเสียงตะกุกตะกักก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้าให้กับความเป็นเด็กของเขาแล้วเบี่ยงตัวออกจากห้องน้ำ ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าจะคุยกันในนั้นไปอีกนานแค่ไหน จะว่าไปแปรงฟันก็ไม่มีนี่หว่า ลงไปมินิมาร์ทข้างล่างดีกว่า

"เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อของที่มินิมาร์ทนะ เราจะเอาอะไรไหม"
ผมหันไปถามคนที่ก้าวตามออกมาจากห้องน้ำ หน้าตาของเขาเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำเล็กๆ เห็นแล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ล้างหน้า บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากก่อนน่าจะดี

"เอ่อ... เดี๋ยวลงไปด้วยดีกว่า พี่ข้าวไม่แปรงฟันล้างหน้าก่อนเหรอ"

"กำลังจะกลับไปล้างหน้า แต่เรื่องแปรงฟัน... จะทำไงวะ ให้พี่ใช้นิ้วถูเหรอ"
ผมพูดก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วเดินกลับเข้าไปล้างหน้า แฮงค์เดินมายืนพิงขอบประตูแล้วหัวเราะเบาๆ มือหน้าส่งผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้กันด้วย ผมได้แต่รับมาแล้วซับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เช็ดหน้าตัวเองก่อนล่ะ จะบริการแขกดีเกินไปแล้ว

"เออว่ะ ผมลืมไปเลย เดี๋ยวออกไปเอาคีย์การ์ดที่อู่ให้ก็ได้"

"สายๆ ค่อยออกไปเอาก็ได้ พี่ไม่รีบร้อน ว่าแต่แฮงค์เถอะ มีเรียนไหม"

"ไม่มีครับ แต่ต้องออกไปซื้อวัตถุดิบทำค็อกเทลสักหน่อย"

"อ๋อ..."
ผมตอบไปแค่นั้น ไปซื้อพวกเหล้าอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ ชักอยากไปด้วยขึ้นมาแล้วสิ เปรี้ยวปาก... เมื่อคืนจิบไปนิดๆ หน่อยๆ เอง

"เดี๋ยวออกไปข้างนอกด้วยกันนะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้ายืมของผมใส่ก่อนอีกชุดก็ได้"
เหมือนเขาเข้ามานั่งในใจผมอย่างนั้นล่ะ ชวนกันออกไปข้างนอกเฉยเลย คิดว่าปฏิเสธไหมล่ะ พยักหน้าแบบไม่ต้องคิดเลยเถอะ

หลังจากลงไปมินิมาร์ท อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ได้อาหารเช้าง่ายๆ เป็นแซนวิชไข่ต้มกับนมอุ่นๆ พร้อมน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว อย่างกับเปิดห้องในโรงแรมนอนมีบริการระดับห้าดาว จริงๆ ก็เกรงใจ ขอเขาค้างไม่พอยังเป็นภาระให้ ถึงอีกฝ่ายจะจีบกันอยู่ก็เถอะ รู้สึกไม่ดีเลยว่ะ ผมมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม

"ทำเองเหรอ"
ผมถามก่อนที่จานบรรจุอาหารจะเลื่อนมาตรงหน้า พ่อครัวจำเป็นพยักหน้าหงึกหงักกลับมาเป็นคำตอบก่อนจะใช้มือหยิบแซนวิชส่วนของตัวเองไปกัด แก้มขาวๆ ขยับไปมายามออกแรงเคี้ยว ไม่อยากบอกเลยว่าตอนเวลาเขากินเหมือนมันจะอร่อยทุกอย่าง

"กลัวจะกินไม่ได้เหรอพี่"
แฮงค์ถามกันด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะยังกลืนขนมปังไม่หมด ผมที่จ้องเขานานเกินไปเลยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธแล้วหยิบแซนวิซขึ้นมากัดบ้าง อืม... ก็ดี มีมายองเนสข้างในแต่ขาดซอสมะเขือเทศว่ะ

"มีซอสมะเขือเทศปะ"

