♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)  (อ่าน 82521 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
«ตอบ #60 เมื่อ10-12-2016 20:53:29 »

กลิ่นหอมของผัดผักรวมกระจายไปทั่วห้องครัว แฮงค์เป็นคนหุงข้าวและตักข้าวใส่จานสำหรับสองที่เรียบร้อยแล้ว เรานั่งกันคนละฝั่ง ในมือมีอาวุธพร้อมกิน ผมพยักพเยิดหน้าให้เขาลงมือกินก่อนเพราะอยากรู้ว่าจะอร่อยถูกปากหรือเปล่า แต่เมื่อน้องตักกับข้าวใส่จานผมจึงสังเกตเห็นว่าเขาเขี่ยมะเขือเทศทิ้งว่ะ

“ไม่กินมะเขือเทศเหรอ”
ถามออกไปทั้งๆ ที่ตายังจ้องเขม็งไปที่ร่างสูง น้องชักงักมือที่ถือช้อนอยู่แล้วพยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นก็เคลื่อนช้อนเข้าปากอีกครั้ง ปากหยักเคี้ยวอาหารหงุบหงับจนผมเผลอกระตุกยิ้ม จะเป็นอะไรไหมที่คิดว่าน้องมันเคี้ยวข้าวแล้วดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ แก้มป่องๆ โคตรน่าดึงเลย

“พี่ข้าว... อร่อยว่ะ”
น้องพูดหลังจากกลืนอาหารลงคอจนหมดด้วยดวงตาเป็นประกาย ผมหลุดหัวเราแล้วแกล้งตักมะเขือเทศใส่จานให้ แล้วบังคับให้เขากิน ใบหน้าร่าเริงหม่นลงทันที มองหน้าผมสลับกับผักในจานอยู่นานก่อนจะตัดสินใจตักมันขึ้นมาแล้วงับกลืนทันทีโดนไม่เคี้ยว น่าฟาดให้หน้าทิ่มจานไหมล่ะ! ผมถลึงตามองก่อนจะใช้มือฟาดเขาที่แขนเขาจริงๆ มันจะเกินไปแล้ว

“เคี้ยวสิวะ เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก อะไรจะทำท่าไม่ชอบมะเขือเทศขนาดนั้น”
ผมพูดเสียงดุ แฮงค์เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วพูดอะไรงึมงำอยู่คนเดียว แต่มีหรือคนที่นั่งใกล้ขนาดนี้จะไม่ได้ยิน

“พี่ข้าวดุอะ มะเขือเทศมันเนื้อหยึ๋ยๆ เลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”

“อืมๆ งั้นไม่ต้องกิน”
ผมบอกก่อนจะเลือกตักมะเขือเทศใส่จานตัวเองแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ แฮงค์ระบายยิ้มหวานก่อนจะลงมือกินเช่นกัน ระวังตัวไว้เถอะวันไหนจะปั่นน้ำมะเขือเทศเพียวๆ ให้กินจนอ้วกแตกตายไปเลย ของมีประโยชน์ขนาดนี้ไม่กินเสียดายแย่

หลังจากอิ่มกันเรียบร้อยก็พาอีกคนมานั่งเล่นที่ชายคาบ้าน พร้อมกับไอ้บับเบิ้ลที่วิ่งเข้ามาใช้หัวใหญ่ๆ วางเกยตักแฮงค์อย่างหน้าตาเฉย หึ... คราวนี่เมินกูเลยนะไอ้หมาเห็นคนหล่อกว่าหน่อยไม่ได้ เจ้าของตักสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเอื้อมมือลูบหัวมันเบาๆ เจ้ายักษ์เคลิ้มส่ายหางไปมาอย่างร่าเริง มองๆ ไป เหมือนมีหมาซามอยด์อยู่ในบ้านสองตัวเลยว่ะ

“น่ารักนะเนี่ย นี่พันธุ์ซามอยด์หรือสปิตซ์ครับ”
ถามในขณะที่ตัวเองยังลูบขนไอ้บับเบิ้ลไปเรื่อย ดูท่าทางจะชอบหมาเป็นพิเศษด้วยนะเนี่ย ตาเป็นประกายเชียว แล้วเรื่องอะไรที่ผมมานั่งสังเกตแฮงค์ล่ะเนี่ย เฮ้อ นับวันตัวเองยิ่งทำอะไรแปลกๆ

“ซามอยด์น่ะ”
ผมตอบกลับไปแล้วดีรับรอยยิ้มกลับมาจากทั้งคนและหมา พันธุ์สปิตซ์ที่ถูกแฮงค์ถามถึงคือหมาที่ได้รับการผสมข้ามสายพันธุ์อย่างซามอยด์กับไซบีเรียนเพื่อให้มีขนาดเล็กลง สังเกตได้จากใบหน้าจะเหมือนซามอยด์ทุกกระเบียดนิ้วแต่รูปร่างจะเหมือนไซบีเรียน นิสัยและการดูแลก็จะคล้ายๆ กัน เป็นหมาที่มีพลังงานเยอะทั้งสามสายพันธุ์เลยล่ะ

“พี่ข้าว ผมว่าไอ้ยักษ์มีกลิ่นตุๆ ล่ะครับ อาบน้ำให้มันดีไหม”

“เอาสิ เดี๋ยวพี่อาบให้เองก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง พี่ข้าวนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
แฮงค์ยิ้มให้ก่อนจะอุ้มเจ้ายักษ์ไว้ในอ้อมกอด คือ... ใช้สายจูงก็ได้มั้งไม่เห็นต้องเอาอกเอาใจกันขนาดนี้เลยเว้ย ไม่ใช่ว่าติดใจหมาผมหรอกนะ

“จะดีเหรอ มาเป็นแขกแต่จะอาบน้ำให้หมาพี่เนี่ยนะ”
ถามออกไปก่อนจะเหล่สายตามองคนที่ยกยิ้มหล่อมาให้กัน เจ้าตัวไม่ตอบแต่พาไอ้ยักษ์ไปที่ลานหน้าบ้านตรงสายยางรดน้ำต้นไม้ ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วหยิบโซ่กับแชมพูหมาไปให้เขาแทนแล้วเดินไปนั่งหลบร้อนที่เก้าอี้ในสวนแทน

มองคนกับหมาเปียกปอนไปพร้อมกันทั้งคู่แล้วอดหัวเราะไม่ได้ ด้วยความที่บับเบิ้ลตัวใหญ่และสามารถโถมร่างกายใส่แฮงค์จนล้มทั้งยืนได้เลยทำให้คนลำบากอยู่พอตัว แต่เสียงหัวเราะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ มีบางครั้งที่หันมาทางนี้แล้วส่งยิ้มให้ และเป็นผมเองที่ยิ้มตอบกลับไปก่อนจะยกโทรศัพท์ที่ถือติดตัวมาด้วยกดถ่ายรูปตรงหน้าเก็บเอาไว้ ความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยมีร่วมกัน

จะส่งรูปให้หลังจากนี้ก็แล้วกันนะ

หลังจากแฮงค์อาบน้ำให้บับเบิ้ลเรียบร้อยแล้วยังอาสาเป่าขนให้อีกด้วย ได้ใจกันไปเต็มๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ผมเลยได้แต่เดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองให้เขาเปลี่ยนก่อนเพราะรอเสื้อผ้าแห้ง กันย์ลงมาจากชั้นบนด้วยสภาพสะโหลสะเหล่เล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่พอเห็นเพื่อนก็โถมตัวใส่เข้าเต็มๆ จนล้มทั้งยืนลงบนโซฟา ถ้าลงพื้นคงได้มีมวยระหว่างเพื่อนสนิทบ้างล่ะ

“ไอ้เหี้ยกันย์ ทำอะไรของมึงวะ ถ้าหัวแตกขึ้นมาจะทำยังไง!”
เสียงแฮงค์โวยวายดังลั่นจนกลัวว่าจะทำให้พี่ต้นตื่นขึ้นมาแหกอก ผมเลยตรงเข้าไปปิดปากทั้งที่น้องกันย์ยังนอนทับเขาอยู่แบบนั้น หาเรื่องตายแล้วไหมล่ะชีวิต

“เบาๆ สิวะ พี่ต้นนอนอยู่ข้างบน”
ผมบอกเสียงเบาราวกับกระซิบ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ไปทำไม เพราะถ้าพี่ต้นรู้ก็แค่โดนด่าล่ะมั้ง แต่กลัวแฮงค์โดนไล่ออกจากบ้านมากกว่า กันย์หัวเราะหึหึก่อนจะลุกขึ้นแล้วไหลลงไปนั่งกับพื้นด้วยสภาพดูอิดโรยแปลกๆ ชักสงสัยแล้วสิว่าพี่ต้นทำอะไรน้อง

แฮงค์ลุกขึ้นนั่งด้วยหน้าตาตื่นๆ ก่อนจะก้มหัวขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ แต่น่าแปลกที่พี่ต้นไม่ออกมาจากห้อง สงสัยจะหลับลึกเพราะพิษไข้หรือเหนื่อยจากอย่างอื่นวะ ทำไมชอบคิดอกุศลอยู่เรื่อยเนี่ยกู ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วสะกิดให้กันย์ขึ้นมานั่งอีกฝั่ง เท่ากับว่าตอนนี้ผมอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสนิทสองคน ส่วนเจ้าหมาตัวหอมฉุยวิ่งหายเข้าในกรงเพื่อเล่นของเล่นเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมสภาพเป็นแบบนั้นวะกันย์ ไปมุดอะไรมาหัวโคตรยุ่ง”
เป็นแฮงค์ที่ยิงคำถามใส่เพื่อนสนิทก่อน กันย์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะทิ้งหัวลงมาซบกับไหล่ของผม ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแต่มันหนักนิดหน่อยและไม่ค่อยชิน แล้วถ้าพี่ต้นลงมาเห็นคงเกิดสงครามเย็นกันบ้างล่ะ รายนั้นขี้หึงอยู่นะ

“นอน เพิ่งตื่น”
คำตอบสั้นๆ มาพร้อมกับการหาวหวอดตามมา ดวงตาสวยๆ ปรือลงอีกครั้งเหมือนคนที่ยังไม่ตื่นเต็มตาแต่โดนปลุก แฮงค์ขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็รู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทำไมอีกคนไม่ตื่นด้วยล่ะวะ

“นอนกับพี่ต้นอะนะ”
เป็นผมที่ถามต่อ กันย์พยักหน้ารับแล้วหาวออกมาอีกครั้ง

“อือ เขาลากผมไปนอนกอดอะ รู้สึกว่าร้อนมากเลยตื่น พี่เขาไข้ขึ้น ผมว่าจะลงมาเอากะละมังไปใส่น้ำเช็ดตัวให้สักหน่อย”
เสียงกันย์อู้อี้จนผมเริ่มเป็นห่วง ถ้าตื่นไม่เต็มตาก็คงเผลอติดไข้จากพี่ต้นไปแล้วล่ะมั้ง ไม่นานเท่าไหร่ความคิดก็ต้องชะงักเมื่อเสียงจามดังขึ้นข้างหู ผมว่าน้องควรจะพักมากกว่าจะขึ้นไปดูแลพี่ต้นต่อนะ

“พี่ว่าเรากลับบ้านไปพักดีกว่านะ ดูเหมือนจะติดไข้จากพี่ต้นแล้ว”

“นั่นสินะ... แต่ยังไม่อยากกลับเลยว่ะ พี่ต้นไข้ขึ้น”
น้องพูดแบบนั้นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาได้ไม่ยากก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวทุยเบาๆ จะน่ารักเกินไปแล้วว่าที่น้องสะใภ้เนี่ย แค่กๆ ผมพูดอะไรผิดเหรอวะ

“มึงควรกลับนะ เดี๋ยวก็ป่วยหนักกว่าพี่ต้นหรอก”
แฮงค์ช่วยพูดอีกแรงจนเพื่อนยอมพยักหน้าและลากลับบ้านไป ส่วนผมขอบคุณน้องที่มาช่วยดูแลพี่ต้นและขอทาในความเอาแต่ใจของเขาด้วย หลังจากนั้นก็เตรียมกะละมังและผ้าขนหนูเพื่อจะขึ้นไปด้านบน

“จะกลับเลยหรือเปล่า ถ้ายังก็นั่งรอไปก่อนเดี๋ยวพี่ลงมาหา”
ผมบอกตอนที่ตัวเองก้าวขาขึ้นบันไดมาได้สองก้าวแล้วเอี้ยวตัวกลับไป แฮงค์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเดินมาหากัน

“เดี๋ยวผมกลับเลยแล้วกันครับพี่ข้าวจะได้ดูแลพี่ต้นได้เต็มที่ ยังไงก็ของให้เขาหายไวๆ นะ”
แฮงค์บอกลาแล้วหันหลังเดินไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะออกไปยังหันมายิ้มให้กันอีก สายตาดูอาลัยอาวรณ์แปลกๆ ส่วนไอ้บับเบิ้ลรีบออกมาส่งกันซะอย่างนั้น หลงเจ้านายแล้วหรือเปล่าวะนั่น

ผมขึ้นไปที่ห้องพี่ต้นแล้วลงมือเช็ดตัวให้เขา ตัวร้อนขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก ถ้าคืนนี้ไข้ไม่ลดผมคงต้องขอแรงลุงทัชช่วยแบกยักษ์ปักหลั่นไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ จะให้พี่หมอจับฉีดยาซะให้เข็ดเลย หลังจากปรนนิบัติคุณชายเขาเรียบร้อยก็ลากสังขารลงมาที่ห้องทำงานต่อเพื่อจะลงมือตรวจงานนักศึกษาที่ดองไว้ร่วมอาทิตย์ ก็ยุ่งอยู่กับโปรเจ็คเกมโทรศัพท์ตัวใหม่นั่นล่ะ

งานนับร้อยแผ่นถูกยกออกมาวางตรงหน้า ผมเริ่มตรวจงานไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ต้องขมวดคิ้วกับตัวละครหน้าตาแปลกประหลาด บางครั้งก็หลุดขำเมื่อมันมีหน้าตาตลก บ้างครั้งยิ้มกว้างเพราะมันสวยหรือน่ารัก บางครั้งทำหน้ายักษ์เพราะเจองานกวนตีน หลังจกผ่านไปเกือบครึ่งกองก็หยุดพักบิดตัวไล่ความเมื่อย แต่งานที่รอตรวจอยู่แผ่นบนสุดกับรั้งสายตาได้เป็นอย่างดี มุมกระดาษเอสี่เขียนชื่อและรหัสนักศึกษาไว้เรียบร้อย ‘นายปรานต์ อัศวะชาญชัย’ มันเป็นรูปแมวเหมียวที่มีการออกแบบผสมเข้ากับต้นข้าว... คำอธิบายบอกว่า ได้แนวคิดจากแมวและต้นข้าว อยากออกแบบมันให้น่ารักเหมือนพี่ข้าว... ไอ้เด็กบ้าเอ้ย นี่คือวิธีจีบแบบเนียนๆ ของมันหรือยังไงวะ หลุดยิ้มออกไปจนได้ บ้าไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ




----------------------------------------------------

แฮงค์นี่... จู่โจมพี่ข้าวหนักขึ้นทุกวัน แต่พี่เขาก็ไม่เฉยนะเออ เอาคืนบ้าง หึหึ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
«ตอบ #61 เมื่อ10-12-2016 21:28:37 »

แฮงค์จะเข้าทางบับเบิ้ลหรอ 5555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
«ตอบ #62 เมื่อ10-12-2016 22:05:42 »

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
«ตอบ #63 เมื่อ10-12-2016 22:32:32 »

จีบให้ติดนะแฮงค์ เราเชียร์อยู่ อิอิ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 7 -P.2- (10.12.2016)
«ตอบ #64 เมื่อ12-12-2016 01:51:50 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #65 เมื่อ17-12-2016 09:00:34 »

เมาครั้งที่ 8




เช้านี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านๆ มา ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแปลกใจ พอๆ กับงานโปรเจ็คเกมโทรศัพท์มือถือที่กองพะเนินเต็มไปหมดเช่นกัน งานสอนที่มหาวิทยาลัยผ่านไปด้วยดี ติดขัดบ้างเล็กน้อยเพราะผมไม่ใช่มืออาชีพหรือวิทยากรให้ความรู้อะไรเถือกนั้น โดนส่วนตัวแล้วในวันพุธแบบนี้จะชอบหมกตัวอยู่ในกองผ้านวมจนเวลาล่วงเลยไปตอนเก้าโมงถึงจะลุกขึ้นจากเตียง ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แค่กำหนดความขี้เกียจส่วนตัวไว้แบบนั้น

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากหัวเตียงมาเลื่อนปลดล็อกหน้าจอด้วยความเคยชิน แจ้งเตือนมากมายจากหลายแอพพลิเคชั่นแน่นเอี๊ยดจนต้องพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายเล็กๆ ส่วนมากจะมาจากไลน์กลุ่ม ไม่รู้จะคุยอะไรกันนักหนาเรื่องชาวบ้านเนี่ย ทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดเข้าไปอ่านข้อความแชทของใครบางคนที่อยู่ด้านบนสุด มันเพิ่งถูกส่งมาเมื่อห้านาทีที่แล้วซึ่งนับว่าไม่นานมากนัก รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก

แฮงค์
 ⁃ อรุณสวัสดิ์ครับพี่ข้าว ตื่นหรือยัง 08:18
 ⁃ วันนี้มีซ้อมโยนขวดหลังเลิกเรียนด้วยโคตรขี้เกียจเลย 08:30
 ⁃ หาว ~ ตื่นแล้วทักผมหน่อยนะครับ 08:45


เพิ่งรู้ว่าเจ้าตัวส่งมาตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ ก็ตอนที่เปิดเข้าไปอ่านนี่ล่ะ เดี๋ยวนี้แฮงค์เพิ่มสกิลการสร้างความสนิทสนมโดยเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของตัวเองเล็กๆ น้อยๆ แทรกบทสนทนา ผมไม่ได้มองว่าน่ารำคาญหรอก เพราะมันออกจะน่ารักมากกว่าด้วยซ้ำ

เรื่องเงินค่าแผ่นเกมนั่นสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้จ่ายเพราะลืมสนิท จนต้องไลน์มาขอเลขบัญชีแล้วโอนเงินให้แทน ผมหัวเราะกับความโก๊ะเปิ่นของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็เผลอคิดไปว่าเจ้าแฮงค์ไม่ได้ตั้งใจอะไรกับเรื่องเงินหรอกแต่อยากมาเจอผมมากกว่า... เด็กมันร้ายหรือผมคิดมากไปก็ไม่รู้นะ แต่ช่างมันเถอะ เพราะคิดแล้วก็ได้แต่สงสัย จะเอากลับไปถามทั้งที่ผ่านมาหลายอาทิตย์มันก็แปลกๆ

ผมอ่านทวนข้อความอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไปแบบกวนเล็กน้อย เพราะต้องการแกล้งคนที่ส่งข้อความหากันแต่เช้าขนาดนั้น... ตอนนี้คงกำลังเรียนหรือไม่ก็นั่งสัปหงกอยู่ในห้องแน่ๆ

ข้าว
-   ยังไม่ตื่น... ทำไมส่งไลน์มากวนกันตั้งแต่เช้าเนี่ย 08:51
-   ซ้อมแข่งบาร์เทนเดอร์อะเหรอ ระวังคิ้วแตกอีกนะ 08:51

หลังจากกดส่งข้อความไปเรียบร้อยแล้วผมก็วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยแล้วใช้แขนทั้งสองข้างยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน สองขาก้าวลงสัมผัสพื้นห้องเย็นเฉียบเพราะโดนลมจากเครื่องปรับอากาศมาทั้งคืน ผมเดินไปเปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียง มองลงไปด้านล่างจะเจอพี่ส้มวิ่งเล่นกับบับเบิ้ลอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ลุงทัชก้มๆ เงยๆ อยู่ในสวนอย่างเช่นทุกวัน ชีวิตของทุกคนดูเรียบง่ายไร้ความกังวล แต่ผมนี่สิ... งานรออยู่เพียบ กำลังจะหันหลังกลับเพื่อไปอาบน้ำ แต่คนที่โผล่มาตรงหน้าประตูรั้วทำให้ชะงักทันที ไอ้จุ้นมาทำอะไรวะนั่น

มันยืนคุยกับพี่ส้มอยู่สักพักหลังจากขับรถเข้ามาจอดในตัวบ้านก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาที่ชั้นสองซึ่งผมยังคงยืนอยู่ ไอ้จุ้นส่งยิ้มกว้างให้กันแล้วกวักมือเรียก ทำอย่างกับผมกระโดดลงไปหาได้อย่างนั้นล่ะ ประสาท

“ลงมาหากูหน่อย กระโดดลงมาๆ”
มันพูดเสียงกลัวหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนประสาทมาให้กัน พี่ส้มถึงกับอ้าปากหวอแล้วตีมือลงบนต้นแขนแกร่งนั่นโทษฐานเล่นอะไรไม่เข้าท่า ผมได้แต่ยิ้มเยาะเพราะแอบซะใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะยกนิ้วกลางให้ไปแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องนอนเพื่อลงไปหาเพื่อนสนิท

“มาทำไม”
คำแรกที่ถามเมื่อเห็นว่าไอ้จุ้นนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นด้วยท่วงท่าสบายๆ มันหันมามองกันก่อนจะเชิญชวนให้ผมนั่งลงข้างๆ แต่ด้วยความที่ผมยังไม่อาบน้ำ ก็เลยไม่อยากให้เพื่อนพิสูจน์กลิ่นเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็เลยเลือกนั่งโซฟาเดี่ยวแทน

“รังเกียจกูเหรอ นั่งซะห่าง”
มันเหล่ส่ายตามามองกันก่อนจะเบะปากลงจนเป็นเส้นโค้ง ผมส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาก่อนจะใช้มือผลักหน้าแสนงอนนั่นออกไปไกลๆ เห็นแล้วรำคาญลูกตาชะมัด

“กูยังไม่ได้อาบน้ำ เข้าใจยัง ไม่ใช่รังเกียจ”
ผมบอกออกไปแล้วขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้นั่งสบายขึ้นกว่าเดิม ไอ้จุ้นย่นจมูกใส่กันแล้วทำท่าทางรังเกียจทันที มันน่าถีบให้กระเด็นออกจากบ้านไหมล่ะแบบนั้น

“ตกลงว่ามาทำไมตั้งแต่เช้า”
ผมถามอีกครั้งแล้วจ้องมันเขม็งเพราะอยากรู้คำตอบ ความจริงแล้ววันนี้เวลานี้ไอ้จุ้นต้องอยู่ที่ออฟฟิศแล้วปั่นงานของมันไปสิ อีกไม่นานก็จะมีการจัดประกวดออกแบบตัวละครอยู่แล้ว ส่วนงานกราฟิกทั้งหลายแหลก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้วเหมือนกัน กำหนดออกตัวเกมแบบทดสอบประมาณปลายปี

ไอ้จุ้นนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ดูท่าทางแล้วคงลืมธุระที่มีกับผมอย่างแน่นอน แต่ไม่นานนักมันก็หันขวับมองหน้าผมแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้จนเกือบตกโซฟา เดือดร้อนต้องเอาเท้ายันหัวเข่ามันเอาไว้อีก ปวดหัวแทนไอ้พีชที่เลือกมันเป็นแฟนจริงๆ ทำอะไรดูดีกับเขาบ้างหรือเปล่าวะ วันๆ เอาแต่ทำเรื่องบ้าบออยู่ได้

“พี่ต้นส่งกูมาเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าชายการิน”
มันฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วทำท่าวันทยาหัตถ์ใส่กันเหมือนพวกทหาร ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วใช้ปลายเท้าแตะเข้าที่หน้าแข้งของเพื่อนสนิท ทั้งด้วยความหมั่นไส้และความหงุดหงิดเล็กน้อย พี่ต้นส่งไอ้จุ้นมาเฝ้าผมอีกทำไมกันเนี่ย ก็ไม่ได้จะออกไปเจอใครที่ไหนสักหน่อย แค่ต้องออกไปค้างคืนที่คอนโด เพราะวันพฤหัสตอนสิบโมงมีประชุมอาจารย์ที่คณะก็แค่นั้นเอง ส่งมาคุมกันแต่เช้าแบบนี้คืออะไรวะ

ไอ้จุ้นร้องโอดโอยแล้วใช้มือกุมหน้าแข้งตัวเองเอาไว้ ใบหน้ากวนๆ ของมันเหยเกเหมือนกับเจ็บมากมายทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เตะแรงอะไรขนาดนั้น โรคสำออยคงกำเริบ แต่เก็บไว้ใช้กับเมียเถอะ ใช้กับคนอื่นไม่ได้ผลหรอก ดูน่าหมั่นไส้ทวีคูณจนอยากกระทืบให้จมดินด้วยซ้ำ

“กูไม่ได้จะไปรบกับใคร ไม่จำเป็น กลับไปทำงานไป”
ผมออกปากไล่เพื่อนอย่างไม่แยแส ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยมีเพื่อนเกาะติดทั้งๆ ที่มันไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ ไม่รู้เมื่อไหร่พี่ต้นจะเลือกหวงผมแล้วเปลี่ยนไปหวงกันย์สักทีก็ไม่รู้ ไอ้จุ้นทำเสียงฮึดฮัดแต่ก็ไม่ยอมลุกไปไหน เชื่อว่าคงได้รับอนุญาตให้ออกมาทั้งๆ ที่ไม่เสียวันลาแน่ๆ ประธานบริษัทเป็นคนใช้มันทำงานนอกเองนี่

“คิดว่ากูกลับไปทำงานได้หรือไง พี่ต้นคงเอาปืนยิงกูตายห่าพอดี”

“งั้นก็กลับบ้านไปเลี้ยงไอ้ดุ๊กดิ๊กซะ”

“ไม่เอ๊า ให้กูอยู่กับมึงเถอะนะ แล้วตอนเที่ยงออกไปหาอะไรกินกัน”
ไอ้จุ้นพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทั้งสายตาทั้งท่าทางจนผมได้แต่ทำท่าขยะแขยงแล้วตอบรับมันไปแบบส่งๆ ขี้เกียจจะเถียงกับมันให้ยืดยาว รู้ตัวดีว่าสุดท้ายคงใจอ่อนให้เพื่อนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในบ้านอีกตามเคย ที่ไล่มันกลับบ้านไปก็แค่อยากแกล้งเท่านั้นล่ะ สงสารเหมือนกันนะคนไม่ชอบแมวแต่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับแมว... ขนาดยักษ์ ตัวใหญ่กว่าหมาของผมอีกมั้ง

“มึงนี่น่ารักตลอด ให้กูหอมแก้มหน่อยสิ”
มันพูดเสียงทะเล้นแล้วพุ่งเข้ามาหาจนผมต้องใช้เท้ายันช่วงท้องเอาไว้ ใบหน้าของไอ้จุ้นเหยเกเพราะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่สำเร็จ แต่แทนที่มันจะยอมแพ้แล้วกลับไปนั่งให้ดีๆ เปล่าเลย ยังยืนยักแย่ยักยันกับผมอยู่เหมือนเดิม คือกูเมื่อยขาเว้ยไอ้เชี่ยนี่

   “ไอ้เหี้ย ถอยออกไปกูเมื่อย ไปหอมแก้มไอ้พีชโน่น อย่ามารุมร่ามกับกู!”
   ผมตวาดเสียงดังแล้วยันเท้าใส่หน้าท้องมันอีกครั้ง ไอ้จุ้นผงะถอยหลังแล้วลงไปนั่งคุยกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย สมน้ำหน้า สะดุดขาตัวเองล้ม!

   “เดี๋ยวนี้หวงเนื้อหวงตัวนะ เก็บไว้ให้ไอ้น้องแฮงค์ล่ะสิ!”
   ใช้น้ำเสียงไม่พอใจแต่หน้านี่ยิ้มกรุ้มกริ่มจนอยากกระทืบให้จมดิน ผมลุกขึ้นแล้วใช้เท้าแตะก้นมันไปสองสามครั้งก่อนจะเดินสะบัดก้นหนีขึ้นชั้นสองเพื่อไปอาบน้ำทันที อยู่กับมันแล้วไมเกรนจะขึ้นเอาได้ทุกเวลา แล้วดูประโยคที่พูดออกมานะ ทำอย่างกับผมไปหลงชอบน้องอย่างนั้นล่ะ ประสาท ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นล่ะเว้ย คนที่ทำตัวไม่ชัดเจนไม่สมควรรู้สึกหวั่นไหวด้วยหรอก

   ผมลงมาชั้นล่างอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงขาสั้น ปลายเท้าชะงักเมื่อไม่เห็นเพื่อนตัวเองที่ห้องนั่งเล่น แต่พอเดินเข้าไปมองใกล้ๆ กลับพบว่าไอ้จุ้นสลบคาโซฟาไปแล้ว ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเหมือนคนหลับลึกนั้นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ถ้าให้เดาคงทำงานจนดึกดื่นแล้วอดหลับอดนอนแน่ๆ เหลือบสายตาลงไปที่พื้นก็เจอเข้ากับก้อนขนสีขาวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่อีกตัวและนั่นทำให้ผมหลุดขำออกมาเบาๆ นี่หาเพื่อนนอนกันหรือเปล่าวะ มากองตรงนี้ทั้งคนทั้งหมา

   ผมมองหาพี่ส้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเจอเขายืนเตรียมอาหารเช้าให้อยู่ ขายาวก้าวเข้าไปในครัวก่อนจะส่งยิ้มให้แม่บ้านคนสวยเพียงคนเดียวในบ้านแล้วออกปากขอความช่วยเหลือเล็กน้อย

   “พี่ส้มครับ ช่วยหาผ้าห่มให้ไอ้จุ้นหน่อยนะ มันหลับอยู่ในห้องนั่งเล่น”
   ผมชี้มือประกอบการพูดไปที่ส่วนของห้องนั่งเล่นแล้วคลี่ยิ้มให้เธอบางๆ พี่ส้มพยักหน้ารับก่อนจะเร่งมือเตรียมอาหารเช้าให้

   “ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ส้มขอเตรียมอาหารสักครู่เนอะ”
   เธอบอกทั้งๆ ที่ไม่ยอมมองหน้ากัน แต่ผมแตะข้อศอกพี่ส้มแล้วส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงว่าไม่ต้องเตรียมอาหารให้

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำเองก็ได้”
   ผมบอกไปแบบนั้นทำให้พี่ส้มเลิกคิ้วขึ้นมองกันด้วยความแปลกใจ ร้อยวันพันปีผมจะเข้าครัวทำอาหารเอง ก็มันขี้เกียจนี่น่า แถมรสชาติไม่อร่อยเท่าแม่บ้านคนสวยทำให้กินด้วย

   “เอางั้นเหรอคะ”
   พี่ส้มมองผมอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วหลีกทาง

   “ผมก็ทำอาหารเป็นน่า ไม่ทำครัวสุดที่รักของพี่ส้มระเบิดหรอก”

   “ค่ะๆ พี่ส้มเชื่อใจคุณหนู”
   เธอเดินออกไปจากห้องครัวแล้วปล่อยให้ผมรับหน้าที่ทอดไข่ดาวต่อ เหลือบตามองไปข้างๆ จบพบเจอไส้กรอกและแฮมอีกหลายชิ้นที่รอคิวลงอาบน้ำมันเป็นรายต่อไป อาหารเช้าง่ายๆ แบบนี้ใครๆ ก็ทำเป็น ถ้าไม่ไว้ใจกันผมคงแย่ล่ะครับ

   หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จผมก็ตรงเข้าห้องทำงานทันทีเพราะต้องรีบสะสางให้เสร็จก่อนเย็นนี้ แสงแดดยามสิบโมงกว่าๆ ทำให้ภายในห้องสว่างโล่จนแสบตาจนต้องเดินไปดึงม่ายให้ปิดลงแล้วอาศัยเสียงไฟจากหลอดนีออนแทน เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกเปิดขึ้นและผมก็เข้าประจำที่ก่อนจะลงมือทำงานพร้อมกับฟังเพลงคลอเบาๆ ไปด้วย
   
   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงานแล้วตามมาด้วยใบหน้ากวนๆ ขอเพื่อนสนิทที่โผล่เข้ามาแค่ส่วนหัวเท่านั้น มันเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบห้องก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วก้าวเข้ามาข้างใน

   “มึง เปิดแอร์หนาวไปปะวะ อย่างกับห้องดับจิต”
   มันเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งที่โซฟาหน้าทีวีจอใหญ่ก่อนจะลูบแขนตัวเองแสดงอาการหนาวอย่างเห็นได้ชัด ผมกรอกตามองบนเพราะพื้นที่ตรงนั้นลมจากเครื่องปรับอากาศมันลงไปตรงๆ เลยไง ไม่หนาวให้มันรู้ไปสิ แล้วปากนั่นเลี้ยงหมาไว้กี่ตัวครับ ไม่นานคงได้ติดต่อให้หมอผ่าหมาออกจากปากก่อนมันจะโดนใครกระทืบตายไปซะก่อน

   “เอาไว้แช่ศพมึงคนแรกเลยดีปะ”
   ผมพูดออกไปโดยไม่ได้สนใจมองว่าไอ้จุ้นจะทำหน้าแบบไหน เพราะไม่อยากละสายตาจากงานตรงหน้าสักเท่าไหร่มันใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว ถ้าเอาสมาธิไปใช้กับเรื่องอื่นให้เสียเวลาเล่นๆ จะไม่คุ้มค่า จริงๆ แล้วผมเป็นคนบ้างานอยู่พอตัว ใครมายุ่งอาจโดนไล่ออกไปก็ได้

   “ปากร้ายอะมึง ระวังแฮงค์ไม่รักนะ”
   พูดเสียงกระเง้ากระงอดแต่รูปประโยคชวนให้หงุดหงิดแปลกๆ ไม่เข้าใจว่าจะแซวเรื่องแฮงค์อะไรนักหนา ถ้าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คิดๆ กันไว้ หน้าแตกแบบหมอที่ไหนก็ไม่รับประกอบชิ้นส่วนจะเป็นยังไงวะ ผมหยิบปากกาที่คิดว่าไม่ใช้แล้วโยนใส่ไอ้จุ้นที่นั่งทำหน้าตากวนโอ๊ย และมันแม่นมากที่ลงตรงกลางหัวมันพอดี สรุปแล้วเป็นเพื่อนหรือเป็นกระสอบทรายส่วนตัวกันแน่นะ แต่ก็โทษใครไม่ได้หรอก ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวมันเป็นต้นเหตุทั้งนั้น

   “เหี้ยข้าว! แซวนิดแซวหน่อยทำไมต้องทำร้ายกูด้วยวะ”
   มันยังบ่นต่อไป แต่ผมกลับเงียบแล้วใช้สมาธิทำงานต่อให้จบๆ ไป ซึ่งไอ้จุ้นคงสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายเลยหุบปากเงียบ แล้วนั่งกดโทรศัพท์ฆ่าเวลา รู้อยู่หรอกว่ามาตามไปกินข้าว แต่ขอเสร็จงานก่อน จะแดกให้หมดร้านก็ไม่ห้าม ตามสบายเลย

   ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากจัดการเคลียร์งานของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และกะว่าออกไปกินข้าวจะไม่กลับเข้ามาที่บ้านแล้วเพราะมันเสียเวลา เลยตรงไปหาไอ้จุ้นแล้วสะกิดไหล่มันเบาๆ ตอนแรกนึกว่านั่งดูหนังไม่สนใจกัน ที่ไหนได้นั่งสัปหงกจนกลัวว่าจะปวดคอ

   “จุ้น ตื่นได้แล้ว”
   ทั้งสะกิดทั้งเรียกแต่มันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ผมได้แต่ยืนขมวดคิ้วแล้วมองมันด้วยความสงสัยว่าตกลงแล้วเมื่อคืนมันนอนน้อยหรือไม่ได้นอนเลยกันแน่วะ ทำงานหนักเกินไปหรือทะเลาะกับไอ้พีช แต่มันก็ไม่ได้แสดงอาการซึมเศร้านี่หว่า คงต้องถามให้รู้เรื่อง

   “เหี้ยจุ้น!!”
   ผมตะโกนใส่หูไอ้จุ้นจนเจ็บคอไปหมด มันสะดุ้งแล้วร้องโวยวายไม่เป็นภาษาจนผมต้องเอื้อมมือไปตบหัวเรียกสติที่มีน้อยนิดของมันให้กลับคืนมา บับเบิ้ลมองมาด้วยสายตาหวาดผวาแล้วครางหงิงๆ เข้ามาคลอเคลียที่ขาผม... นั่นเพื่อนพี่นะน้องไม่ใช่ผีที่หลุดจากโรงพยาบาลบ้า

   “ไอ้ข้าวแม่ง กูนึกว่าระเบิดลง”
   ไอ้จุ้นยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้กันก่อนจะเอาหน้าซบลงตรงช่วงหน้าท้อง ผมไม่ได้ถอยหนีแต่ยกมือขึ้นขยี้หัวคนตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่ยังสงสัยออกไป

   “เป็นอะไรของมึง อดหลับอดนอนมาจากไหน เล่าให้กูฟังหน่อย”
   ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะปลอบโยนไปในตัว ไอ้จุ้นสูดหายใจเข้าลึกจนได้ยินเสียงก่อนจะผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ไม่ยอมเงยหน้ามองหรือสบตากันเลยสักนิด ท่าทางแบบนี้กว่าจะแสดงออกได้ก็ตอนที่มันทนไม่ไหวแล้วนั่นล่ะ ซึ่งตอนนี้คงถึงเวลาปลดปล่อยแล้ว

   “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยว่ะ”
   มันตอบเสียงอ่อยก่อนจะเลื่อนแขนที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมาโอบรอบเอวของผมไว้หลวมๆ ซุกหน้าเข้ากับท้องมากยิ่งขึ้น ท่าทางอ้อนกันผิดปกติแบบนี้ทะเลาะกับไอ้พีชแน่ๆ ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง

   “ทะเลาะกับเมียอะดิ”
   ผมถามกลับไปแล้วใช้มือลูบหัวมันเบาๆ แทนการขยี้ ไอ้จุ้นพยักหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง ไม่ได้อยากก้าวก่ายเรื่องชีวิตรักของพวกเขาสักเท่าไหร่ แต่จุ้นมันเป็นคนอ่อนแอในเรื่องนี้ ถึงผมจะยื่นมือเข้าไปช่วยแบบเต็มๆ ไม่ได้ แต่ก็พร้อมเป็นที่ปรึกษาให้มัน ดูเหมือนเป็นคนเก่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เนอะ แต่เปล่าเลย น่าจะอ่อนสุดๆ ในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ อาจเพราะว่าเราเป็นคนนอกเลยมองอะไรได้ทะลุปรุโปรงมากกว่าคู่ของตัวเอง

   “อือ... ทำไงดีวะข้าว กูขี้หึงเกินไปเหรอ”

   “เรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้”
   ผมเลือกจะถามกลับไปแล้วดันไหล่ไอ้จุ้นให้ถอยห่างออกไปเพื่อที่เราจะคุยกันได้ง่ายขึ้น มันยอมทำตามแล้วดึงแขนผมให้นั่งลงข้างๆ ก่อนจะเอนตัวมาซบไหล่กัน ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองมีลูกมากกว่ามีเพื่อนเลยเว้ย แต่ก็เอาเถอะ เพื่อนช่วยเพื่อนมันไม่ลำบากอะไรหรอก

   “พีชกลับไปคุยกับพี่หมอว่ะ”
   จุ้นเล่าเสียงเบาหวิวจนผมแอบใจหาย พี่หมอที่มันพูดถึงคือพี่หมอตุลย์ที่เป็นเพื่อนกับพี่ต้น และเป็นแฟนเก่าของพีช แต่พี่หมอที่ผมพูดถึงอยู่บ่อยๆ คือพี่หมอพายเพื่อนอีกคนหนึ่งของพี่ชาย ผมจำได้ว่าเขาเคยคุยเรื่องนี้กับพีชไปแล้วว่าให้เลิกคุยกัน เพราะไม่ชอบเรื่องแบบนี้ อีกฝ่ายก็รับปากอย่างดิบดี แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็น...

   “อาจไม่มีอะไรก็ได้ มึงอย่าคิดมากสิ พี่หมอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ คงคิดถึงพี่ๆ น้องๆ ล่ะมั้ง”
   ผมพูดออกไปตามสิ่งที่คิด ซึ่งไม่ได้มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองจะถูกไปทุกเรื่อง แต่ไม่อยากให้เพื่อนคิดมากไปก่อนที่จะรู้ความจริง ที่ทะเลาะกันอยู่ตอนนี้ก็เพราะต่างคนต่างยึดติดกับตัวเองมากไปโดยไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายแน่ๆ ผมรู้นิสัยไอ้จุ้นกับพีชดี

   “แต่พีชสัญญากับกูแล้วว่าจะเลิกคุยกับพี่เขา ถ้ามันทำไม่ได้แล้วจะสัญญาเพื่ออะไรวะข้าว กูไม่เคยระแวงมันเลยนะ แต่กูไม่ไว้ใจพี่หมอ มึงก็รู้ว่ารายนั้นเจ้าชู้ขนาดไหน”
   ไอ้จุ้นเล่าด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนยากควบคุม หยดน้ำใสๆ เริ่มคลอหน่วยที่ดวงตาจนผมต้องเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่มาให้ เรื่องที่พี่หมอตุลย์เจ้าชู้คือเรื่องจริง แม้กับผมที่เป็นน้องเพื่อนเขายังไม่เว้นด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้พี่ต้นคอยกันท่ามีหวังผมคงโดนเขามอมเหล้าแล้วลากเข้าห้องไปแล้วล่ะ แต่หลังจากที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย

   “มึงอารมณ์เสียใส่พีชเหรอ”

   “กูเปล่า... กูแค่ถามว่าทำไมกลับไปคุยกับหมออีก มันเลยถามกลับมาว่ารู้ได้ยังไง กูก็เลยบอกว่าเห็นหมอโทรเข้าเครื่องมัน เท่านั้นล่ะ หาว่ากูก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว คือกูไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เหรอวะข้าว กูเป็นแฟนมันนะ อยู่กับมันมาตั้งกี่ปีแล้ว สู้มันบอกกูตรงๆ ว่าอยากกลับไปคุยกับหมอยังดีกว่าทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้”
   สีหน้าและแววตาของไอ้จุ้นเจ็บปวดจนผมต้องดึงมันเข้ามากอดปลอบ ตอนที่รักกันหวานชื่นก็น่าอิจฉา แต่ตอนทะเลาะกันก็ดูไม่จืดเอาซะเลย ผมรู้ว่าเพื่อนของตัวเองภูมิต้านทานเรื่องความรักไม่ดีมากพอเท่าที่ควร ง่ายๆ เลยอาจจะบอกได้ว่าคนอย่างมันไม่ควรมีความรักด้วยซ้ำ เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตคู่ของตัวเองได้สักที ใจร้อนบ้างล่ะ ไม่ฟังเหตุผลบ้างล่ะ บางครั้งมันก็เครียดเกินไปทั้งๆ ที่อีกฝ่ายแค่แกล้งเล่นก็มี แต่ไอ้พีชมันก็ผิดที่อยู่ๆ ก็ตีกรอบให้ตัวเองแล้วกันไอ้จุ้นออกมาจากที่ตรงนั้นที่มันเคยอยู่มาก่อน ผมเชื่อว่าพีชมีเหตุผล แต่เขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากไป อยากทำอะไรก็ทำโดยไม่สนใจความรู้สึกคู่ตัวเอง ดูได้จากเรื่องเลี้ยงแมวเป็นต้น

   “ใจเย็นๆ จุ้น กูเชื่อว่าพีชมันมีเหตุผล ไปหาอะไรแดกดีกว่า อย่าเครียด”

   หลังจากนั้นผมก็หอบข้าวของที่จำเป็นสำหรับพรุ่งนี้ใส่ท้ายรถไอ้จุ้นแล้วอาสาเป็นคนขับรถแทน โดยตกลงกันแล้วว่าคืนนี้มันจะไปค้างคอนโดกับผม และตอนเช้ามันค่อยแวะส่งผมที่มหา’ลัย ตอนเย็นให้พี่ต้นรับกลับบ้าน

   บรรยากาศภายในรถเงียบกริบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน เจ้าของรถเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกจนผมไม่กล้าเปิดปากชวนคุย ระหว่างที่ติดไฟแดงเลยหยิบโทรศัพท์มือถือที่ลืมไปแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานเอามาเปิดดู เห็นข้อความแจ้งเตือนจากหลายแอพพลิเคชั่นโชว์ขึ้นมาแล้วได้แต่ปัดผ่านจนมาถึงไลน์ถึงจะเปิดดู

   แฮงค์
-   พี่ข้าวกวน... ตอนนั้นไม่เช้าแล้วนะ ผมเข้าเรียนแล้ว 12:06
-   โหย ไม่ยอมให้คิ้วแตกแล้วล่ะครับ หมดหล่อกันพอดี 12:06
-   พี่ข้าวกินอะไรหรือยัง ผมเลิกเรียนแล้วล่ะ 12:07


นึกว่ากำลังอ่านเรียงความวิชาภาษาไทยหัวข้อเรื่องชีวิตประจำวันของฉันซะอีก ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับคำตอบของแฮงค์ มีความสุขได้ไม่ถึงห้าวินาที สายตาเหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทที่ทำหน้าซังกะตายเลยกลับมาก่อเหี่ยวตามมันอีกรอบ เฮ้อ อยากจะเป็นเพลงเกาหลีให้มันโยกจนรถพังสักทีแต่ใจไม่กล้าพอ ได้แต่นั่งพิมพ์ข้อความตอบกลับไปเท่านั้น

ข้าว
-   ยังเลย กำลังหาร้านอยู่ ไปกินข้าวด้วยกันไหมล่ะ 12:30

ใครคิดว่าผมอ่อยนี่เลิกคิดไปเลยนะ เพราะที่ชวนแฮงค์ไปด้วยนั่นมีเหตุผลตรงที่ไม่อยากเจอบรรยากาศอึมครึมที่ส่งมาจากไอ้จุ้นเพียงคนเดียว อย่างน้อยมีอีกคนไปอะไรๆ มันคงผ่อนคลายลงมากกว่านี้ บางครั้งเพื่อนผมอาจจะลืมเรื่องพีชแล้วหันมาแซวเรื่องไอ้บาร์เทนเดอร์หน้าหล่อแทนก็ได้ รอคำตอบไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งข้อความตอบกลับมา

แฮงค์
-   เฮ้ย ชวนผมจริงดิ งั้นไปด้วยนะครับ ไปด้วย ~ 12:31
-   พี่ต้นมาขโมยตัวไอ้กันย์ไปจากผมพอดีเลย 12:31
-   *สติ๊กเกอร์โคนี่ร้องไห้* 12:31

ข้าว
-   ห๊ะ พี่ต้นเนี่ยนะขับรถออกไปรับกันย์ที่มอ โคตรลงทุน ปกติขี้เกียจตัวเป็นขน 12:32
-   อยากกินอะไรล่ะ บอกมา พี่ได้ทั้งนั้นล่ะ มากับไอ้จุ้น 12:32

สารภาพว่าแปลกใจมากที่ได้รู้ว่าพี่ต้นขับรถไปรับกันย์ถึงที่มหา’ลัย ถึงมันจะไม่ไกลกันมาก แต่เขาเป็นโรคขี้เกียจออกไปเผชิญแดดตอนเที่ยงวันเป็นที่สุด โดยปกติแล้วกับแฟนคนที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยเสนอตัวไปหาถึงที่ด้วยซ้ำ ชักสนุกแล้วสิคราวนี้ ดูเหมือนว่าพี่ชายผมคงติดใจกันย์มากเลยทีเดียว รักจริงหวังแต่งแล้วมั้งคนนี้ คิดไปแล้วก็น่าอิจฉานะ เจอคนที่ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นน่ะ

แฮงค์
-   หลงไอ้กันย์มากเลยมั้งครับ น่าอิจฉาเนอะคนมีความรักเนี่ย 12:33
-   อยากกินพิซซ่าครับ แต่อยากตามใจพี่ข้าวมากกว่า 12:33


ข้าว
-   พูดอย่างกับตัวเองไม่มีคนที่แอบชอบนะ 12:33
-   จะตามใจพี่ทำไมวะ บอกแล้วไงอะไรก็ได้ เจอกันที่ร้าน xxx แล้วกัน 12:33

แฮงค์
-   ก็เขาไม่รู้ตัวสักทีนี่นา 12:34
-   โอเคครับ แล้วเจอกัน 12:34


ผมอ่านข้อความตอบกลับจบแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงในช่องวางแก้วน้ำก่อนจะย่นจมูกเล็กน้อย ไอ้ที่บอกว่าเขาไม่รู้ตัวนะ เคยบอกเขาไปหรือยังไอ้เด็กน้อยเอ้ย ต้องรอให้หมาคาบไปแดกก่อนหรือยังไงถึงจะกล้าบอก ก็เข้าใจว่ากลัว แต่ลองเสี่ยงสักครั้งมันจะเป็นอะไรไปวะ แล้วถ้าแจ็กพอตมันตกมาที่ผมล่ะก็... ยินดีน้อมรับและยอมให้จีบนั่นล่ะ แต่ไอ้เรื่องจะหวั่นไหวหรือมีใจให้ไหมก็ต้องรอลุ้นกันอีกทีแล้วกัน

ผมมาถึงร้านพิซซ่าในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา ตอนลงจากรถก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเดินตัวปลิวอย่างไร้สติจนเกือบชนเข้ากับประตูร้าน ดีหน่อยที่ผมไหวตัวทันแล้วรีบผลักบานประตูให้มัน กว่าจะถึงโต๊ะได้เล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกันเพราะไอ้จุ้นดันแยกไปอีกทางเดือดร้อนต้องจับมือแล้วลากมาด้วยกัน แฮงค์นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาส่งยิ้มไปให้เมื่อพวกเราไปถึง เมนูอาหารถูกส่งมาหลังจากนั้น ผมเลือกสั่งการ์เด้นสลัดกับไก่นิวออลีน ส่วนเจ้าเด็กน้อยสั่งพิซซ่าฮาวายเอี่ยนขอบไส้กรอก หอมใหญ่ทอด และสปาเก็ตตี้ขี้เมามาแบ่งกันกิน ส่วนไอ้จุ้นนี่อ้าปากสั่งน้ำอัดลมได้ก็บุญโขแล้วอย่าไปเอาอะไรกับมันมากเลย

และด้วยความที่ผมเลิกนั่งข้างน้องแทนที่จะเป็นข้างไอ้จุ้นเขาเลยได้โอกาสขยับเข้ามากระซิบถามถึงอาการของคนที่นั่งตรงข้ามตัวเอง บรรยากาศเศร้าซึมแผ่ปกคลุมแทบทั้งร้านใครดูไม่ออกก็โง่เต็มทนแล้วล่ะ

“พี่จุ้นเป็นอะไรเหรอ”
แฮงค์ถามเสียงเบาแล้วเหลือบสายตามองไอ้จุ้นที่เอาแต่นั่งจ้องมือตัวเองอยู่แบบนั้น ผมว่ามันไม่ได้ตั้งใจโฟกัสอะไรเป็นพิเศษหรอก สติมันลอยไปไหนแล้วนั่นคือสิ่งที่ควรคิดมากกว่า



ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #66 เมื่อ17-12-2016 09:01:00 »

“ทะเลาะกับแฟนน่ะ สภาพเหมือนซอมบี้เลยว่ะ”
ผมมองมันก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ อาการแบบนี้คงฉุดให้กลับมาร่าเริงได้ยาก จากที่บอกมันตอนอยู่ในรถว่าผมชวนแฮงค์มากินข้าวด้วย มันเอาแต่พยักหน้าไม่ออกปากแซวเหมือนปกติ... แค่นั้นก็รู้แล้วว่าเครียดเรื่องตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไร และที่เมื่อเช้ามาหากันแบบร่าเริงได้คงฝืนแบบสุดชีวิตแล้วแน่ๆ

“อ่า ทำให้พี่เขาผ่อนคลายดีไหม”
ดูแฮงค์จะเป็นห่วงไอ้จุ้นอยู่เล็กๆ แต่อย่าพยายามให้เหนื่อยเลย ขนาดพิซซ่ายังไม่ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นสักนิด ทั้งๆ ที่เป็นของชอบของเจ้าตัวเลยทีเดียว มันจะช้ำใจตายต่อหน้าผมไหมเนี่ย

“เปล่าประโยชน์น่า เรากินเงียบๆ ไปดีกว่า”

“โอเค... ดูท่าทางทะเลาะกันแรง”

“ก็นะ... ตามนั้นล่ะ มีแฟนก็แม่งน่าปวดหัวว่ะ”
ผมพูดออกไปตามที่คิด แต่ไม่ได้หมายความว่ามีแฟนแล้วไม่ดีนะ ที่มันน่าปวดหัวก็ตอนมีเรื่องทะเลาะกันเนี่ยล่ะ เรียกได้ว่าเวลาแห่งความงี่เง่าเลยล่ะมั้ง ดูสิว่าใครจะได้สติแล้วยอมง้อก่อน

“พี่ข้าวพูดเหมือนไม่อยากมีแฟนเลย”
เสียงแฮงค์อ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว ก็ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่อยากมีแฟน แค่เฉยๆ กับเรื่องแบบนี้ ก็คนมันเคยชินกับการอยู่คนเดียวมาตั้งหลายปีนี่หว่า

“ก็เปล่า ตอนรักกันมันก็ดี แต่การเอาหัวใจไปผูกกับเท้าใครมันก็เจ็บไม่ใช่เหรอ ปล่อยให้เข้าลากไปนั่นไปนี่ บางทีก็เหยียบย่ำมัน การอยู่คนเดียวอาจจะดีกว่าก็ได้มั้ง ไม่ต้องเจอกับการถูกทิ้ง ถูกบอกเลิก”
ผมไม่ได้คิดในแง่ร้ายแต่มองโลกในความเป็นจริงมากกว่าคนอื่น ไม่ได้เป็นคนโลกสวยที่มองความรักอยู่ด้านเดียว แฮงค์นิ่งไปกับคำพูดของผมเหมือนไม่มีอะไรจะพูดต่อ แต่ไอ้จุ้นกลับร้องไห้ออกมาเงียบๆ แทน อยากเข้าไปปลอบแต่ดูเหมือนมันต้องการนั่งเงียบๆ ผมเลยทำไดแค่ส่งกระดาษทิชชู่ไปให้ กูพูดแทงใจดำสินะ ขอโทษว่ะ

“ถ้าเป็นผมคงไม่ยอมให้คนที่รักเอาหัวใจไปผูกไว้ที่เท้าของผมหรอก เขาเจ็บผมก็เจ็บ ถ้าเลือกจะรักใครแล้วผมไม่มีทางเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนแน่นอน”
เขาพูดพร้อมกับจ้องตาผมไปด้วย ทั้งน้ำเสียงและแววตาให้ความรู้สึกจริงจังและหนักแน่นไปพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าแฮงค์ต้องการพูดให้ใครฟัง แต่ที่รู้ๆ คือผมหน้าร้อนว่ะ เลยต้องเบนสายตากลับมาที่น้ำดื่มตรงหน้าแทนและไม่มีบทสนทนาอะไรหลังจากนั้น เพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี

หลังจากกินข้าวเรียบร้อยพวกเราก็แยกย้ายกัน แฮงค์ไปที่ร้านเพื่อซ้อมโยนขวดส่วนผมลากไอ้จุ้นไปดูหนังเพื่อลดความคึงเครียดในตัวมันก่อนจะหิ้วร่างไร้วิญญาณของมันกลับคอนโด ระหว่างที่เดินไปหาลิฟท์ก็เจอเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินอยู่ด้านหน้า ใช่เขาแน่ๆ

“แฮงค์”
ผมส่งเสียงเรียกออกไปแล้วเขาก็หันกลับมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย คงไม่คิดว่าผมจะมาโผล่ที่คอนโดวันพุธสินะ เพราะปกติเขาจะเห็นผมค้างที่นี่แค่วันอาทิตย์และวันจันทร์เท่านั้น

“อ้าวพี่ข้าว พี่จุ้น วันนี้ทำไมอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
เขาถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย แต่ผมกลับขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นรอยแผลที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่ตรงปลายคาง ดูเหมือนรอบๆ แผลจะช้ำด้วย ไปทำอะไรมาวะนั่น ถึงขั้นคางแตก แถมยังไม่ทำแผลอีก เชื้อโรคคงเฮฮากันใหญ่แล้วมั้งป่านนี้

“พรุ่งนี้มีประชุมอาจารย์ แล้วแฮงค์ไปทำอะไรมาถึงได้คางแตก เพิ่งห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”
นี่ก็เพิ่งสองทุ่ม... หายไปมีเรื่องชกต่อยแทนที่จะไปซ้อมโยนขวดหรือยังไงกันวะ แฮงค์ยิ้มแหยแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองไปมา ผมว่าผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นของความอายนะ มันต้องเป็นเรื่องโก๊ะๆ เปิ่นๆ แน่ๆ

“เหยียบขวดซ้อมโยนแล้วลื่นล้มครับ เอาคางกระแทกพื้นเลยแตกอย่างที่เห็น”
พูดจบแล้วส่งยิ้มแหยๆ ให้กัน ผมรู้สึกว่าตัวเองมีจุดไข่ปลาโผล่บนหัวสามจุดแล้วมีอีกาบินผ่านไปยังไงก็ไม่รู้ คนหล่ออะไรวะโคตรซุ่มซ่ามไม่รักษาภาพพจน์และไม่ระวังตัวเองซะเลย ตามีแต่ไม่มองหรือยังไง ไอ้ขวดซ้อมโยนอะไรนั่นอันเล็กซะที่ไหนกันเล่า

“จุ้นเดี๋ยวมึงขึ้นห้องไปก่อนนะ”
ผมยัดกุญแจห้องกับคีย์การ์ดใส่มือไอ้จุ้น มันพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินเข้าลิฟท์ไปเงียบๆ และนั่นทำให้ผมกับแฮงค์ต้องมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ เห็นทีคงต้องไปซื้อเบียร์ให้มันกินจนเมาหลับ ไม่อย่างนั้นคงนั่งถ่างตายันเช้าแน่นอน

“พี่ไม่ขึ้นห้องเหรอครับ”
แฮงค์ยังคงยืนอยู่ข้างผมเหมือนเดิม แล้วทำไมไม่ขึ้นไปพร้อมกับไอ้จุ้นล่ะวะ เฮ้อ

“ขึ้น แต่จะไปซื้อเบียร์ที่เซเว่นก่อน แล้วนี่ในห้องมีอุปกรณ์ทำแผลปะ ถ้าไม่มีก็ไปซื้อพร้อมกันเลย”

“ไม่มีครับ งั้นไปเซเว่นกัน”
ผมได้เบียร์มาห้ากระป๋อง ส่วนแฮงค์ได้น้ำเกลือ แอลกอฮอล์ สำลี ยาใส่แผล และพลาสเตอร์ที่ผมเลือกให้ อันนี้อยากมีส่วนร่วมจริงๆ โดยจุดประสงค์หลักคือแกล้ง ก็ไอ้พลาสเตอร์นั่นมันลายโปเกม่อนน่ะสิ น่ารักเชียว ฮ่า

ห้องของแฮงค์อยู่ชั้นเดียวกันกับผมแต่ของเขาอยู่ใกล้ลิฟท์ ส่วนของผมอยู่ใกล้บันไดหนีไฟ ง่ายๆ คือหัวแถวกับท้ายแถวนั่นเอง เราเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลย 1501 ก่อนที่เจ้าของห้องจะไขกุญแจแล้วเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดไฟ ผมถูกเชิญเข้าไปในห้องแบบงงๆ เพราะเขาบอกว่าทำแผลไม่เป็น ให้ช่วยทำให้หน่อย ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างหรืออะไรกันแน่ แต่ที่น่าเจ็บใจ คือยอมไง ยอมเข้ามาในอาณาเขตของนายปรานต์จนได้

ผมถูกเชิญให้นั่งลงบนโซฟาสีดำสนิท ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินหายเข้าไปในครัวแล้วกลับมาพร้อมน้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งแก้ว เขาส่งมาให้พร้อมกับรอยยิ้มบาง ผมรับมาจิบแล้วไล่เขาให้ไปอาบน้ำจะได้ไม่เสียเวลามาก ซึ่งแฮงค์ก็ทำตามอย่างว่าง่ายแล้วทิ้งให้ผมนั่งสำรวจการตกแต่งภายในห้อง มันไม่ได้ต่างจากห้องของผมมากนัก มีแค่สีเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่มีโทนต่างกัน และไม่นานนักเขาก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดสบายๆ เตรียมนอน

“รอนานไหม”
คำถามแรกหลังจากที่เขาทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ทำไมไม่ขึ้นมานั่งข้างกันดีๆ มานั่งตรงหน้าทำไมล่ะ

“ไม่นานหรอก แต่ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ”
ท่าทางมันล่อแหลมไปสักหน่อยไหมล่ะ คนหนึ่งนั่งอยู่ที่พื้นคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาแล้วมองตากันแบบนี้ อ่า... แค่คิดก็รู้สึกขนลุกไปหมดทั้งตัวแล้ว เหมือนกำลังจะโดนแฟนอ้อนยังไงก็ไม่รู้

“จะได้ทำแผลง่ายๆ ไงครับ”
แฮงค์ฉีกยิ้มกว้างแล้วถือวิสาสะเกยคางลงบนตักของผมอย่างหน้าตาเฉย เอาจริงๆ นะ ท่านี้ทำแผลยากกว่านั่งเสมอกันอีก เพราะผมต้องก้มหน้าลงเมื่อยคอจะตาย แต่ไม่อยากเถียงเด็กได้ได้แต่จำใจพยักหน้าส่งๆ แล้วเริ่มทำแผลให้เขาอย่างเบามือ

ผมตั้งสมาธิอยู่ที่แผลของเขา แต่แฮงค์กับตั้งสายตาอยู่ที่ใบหน้าของผม ความใกล้ชิดทำให้สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย อยากขยับตัวหนีแต่งานเฉพาะกิจยังไม่เสร็จสักที โดนจ้องในระยะนี้ใครมันจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไหวล่ะ ละสายตาไปมองอย่างอื่นบ้างเถอะครับพ่อคุณ แต่สุดท้ายแล้วผมก็กลั้นใจทำแผลให้เขาจนเสร็จพร้อมกับแปะพลาสเตอร์ลายปิกาจูให้ไปด้วย

“เสร็จแล้ว น่ารักเชียว”
ผมจ้องพลาสเตอร์ลายปิกาจูที่คางของแฮงค์แล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เจ้าตัวเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามกันว่าอะไรตลกหรือ

“หัวเราะอะไรครับ”

“ไปส่องกระจกดูสิ”

“อ่า”
เขาตอบก่อนจะลุกไปส่องกระจก ได้ยินเสียงร้องตกใจดังออกมาจากหน้าตู้เสื้อผ้ายิ่งทำให้ผมหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักร่างสูงก็กลับมาด้วยใบหน้ามู่ทู่เล็กน้อย ปิกาจูไม่น่ารักเหรอวะ เสียใจอะ

“พี่ข้าวแกล้งผม ลายพลาสเตอร์นี่มัน...”
น้องชี้ที่คางตัวเองแล้วเบะปากลงน้อยๆ เหมือนเด็กที่โดนขัดใจ ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจิ้มแก้มนิ่มนั่นเล่นก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ไปให้

“น่ารักดีออก ใช้ให้หมดล่ะ ห้ามเอาไปทิ้งนะรู้ไหม”
ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะผละมือออกแล้วเอื้อมมือไปหยิบถุงกระป๋องเบียร์ขึ้นมาถือไว้เตรียมกลับห้อง

“ไม่ใช้ได้ปะครับ ขอเก็บเอาไว้”

“ทำไมล่ะ”

“ก็พี่ข้าวตั้งใจเลือกให้...”
พูดเสียงอ้อมแอ้มจนผมนึกมันเขี้ยวเลยยื่นมือไปขยี้หัวที่ยังเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำอย่างไม่นึกรังเกียจ แฮงค์ช้อนตาขึ้นมองกันและนั่นทำให้ผมหน้าร้อนวูบอย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ไอ้เด็กนี่ทำตาหวานเยิ้มใส่กันเล่า

“ใช้ให้หมด แล้วก็เช็ดผมให้แห้งด้วยเดี๋ยวจะเป็นหวัด พี่กลับห้องล่ะนะ”
ผมผละมือออกแล้วลืมหันหลังให้ทันที กำลังจะก้าวขาออกเดินแต่เสียงแฮงค์รั้งกันไว้ซะก่อน

“วันนี้ขอบคุณมากเลยครับ ฝันดีนะพี่ข้าว”

“อือ ฝันดี”
ผมตอบแค่นั้นแล้วรีบเดินออกมาทันที แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตูเสียงโทรศัพท์ดันร้องขึ้นมาซะก่อน

‘ลูกพีช’

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปแล้วขอให้ห้องของแฮงค์เป็นที่คุยโทรศัพท์ก่อนกลับห้องของตัวเอง



-------------------------------------------------

หึหึ... ใกล้เข้าไปทีละนิด ~ รู้สึกกันวันละหน่อย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #67 เมื่อ17-12-2016 09:57:47 »

แฮงค์พี่ข้าวเขายินดีน้อมรับและยอมให้จีบถ้าแฮงค์กล้ายอมบอกความในใจ :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #68 เมื่อ17-12-2016 10:31:00 »

ใกล้กว่านี้อีกหน่อยสิแฮงค์ อิอิ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #69 เมื่อ17-12-2016 19:14:56 »

เอาเเล้วๆๆ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
« ตอบ #69 เมื่อ: 17-12-2016 19:14:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #70 เมื่อ17-12-2016 19:34:58 »

ไม่ชินกับจุ้นโหมดนี้เลย

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #71 เมื่อ17-12-2016 22:38:53 »

พี่เขาก็รอให้พูดตรงๆอยู่นะแฮงค์

คือน้องก็มีความเนียนเว่อตลอดเวลา...ยอมใจ!

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #72 เมื่อ19-12-2016 11:22:18 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 8 -P.3- (17.12.2016)
«ตอบ #73 เมื่อ19-12-2016 11:32:22 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #74 เมื่อ24-12-2016 20:40:50 »

เมาครั้งที่ 9




'พี่ตุลย์เขาขอให้เราช่วยจีบข้าวอะ ก็เลยคุยกัน'

"ห๊ะ จีบพ่อง! มึงหยุดคุยกับมันไปเลยนะพีช กูไม่ได้ชอบพี่ตุลย์ นิสัยเหี้ยขนาดนั้น มึงจะสนับสนุนมันให้กูอีกเหรอ"

'แต่มันบอกจะปรับปรุงตัว... ข้าวไม่ลองเปิดใจบ้างเหรอ'

"ไม่ คือกูไม่ได้เป็นเกย์นะพีช กูไม่ประทับใจพี่ตุลย์ตั้งแต่แรกแล้วด้วย ถึงมันจะปรับปรุงตัวดีขนาดไหน ก็เท่านั้น เข้าใจปะ"

'โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราจะบอกพี่ตุลย์ให้แล้วกัน'

"มึงนี่... จะคุยกับมันทำไมอีก เอาเวลาไปง้อเพื่อนกูเถอะ อย่างกับศพเดินได้ กูไม่ชินสภาพมันตอนนี้"

'เคๆ ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวาย'

"เออ รีบๆ เคลียร์"


นั่นคือสิ่งที่พีชคุยกับผมไปเมื่อวันนั้น อยากมุดจอโทรศัพท์ไปกระทืบแฟนเพื่อนให้จมดิน มีอย่างที่ไหนทำท่าสนับสนุนแฟนเก่าเหี้ยๆ ของตัวเองให้กัน ถึงจะพยายามปรับปรุงตัวมายังไง คนไม่ชอบสุดท้ายก็คือไม่ชอบอยู่ดี เพราะรู้นิสัยตัวเองดี พี่ตุลย์ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยตั้งแต่รู้จักกันมา กระทั่งฐานะพี่น้องก็ไม่เคยมีให้

พีชเป็นคนไปง้อจุ้นเพราะรู้ว่าตัวเองทำผิดและพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป เพื่อนผมเหมือนต้นไม้ได้รับน้ำสักหนึ่งถังใหญ่ๆ เมื่อเจอกันในวันรุ่งขึ้น สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจนน่าหมั่นไส้ คงจัดหนักกันไปหลายรอบ ส่วนผมต้องหน้าด้านขอค้างคืนกับแฮงค์อย่างเลี่ยงไม่ได้ น้องเขาก็ใจดียกห้องนอนให้ซะอย่างนั้น เช้ามายังอาสาไปส่งที่มหา'ลัยทั้งๆ ที่ตัวเองมีเรียนภาคบ่ายอีก

การประชุมสรุปได้คร่าวๆ ว่าทางมหาวิทยาลัยจะจัดงาน Open House ประจำปี เร็วกว่าเดิมสักเล็กน้อย ซึ่งหมายถึงปลายอาทิตย์ทุกคนต้องเตรียมงานแล้ว เพราะวันจันทร์และอังคารคือกำหนดการจัดงาน ผมซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักนอกจากช่วยตรวจตราดูแลนักศึกษาระหว่างเตรียมความพร้อม ซึ่งตอนนี้ผมก็ยืนมองเด็กหลายๆ คนกำลังก้มหน้าก้มตาจัดซุ้มตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ

"วันนี้พี่ข้าวไม่ไปทำงานที่บริษัทเหรอ"
กันย์ที่นั่งจัดเรียงเอกสารแนะนำคณะอยู่ข้างๆ ถามขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้ามองสักนิด ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป

"พี่ต้นส่งพี่มาเป็นสายสืบ... ดูว่ากันย์แอบไปจีบสาวๆ ที่ไหนบ้างหรือเปล่า"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะที่ได้แกล้งกันย์ให้หน้ายุ่ง เขามองผมแล้วขมวดคิ้วก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ โธ่ จริงจังไปได้วะคนเรา

"เหอะ! ใครต้องหวงใครกันแน่ครับ พี่ต้นอะร้าย"
น้ำเสียงใส่อารมณ์เต็มที่บวกกับใบหน้ายุ่งเหยิงนั้นทำให้กันย์ยิ่งดูน่ารักมากกว่าปกติในสายตาของผม อยากดึงแก้มให้หนำใจแต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้เราอยู่ในที่สาธารณะแถมยังมีใครอีกคนจ้องมาเป็นระยะอีกด้วย

"หึ ไม่หรอกน่า ตั้งแต่พี่ต้นเจอกันย์ ไม่เห็นเขาจะไปเจ้าชู้ใส่ใครที่ไหนเลย"
ผมมองเขาแล้วอมยิ้มเล็กน้อย กันย์เป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม อีกอย่างหนึ่งคือเขาไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าหรือเปล่า ถ้ามีการดื้อดึงหรือทำผิดเกิดขึ้นก็จะไม่เข้าข้าง ซึ่งนั่นเป็นสเป็คคนที่พี่ต้นชอบ

กันย์มองกลับมาก่อนจะย่นจมูกใส่กันเล็กน้อย มือเรียวส่งกองเอกสารที่จัดเรียบร้อยมาให้ผมเอาใส่กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ข้างตัว จริงๆ แล้วมีเรื่องที่คาใจแต่ยังคิดไม่ตกว่าควรถามเลยดีไหม เอาเป็นว่าตอนนี้ลองหยั่งเชิงก่อนดีกว่า

"นี่... พี่ถามอะไรสักอย่างได้ปะ"
ผมถามหยั่งเชิงไปแบบนั้นแล้วใช้ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าหวาน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต แต่หลังจากที่ได้ฟังคำถามเขาจะฆ่าผมหมกท้ายรถหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ

"ถามจริงนะ... เป็นแฟนกับพี่ต้นหรือยัง"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ ถึงพวกเราจะใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่ไอ้เรื่องส่วนตัวที่ดูออกยากและเดาแนวทางไม่ได้ก็เป็นปัญหารบกวนใจอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งสองคนต่างสนใจกัน การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เลยแสดงออกให้บุคคลอื่นเห็นไม่มากนัก

กันย์ชะงักไปเล็กน้อย แก้มขาวแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูจางๆ ริมฝีปากสวยปิดเม้มสนิทเหมือนกำลังพยายามยั้บยั้งเรื่องไม่สมควรพูด อยากจะบอกเหลือเกินว่าทำแบบนั้นโคตรมีพิรุธ ถ้าไม่คิดจะบอกกันควรทำตัวนิ่งๆ นะ

"ผมก็ถามพี่จริงๆ นะ รู้ยังว่าไอ้แฮงค์มันคิดยังไงกับพี่ข้าว"
แทนที่จะตอบกลับ ดันเปลี่ยนเรื่องยกแฮงค์มาบังความเขินอายของตังเองซะอย่างนั้น ถ้าถามมาก็ตอบได้ว่า 'ก็พอรู้' แต่มันขาดความชัดเจน บางครั้งการกระทำก็ต้องการคำยืนยันจากปากเหมือนกัน

"ก็นะ... ก็รู้นั่นล่ะ แต่จะไม่บอกกันตรงๆ เหรอ"
ผมเหลือบสายตามองคนที่กำลังปีนเก้าอี้แล้วเอาของประดับตกแต่งซุ้มขึ้นไปติดด้านบนก่อนจะหันกลับมามองคู่สนทนา กันย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้น

"โห... รอให้ไอ้ขี้ขลาดอย่างแฮงค์พูดตรงๆ คงยากอะพี่ มันชอบแสดงออกมากกว่า"
กันย์ให้มือเท้าคางแล้วเบ้ปากใส่แฮงค์ที่ยังคงทรงตัวอยู่บนเก้าอี้ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบเขาจะขี้ขลาดเรื่องความรัก ก็เห็นร่าเริงชอบถามอะไรตรงๆ แล้วทำไมเรื่องหัวใจถึงชอบอ้อมโลกนัก

"การแสดงออกบางครั้งก็ต้องการคำพูดมายืนยันนะ หรือกันย์คิดว่าอย่างใดอย่างหนึ่งสำคัญกว่ากัน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของกันย์ไปด้วย เขาทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

"มันก็สำคัญทั้งสองอย่าง แต่ไอ้แฮงค์มันคิดว่าวิธีของตัวเองดีที่สุดแล้วมั้ง"
กันย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ คงเพลียกับนิสัยของเพื่อนตัวเองล่ะมั้ง

"ถ้าคิดจะจีบพี่ ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิด ถ้าไม่ พี่ก็จะทำตัวเฉยๆ เหมือนไม่รับรู้"
ผมไม่ได้ใจร้าย แต่คนเรามีเหตุผลส่วนตัวซึ่งมันน่าจะเป็นกลางสำหรับทั้งสองฝ่ายมากที่สุดแล้ว ถ้าเขาพยายามส่งความรู้สึกมาให้มากแค่ไหนแต่ไม่มีการตอบรับ อยากรู้เหมือนกันว่าแฮงค์จะทนสภาพแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

"โห... พี่ข้าวคนจริงว่ะ เพื่อนผมจะกินแห้วหรือเปล่าเนี่ย"
กันย์พูดเสียงทะเล้นแล้วเหลือบมองผมสลับกับแฮงค์ด้วยสายตาติดเจ้าเล่ห์นิดๆ แจ่คิดหรือว่าจะหลงกลตอบอะไรออกไป ไม่มีทาง

"หึ เอาเรื่องของเราเถอะ ตกลงว่าเป็นแฟนกับพี่ต้นหรือยัง"
ผมถามย้ำในสิ่งที่ถูกปัดทิ้งไปในตอนแรก กันย์ชะงักก่อนจะเม้มปากแน่น มันพูดยากพูดเย็นอีกแล้วเหรอ ไอ้ความสัมพันธ์ของคนสองคนเนี่ย ไม่ได้ให้ป่าวประกาศบอกคนทั้งโลกสักหน่อย ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขาและผ่านเรื่องราวของทั้งสองคนมาด้วยกันนะ

"พี่ข้าวไม่คิดว่าผมเขินบ้างเหรอวะ"
น้องตอบเสียงอ้อมแอ้มให้ผมตกใจเล่น ไม่คิดว่าคนที่ตรงอย่างกันย์จะมีมุมเขินน่ารักแบบนี้เหมือนคนอื่นด้วย ใบหน้าหวานแดงอย่างกับลูกมะเขือเทศสุก รอยยิ้มที่ถูกกลั้นไว้ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

"คนอย่างกันย์เขินเป็นด้วยเหรอ"

"เฮ้ย ผมก็มีความรู้สึกนะ!"

"โอ๋ๆ พี่ล้อเล่นน่า ตกลงว่ายังไง จะตอบได้หรือยัง"

"อื้อ... ก็เป็นแล้ว"
เสียงตอบกลับเบาราวกระซิบ ผมกำลังจะเอ่ยแซวสักหน่อยเพราะนึกหมั่นไส้ไอ้อาการเขินแล้วดูน่ารักน่าหยิกของกันย์ แต่เสียงอะไรหล่นกลับดังขึ้นมาจนต้องหันขวับไปมองทางต้นเสียง

โครม!

"โอย! พวกมึงจะวิ่งไล่ห่าอะไรกันเนี่ย สัส!!"
เสียงร้องโอดโอยตามมาด้วยคำก่นด่าจากคนที่นอนวัดพื้นตัวหนอนดังขึ้น เขาตกลงมาจากเก้าอี้ที่ตัวเองใช้ยืนอยู่โดยพอจะเดาได้ว่ามีใครสักคนหนึ่งวิ่งชน และสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาแฮงค์ให้เร็วที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นไปตามอัตโนมัติเมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บไหม หรือเพราะเป็นห่วงกันแน่

ผมไปถึงตัวแฮงค์ก่อนใครแล้วมีกันย์ช่วยพยุงเขากลับมานั่งที่โต๊ะ โดยปรามให้หยุดโวยวายไปด้วย ดูท่าทางเหมือนแขนด้านขวาจะมีปัญหาเพราะเจ้าตัวใช้มือค้ำตอนล้ม

"เจ็บตรงไหนบ้าง"
ผมถามแล้วมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เจอรอยฟกช้ำเล็กน้อยแต่ข้อมือออกจะบวมแดงจนน่ากลัว ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเมื่อลองบีบมันตัวเองดู

"เจ็บข้อมือว่ะพี่ เหมือนมันจะหัก"
น้ำเสียงยังคงติดความหงุดหงิด สายตาแค่นเคืองถูกส่งให้คู่กรณีที่เดินยิ้มแห้งเข้ามา ผมจำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนในเซคเดียวกันของแฮงค์

"ไปโรงพยาบาลมหา'ลัยกัน"

"มึงไปไกลๆ ตีนกูดีกว่า ขอร้อง อย่ามาเสนอหน้าอีก เหี้ยเอ้ย เตือนตั้งกี่รอบว่าอย่าวิ่ง แล้วไง ทำคนอื่นเดือดร้อน!"
แฮงค์ตวาดเสียงดังโดยไม่อายใครที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่แคร์ว่าตัวเองจะถูกมองยังไงจนกันย์ต้องลูบหลังแล้วบอกให้ใจเย็นลง คนที่สร้างเรื่องวุ่นวายกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะเดินหนีไปเพราะคนเจ็บทำท่าจะเอาเรื่องอีก

"ไปโรงพยาบาลกัน เดี๋ยวพี่พาไปเอง"
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วขอร้องให้เด็กที่ทำงานอยู่ช่วยหาไม้หรืออะไรแข็งๆ พอที่จะดามข้อมือของเขาไว้ก่อน ไม่นานนักก็ได้ของที่ต้องการก่อนจะจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วขอตัวไปเอารถมารับ

โรงพยาบาลมหา'ลัยตอนนี้มีคนไม่มากนักเลยสะดวกในการขอพบหมอเฉพาะด้านอย่างหมอออร์โธปิดิกส์ เป็นหมอที่รักษาด้านกระดูก ข้อ เอ็นและกล้ามเนื้อของร่างกายโดยเฉพาะ ผมรีบเข้าไปติดต่อที่หน้าเค้าท์เตอร์ทันที และได้รับกระดาษให้กรอกข้อมูลผู้ป่วยกลับมา ทุกอย่างดูน่าขัดใจเมื่อต้องดำเนินตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด

ผมยื่นกระดาษให้กับกันย์เพื่อให้เขากรอกข้อมูลทุกอย่างแทนแล้วพาแฮงค์ไปที่ห้องฉุกเฉิน ระหว่างทางก็ล้วงโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของคนที่สามารถช่วยกันได้ในตอนนี้ 'พี่พาย'

"จะโทรหาใครครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปห้องฉุกเฉิน ผมเหลือบสายตามองแฮงค์เล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป คนกำลังรีบจะมาถามอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้

ผมกดโทรหาคนที่ต้องการทันทีเมื่อเจอเบอร์โทรศัพท์ของเขา และหวังว่าคงไม่เจอใครก่อนหน้าที่พี่พายจะลงมาหา ไม่นานนักปลายสายก็กรอกเสียงลงมา

'สวัสดีครับข้าว'
ยังคงพูดสุภาพอย่างกับผมเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่พี่พายจะใช้คำอ่อนโยนเสมอ แต่กับคนอื่นทำไมเถื่อนจนหาความดีไม่ได้ก็ไม่รู้ มันแปลกแต่ก็ไม่กล้าถามกลับไป

"สวัสดีครับพี่พาย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า ว่างไหม"
ผมถามด้วยความรีบร้อนแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินโดยผลักตัวแฮงค์ส่งให้พยาบาลไปก่อน เขาทำหน้าเหมือนจะตายใส่กันแต่เจอสายตาดุๆ ของผมเลยเลิกงอแงแล้วเข้าไปด้านในอย่างจำใจ ก็ไม่ได้จะทิ้งซะหน่อย ทำหน้าเป็นหมาหงอยใส่กันอยู่ได้ คิดว่าจะใจอ่อนเหรอ... ก็เออ อยากตามเข้าไปเดี๋ยวนี้แล้ว

'เดี๋ยวๆ น้องข้าวใจเย็นครับ ทีละคำถาม'
พี่พายพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ฟังดูแล้วคงว่างอยู่นั่นล่ะ แต่มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ คนกำลังรีบแต่เขากลับทำตัวสบายๆ ฮึ้ย

"พี่หมอ ไม่กวนดิ ผมต้องการความช่วยเหลือ นักศึกษาตกจากเก้าอี้แล้วข้อมือบวมมาก กลัวว่ามันจะหัก พี่ช่วยลงมาดูหน่อยได้ปะ อยู่ห้องฉุกเฉิน"
ผมมัดมือชกบอกเหตุผลไปแทนที่จะหาคำตอบของคำถามเก่า ในใจนี่อยากขึ้นไปที่ห้องตรวจแล้วลากคอพี่พายลงมาเอง แต่กลัวคนในโรงพยาบาลจะตกใจ

'หืม ข้าวอยู่ในห้องเหรอ'

"ตอนนี้อยู่หน้าห้อง มีอะไรหรือเปล่า"
พี่พายทักมาแบบนั้นทำให้ผมลดความอยากเข้าไปในห้องฉุกเฉินลงถนัดตา เพราะกลัวว่าคนที่รออยู่ด้านในจะไม่ใช่แค่ไอ้เด็กที่ผมพามา แต่อาจจะมีหมออีกคนหนึ่งที่ผมรู้จักอยู่ในนั้น ไม่อยากเจอ... ทำไงดี แต่จะให้ทิ้งน้องไว้ก็ไม่ใช่เรื่องว่ะ สงสารลูกหมายักษ์

'ตุลย์อยู่เวรห้องฉุกเฉินวันนี้ รอพี่ก่อนนะ'

"รีบๆ มาหาผมเลย"

'โอเคครับ'

หลังจากนั้นผมก็วางสายแล้วเดินวนไปวนมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะไม่กล้าเข้าไปด้านใน ทั้งๆ ที่แฮงค์คงกำลังรอคอยกันอยู่ แต่การที่พี่ตุลย์อยู่ตรงนั้นด้วยทำให้หวาดระแวง เรื่องที่ขอช่วยไอ้พีชให้จีบผมยังติดอยู่ในสมอง... คิดแล้วขนลุก แต่รอไม่เกินสิบนาทีร่างโปรงที่คุ้นตาก็เดินเข้ามาหากันพร้อมรอยยิ้มบาง แว่นสายตาไร้กรอบทำให้ใบหน้าใสๆ นั่นดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่เหมือนเด็กเนิร์ดสักนิดเดียว

"ทำไมหน้ายุ่งแบบนั้นครับข้าว"
คำถามเมื่อเจอกน้ากันครั้งแรกในรอบหลายเดือนไม่ควรเป็นแบบนี้ปะวะ แต่เพราะเขาทักเลยรู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้ายุ่ง แล้วทำไมผมถึงทำหน้าแบบนี้วะ

"หือ ไม่รู้ดิ"
ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วมองตรงไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน เมื่อไหร่เขาจะส่งตัวแฮงค์ไปเอ็กซเรย์สักทีวะ ไม่อยากเข้าไปแล้วตอนนี้ถึงจะมีพี่พายอยู่ด้วยก็เถอะ พี่ตุลย์มันสนใจใครซะที่ไหนกัน

"เป็นห่วงนักศึกษาหรือกลัวจะเจอตุลย์"
พี่พายดันไหล่ผมให้เดินตรงไปที่หน้าประตู มือใหญ่อีกข้างผลักประตูให้เปิดออกโดนไม่ถามไถ่กันเลยสักคำ คือยังไม่พร้อม คำถามเมื่อครู่ก็ยังไม่ได้ตอบ

"พี่พายแม่ง..."
ผมสบถออกมาเบาๆ แต่คนที่อยู่เคียงข้างกันกลับส่งสายตาดุๆ มาให้ รู้ตัวว่าจะโดนด่าเรื่องพูดไม่เพราะแน่ๆ

"พูดไม่เพราะเลยนะครับ หน้าตาก็ดี"
ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างล่ะ ถึงปากจะว่ากันแต่สายตากลับมองกันอย่างอ่อนโยน บางครั้งก็คิดว่าพี่เขาแอบชอบผมหรือเปล่า ทำไมปฏิบัติตัวแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็อย่างว่า ผมไม่ชอบคิดมากแล้วอีกอย่างเขาเป็นเพื่อนพี่ต้นเลยไม่อยากอะไรมาก

"พี่ไม่รอคำตอบผมก่อนล่ะ ผลักกันเข้ามาแบบนี้"
ผมต่อว่าเขาเสียงเบาเพราะคนที่ไม่อยากเจอที่สุดกำลังเดินตรงมาทางนี้โดยทิ้งแฮงค์นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนเตียงอย่างหน้าตาเฉย ถ้าผมเป็นผอ.โรงพยาบาลจะไล่พี่ตุลย์ออกฐานละเลยหน้าที่ตัวเอง!

"สวัสดีครับข้าว ไม่เจอกันนานเลยนะ น่ารักเหมือนเดิม"
พี่ตุลย์ยิ้มกว้างให้กัน เขาที่อยู่ในชุดเสื้อกราวน์ดูดี แต่ติดลุคแบดบอยจนผมรู้สึกขยาด ไหนจะเจอสายตากรุ้มกริ่มที่ไม่เคยเปลี่ยนไปนั่นอีก อยากปลีกตัวไปไกลๆ จากตรงนี้จะตาย

"เอ่อครับ ผมขอไปดูเด็กของผมก่อนนะ พี่ก็ควรทำหน้าที่ตัวเองให้จบๆ ไม่ใช่ทิ้งคนไข้มาแบบนี้"
ไม่รู้ว่ากล้าพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไงแต่ผมสาวเท้าหนีออกมาอย่างรวดเร็วแล้วตรงไปหาแฮงค์แทบจะทันทีโดยที่พี่พายยืนคุยอะไรบางอย่างกับพี่ตุลย์ จนอีกฝ่ายทำหน้าตาขึงขังแล้วกลับไปนั่งประจำโต๊ะทำงานของหมอเวรตามเดิม

"เป็นยังไงบ้าง"
ผมถามคนที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนเตียง เขาเบ้ปากเล็กน้อยแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน

"พี่รู้จักกับหมอเวรคนนั้นเหรอ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะไม่คิดว่าแฮงค์จะถามออกมาแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ตุลย์ด้วย

"ก็เพื่อนพี่ต้น รู้จักทั้งสองคนนั่นล่ะ"

"อือ... เขาบอกว่ากระดูกอาจจะร้าว เดี๋ยวจะส่งไปเอ็กซเรย์ พี่กลับไปก่อนก็ได้ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก"
แฮงค์ส่งยิ้มบางมาให้กันแต่สายตากลับมองไปที่พี่ตุลย์ ถ้าจะบอกว่าเขาดูออกตั้งแต่แว๊บแรกมันก็คงไม่ใช่ แค่ทักทายสั้นๆ ไม่ทำให้รู้หรอกว่าหมอคนนั้นชอบผม

"ก็รอรับกลับด้วยไง"
ผมบอกไปแบบนั้น แต่แฮงค์กำลังจะอ้าปากไล่กันอีกครั้งพี่พายก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี

"เดี๋ยวไปเอ็กซเรย์กันนะ ไปซุ่มซ่ามมาจากที่ไหนอีกล่ะไอ้แฮงค์"
ผมหันขวับไปมองพี่พายแทบจะทันที นี่เขารู้จักกันด้วยเหรอวะ แล้วมีความสัมพันธ์กันแบบไหนถึงพูดจาทำนองสนิทสนมแบบนั้น ทีกับผมสุภาพอย่างกับอะไรดี ตลกว่ะ

"เปล่านะพี่พาย ผมตกจากเก้าอี้เพราะเพื่อนวิ่งชนเว้ย"
แฮงค์เบ้ปากใส่คนที่กล่าวหากัน อีกคนไม่ได้สะทกสะท้านแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกบุรุษพยาบาลให้มารับคนไข้ไปเอ็กซเรย์แล้วให้กลับไปหาพี่พายที่ห้องตรวจเพื่อดูฟิล์มและจัดการขั้นต่อไป

ผมรีบตามพี่พายขึ้นไปที่ห้องตรวจแทบจะทันทีโดยไม่หันมองพี่ตุลย์ที่มองมาแบบไม่วางตา ใครมันจะอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่จ้องเขมือบตัวเองล่ะ เอาจริงๆ พี่ต้นก็ไม่ค่อยติดต่อกับเขาเท่าไหร่หรอก เพราะนิสัยแย่ๆ จ้องจะเคลมผมนี่ล่ะ

นั่งคุยสัพเพเหระกับพี่พายไปเรื่อยๆ จนบุรุษพยาบาลพาแฮงค์มาส่งพร้อมกับฟิล์มเอ็กซเรย์ข้อมือแผ่นใหญ่ ผมขยับเก้าอี้ออกแล้วเลื่อนรถวิลแชร์ของน้องเข้ามาแทนที่แล้วนั่งลงด้านข้างใกล้ๆ กัน ส่วนกันย์โทรมาบอกผมว่าต้องรีบกลับไปช่วยงานที่คณะ เนื่องจากเอกสารบางจุดพิมพ์ผิดเลยฝากฝังผมดูแลเพื่อนซะอย่างนั้น

"กระดูกร้าวสองจุดตรงนี้นะ พี่จะใส่เฝือกให้หนึ่งเดือน พยายามอย่าใช้มือเยอะ เดี๋ยวกระดูกจะติดกันช้า เข้าใจไหมไอ้ตัวแสบ"
พี่พายทำหน้าดุใส่แฮงค์ก่อนจะเคาะปากกาลงบนหัวเบาๆ ผมได้แต่มองพวกเขาสลับกันไปมา นี่มันเลยคำว่าสนิทธรรมดามาแล้วมั้ง ตอนกลับคอนโดต้องแอบถามสักหน่อยแล้วว่าไปรู้จักกันได้ยังไง

"อือ จะพยายามแล้วกัน อยากกลับคอนโดแล้ว ง่วง"
แฮงค์หันมางอแงกับผมในประโยคหลัง เพราะตอนขากลับต้องกลับด้วยกัน พี่พายเหลือบสายตามองมาจนทำตัวไม่ถูก คิดว่าเขากำลังล้อเลียนกันเรื่องเด็กคนนี้แน่ๆ

"สองคนนี้มีซัมติงกันปะ ปกติแฮงค์ไม่เคยทำตัวงอแงใส่ใครนะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองแฮงค์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขานั่งตัวแข็งจนผิดสังเกตแต่พี่พายกลับเอาปากกาเคาะหน้าผากน้องอีกครั้งเบาๆ

"รีบๆ ใส่เฝือกให้เหอะน่าพี่พาย ผมปวดข้อมือ อยากนอนด้วย"
แฮงค์ทำหน้ายุ่งใส่พี่พายแล้วทิ้งตัวพิงพนักรถวิลแชร์ ผมเห็นท่าทางมาคุเลยไม่กล้าออกปากห้ามทัพ ปล่อยให้เขาเคลียร์กันเองทั้งที่รู้สึกขัดใจเล็กน้อยกับท่าทางบอกปัดของเจ้าเด็กคนนี้ คนอะไรไม่มีความชัดเจนเลย

"แฮงค์"

"พี่พาย"

เอ่อ เหมือนกระแสไฟกำลังแล่นผ่านไปมาในอากาศ ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคลี่ยิ้มหวานทันที รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้คงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ ขอตัวควานหาหลุมหลบภัยก่อนดีกว่า

“ผมขอตัวไปรอข้างนอกนะ อย่าตีกันล่ะ”

หลังจากนั้นไม่นานนักแฮงค์ก็กลับออกมาพร้อมกับเฝือกที่แขนขวาพร้อมด้วยผ้าที่ใช้คล้องคอ ดูแล้วน่าอึดอัดทุลักทุเลอยู่พอตัว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายพี่พายออกแทนให้ทั้งหมด และเพิ่งรู้ในตอนหลังว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ว่าทำไมมันดูสนิทสนมขนาดนั้น ผมแวะซื้อของกินระหว่างทางกลับคอนโดไว้หลายอย่างเพราะคิดว่าคนป่วยคงหาอะไรกินเองได้รับบาก และจนกว่าเขาจะหายเป็นปกติก็ต้องรบกวนให้กันย์มารับ




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #75 เมื่อ24-12-2016 20:41:10 »

ภายในห้องชุดที่คุ้นตาเพราะครั้งหนึ่งผมเคยมาเยือนที่นี่ แฮงค์ตรงเข้าไปนั่งที่โซฟาด้วยท่าทางอ่อนแรง ตามเนื้อตัวมีร่องรอยที่ผ่านการทำแผลอยู่หลายจุด ส่วนมากจะเป็นแผลถลอกเลือดซิบๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นผง ดูแล้วมอมแมมจนทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ

“เปลี่ยนชุดก่อนไหม เสื้อผ้าสกปรกไปหมดแล้ว”
ผมถามก่อนจะก้าวไปยืนอยู่ด้านหน้าของเขา ร่างสูงช้อนตามองก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่การที่จะให้เขาทำเองทุกอย่างมันก็ดูลำบากเกินไป แล้วตอนอยู่คนเดียวใครจะช่วยวะเนี่ย ไอ้ตัวผมต้องกลับไปนอนที่บ้านเพราะพี่ต้นด้วยนี่สิ ขืนหนีมานอนคอนโดยาวๆ คงโดนด่ายับแน่ๆ

แฮงค์ถอนผ้าคล้องแขนออกแล้วพยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตด้วยมือข้างเดียว ซึ่งมันยากลำบากจนผมต้องยื่นมือเข้าไปช่วย เขาชะงักไปเล็กน้อยเหมือนจะอ้าปากปรามกันแต่สุดท้ายก็เงียบและปล่อยให้ผมจัดการถอดเสื้อของเขาออก ร่างกายกำยำเกินกว่าที่คิดไว้อยู่มาก หน้าท้องมีมัดกล้ามสวยจนน่าอิจฉาเพราะตัวผมเองออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่สวยเหมือนของคนอื่นเขา เห็นแค่เลือนรางคล้ายคนขี้เกียจออกกำลังกาย

“ลุกขึ้น เดี๋ยวถอดกางเกงให้”
ผมบอกก่อนจะยืนรออยู่นิ่งๆ แต่แฮงค์กลับทำหน้าตาตื่นแล้วขยับหนีกันซะอย่างนั้น อย่าบอกว่าอายนะ โคตรเด็กน้อยเลย ก็ผู้ชายเหมือนกัน... แค่คิดไม่ซื่อกับผม

“เฮ้ย ไม่เอาๆ ผมถอดเองได้ครับ พี่ข้าวนั่งเถอะ เดี๋ยวผมไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะ”
แฮงค์ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วใช้มือข้างที่ปกติดีกดไหล่ผมให้นั่งลงแทน ด้วยความอยากแกล้งก็เลยขืนตัวแล้วทำหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะเซ้าซี้เขาว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองมันลำบาก สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนแล้วยอมให้ผมจัดการทุกอย่าง เผลอเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาก่อนจะกลั้นยิ้มเพราะมันแดงอย่างกับลูกมะเขือเทศสุก

“เสร็จแล้ว คราวนี้จะกินอะไรดี มีข้าวผัดทะเลกับกะเพราหมูกรอบ”
ผมให้สิทธิ์คนป่วยในการเลือกก่อนเพราะที่ซื้อมาทั้งหมดนั่นไม่ได้ถามเขาเลยว่าชอบกินอะไร แฮงค์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าแล้วพยักพเยิดให้ผมเป็นฝ่ายเลือกแทน

“พี่ข้าวเลือกเถอะ วันนี้ผมรบกวนมามากแล้ว”

“จะเกรงใจอะไรนักหนา พี่ให้เราเลือกก็เลือกถอะน่า”
ผมบอกก่อนจะแกะข้าวกล่องเทใส่จานทั้งสองใบแล้วนั่งเท้าคางรออีกคนเลือก เขาช้อนตามองผมก่อนจะผลักจานข้าวผัดมาให้กันแล้วลากจานกะเพราไปเป็นของตัวเอง ก็แค่เนี่ย ไม่เห็นจะต้องเกี่ยงกันให้เสียเวลา 

“กินเยอะๆ ถ้าไม่อิ่มก็แบ่งของพี่ไปนะ”
ผมบอกก่อนจะลงมือกินอาหารของตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักกลับสังเกตว่าจานข้าวของแฮงค์มันดูเลอะเทอะจนน่าหงุดหงิด พอเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ในการตักข้าวใส่ปากแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่ามือซ้ายใช้งานได้ไม่ค่อยถนัด

“แฮงค์”
ผมเรียกเขาแล้วจ้องมองมือซ้ายที่พยายามตักอาหารเข้าปากอย่างทุลักทุเล แฮงค์ชะงักเล็กน้อยทั้งๆ ที่ยังอ้าปากอยู่ ดวงตาคมจ้องมองกันเหมือนอยากถามว่าผมมีอะไรหรือเปล่า

“พี่ป้อนให้เอาปะ เห็นแล้วรำคาญลูกตา ข้าวหกลงบนโต๊ะหมดแล้วเนี่ย”
ผมกวาดตามองข้างจานแล้วย่นจมูกใส่คนตรงหน้านิดหน่อย แฮงค์เบิกตาโตขึ้นเหมือนกับว่าผมพูดเรื่องน่ากลัวออกไปอย่างนั้นล่ะ แค่จะป้อนข้าว... หรือว่าน้องเขินกันนะ หึหึ

“ผะ ผมกินเองได้ครับ ลำบากพี่ข้าวเปล่าๆ”
แฮงค์พูดเสียงตะกุกตะกักแล้วงับข้าวคำนั้นเข้าปากไปเคี้ยวหงุบหงับโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตากันอีก ผมอมยิ้มก่อนจะลงมือกินข้าวต่อโดยไม่พูดอะไรอีก ดูเป็นคนขี้เขินดีคงไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกมั้ง...

“นี่... พี่ข้าวครับ”
แฮงค์เรียกให้ขณะที่ผมวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างพอดิบพอดี เขาเม้มปากเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจจะพูดอะไรบางอย่าง หัวคิ้วขมวดกันแน่นจนกลัวว่ามันจะผูกเป็นโบว์ได้ มือเรียวกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำตัวเครียดขนาดนั้นด้วย เรื่องที่กำลังจะพูดมันเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติหรือเปล่า กลัวจะจดเล็คเชอร์ไม่ได้เหรอ

“หือ มีอะไร”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วทำท่าตั้งใจฟัง แต่นั่นยิ่งทำให้คนตรงหน้าเกร็งตัวหนักกว่าเดิม อะไรของเขากันนะ

“ผมไม่ไหวแล้วว่ะ”

“หา อะไรคือไม่ไหว คันในเฝือกเหรอ”

“เปล่าครับ”

“แล้วมีอะไร”

“ผม... อึดอัดว่ะ คิดว่าถ้าเก็บมันต่อไปคงตายก่อนแน่ๆ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวก่อนจะหลบสายตากัน ผมว่าผมพอจะเดาได้นะว่าต่อไปแฮงค์จะพูดอะไรออกมา กล้าได้สักทีนะ ถ้าไม่มีคนอื่นกระตุ้นก็อาจจะเป็นเพราะท่าทีเฉยชาทำเป็นไม่รับรู้ของผมเองล่ะมั้ง

“มีอะไรจะพูดก็พูดพี่รอฟังอยู่”
รอมานานแล้วด้วย

“ผม... ชอบพี่ข้าวว่ะ ต่อไปนี้จะเริ่มจีบแบบจริงๆ จังๆ แล้วนะ!”
อ่า... น้ำเสียงและแววตาแสดงความจริงจังจนผมที่คิดว่าเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้วถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นจะไม่ยอมหวั่นไหว แต่ที่ไหนได้ล่ะ เหมือนคนเสียหลักแล้วใจกระตุกวูบเลย ดูท่าทางไอ้แห้วที่กันย์ถามถึงคงห่างไกลล่ะมั้ง

“กว่าจะพูดออกมาได้”
ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะรวบเก็บจานเปล่าแล้วลุกขึ้นหมุนตัวเอาไปล้าง แฮงค์ผุดลุกจากเก้าอี้จนได้ยินเสียงไม้ขูดกับพื้น ถึงจะไม่มีตาหลังแต่ก็รับรู้ได้จากอุณหภูมิร่างกายของอีกคนที่เข้ามาใกล้

“พี่... ดูออกเหรอ”
น้องพูดเสียงเบาหวิวแล้วมองหน้ากันเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แววตาแสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเขาแล้วทิ้งสะโพกพิงกับซิงค์ล้างจาน ระยะห่างของเราทั้งสองมันน่ากลัวเหลือเกิน ถ้าฟังไม่ผิดผมว่าผมได้ยินเสียงหัวใจของคนตรงหน้าดังนะ เต้นแรงเชียว

“อืม... แต่ทำไมไม่ยอมพูดให้มันชัดเจนล่ะ”
ผมกอดอกแล้วมองจ้องดวงตาคมนั้นอย่างไม่ลดละ แฮงค์นิ่งไปสักพักก่อนจะทำหน้าเป็นหมาหงอยใส่แล้วยกมือขึ้นมาถือวิสาสะจิ้มจับแก้มกันเบาๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืนอะไร

“ก็ผมกลัวพี่จะตีตัวออกห่าง... ชอบมาตั้งนานนี่หว่า”
ท้ายประโยคเบาราวกับกระซิบแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะความสงสัย ก็เราเพิ่งรู้จักกันได้แค่เดือนสองเดือนเองไม่ใช่เหรอ แบบนั้นไม่ได้เรียกว่านานนี่

“อะไรนะ... หมายความว่ายังไง”
ผมถามกลับไปก่อนจะยืดตัวขึ้น แต่แฮงค์กลับถอยหลังออกไปแล้วคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยประโยคหนีเอาตัวรอดออกมาให้ผมโมโหเล่น ไอ้เด็กบ้าเอ้ย

“อุย ไม่เอา ไม่บอกหรอก ผมไปนอนแล้วน้า ฝากล็อกประตูห้องด้วยนะครับ”
แล้วเขาก็ทิ้งผมให้ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยอารมณ์พุ่งปรี๊ดอยู่คนเดียว จะทำอะไรก็ไม่ได้นอกจากตะโกนไล่หลังร่างสูงที่หนีเข้าห้องนอนไปแล้ว

“ไอ้แฮงค์... ฮึ้ย!”




-------------------------------------------------------------

เย่ะ! ในที่สุดไอ้น้องแฮงค์ของเราก็รวบรวมความกล้าบอกว่าชอบพี่ข้าวได้สักที
คงสัมผัสได้ถึงมารผจญอย่างพี่ตุลย์เข้าแล้วสินะ...

เราควรปิดร้าน 'Addict' แล้วฉลองความกล้าหาญของแฮงค์ดีไหม 55555 อมพนำได้นานสองนาน

ปล. สุขสันวันคริสมาสต์อีฟน้า ~ อยากได้ของขวัญอะไรขอจากแฮงค์เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2016 21:10:15 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #76 เมื่อ24-12-2016 21:06:22 »

กว่าจะพูดได้นะแฮงค์ 5555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #77 เมื่อ24-12-2016 21:07:33 »

ฉลองความกล้าให้แฮงค์ :mc4: :mc3: :mc2: :ped149: เพราะพี่ตุลย์หรือเพราะอะไรแฮงค์ถึงกล้าบอกความในใจ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #78 เมื่อ24-12-2016 21:34:04 »

แปะ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #79 เมื่อ24-12-2016 22:00:43 »

 :katai2-1:  อะ. อย่าเพิ่งไปจิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
« ตอบ #79 เมื่อ: 24-12-2016 22:00:43 »





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #80 เมื่อ25-12-2016 00:08:32 »

 :impress2:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #81 เมื่อ25-12-2016 01:33:33 »

ปิดร้านฉลอง เย้ๆ  :mc4: :mc4:

จีบเต็มตัวได้แล้ววววว o13

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #82 เมื่อ25-12-2016 12:53:21 »

แฮงค์บอกไปแล้ววว

 :katai5: :katai5:
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #83 เมื่อ25-12-2016 15:13:09 »

อมพะนำมาหลายตอน เย้ ในที่สุด  :hao6:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 9 -P.3- (24.12.2016)
«ตอบ #84 เมื่อ25-12-2016 18:07:40 »

สนุกกกกก ชอบบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แฮงค์ ยอมพูดแล้ว 
บอกชอบ บอกจะจีบ
แถมยังมาถามอีกว่ารู้ด้วยเหรอว่าชอบ
ไม่รู้ก็แย่ละ จนเขารู้กันทั่ว
มากกว่านี้  ก็พี่ต้นแล้ว เจอปั๊บเลื้อยเลย
แถมบอกกัลย์ แต่แรกเลยว่าสนใจ
พี่พาย นี่ยัง งงๆ ชอบข้าวหรือเปล่า
พี่ตุลย์ นี่แสดงออกเต็มที่ จนล้น
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #85 เมื่อ26-12-2016 21:24:01 »

เมาครั้งที่ 10

: แฮงค์ :



การกระทำทั้งหลายนั้นผมเคยคิดว่ามันเป็นการแสดงความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดแล้ว แต่เพิ่งรู้เมื่อได้พูดคุยกับคนที่ชอบมานานก็พบว่าคำพูดก็สำคัญเช่นกัน ที่ไม่ยอมบอกออกไปว่าชอบเขานั้น จริงๆ แล้วเขินส่วนหนึ่ง และคิดว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่พี่ข้าวกลับนิ่งและทำเหมือนไม่รู้อะไรมาตลอดเวลา สุดท้ายแล้วความอึดอัดก็ชนะความกลัว และสิ่งกระตุ้นที่สำคัญคือหมอคนนั้น

ในตอนนั้นพี่หมอตุลย์กำลังตรวจอาการเบื้องต้นของผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย อาจจะเพราะเขาอยู่เวรมาข้ามวันข้ามคืนก็เลยไม่ได้ถือสาอะไร แต่พอพี่ข้าวเปิดประตูห้องฉุกเฉินเข้ามา รอยยิ้มสดใสกลับผุดขึ้นบนใบหน้าแทบจะทันที ขายาวก้าวออกไปโดนทิ้งคนไข้ไว้ด้านหลังอย่างไม่แยแสจนผมรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วดังมาเล็กน้อย และคำชมว่า 'น่ารัก' ทำให้คิ้วกระตุกได้ไม่ยาก ไหนจะสีหน้ากระอักกระอวนของคนที่ผมชอบอีก เดาได้ไม่ยากหรอกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ขอบคุณเขานะ ที่ผลักดันให้ผมบอกความรู้สึกตรงๆ ออกไปโดยไม่ลังเลอีก ถึงจะกลัวก็ขอลองเสี่ยงอะไรทำนองนั้น และผลตอบรับที่ได้กลับมานั้นเกิดคาดอยู่มากจนทำให้ใจเต้นผิดจังหวะไปเลย

พี่ข้าวอยากรู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ผมชอบเขา มันนานมาแล้ว นานมากจนไม่คิดว่าตัวเองจะฝังใจกับคนที่เจอกันครั้งแรกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ความทรงจำในวันนั้นกลับเด่นชัดจนถึงทุกวันนี้ คิดถึงทีไรก็ทำให้มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขได้ทุกครั้ง

งานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำของประเทศ ในตอนนั้นผมที่อยู่มอหกโดนไอ้กันย์ลากไปที่นั่นเพื่อจะศึกษาหาที่เรียนต่อ ซึ่งคณะดิจิทัลอาร์ตอยู่ในตัวเลือกท้ายๆ ของผม อันดับแรกคือวิศวะคอมพิวเตอร์หรือวิศวะเครื่องกล

"แฮงค์... กูขอไปที่คณะแพทย์อันดับแรกนะเว้ย"
เด็กเรียนอย่างกันย์เอ่ยเสียงสดใสในขณะที่นั่งรถของบ้านผมเข้าไปในมหา'ลัย ก็ว่าจะไปกันเองแต่เจ้เฟรนด์ไม่ยอม ตอนแรกเธอจะมาด้วยแต่ดันป่วยซะก่อน

"มึงจะเรียนแพทย์หรือไง"
ผมถามแล้วเหล่สายตามองเพื่อนสนิทอย่างจับผิด ไม่เคยได้ยินมันบอกว่าอย่างเรียนคณะที่จะไปสักหนเดียว บ่นแต่ว่าอยากเรียนดิจิทัลอาร์ตทั้งๆ ที่คะแนนของมันสามารถเข้าแพทย์หรือวิศวะได้สบายๆ

กันย์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัวพรืดเพื่อปฏิเสธคำพูดของผม ตกลงว่าเพื่อนไม่อยากเรียนแพทย์แล้วจะไปเหยียบซุ้มคณะเขาทำไม

"จะไปส่องนักศึกษาแพทย์เฉยๆ หรอก ใครอยากเรียนคณะนั้นเล่า เหนื่อยจะตายห่า"
กันย์ยักคิ้วกวนๆ ให้พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ที่เขาว่ากันว่าเด็กคณะนี้หน้าตาดีผมก็เชื่อนะ ส่วนมากตัวขาวๆ กันทั้งนั้นไม่ว่าจะหญิงหรือชาย แต่ไอ้เพื่อนผมเนี่ย เป้าหมายมันเพศไหนล่ะ...

"ผู้หญิงหรือผู้ชายไม่ทราบครับคุณกันย์"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อเล็กๆ เรื่องรสนิยมของกันย์ไม่ใช่ความลับอะไร เขาแสดงออกอย่างชัดเจนมาตลอดว่าไม่สนเรื่องเพศ ถ้าชอบก็คือชอบไม่ต้องคิดข้อกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้มากมาย ซึ่งผมก็มีแนวคิดแบบเดียวกัน แต่ยังไม่เคยคิดพิศวาสกับผู้ชายคนไหน

กันย์ไหวไหล่ใส่แล้วเอนตัวพิงพนักก่อนจะทอดสายตาออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอก ปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย

"ได้หมดถ้าสดชื่น"
คำพูดพร้อมกับน้ำเสียงบ่งบอกได้ว่าเขากำลังอารมณ์ดี แต่ถ้าสังเกตจากแววตาจะรู้ว่ามันไม่ได้สดใสเลย ก็เพราะกันย์เพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นผู้หญิงมา ไม่ได้มีการนอกใจอะไร แต่เธอแค่รับไม่ได้เมื่อรู้ว่าแฟนตัวเองเป็นไบเซ็กซ์ชวล


"เกลียดมึง"
ผมแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็หลุดหัวเราะออกมาภายหลังเพราะกันย์หันมาทำหน้ายุ่งใส่ ใบหน้าหล่อๆ ติดไปทางน่ารักของมันทำให้มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายเข้าหาบ่อยๆ แต่พวกเราเรียนโรงเรียนชายล้วน คิดว่าสภาพมันเป็นยังไงล่ะ ผมคือไม้กันหมาดีๆ นี่เอง สาวๆ ชอบเรียกว่า 'คู่จิ้น' จริงๆ แล้วก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนะ เพราะนานๆ ครั้งถึงจะมีใครกล้าเข้ามาตอแยด้วย

"มึงจะไปคณะวิศวะใช่ปะ"
กันย์ถามออกมาแต่สายตากลับเบือนออกไปมองด้านนอก วิศวะคือคณะที่เธอคนนั้นก็อยากเรียนเหมือนกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เพื่อนสนิทของผมไม่อยากเรียนมันสักเท่าไหร่ ก็ความคิดเด็กๆ ล่ะนะ

"เออดิ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมาเปิดดู มันเป็นข้อความจากคนที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านนั่นเอง ดูจะห่วงน้องชายคนนี้เหลือเกิน

'ถึงมหา'ลัยแล้วโทรไปบอกพี่หมอนะ มันจะพาพวกแกไปทัวร์มหา'ลัยเอง จะได้สะดวก'

ผมเลิกคิ้วเมื่ออ่านข้อความที่ส่งมาจบ จะให้รบกวนพี่พายเนี่ยนะ จะว่างมาพาไอ้น้องชายตัวแสบทัวร์มหา'ลัยหรือยังไงกัน เป็นหมองานรัดตัวไม่ใช่หรือไง ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ถึงมหา'ลัยคงต้องทำตามที่เจ้บอกนั่นล่ะ จะให้เดินกันเองก็กลัวจะหลงทางซะก่อน

ไม่นานนักพวกเราก็ถูกทิ้งไว้ตรงประตูทางเข้ามหา'ลัย คนพลุกพล่านดูคึกครื้นบวกกับเสียงประกาศจากซุ้มนั่นนี่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ไอ้กันย์หันซ้ายกันขวาพยายามหาลู่ทางในการเดินไปซุ้มคณะแพทย์ ผมเลยนึกได้ว่าตัวเองต้องโทรหาไกด์เฉพาะกิจนี่หว่า

ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์ของพี่พายแล้วกดโทรออก ครั้งแรกสายไม่ว่างเลยรออีกสักพักจึงกดโทรใหม่ คราวนี้ปลายสายกดรับแทบจะทันทีพร้อมกับกรอกเสียงสดใสกลับมา

'ถึงมหา'ลัยแล้วเหรอ อยู่ตรงไหนเดี๋ยวออกไปรับ'
จากรูปประโยคก็พอรู้ว่าเจ้เฟรนด์คงคุยกับพี่พายเรื่องพาผมไปทัวร์งานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหา'ลัยไว้เรียบร้อยแล้ว

"อยู่หน้าประตูเลย พี่พายอยู่ตรงไหน บอกทางมาก็ได้เดี๋ยวผมไปหา"

'หันหน้าเข้าหาประตูแล้วเลี้ยวขวาเดินตรงมาเรื่อยๆ จะเห็นตึกใหญ่ๆ สูงๆ ด้านหน้ามีป้ายติดว่าโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย xxx เดี๋ยวพี่ยืนรอตรงนั้น'

"โอเคๆ เอ้อ แต่พี่ว่างเหรอครับ"

'ออกเวรพอดี วันนี้วันหยุดด้วย'

หลังจากวางสายผมก็สะกิดไอ้กันย์ที่อยู่ข้างๆ ให้เดินไปตามทางที่พี่พายได้บอกไว้พร้อมกับบอกว่ามีคนพาทัวร์งานโอเพ่นเฮ้าส์แล้ว มันกระดี๊กระด๊ายิ้มกริ่มทันที อยากจะไปไหนก็ไม่ต้องงมอีกแล้ว แค่บอกไกด์เฉพาะกิจเท่านั้น

"พี่พายนี่เคยเป็นเดือนคณะแพทย์ปะ"
ไอ้กันย์ถามขึ้นในขณะที่เราทั้งสองคนหยุดยืนอยู่ในสวนหน้าโรงพยาบาล มองออกไปจากมุมนี้จะเห็นหมอคนหล่อถูกนักศึกษาสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ที่ป้ายชื่อสถานที่ขนาดใหญ่ ผมเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะส่ายหัว ถึงพี่พายจะหน้าตาดีแต่ก็เสียบุคลิกตรงใส่แว่นสายตา ทำให้คนส่วนใหญ่เทคะแนนให้กับเพื่อนเขามากกว่า... ก็หมอตุลย์นั่นล่ะ

"ไม่เคยหรอก เดินไปหาเถอะ สงสารว่ะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยกแขนพาดไหล่ไอ้กันย์ก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่พายที่แสดงตัวว่าเป็นคนอัธยาศัยดีจอมปลอม ปกติแล้วเขาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเท่าไหร่หรอก แต่ด้วยสังคมทำให้ต้องมีการปรับตัว

"มากันแล้วเหรอ ผมขอตัวพาน้องไปเดินงานโอเพ่นเฮ้าส์ก่อนนะครับ"
ประโยคหลังรีบหันไปพูดกับบรรดาสาวๆ แล้วแยกตัวออกมาจับแขนกันแทบจะทันทีแล้วลากตัวออกมาจากตรงนั้น ผมแทบจะหน้าทิ่มเพราะไม่คิดว่าพี่พายแรงเยอะจนฉุดคนสองคนได้ขนาดนี้

"เฮ้ยๆ ใจเย็นพี่พาย จะรีบไปไหน ไอ้กันย์อยากไปซุ้มคณะแพทย์"
ผมพูดด้วยเสียงตื่นๆ เล็กน้อยเพราะคณะแพทย์กับทางที่เรากำลังเดินมันคนละทิศกันเลย ไอ้กันย์ก็ไม่กล้าแย้งอะไรเพราะไม่ได้สนิทสนมกับเขาเป็นพิเศษ พี่พายชะงักเท้าแล้วหันมาปั้นหน้าบึ้งใส่กันแล้วปล่อยมือออกจากแขน

"อยากเรียนแพทย์ที่นี่เหรอ ไม่ต้องไปซุ้มหรอกพี่แนะนำเอง"
พี่พายหันไปถามไอ้กันย์ที่อยู่อีกด้านของผม มันมีสีหน้ากระอักกระอวนเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า คงตัดใจได้แล้วว่าไม่ควรเสียเวลากับการส่องใครที่นั่น

"เปล่าครับๆ งั้นไปวิศวะหรือดิจิทัลอาร์ตก็ได้ครับ"
ไอ้กันย์ส่งยิ้มแหยๆ ให้กับพี่พายก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อเพราะหมอขมวดคิ้วมองมา แต่จะให้ถามกลับว่าเพราะอะไรเพื่อนผมถึงเปลี่ยนใจก็คงไม่หรอก

"อ๋อ งั้นไปดิจิทัลอาร์ตก่อนแล้วกัน อยู่ใกล้ๆ นี่ล่ะ วิศวะมันอยู่อีกฝั่งต้องนั่งรถรางไป"
พี่พายพูดจบก็เดินนำพวกเราสู่คณะดิจิทัลอาร์ตทันที ดูจากท่าทางของเขาแล้วไม่เหมือนคนที่เพลียมาทั้งคืนเลยสักนิด หรือมีอะไรดีที่คณะนั้นถึงได้ดูสีหน้าสดใสกว่าเมื่อครู่

และคำตอบก็กระจ่างชัดเมื่อพี่พายตรงดิ่งไปหาใครคนหนึ่งที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ดูดน้ำแดงเฮลบูลบอยอยู่ในมุมท้ายของซุ้ม เขาเป็นคนผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาติดหวานเล็กๆ ปากบางสีส้มอมชมพูอ่อนๆ จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่ ทรงผมอันเดอร์คัตทำให้ดูสมชาย อ่า... ถ้าพี่พายจะชอบคนๆ นี้คงไม่แปลก แต่ผมนี่สิเหมือนตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเลยว่ะ ทำไงดี

"แฮงค์"

"....."

"ไอ้แฮงค์"

"....."

"ไอ้ห่าแฮงค์! น้ำลายจะไหลแล้ว!!"
กันย์ตะโกนใส่หูจนผมสะดุ้งโหยงแล้วรีบงับปากตัวเองเอาไว้ทันที และดูเหมือนว่าคนที่อยู่กับพี่พายจะหันมามองกันเล็กน้อย เล่นเอาผมรีบหลบตาแทบไม่ทัน หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น และรู้สึกว่าอากาศตรงช่วงใบหน้ามันร้อนแปลกๆ

"ชอบเหรอวะ"
กันย์คงสังเกตเห็นว่าผมมองใครอยู่ในตอนแรกเลยขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบกระซาบ เป็นครั้งแรกที่เริ่มสนใจผู้ชายคนหนึ่งเลยไม่รู้จะตอบออกไปยังไงดี ชอบเหรอ คงใช่นั่นล่ะ เพราะตอนนี้อยากรู้จักชื่อของเขาจัง

"เออ น่ารักดีว่ะ"
ตอบไปตามความจริงแล้วเหลือบสายตามองไปทางนั้นอีกครั้ง เขาไม่ได้มองมาทางนี้แล้วแต่พูดคุยกับพี่พายอย่างสนิทสนมแทน ดูท่าทางหมอคงชอบคนนั้น แต่คนนั้นคงไม่รู้อะไรเลย

"มึงจะสู้พี่หมอเหรอ"
ห่า... คำถามโคตรทำร้ายเลย ถ้าพี่พายชอบเขาจริงๆ ผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้ แล้วอีกอย่างดูท่าทางสนิทสนมกันออกขนาดนั้น ไม่ใช่เผลอๆ เป็นแฟนกันไปแล้วเหรอ เฮ้อ ตกหลุมรักผู้ชายคนแรกแล้วต้องอกหักเลยเหรอวะ

"ไม่รู้ดิวะ เขาเป็นอะไรกันกูยังไม่รู้เลย"
ผมตอบเสียงอ่อยแอบมองเขาทั้งสองคนเป็นระยะๆ ก่อนจะโดนรุ่นพี่ในซุ้มรุมทึ้งซ้ายขวา เพราะหน้าตาโดดเด่นกว่านักเรียนคนอื่นๆ แถมยังใส่กางเกงน้ำเงิน ตัวอักษรบนอกเสื้อบ่งบอกว่าเรียนชายล้วน ทำให้ตกเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก โธ่ ผมอยากมองพี่คนนั้นนะ อย่าทำแบบนี้สิ ฮือ

"น้องคะ สนใจเรียนคณะนี่เหรอ มาๆ นั่งด้านในกันก่อนเนอะ เดี๋ยวพวกพี่จะอธิบายอย่างละเอียดเลย"
ผมหันไปทางที่เพื่อนยืนอยู่ แต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้กันย์โดนลากไปแล้ว พี่พายก็ไม่ได้ช่วยกันเลย! เอาผมมาทิ้งไว้ตรงนี้ทำไมเนี่ย

"เอ่อ... ผมขอตัวไปหาพี่ชายก่อนได้ไหมครับ"
ผมพูดขอร้องอย่างสุภาพแล้วพยายามยิ้มออกไป พวกรุ่นพี่แทบจะกรี๊ดออกมาแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้แล้วมองซ้ายมองขวาไปทั่วบริเวณ เดาว่าคงหาตัวพี่ชายของผมอยู่แน่ๆ ก็ไอ้แว่นที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกพี่ไง ฮึ้ย หัวเราะงุ้งงิ้งกับคนนั้นอยู่ได้ เห็นแล้วหมั่นไส้

"คนไหนเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งนะคะ กลัวน้องจะหลง"
เธอฉีกยิ้มกว้างแล้วกระแซะเข้ามาใกล้จนแขนแนบกัน ผมขยับออกอย่างรวดเร็วแล้วชี้ไปในทิศทางที่พี่พายยืนอยู่ รุ่นพี่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะโผล่งขึ้นมา

"เป็นน้องไอ้ข้าวเหรอ!"

"หา... ปะ เปล่าครับ เป็นน้องของผู้ชายที่ใส่แว่นน่ะ"
ผมตอบตะกุกตะกัก ส่วนหนึ่งเพราะตกใจเสียงของเธอ ส่วนหนึ่งตกใจเพราะอยู่ๆ ก็ได้รู้จักชื่อของคนๆ นั้น น่ารักว่ะ ทั้งคนทั้งชื่อ

"โหย เป็นน้องพี่หมอพายเหรอคะ ถึงว่าทำไมหล๊อหล่อแบบนี้"
เธอพูดพร้อมกับยิ้มกริ่มและทำท่าทีเขินอายใส่กัน ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ แต่ด้วยความอยากรู้ว่าทำไมรุ่นพี่คนนี้ก็รู้จักพี่พายด้วยวะ

"รู้จักพี่พายด้วยเหรอครับ"

"รู้จักสิ สนิทกับข้าวมากเลยล่ะ"
เธอมองไปที่สองคนนั้นแล้วคลี่ยิ้มเล็กๆ ออกมา ใบหน้าน่ารักกำลังแสดงอาการฟินอย่างที่ผมคุ้นเคยจากเด็กผู้หญิงที่อยู่โรงเรียนข้างๆ หรือเขาจะเป็นแฟนกันวะ ไม่อยากแดกแห้วอะ!

"แฮงค์ มานี่มา"
เสียงพี่พายช่วยชีวิตเล็กๆ ของผมให้หลุดลอดจากเงื้อมมือพี่คนสวยมาได้ แต่ในใจกลับกลัวว่าหมอจะแนะนำพี่ข้าวในฐานะแฟนให้รู้จัก ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงหมดอารมณ์ทำอะไรแล้วล่ะ แฟนพี่ใครจะอาจเอื้อมกัน

ผมเดินเข้าไปหาพี่พายแล้วยิ้มให้กับคนที่ดูดน้ำแดงจากแก้ว ดวงตากลมโตจ้องมองมาด้วยความอยากรู้ นั่นทำให้หัวใจดวงน้อยของเด็กมัธยมเต้นไม่เป็นจังหวะ อยากรู้ตักให้มากกว่านี้ อยากสัมผัสผิวนุ่มๆ นั่นสักครั้ง ฟุ้งซ่านว่ะ

"นี่ข้าว เป็นน้องของเพื่อนพี่ ส่วนนี้แฮงค์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง"
พี่พายแนะนำตัวให้เสร็จสรรพ แต่พอจะทักทายกันอย่างเป็นทางการก็เห็นไอ้กันย์ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่กลางวงล้อมของสาวๆ แต่ที่ทำให้ทุกคนหันไปสนใจคือผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำท่าจะจีบมัน ผมเลยต้องรีบเข้าไปช่วยเพื่อน

"มีอะไรกันหรือเปล่าครับ"
ผมเข้าไปยืนระหว่างกลางผู้ชายคนนั้นกับเพื่อนของผมอย่างแนบเนียนแล้วคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร เขาถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วมองมาที่เราสองคนด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก เพราะไอ้กันย์ยกมือทั้งสองข้างมาจับเอวผมเอาไว้

"ไปเหอะ กูไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว"
กันย์กระซิบเสียงเบาคงเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน ผมพยักหน้ารับคำแล้วขอตัวกับทุกคนก่อนจะลากแขนเพื่อนออกมา ส่วนพี่พายก็เดินตามมาติดๆ

"เกิดอะไรขึ้น"
พี่พายถามด้วยน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อย กันย์ถึงกับเบะปากลงแล้วเหลียวหันกลับไปมองที่จุดนั้นก่อนจะรีบหันกลับมา สีหน้าดูไม่ดีจนต้องหาที่นั่งพักเพื่อพูดคุยกัน

"มันจะเข้ามาจีบ แต่พูดจาหมาไม่แดก"

"อ้อ... มึงเลยจะต่อยมันงั้นสิ"

"เออดิ แต่คิดได้ว่าต่อไปกูคงเข้าเรียนที่นี่เลยไม่ทำดีกว่า อึดอัดฉิบหาย"

"ใจเย็นเอาไว้น่ะดีแล้ว"
พี่พายลูบหัวไอ้กันย์เบาๆ เพื่อปลอบใจก่อนจะส่งยิ้มบางให้ หมอเป็นคนใจเย็น แต่บางครั้งมันดูเป็นคนเย็นชาแบบแปลกๆ เพื่อนผมพยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มกลับไป

"ขอบคุณครับพี่พาย เออ แล้วมึงจะไปคณะวิศวะอีกปะ"
ประโยคหลังมันหันมาพูดกับผม ตอนนี้ไม่อยากไปที่อื่นแล้วล่ะ ขอปักใจเรียนดิจิทัลอาร์ตกับมันเลยดีกว่า เพราะเจอพี่ข้าว้ลยทำให้ความคิดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเลยสักนิด

"ไม่แล้ว กูว่าจะเรียนดิจิทัลอาร์ตกับมึงนี่ล่ะ มีเพื่อนด้วย ขี้เกียจหาใหม่"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อน ไอ้กันย์เหล่ตามองแต่ก็ยอมยกยิ้มขึ้นจนได้

"จะไปไหนต่ออีกไหม หรือกลับบ้าน"
พี่พายถามแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมกับไอ้กันย์ส่ายหัวพรืดเพราะขี้เกียจเดินเตร็ดเตร่แล้ว กลัวจะโดนลากเข้าซุ้มนั้นซุ้มนี้ตามทางอีก เหนื่อยจะตาย

"กลับบ้านเลยครับ"
ผมตอบออกไป พี่พายพยักหน้ารับ

"เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านแล้วกัน"

"มึงกลับกับพี่พายนะ ญาติกูอยู่หอแถวๆ นี้อะ"
ไอ้กันย์บอกก่อนจะลาพี่พายแล้วตบไหล่ผมเบาๆ และเดินจากไป ปล่อยให้ความเงียบระหว่างเราโรยตัวลงมา ไม่อยากอยู่ด้วยกันตามลำพังเพราะมีเรื่องคนๆ นั้นทำให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถ้าผมบอกว่าผมชอบพี่ข้าว พี่พายจะฆ่าผมทิ้งหรือเปล่า

“กลับเลยไหม”
พี่พายถามขึ้นก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปที่ลานจอดรถ ผมนิ่งไปสักพักก่อนพยักหน้าตอบแล้วเดินตามเขาออกไป

ภายในรถไม่ได้เงียบจนน่าอึดอัดเท่าไหร่เพราะเสียงเพลงจากวิทยุดังคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาเล็กน้อย พี่พายดูอารมณ์ดีจนผมรู้สึกหวิวๆ เมื่อคิดว่าสาเหตุคงมาจากพี่ข้าวคนนั้น ไม่อยากอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแบบนี้ ผมไม่เคยปิ๊งใครมาก่อนในชีวิตที่ผ่านมา แฟนคนก่อนๆ ที่คบกันเพราะเขาเข้ามาจีบก่อนทั้งนั้น

“เฮ้ย ไอ้แสบไม่สบายหรือเปล่า เห็นเงียบมาตั้งนานแล้วนะ”
พี่พายพูดขึ้นในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองกัน ดวงตาสีเข้มภายใต้เลนส์แว่นจ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธก่อนจะเม้มปากเข้าหากันแน่นเพราะกำลังตัดสินใจว่าจะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับพี่ข้าวดีหรือเปล่า อยากรู้แต่ก็กลัวคำตอบ เอายังไงดีล่ะชีวิต

“เปล่าครับ แค่มึนๆ น่ะ”
ผมตอบปัดๆ ไปแต่ดูเหมือนพี่พายจะไม่เชื่อ เขาเอื้อมมือมาบีบไหล่กันก่อนจะให้มืออีกข้างดันหน้าผมให้มองสบตากัน มันคือการคาดคั้นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ พี่พายเก่งในเรื่องจับสังเกตความผิดปกติของคนอื่นอยู่เสมอ ผมพลาดเองที่แสดงออกมากเกินไปจนโดนจับได้

“มีอะไรอยากถามก็ถาม ถ้าตอบได้จะตอบ”
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมเผลอกลั้นลมหายใจ อยากบอกให้เขาเปลี่ยนไปทำอาชีพหมอดูสุดๆ ทำไมถึงได้รู้ทันคนอื่นแบบนี้ก็ไม่รู้ ดวงตาสีเข้มจ้องกันอย่างคาดคั้น ลมหายใจอุ่นๆ บอกให้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมาแค่ไหน ใกล้จนสามารถจูบกันได้เลยมั้ง ผมหลุบตาลงต่ำเพราะไม่อยากถูกกดดันมากไปกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าปัดมือเย็นๆ ออกจากใบหน้า กลัวว่าเรื่องมันจะยืดยาวมากไปกว่านี้เลยตัดสินใจจะถามพี่พายเรื่องที่คาใจออกไป

“พี่ข้าวกับพี่พายเป็น...”
ผมพูดไม่ออกเลยหยุดไว้แค่นั้นแล้วเม้มปากแน่น กลัวคำตอบจนเสียงที่ควรจะมีกลับหายเข้าไปในลำคอจนหมด พี่พายเลิกคิ้วขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเหมือนเขารู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อในประโยคต่อไป

“พี่กับข้าวไม่ได้เป็นแฟนกันเว้ย ชอบเขาเหรอ”
ประโยคต้นว่าน่าดีใจแล้วแต่ประโยคท้ายทำให้ผมเบิกตาโตแล้วอ้าปากพะงาบๆ ไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้พี่พายรู้ดีขนาดนั้น ก็ไม่ได้แสดงออกอะไรนี่หว่า ช่วงเวลาที่อยู่กับพี่ข้าวก็โคตรจะสั้น นี่ยังไม่รู้เลยว่าเขาจำชื่อผมได้ไหม

พี่พายขยับตัวออกไปแล้วพิงหลังลงบนเบาะพลางถอนหายใจออกมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มในตอนแรกกลับมาเรียบเฉยจนไม่สามารถเดาอารมณ์ของเขาได้เลย หมอนี่อารมณ์แปรปรวนเหมือนผู้หญิงเป็นประจำเดือนหรือเปล่าวะ รู้สึกว่าตั้งตัวรับมือไม่ทัน

“รู้ได้ไงวะ ผมก็ชอบนั่นล่ะ เหมือนเจอรักแรกพบ”
ผมตอบออกไปตามความจริงในขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ จุดหมายปลายทางตอนนี้ไม่ได้ตรงไปที่บ้านใครแต่อย่างใด มันออกนอกเส้นทางเพื่อจะตรงไปยังที่ใดที่หนึ่ง

“พี่ก็ชอบข้าวนะ แต่... ข้าวไม่ได้ชอบพี่หรอก”
พี่พายพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบจนผมกลัวว่าที่พูดไปก่อนหน้านี้มันจะกลายเป็นความผิด มีอย่างที่ไหนชอบคนที่พี่ตัวเองชอบ... มันบ้าไปแล้ว แต่จะให้ถอนตัวก็ไม่อยากถอน หัวใจมันเรียกร้องว่าอยากเดินหน้าไม่อยากถอยหลัง นานๆ ครั้งจะเจอใครถูกใจได้มากขนาดนี้

“พี่พาย ผมขอโทษ”
ผมพูดเสียงเบาหวิวก้มหน้ามองมือตัวเองไปตลอดทาง ส่วนพี่พายเลือกจะเงียบแล้วไม่พูดอะไรต่อจนมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง

พี่พายลงจากรถไปเงียบๆ ส่วนผมก็ก้าวลงตามเขาไป เท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นหญ้าสีเขียวที่ทอดตัวยาวไปไกล ไอน้ำจากบึงกลางสวนทำให้อากาศตอนนี้ไม่ร้อนมากนัก แต่บรรยากาศรอบตัวพี่พายช่างน่ากลัวเหลือเกิน อยู่ๆ เขาก็หยุดเดิน จนผมที่เดินตามเกือบชนแผ่นหลังกว้างนั่น

“มาเดินข้างๆ กันสิ”

“อ่า ครับ”
ผมเดินขึ้นไปเทียบข้างๆ พี่พายก่อนเราจะออกเดินพร้อมกันอีกครั้ง ความเงียบโรยตัวลงมาจนอยากหนีไปจากตรงนี้ แต่ทำไม่ได้

“แฮงค์จะชอบข้าวก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก เพราะพี่ไม่อยากได้ข้าวมาเป็นแฟน”
พี่พายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ดวงตาสีเข้มเหม่อมองท้องฟ้าสีครามที่ปลอดโปร่งไร้เมฆ ขาของเราทั้งคู่ยังก้าวเดินไปบนพื้นหญ้าสีเขียวเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหนื่อย ผมเผลอเม้มปากเข้าหากันเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา แล้วมันยังไงล่ะ ชอบแต่ไม่ได้อยากเอามาเป็นแฟน

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็เพราะพี่รักคนอื่นยังไงล่ะ ดูเลวเนอะ แต่ทำไงได้รู้สึกแบบนั้นไปแล้ว”

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนผมกลับถึงบ้าน ใครๆ ก็รู้ว่าการมีคนสองคนอยู่ในใจมันเป็นเรื่องที่แย่มาก แต่เชื่อว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลในการทำแบบนั้น พี่พายไม่ได้พยายามจีบพี่ข้าวเพื่อให้มาเป็นแฟนกับตัวเองเพราะรู้ว่าตัวเองรักอีกคนหนึ่งมากกว่า ผมอยากรู้ว่าคนๆ นั้นคือใคร และเจ้เฟรนด์อาจจะรู้

ผมเดินเข้าบ้านด้วยสภาพที่หมดเรี่ยวแรง เจ้เฟรนด์ที่นอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกผงกหัวขึ้นมามองกันเล็กน้อยแล้วกวักมือเรียกให้เข้าไปหา เธอลุกขึ้นแล้วขยับที่ว่างให้กัน ผมยิ้มและนั่งลงข้างๆ อย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับหัวสมองที่สับสนในตอนนี้ดี

“นี่ๆ เพื่อนเจ้ส่งข้อความมากรี๊ดกร๊าดแกใหญ่เลย... บอกว่าแกหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ พอเจ้บอกว่าแฮงค์เป็นน้องชายแท้ๆ พวกนั้นยิ่งกรี๊ด”
เธอเล่าอย่างตื่นเต้นก่อนจะรวบแขนข้างหนึ่งของผมเขาไปกอดไว้ เข้าใจว่ามีน้องชายหน้าตาดีแล้วมันภูมิใจซึ่งผมก็ภูมิใจเหมือนกันถ้ามีใครมาชมพี่สาวว่าสวย แต่อารมณ์ในตอนนี้มันสับสนปนเปไปหมด





ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #86 เมื่อ26-12-2016 21:27:06 »

“อ่าฮะ เจ้สนิทกับพี่พายมากใช่ปะ พอจะรู้ไหมว่าพี่พายรักใคร”
ผมถามออกไปโดยไม่กลัวอะไร เพราะเจ้เฟรนด์เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของน้องชายคนนี้เสมอ เธอเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่มั่นใจสักเท่าไหร่

“พี่พายอะเหรอ น่าจะเป็นหมอสักคนในโรงพยาบาลนั่นล่ะ”

“ผู้ชายเหรอ”

“เออสิ พี่พายเป็นเกย์ แกไม่รู้เหรอ”

“อือ ก็เพิ่งรู้นี่ล่ะครับ”
ผมไม่รู้จริงๆ นั่นล่ะว่าลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันเป็นเกย์ แต่ไม่ได้ตกใจอะไรเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่สามารถกำหนดความรู้สึกของใครได้

“แกเป็นอะไรหรือเปล่าแฮงค์ ดูไม่ค่อยสดชื่น”
เจ้เฟรนด์ยกมือนุ่มนิ่มขึ้นลูบแก้มกันแล้วส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยมาให้อย่างไม่ปิดบัง ผมคลี่ยิ้มบางให้เธอก่อนจะเอนตัวลงนอนบนตักของพี่สาวและหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายประสาทที่ตึงเครียด เพิ่งเริ่มชอบเขายังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยจะคิดอะไรมากมายวะ

“เจ้รู้หรือเปล่าว่าพี่พายชอบคนชื่อข้าว”
ผมพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตา รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไรอยู่เหมือนกัน

“ไอ้ข้าวอะนะ เพื่อนเจ้เองล่ะ ก็รู้ พี่พายเคยบอกว่าชอบ แต่ก็แค่ชอบล่ะนะ ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน”

“วันนี้ผมเจอพี่ข้าวล่ะ... แล้วผมก็คิดว่าผมชอบเขา”
ผมลืมตาขึ้นมองใบหน้าหวานๆ ของเจ้ที่ไม่มีแววตกใจแม้แต่นิดเดียว เรื่องจะชอบเพศไหนไม่เคยมีใครในบ้านนี้ขัดขวางหรอก เธอระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะใช้มือลูบหัวผมเล่นเบาๆ

“ไม่แปลกถ้าแฮงค์จะหลงเสน่ห์คนแบบข้าว นั่นอดีตเดือนคณะเลยนะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก็รู้ว่าเขาหน้าตาดีแต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงเดือนคณะ แอบตกใจอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่แปลกใจหรอก หน้าตามันก็มีส่วนให้ชอบคนๆ หนึ่งได้ แต่ผมคิดว่าบรรยากาศรอบตัวพี่ข้าวที่ดูสดใสสบายๆ แต่ก็มีอะไรให้น่าค้นหามากกว่าที่ทำให้ผมชอบ

“เจ้จะเชียร์ผมไหม”
ผมถามก่อนจะช้อนสายตาอ้อนๆ ส่งไปให้เธอ เจ้เฟรนด์ส่ายหน้าช้าๆ แล้วดีดมือลงบนหน้าผากของผมไม่แรงมากนัก ไม่ช่วยแล้วยังทำร้ายกันอีก คนบ้าอะไรเนี่ย

“พี่ชายข้าวดุนะ แกน่าจะรู้ว่าอายุแกกับข้าวห่างกันมาก เป็นเด็กกะโปโลคิดจะจีบเด็กมหา’ลัยเหรอ แฮงค์มั่นใจว่าจะดูแลข้าวได้หรือเปล่าล่ะ”

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องเก็บความรู้สึกชอบใครสักคนเอาไว้ในใจ รอตัวเองโตพอที่จะดูแลคนที่ตัวเองชอบให้ดีที่สุด แล้วมันยังเป็นบทพิสูจน์อันยาวนานว่าผมจะชอบคนๆ หนึ่งไปได้นานแค่ไหน หลังจากนั้นผมก็ได้รับความเคลื่อนไหวของพี่ข้าวจากเจ้ตลอด บางครั้งมาจากพี่พายด้วยซ้ำ


หลังจากวันนั้นผ่านไปสามปีผมก็ยังรู้สึกกับพี่ข้าวเหมือนเดิม ไม่สิ ไม่เหมือนเดิม จากชอบมันกลายเป็นรักไปแล้วโดยที่อีกคนไม่รู้ตัวและลืมไปแล้วว่าผมเป็นใคร มาเจอกันอีกครั้งด้วยความพร้อมที่จะดูแลพี่ข้าว แต่อีกคนกลับว่างเปล่าเหมือนไม่เคยรู้จักกัน เคยแอบน้อยใจแต่จะให้ทำยังไงได้ตอนนั้นเจอกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แถมยังไม่ได้คุยกันสักคำ ในตอนที่เจอพี่พายที่โรงพยาบาลพร้อมกับพี่ข้าวแล้วโดนถามว่ามีซัมติงกันเหรอ ผมแทบกระโดดกัดหัวพี่ชายตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด แซวออกมาแบบนั้นได้ยังไงกัน

สายตาของพี่พายที่มองพี่ข้าวไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก มันเหมือนการชอบใครสักคนแต่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แถมยังไม่ก้าวก่ายหรือขัดขาผมที่พยายามเดินหน้าจีบพี่ข้าวเลยสักนิด หมอแค่พูดว่า ‘ถ้าคนที่อยู่ข้างข้าวเป็นแฮงค์พี่ก็ยอม’ ดูสิ ไหนบอกว่าไม่อยากได้เขาเป็นแฟนแล้วจะหวงทำไมวะ ทำงานจนสมองเบลอหรือยังไง จะมีใครเข้าใจความเป็นพะพายบ้างไหมเนี่ย

“แฮงค์!”
เสียงตะโกนข้างหูทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกลับมามองคนที่กำลังทำหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จนลืมไปว่าพี่ข้าวมาทำแผลรอบเช้าก่อนออกไปทำงานที่บริษัทให้กัน ดูทำตัวเข้าสิ น่ารักแบบนี้จะไม่ให้รักยังไงไหวล่ะคนเรา

“ครับผม ~”
แกล้งลากเสียงยาวใส่แล้วคลี่ยิ้มกว้างแถมให้ พี่ข้าวแจกมะเหงกให้กลางหัวก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย

“คิดอะไรอยู่ พี่เรียกตั้งนาน”

“คิดถึงพี่ข้าวนั่นล่ะครับ”

“เหอะ ก็อยู่ด้วยกันจะคิดถึงทำไมวะ ตลกแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ แล้วเจอกันวันอาทิตย์”
พี่ข้าวบอกมาแบบนั้นแต่ก็คลี่ยิ้มบางส่งมาให้กันพร้อมกับลูบหัวเบาๆ ไม่อยากให้เขากลับไปนอนที่บ้านเลย แต่คิดถึงสภาพของพี่ต้นแล้วผมก็ไม่อยากเสี่ยงสักเท่าไหร่ ฝ่าด่านพี่ชายคงยากกว่าจีบเจ้าตัวอีกมั้ง เฮ้อ

“ไม่กลับไม่ได้เหรอครับ”
ผมพูดเสียงอ้อนๆ แล้วใช้หัวถูไถกับมือนุ่มนิ่มนั่น พี่ข้าวถลึงตาใส่ก่อนจะผละตัวออกไปยืนไกลๆ เขาย่นจมูกใส่กันแล้วหันหลังให้

“จีบพี่ต้องอดทน ดีกว่าโดนพี่ต้นฆ่าตายนะ”
เขาว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งอมยิ้มเป็นคนบ้าอยู่อย่างนั้น คนอะไรยิ่งได้คุยมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งทำให้ตกหลุมรักมากขึ้นเท่านั้นวะเนี่ย ถ้าวันไหนเกิดทนไม่ได้แล้วจับพี่ข้าวฟัดขึ้นมาอย่าโทษผมนะ ต้องโทษความน่ารักของนายการินล้วนๆ เลย




---------------------------------------------------------

ทุกคนรู้แล้วใช่ปะว่าแฮงค์ชอบข้าวมานานแค่ไหน... มีแค่ข้าวนั่นล่ะที่ยังไม่รู้ เพราะแฮงค์ไม่ยอมบอก 55555

เราให้ทุกคนร่วมทายดีกว่าว่าจริงๆ แล้วพี่พายรักใคร ?
ตอบถูกไม่มีรางวัลหรอกนะ แต่แฮงค์จะมอบ free hug ให้ คึคึ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #87 เมื่อ26-12-2016 21:50:52 »

 :impress3: :hao6:

ออฟไลน์ toeyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #88 เมื่อ26-12-2016 21:55:08 »

พี่พายชอบหมอตุลย์แน่นอน  ฟันเฟิร์ม 5555555555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 10 -P.3- (26.12.2016)
«ตอบ #89 เมื่อ26-12-2016 22:10:48 »

พี่พายชอบหมอตุลย์แน่นอน  ฟันเฟิร์ม 5555555555

ใช่เลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด