เมาครั้งที่ 21
'ไม่ไหวแล้ว เป็นแฟนกันเถอะ'
'ไม่ไหวแล้ว เป็นแฟนกันนะครับ'สองเสียงดังขึ้นมาในเวลาเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากประโยคนั้นจบลงแล้วก็เกิดเดตแอร์ทันที ต่างคนต่างเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย ก็ไม่รู้ว่าจะแข่งกันหน้าแดงไปเพื่ออะไร เหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตรงที่โดนขอเป็นแฟนในรถแบบเมื่อเดือนก่อนอีกแล้ว ไม่มีความโรแมนติกจริงๆ สินะคู่เราเนี่ย
ผมเหลือบสายตามองสารถีจำเป็นของบ่ายนี้ด้วยความจัดเขิน ควรจะตอบตกลงไปเลยหรือรอให้เขาตอบกลับมาก่อนดีนะ สมองประมวลผลจนชักจะเบลอๆ ยังไงก็ไม่รู้ มือไม้เย็นเฉียบเพราะอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศแน่ๆ ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นเลย... คนซึนมันก็ซึนอยู่วันยันค่ำอย่าถือสากันเลยเนอะ
"เอ่อ... คือว่า"
ผมออกเสียงได้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าควรเริ่มด้วยคำพูดแบบไหน หัวใจเต้นแรงจนต้องใช้มือจับหน้าอกตัวเองเอาไว้เพราะกลัวว่าบางทีมันอาจจะพุ่งทะลุออกมาด้านนอก ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่าตอนนี้ไม่กล้ามองหน้าแฮงค์ด้วยซ้ำ เพราะอะไรๆ ในตอนนี้ก็ขัดเขินไปซะทุกอย่าง
"ถือว่าเราเป็นแฟนกันแล้วเนอะ"
แฮงค์รวบรัดตัดความได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วหันมาส่งยิ้มให้กันทั้งๆ ที่ใบหน้าเป็นสีชมพูลามไปถึงหู ผมช้อนตามองเขาก่อนพยักหน้ารับคำเบาๆ เพราะคิดว่าแบบนั้นก็เป็นทางออกที่ดีอยู่เหมือนกัน ไม่ต้องรอให้ใครตอบรับใครในเมื่อใจตรงกันขนาดนี้ก็คบๆ กันไปเลยเถอะ
"อื้อ... เป็นแฟนกันแล้ว"
ผมตอบเสียงเบากลับไปเพราะรู้สึกว่าไอ้คนข้างตัวขยับเข้ามาใกล้กัน นึกอยากจะด่าสัญญาณไฟจราจรขึ้นดื้อๆ เมื่อไหร่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสักทีวะ อะไรจะเป็นใจให้แฮงค์ทำรุมร่ามแบบนี้กับผมนักหนาล่ะ
"ขะ ขยับเข้ามาทำไมเนี่ย"
ผมถามแล้วเอนตัวพิงแนบไปกับประตูรถของตัวเอง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะสำนึกแล้วถอยกลับไปนั่งให้เป็นที่เป็นทางกลายเป็นว่ายิ่งขยับเข้ามาจนปลายจมูกอยู่ห่างจากแก้มของผมไม่ถึงคืบ อีกนิดเดียวก็หอมกันเลยเถอะ แม่ง!
"อืม... ขอหอมแก้มหน่อยได้ไหมครับแฟน มันเขี้ยวอะ"
หน้าด้าน! คือคำที่ผุดขึ้นในสมองอย่างรวดเร็ว แฮงค์เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงทะเล้นและใช้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มกดดันกัน ผมไม่กล้าขยับตัวมากนักเพราะระยะห่างชวนให้ใจหาย ถ้าเกิดพลาดไปสักองศาเดียวจากที่ขอหอมแก้มธรรมดาอาจจะกลายเป็นประกบปากจูบก็เป็นได้ ถึงจะเป็นแฟนกันแล้วแต่อย่าได้ลืมความเจ้าเล่ห์ของเด็กคนนี้เป็นอันขาด ร้ายกาจ!
"หน้าด้านเกินไปปะวะ ขอแบบนี้ใครจะให้ ตอนนี้อยู่บนรถด้วยควรทำหรือไง"
ผมใช้น้ำเสียงดุๆ พูดออกไปแล้วยกมือดันหน้าแฮงค์ให้ขยับห่าง แต่ไอ้เด็กแสบมันทำการอุกอาจโดยการดึงมือไปกดจูบอย่างหน้าตาเฉย ผมสะดุ้งเฮือกและเผลอสะบัดแรงๆ จนฟาดเข้าบนหน้าหล่อๆ อยากจะสงสารอยู่หรอกแต่สมน้ำหน้ามากกว่า
"โอ้ย เจ็บนะพี่"
เขาร้องเสียงหลงแถมยังเบะปากเหมือนเด็กตัวน้อยๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบแก้มตัวเองเบาๆ ให้เชื่อว่าเจ็บมากแล้วหวังว่าผมจะโอ๋อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางหลงกลง่ายๆ หรอก
"สมน้ำหน้า เล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลาดีนัก"
"ก็มันอยากหอมแก้มแฟนนี่หว่า"
แฮงค์บ่นอุบอิบกลับมาเสียงเบา แต่ทำให้ผมถึงกับถลึงตาใส่คนข้างๆ อะไรมันจะอยากหอมแก้มกันขนาดนั้นวะ เก็บกดเหรอไงกัน
"อยู่บนรถ"
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้ แฮงค์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วขยับมาใกล้กอีกครั้งก่อนจะใช้สายตาอ้อนๆ อย่างลูกหมาจ้องกัน เขาชอบทำให้ผมใจเต้นแรงเสมอ และมันน่าหงุดหงิดตัวเองไง อะไรนิดอะไรหน่อยก็พาลแก้มร้อนเนี่ย จะเขินพร่ำเพรื่อมากเกินไปแล้วไหม
ผมยกฝ่ามือดันแก้มแฮงค์ให้ถอยห่างออกไปไกลๆ จนหน้าหงาย เขาแสร้งร้องโอดโอยอีกครั้งแต่ไม่กล้าทำอย่างเดิม เพราะไม่อย่างนั้นผมจะกำหมัดแล้วต่อยให้แทน คราวนี้เดือนมหา'ลัยจะได้เสียโฉมบ้างล่ะ สาวๆ คงไม่สนใจไปสักระยะ หรือจะสนใจมากกว่าเดิมวะ มีแฟนฮอตควรทำไง... เริ่มหนักใจว่ะ
"ถ้าอยู่คอนโดก็หอมได้ใช่ปะ"
น้ำเสียงทะเล้นเอ่ยถามกันอย่างไม่กลัวตาย ไอ้ผมก็เหนื่อยที่จะหาเรื่องมาเถียงด้วยเลยตอบส่งๆ ไปให้จบเรื่องจบราวสักที
"ไอ้นี่... เออ ทำตัวดีๆ สิ จะให้มากกว่าหอมแก้ม"
ตอนพูดก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แต่พอได้ยินอีกคนตอบกลับนี่รู้ว่าตัวเองโคตรพลาด พลาดจนอยากเอาหน้ามุดลงบนเบาะรถ
แล้วหายตัวไปเลย แม่งเอ้ย!
"ยั่วว่ะ"
เชี่ย... อะไรคือยั่วไม่ทราบ ผมแยกเขี้ยวใส่เจ้าของคำพูดแล้วตบฝ่ามือลงบนแก้มเขา แฮงค์รีบขยับตัวหนีแล้วเบะปากใส่กันก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อให้รถออกเดินทางต่อ แต่บทสนทนาของเราไม่ได้หยุดลง
"ยั่วบ้าอะไร เพ้อเจ้อว่ะ"
พูดเสียงหงุดหงิดแต่หน้านี่ร้อนอย่างกับจะระเบิด ลืมเปิดแอร์เหรอ!
"ก็พี่บอกจะให้มากกว่าหอมแก้มอะ"
แฮงค์พูดเสียงกระเง้ากระงอดแถมยังทำหน้ายุ่งใส่กันอีก ทำไมชอบงอแงเรื่องลามกแบบนี้ด้วยวะ ทำตัวน่าหมั่นไส้เข้าไปทุกวันแล้วไง
"ก็ใช่ กอดอะไรแบบนั้น"
"อ้าว แค่นั้นเหรอ ผมอุตส่าห์คิดลึก"
ตอบกลับมาจนผมเผลอเบิกตาโตแล้วหันขวับไปมองเขาทันที มันคิดลึกเรื่องลามกแน่ๆ แบบนี้ใครจะนั่งเฉยวะ สับคอสักทีดีไหม เอาให้ตายคารถไปเลย
"ไอ้แฮงค์ หุบปากไปเลย"
ผมกดเสียงต่ำให้ดูน่ากลัว แต่คงจะผิดคาดเพราะเขาไม่มีท่าทางจะหยุดยิ้มทะเล้นใส่กันเลยสักนิด คิดผิดหรือคิดถูกที่ตกลงคบกับมันวะเนี่ย ดูท่าทางฝ่ายผมจะเสียเปรียบเห็นๆ ทำไมวะ คนแก่ชนะเด็กไม่ได้หรือไง
"หูย ขึ้นไอ้แล้วอะแฟน ไม่เอาไม่ดีนะคะ พูดไม่เพราะเลยอ่า"
แฮงค์ทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่กันในขณะที่เข้าหักพวงมาลัยเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมปรี๊ดแตกหนักกว่าเดิมจนเผลอเอามือฟาดลงไปบนแขนของเขาด้วยความหงุดหงิด หรือเขินวะ สับสนฉิบหายเลยตอนนี้
"อยากปากแตกเหรอไง พูดมากฉิบหาย แล้วไม่ต้องมานะคะด้วย ไม่ใช่ผู้หญิง"
บอกไปด้วยน้ำเสียงฟึดฟัดเล็กน้อยแล้วกระชากคอเสื้ออีกคนไม่แรงนัก แต่ก็ทำให้เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจได้ เรื่องอะไรมาพูดด้วยโดยใช้คำหวานๆ แบบนั้น ถ้าเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดกร๊าดไปแล้ว นี่เป็นผู้ชายเลยรู้สึกขนลุกแถมลางสังหรณ์มันบอกว่าผมคงพ่ายแพ้ไอ้เด็กนี่แม้แต่เรื่องบนเตียง ก็มันแสดงออกชัดเจนนานแล้วว่าอยากอยู่ตำแหน่งไหน
"โอ้ๆ โอเคครับแฟนๆ ไม่กวนแล้ว ปล่อยคอเสื้อผมนะ นะครับ ~"
แฮงค์เอ่ยขอเสียงออดอ้อนแล้วมองกันด้วยสายตาหงอยๆ อย่างสำนึกผิด ผมมองหน้าเขานิ่งก่อนจะปล่อยคอเสื้อออกแล้วอปิดประตูรถเพื่อจะลงไป
"เออ หยุดกวนตีนสักที"
ก่อนลงจากรถผมทิ้งท้ายไม่เพียงเท่านั้นแล้วเดินนำอีกคนเข้าร้านอาหารไป โดยที่แฮงค์ก็รีบตามมาติดๆ ไม่ได้รู้สึกโมโหจริงจังอะไรขนาดนั้นหรอก แค่อยากปรามๆ นิสัยกวนประสาทของเขาบ้างก็เท่านั้นเอง แล้วไอ้คำว่าแฟนที่เขาเรียกแทนชื่อผมเนี่ย ไม่อยากจะบอกว่ามันโคตรมีอิทธิพลทำให้มือไม้อ่อนได้ง่ายๆ
ความเปลี่ยนแปลงหลังจากสถานะระหว่างเราขยับเพิ่มขึ้นไม่ได้มีมากนัก ทุกอย่างยังคงเรียบง่ายเหมือนครั้งที่จีบกัน อาจจะมีการแตะเนื้อต้องตัวสัมผัสเพื่อแสดงความรักมากขึ้นนอกจากการใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งมีสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจผมเป็นอย่างมากคือแฮงค์ขี้อ้อนสุดๆ อย่างตอนนี้เขาก็นอนตักกันอยู่ หมอนก็มีทำไมไม่รู้จักใช้ก็ไม่รู้ แถมห้องตัวเองก็ไม่ยอมอยู่อีก แทบจะย้ายสำมะโนครัวมาที่นี่ถาวร
"ลุกขึ้นเหอะน่า พี่จะเดินไปหาขนมกิน"
ผมตบลงบนหน้าผากคนที่นอนดูทีวีสบายๆ อยู่บนตักเบาๆ แฮงค์ช้อนตาขึ้นมองก่อนจะส่ายหัวไปมาเพื่อปฏิเสธแล้วยกมือขึ้นมาดึงแก้มกันซะอย่างนั้น เล่นอะไรของเขาเนี่ย เอะอะจับนั่นจับนี่ตลอด มือไวชะมัด
"ไม่เอาครับ ถ้าพี่ไปเอาขนมแล้วกลับมาคงไม่ยอมให้ผมนอนตักอีก"
แฮงค์บอกกันด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งแล้วทำหน้าหงอยใส่ ผมหมั่นไส้เลยใช้นิ้วดีดลงบนปลายจมูกไม่แรงมากนักแต่ก็ทำให้เขาขมวดคิ้วยุ่ง
"ทำตัวรู้ทันซะทุกเรื่องเลยนะ"
"นี่ใครครับ แฟนพี่ข้าวนะเออ"
จับมือผมไปกดจูบหนักๆ ไม่พอยังจะช้อนตามองหวานเยิ้มอีก ผมเบนสายตาไปมองทีวีเพราะทนไม่ได้กับการถูกจ้อง รู้ว่าเขากำลังจะอ้อนขออะไรบางอย่างแล้วกลัวตัวเองจะใจอ่อนเลยทำเป็นเลี่ยงๆ และหาเรื่องอื่นมาตัดบท... ก็มันยังเขินๆ กันอยู่นี่หว่า
"ปิดเทอมจะเอาแต่นอนอยู่คอนโดหรือไง ไม่กลับบ้านบ้างเหรอ"
ผมถามโดนที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ตอสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ด้านหน้า มือข้างหนึ่งพาดอยู่บนเอวของแฮงค์ ส่วนอีกข้างกำรีโมทไว้แน่นมาก... ไม่ใช่ว่ากลัวมันจะหายนะ แต่ตอนนี้เหน็บชาแดกขาแล้วไง คันยุบยิบฉิบหายเลย
"อยากอยู่ใกล้ๆ แฟนนี่ครับ"
เสียงทุ้มนุ่มตอบกลับมาให้ผมได้สะดุดลมหายใจตัวเองเล่นๆ อุณหภูมิตรงแก้มนี่บอกได้เลยว่าสูงขึ้นจนน่าตกใจและคงห้ามให้มันเปลี่ยนสีไม่ได้ ใครใช้ให้หยอดในระยะประชิดขนาดนี้วะ จริงๆ แล้วถ้าแฮงค์กลับบ้านผมก็กลับบ้านนะ คิดถึงไอ้บับเบิ้ลไง ไม่ได้เหงาอะไรเลย จริงๆ นะ
"ตลก จะห่างกันไม่ได้เลยหรือไง ไม่ใช่ปาท่องโก๋ต้องตัวติดกันตลอดเวลา"
พูดออกไปแบบนั้นแต่จริงๆ แล้วไอ้การที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดีนะ จะให้ห่างมันก็รู้สึกใจหายนั่นล่ะ แต่ด้วยความฟอร์มจัดและอายุที่มากกว่าเลยทำให้ความมีเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าวันหนึ่งต่างคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นจนไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันบ่อยๆ มันจะได้ชินไง
"ตอนนี้ยังมีเวลาตัวติดกันนะพี่ ผมก็ไม่อยากให้มันเสียไปเปล่าๆ ถ้าผมเรียนจบแล้วทำงานก็คงไม่มีเวลาปาท่องโก๋แล้วล่ะ"
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมันสามารถทำให้ผมก้มลงไปมองใบหน้าหล่อของเขาได้โดยง่าย ก็จริงที่ว่าต่างคนต่างความคิดต่างมุมมอง แต่จะยอมสักครั้งแล้วกัน กลัวเด็กจะงอแงหรอกน่า ไม่ได้อยากตัวติดกันสักหน่อย
"เข้าใจแล้ว เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยสักทีเถอะ เห็นแล้วอยากจะตั้นหน้า"
ผมบอกไปแบบนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้อยากต่อยหน้าอะไรหรอก แต่เห็นแล้วรู้สึกไม่สดชื่น ชีวิตมันหงอยๆ
"ใจร้ายว่ะแฟน ไม่รักกันเหรอหืม"
ถามมาแบบนั้นก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประกบแก้มของผมเอาไว้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเหมือนต้องการกดดันให้ตอบคำถาม ด้วยความที่ไม่อยากบอกรักเพราะเขินเลยโน้มตัวลงไปแล้วประกบปากจูบแทน แฮงค์ดูจะตกใจเล็กน้อยแต่ก็ขบเม้มริมฝีปากผมกลับได้อยากลื่นไหล
"อื้อ พอ"
ผมประท้วงแล้วผละตัวออกมาเพราะแก้มเริ่มร้อนและการรุกล้ำมันเพิ่มขึ้น กลัวว่าตะเกิดอะไรที่เกินความคาดหมาย ใจมันสั่นๆ เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของกันย์แล้วว่ะ
แฮงค์หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากัน เขาขยับมาใกล้และกดปลายจมูกลงบนแก้มของผมแรงๆ แล้วผละตัวออกไปแต่ก้มลงกระซิบข้างหูแทน ทำไมเขาต้องเป็นคนรุ่มร่ามแบบนี้ด้วยนะ ฮึย
"ไม่ต้องกลัวว่าผมจะปล้ำพี่หรอกน่า รอได้ครับ"
แฮงค์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวออกไป ผมหันขวับไปมองอย่างเอาเรื่องก่อนจะง้างมือผลักหัวเขาด้วยความหมั่นไส้ พูดออกมาได้ยังไงเรื่องปล้ำๆ แล้วใครจะยอม รอไปเหอะ รอจนแก่ตายนู่นล่ะ!
"ผลักหัวผมทำไมอะ"
เบะปากใส่กันอีก...
"ไม่ต่อยก็ดีแค่ไหนแล้ว อยากรอก็รอไปเถอะ รอจนแก่ตายไปเลยยิ่งดี"
ผมพูดเสียงดุๆ ใส่แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จังหวะที่กำลังจะก้าวขาออกเดินเพื่อไปหาอะไรเย็นๆ ดับอารมณ์ที่คุกรุ่นก็โดนแขนแกร่งๆ ของแฮงค์รวบเอวเข้าไปกอดอย่างหน้าตาเฉย พอดิ้นแรงรัดก็เพิ่มขึ้นทำให้ผมต้องยืนเฉยๆ และรอว่าเขาจะทำอะไร
"พี่จะใจร้ายกับผมขนาดนั้นได้ลงคอเลยเหรอครับ ถ้าผมมีอารมณ์ขึ้นมาให้ทำยังไงล่ะ"
เสียงกระเง้ากระงอดที่เปล่งออกมานั้นไม่ได้เข้ากับรูปแบบประโยคเลยสักนิด ผมขบกรามแน่นแล้วกระทุ้งข้อศอกเข้าที่หน้าท้องของคนที่ยืนกอดกันไปเต็มแรงจนเขาปล่อยมือออก ผมรีบก้าวเท้าหนีและหันมาแยกเขี้ยวใส่ พูดเรื่องบ้าอะไรออกมาแบบไม่อายปากอีกแล้วว่ะ นี่แฟนผมเป็นคนหื่นขนาดนั้นเลยเหรอ... ชักกลัวแล้วนะเว้ย สวัสดิภาพของชีวิตเริ่มสั่นคลอน
แฮงค์ร้องเสียงหลงแล้วใช้มือทั้งสองข้างกุมท้องตัวเองเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาแสนเจ้าเล่ห์บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดเมื่อครู่ที่ได้รับไป ผมมองเขาโดยไร้ความสงสารใดๆ ทั้งสิ้น ไม่คิดจะเข้าไปโอ๋หรือขอโทษอะไรด้วย ก็ดูพูดออกมาแต่ละอย่างสิ ไม่คิดบ้างหรือไงว่าคนฟังเขารู้สึกยังไง โมโหจนแก้มแดงหูแดงน่ะเข้าใจไหม!
"ก่อนหน้านี้มีอารมณ์แล้วทำยังไงก็ทำแบบเดิมไปนั่นล่ะ อย่าหื่นกามให้มันมากนัก!"
ผมกระแทกเสียงใส่เขาเล็กน้อยแล้วรีบเดินเลี่ยงเข้ามาในห้องครัวเพื่อหาอะไรเย็นๆ กินดับอารมณ์ปั่นป่วน พอเปิดตู้เย็นออกก็เจอเข้ากับไอศกรีมรสมิ้นท์ที่แฮงค์ชอบนักหนาแล้วพาลให้รู้สึกงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าทำไมตอนซื้อของเข้าห้องต้องเผลอหยิบอะไรที่อีกคนชอบติดมาด้วยเสมอ ไม่อยากยอมรับเลยว่าตกหลุมรักเขาจนโง่หัวไม่ขึ้นเนี่ย ถ้ารู้เข้าคงลิงโลดยิ่งกว่าหมาได้กินขนมอะบอกเลย
ผมเลือกที่จะมองข้ามไอศกรีมรสมิ้นท์แล้วหยิบน้ำอัดลมสีดำยอดฮิตมาดื่มแทน ขายาวก้าวออกจากบริเวณครัวแล้วพบว่าแฮงค์ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่างอนหรือดูทีวีต่อกันแน่ แต่พอเดินไปใกล้ๆ กลับพบว่าเจ้าตัวหลับปุ๋ยไปแล้ว ผมหายไปไม่ถึงสิบนาทีเนี่ยนะ... อะไรจะหลับเร็วปานนั้น
"แฮงค์... หลับเหรอ"
ผมนั่งยองๆ ลงกับพื้นแล้วมองใบหน้ายามหลับของเขา ไม่รู้ว่าแกล้งหรือเปล่าเลยลองเอากระป๋องน้ำอัดลมแนบกับแก้ม ผลที่ได้ก็คือเจ้าตัวยังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอแสดงให้เห็นว่าคงเพลียสะสมจากการปั่นงาน ถึงแม้จะปิดเทอมแล้วแต่คณะดิจิทัลอาร์ตก็ยังคงมีงานให้นักศึกษาทำอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย ไอ้เวลาที่ให้หยุดพักแค่สองอาทิตย์นี่ลืมไปเถอะ ไม่ต้องมียังจะดีกว่าอีก
ผมวางกระป๋องน้ำอัดลมลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหยิบผ้าห่มจากในห้องนอนมาคลุมตัวแฮงค์ก่อนทิ้งตัวลงนั่งพิงกับโซฟาอยู่ตรงนั้น ในมือขวามีโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งที่พร้อมหรับการเล่นเกม ส่วนอีกมือเอื้อมไปหยิบรีโมทและดปิดทีวี หางตาเหลือบมองคนที่นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
"หล่อจริงๆ"
ผมพึมพำเบาๆ กับตัวเองก่อนจะหลุดยิ้มออกมา แฮงค์หล่อแม้แต่ยามหลับและรวมถึงช่วงเวลาอื่นๆ ไม่ว่าจะตื่นนอนหัวกะเซอะกะเซิงหรือแม้แต่ทำหน้าตลกก็เถอะ ดูยังไงๆ ก็น่าอิจฉา ถึงตัวเองจะหล่อพอๆ กับเขาก็เถอะ
เวลาช่วงโพล้เพล้เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผมบิดตัวไปทางซ้ายทีขวาทีแล้วลืมตาขึ้นอย่าสะลึมสะลือ ครั้งสุดท้ายก่อนหลับไปจำได้ว่านั่งพิงโซฟาอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมต้องนี้มานอนอยู่ในห้องได้ล่ะ อย่าบอกนะว่า... แฮงค์ลงทุนอุ้มผม ทั้งๆ ที่ขนาดตัวต่างกันแค่เล็กน้อยเนี่ยนะ หลังเดาะไปหรือยังวะ โคตรสงสัยจนต้องลุกขึ้นแล้วเดินโซเซออกไปหาอีกคนที่คาดว่าคงนั่งดูทีวีอยู่ที่เดิม
เรื่องที่คาดหวังเมื่อครู่จางหายไปเมื่อพบว่าโซฟาหน้าทีวีว่างเปล่าแต่ประตูระเบียงถูกเปิดเอาไว้ ผมก้าวขาไปตรงนั้นด้วยอารมณ์กึ่งโมโหกี่งเป็นห่วง จะมาทำตัวติสถ์ตอนไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ตอนฝนเทลงมาแบบนี้ มันน่ากระทืบไหมล่ะ
"แฮงค์ จะไปยืนตากฝนเพื่ออะไร รีบๆ กลับเข้ามาในห้อง"
ผมเรียกคนที่ยืนเงยหน้ามองฟ้าด้วยน้ำเสียงดุๆ อันที่จริงแล้วระเบียงมีกันสาดอย่างดีคงไม่เปียกอะไร แต่กลัวว่าละอองฝนจะทำให้เขาไม่สบายนี่สิ แฮงค์หันมาเลิกคิ้วใส่กันแต่ก็ยอมผละออกจากตรงนั้นแล้วเดินกลับเข้ามาด้านในอย่างว่าง่าย
"ออกไปหาไอเดียอะไรนิดหน่อยครับ"
แฮงค์บอกกันแบบนั้นและผมก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อเพราะเด็กดิจิทัลอาร์ตส่วนมากก็มีอารมณ์ศิลปินอยู่ในตัวแทบจะทุกคน ถึงแม้ว่าจะเป็นพวกโอตาคุเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นก็เถอะ
"อืม... แล้วนี่แฮงค์อุ้มพี่เข้าห้องนอนเหรอ"
ถามออกไปตรงๆ ด้วยความอยากรู้ ทั้งๆ ที่คำตอบมันก็ชัดเจนขนาดนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เขาก็คงแปลกแล้วล่ะ ผมจะละเมอเดินเข้าไปเองก็คงไม่ใช่ด้วย
"เปล่าครับ ผมไม่ได้อุ้มนะ ผมลากเอา"
แฮงค์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มกันอย่างถือวิสาสะ ผมถลึงตาใส่ด้วยด้วยความหงุดหงิด คนเขาอุตส่าห์จะขอบคุณ แต่ดันแกล้งกันซะอย่างนี้ใครเขาจะอยากพูด
"กล้าทำขนาดนั้นเลยเหรอไง"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงดุๆ คราวนี้แฮงค์เป็นฝ่ายหยุดหัวเราะแล้วก้มหัวขอโทษ เออ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครใหญ่
"ขอโทษๆ ผมล้อเล่นครับ อุ้มไปนอนนั่นล่ะ กลัวพี่จะเมื่อยไง นั่งหลับคอพับคออ่อนแบบนั้น"
คำอธิบายยาวยืดหลุดออกมาจากริมฝีปากสีส้มอ่อนนั้น ผมถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตากลังจากตื่นนอน แต่ไม่วายที่แฮงค์จะเดินตามมาและยืนพิงกรอบประตูมองกัน เพื่ออะไรเนี่ย หรืออยากเข้าห้องน้ำ
ผมหันไปมองหน้าเขาพลางขมวดคิ้ว พยักพเยิดหน้าไปทางชักโครกเพื่อเป็นการถามว่าต้องการใช้หรือเปล่า แต่แฮงค์ตอบกลับด้วยการส่ายหัว สรุปว่ามายืนเฝ้ากันล้างหน้าหรือยังไง บางครั้งก็ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำที่ไร้ซึ่งการอธิบายสักเท่าไหร่
"ไม่เข้าห้องน้ำแล้วจะมายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ"
ผมถามก่อนจะกันกลับไปล้างหน้าให้เสร็จเรียบร้อยตามเดิม แฮงค์กระแอมออกมาเล็กน้อยแล้วเริ่มเปิดปากบอกจุดประสงค์ของเขาออกมา
"คืนนี้ไปดูหนังกันปะพี่"
"ห๊ะ คืนนี้เนี่ยนะ ทำไมไม่ไปพรุ่งนี้"
ผมหยุดมือที่กำลังเช็ดหน้าแล้วหันไปมองแฮงค์ด้วยความสงสัย นึกสนุกอะไรจะไปดูหนังตอนกลางคืนแบบนี้ แล้วไม่ไปทำงานที่ร้านหรือยังไงกัน
"ไปเดทกันนะ"
เขาไม่ตอบคำถามของผมแต่เปลี่ยนเป็นชวนเดทแทน ไอ้ความสงสัยกลับกลายเป็นความร้อนวูบวาบบนใบหน้า จะว่าไปหลังคบกันก็ไม่ได้ไปเดทอย่างคนเป็นแฟนกันสักที แต่ทำไมต้องไปกลางคืนด้วยวะ เพราะอากาศดีกว่าตอนกลางวันเหรอ
"เออ ไปเดทอะได้ แต่ทำไมเลือกเวลานี้ แล้วแฮงค์ไม่ไปทำงานที่ร้านเหรอ"
ผมถามแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำและยืนเผชิญหน้ากับเขาโดยพิงกรอบประตูอีกด้าน แฮงค์เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะคลี่ยิ้มแห้งๆ ส่งมาให้แถมยังขยับมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา ท่าทางเหมือนเหตุผลที่มีจะเป็นเรื่องไร้สาระแน่ๆ
"ก็แบบ... อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ขับรถเปิดประทุนบ้างอะ โรแมนติกดีออกนะแฟน"
ท้ายประโยคใช้เสียงออดอ้อนกันอย่างไม่ปิดบัง ผมถึงกับไปไม่เป็นเมื่อได้ยินเหตุผล เอาจริงๆ ซื้อรถมาก็ไม่เคยได้เปิดประทุนแล้วขับรถเล่นอะไรเลยสักครั้ง ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันทำแบบนั้นได้... ก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นต้องไปดูหนังปะวะ
“ไปขับรถเฉยๆ ไม่ต้องดูหนังได้ปะ พี่ขี้เกียจ”
ผมพูดออกไปตามความจริงแล้วได้การพยักหน้าตอบรับกลับมา อะไรที่เขาตามใจกันได้ก็จะทำ อันไหนที่ตามใจไม่ได้จริงๆ ก็จะดื้อทำให้ได้
ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งรถเล่นกินลมชมวิวในเวลาสามทุ่มเกือบสี่ทุ่มเพราะจราจรไม่ค่อยติดขัด แฮงค์เป็นคนอาสาขับรถโดยที่ผมบอกให้เขาเบาๆ เท้าที่เหยียบคันเร่งบ้าง สายลมเย็นๆ ที่ปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นอยู่ไม่น้อย แต่สภาพหัวไม่ต้องพูดถึงเลยยุ่งเหยิงจนไม่เป็นทรง
“ลมเย็นดีเนอะ”
ผมพูดขึ้นเสียงดังเล็กน้อยเพราะต้องแข่งกับสายลมที่ปะทะเข้ามา รอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากแสดงให้เห็นถึงความพอใจของตัวเอง อาจจะเป็นเพราะคนข้างๆ เป็นส่วนประกอบของความสุขครั้งนี้ด้วยก็เป็นได้ จะว่าไปผมก็ไม่เคยมีโมเม้นท์นั่งรถกินลมชมวิวกับใคร
มาก่อนเลยนะ ถือว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
แฮงค์หันมามองกันครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ปากหยักก็ฮัมเพลงรักแสนหวานไปด้วย จากที่คิดว่าลมเย็นแล้วไม่ได้ช่วยให้แก้มหายร้อนได้เลยแต่อย่างใด ทำไมต้องเขินทุกอย่างทุกการกระทำของไอ้เด็กคนนี้ด้วยวะเนี่ย ภูมิคุ้มกันเริ่มบกพร่องแล้วไหมล่ะ ต่อต้านอะไรไม่ได้สักอย่าง เอะอะเขิน เอะอะทำตัวไม่ถูก เหนื่อยเว้ย
“จะมีเพียงเธอ รักเพียงแต่เธอ โอบกอดเธอด้วยรัก รักที่ห่วงใย ~”
“มีความสุขจังนะ”
ผมกระแนะกระแหนด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ แฮงค์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะละมือจากพวงมาลัยมากุมมือกันไว้ พอจะดึงมือตัวเองกลับก็โดนบีบเอาไว้ซะแน่น มันอันตรายไม่รู้หรือไง... อันตรายต่อหัวใจผมเนี่ย เต้นเอาๆ จนจะทะลุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว จากที่คิดว่าคนอย่างเขาไม่สามารถหวานกับใครได้คงคิดผิดถนัด ก็การกระทำตอนนี้มันฟ้องนี่หว่า ถึงจะดุเหมือนคู่รักชายหญิงไปหน่อย แต่มันก็ดีอยู่เหมือนกัน
“ก็บรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตแล้วนี่ครับ”
เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข ดวงตาคมเป็นประกายวิบวับยืนยันคำพูดของตัวเองว่าเป็นความจริง ผมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของแฮงค์แล้วเผลอหลุดยิ้มออกมาซะอย่างนั้น เป้าหมายสูงสุดของชีวิตอย่างนั้นเหรอ มันคืออะไรล่ะ แล้วทำไมต้องน่ายินดีจนยิ้มไม่หุบจนเหงือกแห้งขนาดนั้นด้วยนะ
“เป้าหมายอะไรล่ะ”
ถามกลับไปด้วยความอยากรู้แล้วใช้มือข้างที่ว่างเสยผมตัวเองขึ้นแล้วหันกลับไปมองสารถีประจำตัว เห็นผมที่พลิ้วไหวไปตามลมของแฮงค์แล้วอยากจับมันจุกชะมัดคงน่ารักไม่หยอก ถ่ายรูปลงกรุ๊ปหนุ่มฮอตของมหา’ลัยยอดไลค์คงพุ่งกระฉูดแหงๆ แต่ไม่ทำหรอกเพราะผมหวงแฟนน่ะ ไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายมากนัก
“ได้เป็นแฟนกับพี่ข้าวครับ”
ตอบออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนเป็นการบอกเล่าชีวิตประจำวันทั่วไปแถมยังหันมาคลี่ยิ้มหล่อๆ ให้กันอีก คิดว่าผมจะต้านทานอะไรได้นอกจากต้องหลบตาและนั่งฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นหนักๆ เขาจะทำให้ผมเขินไปถึงไหนถึงจะพอใจ ต้องให้ไข้ขึ้นเลยหรือเปล่านะ สงสัยจนไม่มีแรงจะดึงมือที่โดยเกาะกุมออกแล้ว
“โอเว่อร์ไม่มีใครเกินจริงๆ เลยว่ะ”
ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเบนสายตามองวิวข้างทางทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยด้วยซ้ำ ปากบางค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้งและมันเป็นยิ้มที่กว้างพอให้คนอื่นๆ คิดว่าบ้าได้ง่ายๆ ก็มันกลั้นไม่อยู่แล้ว มีความสุขจนล้น คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคนๆ นี้ให้อยู่ข้างๆ กัน
ผมเคยถามเขาว่าช่วงปิดเทอมไม่กลับบ้านบ้างเหรอแล้ววันนี้ก็ได้คำตอบว่าไปหาพ่อแม่ด้วยกันนะ... สตั้นไปเกือบห้านาทีและขัดขืนอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็โดนลากออกมาจากคอนโดจนได้เพราะลูกอ้อนของแฮงค์นั่นล่ะ บรรยากาศภายในรถตอนนี้ก็สบายๆ ไม่ได้อึดอัดอะไร เสียงเพลงเพราะๆ ดังคลอไปเรื่อยๆ แต่เป็นตัวผมเองที่เอาแต่วิตกกังวลคิดกลับไปกลับมาว่าควรวางตัวยังไงดี คบกับใครก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเราทั้งคู่เป็นผู้ชายกับผู้ชาย ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นเขาจะยอมรับ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกชะตากันหรือเปล่า... เครียดว่ะ ไม่อยากโดนกีดกัน
ไม่รู้ว่าเพราะผมทำหน้าเครียดหรือนั่งเงียบจนเกินไปแฮงค์เลยใช้นิ้วเรียวๆ จิ้มเบาๆ ลงบนแก้มเพื่อเรียกสติ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า
“ขมวดคิ้วแน่นเลยพี่ เครียดเหรอ”
แฮงค์ยิงคำถามที่แทงใจดำจนผมสะอึก ก็เครียดอยู่จริงๆ นั่นล่ะ คิดมากจนสมองแทบแตก ถ้าเป็นสายตาคนอื่นจะไม่แคร์อะไรเลย นี่ต้องเจอสายตาของพ่อกับแม่แฟน... เป็นอะไรที่น่ากลัวสุดๆ แล้ว
“อือ เครียดดิ ไปเจอพ่อแม่นะไม่ใช่ไปเจอเพื่อนจะได้เฮฮา”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเครียดๆ แล้วใช้นิ้วมือนวดระหว่างคิ้วของตัวเองไปมาหวังจะผ่อนคลายแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยจนแฮงค์ต้องคว้ามือของผมไปกุมไว้
“ไม่เครียดดิพี่ข้าว พ่อกับแม่เขารับเรื่องพวกนี้ได้ ผมรักใครเขาก็พร้อมจะรักด้วยอยู่แล้ว”
แฮงค์พูดปลอบโยนกันแล้วบีบกระชับมือให้แน่นขึ้น ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ มันไม่เสมอไปที่พ่อแม่จะถูกใจแฟนของลูกตัวเองสักหน่อย รับเรื่องพวกนี้ได้ก็ไม่ได้หมายความว่ารับตัวผมได้ อายุก็มากกว่าตั้งหลายปี... เฮ้อ
“พวกท่านอาจจะไม่ชอบพี่...”
ผมพูดเสียงเบาเพราะรู้สึกจุกไปหมด ระยะทางก็ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหัวใจจะหยุดทำงานลงตรงนี้
“พี่ข้าว... ถ้าพ่อกับแม่เกิดไม่ชอบพี่ขึ้นมาจริงๆ ผมก็จะพยายามทุกวิถีทางใช้พวกเขาชอบพี่ให้ได้”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้ผมเบาใจไปนิดหน่อย เขาพยายามแล้วผมก็ต้องพยายามเหมือนกัน รักครั้งนี้จะไม่มีทางพังแน่ๆ เอาหัวเป็นประกันเลย
“พี่ก็จะทำให้พวกท่านชอบพี่ให้ได้”
ต่อด้านล่างเนอะ