"หือ... จะกินเหรอ เดี๋ยวผมลงไปซื้อให้ พอดีมันหมดน่ะ"
แฮงค์พูดจบก็ลุกขึ้นเต็มความสูงทั้งๆ ที่ปากยังคาบแซนวิชเอาไว้ ผมเอื้อมไปรั้งข้อมือเขาแล้วกระตุกให้นั่งลงตามเดิม ใส่แค่มายองเนสก็กินได้นั่นล่ะ ไม่อยากรบกวนแล้ว แค่นี้ก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงได้อีก

"ไม่ต้องๆ ถามไปเพราะเผื่อมี ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร กินแบบนี้ก็ได้"
ผมว่าก่อนจะยิ้มให้เขาแล้วกัดแซนวิชเข้าปากอีกรอบ เคี้ยวไปได้สักพักก็ยกแก้วนมอุ่นๆ ขึ้นดื่ม แสบแผลว่ะ แต่ก็ทนๆ กินไป แฮงค์ยิ้มน้อยๆ แล้วนั่งเท้าคางมองกันหน้าตาเฉย แบบนี้จะกินยังไงวะ อายนะเว้ย

"ถ้าพี่ขอร้องผมก็พร้อมทำให้นะ ไม่ลำบากอะไรเลยด้วย"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เดาว่าคงเป็นเสียงที่สองไม่ก็สามสี่เวลาจะใช้จีบใครสักคน ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้ววางแก้มนมเปล่าลงบนโต๊ะแล้วใช้สายตาจับจ้องแค่เศษเสี้ยวแซนวิชที่เหลืออยู่อีกครึ่ง ไม่กล้าเผชิญหน้าเพราะลางสังหรณ์บอกว่าต่อไปต้องโดนหยอดอีกแน่ๆ

"จะใจดีกับพี่มากไปแล้วมั้ง"
ผมว่าขึ้นลอยๆ แล้วกินแซนวิชที่เหลือจนหมดตามด้วยน้ำผลไม้อีกแก้ว ตอนแรกนึกว่าจะไม่อิ่ม ที่ไหนได้แน่นท้องไปหมดแล้ว

"เขาไม่ได้เรียกว่าใจดีนะ เรียกว่ากำลังเอาใจดีกว่าครับ"
พูดจบก็ส่งรอยยิ้มจริงใจมาให้กัน ผมเผลอย่นจมูกใส่แล้วรวบเก็บจานไปตั้งในอ่างด้านหลัง กำลังลงมือจะล้างแต่เจ้าของห้องก็เดินมาขัดกันก่อน จะตามมาหยอดอะไรอีกล่ะคราวนี้

"ผมล้างเองครับ พี่ไปนั่งเถอะ ไม่อยากใช้แรงงานคนที่ผมชอบสักเท่าไหร่"
ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมให้กัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้าบอกว่าชอบผมซ้ำๆ อยู่นั่น ไม่อายบ้างหรือไง แต่จะว่าไปแก้มใสๆ นั่นก็เจือสีแดงระเรื่ออยู่เหมือนกันนะ

"ย้ำจังนะ กลัวพี่ลืมหรือไงวะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยอมกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม แต่หันหน้าไปหาคนที่กำลังล้างจานแทน แฮงค์เหลียวมองกันเล็กน้อยแล้วหลุดยิ้มมุมปาก คิดว่าหล่อนักหรือไง ถ้าเป็นสาวๆ คงหลงเสน่ห์ที่เขาโปรยไปแล้วมั้ง แต่กับผู้ชายอย่างผมมันเป็นเรื่องยากน่า ก็เพศเดียวกันอแถมหน้าตายังจัดว่าดีเหมือนกันอีก

"ก็กลัวนะครับ แต่ย้ำให้พี่มันใจในตัวผมมากกว่าว่ามันเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกจริง"

อ่า... ใจเต้นแรงขึ้นมาหน่อยนึงเลยเนอะ

หลังจากนั้นผมก็โดนลากมาที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังโดย Honda City แฮงค์รับหน้าที่เข็นรถเข็นแล้วถามไปตลอดทางว่า 'พี่ข้าวจะซื้ออะไรไหม' หรือ 'อยากเดินดูอะไรหรือเปล่า' ให้ความรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่คนอื่นดี ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอไป แต่ผมจะซื้ออะไรล่ะ ที่บ้านก็มีแม่บ้าน ที่คอนโดก็ไม่ต้องตุนอะไรสักหน่อย อาทิตย์หนึ่งมาค้างแค่สองสามวันเอง

"ไม่ล่ะ แฮงค์จะซื้ออะไรก็ไปตรงนั้นเลย"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้ แฮงค์พยักหน้ารับแล้วเดินนำผมไปแผนกสุราทันที ตลอดทางที่ผ่านมามีคนนั้นคนนี้ให้ความสนใจผู้ชายที่อยู่เคียงข้างกันเป็นระยะ บางคนกรี๊ดกร๊าด บางคนยิ้มกรุ้มกริ่มทำหน้าฟินจนผมแอบขนลุก คงคิดอะไรอกุศลอยู่เป็นแน่ แค่จีบยังไม่ได้เป็นแฟนเว้ย

ผมออกจะตื่นตาตื่นใจเล็กน้อยเมื่อถึงแผนกขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะนานๆ ครั้งจะได้มาเหยียบ ถึงจะเป็นคนชอบดื่มแต่ไม่ได้รู้จักชนิดของแอลกอฮอล์มากมายหรอก แต่คนที่เดินข้างกันคงจะมีความรู้เรื่องพวกนี้ดี เขาผละออกจากรถเข็นแล้วตรงไปเลือกอะไรบางอย่างที่ชั้นวางของ ผมขยับเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ซื้ออะไรบ้าง"
ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูขวดแก้วที่แฮงค์ถืออยู่ พบว่าของเหลวด้านในเป็นสีใส บนขวดระบุด้วยตัวหนังสือสีน้ำเงินว่า Absolute Vodka เปรี้ยวปากว่ะ รินลงแก้วชอตแล้วกระดกใส่ปากตามด้วยเกลือมะนาว อย่างฟิน... ไอ้จุ้นชอบบ่นเสมอว่าผมเป็นคนกินเหล้าโหด อะไรที่ On the rock ได้จะไม่เคยพลาด ก็มันอร่อยนี่หว่า

"ซื้อตากีลา วอดก้า แล้วก็จินครับ"
แฮงค์ร่ายยาวไม่มีติดขัดทำให้ผมรู้สึกเบลอเล็กๆ ไอ้ที่เขาว่ามาก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันต่างกันยังไง ส่วนมากก็เห็นเป็นน้ำสีใสๆ เหมือนกันซะหมด...

"มันต่างกันยังไงวะ"
ผมถามออกไป ดวงตาก็กวาดมองไปตามชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดหลากหลายยี่ห้อ แฮงค์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกปากอธิบายด้วยน้ำเสียงยินดีสุดๆ

"ตากีลาเป็นเหล้าสีขาวครับ กลิ่นจะแรง ส่วนวอดก้าเป็นเหล้าสีใส กลิ่นจะอ่อนมากๆ จนแทบไม่ได้กลิ่น ส่วนจินเป็นเหล้าสีขาวจะมีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ครับ"

"อ๋อ... การใช้งานก็ต่างกันใช่ปะ"

"ครับผม ถ้าพี่อยากลองทำค็อกเทลบ้างผมสอนให้ก็ได้นะ"
แฮงค์เสนอเหมือนรู้ว่าผมอยากลองทำอะไรแบบนั้น แต่จะให้ลงมือเองกลัวว่าจะพังไม่เป็นท่านี่ดิ เป็นหน่วยชิมอาจจะดีกว่ามั้ง

"โห ให้พี่ทำนี่อย่าเสี่ยงเลย เป็นคนชิมถนัดกว่า"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะไม่ค่อยเอาอ่าวกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าพูดถึงเรื่องอาหารก็พอทำเป็นบ้าง

"เหรอครับ ถ้างั้น... วันนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยนะครับ ช่วยชิมค็อกเทลฝีมือผมก่อนได้ไหม พอดีจะฝึกเมนูใหม่ๆ"
แค่ชวนให้ชิมค็อกเทลทำไมต้องหน้าแดงหูแดงด้วยวะ ไม่ได้ชวนขึ้นเตียงสักหน่อย หรือว่าคิดจะให้ผมค้างที่ห้องอีก ไม่เอาแล้วนะ ไม่อยากรบกวน... ที่สำคัญคือโดนดูแลมากๆ ใจมันก็ชักหวั่นขึ้นมา

"ก็ได้ แต่หลังจากนี้ต้องพาพี่ไปเอาคีย์การ์ดก่อนนะ"
ผมพูดดักคอไปอย่างนั้น แฮงค์เลยเผลอทำหน้าหงอยใส่กัน ไม่คิดจะปิดบังอาการแบบนั้นบ้างเหรอวะ ใจกล้าหน้าด้านเกินไปไหม ไม่กลัวว่าผมจะถอยห่างหรือยังไงกันออกตัวแรงขนาดนี้น่ะ

"ที่จริงค้างด้วยกันอีกคืนก็ได้นะครับ"
พูดด้วยเสียงอ่อยๆ แต่สายตาที่มองกันนี่ระยิบระยับจนน่าหมั่นไส้ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อเช้าลืมถามไปเรื่องที่เขาลงไปนอนบนพื้น พอโอกาสมาถึงก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยแน่ๆ

"หึ ชวนนอนอีกคืน แต่เมื่อเช้าพี่เห็นเรานอนที่พื้นหมายความว่าไงหืม"
ผมไม่ได้โกรธหรืออะไรเขาหรอก แต่สงสัยมากกว่า ก็นอนอยู่ด้วยกันดีๆ ไหงเช้ามาพบว่าอีกคนลงไปนอนที่พื้นล่ะ สงสัยจนเริ่มระแวงว่าตัวเองเป็นคนตีโพยตีพายไล่เจ้าของห้องหรือเปล่า อาจละเมอหรืออะไรแบบนั้น

"อ๋อ... ก็ผมลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก พอกลับมาที่เตียงพี่ก็แผ่ท่าปลาดาวเต็มพื้นที่แล้ว ผมไม่อยากปลุกก็เลยลากหมอนกับผ้าห่มไปนอนที่พื้นแทน"
แฮงค์ว่าก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้กันและไม่รอให้ผมได้พูดอะไรออกไปเขาก็กลับไปเลือกของที่ต้องการต่อ ปล่อยให้คนทำเรื่องน่าอายยืนแก้มร้อนเห่อเพราะความอายซะอย่างนั้น ไม่รู้เมื่อไหร่จะแก้นิสัยนอนร้ายของตัวเองได้สักที ถ้ามีหมอนข้างกอดจะดีขึ้นปะวะ หรือต้องใช้คนเป็นๆ คิดได้แบบนั้นก็เผลอเหลือบมองเขา ยังจำสัมผัสตอนที่กอดได้ดี อุ่นจนไม่อยากปล่อย แต่จะให้ทำแบบนั้นซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่มีเหตุผลก็กลัวจะกลายเป็นการให้ความหวังเกินไป ถ้าน้องเป็นผู้หญิงผมอาจจะใจอ่อนไปแล้ว แต่นี่น้องเป็นผู้ชาย... มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ต้องดูกันนานหน่อยว่าจะจริงจังจริงใจได้นานแค่ไหน

แฮงค์ขับรถมุ่งสู่อู่รถที่เป็นธุรกิจของทางบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเรียบร้อย ปากหยักฮัมเพลงอย่างมีความสุขต่างจากผมที่เริ่มง่วงขึ้นมาอีกระลอกทั้งๆ ที่เมื่อคืนนอนอิ่มไปแล้วก็ตาม อาจจะเป็นเพราะความเพลียที่สะสมมานานก็ได้

"แฮงค์... พี่ง่วงว่ะ"
ผมหันไปบอกเขาก่อนจะปรือตามองอย่างยากลำบาก แผ่นหลังพิงแนบไปกับเบาะพร้อมหลับทุกเวลา แฮงค์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนพยักหน้ารับ

"นอนก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวถึงอู่ผมจะปลุก"

"โอเค"
ผมฝืนยิ้มให้แฮงค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพาตัวเองจมสู่ห้วงนิทรา ก่อนที่ประสาทการได้ยินจะปิดตัวลงได้ยินเสียงทุ้มนุ้มแว้วขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล

"ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะครับ"

อืม... พูดอะไรวะ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย นอนดีกว่า

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทแล้วมีอะไรบางอย่างวูบไหวไปมาตรงหน้า ดวงตาเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบากแต่ก็ต้องเบิกค้างเมื่อเห็นว่าแฮงค์อยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบเดียว เขาไม่ได้มองมาที่ผมแต่กำลังพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยให้กันอยู่ เดาว่าก่อนหน้านี้อาจจะออกปากปลุกกันแล้วแต่ผมหลับลึก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะกลัวว่าเขาจะหันมา ยังไม่พร้อมเผชิญในระยะประชิดแบบนี้

แฮงค์ถอยออกไปเมื่อสิ้นเสียงเข็มขัดนิรภัยดีดตัวออก ผมลอบถอนหายใจเฮือกแล้วค่อยๆ ทำเป็นว่าเพิ่งตื่นขึ้นมา พลางแสร้งบิดตัวไล่ความเมื่อยขบกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ เมื่อยามได้ใกล้ชิดกันเกินกว่าปกติ ไม่ไหวจริงๆ เด็กคนนี้เริ่มทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองซะแล้ว เมื่อไหร่พี่ต้นจะกลับมาปกป้องหัวใจน้องตัวเองกันวะ

"ตื่นแล้วเหรอครับ"
แฮงค์ถามขึ้นแล้วจัดการดับเครื่องยนต์ทันที ผมพยักหน้ารับก่อนจะเสตามองออกไปบริเวณรอบๆ พบว่าเป็นอู่ขนาดใหญ่และดูดีอยู่มากทีเดียว ตะลึงไปเหมือนกันที่เห็นช่างใส่ชุดหมีเดินไปเดินมาราวๆ เกือบสิบห้าคน นี่มันโรงงานอุตสาหกรรมประกอบรถขนาดย่อมหรือเปล่าวะ คนโคตรเยอะ

"ลงไปกันเถอะครับ"
คำเชิญชวนจบลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรถของคนด้านข้าง ผมทำตามอย่างไม่รีรอและเดินตามลูกชายเจ้าของอู่เข้าไปด้านใน ช่างในชุดหมียกมือไหว้บ้างก็ทักทายแฮงค์อย่างสนิทสนม ดูเขาจะเป็นที่รักของทุกคนดีเหลือเกิน น่าอิจฉาจัง... ถึงที่บริษัทจะมีบรรยากาศคล้ายๆ กัน แต่ถ้าไม่ใช่คนในแผนกเขาก็ไม่กล้าตีสนิทกับผมสักเท่าไหร่ เพราะกิตติศัพท์เรื่องหวงน้องของประธานนั้นกระฉ่อนเหลือเกิน แต่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งพยายามแหกกฎนั้น... ถ้าวันไหนเขาทำเกินเลยขึ้นมาเรื่องคงถึงหูพี่ต้นแน่ๆ

“ไอ้น้องแฮงค์ มาแล้วเหรอวะ”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ผิวเข้มทักทายอย่างอารมณ์ดี ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหัวหน้าช่างของที่นี่เพราะดูมีความน่ายำเกรงพอตัว แฮงค์พยักหน้ารับแล้วแบมือขึ้นทันทีแบบไม่รีรออะไรทั้งสิ้น

“ไหนอะคีย์การ์ด”
ปากถามนิ้วมือกระดิก ท่าทางแบบนี้กวนตีนชะมัด ถ้าผมเป็นพี่ช่างคงขอเตะกันมันสักที

“รีบร้อนจังวะ กลัวแฟนรอนานเหรอ”
พูดจบก็ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาทางผมซะอย่างนั้น ไม่ทักทายแล้วยังมาแซวกันแบบนี้อีก ตกใจนะที่โดนแบบนั้นแต่แปลกใจมากกว่าว่าพี่เขาไปเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหน หรือว่าแฮงค์เป็นคนเล่าให้ฟัง สนิทกันขนาดนั้นเชียวเหรอ

“เฮ้ย อย่าปากหมานะเว้ย แฟนอะไร ไม่ใช่สักหน่อย พูดแบบนั้นพี่ข้าวเสียหาย”
แฮงค์พูดรัวจนลิ้นเกือบจะพันกัน ทั้งแก้มทั้งใบหูแดงจัดจนดูเหมือนเขาจะโกรธ แต่จากที่สังเกตท่าทางแล้วน่าจะเป็นอาการเขินมากกว่า ผมได้แต่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่แสดงอะไรออกไป หัวใจที่เริ่มเต้นแรงไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาปกติในเร็วๆ นี้ ทำไมต้องรู้สึกดีแปลกๆ ที่โดนหาว่าเป็นแฟนของเด็กคนนี้วะ หรือผมจะชอบเขาไปแล้ว... ตอบตัวเองไม่ได้เลย

“อ้าวเหรอ เห็นชอบมาตั้งนานไม่ใช่หรือไง มึงไม่มีน้ำยานี่หว่าไอ้หมาแฮงค์”
พี่ช่างยังคงหยอกล้อแฮงค์อย่างสนุกสนานเหมือนกับว่าเขายืนกันยู่ตรงนี้แค่สองคน ส่วนผมกับบรรดาลูกน้องราวสิบชีวิตเป็นอากาศธาตุ จากที่น้องเขินตอนนี้กลายเป็นทำหน้ายักษ์ใส่คนอายุมากกว่าไปแล้วแถมยังใช้มือใหญ่ต่อยลงบนต้นแขนของอีกคนด้วย ดูท่าทางหมัดหนักน่าดูเพราะคนผิวเข้มถึงกับเบ้ปาก

“หยุดพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วเอาคีย์การ์ดมาได้แล้ว ผมต้องรีบไปทำธุระต่อ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วหันมาก้มหัวขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ที่คนของตัวเองพูดจาแบบนั้นใส่ แต่ผมไม่ถือสาหาความอะไรเพราะเป็นคนสบายๆ เลยส่งยิ้มกลับไปให้แทน ดูน้องจะโล่งใจเพราะไม่โดนโกรธ แต่แอบสงสัยนะว่าขนาดช่างในอู่ยังรู้ว่าเขาชอบผมมานานแล้ว ทำไมไม่ยอมเล่าให้ฟังสักทีว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

เมื่อได้คีย์การ์ดคืนมาผมกับแฮงค์ก็ตรงกลับคอนโดทันที โดยมื้อเที่ยงก็ได้บะหมี่แถวคอนโดช่วยชีวิตเอาไว้ เขาขนของลงจากรถโดนที่ไม่ยอมให้ช่วยเลยสักนิดเดียว ผมเลยได้แต่เดินตัวปลิวและอาสากดลิฟท์ให้เท่านั้น พอขาก้าวเข้าภายในห้องพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะแปลกใจอยู่ไม่น้อย

“ฮัลโหล”
ผมกดรับสายแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา แฮงค์หายเข้าไปเก็บของในห้องครัวและเตรียมทำค็อกเทลให้ชิม ปลายสายมีเสียงกุกกักอยู่พักใหญ่แล้วตามมาด้วยเสียงตอบกลับที่ดูแปลกไปจากเดิม

‘ข้าวครับ... ว่างหรือเปล่า’
พี่พายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนนิดหน่อยนั่นทำให้ผมแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีเขาจะแสดงออกมาแบบนี้ ทั้งที่ปกติเป็นคนใจเย็นอย่างกับน้ำแข็ง

“พี่พายมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมเลือกตั้งคำถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจว่าที่เขาถามว่าต้องการอะไร

‘คือพี่อยากให้ข้าวมาที่โรงพยาบาลหน่อยน่ะครับ’

“ห๊ะ มีใครเป็นอะไรเหรอ”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย จู่ๆ มาขอให้ไปที่โรงพยาบาลแบบนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ

‘ตุลย์ประสบอุบัติเหตุน่ะ... ขาหัก’
น้ำเสียงของพี่พายสั่นเล็กน้อยอาจจะเพราะตกใจที่อยู่ๆ เพื่อนก็ประสบอุบัติเหตุ ผมยังตกใจเลย แต่... มันเกี่ยวอะไรที่จะให้ไปโรงพยาบาลล่ะ

“แล้ว... จะให้ผมไปทำไมครับ”
ไม่เข้าใจเลยถามออกไป รู้ข่าวแล้วค่อยไปเยี่ยมหลังจากวันนี้ก็ยังไม่สายนี่ ทำไมต้องรีบร้อนให้ผมไปโรงพยาบาลด้วย เป็นญาติกันก็ไม่ใช่ ใครจะหาว่าใจดำก็เชิญ

‘มาหาตุลย์หน่อยสิครับ เขาไม่ยอมกินอะไรเลย จะขอเจอข้าวให้ได้’

“อะไรนะ แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยวะพี่พาย แฟนก็ไม่ใช่”
ตอบกลับไปเสียงดังพอควรจนแฮงค์เดินออกมาดู เขาถามกันแบบไม่มีเสียงว่า ‘มีอะไรหรือเปล่า’ ผมส่ายหน้าแล้วแสร้งโบกมือให้กลับไปทำค็อกเทลต่อ น้องก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีซะด้วย

‘แต่ข้าวก็รู้ว่าเขาคิดยังไง มาให้กำลังใจมันหน่อยได้ไหมครับ พี่... รู้สึกไม่ดีที่เห็นตุลย์ไม่เอาใครแบบนั้น’
ปลายประโยคนั้นสั่นเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้ทำให้ผมสะกิดใจอย่างรุนแรง พี่ตุลย์ขาหักแล้วพี่พายจำเป็นต้องร้องไห้ด้วยเหรอวะ มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนอนเป็นเจ้าชายนิทราหรือเปล่า อาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นที่ผมยังไม่รู้กันนะ

“กับพี่พาย... พี่ตุลย์ก็ไม่ยอมฟังเหรอ”
เหมือนผมโยนเหรียญถามทางไปอย่างนั้น แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นช่างเงียบกริบแต่มันชัดเจนในความรู้สึก พี่พายต้องเสียใจที่พี่ตุลย์ไม่ยอมฟังตัวเองแน่ๆ และข้อสันนิธานต่อไปก็คือ... เขาอาจจะชอบคนๆ นั้น

“พี่พายครับ... ผมถามอะไรสักอย่างสิ พี่ต้องตอบมาตรงๆ นะ”
ผมปรับน้ำเสียงให้เข้าโหมดจริงจังในทันที ได้ยินเสียงครางอือตอบรับมาอย่างแผ่วเบาแล้วทำให้อดใจหายไม่ได้ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาพี่พายไม่เคยแสดงอาการแบบนี้เลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันชัดเจนจนผมอยากมุดโทรศัพท์แล้วดึงเขาเข้ามากอดให้แน่นๆ

“พี่ชอบพี่ตุลย์ใช่ไหม”
เป็นคำถามที่ผมคิดว่าตรงที่สุดแล้วในเวลานี้ แต่ไม่รู้คำตอบจะตรงเหมือนกันหรือเปล่า ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ไม่ได้ดังมากเพราะเหมือนเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้เต็มที่

‘ฮึก... ชอบเหรอ ชอบมากแค่ไหนมันก็... ไม่มีประโยชน์หรอก อึก ช่วยมาเยี่ยมมันหน่อยเถอะนะ’
ผมสะอึกไปกับคำพูดของพี่พายในทันที ‘ชอบมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก’ เป็นประโยคที่เจ็บปวดมาก ซึ่งความรู้สึกที่เราชอบใครสักคนที่ไม่เคยมองเรานั้นมันแย่จริงๆ แล้วนี่อะไร ทนเห็นพี่ตุลย์คั่วคนนั้นคนนี้ทีอยู่ตลอดเวลา ไม่กระอักเลือดตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าพี่หมอคนดีของผมจะบอบช้ำแค่ไหน... และส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกผิดขึ้นมา ผมอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ตุลย์มองข้ามเพื่อนสนิทของตัวเองด้วย




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #119 เมื่อ08-01-2017 21:31:35 »

“พี่พาย... พี่ไหวหรือเปล่า”
ผมถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง แต่ดุเหมือนปลายสายกำลังเจอเรื่องชุลมุนอยู่ เสียงเอะอะโวยวายดังลอดออกมาจนผมต้องเบ้หน้าใส่โทรศัพท์ ความสงสัยแล่นปลาบไปทั่วว่าใครกล้าเสียงดังในโรงพยาบาลขนาดนั้นวะ แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะพบว่ามันช่างคุ้นเคยจริงๆ

‘บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง ต้องการเจอข้าว ไม่เข้าใจเหรอวะ คนอื่นน่ะไม่ต้องเสือกมาเสนอหน้าให้ผมเห็นเลยนะ แล้วมึงก็ด้วยพาย ออกไปไกลๆ!!!’

‘ตุลย์ มึงหยุดโวยวายเถอะกูขอร้องนะ กูติดต่อข้าวอยู่’

‘เออดี แล้วมึงจะร้องไห้ทำไม สมเพสกูเหรอห๊ะ!’

‘ไม่ใช่... กูเป็นห่วงมึงนะตุลย์ กินข้าวหน่อยเหอะ’

‘อยากกินก็กินเองสิวะ!!’

เคร้ง...

หัวใจของผมหล่นอยู่ที่ตาตุ่ม พอจะจำได้รางๆ ว่าตอนพี่ตุลย์โมโหแล้วอาละวาดหนักจนสามารถทำลายข้าวของได้ทุกเมื่อ แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่าเสียงร้องที่ดังลอดออกมา

‘คุณหมอพาย! กรุณาออกไปทำแผลกับฉันก่อนเถอะนะคะ’

ไอ้... ผมรีบตัดสายแล้วตรงดิ่งไปหาแฮงค์ที่ยืนออกลีลาท่าทางทำคอกเทลอยู่ในครัวทันที และด้วยหน้าตาตื่นตูมทำให้เขาหยุดมือแล้วขมวดคิ้วมองผมด้วยความประหลาดใจ จริงๆ แล้วไม่อยากบอกแฮงค์เลยว่าต้องไปโรงพยาบาลเพราะพี่ตุลย์ กลัวว่าเขาจะคิดมาก แต่ทำไงได้ในเมื่อพี่พายกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนั้น

“พี่ข้าว... มีอะไรหรือเปล่าครับ”
แฮงค์วางกระบอกเชคเกอร์ลงบนโต๊ะแล้วเดินอ้อมมาหากัน มือหนาเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของผมอย่างเบามือ ดวงตาคมที่จ้องมองนั้นสื่อความเป็นห่วงได้ชัดเจน

“พี่ต้องไปโรงพยาบาล”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนมือหนาที่เกลี่ยผมให้กันหยุดชะงัก ดวงตาคมเบิกขึ้นด้วยความตกใจที่ไม่แพ้กันในตอนแรก

“ใครเป็นอะไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งนะ”

“พี่ตุลย์ขาหัก...”

ผมไม่รู้ว่าแฮงค์รู้สึกยังไง แต่หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็รีบออกจากคอนโดโดยด่วน และระหว่างทางก็เต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด... ไว้อธิบายทีหลังก็แล้วกัน หวังว่าเขาจะไม่คิดเองเออเองจนถอดใจจากผมนะ




------------------------------------------------

ตอนนี้เฉลยความลับของพี่พายเนอะ ใครเดาเอาไว้ว่าชอบพี่ตุลย์นี่เก่งมาก...
แฮงค์หยอดทุกครั้งที่มีโอกาส จนข้าวเริ่มมีอาการหวั่นไหว เรียกร้องให้พี่ต้นมาปกป้องแล้ว
แต่มารผจญอย่างพี่ตุลย์ดันโผล่มาขัดจังหวะ... แต่รับรองว่าไม่ดราม่าหรอก เราไม่ถนัดแนวนั้น 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด