♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Alcohol Addict ♥ แจ้งข่าวเรื่องการตีพิมพ์หนังสือ -P.9- (17.07.2017)  (อ่าน 82524 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #120 เมื่อ08-01-2017 22:20:18 »

เย้.....ทายถูก พี่พายชอบพี่ตุลย์
พี่ตุลย์ ยังกะเด็ก เอาแต่ใจ
ไม่ได้เป็นอะไรกับข้าว ซะหน่อย เรียกร้องน่าดู
แต่อย่างพี่ตุลย์นี่เป็นคนตรงๆ
รักชอบ บอกเลย ไม่มีปกปิดอำพราง
เลยมองพี่พายไม่ออกว่าชอบตัวเอง
แต่ปราณนะสิ ใจเสียไปแล้วม้าง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #121 เมื่อ08-01-2017 22:22:16 »

ถอดใจเลยแฮงค์ พี่ข้าวเล่นตัวมากไปแล้ว ชิ!!

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #122 เมื่อ08-01-2017 23:01:41 »

ไม่เป็นไรพี่ตุลย์ไม่เอาเราเอาพายเอง55
โดนพี่พายถีบ :z6: :z6:

รอพี่ข้าวหวั่นไหวกับแฮงค์เยอะๆ :ling1: :ling1:

 :katai5: :katai5:

 :pig4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #123 เมื่อ08-01-2017 23:10:11 »

พี่ตุลย์นี่ไม่ไหวนะ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #124 เมื่อ08-01-2017 23:12:29 »

สงสารพี่หมอพาย

เฮ้ออออ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #125 เมื่อ08-01-2017 23:31:14 »

ลุ้นกันต่อไป  :katai4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #126 เมื่อ09-01-2017 00:33:40 »

 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ fahtallll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 13 -P.4- (08.01.2017)
«ตอบ #127 เมื่อ09-01-2017 19:30:28 »

ลุ้นๆๆ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
«ตอบ #128 เมื่อ13-01-2017 22:24:53 »

เมาครั้งที่ 14




ตึกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แค่ยืนอยู่ตรงนี้ยังคล้ายได้กลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาลลอยมาเตะจมูก ไม่อยากก้าวเข้าไปข้างในเพราะคนข้างตัวเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ผมไม่มีเวลามากพอจะอธิบายอะไรเพราะสายเรียกเข้าจากพี่พายนั้นเร่งเร้าเหลือเกิน ถ้าพี่ต้นอยู่ด้วยกันตอนนี้คงจัดการคนเอาแต่ใจอย่างพี่ตุลย์ได้อยู่หมัด

"รีบเข้าไปเถอะครับ เขาคงรออยู่"
น้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตากลับหม่นแสงนั้นทำให้ผมใจกระตุก กลัวว่าแฮงค์จะคิดเป็นตุเป็นตะว่าที่ผมต้องรีบถ่อสังขารมาเยี่ยมพี่ตุลย์ตอนนี้เพราะเป็นห่วงหรือมีความรู้สึกดีๆ ด้วย อยากบอกเหลือเกินว่าความจริงมันช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แต่จะให้พูดยังไงในเมื่อเจ้าตัวไม่ถามออกมา

"อือ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ดวงตาจ้องมองคนด้านข้าง เขาหันมาคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้มือแตะแขนเป็นสัญญาณให้ออกเดินสักที

พวกเราหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วย มันดูเงียบสงบต่างจากที่ผมได้ยินผ่านโทรศัพท์ราวฟ้ากับเหว พี่ตุลย์คงสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ความคิดในตอนนี้กำลังตีรวนเพราะผมไม่อยากเข้าไปข้างใน ไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยอะไรกับคนๆ นั้นทั้งสิ้น ถ้าพี่หมอพายไม่ได้เป็นคนขอร้องผมจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาด

"เข้าไปสิครับ เดี๋ยวผมนั่งรอหน้าห้องเนอะ"
แฮงค์พูดขึ้นหลังจากที่เห็นผมยืนมองบานประตูอยู่แบบนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนน่ากลัว ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ไล่จีบกันทุกวี่ทุกวันจะมีมุมแบบนี้... ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจเจตนาผิดเลย

"เข้าไปด้วยกันได้ไหม พี่ไม่อยากอยู่กับพี่ตุลย์สองต่อสอง"
ผมว่าเสียงอ้อมแอ้มแต่คาดว่าคนที่รอฟังคงได้ยินชัดเจน เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงราวกับไม่เข้าใจประโยคที่ผ่านหูไปเมื่อครู่ เพราะว่ากันแล้วคือผมเป็นฝ่ายดึงดันมาที่นี่ แต่พอถึงเวลากลับไม่อยากเจอคนป่วย มันก็น่าแปลกอยู่ล่ะ

"หือ ทำไมล่ะครับ พี่จะมาเยี่ยมเขาไม่ใช่เหรอ"
แฮงค์เอียงคอมองกันเล็กน้อย ดวงตาคมฉายแววไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน ผมเองก็ไม่อยากอ้อมค้อมหรือปิดบังอะไรให้เรื่องราวมันบานปลายใหญ่โตสักเท่าไหร่เลยเลือกจะบอกความจริงดีกว่า ถึงแม้ว่าพี่พายจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม

"เปล่า... ไม่ได้อยากมา แต่มีคนขอร้อง"
ผมพูดไม่เต็มเสียงนักเพราะคิดถึงน้ำเสียงสั่นๆ ของพี่พายแล้วรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว ยิ่งได้รับรู้ว่าความพยายามของคนๆ หนึ่งที่อยากดูแลเอาใจใส่คนๆ หนึ่งนั้นบางครั้งก็ไร้ค่าเพราะถูกมองข้ามด้วยแล้วนั้น มันแย่มากๆ แย่จริงๆ

"ใครครับ... ถ้าพี่ไม่เต็มใจมาใครจะบังคับได้"
น้ำเสียงของแฮงค์เริ่มแข็งกระด้าง ผมไม่อยากทะเลาะกับเขาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ดูท่าทางจะเป็นไปได้อย่างยากลำบากถ้าหากไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเขาเย็นลงได้

"พี่พาย... เขาขอร้องให้มาเยี่ยม เพราะพี่ตุลย์เขาไม่ฟังใคร เรียกร้องแต่จะเจอพี่"
ยิ่งพูดความจริงไปมากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนแฮงค์จะแย่ขึ้นมาเท่านั้น เขายกมือขยี้หัวไปมาอย่างรุนแรง ดวงตาคมฉายแววสับสนจนผมอยากคว้าตัวเข้ามากอด แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทำให้ความคิดนี้กลายเป็นโมฆะ

"ทำไมวะ ผมไม่เข้าใจ พี่ตุลย์ชอบพี่ข้าวใช่ไหม แล้วพี่ล่ะ... ชอบเขาหรือเปล่า"
แฮงค์เอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับไหล่กันไว้ ดวงตาคมฉายแววสั่นไหวอย่างไม่ปิดบัง ถ้าหากเขาปล่อยให้น้ำตาไหลได้ตอนนี้คงทำไปแล้วล่ะมั้ง นี่คือมุมอ่อนแอของคนที่ชอบใครสักคนอย่างนั้นเหรอ ผมกำลังจะอ้าปากตอบคำถามคนตรงหน้าแต่เสียงเรียกที่คุ้นเคยกลับดังขึ้นมาซะก่อน เราผละออกจากกันแล้วหันกลับไปหาพี่พายที่เดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี ตรงแขนมีร่องรอยการถูกทำแผลหลงเหลืออยู่ เดาไม่ยากคงเกิดจากพี่ตุลย์

"ข้าว!"

"พี่พาย..."
ผมกับแฮงค์ครางเสียงเบาออกมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อพี่พายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้และหยุดตรงหน้า ตาที่บวมช้ำคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ดูท่าทางคุณหมอจะล้มพับได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าได้กลับบ้านไปพักบ้างไหม หรือว่าเข้าเวรจนลากยาวมาถึงเวลานี้กันนะ

"เข้าไปเยี่ยมตุลย์สิ"
พี่พายพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ พอเข้าใจว่าคนที่ผ่านการร้องไห้มาจะเป็นแบบนี้แทบทุกคน ความจริงอยากถามโต้งๆ ว่าเขาเสียใจมากขนาดไหนถึงมีสภาพล่อแล่อย่างนี้แต่กลัวว่าจะทำให้รู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่

"พี่พาย... ไปพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเรื่องพี่ตุลย์ผมจัดการเอง"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเข้าไปแตะบ่ากว้างเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำมองกันอย่างอ่อนล้า เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ยอมเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน ยังคงรอให้ผมทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะย่างก้าวหรือเอื้อมมือเปิดประตู แฮงค์ยืนยิ่งอยู่ข้างๆ กันโดยพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่ยอมอ้าปากไถ่ถามลูกพี่ลูกน้องตัวเองสักคำ

"เข้าไปสิครับข้าว"
พี่พายย้ำอีกครั้งพร้อมส่งสายตาเชิงบังคับซึ่งผมไม่เคยเจอเขาโหมดนี้มาก่อน ส่วนแฮงค์รีบหันขวับมองคนที่เป็นพี่ชายอย่างเกรี้ยวกราด สถานการณ์ตอนนี้ออกแนวอึดอัดจนอยากหนีไปไกลๆ เป็นคนกลางนี่โคตรลำบากใจว่าไหม

"ครับ แฮงค์เข้าไปกับพี่นะ"
ผมเลิกสนใจพี่พายที่มีนิสัยแปลกออกไปจากเดิมแล้วหันไปขอร้องคนที่มาด้วยกันแทน แฮงค์มองกันเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับคำ แต่อีกคนกลับทำใบหน้าปั้นยากส่งมาให้แล้วเดินเข้ามาบีบแขนน้องซะแน่น อาการแบบนี้ไม่อยากให้ใครเข้าไปในห้องนอกจากผมแน่ๆ แต่ใครจะยอมล่ะ ที่มาเยี่ยมก็เพราะเขาขอร้องทั้งนั้น ไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด ถึงจะสงสารแต่ความรู้สึกของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน

"ข้าวเข้าไปคนเดียวเถอะ พี่ไม่อยากเห็นตุลย์อาละวาดอีก"
สุดท้ายพี่พายก็ห่วงแต่ความรู้สึกคนที่ตัวเองชอบ ไม่ได้ห่วงเลยว่าผมกับแฮงค์จะรู้สึกแย่แค่ไหนกับสิ่งที่เขากำลังยัดเยียดให้ในตอนนี้ เหมือนอยากเอาใจคนป่วยด้วยการประเคนตัวผมไปให้แต่ตัวเองต้องน้ำตาตกมองอยู่ไกลๆ มันเป็นเรื่องที่บ้าเอามากๆ

แฮงค์มีสีหน้าแย่ลงอย่างไม่ปิดบัง เขาแกะมือพี่พายออกแล้วผละตัวห่างโดยไม่สนใจว่านั่นคือพี่ชายที่เพิ่งผ่านการร้องไห้จนสภาพคล้ายซอมบี้ รู้ว่าเขาเองก็คงเป็นห่วงคุณหมอไม่ต่างกัน แต่ความรู้สึกของตัวเองก็สำคัญ

ผมเป็นคนที่ยอมรับว่าตัวเองหัวแข็ง คิดอะไรก็พูดออกไปตรงๆ ใครจะหาว่าใจร้ายก็ช่าง เพราะแคร์คนอื่นมากก็ไม่ดี ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมเอาความสงบสุขทั้งชีวิตเข้าแลกเลยหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด ผมคิดว่ามันผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีที่สุดแล้วจริงๆ

"พี่พายครับ ผมให้แฮงค์มาส่งที่นี่เพราะพี่ขอให้มาเยี่ยมพี่ตุลย์ พูดตามความรู้สึกแล้วผมไม่อยากมาด้วยซ้ำ ถ้าการที่ผมพาคนอื่นเข้าไปในห้องจะทำให้เขาอาละวาดก็ช่วยไม่ได้"
พูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละ พี่พายสะดุดกึกแล้วมองกลับมาด้วยสีหน้ารวดร้าว เหมือนทุกอย่างที่สร้างมากับมือกำลังพังทลาย แฮงค์มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวคงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรร้ายกาจแบบนั้นออกไป ก็เคยบอกแล้วว่าจะจีบกันต้องอดทน ความหมายคืออดทนทั้งกับตัวผมเองและอดทนกับพี่ต้นด้วย

"ข้าว... อย่าทำร้ายตุลย์"
พี่พายว่าเสียงอ่อย มันดูน่าสงสารแต่ทำให้ผมนึกโมโหขึ้นมา แค่พูดตรงออกไปเท่ากับว่ากลายเป็นคนใจร้ายอย่างนั้นเหรอ ตลกดี

"หึ แล้วที่พี่ทำอยู่ตอนนี้คิดว่าดีเหรอครับ ผมรู้สึกแย่แค่ไหนพี่รู้ปะ แล้วแฮงค์จำเป็นต้องไร้ความรู้สึกไหมตอนที่ต้องส่งคนที่ตัวเองชอบให้ถึงมือคนอื่นแบบนี้ ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ... พี่จะทำร้ายตัวเองอีกเท่าไหร่ถึงพอ รักเขาชอบเขาไม่เห็นต้องเอาใจเขาในแบบที่ทำให้พี่พายเจ็บเจียนตายเลยนี่"
พูดออกไปจนหมดแล้ว ใครยังไม่เข้าใจอีกก็จะช่างหัวมันแล้วทั้งพี่พายทั้งแฮงค์ ผมสาธยายทุกอย่างที่รู้สึก ไม่อยากให้พี่ชายที่ขึ้นชื่อว่าสนิทกันจมอยู่กับความเจ็บปวดและการแอบรักแบบทุ่มเทหมดหน้าตัก ไม่อยากให้คนที่กำลังจีบตัวเองหมดกำลังใจไปดื้อๆ เพราะมันกำลังไปได้สวย ยอมรับว่าเริ่มหวั่นไหวกับเขาไปแล้ว ไม่อยากให้คนอย่างพี่ตุลย์มาทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ระหว่างเราทั้งสามลงง่ายๆ

พี่พายนิ่งเงียบไปเพราะผมคงพูดแทงใจดำ แฮงค์อ้าปากค้างจนอยากดันคางให้เข้าที่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะอึ้งอะไรนักหนา ก็ผมเป็นของผมอย่างนี้ อะไรที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขก็ไม่รู้จะฝืนไปเพื่ออะไรเหมือนกัน

"ฮะๆ พี่ยอมแพ้ครับ แล้วแต่ข้าวเลยว่าจะทำยังไง พี่ขอตัวล่ะ"
พี่พายหัวเราะออกมาอย่างฝืน ดวงตาดูอ่อนล้าและยอมแพ้ราบคาบ เขาเดินจากพวกเราไปอย่างคนไร้เรี่ยวแรง กลัวว่าสักก้าวจะทำให้สะดุดจนล้มลงไปกองกับพื้น แต่จนแล้วจนรอดก็สามารถทรงตัวเลี้ยวหายไปตรงมุมตึกได้ ผมถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือหนักใจกว่าเดิม

"พี่แม่ง... น่ากลัวว่ะ พูดตรงเกินไปแล้ว"
แฮงค์พึมพำแต่สีหน้ากลับดีขึ้นจนผมแอบอมยิ้มไม่ได้ บางครั้งการที่พูดอะไรตรงๆ ออกไปก็ไม่ได้ส่งผลแย่สักเท่าไหร่ ดูอย่างตอนนี้สิ คนข้างกายยิ้มออกก็คุ้มค่าแล้ว ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับข้อกล่าวหานั้นแล้วเอื้อมมือไปแตะลูกบิด ยังไม่ทันจะได้เปิดอีกคนก็โผล่งขึ้นมาซะก่อน

"เอ่อ... ผมรออยู่ข้างนอกดีกว่ามั้ง"
เขาพูดเสียงอ้อมแอ้มเหมือนไม่กล้าเข้าไปด้านในสักเท่าไหร่ แต่ผมหรือจะปล่อยให้เขารออย่างกระสับกระส่ายแล้วคิดไปเองอีก เหนื่อยนะที่โดนคนอื่นเข้าใจตัวเองผิดน่ะ

"เข้าไปด้วยกันสิ จะปล่อยให้หมออ้อนพี่หรือไง"
ผมพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะได้รับใบหน้าบูดบึ้งของแฮงค์กลับมา ร่างสูงออกตัวจับลูกบิดประตูให้เปิดออกซะเองแถมยังก้าวเข้าไปด้านในก่อนอีก ผมได้แต่ยืนอึ้งแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทางหวงของแบบเด็กๆ ของเขา ก็ดู... น่ารักดีละมั้ง

ผมเดินตามเข้าไปด้านในและพบว่าพี่ตุลย์กำลังนั่งพิงเตียงผู้ป่วยอยู่ ใบหน้าฉายชัดถึงความงงด้วยที่ได้เห็นบุคคลไม่คุ้นหน้า แต่พอดวงตาคมเหลือบมองเห็นกัน รอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์กลับผุดขึ้นที่มึมปากอย่างง่ายดาย ไม่ขออะไรมากเลยนอกจากขอว่าไม่ให้เขาคิดไปเองว่าผมเป็นห่วง

"ข้าว มาเยี่ยมพี่จริงๆ ด้วย"
เขาละความสนใจจากแฮงค์อย่างหน้าตาเฉยจนทำให้น้องอึกอักทำตัวไม่ถูก ผมได้แต่ยิ้มแหยให้แล้วขยับไปยืนข้างๆ กับคนที่มาด้วย จะไม่ยอมเข้าใกล้ในระยะที่พี่ตุลย์เอื้อมมือถึงเด็ดขาด ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าก็ยังรุนแรงเสมอ

"ครับ พี่พายขอให้มาน่ะ"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามความจริง ไม่สนใจหรอกว่าคนป่วยจะรู้สึกแย่แค่ไหน แต่พี่ตุลย์คงรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดหรือไม่พอใจเลยสักนิด ริมฝีปากยังคงขยับยิ้มให้กันเหมือนเดิม ซึ่งต่างจากแฮงค์ที่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน

"หืม ใจร้ายกับพี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะข้าว ระวังตัวเถอะ สักวันจะเผลอหลงเสน่ห์คนอย่างพี่"
พี่ตุลย์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้น สายตาที่มองมาพราวระยับจนผมรู้สึกขนลุก อะไรบางอย่างกำลังบอกว่าเรื่องราวแย่ๆ อาจจะเกิดขึ้น แฮงค์เผลอกัดกรามจนเห็นสันนูนขึ้นบนใบหน้า สงสารเขาที่ต้องข่มอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้แบบนั้น ผมไม่น่าลากน้องเข้ามาเลย แบบนี้ยิ่งทำร้ายกันมากกว่าหรือเปล่านะ

"ถ้าผมจะหลงคงหลงไปนานแล้วล่ะครับพี่ตุลย์ ไม่ต้องรอให้มันผ่านมาจนเกือบสิบปีแบบนี้หรอก"
พูดดีๆ กับพี่ตุลย์ไม่เคยได้เลยสักครั้งหลังจากผ่านเหตุการณ์แย่ๆ มา จ้องจะปล้ำกันตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ใครมันจะไปลืมลง ต่อให้เราปล่อยวางไปแต่อีกคนยังยึดถือก็เปล่าประโยชน์ ไม่รู้วันดีคืนดีจะกลับมาคิดอกุศลแบบนั้นอีกครั้งหรือเปล่าก็ไม่รู้

"นั่นสินะ แล้วนี่พาคุณลูกศิษย์มาด้วยทำไมล่ะ กลัวพี่จะปล้ำข้าวเหรอ"
น้ำเสียงที่พูดดูปกติดี แต่สายตาที่มองแฮงค์เต็มไปด้วยความเคลือบแครง ระหว่างทั้งสองคนเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปลาบยังไงก็ไม่รู้ เขาบอกว่าผีเห็นผีคงจะจริง ชอบผมทั้งสองคนเลยนี่เนอะ... ฮอตในหมู่ผู้หญิงอย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง นี่ในหมู่ผู้ชายด้วยเหรอ เพลียใจจริงๆ

"ก็คงงั้นล่ะครับ ผมกลับก่อนนะ มีงานต้องทำ"
ผมพูดออกไปพร้อมกับคว้ามือแฮงค์มาจับเพื่อจะลากให้ออกไปจากห้องโดยที่พี่ตุลย์ต้องตั้งคำถามอะไรบ้างอย่างแน่นอน ซึ่งมันคือแผนการตัดความรำคาญรูปแบบหนึ่ง อยากให้เขาหยุดวุ่นวาย เลิกจีบ เลิกหวังอะไรจากผมสักที ถึงจะบอกว่าพร้อมหยุดเจ้าชู้ก็เถอะ นายการินก็ยังไม่ชอบเขาอยู่ดี

"เดี๋ยว... ข้าวกับลูกศิษย์มีซัมติงกันเหรอ"

"ตามที่พี่คิดเลยครับ ให้ผมไปได้หรือยัง"

"ไม่ได้... มึงเป็นอะไรกับข้าววะ!"
พี่ตุลย์โวยเสียงดังพอให้ผมสะดุ้งตกใจแล้วหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยขึ้นเสียงใส่ใครขนาดนี้มาก่อน ดวงตาคมจ้องมองแฮงค์เหมือนกับจะฆ่าแกงกัน แต่ขึ้นมึงขึ้นกูกับคนอื่นแบบนี้มันเกินไป

แฮงค์หน้าซีดแต่ก็ไม่มีท่าทางจะถอยหนีแต่อย่างใด เขายืนนิ่งและกำหมัดแน่นจนผมกลัวว่าถ้าขาดสติอาจจะตรงเข้าไปกระชากตัวคนป่วยได้เลยตรงกระตุกมือเขาให้เดินมาอยู่ด้านหลัง

"แฟนผมครับ แล้วกรุณาอย่าขึ้นมึงกูกับคนที่ไม่สนิทด้วย ผมไม่ชอบ"
ตั้งใจพูดออกไปแบบนั้นเพราะอยากให้พี่ตุลย์เลิกยุ่งกับตัวเอง จะว่าผมหาทางออกได้แย่ที่สุดก็ยอมรับ แฮงค์ถึงกับอ้าปากพะงาบๆ เมื่อฟังจบ ใบหน้าหล่อเหล่าที่ยามนี้แดงระเรื่อทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาคงเขินที่ได้เป็นแฟนกันแบบไม่ทันตั้งตัว ผมบีบมือที่ประสานกันแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ส่งสัญญาณให้ร่วมมือกันหน่อย น้องตอบรับด้วยการบีบมือกลับว่าเป็นอันว่าแผนการสำเร็จ

พี่ตุลย์ดูตะลึงมากก่อนใบหน้าซีดเซียวจะเริ่มบูดเบี้ยว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น มือกำหมัดจนขึ้นข้อขาว อีกไม่นานเจ้าตัวต้องระเบิดอารมณ์ออกมาแน่ๆ แต่ผมไม่กลัวหรอก

“แฟนงั้นเหรอ หึ อย่าคิดว่าพี่จะยอมง่ายๆ นะ ไม่ว่ายังไงข้าวก็ต้องเป็นของพี่จำไว้”
ผิดคาดไปนิดหน่อยที่พี่ตุลย์ทำเพียงแค่พูดขู่กันออกมาแบบนั้น อาจจะด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมจะสู้รบกับใครทำให้เขาต้องยั้งการกระทำตัวเองเอาไว้ สายตาที่จ้องมองมาแทบฆ่ากันตายได้ ณ ตรงนี้ เหตุการณ์ต่อจากวันนี้คงมีอะไรยุ่งวุ่นวายเกิดขึ้น ผมไม่ห่วงตัวเองหรอกเพราะคิดว่ารับมือได้แต่แฮงค์ล่ะ เขาจะไหวหรือเปล่านั่นเป็นเรื่องที่ผมกังวล

แฮงค์สวมบทบาทแฟนที่ดีของผมได้อย่างแนบเนียนโดยการขยับตัวมายืนบังส่งสายตาไม่พอใจไปให้พี่ตุลย์อย่างไม่ลดละ แต่ถ้าให้พูดกันตามหลักความเป็นจริงคือการแสดงออกทุกอย่างของเขาในตอนนี้คือความรู้สึกที่ออกมาจากข้างใน มันทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ที่โดนคนๆ หนึ่งปกป้องกันแบบนี้นอกเหนือจากพี่ต้นกับไอ้จุ้น มันก่อให้เกิดความรู้สึกดีและรู้สึกว่าเขาอาจจะกลายเป็นคนพิเศษของผมอีกคนในสักวันหนึ่ง

“ใครจะยอมปล่อยแฟนตัวเองให้เป็นของคนอื่นล่ะครับ ไปกันเถอะพี่ข้าว”
เขาพูดจบแล้วหันมาสบตาแล้วพาผมออกมาจากห้องพักผู้ป่วยโดยไม่สนใจปฏิกิริยาตอบกลับของพี่ตุลย์เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นหมอนหนุน ผ้าห่ม โทรศัพท์มือถือ หรืออะไรที่อยู่ใกล้ตัวเขาขว้างปาทำลายข้าวของจนหมดสิ้นโดยไม่มีการโวยวาย เสียงประตูห้องปิดลงทำให้ผมต้องรับหันกลับไปดูคนที่เดินทิ้งท้าย เพราะเมื่อครู่รู้สึกได้ว่ามีของชิ้นใดชิ้นหนึ่งกระแทกหัวเข้าให้เต็มๆ

“แฮงค์... เจ็บหรือเปล่า”
ผมถามน้องด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วมองสำรวจว่าศีรษะด้านหลังของเขาบวมหรือเปล่า แฮงค์ส่งยิ้มแหยมาให้กันก่อนพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วยกมือขึ้นลูบตรงส่วนที่โดนของกระแทกมา

“รีโมททีวีเต็มๆ หัวเลยพี่ ดีหน่อยที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ ไม่งั้นคงได้เลือดกันบ้าง”
แฮงค์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะจนผมนึกหมั่นไส้ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำตัวร่าเริงได้ยังไงกันเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจมาขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะผมพูดชัดเจนว่ายังไงๆ ก็ไม่มีวันชอบพี่ตุลย์หรือเปล่านะ แถมยังโมเมว่าเขาเป็นแฟนผมอีก ดูสิ... แก้มยังแดงอยู่เลย

“นี่... ขอโทษด้วยนะที่อ้างว่าแฮงค์เป็นแฟนพี่น่ะ”
ผมเอ่ยขอโทษน้องในขณะที่เราเดินออกจากโรงพยาบาลตรงไปที่ลานจอดรถ แฮงค์เลิกคิ้วมองกันเล็กน้อยก่อนจะเม้มปากแน่นจนทำให้ลุ้นไปด้วยว่าเขาจะตอบกลับมาอย่างไร รู้ตัวว่าทำแบบนั้นลงไปเหมือนให้ความหวัง แต่ผมก็ตั้งใจนั่นล่ะ ยอมรับว่าเป็นคนนิสัยเสียชอบรั้งคนที่มาชอบตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงตอบก็ช่าง... แต่กับคนนี้ หวั่นไหวว่ะ ถ้าถามว่าเด็กนี่มีอะไรดีกว่าคนอื่นไหม ก็คงตอบได้ว่าวิธีการเข้าหาของเขาดูค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อน วางตัวดีไม่ปีนเกลียวกันสักเท่าไหร่ มีนิสัยบางมุมที่ผมคิดว่าน่ารัก เขาเป็นคนที่น่าค้นหา เอาเป็นว่าผมรู้สึกสนุกเวลาอยู่กับแฮงค์ก็แล้วกัน

“ที่จริง...”
แฮงค์พูดค้างไว้แค่นั้นแล้วหยุดเดินทำให้ผมต้องหยุดด้วยเช่นกัน ดวงตาคมมองสบมาอย่างมีความหมายและนั่นทำให้หัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติเริ่มมีอาการไม่ปกติขึ้นมาดื้อๆ มันเป็นเรื่องที่บ้ามากๆ เพราะทุกวันนี้คนตรงหน้าเริ่มมีอิทธิพลกับตัวเองมากขึ้น

“หืม พูดต่อสิ”
ผมทำใจแข็งถามออกไปทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อยากหลบสายตาหวานซึ้งนั่นแต่ทำไม่ได้เหมือนมีมนต์สะกดตรงตรึงเอาไว้ อ่า... แพ้ทางเด็กเหรอวะเนี่ย

“ที่จริงแล้ว... ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ดีใจจนแทบบ้าที่พี่พูดออกไปแบบนั้น ถึงมันจะเป็นแค่การพูดเล่นๆ ก็เถอะ ผมรอจะเป็นแฟนจริงๆ กับพี่ข้าวอยู่นะเว้ย หวั่นไหวบ้างหรือยังวะ”
 ปลายประโยคแผ่วเบาราวกระซิบแต่คนที่ตั้งใจฟังอย่างผมกลับได้ยินชัดเจนจนเผลอกระตุกยิ้มมุมปากในขณะที่แฮงค์เอาแต่เสสายตามองไปทางอื่น ดูเอาสิ... เขินอีกแล้ว เขินจนแก้มแดงหูแดงไปหมด ผมถึงได้บอกไงว่าเขาดูน่ารัก แต่ใครจะไปบอกให้ได้ใจว่าหวั่นไหวไปแล้วกันวะ

“ทำไมครับ เบื่อที่จะจีบพี่แล้วเหรอ นี่กะว่าจะให้จีบสักหนึ่งปีแล้วค่อยตัดสินใจนะเนี่ย”
ผมพูดเสียงทะเล้นเพื่อหยอกล้อคนตรงหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้สึกเขินนิดๆ เหมือนกันกับคำถามเมื่อสักครู่ โดนหยอดแบบหน้าด้านๆ เป็นใครก็ต้องรู้สึกบ้างล่ะวะ แฮงค์รีบหันขวับมามองกันด้วยสีหน้าตื่นๆ ทันที ดูท่าทางจะตกใจเอามากกับการที่ผมจะให้เขาจีบสักหนึ่งปี... ก็แค่ล้อเล่น นานขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้เป็นแฟนกันนี่เลิกคุยกันไปเลยดีกว่ามั้ง

“โหย พี่ข้าวครับ แบบนั้นมันก็นานไปนะพี่ ไม่สงสารผมบ้างเหรอ”
แฮงค์เข้าโหมดอ้อนอย่างไม่ปิดบังเพราะมันแสดงออกทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาคมเปลี่ยนเป็นดวงตาของหมาน้อยที่กำลังอ้อนขอความรักจากเจ้านายตัวเองไม่มีผิด ผมเบือนหน้าหนีแล้วออกเดินโดยไม่ยอมพูดอะไรออกไปเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อ ได้ทีแกล้งก็อยากแกล้งสักหน่อย ถือว่าเป็นการคลายเครียดที่เจอเรื่องหนักสมองมาเมื่อครู่ก็แล้วกันเนอะ

“จะไม่ตอบผมจริงๆ เหรอวะพี่ แบบนี้ไม่ดีเลย”
แฮงค์รีบเดินตามมาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน ผมเหลือบไปมองเล็กน้อยแล้วเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม อาการของเขามันทำให้ผมคิดถึงเจ้าบับเบิ้ลจริงๆ นะ เหมือนหมาตัวโตๆ อยากจับมาฟัดให้เข็ด แต่กลัวเจ้าตัวจะตกใจจนฟัดผมกลับนี่สิ แบบนั้นมันจะแย่เอาได้ ก็แค่นึกมันเขี้ยวเฉยๆ ยังไม่อยากให้ความหวังไปมากกว่าเดิม

“ถ้าไม่อยากจีบจะเลิกก็ได้นะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก”
แกล้งดึงเข้าโหมดดราม่าเล็กๆ อยากรู้ว่าเขาจริงจังขนาดไหน... ก็พอรู้ล่ะ แต่อยากจะย้ำความมั่นใจให้ตัวเองว่าการที่เผลอหวั่นไหวไปกับเด็กคนนี้มันดีแล้วจริงๆ ถ้าวันไหนพบว่าเขามั่นคงไม่พอผมจะได้ถอนตัวทัน ไม่อยากเจ็บเพราะความรักซ้ำๆ ซากๆ แล้วเดือดร้อนพี่ต้นเป็นคนเยียวยาและปกป้อง แฮงค์สะดุดลมหายใจของตัวเองไปก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับไว้หลวมๆ โดยที่เราทั้งคู่ไม่ได้หยุดเดินและไม่มีการปัดป้องใดๆ เกิดขึ้น

“จะให้จีบนานแค่ไหนผมก็ทำได้ จนกว่าพี่จะยอมใจอ่อนและรับรักผม หรือไม่ก็ปฏิเสธผมอย่างจริงจัง”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำสีหน้ายังไงเพราะไม่กล้าหันไปมอง แต่แค่คำตอบนั้นก็ทำให้พอใจแล้ว... ดีแล้วจริงๆ นั่นล่ะที่เก็บหัวใจเอาไว้อย่างดีเพื่อหวั่นไหวกับเด็กคนนี้

หลังจากวันที่ไปโรงพยาบาลก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมจมอยู่กับงานไปกลับระหว่างบริษัทกับคอนโดเป็นว่าเล่น แทบไม่มีเวลาว่างเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้การสื่อสารกับแฮงค์ลดลงด้วย เขาหมั่นส่งข้อความมาให้กำลังใจกันอยู่เรื่อยๆ แต่กว่าผมจะได้อ่านก็ปาเข้าไปให้หลังสักสี่ถึงห้าชั่วโมง ทั้งๆ ที่อยู่คอนโดแต่น้องไม่เคยหาเรื่องมาเจอเลยสักครั้ง ถือว่าเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะดี

ผมยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นจนสุดแล้วบิดตัวไปทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อขบหลังจากนั่งทำงานมาร่วมสิบชั่วโมงเต็ม แม้กระทั่งข้าวสักมื้อยังไม่ตกถึงท้องด้วยซ้ำแต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่งานยุ่งยากตลอดสามวันที่ผ่านมาเสร็จลงด้วยดี อยากจะทิ้งตัวลงนอนแต่คิดได้ว่าต้องหาอะไรใส่กินซะก่อนเลยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้าเองกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือเดินออกจากห้องด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้ เสื้อยืดสีขาวย้วยๆ กับกางเกงนอนขาสั้น หัวกะเซอะกะเซิงสภาพแล้วเหมือนเพิ่งตื่นนอนสุดๆ




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
«ตอบ #129 เมื่อ13-01-2017 22:25:27 »

ผมลากขาไปอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่คิดว่าจะได้เจอใครระหว่างทางที่เดินไปหาลิฟท์ แต่คิดผิดถนัดเมื่อประตูห้องแรกของชั้นเปิดออกตามมาด้วยร่างสูงในชุดนักศึกษา เขาผงะไปเล็กน้อยที่เห็นสภาพเยี่ยงซอมบี้ของผมแต่ไม่นานก็ยิ้มกว้างทักทายกันก่อนจะปิดประตูห้องลง

“งานเสร็จแล้วเหรอพี่”

“อือ เสร็จแล้ว... จะออกไปไหนล่ะ”
ผมถามไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกว่าการอ้าปากยังทำได้ยากลำบาก เพราะตลอดเวลาสามวันแทบจะนับคำที่เปล่งเสียงออกมาได้ ไม่สบถเพราะทำงานพลาดก็ด่าไอ้จุ้นที่ชอบแหย่กันเวลาทำงานก็แค่นั้น นี่นับเป็นประโยคแรกที่ผมพูดยาวที่สุดในรอบสามวันที่ผ่านมาเลยก็ได้ ตอนนี้รู้สึกเหมือนร่างกายจะน็อกได้ทุกเมื่อ

“อ๋อ... กำลังจะไปหาอะไรกินน่ะครับ พี่กินอะไรหรือยัง”
เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สายตาที่มองมานั้นอ่อนโยนและมันแฝงไว้ด้วยความคิดถึง... ไม่พูดออกมาก็สามารถสัมผัสได้ว่าแฮงค์ดีใจมากแค่ไหนที่ผมออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมนั่นได้สักที จะว่าไปเขาก็สามารถเยียวยาความเหนื่อยล้ากันได้ด้วยรอยยิ้มสดใส อืม... ท่าทางผมจะอาการหนักแล้วล่ะ

“ยังเลย งั้นขอไปด้วยนะ”
ผมบอกก่อนจะได้รับการพยักหน้าและรอยยิ้มที่คลี่กว้างขึ้นกว่าเดิม เราลงมาชั้นล่างด้วยกันแล้วตรงเข้าร้านอาหารใกล้ๆ หอทันที เมนูง่ายๆ ถูกสั่งไปสองสามอย่างพร้อมด้วยข้าวสวยสองจาน ในระหว่างที่นั่งรอนนั้นแฮงค์เอาแต่นั่งมองผมนิ่งๆ ดวงตาคมไม่ยอมละไปไหนจนผมรู้สึกขัดเขินแปลกๆ ถึงสภาพร่างกายบอกว่าอยากนอนเต็มที่จะช่างแม่งทุกอย่างบนโลกก็ยังไงแต่กับคนตรงหน้านี่... มีวิธีทำให้ไม่สนใจได้ไหมล่ะ ตอบเลยว่าไม่มี

“มองอะไร สภาพพี่แย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ผมยกมือขึ้นขยี้ตาข้างหนึ่งเพราะรู้สึกจะหลับได้ทุกเมื่อ แฮงค์ส่ายหน้าพรืดแต่มุมปากกระตุกยิ้มกริ่มแถมยังหลุดหัวเราะออกมาเล็กๆ

“พี่ข้าวแม่ง... ทำไมแปลสายตาที่ผมมองพี่เป็นแบบนั้นวะ คนเขาอุตส่าห์ส่งความคิดถึงไปให้”
แฮงค์พูดเสียงอ้อมแอ้มตรงท้ายประโยค ใบหน้ายังแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เป็นผมเองที่เกิดอาการสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ รู้สึกขัดเขินกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก อะไรคือพูดประโยคนั้นออกมาด้วยท่าทางเขินอายแบบนั้น เด็กอะไรชอบทำให้คนแก่หัวใจเต้นแรง มันน่าลงโทษไหมล่ะวะ

“ก็เล่นจ้องกันไม่วางตาแบบนั้น”
ผมพึมพำเบาๆ แล้วยกมือขึ้นขยี้ตาอีกข้าง ตอนนี้ความง่วงเริ่มโจมตีกันหนักขึ้นพอๆ กับเสียงท้องที่ดังโครกคราก ถ้าไม่ติดว่าหิวคงมีหลับคาโต๊ะไปแล้วแน่ๆ

“โมเอะฉิบหาย”
แฮงค์พูดออกมาเสียงไม่ดังนักแต่ทำให้ผมชะงักการกระทำทั้งหมดแล้วมองเขาตาขวาง มันคือเรื่องบ้าอะไรที่อยู่ๆ ก็พูดแบบนั้นวะ โมเอะอะไรเล่า ไม่ใช่ตัวการ์ตูนสาวน้อยตาโตนะเว้ย คนเขาแค่ขยี้ตาอะ!

“อะไร เดี๋ยวจะโดนเตะ”
ผมว่าเสียงรอดไรฟันแล้วส่งเท้าไปเตะหน้าแข้งของเขาใต้โต๊ะ แฮงค์นิ่วหน้าแล้วร้องออกมาเบาๆ แต่ไม่นานก็กลับมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้หวั่นใจเล่น ไม่ใช่ว่าคิดอกุศลอยู่หรอกนะ พ่อจะถีบให้ตกเก้าอี้เลยเชียว!

“พี่ข้าวรู้ตัวปะว่าน่าฟัดแค่ไหน ถ้าผมไม่กลัวพี่โกรธนะ...”
แฮงค์เลียริมฝีปากแล้วมองกันด้วยดวงตาเป็นประกาย ผมถึงกับเบ้ปากใส่แล้วกำหมัดทุบลงบนแขนของเขาด้วยความหมั่นไส้ ยิ่งนานวันลายยิ่งออก ความหื่นนี่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนขึ้นทุกที ย้อนเวลากลับไปตอนที่ยังไม่หวั่นไหวกับมันทันไหมวะเนี่ย รู้สึกตัวเองตกอยู่ในอันตรายยังไงก็ไม่รู้

“หยุดคิดทะลึ่งกับพี่เลยนะเว้ย เดี๋ยวจะโดนก้านคอไม่รู้ตัว”

“หูย โหดอะ ไม่กล้าหือกับนักเทควันโดมหา’ลัยหรอกครับ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่ทำท่าทางหวาดกลัว แบบนี้มันเรียกว่ากวนตีนปะวะ เดี๋ยวซัดให้สลบเหมือดคาโต๊ะกินข้าวนี่ล่ะ แต่ที่น่าแปลกใจคือแฮงค์รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นนักกีฬาเทควันโดสายคำของมหา’ลัย จะบอกว่าเฟรนด์เล่าให้ฟังก็คงแปลกอยู่ เพราะยัยนั่นไม่เคยสนใจว่าใครทำอะไรสักเท่าไหร่นี่หว่า

“รู้ได้ยังไงว่าพี่เป็นนักเทควันโดของมหา’ลัย”
ผมยิงคำถามที่อยากรู้ไปตรงๆ ทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวออกอาการเหวอ ดวงตาคมกรอกไปมาแสดงพิรุธออกมาอย่างไม่ปิดบัง มันต้องเกี่ยวโยงกับการที่เขาชอบผมมานานแล้วแน่ๆ ต้องทำยังไงถึงจะยอมเปิดปากบอกกันสักทีวะ ต้องมอมเหล้าบาร์เทนเดอร์เพื่อล้วงความลับปะ ฮึ่ย

“เอ่อ...”
อ้ำอึ้งจนน่าหมั่นไส้ ถ้าวันนี้ไม่ยอมบอกความจริงก็อย่าหวังจะรอดไปทำงานที่ร้านเลย

“ตอบมา”
ใช้น้ำเสียงและสายตาคาดคั้นอย่างสุดความสามารถ แฮงค์เบนสายตาหนีแล้วเม้มปากแน่น ถ้าตัดสินใจพลาดแม้แต่นิดเดียวผมจะฆ่ามันตรงนี้ล่ะ ชอบทำให้อยากรู้แล้วอุบอิบไว้คนเดียวตลอด

“คือว่า...”
ยัง... ยังไม่สำนึกว่าทำให้คนอื่นอยากรู้จนอกจะแตกตายอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาเหลือบสายตามองกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีก ถ้าไม่เกรงใจว่าคนในร้านเยอะนี่จะลุกขึ้นไปล็อกคอบังคับให้พูดไปนานแล้ว

“แฮงค์”
ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น แฮงค์ยืดตัวตรงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะใช้ดวงตาคมมองกันก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อกลับมา

“พี่ข้าว...”
นี่กำลังกวนตีนกันอยู่หรือยังไง... ชักจะหงุดหงิดแล้วนะ

“.....”
ผมใช้ความเงียบกดดันจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้อย่างราบคาบ

“ก็ได้ๆ ครับ เมื่อสองสามปีก่อนผมเคยไปดูพี่ข้าวแข่งเทควันโดที่มหา’ลัย”
แฮงค์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนกำลังสารภาพความผิด แต่ผมกลับอึ้งเล็กน้อยเพราะเหมือนจะได้คำตอบเรื่องระยะเวลาที่เขาแอบชอบกลับมา สองสามปีเลยเหรอ... นานจนไม่คิดว่าจะมีใครสักคนแอบชอบตัวเองได้ขนาดนี้ ใจสั่นเลยว่ะ คนตรงหน้านี่ชอบมีเรื่องอะไรให้อึ้งทึ่งอยู่เสมอจริงๆ




---------------------------------------------------

ช่วงนี้เราอัพนิยายช้าหน่อยนะ กลับบ้านดึกทุกวันเลย งานเยอะสุดๆ ฮือ

อ่านกันแล้วช่วยคอมเม้นท์หน่อยน้า เราอยากรู้ว่าทุกคนชอบไหมหรือรู้สึกยังไงกับนิยายเรื่องนี้บ้าง


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
« ตอบ #129 เมื่อ: 13-01-2017 22:25:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
«ตอบ #130 เมื่อ13-01-2017 23:11:09 »

 o13

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
«ตอบ #131 เมื่อ13-01-2017 23:44:18 »

พี่ตุลย์ นี่เป็นไรเนี่ย ผูกติด ยึดติดแต่ข้าว
เคยปลุกปล้ำข้าวมาแล้วด้วย
แต่ก็ได้รู้แล้วผ่านสายตาแฮงค์
ก็ข้าวน่ารัก โมเอะสุดๆ
แม้แต่แฮงค์ ยังอยากฟัดๆ
ขนาดอิดโรย เป็นซอมบี้แท้ๆ
แต่เข้าใกล้กันมากขึ้น จนใกล้เป็นแฟนจริงแล้วละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
«ตอบ #132 เมื่อ14-01-2017 05:49:06 »

ชัดเจนดีค่ะพี่

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 14 -P.5- (13.01.2017)
«ตอบ #133 เมื่อ14-01-2017 08:58:18 »

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
«ตอบ #134 เมื่อ16-01-2017 20:08:13 »

เมาครั้งที่ 15



แฮงค์


ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมมีคนป่วยกำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ร่างสูงเดินวนไปวนมาด้วยความเป็นห่วงและไม่รู้ว่าควรจัดการกับคนตรงหน้ายังไง เกิดมายี่สิบปีไม่เคยต้องดูแลใครมาก่อน

ตอนที่ผมเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมกับพี่ข้าวที่ออกปากจะเดินไปส่ง อยู่ๆ เขาก็ล้มพับลงไปซะดื้อๆ เหมือนคนหลับกลางหาว ผมรีบวิ่งเข้าไปประคองด้วยความตกใจสุดขีด พอได้สัมผัสร่างกายแล้วกลับตระหนักว่า... ป่วย

ผมอุ้มพี่ข้าวขึ้นห้องอย่างทุลักทุเลแล้วโทรไปลางานกับเจ้เฟรนด์ แทนที่เธอจะเป็นห่วงเพื่อนกลับแซวบ้าบอใส่กันซะอย่างนั้น ยอมรับว่ารู้สึกขัดเขินแต่กังวลเรื่องอาการป่วยมากกว่า หักโหมทำงานจนได้เรื่องสิน่า อุตส่าห์ไม่รบกวนแล้วเชียว แบบนี้คงต้องออกตัวเตือนหน่อยแล้วมั้ง

ผมลืมถามเจ้เฟรนด์ว่าควรดูแลพี่ข้าวยังไงดี พอโทรกลับไปแล้วพบว่าเธอไม่ว่างซะแล้ว กลายเป็นว่านายปรานต์ต้องทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงอย่างแผ่วเบา คิดไม่ตกว่าควรทำยังไง พอรู้ว่าเบื้องต้นต้องเช็ดตัวให้ แต่จะให้คนคิดอกุศลถอดเสื้อผ้าอีกคนเนี่ยนะ ถ้าเกิดทนไม่ไหวจะทำยังไงล่ะ ปล้ำพี่ข้าวขึ้นมาคงงานงอกแน่ๆ คิดแล้วก็ปวดหัว ต่อสายหาคนช่วยดีกว่า

ผมลุกจากเตียงแล้วตรงไปหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งทิ้งไว้ตรงชั้นวางทีวีขึ้นมากดเบอร์โทรออกหาเพื่อนสนิท เพราะมันเคยดูแลผมตอนป่วยอยู่หลายครั้ง รอสายอยู่ไม่นานนักเสียงงัวเงียก็ดังลอดออกมา ดวงตาคมเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังแล้วพบว่าเป็นเวลาสามทุ่ม ทำไมนอนไวจังวะ

'โหล ~ ใครครับ'
น้ำเสียงัวเงียแต่ยังคงความสุภาพเอาไว้ แบบนี้คงไม่ได้ดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนกดรับด้วยซ้ำ เพราะถ้ามันรู้ว่าเป็นผมคงโดนโวยวายหูแตกไปแล้ว

"กูเอง"

'กูไหน...'

"แฮงค์"

'ไอ้แฮงค์! กูง่วง!'
พอรู้ว่าเป็นใครก็สบถคำหยาบออกมาแทบจะทันที ดีหน่อยที่ผมรู้ทันแล้วผละโทรศัพท์ออกจากหูได้ทันซะก่อน ไม่อย่างนั้นคงเกิดอาการวิ้งไปนานแน่ๆ

"อย่าเพิ่งโวยวายดิ ช่วยกูก่อน"
ผมว่าเสียงอ่อยเพราะไม่อยากให้ความหวังสุดท้ายเกิดอาการหงุดหงิด ได้ยินเสียงกันย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรู้สึกผิดเล็กๆ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องกน้าด้านขอให้มันช่วยอยู่ดี

'ช่วยเชี่ยไร ดูหนังโป๊แล้วอยากหรือไง'

"พ่อง! ไม่ใช่เว้ย มึงแม่งพูดไรเนี่ย"
ผมรีบเดินออกจากห้องนอนทันทีเพราะเผลอเหลือบมองพี่ข้าวแล้วตัวดันร้อนวูบขึ้นเฉยๆ เดี๋ยวหน้ามืดตามคำพูดไอ้กันย์แล้วจะแย่

'ก็กูไม่รู้นี่หว่า แล้วตกลงมีอะไร'
น้ำเสียงของกันย์ฟังดูดีขึ้นคงจะตื่นเต็มตาแล้ว ผมเม้มปากเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี...

"คืองี้ พี่ข้าวอยู่กับกูแล้วแบบว่า..."

'ปล้ำเลยดิ รอไรวะ'
ไอ้กันย์พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่ผมกลับเบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไอ้นี่เล่นไม่รู้เวลา คนป่วยจะให้ปล้ำได้ยังไงวะ ถ้าตอนร่างกายปกติก็น่าคิดหน่อย... เฮ้ย ไม่ใช่ๆ แม่ง ฟุ้งซ่าน!! ผมส่ายหัวไล่ความคิดอกุศลออกไปก่อนจะสบถด่าเพื่อนบังเกิดเกล้า

"เชี่ย! ปล้ำอะไร เดี๋ยวผัวมึงฆ่ากูหรอก"
ใส่มันกลับไปให้ตะลึงพอกัน ดูจากท่าทางแล้วไอ้กันย์ไม่มีวันเป็นฝ่ายรุกได้หรอก ตัวเล็กหน้าหวานขนาดนั้น พี่ต้นคงยอมปล่อยหรอก... หรือว่าอาจจะเกิดเรื่องเหลือเชื่อระหว่างสองคนนี้ แบบว่าผลัดกันรุกรับ โอย เผลอไม่ได้ฟุ้งซ่านตลอด แต่พี่ข้าวนี่ดูจากหน้าตาแล้วสามารถเป็นได้ทั้งสองฝั่ง แต่ใครจะไปยอมล่ะเฮ้ย ผมนี่จะรุกให้สุดจนพี่ข้าวยอมรับโดนสิโรราบ หึหึ

'ไอ้ปรานต์! แฟนก็พอเว้ย ยังไม่ได้เสียกัน ปากไม่เป็นมงคลนะ ผัวเผออะไร ผู้ชายเหมือนกัน!'
โวยวายซะเสียงดังจนผมหลุดหัวเราะออกมา การได้แกล้งเพื่อนถือเป็นการตายเครียดอย่างหนึ่ง พอจะคิดสภาพของมันในตอนนี้ออกเลย คงนอนหน้าแดงคอแดงอยู่ล่ะมั้ง ถ้าพี่ต้นอยู่ด้วยนี่เกรงว่าผมคงโดนด่าที่ไปแซวแฟนเขาแบบนั้น...

จะว่าไปพี่ต้นคงรู้แล้วล่ะว่าผมทำการใหญ่จีบน้องชายตัวเองอยู่ เวลาเจอกันเขามักใช้สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เสมออย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปากโวยวายอะไร บางครั้งก็นั่งจ้องกันจนผมไม่กล้าขยับตัวไปไหน เป็นพี่ข้าวซะอีกที่เคลื่อนตัวมาใกล้กัน ดีใจมันก็ดีใจนะ แต่ผมเสี่ยงจะโดนฆ่าตายนี่สิ

กลับมาที่ปัจจุบันเถอะ...

"หรือมึงจะให้พี่ต้นเป็นเมีย"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงทะเล้น อีกฝ่ายทำเสียงขู่ฟ่อใส่กันซะอย่างนั้น เอาจริงๆ มันไม่น่ากลัวเลย เหมือนลูกแมวโกรธมากกว่า ดูน่ารักน่าเอ็นดู

'ไอ้... หยุดพูดไปเลยนะ แล้วตกลงว่ามีอะไร กูง่วง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า'
เสียงเพลียขึ้นมาอีกรอบจนผมเผลอนึกสงสาร ก็ไม่ได้อยากกวนเวลานอนของเพื่อนให้เป็นบาปติดตัวสักเท่าไหร่ แต่ผมก็มีความจำเป็นที่ต้องศึกษาเรื่องการดูแลคนป่วยเหมือนกัน

"พรุ่งนี้ไม่มีเรียนจะตื่นเช้าทำไมวะ หรือว่านัดกิ๊กตอนพี่ต้นไม่อยู่"
ที่ถามออกไปเพราะอยากรู้จริงๆ แต่ปลายประโยคแอบแซะสักเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ก็หมั่นไส้ที่ชอบสวีทหวานกับพี่ต้นอยู่บ่อยๆ ยอมรับว่าอิจฉาเขา ก็พี่ข้าวน่ะใจแข็งชะมัด แต่ก็รักนะ ฮึย!

'ไอ้นี่ปากวอนโดนตีน! แม่ลากไปวัดเว้ย'

"เอ้าเหรอ เออๆ ไม่แกล้งแล้ว พอดีว่าพี่ข้าวไม่สบาย กูต้องทำไงบ้างวะ"
ผมถามเสียงอ้อมแอ้ม เรื่องอื่นน่ะเก่งหมดยกเว้นเรื่องของคนที่ชื่อข้าวนี่ล่ะ ง่อยแดกไปซะทุกอย่าง จะจีบจะคุยแต่ละทีต้องระงับอารมณ์ความตื่นเต้นแบบสุดความสามารถเลยนะ ไม่อย่างนั้นสติแตกเผลอทำตัวรุ่มร่ามใส่จะแย่เอา ก็รู้ตัวเองว่าไม่ได้เป็นคนใสซื่ออะไร... ติดจะหื่นด้วยซ้ำเลยต้องระวังหน่อย

'ถ้าไม่พาไปหาหมอก็เช็ดตัวแล้วบังคับให้กินข้าวกินยาซะ'
ไอ้กันย์ตอบกลับด้วยเสียงเนือยๆ เพราะที่งหมดที่ว่ามามันเป็นพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้และปฏิบัติกับคนป่วย แต่ผมน่ะแค่ไม่กล้ามองพี่ข้าวตอนเปลือยเท่านั้นเอง... ก็มันชอบมันรักนี่หว่า ทำไมเป็นคนหื่นแบบนี้วะเนี่ย เกลียดตัวเองฉิบหาย เขาไม่สบายอยู่นะเว้ย

"กันย์... กูไม่กล้าเช็ดตัวให้พี่ข้าวว่ะ"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วเหลือบมองประตูห้องนอนเล็กน้อย ถ้ามัวเกี่ยงไปเกี่ยงมาเพราะความคิดของตัวเองมีหวังพี่ข้าวคงอาการหนักกว่าเดิมแน่ๆ แต่ขอเวลาทำใจนิดนึง ขอกำลังใจจากเพื่อนสนิทสักหน่อยแล้วกัน รู้สึกว่าตัวเองแม่งไร้ประโยชน์ฉิบหายเลยบางครั้ง เหมาะแล้วเหรอที่จะจีบเขาน่ะ เฮ้อ

'อะไรของมึงอีก ก็แค่ใช้ผ้าจุ่มน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดๆ เช็ดๆ ตามตัว แค่เนี้ย ยากตรงไหน'
มันรู้ว่าผมไม่เคยดูแลใครแบบนี้มาก่อนเลยให้คำแนะนำและวิธีการปฏิบัติมาเรียบร้อย เออ ก็ขอบคุณ แต่ไม่กล้าอะ ไม่ใช่ทำไม่เป็นเว้ย คนละประเด็นสุดๆ ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ต้องเริ่มทำอะไรก่อนดี ที่จริงอยากให้ไอ้กันย์ช่วย แต่เวลาตอนนี้ไม่ควรรบกวนแล้วไง

"กูทำเป็นน่า แต่ต้องถอดเสื้อผ้าเขาอะดิมึง..."
ทำหน้าลำบากใจก่อนจะนั่งยองลงซะเฉยๆ ที่หน้าประตูห้องนอน แล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นเดินเข้าห้องไป พอเห็นพี่ข้าวนอนหายใจส่งเสียงฟืดฟาดติดขัดขนาดนั้นยิ่งทำให้ผมร้อนรนมากขึ้น เออวะ ทำก็ทำ ตัดความหื่นแม่งทิ้งไปก่อน

'สัส คิดเรื่องหื่นๆ อยู่ใช่ปะ พอเลยนะ รีบไปเช็ดตัวพี่ข้าวก่อนจะอาการหนักมากกว่าเดิม พรุ่งนี้พี่ต้นจะกลับไทยแล้ว มึงซวยแน่ถ้าดูแลน้องเขาไม่ได้'
โอ้โห... พอชื่อพี่ต้นกระทบโสตประสาทนี่แทบทิ้งโทรศัพท์แล้วรีบไปเช็ดตัวให้พี่ข้าวทันที กะจิตกะใจจะหื่นนี่หายไปภายในพริบตาเดียว ผมรีบเดินออกจากห้องอีกครั้งเพื่อหากะละมังใส่น้ำอุ่น ก้มๆ เงยๆ จนได้มันมาถือไว้

"เชี่ยกันย์ แค่นี้ก่อนนะ กูจะไปปฏิบัติหน้าที่ว่าที่แฟนพี่ข้าวแล้ว!"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนแล้วกดวางสายก่อนจะหย่อนโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงทันที ขายาวก้าวเข้าไปในห้องน้ำเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง

ผมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นเทาจับชายเสื้อยืดย้วยๆ ของพี่ข้าวแล้วดึงขึ้นช้าๆ ดวงตาคมปิดลงเพราะไม่อยากใจสั่นกับภาพตรงหน้า แต่หลังจากนั้นก็ตะหนักได้ว่าการทำแบบนี้มันจะเสียเวลามากยิ่งขึ้น เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะคิดอกุศลอีก ไอ้บ้าแฮงค์เอ้ย

ในที่สุดผมก็ทำใจลืมตาแล้วชะงักกับภาพตรงหน้า... พี่ข้าวผิวโคตรจะขาว แถมยังดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสจนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก ผมส่ายหน้าไปมาไล่ความคิดบ้าๆ แล้วเริ่มลงมือเช็ดตัวให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ คนตรงหน้าย่นคิวเล็กน้อยคงเพราะโดนรบกวนเวลานอน ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มน่าจูบกลับซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง

"ทำงานหนักจนป่วยแบบนี้ เห็นทีผมต้องก้าวก่ายชีวิตพี่หน่อยแล้วล่ะ"
ผมพึมพำกับตัวเองในขณะที่สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับเขา แล้วลุกขึ้นเอากะละมังไปเก็บและจัดการอาบน้ำจนเรียบร้อยถึงจะกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง

คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วกำลังนั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าอิดโรย มือเรียวยกขึ้นปิดปากแล้วไอโครกจนผมรีบก้าวขายาวๆ เข้าไปหาเขาทันทีด้วยความเป็นห่วง

"พี่จะลุกขึ้นมาทำไมครับ นอนลงไปเลย ไม่สบายอยู่นะเว้ย"
ผมดุไม่เต็มเสียงนักเพราะพี่ข้าวใช้ดวงตาหงอยๆ มองหน้ากัน เขาเบะปากลงเล็กน้อยก่อนจะไหลลงไปนอนท่าเดียวกันก่อนที่ผมจะไปอาบน้ำ สภาพตอนนี้ดูเหมือนลูกแมวเชื่องๆ เซื่องซึมด้วยพิษไข้ ไม่ร่าเริงเลย... เห็นแบบนี้แล้วใจห่อเหี่ยวชะมัด

"ขอโทษ... เป็นภาระให้แฮงค์จนได้"
พี่ข้าวขยับปากพูดเสียงขาดๆ หายๆ แต่ผมก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน ดวงตาปรือปรอยยังคงจ้องมองกันอยู่แบบนั้น คล้ายกำลังจะอ้อน... อยากอ้อนเท่าไหร่ผมให้สิทธิ์พี่อย่างเต็มที่เลยเอ้า แค่คิดก็ฟินแล้วว่ะ

"ขอโทษตัวเองดีกว่าไหมครับ ที่ใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดขนาดนี้ แล้วไม่ต้องคิดอะไรมากนะ ที่ผมดูแลพี่เนี่ย หวังผลนะเว้ย"
ปลายประโยคพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกี่งจริงจัง ไอ้ที่บอกว่าหวังผลนั่นก็มีส่วนจริงอยู่เกือบครึ่ง แต่ส่วนที่อยากดูแลก็มีอยู่เกินครึ่งเหมือนกัน

"ฮะๆ จะพูดตรง แค่ก เกินไปแล้ว"
พี่ข้าวพูดไปก็ไอไปแล้วยังจะหัวเราะกันอีก ผมเลยทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่ว่างอยู่แล้วใช้หลังมือแตะหน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้ ตัวร้อนอย่างกับไฟ... ควรหายาพาราเซตามอลให้กินสินะ

"ก็เผื่อพี่เปิดใจให้ผมมากกว่าเดิมไงครับ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปเอายาที่นอกห้อง แต่มือเรียวของอีกคนดันคว้าเข้าที่เอวสอบไว้ก่อน มันเป็นการรั้งที่ทำให้หัวใจเต้นแรงมาก ถ้ารู้ว่าตอนป่วยจะอ้อนกันขนาดนี้ขอให้ป่วยบ่อยๆ ได้ปะวะ ผมพร้อมจะดูแลเขาเสมอนั่นล่ะ

"เด็กบ้า โคตรหน้าด้าน... แค่กๆ จะไปไหน"
ต้นประโยคด่ากันด้วยเสียงแหบแห้งจนกลายเป็นว่าทำให้ผมยิ้มไปโดนปริยาย จะไปโกรธลงได้ยังไงกันล่ะแบบนั้น ปลายประโยคนี่ถามกันด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังรับรู้ได้ถึงไอร้อนจากตัวเขาที่ขยับเข้ามาใกล้กัน และด้วยความอยากรู้ทำให้ผมหันไปมองด้านหลังแล้วพบกับพี่ข้าวที่เอาหน้าผากมาอังตรงแผ่นหลังเอาไว้ หัวใจจะพัง เขาซบหลังผมแถมมือยังกอดเอวหลวมๆ ไว้อีก พระเจ้า! บอกทีว่านี่ใช่คนที่ผมชอบมาตลอดสามปีที่ผ่านมา ตอนป่วยแม่ง...

น่ารักฉิบหาย

ปล้ำได้ไหม... ไม่ได้ดิ พี่ข้าวป่วยอยู่นะเว้ย แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือจะเอาสิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้น ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แล้วนี่กูจะดราม่าหาสวรรค์วิมานอะไรตอนนี้!

"คือ... จะไปเอายามาให้พี่กินน่ะครับ"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักเพราะยังตื่นเต้นกับสัมผัสที่เพิ่งได้รับและยังคงไม่ห่างไปไหน รู้สึกว่าพี่ข้าวจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อถูไถแก้มลงบนแผ่นหลัง โอย จากที่เคยคิดไว้ว่าให้เขาอ้อนกันจะฟินมาก แต่ตอนนี้ผมขอถอนคำพูดได้ไหม เพราะหัวใจจะวายอยู่แล้ว

"อือ ก็ได้..."
เขาตอบกลับก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วทิ้งตัวลงนอนตามเดิม ผมลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วรีบลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่หันไปมองหน้าคนป่วยอีกเด็ดขาด ขนาดสภาพเป็นซอมบี้ตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้าผมยังคิดว่าเขาน่ารักอะ อาการหลงรักนี่มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แต่เสียงแหบๆ ของคนที่นอนหายใจฟืดฟาดกลับดังรั้งกันไว้ก่อน

"แฮงค์"
การกระทำทุกอย่างชักงักลง ผมเม้าปากเพื่อรอว่าเขาจะพูดอะไรออกมาด้วยหัวใจที่เต้นแรง แรงจนแทบจะหลุดออกมาด้านนอก...

"รีบไป... รีบมานะ"

ไม่ไปแล้วเว้ย ปล้ำแม่ง!!!

ก็ทำได้แค่โวยวายในใจแล้วรีบจ้ำอ้าวไปเอายากับน้ำอุ่นมาให้คนป่วยกินก่อนจะบังคับให้เขานอนพักผ่อน รู้สึกว่าตัวเองกำลังสู้รบกับเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งที่ดื้อไม่ยอมนอน เอาแต่อ้อนจะเล่นเกมที่ตัวเองติด ผมถึงกับต้องเอาโทรศัพท์มือถือของเขาไปตั้งไว้ไกลๆ ไม่เหนื่อยหรอก แต่เอ็นดูมากกว่า จะน่ารักไปถึงไหนกันวะคนเรา

"แฮงค์ใจร้าย"
ว่าผมแบบนั้นแล้วเบะปากใส่กันเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ผมถึงกับหลุดยิ้มออกมาก่อนจะทิ้งตัวนั่งที่ว่างข้างๆ พี่ข้าว เจ้าตัวใช้แขนที่อ่อนแรงผลักกันด้วยความงอน อยากดึงเข้ามากอดแน่นๆ แต่ทำได้แค่จับมือคู่นั้นเอาไว้แนบอก

"ผมอยากให้พี่ข้าวพักผ่อนนะครับ หายดีเมื่อไหร่ผมจะตามใจพี่ทุกอย่างเลยนะครับ"
ผมว่าด้วยเสียงออดอ้อน พี่ข้าวหลบสายตากันก่อนจะพยักหน้าตอบรับเบาๆ แล้วดึงมือที่โดนเกาะกุมกลับไป เขาล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงจมูก เหลือแค่ตากลมหมองๆ นั่น สงสัยจริงๆ ว่าจะหายใจออกได้ยังไงกันนะเด็กชายการิน

"หายใจออกเหรอ"
ผมแกล้งถามทั้งๆ ที่เห็นใบหน้าซีดเซียวนั่นแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะเขินที่โดนอ้อนกันแน่ เขาขมวดคิ้วใส่กันก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นไปโปงซะอย่างนั้น ผมได้แต่นั่งอมยิ้มกับความงอแงของพี่ข้าว อยากจับมาฟัดให้น่วมทั้งตัว มันเขี้ยวว่ะ

"งั้นพี่นอนพักผ่อนนะครับ ห้ามย่องไปเอาโทรศัพท์มาเล่นเกมอีกนะ ไม่งั้นผมจะทำโทษผู้ใหญ่ดื้อจริงๆ ด้วย"
ผมว่าเสียงดุแต่ปากนี่คลี่ยิ้มกว้าง เพราะเห็นว่าคนใต้ผ้าห่มขยับตัวยุกยิกราวกับรำคาญกัน แต่ไม่นานนักหน้าซีดๆ ก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับทำตาขวางใส่กัน ดูเขาสิ ขนาดป่วยยังแผ่รังสีอาฆาตคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ แต่ผมไม่กลัวหรอก ที่ทำไปทั้งหมดเพราะเป็นห่วงล้วนๆ นะ

"ทำตัวอย่างกับพ่อเลย ขี้บ่นจัง"
พี่ข้าวพึมพำแล้วแสร้งหลับตาลง นั่นเลยทำให้ผมวางใจว่าเขาคงไม่ดื้อเดินมาหยิบโทรศัพท์ไปเล่นเกมอีกแล้ว ขายาวก้าวถอยหลังก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องเพราะการปล่อยให้เขานอนพักผ่อนอาจจะดีกว่า ผมขอออกไปนอนที่โซฟาคงสะดวกกว่า ไม่อยากรบกวนคนป่วย แต่ยังไม่ทันพ้นบานประตูเสียงแหบแห้งของคนบนเตียงก็รั้งกันไว้ซะก่อนจนต้องหันกลับไปเลิกคิ้วมอง

"จะ... ไปไหน"

"อ๋อ ออกไปนอนข้างนอกครับ"
ผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบางบนใบหน้า มือยังวางค้างอยู่บนสวิตซ์ไฟ พี่ข้าวเม้มปากแน่นก่อนจะมองกันด้วยดวงตาออดอ้อน อย่าบอกนะว่าจะให้นอนด้วย... ไม่ได้กลัวติดไข้หรอกแต่กลัวจะเผลอทำให้เขาเพลียกว่าเดิมนี่สิ แม่งเอ้ย ทำไมเป็นคนหื่นแบบนี้วะ ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะ ฮึ่ม!

"นอน... ด้วยกันสิ ไม่อยากนอน แค่ก คนเดียวอะ"
ว่าจะใจแข็งปฏิเสธถึงคำขอร้อง แต่ไอ้คำว่าไม่อยากนอนคนเดียวของเขาตรึงเท้าของผมได้อย่างแน่นหนา นอนก็นอนวะ!

"โอเคๆ งั้นผมนอนที่พื้นนะครับ"
บอกออกไปโดยไม่ได้มองคนที่นอนอยู่บนเตียง เขาครางรับเสียงเบาแล้วปล่อยให้ผมไปจัดการปิดไฟด้านนอก ตอนที่กลับเข้ามาให้ห้องก็พบว่าพี่ข้าวหลับไปแล้ว หน้าตาของเขาดูเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ที่น่าทะนุถนอม ทำให้ความรู้สึกอยากอยู่ข้างๆ คอยดูแลตลอดเวลาของผมเพิ่มมากขึ้นไปอีก

"ฝันดีนะครับ"
ผมกระซิบเสียงเบาก่อนจะจัดการที่นอนของตัวเองจนเรียบร้อยแล้วทิ้งตัวลง พลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้งกว่าห้วงนิทราจะเข้าครอบครองสติทั้งหมดให้ดับวูบลง

เสียงพูดคุยดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ผมปรือตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้หลับจริงๆ ก็ปาเข้าไปตีหนึ่งตีสอง เห็นประตูห้องนอนเปิดอยู่ก็นึกแปลกใจเลยหันไปมองหาใครบ้างคน พบว่าบนเตียงไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าข้าว แสดงว่าต้องอยู่ข้างนอกแน่ๆ แล้วคุยกับใครอยู่วะ! คงไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม...

ผมเด้งตัวขึ้นจากฟูกทันทีแล้วกุลีกุจอลุกขึ้นจนแทบหน้าทิ่ม เดินโซเซไปที่ประตูแล้วโผล่หน้าออกไปมอง ดวงตาคมเห็นร่างสูงใหญ่ที่แสนคุ้นเคยกำลังนั่งคุยกับพี่ข้าวอยู่ตรงโซฟา หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะสิ่งที่คิดไว้เป็นเรื่องจริง... พี่ต้นแม่งโผล่มาที่นี่ได้ไงตั้งแต่เช้า ลงเครื่องปุ๊ปถ่อมาที่นี่เลยเหรอวะ!

ผมกำลังจะหมุนตัวกลับเพื่อไปตั้งหลักและอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปเผชิญหน้ากับพี่ต้น แต่ไม่วายต้องชะงักเท้าเมื่อพี่ข้าวเรียกกันไว้ซะก่อน อยากจะร้องไห้เว้ย ไม่เคยเกลียดเสียงพี่ข้าวเท่าวันนี้มาก่อนเลย!

"แฮงค์... เพิ่งตื่นเหรอ"
ผมหันกลับไปเจอสายตาสองคู่ที่จ้องตรงมา ของพี่ข้าวเต็มไปด้วยความสดใสเพราะอาการไม่สบายน่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ของพี่ต้นนี่สิ มองกันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่เมื่อคืนผมดูแลน้องพี่นะ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักหน่อยเว้ย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผม ถึงแม้รู้ตัวว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน

"เอ่อครับ ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ"
ผมพูดไม่เต็มเสียงและไม่กล้าสบตากับใครทั้งนั้น รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ดันนอนกินบ้านกินเมืองแถมตื่นหลังคนที่กำลังป่วยอีก เมื่อคืนว่าจะตื่นมาดูอาการพี่ข้าวสักหน่อยแต่ดันหลับยาว เจริญจริงๆ ว่ะ

"จะไหวเหรอ ตื่นสายขนาดนี้น่ะข้าว"
เสียงทุ่มติดจะเฉยชาดังขึ้น เขาไม่ได้ถามผมแต่กลับถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน ยอมรับว่าไม่สมควรตื่นสายขนาดนี้ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดด้วยซ้ำ ก็ตอนนี้มันสิบเอ็ดโมงแล้ว แต่ไอ้จะไหวเหรอของพี่ต้นมันหมายความว่ายังไงวะ งงจนต้องยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย

"อืม... ไหวสิครับ ปกติแฮงค์ไม่ได้ตื่นสายแบบนี้หรอกน่า พี่ต้นอย่าดุสิเว้ย จะให้ผมโสดตลอดปีตลอดชาติเลยเหรอ"
พี่ข้าวพูดออกมาเสียงดัง ใบหน้าหล่อๆ นั่นแดงก่ำจนผมเผลอกระตุกยิ้ม แต่เจอสายตาดุๆ ของพี่ต้นเลยต้องยกมือขึ้นปิดปากไว้ ให้กลั้นยิ้มมันทำยากนี่หว่า ก็คนมันดีใจที่พี่ข้าวพูดอะไรทำนองที่ว่าผมมีหวังเนี่ย

"พูดงี้ใจอ่อนให้มันแล้วหรือไง"
พี่ต้นหันกลับไปจ้องหน้าน้องชายตัวเอง พี่ข้าวขยับตัวยุกยิกแล้วหลบสายตาก่อนจะตอบกลับมาเสียงดังจนผมหุบยิ้มแทบทันที หัวใจแทบแหลกเมื่อได้ยินประโยคนั้น

"ยังดิ ไม่ใจง่ายนะเว้ย ปล่อยให้น้องมันจีบจนเบื่อตายไปเลยนี่ล่ะ"

ได้ยินแบบนั้นเข่าแทบทรุดแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกไปอาบน้ำเพราะพี่ต้นออกปากว่าจะพาไปกินข้าวเนื่องในโอกาสคอยดูแลน้องชายเขาตอนไม่สบาย แต่สายตาที่ได้รับมานั้นแทบจะฆ่ากันตายให้ได้ เขาคงรู้ดีว่าตอนพี่ข้าวป่วยแล้วขี้อ้อนขนาดไหน ถือเป็นกำไรชีวิตให้ผมก็ไม่ได้วุ้ย ทำไมขี้งกจังวะคนเรา

ผมกลายเป็นสารถีขับรถไปโดยปริยายเพราะพี่ต้นสั่งให้คนขับรถทิ้งเขาไว้ที่นี่ จะว่าไปก็แปลกตาอยู่นิดหน่อยที่เห็นเขาในชุดลำลองสบายๆ ระยะทางระหว่างคอนโดไปร้านอาหารไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ ไอ้กันย์ดันเสือกติดธุระพาแม่ไปช็อปปิ้งต่ออีก พี่ต้นเลยแห้วที่จะเจอแฟนหลังจากไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์ นั่นยิ่งทำให้เขาทำสีหน้าเย็นชามากขึ้นไปอีก ผมนั่งตัวเกร็งไปตลอดทางไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักแอะ พี่ข้าวก็นั่งก้มหน้าก้มตาเล่นเกมอยู่ตรงเบาะหลัง ไม่สนใจเลยว่าพี่ชายตัวเองจะแผ่รังสีอำมหิตออกมามากขนาดไหน

ผมอยากจะกระโดดหนีหรือหายตัวไปที่ไหนก็ได้ที่บรรยากาศมันปลอดโปรงกว่านี้ ยามพี่ต้นเหลือบสายตามามองกันราวกับอยากพูดอะไรนั้นทำให้นายปรานต์แทบลืมหายใจ กลัวว่าจะโดนห้ามไม่ให้เข้าใกล้พี่ข้าวนี่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ

“เกร็งอะไรขนาดนั้น พี่น่ากลัวเหรอ”
น้ำเสียงราบเรียบถามขึ้น ดวงตาคมมองไปที่ถนนด้านหน้าแทนที่จะมองกัน ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ถ้าตอบไม่เข้าหูกลับไปนี่จะโดนเด้งออกจากตำแหน่งว่าที่น้องเขยไหม... ทำไมคนที่ผมชอบต้องมีพี่ชายดุขนาดนี้ด้วยวะ

“ก็... นิดหน่อยครับ”
ผมตอบไปตามความจริงและยังคงนั่งเกร็งอยู่เหมือนเดิม แทบไม่กล้าหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าเจ้าตัวก็อารมณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ที่โดนไอ้กันย์ปฏิเสธนัดกินข้าวเที่ยงแบบกะทันหัน

“จริงจังกับข้าวเหรอ”
อยู่ๆ ก็ยิงคำถามนั้นมาอย่างน่าตาเฉย ผมอึกอักเพราะจะให้บอกพี่ชายที่หวงน้องชายอย่างกับไข่ในหินนั้น ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรกลับมาบ้าง

“เฮ้ย พี่ต้นถามอะไรน้องแบบนั้นวะ เดี๋ยวมันเกร็งจนพารถเข้าข้างทางหรอก”
พี่ข้าวโวยวายมาจากด้านหลังยิ่งทำให้ผมเกร็งยิ่งขึ้นไปอีก ดีใจอยู่หรอกที่โดนเขาปกป้องแต่มันผิดสถานการณ์ไปหรือเปล่า

“ปกป้องมันเหรอไง”

“เปล่าสักหน่อย ก็รู้กันอยู่แล้วว่าแฮงค์จริงใจหรือไม่จริงใจ”
พี่ข้าวพูดเสียงอ้อมแอ้ม อยากเห็นหน้าตาเขาตอนนี้เหลือเกินว่ามันเป็นยังไงแต่ติดที่ผมขับรถอยู่ไง... ถ้าหันไปคงได้เกิดอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลแทนไปกินข้าวหรอก

“เข้าข้างกันจังนะ”
พี่ต้นว่าเสียงเข้มแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ จากใครทั้งสิ้น พี่ข้าวไม่ได้เข้าข้างผมสักหน่อยนี่ มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเขารู้อยู่แล้วว่าผมจริงจังหรือไม่จริงจังในการจีบครั้งนี้ จริงๆ ก็สามารถตอบซ้ำได้นะ

พี่ต้นลงทุนเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นที่คนยังไม่หายป่วยอยากกินแต่ห้ามอะไรที่มันเย็นๆ เอาไว้ พี่ข้าวทำหน้ามุ่ยใส่แต่ก็ยอมเชื่อฟังพี่ชายเป็นอย่างดี ดูเป็นเด็กน้อยขึ้นมาทันตา น่ารักน่าเอ็นดูว่ะ หัวใจจะพังอีกแล้วกู อยากเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาเพราะมันเขี้ยวแต่ทำได้แค่นั่งกำหมัดแทนเพราะมีมนุษย์ขี้หวงนั่งอยู่ตรงข้าม

อาหารถูกเสิร์ฟเรียงรายตรงหน้า กลิ่นหอมของอาหารทำให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้งหลายคราวเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ใครจะกล้ายื่นมือไปคีบอาหารล่ะ พี่ต้นยังนั่งกดโทรศัพท์ยิกๆ อยู่เลย เดาว่าคงส่งข้อความคุยกับไอ้กันย์

"กินดิ หิวมากไม่ใช่เหรอ"
พี่ข้าวคีบปลาดิบมาให้กันแต่พี่ต้นกลับเงยหน้าขึ้นมาพอดิพอดีตะเกียบเลยชะงักอยู่กลางอากาศ... เหมือนกำลังจะเกิดโศกนาฏกรรมบนโต๊ะอาหารเลยว่ะ

"พี่ต้น ~ กินปลาดิบเนอะ"
พี่ข้าวหันตะเกียบกลับไปวางปลาดิบลงบนจานของพี่ต้นแล้วฉีกยิ้มกว้างแถมยังเทโชยุเอาวาซาบิผสมให้เรียบร้อยเป็นการกลบเกลื่อน ผมนั่งก้มหน้าก้มตาคีบทงคัตสึใส่ปากอย่างเงียบๆ ให้ตายเถอะ ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ฉิบหาย

"อืม ขอบคุณ แล้วก็นะ... แฮงค์มันมีมือคีบเองได้ จะเอาใจอะไรนักหนา"
เหมือนโดนขวานผ่าแซกกบาลอย่างไรอย่างนั้น พี่ข้าวแม่งไม่เนียนยังจะแถ ผมถึงกับสะดุ้งแล้วช้อนตามองพี่ต้นก่อนจะส่งยิ้มแห้งให้ ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ... แต่การปกป้องคนที่ชอบก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน

"พี่ข้าวไม่ได้เอาใจผมหรอกครับ แค่เห็นจานปลาดิบมันอยู่ไกล"
ไม่ได้แก้ต่างอะไรให้กันเลย เพราะจานปลาดิบมันอยู่สุดแขนจะเอื้อมจริงๆ พี่ข้าวพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ซึ่งพี่ต้นไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากนั่งกินอาหารไปเงียบๆ ผมแทบจะมุดลงไปใต้โต๊ะ ตอนนี้โคตรอึดอัดเลยว่ะ จะทำตัวให้เข้มแข็งสมกับที่กล้าจีบน้องเขาก็เกิดใจฟ่อกลัวโดนตีนไปซะอย่างนั้น

"ข้าว"
อยู่ๆ คนที่เงียบไปนานก็เรียกชื่อน้องชายตัวเองขึ้นมา พี่ข้าวกำลังละเลียดของหวานอยู่ถึงกับชะฃักมือแล้วมองพี่ต้นตาปริบๆ เหี้ย... โมเอะอีกแล้ว

"หือ"
เขาส่งเสียงเป็นเชิงถามในลำคอ ปากสีส้มอ่อนงับช้อนของหวานเอาไว้ อยากอุ้มกลับบ้านไปฝากพ่อแม่ฉิบหาย แล้วบอกว่าคนนี้ล่ะว่าที่ลูกสะใภ้ แค่คิดก็เขินแล้วว่ะ แต่ความคิดต้องชะงักเมื่อพี่ต้นพูดประโยคถัดมา

“บ่ายนี้กลับบ้านเลยนะ”





ต่อด้านล่างจ้า





ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
«ตอบ #135 เมื่อ16-01-2017 20:08:37 »

“ห๊ะ... แต่ว่าผมมีสอนวันจันทร์อีกนะครับ ค่อยกลับวันอังคารทีเดียวเลยไม่ได้เหรอ”
พี่ข้าวดึงช้อนออกจากปากแล้วถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมรู้ว่าการไปกลับบ้านกับมหา’ลัยมันโคตรจะเหนื่อยเลย แถมรถติดแบบว่าชั่วโมงหนึ่งขยับไม่ถึงห้าสิบเมตร

“ไม่ได้ เราทิ้งบับเบิ้ลมาขลุกอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว”

“ก็...”

“กลับบ้าน ไม่อย่างนั้นพี่จะห้ามไม่ให้กลับไปที่คอนโดอีก”

“โอเคๆ กลับบ้านก็ได้ครับ พรุ่งนี้พี่ไปส่งผมที่คอนโดด้วยแล้วกัน วันจันทร์รถถึงจะซ่อมเสร็จ”

หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จพี่ข้าวก็กลับเข้าไปเก็บของที่คอนโดและออกไปพร้อมกับพี่ต้นที่ให้คนขับรถมารับ ผมเดินคอตกเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอย่างหมดแรง รู้สึกโหวงแปลกๆ เพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาอยู่ใกล้ๆ กันตลอดเวลา ถึงแม้ไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่มันก็อุ่นใจ...

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นฆ่าเวลาและขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง แต่การแจ้งเตือนเข้ามาทำให้ด้วยตาเป็นประกายขึ้นมาแทบจะทันทีเพราะมันมาจากคนที่กำลังคิดถึงอยู่พอดี

ข้าว
-   ถึงบ้านแล้วนะ คิดถึงไอ้บับเบิ้ลไหม พี่ถ่ายรูปมาฝาก 16:12
-   *แนบรูปบับเบิ้ลนอนหงายท้อง*


แฮงค์
-   โห นอนสบายเลยนะไอ้หมายักษ์ 16:12

ข้าว
-   เออ... พี่จะไปญี่ปุ่นวันพุธหน้านะ กว่าจะกลับก็คงอีกอาทิตย์นึงเลย 16:13


ผมเด้งตัวขึ้นจากโซฟาด้วยอาการตกใจ อะไรวะ พอกลับไปอยู่บ้านก็จะหนีกันไปไกลกว่าเดิมแล้วเหรอ ไปญี่ปุ่นตั้งอาทิตย์นึง โคตรนานเลยเว้ย แบบนี้ก็คิดถึงแย่น่ะสิ แต่ว่าไปทำไมวะ...

แฮงค์
-   ถามได้ไหมครับว่าพี่ข้าวไปญี่ปุ่นทำไม 16:13

ข้าว
-   ได้ไม่ได้ก็ถามมาแล้วไม่ใช่หรือไง ไอ้เด็กบ้า 16:13
-   พี่ต้นจะไปหาพ่อกับแม่ที่นู่นน่ะ ไปฉลองวันเกิด 16:15


ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นวันเกิดใคร แต่ไปฉลองไกลแบบนั้นแล้วไอ้กันย์ล่ะวะ โดนทิ้งเหมือนกันเหรอ ทำไมชีวิตต้องรันทดขนาดนี้ด้วย หรือว่าจะตามไปด้วยดี... แต่มีสอบมิดเทอมอะ เชี่ย!!

แฮงค์
-   แล้วไอ้กันย์... 16:15

ควรถามว่าอะไรดีวะ เสือกเป็นห่วงเรื่องเพื่อนขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่พี่ต้นเขาไปฉลองวันเกิดกับครอบครัวนี่นา เรื่องที่คบๆ กันจะให้เปิดเผยว่าลูกมีแฟนเป็นผู้ชายก็คงแปลกประหลาด ไม่รู้ว่าไอ้กันย์จะรู้เรื่องหรือยังว่าเขาจะหนีไปญี่ปุ่นกัน

ข้าว
-   กันย์รู้เรื่องแล้วล่ะ สัญญากับพี่ต้นว่าจะเป็นเด็กดีไม่นอกลู่นอกทางด้วยนะ 16:16
-   แล้วเราล่ะ มีอะไรจะบอกพี่ปะ ไม่ได้อยู่ให้จีบตั้งหลายวันเลยนะ 16:16


ผมอ่านข้อความจบถึงกับหลุดยิ้มออกมาซะเฉยๆ พอจะรู้อยู่หรอกว่าพี่ข้าวต้องนั่งหัวเราะอยู่แน่ๆ แกล้งอ่อยกันอีกแล้ว คนอะไรวะ... น่าฟัดให้น่วมจริงๆ เลย

แฮงค์
-   รีบกลับมาให้ผมจีบนะครับคนดี สัญญาว่าจะไม่นอกลู่นอกทางหรือมองคนอื่นแน่นอนครับ 16:17

พี่ข้าวเปิดอ่านแล้วก็เงียบไปซะอย่างนั้น ไอ้ผมที่นั่งลุ้นรอคำตอบถึงกับรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาดื้อๆ หยอดไปแล้วไม่ได้ผลนี่มันเฟลมากเลยนะ แต่ตอนที่กำลังจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก็มีสายเรียกเข้าจากพี่ข้าวซะอย่างนั้น เล่นอะไรของเขาวะเนี่ย

“ครับพี่”

‘ขอบคุณนะที่... คอยดูแลกันเมื่อวาน แล้วก็...’

“.....”

‘ขอบคุณที่เป็นเด็กดีของพี่’

บึ้ม! ไอ้แฮงค์โดยขีปนาวุธถล่มจนใจแหลกเป็นผุยผงไปแล้วเว้ย!!!!




----------------------------------------------------

สารภาพมานะทุกคนว่าอยากได้พี่ข้าว!! 555555555555
อยากแย่งแฮงค์อะ ฮือออ  :hao5:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
«ตอบ #136 เมื่อ16-01-2017 20:24:33 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
«ตอบ #137 เมื่อ16-01-2017 20:30:46 »

เด็กดี :)

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
«ตอบ #138 เมื่อ16-01-2017 22:24:51 »

 o13

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
«ตอบ #139 เมื่อ16-01-2017 23:12:01 »

โหวๆๆๆๆๆ อ้อนมากอ่ะพี่ข้าว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 15 -P.5- (16.01.2017)
« ตอบ #139 เมื่อ: 16-01-2017 23:12:01 »





ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #140 เมื่อ20-01-2017 19:57:23 »

เมาครั้งที่ 16




'ขอบคุณที่เป็นเด็กดีของพี่'

ไม่รู้ว่าตัวเองหลุดพูดประโยคชวนขนลุกแบบนั้นไปได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาพาราเซตามอลที่โดนพี่ต้นบังคับให้กินอีกครั้งก็เป็นได้ แล้วอีกอย่างคือกลัวว่านั่นจะทำให้แฮงค์ได้ใจมากยิ่งขึ้น บางครั้งผมก็กลัวการเปลี่ยนแปลงสถานะระหว่างเราเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าเลื่อนขั้นแล้วเขาจะยังเป็นเด็กดีอยู่อีกหรือเปล่า ที่ต้องกลัวแบบนี้เพราะปราศจากความรักมานานหลายปีแล้ว

ผมนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงในเช้าวันอาทิตย์อย่างเบื่อหน่าย จะไปคลุกคลีกับบับเบิ้ลก็ไม่ได้เพราะตัวเองยังไม่หายป่วยดี โทรศัพท์มือถือก็นอนแน่นิ่งอยู่บนหัวเตียงเพราะแบตหมดและกำลังชาร์ตอยู่ เฮ้อ... ตอนอยู่คอนโดไม่เห็นจะเหี่ยวเฉาขนาดนี้เลยนี่หว่า

"เบื่ออะ เบื่อๆๆๆ"
ผมดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงด้วยอาการเบื่อ ยิ่งป่วยยิ่งเหงาเพราะไม่มีคนอยู่ดูแล พี่ต้นออกไปเดทกับกันย์หน้าตาเฉยอีกด้วย หึ แบบนี้ล่ะคนกำลังมีความรักออร่าสีชมพูงี้ฟุ้งกระจาย เห็นแฟนสำคัญกว่าน้องตลอด! อย่าให้มีบ้างนะเว้ย พ่อจะติดแฟนเป็นตังเมเลยคอยดูเถอะ

"ฮึ่ย!"
หยุดดิ้นแล้วส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเตะผ้าห่มให้กระเด็นตกเตียง ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งขยี้หัวตัวเองไปมาจนยุ่งเหยิง กะว่าจะเดินไปเสียบปลั๊กทีวีเพื่อดูการ์ตูนสักหน่อย แต่เสียงเคาะประตูห้องกลับดังขึ้นแล้วตามมาด้วยใบหน้าของไอ้จุ้นที่โผล่เข้ามา ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมันมายืนอยู่ตรงนี้ พี่ต้นโทรไปบอกแน่ๆ

"ฮัลโหลมายบอย ~"
ไอ้จุ้นทักทายด้วยเสียงสดใสพร้อมกับดันประตูให้เปิดออกกว้างๆ แล้วสอดตัวเข้ามาพร้อมถาดอาหาร กลิ่นหอมชวนให้น้ำย่อยเริ่มทำงาน หิว... แต่ยังไม่ได้แปรงฟันเลย ตอนนี้โคตรขี้เกียจเลยไง

"มายบอยพ่อง... มาได้ไง"
แอบด่าไปเล็กน้อยก่อนจะเบ้ปากใส่มันที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่สะทกสะท้านจนน่าหมั่นไส้ แต่ก็ดีที่ไอ้จุ้นมาหากัน ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมต้องเหงาตายแน่ๆ เพราะกว่าพี่ต้นจะมารับผมไปส่งที่คอนโดคงตกเย็นนู่นล่ะ ก็บอกแล้วไงว่าแฟนสำคัญกว่าน้อง!

"กูเป็นองครักษ์พิทักษ์มึงน้า ก็ต้องมาได้ดิ"
ไอ้จุ้นทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้ววางถาดข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ควันหอมฉุยลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่มันอุตส่าห์เดินไปเอามาวางเพื่อสะดวกต่อการกินข้าวของผม บริการดียิ่งกว่าโรงพยาบาลเอกชนอีกมั้ง

"กวนตีน ขอความจริง"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วก้มหน้าสัมผัสไอร้อนของอาหาร รู้สึกอยากมุดหน้าลงในถ้วยจัง อุณหภูมิกำลังอุ่นสบายเลย

"พี่ต้นโทรหากูไง กูเลยถ่อสังขารมาอยู่เป็นเพื่อน"
มันตอบกลับก่อนจะแย่งถ้วยข้าวต้มกุ้งไปเป่าไล่ความร้อนให้กัน ผมมองภาพตรงหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย ดูๆ ไปไอ้จุ้นก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ ดูแลเอาใจใส่กันขนาดนี้... แต่ถ้าถามว่าย้อนเวลากลับไปได้อยากจีบมันไหม ผมนี่ส่ายหน้าจนคอแทบหลุดเลยล่ะ ขนลุกซู่

"เออ ขอบใจ แล้วไอ้พีชไม่โวยวายเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วถ้าเป็นวันอาทิตย์แบบนี้ไอ้จุ้นจะโดนพีชกักตัวไว้ เพราะกว่าจะมีเวลาว่างตรงกันก็ยากเหลือเกิน เพื่อนสนิทหน้าตึงขึ้นมาทันทีก่อนจะหยุดชะงักการเป่าข้าวต้มลง มันค่อยๆ ช้อนตามองกันด้วยอารมณ์ที่เดาไม่ออก ไอ้ทีท่าแบบนี้เมียคงไปทำงานต่างจังหวัดอีกแน่ๆ

"อยู่โวยวายซะที่ไหน ไปคุมงานที่ชลบุรีแล้ว ไม่รู้ว่าบริษัทมันจะรับงานไกลเพื่ออะไรวะ เฮ้อ"
พูดจบก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มีรักก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แต่มันก็ทำให้ชีวิตมีสีสันดี ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อนสนิทเป็นการปลอบใจ เห็นมันทำหน้าเป็นแมวหงอยแล้วคันตีนอยากเตะยังไงไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าสงสารเหมือนใครบางคนเลย... แล้วจะไปคิดถึงเขาเพื่ออะไร เพิ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเอง

"เออน่า วิศวกรที่ดีต้องทำงานได้ทุกรูปแบบ แล้วนี่มึงเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปทิ้งไว้ที่ไหนถึงออกมาหากูได้เนี่ย"
ผมถามหาเจ้าแมวเมนคูนตัวยักษ์ที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ไอ้จุ้นเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะญาติดีกับลูกรักของเมียสักที เห็นแล้วก็สงสารว่ะ

"เอาไปฝากที่ร้านอาบน้ำโกนขนละ"

"เดี๋ยวๆ เอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปโกนขนเลยเหรอ ไอ้พีชจะได้ตอนน้องชายมึงให้เป็ดกินน่ะสิ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันพูดซะโอเวอร์ ขืนเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปโกนขนจริงอาจจะโดนเมียเอาไม้หน้าสามฟาดแล้วกระทืบให้จมดินก็ได้ รักแมวมากกว่าผัวอีกมั้งรายนั้น

ไอ้จุ้นมองผมตาขวางก่อนจะใช้ฝ่ามือมาดันหัวกันซะอย่างนั้น แต่แทนที่ผมจะโกรธกลับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งเพื่อน

"จริงๆ ก็หมั่นไส้ไอ้พีชอยู่นะที่อะไรๆ ก็ไอ้ดุ๊กดิ๊กสำคัญกว่ากูตลอด อยากรู้เหมือนกันถ้าแม่งโดนโกนขนกลายเป็นแมวสฟิงซ์มันจะยังรักอยู่ไหม"
ไอ้จุ้นทำหน้าเบื่อหน่ายแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความน้อยใจ ผมรู้ว่าเพื่อนไม่ทำอย่างนั้นจริงๆ หรอก เพราะไม่ว่าไอ้พีชรักหรือชอบอะไรมันก็ไม่เคยขัด แถมยังช่วยสนับสนุนอีกด้วย ถึงแม้จะแสดงออกตรงกันข้ามอยู่บ่อยๆ

เหี้ยเถอะ... แมวสฟิงซ์ยักษ์เนี่ยนะ สยองสุดๆ !

"จุ้น... กูเชื่อว่าพีชมันก็ยังรักของมันถึงแม้ว่าไอ้ดุ๊กดิ๊กจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ก็เหมือนกับที่มันรักมึงนั่นล่ะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มองเพื่อนสนิทด้วยแววตาลึกซึ้ง อยากให้มันคิดตามหลักความเป็นจริงให้มากที่สุด เพราะคนเราส่วนใหญ่นั้น ไม่ว่าอะไรที่เราปักใจรักไปแล้ว อยู่ๆ จะให้ตัดใจจากมันเพราะเหตุผลเพียงเล็กน้อยนั้นเป็นไปได้ยาก

"แล้วกูเปลี่ยนไปยังไงไม่ทราบครับคุณข้าว"
น้ำเสียงมันเครียดจนผมไม่กล้าทำเป็นจริงจังต่อเลยกลบเกลื่อนด้วยการหยอดมุกที่ไม่รู้ว่าคนฟังจะตลกไปด้วยกันได้หรือเปล่า

"เปลี่ยนจากคนดีกลายเป็นคนบ้าไง"
พูดด้วยสีหน้าใสซื่อจนไอ้จุ้นถึงกับถลึงตาใส่แล้วยกหมอนขึ้นฟาดที่หัวของผม ไอ้คนที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซล้มลงนอนสิครับจะรออะไรล่ะ ก็เล่นไม่ออมแรงกันซะขนาดนั้น สมงสมองเบลอไปชั่วขณะเลยไง

"แม่ง อุตส่าห์ตั้งใจฟัง"
บ่นเสียงงุ้งงิ้งแต่ไม่วายนั่งคนข้าวต้มกุ้งเพื่อเป่าให้มันคลายร้อนต่อให้อีก ผมมองภาพนั้นแล้วเผลอหลุดยิ้มออกมา อยากจะคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปมันเอาไว้แต่กลัวจะโดนกล่าวหาว่าเห่อความน่ารักของเพื่อน อยู่ๆ ก็คิดได้ว่าควรลุกไปจัดการตัวเองสักทีจะเลือกแค่แปรงฟันหรืออาบน้ำเลยก็ดี

"จุ้น... กูขอไปแปรงฟันก่อนนะ"
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วก้าวขาลงจากเตียง มีสภาวะโงนเงนเล็กน้อยถึงปานกลาง ไอ้จุ้นเงยหน้าขึ้นมองและย่นจมูกใส่ ใช้มือข้างที่ว่างโบกไปมาตรงหน้าทำท่าว่าเหม็นปากกันซะเต็มประดา อยากถีบแม่งให้หงายหลังสักที

"มากไปๆ"
ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้จุ้นก่อนจะพาตัวเองไปที่ห้องน้ำ กระจกบานใหญ่ฉายภาพผู้ชายผิวขาวคนหนึ่งที่บัดนี้หัวกระเซอะกระเซิง ดวงตาปรือช่ำน้ำเพราะยังไม่หายจากอาการป่วย สภาพตอนนี้ไม่เหลือเค้ารางอดีตเดือนคณะดิจิทัลอาร์ตเลยด้วยซ้ำ ตอนไม่สบายนี่มันแย่ไปหมดทุกอย่างจริงๆ

ผมลงมือล้างหน้าและแปรงฟันอยู่นานกว่าสิบนาทีจนไอ้จุ้นต้องเดินมาตาม ที่ช้านี่เพราะไม่ใช่อะไรหรอก เผลอหลับตอนนั่งชักโครกน่ะ...

"ข้าว... มึงควรไปหาหมอนะ ตัวร้อนอีกแล้ว"
จุ้นพูดขึ้นหลังจากที่มันใช้หลังมืออังกับหน้าผากของผม ช้อนข้าวต้มกุ้งในมือหยุดชะงักทันที ก่อนจะใช้สายตามองเพื่อนสนิทอย่างไม่เข้าใจเพราะในเมื่อยาก็กินนอนจนอืดทำไมไข้ยังไม่ลด... หรือต้องเปลี่ยนคนดูแล? หึ คิดอะไรฟุ้งซ่านอีกแล้ววะกู

"หึ ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปโรงพยาบาล"
ผมตอบก่อนจะอ้าปากงับช้อนข้าวต้มต่อและไม่สนใจว่าไอ้จุ้นจะทำท่าทางยังไงใส่ เรื่องดื้อขอให้บอกเพราะไม่เป็นสองรองจากพี่ต้นสักเท่าไหร่

"งั้นกูโทรหาพี่พายนะ"

"หยุดๆ ไม่ต้อง กูกับพี่พายมีปัญหากันอยู่"
ผมรีบเบรกไอ้จุ้นทันทีที่ได้ยินว่ามันกำลังจะทำอะไร เพราะตั้งแต่วันนั้นที่ผมไปเยี่ยมพี่ตุลย์แล้วหลังจากนั้นมายังไม่ได้คุยกับพี่พายอีกเลย ไม่รู้ว่าจะโกรธกันหรือเปล่าที่ไม่สามารถทำตามคำร้องขอของเขาได้

"ปัญหาอะไรของมึงเนี่ย"
ไอ้จุ้นถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังติดลมกินข้าวอยู่ ไม่อยากให้มันขาดตอนเพราะถ้าเริ่มพูดเรื่องพี่ตุลย์อาจจะกินอะไรไม่ลงไปอีกนาน

"ห่านี่ ทำให้กูอยากรู้แล้วก็เงียบเฉย"

"รอแค่นี้ต้องด่าด้วยวะ"
ผมว่าก่อนจะหยิบยาแล้วส่งน้ำในแก้วเข้าปาก ความขมของพาราเซตามอลติดปลายลิ้นเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่ไม่สามารถกลืนยาลงไปพร้อมน้ำได้ ไอ้จุ้นเบะปากใส่กันอีกครั้งแล้วยกโต๊ะญี่ปุ่นลงจากเตียงพร้อมถ้วยข้าวและทิ้งตัวลงนอนแทนที่

"นานทีปีหนจะได้ยินว่ามึงมีเรื่องกับพี่พาย ก็อยากรู้เป็นธรรมดา"
มันพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะหลับตาลง นึกหมั่นไส้อยู่เล็กน้อยตรงที่พี่ต้นส่งมันมาดูแลผมแต่กลับทิ้งตัวลงนอนสบายใจเฉิบเนี่ยนะ

"ก็... เรื่องพี่ตุลย์"
หลังจากนั้นผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ไอ้จุ้นฟังจนหมดเปลือก ยกเว้นแค่เรื่องที่อุปโหลกว่าแฮงค์เป็นแฟนกันก็เท่านั้น ถ้าบอกไปมีหวังโดนล้อจนตายแน่ๆ มันถอนหายใจออกมาหลายรอบหลังจากที่ฟังจบ บ่นว่าพี่ตุลย์เหี้ยบ้างล่ะ สงสารพี่พายบ้างล่ะ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเลยไม่ได้ขัดอะไรออกไป

วันจันทร์เริ่มต้นขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะลืมไปว่าตัวเองไม่มีสอนแต่เด็กมีสอบมิดเทอมเลยได้แต่นั่งเบื่ออยู่ในห้องพักอาจารย์ ผมมีคุมสอบนักศึกษาช่วงบ่ายซึ่งเป็นคนละเซคกับแฮงค์... ไม่รู้เจ้าเด็กบ้านั่นอ่านหนังสือได้เต็มที่หรือเปล่านะ แอบห่วงอยู่นิดหน่อยเพราะแทบไม่ได้คุยกันเลยหลังจากที่ผมกลับบ้าน

"ข้าว"
เสียงเรียกชื่อนั้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมกรอกมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะเจอเข้ากับพี่ปันที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเพลียๆ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง ดูเหมือนการคุมสอบจะหนักหนาเอาการมากกว่าที่คิด

"นี่พี่ไปสอบกับเด็กด้วยหรือเปล่าวะ ทำไมกลับมาสภาพแบบนี้"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะเผื่อว่าอีกคนจะคลายความอ่อนล้าลงไปบ้าง แต่เปล่าเลย ใบหน้าคมๆ นั่นยังคงแสดงอาการเพลียอย่างเห็นได้ชัด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ

"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ กาหัวกระดาษเด็กไปสามสี่คน รู้สึกแย่ว่ะ"
พี่ปันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เข้าใจว่าทำไปตามหน้าที่ แต่นั่นคือความผิดของนักศึกษาที่พยายามทุจริตเอง พี่ปันไม่ต้องรู้สึกแย่เลยสักนิดเดียว แต่ก็อย่างว่า ใครเขาจะอยากประสงค์ร้ายกับลูกศิษย์ของตัวเองกันล่ะ

"ทำไปตามหน้าที่ไม่ใช่หรือไง หรือพี่จะปล่อยให้เด็กลอกข้อสอบกัน"

"เออๆ ตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันปะวะ"

"หึ มีนัดแล้ว"
ผมตอบเสียงเรียบทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีนัดกินข้าวตอนกลางวัน แต่พี่ปันกลับใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองมาและส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ อย่าบอกนะว่าไปรู้อะไรมาอีก... หูตาอย่างกับสับปะรด

"แหม เดี๋ยวนี้มีนงมีนัด คนนี้ผ่านด่านพี่ต้นแล้วเหรอวะ"
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้กันอีก ผมทำหน้าใสซื่อก่อนจะเบี่ยงประเด็นไม่ยอมตอบด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น เรื่องอะไรจะบอกให้โดนแซวล่ะวะ

"เอ้า ทำเงียบอีกคนเรา แบบนี้มีพิรุธว่ะเฮ้ย"

"พูดมากจังวะ เมียพี่ไม่เบื่อบ้างเหรอ"
ผมพูดก่อนจะเหล่สายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน พี่ปันทำหน้ายุ่งแล้วยกมือขึ้นผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ ถึงจะโดนทำร้ายร่างกายแต่ก็ถือว่าคุ้มที่สามารถจิกกัดเขาได้

"ปากมึงนี่นะ... ร้ายกาจฉิบ"

"เขาเรียกเป็นคนพูดตรงเว้ย"
ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเอง

"หมาล่ะสิไม่ว่า สงสารคนที่เข้ามาจีบแกจัง"
พี่ปันว่าด้วยน้ำเสียงกวนตีน มุมปากกระตุกยิ้มน่าหมั่นไส้ ผมได้แต่เถียงดังๆ อยู่ในใจว่าถึงจะหมาก็มีคนอยากได้ก็แล้วกัน! ไม่กล้าพูดออกไปหรอก กลัวแม่งเอาไปป่าวประกาศทั้งมหา'ลัย

"ปากตัวเองก็ใช่ย่อยเหอะพี่ปัน ผมไปกินข้าวดีกว่า บาย"
ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะลุกเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพี่ปันอีกแล้ว ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วพบว่าอีกยี่สิบนาทีกว่าเด็กบ้านั่นจะเลิก ขอไปแอบดูพฤติกรรมเวลาสอบหน่อยแล้วกัน

ผมเดินไปยังห้องที่แฮงค์ส่งข้อความมาบอกกันว่าจะเข้าสอบช่วงเช้า ขายาวหยุดชะงักหน้าบานประตูกระจกใสแล้วจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่จำได้ดี แฮงค์กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนข้อสอบด้วยความตั้งใจ ถัดออกไปไม่ไกลมากนักกันย์ก็กำลังเคร่งเครียด เห็นแบบนั้นก็ทำให้โล่งใจขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ได้โดนกาหัวกระดาษแต่อย่างใด

จริงๆ แล้วเที่ยงนี้ผมมีนัดกินข้าวกับแฮงค์ก่อนที่จะต้องไปญี่ปุ่นกับพี่ต้น ก็ไม่รู้ว่าใจอ่อนไปยอมให้มันอ้อนสำเร็จได้ยังไงก็ไม่รู้ เขาเอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งว่า 'พี่ข้าวไปญี่ปุ่นตั้งหลายวันผมต้องคิดถึงมากแน่ๆ' หรือ 'พี่ข้าวครับ ไม่อยากให้ไปเลย ผมต้องเหงามากแน่ๆ' ดูทำตัวเข้าสิ อ้อนอย่างกับลูกหมา นั่นล่ะคือสาเหตุที่ผมยอมตกลงรับนัดนั่น ส่วนแฟนของพี่ชายนี่... เป็นตัวแถมมาเฉยๆ

อาจารย์สาวในห้องคุมสอบหันมายิ้มหวานให้กัน ก็พอรู้ว่าเธอเล็งผมไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่โผล่ไปคณะ ก็ไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาจะดูแย่อะไร แต่ติดที่นิสัยขี้วีนนั่นล่ะ ทำให้ผมมองข้ามเธอไปซะเฉยๆ ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่เลยยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา และไม่นานมากนักก็ได้ยินเสียงนักศึกษาทยอยออกมาจากห้องสอบ

"พี่ข้าว"
เสียงที่คุ้นเคยเรียกกันอยู่ตรงหน้า แต่ผมกำลังติดพันเล่นเกมอยู่เลยไม่ได้เงยขึ้นไปมอง ส่วนข้างๆ ตัวก็สัมผัสได้ว่ากันย์หย่อนตัวลงนั่งแล้วชะโงกเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์อีกด้วย

"อือ... ขอเล่นเกมแป๊ป จะจบด่านแล้ว"
ผมตอบเสียงเบาเพราะกลัวนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาจะได้ยินแล้วภาพพจน์อาจารย์สุดหล่อของคณะจะเสียหาย ก็เล่นติดเกมเหมือนเด็กไปซะอย่างนั้น

"พี่นี่เหมือนเด็กเลยว่ะ ยังติดเกมอยู่อีก"
เสียงกันย์ดังขึ้นข้างหูแต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะกำลังตีบอสในเกมอยู่ จะว่าไปคนที่ติดมากกว่าผมคือพี่ต้นต่างหากแต่เขาไม่ได้มานั่งเล่นให้แฟนเห็นก็เท่านั้นเอง

"พี่ต้นติดเกมงอมแงมมากกว่าพี่อีกเหอะ"
ผมพูดออกไปโดยไม่ได้ละความสนใจออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยม การที่เป็นคนแยกประสาทสัมผัสได้ดีก็แจ่มดีนะ สามารถทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน

"จริงอะ ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องเลยวะ"
น้องถามด้วยเสียงเหลือเชื่อจนผมหลุดอมยิ้มน้อยๆ ก็แฟนกันย์น่ะ... เจ้าของบริษัทเกมนะเว้ย ที่มาทำธุรกิจนี่ก็เพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้คำนึงถึงสายอาชีพที่ตัวเองเรียนมาเลยด้วยซ้ำ ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าบ้าเกมขนาดไหน

"เป็นแฟนประสาอะไรของมึงไอ้กันย์ ว่าที่ผัวติดเกมงอมแงมยังไม่รู้อีก"
แฮงค์พูดขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วขยับตัวออกห่างจากเพื่อนสนิทเมื่อฝ่ามือของกันย์ง้างออกเพื่อจะฟาดคนปากเปราะ แต่ผมว่าไม่ผิดหรอกที่เขาพูดน่ะ ทั้งเรื่องไม่รู้ว่าพี่ต้นติดเกม และเรื่องที่พี่ต้นมีตำแหน่งผัว รายนั้นน่ะไม่ยอมให้ใครเสียบหรอก

"ไอ้แฮงค์! หยุดพูดเรื่องผัวๆ เลยนะ ยังไม่ได้ตกลงตำแหน่งกันเว้ย"
โมโหหรือเขินก็ไม่รู้ หน้าแดงหูแดงไปหมด แถมยังมีการพูดติดตลกอีกว่ายังไม่ได้ตกลงตำแหน่งกัน... คืออย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้นกันเลยน่า ต่างคนก็ไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน ความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปน่าจะดีกว่า

"อ่าวเหรอ แต่พี่ว่าเมียแน่ๆ"
ผมแกล้งพูดขึ้นมาลอยๆ ทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าเล่นเกมอยู่อย่างนั้น แต่หางตากลับสอดส่องปฏิกิริยาของกันย์ไปด้วย น้องเม้มปากแน่นก่อนจะพูดออกมาเสียงอ้อมแอ้ม ท่าทางตอนนี้โคตรน่ารักเลยว่ะ ถ้าพี่ต้นเห็นคงลากไปฟัดแน่ๆ

"พี่ต้นเป็นเมียผมอะเหรอพี่ข้าว"
ถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ ผมชักจะสงสารพี่ต้นแล้วสิ ก็ไอ้เด็กหน้าหวานตัวเล็กนี่คงหวังว่าตัวเองจะเป็นสามีที่ดีได้ในสักวันหนึ่งแน่ๆ แต่คิดว่ากันย์น่าจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าควรตำแหน่งไหน

"หึ เปล่า พี่หมายถึงกันย์อะเป็นเมียแน่ๆ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับกันย์ที่นั่งอ้าปากพะงาบๆ เหมือนคนกำลังจมน้ำและพูดไม่ออก แฮงค์ถึงกับตบมือให้กับความคิดนี้ คงรู้สึกแบบเดียวกันสินะ

"คิดเหมือนผมเลยพี่ข้าว ไอ้กันย์เนี่ยจะไปเป็นผัวใครได้ ตัวเล็กกะทัดรัดขนาดนี้"
แฮงค์พูดยืนยันว่าเราทั้งคู่คิดเหมือนกัน ไอ้ตัวเล็กของพี่ต้นถึงกับทำหน้าบูดใส่แล้วโวยวายเสียงง้องแง้ง ยังไงๆ กันย์ก็ยังดูน่ารักมากกว่าไอ้จุ้นล่ะนะ รายนั้นงอแงแล้วน่าเตะ

"โอย เงียบไปทั้งคู่เลยนะเว้ย หิวข้าวแล้ว!! เร็วๆ เลยพี่ข้าว"
บอกให้เงียบแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าแขนผมให้ลุกขึ้นตามโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมองการกระทำนี้หรือเปล่า แฮงค์หลุดหัวเราะออกมาตอนที่เดินขนาบมาด้านข้าง โดนสายตาดุๆ ของกันย์ส่งไปถึงเงียบปากลงได้ นึกว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นซะแล้ว เฮ้อ

หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยผมตั้งใจว่าจะไปส่งเด็กทั้งสองเข้าสอบแต่ดันเป็นฝ่ายโดนส่งเข้าคุมสอบซะเอง เหตุผลง่ายๆ คือฝั่งนั้นมีสองคนเดินไปด้วยกันได้ แต่ผมไม่มีเพื่อน... พูดอย่างกับผ่านทางเปลี่ยว นี่มันมหา'ลัยนะเว้ย ผมไม่ไปฉุดกระชากใครไปปล้ำในดงกล้วยหรอกน่า

วันอังคารดำเนินมาถึงแล้ว ผมโดนพี่ต้นลากกลับบ้านตั้งแต่คุมสอบจบ รถของตัวเองที่ฝากซ่อมไว้ที่อู่แฮงค์ก็ยังไม่ได้ไปรับกลับเลย ไม่รู้เขาจะรีบอะไรนักหนา แต่ถ้าคิดในแง่ร้ายคือกำลังกีดกันผมกับน้องมันอยู่ ก็ไหนตอนแรกบอกเข้าใจและยอมดูพฤติกรรมไอ้เด็กนี่อยู่ห่างๆ ไง ทำยังไงพี่ชายถึงจะเลิกอาการหวงไม่เป็นเรื่องแบบนี้ได้สักทีวะ ยิ่งกว่าป๋ากับแม่อีกเนี่ย

"จัดของหรือยัง"
พี่ต้นโผล่หน้าเข้ามาโดยไม่เคาะประตูห้อง ผมกำลังนั่งเซ็งอยู่กับกองเสื้อผ้าที่รื้อออกมาจากตู้ ไม่รู้ว่าควรเอาอะไรไปบ้างเพราะใจไม่ได้อยากไปญี่ปุ่นเลยสักนิด ความขี้เกียจเดินทางมันมีมากกว่านี่นา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นเลย จริงๆ นะ เชื่อผมสิ!

"กำลังจัด ต้องเอาเสื้อผ้าแบบไหนไปนะเดือนตุลาฯ"
ผมถามคนที่เดินมานั่งข้างๆ กัน มือก็ยังหยิบเสื้อตัวนั้นตัวนี้ขึ้นมาดู ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นที่จะได้ไป แต่ไม่อยากจัดกระเป๋าด้วยซ้ำ

"เสื้อผ้าธรรมดาๆ นี่ล่ะ อากาศเดือนนี้ไม่ร้อนไม่หนาว กำลังสบายๆ"
พี่ต้นบอกกันด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะเจ้าตัวไปญี่ปุ่นบ่อยมากจนจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองอยู่แล้วก็ว่าได้ ผมพยักหน้ารับก่อนจะจับเสื้อผ้าที่ใส่ประจำยัดใส่กระเป๋าลวกๆ โดยไม่ต้องคิด ขี้เกียจพับแค่ไหนถามใจดูเถอะ ยับยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วซะอีก

"หยุด ใครเขายัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าโดยไม่พับหรือม้วนเอาแบบนี้ ไปถึงที่โน่นไม่มีพี่ส้มรีดให้นะ"
พี่ต้นว่าเสียงดุจนผมชะงักมือค้างไว้ ผลงานตรงหน้าใช้คำว่าจัดกระเป๋าแทบไม่ได้เลย ยิ่งกว่ากองเสื้อผ้าในตะกร้าที่รอซักซะอีก ผมอยากต่อรองว่าไม่ไปไม่ได้เหรอ พี่ต้นกลับมาเมื่อไหร่ค่อยฉลองวันเกิดย้อนหลังให้ แต่เพราะมันเป็นวันสำคัญของเขาเลยทำให้เก็บคำพูดไว้ทั้งหมด ไปก็ไปวะ ไม่อยากเรื่องมาก ขี้เกียจมีปัญหาจุกจิกกับพี่ชาย

"ก็ผมขี้เกียจจัดกระเป๋าอะ หิวข้าวแล้วด้วย"
ผมทำเสียงงอแงใส่พี่ต้นจนเขาถอนหายใจใส่แล้วผลักหัวกันเบาๆ ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดใครหรอก ตื่นสายเอง ชักช้าเอง เครื่องจะออกคืนนี้แต่ยังไม่ได้จัดกระเป๋าอีก จะโทษใครได้ล่ะ

"ลงไปหาอะไรกินไป เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมเป็นธุระจัดการให้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาก็มักจะช่วยกันทั้งๆ ที่ปากบ่นจะเป็นจะตายนั่นล่ะ ก็นี่นายการินน้องรักของนายการันต์เชียวนะ แต่เสียอย่างเดียวตรงขี้หวงน้องนี่ล่ะ ความหวงแฟนนี่เป็นรองไปเลย คิดแล้วกลุ้มใจ...

ผมเดินลงมาจากชั้นบนแล้วเจอเข้ากับไอ้บับเบิ้ลที่นอนอยู่ตีนบันได มันเงยหน้าขึ้นมองกันเล็กน้อยก่อนจะเมินไป ท่าทางเหมือนจะโกรธเพราะผมไม่ได้คลุกคลีด้วยหลายวันเลย... ถามจริงเหอะว่าพี่ต้นเลี้ยงหมาหรือคนทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้

ผมเดินมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วนั่งยองๆ เพื่อลูบหัวเจ้าหมายักษ์ แต่มันดันรู้ทันเลยลุกสะบัดตูดกระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาแทน ความขี้งอนนี้ท่านได้จากที่ใดมาหรือบับเบิ้ล... มันน่าฟัดแล้วกัดให้จมเขี้ยวจริงๆ ให้ตายสิ

จากที่จะตามไปง้อเจ้ายักษ์แต่เสียงโครกครากในท้องกลับพาขายาวๆ สู่ห้องครัวแทน ในหม้อมีข้าวต้มกุ้ยและบนโต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆ อย่างไข่เจียวหมูสับ ผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็มวางอยู่ ถึงบ้านมีอันจะกินแต่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อไฮโซตลอดเวลาหรอก กินง่ายอยู่ง่ายแม่กับป๋าสอนมาแบบนี้แถมมันยังอร่อยมากอีกด้วย

ผมนั่งกินข้าวพร้อมกับสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูโซเชี่ยลต่างๆ ไปด้วย ถ้าทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ต้นมีหวังโดนด่าจนหูชาแน่ๆ เพราะเขาบอกว่าจะกินก็กินจะเล่นก็เล่นเลือกเอาสักอย่าง ผมนี่ยกให้เขาเป็นป๋าคนที่สองจริงๆ นะ ดุมากอะ แต่ก็ใจดีนั่นล่ะ

ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็นผมเอาแต่นอนเก็บแรงเพราะต้องเดินทางไปญี่ปุ่นโดยการนั่งเครื่องบินราวๆ ห้าถึงหกชั่วโมง มันทรมานมาก... อย่างตอนที่ผมต้องบินกลับบ้านช่วงเรียนป.โทที่ต่างประเทศนั้นหนักหนาสาหัสจนแทบร้องไห้ เจทแลคไปเป็นวันๆ ก็มี ผมเลยกลายเป็นโรคเกลียดการเดินทางไกลไปโดยปริยาย

เท้าเหยียบพื้นดินประเทศญี่ปุ่นในช่วงเช้าของวันพุธ ป๋ากับแม่บ่นงุ้งงิ้งใส่พี่ต้นเป็นการใหญ่เพราะว่าพวกท่านจะเดินทางกลับไทยวันนี้อยู่แล้ว และนั่นทำให้ผมรู้ความจริงบางอย่างที่ว่า... เขาอยากให้อยู่ผมห่างจากไอ้เด็กนั่นบ้าง ดูสิว่ามันจะยังมั่นคงเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ก็ยอมรับว่าทำแบบนี้มันสามารถพิสูจน์ใจคนได้เหมือนกัน แต่ว่านี่ลงทุนเกินไปปะวะ! ลากไปเชียงใหม่หรือภูเก็ตก็ได้มั้ง ไม่ใช่ว่าหาข้ออ้างดึงผมไปเที่ยว Universal Studio เป็นเพื่อนหรอกนะ โคตรเด็กน้อยอะ ติดแฮร์รี่พอตเตอร์งอมแงมมาก

"ข้าว"
พี่ต้นเรียกขณะที่ผมนั่งทำหน้าอึนอยู่บนเตียงคู่ในโรงแรม คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร เพราะตั้งแต่รู้ความจริงที่โดนลากข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ผมยังไม่ปริปากพูดกับเขาสักคำ มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มชินชากับอาการหวงน้องของเขา แต่ครั้งนี้มันฟังดูไร้เหตุผลไปสักหน่อย แม่กับป๋าก็ดุไปแล้วด้วยว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังจะโดนแย่งของรัก

"โกรธเหรอ"
เขาถามเสียงนิ่งแต่ดวงตาคมเต็มไปด้วยความกังวล ผมแทบไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที ต้องมีพี่คอยเลือกคนที่จะเข้ามาให้แบบนี้

"เปล่า รู้สึกตัวไหมว่านับวันพี่จะไร้เหตุผลไปทุกที ไหนบอกว่าจะคอยดูพฤติกรรมแฮงค์อยู่ห่างๆ ไง แล้วทำไมถึงออกตัวขัดขวางแบบนี้ครับ"
ผมพูดทุกอย่างไปตามที่เขาเคยบอกเอาไว้ มันเป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่ ไม่อาจลืมได้หรอกว่าตัวเองเคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง แต่เหมือนพี่ต้นไม่ได้แคร์เรื่องนั้นสักเท่าไหร่เพราะเขาจ้องมองผมด้วยแววตาแข็งกร้าว มุมปากหยักยกขึ้นเพื่อยิ้มเยาะให้กับอะไรก็ช่างที่ขัดใจ

"หึ... ก็ข้าวเริ่มหวั่นไหวแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็เจ็บกลับมาอีก แรกๆ อะไรมันก็ดีไปหมดนั่นล่ะ"
เสียงพูดเย้ยหยั่นทำให้ผมต้องละสายตาจากฝ่ามือของตัวเองไปมองหน้าเข้าอย่างเอาเรื่อง ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ด้วยความที่เขายึดติดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่มันทำให้น่าอึดอัด

"ผมหวั่นไหว ไม่สิ ผมชอบแฮงค์ครับ รู้ว่าพี่ต้นหวังดี แต่ลองคิดถึงตอนตัวเองเลือกคุยเลือกจีบกันย์สิวะ ไม่มีใครเข้าไปขัดขวางพี่เลยนะเว้ย แล้วทำไมผมไม่มีสิทธิ์แบบนั้นบ้าง"
พูดออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้กันมาตลอดนั้นถือว่ามีแต่เรื่องดีๆ การหวงน้องก็ดี แต่เคยบอกไปแล้วว่ามันมากไป แต่ผมโตเกินกว่าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของพี่ชายแล้ว... เขาควรปล่อยผมให้รู้จักการเลือกคบคนและใช้ชีวิตของตัวเองได้สักที

"ก็เพราะข้าวยังเด็กเกินไป"
และสิ่งที่ผมคิดไว้ตลอดก็เป็นเรื่องจริง พี่ต้นเห็นผมเป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องความรักและการใช้ชีวิต ผมก็เหมือนคนทั่วไปที่มีผิดหวังเรื่องความรักบ้างเป็นธรรมดา ไม่มีใครประสบความสำเร็จไปซะทุกครั้งหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะเลิกกับพี่เต้ยทำไมล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หรือผมกลายเป็นคนไม่เอาไหนไปแล้วจริงๆ เขาถึงไม่ไว้ใจและเลี้ยงดูผมเหมือนไข่ในหินแบบนี้

"พี่ครับ ผมอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกแล้วนะ ยังโตไม่พอที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองอีกเหรอ ดูเป็นคนเหลาะแหละขนาดนั้นเลยสินะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาจับจ้องคนเป็นพี่ชายอย่างต้องการคำตอบ ไม่ได้อยากหาเรื่องแต่ต้องการคำอธิบายในปัญหาพวกนี้ที่เกิดขึ้น เขาหลบสายตากันแล้วเม้มปากแน่นปล่อยให้ความเงียบคืบคลานเข้ามากั้นกลางระหว่างเราจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นผมเลยลุกขึ้นไปเปิด





ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #141 เมื่อ20-01-2017 19:57:48 »

“แม่ขอคุยกับทั้งสองคนหน่อยสิ ยืนฟังอยู่นานแล้ว”
ผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อรู้ว่าแม่ได้ยินทุกอย่างที่เราทั้งคู่คุยกัน ก็ลืมไปเลยว่าห้องนี้มันมีสองห้องเชื่อมกัน... อืม แต่ก็ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องเสียเวลาฟ้อง

“ครับแม่”
ผมตอบรับแล้วคล้องแขนแม่ให้เข้ามานั่งบนเตียงส่วนผมก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ พี่ต้นยืดตัวขึ้นพลางลอบถอนหายใจออกมา ใบหน้าหล่อนั่นดูอึดอัดยังไงชอบกล แต่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวแม่แต่อย่างใด ก็เขาน่ะคิดเสมอว่าความคิดตัวเองดีที่สุดเสมอ

“ข้าวรู้ใช่ไหมว่าพี่เขาทำไปแบบนั้นเพราะหวังดีกับลูก”
แม่หันมาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฝ่ามืออบอุ่นยกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ ผมหลับตาลงแล้วพยักหน้ารับคำ

“แล้วลูกล่ะต้น เข้าใจที่น้องพูดไปบ้างหรือเปล่า”
แม่หันกลับไปถามพี่ต้นที่นั่งนิ่งแล้วใช้สายตาคมมองมาที่ผมอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้

“ผมเข้าใจครับ แต่คนที่เข้ามาจีบน้องเป็นผู้ชายนะแม่ ดูยังไงๆ ข้าวก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าเขาเลือกเดินทางผิดมันจะ... มันแย่นะแม่”

“แล้วลูกล่ะ มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือไง อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ”

“แม่...”
พี่ต้นครางเสียงเบาแล้วมองแม่ด้วยแววตาสั่นไหว เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นล่ะเมื่อผู้ปกครองมารู้ความจริงที่เรายังไม่พร้อมจะบอกด้วยตัวเองแบบนี้ ผมไม่แปลกใจนักหรอกที่แม่จะรู้ สายสืบเยอะจะตาย

“ต้นควรปล่อยให้น้องเลือกทางเดินของตัวเองได้แล้วนะคะ น้องไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆ ที่ต้องคอยเดินตามพี่ชายแล้วนะ ข้าวโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนจบป.โทแล้ว แม่กับป๋าก็ห่วงน้องเหมือนกัน แต่คอยดูอยู่ห่างๆ คอยแนะนำในสิ่งที่น้องทำพลาด ไม่ใช่กำหนดกะเกณฑ์ในข้าวอยู่ในกรอบแบบนี้ มันน่าอึดอัด”

“แต่แม่ครับ... ”

“ต้นครับ... แม่ไม่เคยบังคับลูกเลยนะ อยากจะรักใครคบใครเพศไหนแม่ไม่เคยห้าม แล้วทำไมต้องห้ามน้องคะ น้องก็มีความรู้สึกนะ”

“โอเคครับ แต่ถ้าวันไหนไอ้แฮงค์ทำข้าวเสียใจผมไม่ปล่อยมันไว้แน่ๆ”
ในที่สุดพี่ต้นก็ยอมอ่อนข้อให้กับแม่... ใช่ แค่กับแม่ แต่กับผมน่ะยังคงตามติดอยู่นั่นล่ะ แต่เขาจะไม่พูดอะไรหรือแสดงออกชัดเจนแบบนี้อีกแล้ว ก็ถือว่าดีกว่าเดิมนั่นล่ะ

หลังจากจบเรื่อง... หวังว่าจะจบจริงๆ แล้วนั้น ผมก็โดนแม่ลากไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะอูเอะโนะ ส่วนป๋ากับพี่ต้นพากันไปเที่ยวย่านที่มีบริษัทเกมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด อยากไปกันเขาเหมือนกันแต่จะปล่อยให้คนที่สวยที่สุดของบ้านไปไหนมาไหนคนเดียวก็ดูเป็นลูกที่แย่ไปหน่อยล่ะนะ เราเดินเคียงข้างกันไปอย่างสบายๆ บรรยากาศรอบตัวแม่เป็นแบบนี้เสมอ

“แม่ถามอะไรข้าวหน่อยได้ไหมคะ”
แม่ถามขึ้นขณะที่หย่อนตัวลงบนม้านั่งยาวซึ่งมีผมยืนชมวิวตรงหน้าอยู่ คิ้วเรียวเลิกขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับ

“แฮงค์นี่... คนที่มาจีบลูกเหรอ”
แม่คลี่ยิ้มละมุนให้กัน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ แก้มเห่อร้อนขึ้นมาแปลกๆ เมื่อโดนถามตรงๆ แบบนี้ ยอมรับว่ามันขัดเขินแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้นี่สิ

“อ่า... ใช่ครับ”
ผมตอบแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แม่ ดวงตามองตรงไปด้านหน้า ไม่กล้าสบตาเลย... ก็เธอกำลังจะแซวกันนี่สิ

“เป็นคนยังไงเหรอ หล่อไหม”
แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้มือลูบแก้มกันเบาๆ ผมหันกลับไปมองหน้าเธอแล้วเบนสายตาหลบ... หัวใจเต้นตึกตักๆ จนน่ารำคาญ

“แม่อะ ทำไมต้องถามว่าแฮงค์หล่อหรือเปล่าด้วย ผมหล่อที่สุดนะ”
ผมพูดเสียงง้องแง้งเพราะไม่อยากให้แม่มองใครหล่อกว่าตัวเอง... เรื่องอะไรจะให้คนสวยของบ้านไปหลงคนอื่นเล่า ยังไม่อยากเป็นหมาหัวเน่าซะหน่อยนี่

“โอ๋ๆ ข้าวหล่อที่สุดแล้วค่ะ ตกลงว่าแฮงค์เขาเป็นคนยังไงหืม”

“ก็... เป็นเด็กที่มีสัมมาคารวะนะครับ บางทีก็ขี้เล่นบางทีก็จริงจัง ช่วยเหลือผมตอนที่ลำบาก ข้อเสียคือชอบหลอกแต๊ะอั๋งผมอะ”
แม่เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงใสแล้วใช้มือข้างเดิมขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ดูแม่จะมีความสุขมากที่ผมถูกใครสักคนจีบแบบนี้ ไม่เสียใจบ้างเหรอว่าทำไมลูกแต่ละคนถึงเลือกทางเดินที่มันไม่ปกติ

“ไม่แปลกหรอกน่า อยู่ใกล้คนที่ชอบก็อยากแตะเนื้อต้องตัวเป็นธรรมดานี่คะ หรือลูกไม่เคยคิดอยากทำแบบนั้น”
แม่มองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนไม่สามารถเถียงอะไรได้ ก็ยอมรับล่ะว่าตอนที่เริ่มรู้ตัวว่าชอบเขาไปแล้วก็อยากอยู่ใกล้ๆ ตอนโดนจับมือหรือนั่งใกล้ๆ ก็ไม่มีขัดขืน... แบบนี้จะดูเป็นคนใจง่ายเกินไปหรือเปล่าวะ

“โห... พูดไม่ออกเลย แต่แม่ไม่เสียใจเหรอที่ลูกชายไม่ได้สนใจผู้หญิง”
ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วซบหน้าลงบนไหล่ของเธอ ฝ่ามืออุ่นไล้ไปตามกรอบหน้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงปลายจมูกของผม นิ้วเรียวสวยจิ้มลงมาเบาๆ อย่างหยอกล้อ

“แม่กับป๋าหัวสมัยใหม่น่ะ ลูกมีความสุขแม่ก็มีความสุข กลับไทยแล้วอย่าลืมพาแฮงค์มาเจอกันบ้างนะ... แล้วก็แฟนพี่ต้นด้วย”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ไม่มีแววเสแสร้งแต่อย่างใด ผมรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ดีที่สุดแล้ว แขนยาวพาดลงบนเอวขอดก่อนจะเงยหน้าขึ้นหอมแก้มแม่แรงๆ ไปหนึ่งฟอด รักที่สุดเลยผู้หญิงคนเนี้ย

“ขอบคุณนะครับแม่”




---------------------------------------------------------

ตอนนี้เคลียร์เรื่องพี่ต้นจริงๆ แล้ว 555555 จะได้เลิกขัดขวางน้องสักที
เหลือไอ้หมอตุลย์อีกคน... รายนั้นคงต้องจับถ่วงน้ำเอาอะ

ตอนหน้าค่อยไปทัวร์ญี่ปุ่นกันเนอะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #142 เมื่อ20-01-2017 20:50:33 »

ก็อยากจะจับหมอตุลย์ถ่วงน้ำอยู่นะ แต่สงสารคนแอบรักหมออ่ะ

จับหมอตุลย์มัดใส่พานถวายเขาไปละกัน  :hao6:

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #143 เมื่อ20-01-2017 21:26:59 »

ในที่สุดคุณแม่ก็เบิกเนตรเอาฤกษ์เอาชัยให้กับว่าที่ลูกเขยซะที
 :katai5: :katai5:
 :pig4:

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #144 เมื่อ20-01-2017 21:37:54 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #145 เมื่อ20-01-2017 21:57:37 »

พี่ตุลย์ หวงน้องเว่อร์มากๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #146 เมื่อ20-01-2017 22:01:10 »

 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #147 เมื่อ21-01-2017 03:02:51 »

ไม่มีปัญหาแล้วววววว แฮงค์จะได้จีบแบบเต็มที่สักที

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 16 -P.5- (20.01.2017)
«ตอบ #148 เมื่อ21-01-2017 04:39:32 »

 :hao6:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
Re: ♥ Alcohol Addict ♥ เมาครั้งที่ 17 -P.5- (28.01.2017)
«ตอบ #149 เมื่อ28-01-2017 19:24:36 »

เมาครั้งที่ 17




อากาศยามสายที่อุณหภูมิสิบแปดองศากำลังเย็นสบาย แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาให้ห้องทำให้คิดถึงบรรยากาศภายในคอนโดขึ้นมาจับใจ ถึงที่นี่จะดีแต่ก็ยังคิดถึง คงเคยชินกับการอยู่ที่นั่นแล้วล่ะมั้ง

ผมลากสังขารตัวเองลงมาจากห้องพักเพื่อออกไปหาอะไรกินและไปเที่ยวต่อกับพี่ต้น อยากจะขัดใจแล้วขอนอนต่ออยู่หรอกแต่ทำไม่ได้ เพราะวันนี้มันเป็นวันเกิดของเขา... แถมป๋ากับแม่บินกลับไทยด่วนไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว สุดท้ายวันเกิดก็เหลือแค่เราสองพี่น้อง เอาจริงๆ คือไม่รู้ว่าจะบินมาญี่ปุ่นเพื่ออะไรวะ อยู่ที่บ้านคงมีคนร่วมฉลองด้วยมากกว่านี้อีก เฮ้อ

"ข้าว"

"....."

"การิน!"

"ห๊ะ... มีอะไรครับพี่"
ผมหันขวับไปตามเสียงเรียกชื่อจริงเพราะมีเฉพาะเวลาที่พี่ต้นไม่พอใจเท่านั้นถึงจะเรียกแบบนี้ ใบหน้าหล่อมองกันนิ่ง สายตาคมมีแววจ้องจับผิด

"เหม่ออะไร"
พี่ต้นถามเสียงเรียบแล้วใช้แขนพาดไหล่ของผมเอาไว้อย่างสนิทสนม รู้สึกแปลกที่เขาทำแบบนี้แต่พอมองไปรอบด้านแล้วกลับรู้เหตุผลในทันที... มีคนมองมาทางเรานี่เอง ขนาดอยู่ต่างประเทศยังออกอาการหวงไม่เว้น นายการันต์นี่มันนายการันต์จริงๆ เลยให้ตายสิ

"แต่คิดอะไรเพลินๆ ครับ แล้วนี่จะกอดคอผมอีกนานปะ"
ผมเอ่ยแซวแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนที่ทำตาขวางใส่กัน พี่ต้นเป็นคนเจ้าชู้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่ไม่เคยแสดงออกตอนที่อยู่ด้วยกันเพราะมัวแต่ออกอาการหวงน้องชายไม่เลิก ถ้าไปไหนกับกลุ่มเพื่อนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ลายออกตลอด

“กอดจนกว่าคนพวกนั้นจะเลิกมองพวกเรานั่นล่ะ”
พี่ต้นบอกเสียงแข็งแล้วใช้สายตามองกวาดคนพวกนั้นด้วยความเย็นชา ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้กล่าวว่าอะไรเขาออกไป คิดๆ ไปแล้วก็ตลกดีที่เขาหวงผมแม้กระทั่งกับคนต่างประเทศที่ไม่มีวันจำหน้ากันได้ด้วยซ้ำ

หลังจากที่แวะกินราเมนเจ้าดังเป็นมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยผมก็โดนพี่ชายลากมาที่ Universal Studio ทันทีโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องจริงคือเตรียมใจไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องโดนพามาที่นี่ไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่นอน ก็พี่ต้นน่ะสาวกแฮร์รี่พอตเตอร์ตัวยงเลยเชียว

“พี่ต้น... นี่วางแผนจะมาที่นี่โดยเฉพาะหรือเปล่าครับ”
ผมถามในขณะที่เราเดินผ่านเข้าสู่ส่วน The Wizarding World of Harry Potter พี่ต้นหันมายักคิ้วใส่กันโดยไม่ตอบคำถามแล้วส่งกล้องที่แขวนคอตัวเองอยู่มาให้กัน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะไม่เขาใจว่าทำไมต้องเอามาให้ผมด้วย ตัวเองเป็นคนเอามาแท้ๆ

“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ”
พี่ต้นพูดเสียงราบเรียบและหน้าตาไม่ได้เปลี่ยนไปจากปกติแต่อย่างใด เป็นผมเองที่ตกใจมากกว่าเพราะร้อยวันพันปีเขาไม่เคยขอให้ทำอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง พี่ต้นออกจะเกลียดการเข้ากล้องเอามากๆ แล้วทำไมวันนี้...

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น พี่ให้เราถ่ายบรรยากาศรอบๆ ไม่ใช่ถ่ายรูปพี่”
ผมถึงบางอ้อในทันทีโดนไม่ต้องถามอะไรออกไปซ้ำ พี่ต้นยกมือขึ้นยีหัวกันเล็กน้อยแล้วคลี่ยิ้มบางให้ มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นอยู่เสมอ

“นึกว่าจะคึกขอให้ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้กันย์ดูซะอีก”
ผมเอ่ยแซวแล้วขยับตัวหนีจากฝ่ามือพี่ต้นที่เตรียมง้างจะฟาดกันเพราะไปเอ่ยแซวเขา แต่เชื่อไหมว่าหน้าที่เคยขาวใสไร้เลือดฝาดของพี่ต้นตอนนี้กลับกลายเป็นสีชมพูจางๆ อยากจะเฟซไทม์ไปหากันย์ตอนนี้เหลือเกินว่ะ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดสดๆ ที่พี่ชายจะเขิน... ความรักมันก็ดีนะ เปลี่ยนให้คนเจ้าชู้แข็งกระด้างนั้นกลายเป็นคนอ่อนโยนไปได้

“ไปทำหน้าที่ของตัวเองเลยไปถ่ายสวยๆ ด้วย”
พี่ต้นบอกปัดแล้วผลักไหล่ให้ผมไปทำหน้าที่ของตัวเองสักที แค่ถ่ายรูปเองนะ... ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย แต่จะให้ขัดใจก็คงทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาต่อรองกันอีก

กล้องในมือถูกยกขึ้นระดับสายตาเพื่อเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ หมู่บ้านฮอกส์มี้ดเป็นด่านแรกที่เราต้องเจอ ผมนับถือคนสร้างที่นี่มากเลยนะ เพราะมันเหมือนในภาพยนตร์ทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ มีทั้งร้านของเล่นซองโก้ ร้านขนมฮันนี่ดุกส์ที่สามารถหาซื้อเยลลี่รสชาติแปลกประหลาดได้เกือบทุกรส ร้านไม้กวาดสามอันที่มีบัตเตอร์เบียร์ขายอยู่ แต่จะว่าไปตามส่วนต่างๆ ของที่นี่ก็จะมีรสเข็นกระจายขายเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่แล้ว ผมว่ารสชาติมันเหมือนรูทเบียร์กลิ่นวนิลลา ไปรษณีย์นกฮูกขายพวกโปสการ์ด ปากกาขนนกและเครื่องเขียนอื่นๆ ร้านไม้กายสิทธิ์ขายไม้กายสิทธิ์

เดินผ่านส่วนของหมู่บ้านไปก็จะเห็นปราสาทฮอกวอตส์อยู่ตรงหน้า ด้านนอกจะมีเครื่องเล่นที่ชื่อว่า Flight of the Hippogriff เป็นรถไฟเหาะที่ไม่แรงสักเท่าไหร่เหมือนให้เราใช้มันนั่งชมวิว ซึ่งตอนแรกพี่ต้นปฏิเสธหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมเล่นแน่ๆ แต่ผมใช้กันย์เป็นตัวขู่เขาเลยยอม และด้านในปราสาทจะมีเครื่องเล่น Harry Potter and the Forbidden Journey อยู่ด้วย

ส่วนของในตัวปราสาทจะมีทางเข้าห้องทำงานของศาสตราจารย์ดับเบิ้ลดอร์ ห้องโถงที่มีรูปวาดของผู้ก่อตั้งโรงเรียน มีห้องนั่งเล่นของบ้านกริฟฟินดอร์ ห้องนอนของเหล่านักเรียนและอื่นๆ อีกมากมาย พี่ต้นได้ของที่ระลึกติดไม้ติดมือเพียบ แต่ขอเม้าท์เขาหน่อยเถอะครับ ที่เห็นเป็นแฟนตัวยงน่ะคือชอบบ้านสริธิรินเว้ย... ชั่วร้ายมากอะ ตลอดเวลาผมนึกว่าเขาชอบบ้านของแฮร์รี่ซะอีก ผิดคาดสุดๆ

กว่าจะได้กลับออกมาจาก Universal Studio ก็เป็นเวลาตอนหนึ่งทุ่มกว่าๆ แล้ว ผมลืมที่จะเปิดดูโทรศัพท์มือถือเลยด้วยซ้ำว่าใครติดต่อมาบ้างเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับท่าทางของพี่ต้นที่แสดงออกราวกับเด็กน้อย ก็นานๆ จะได้เห็นมุมแบบนั้นของเขาสักครั้งนี่นา หาดูได้ยากมากเลยนะ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยและเตรียมตัวจะออกไปเที่ยวผับต่อ... ก็ฉลองวันเกิดง่ายๆ ระหว่างพี่กับน้องนี่ล่ะ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบขึ้นมาปลดล็อกด้วยลายมือเพื่อเข้าสู่หน้าจอ แจ้งเตือนมากมายทำให้ตกใจอยู่เล็กน้อย ไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะกล้าส่งข้อความมามากขนาดนี้ แต่ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกก็ผมเล่นหายไม่ตอบอะไรเขาเลยมาเป็นเวลาสองวันแล้ว... ก็มันเหนื่อยจากการเดินทาง แล้ววันนี้ยังโดนพี่ต้นลากไปเที่ยวอีก จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจอย่างอื่น แต่จะว่าก็ว่าเถอะแอบคิดถึงอยู่เหมือนกันนะเลยซื้อของฝากติดมือกลับไปให้ด้วยแบบนี้


แฮงค์
 - พี่ข้าวเที่ยวสนุกหรือเปล่าครับ 17:35


มันคือข้อความสุดท้ายที่เขาส่งมาให้ผมในวันนี้ ไม่มีการเรียกร้องหรือทวงถามว่าหายไปไหนทำไมไม่ตอบไลน์กลับมาบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความห่วงใยแทบทั้งหมด และที่เหลือจะเป็นการบอกว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรบ้าง... รายงานตัวดีแบบนี้คงต้องเพิ่มความรู้สึกให้อีกสักนิดแล้วล่ะมั้ง... มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนปลายนิ้วจะจรดลงบนหน้าจอเพื่อพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

ข้าว
- ชอบแฮร์รี่ พอตเตอร์ไหม? 21:25

ผมเลือกถามแทนที่จะตอบเพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองซื้อไปฝากเขานั้นจะถูกใจหรือเปล่า ถ้าเกิดแฮงค์บอกว่าไม่ชอบกลับมานี่มีหน้าแตกแน่ๆ และคงรู้สึกไม่ดีที่ไม่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร ระหว่างรอนั้นหัวใจแอบเต้นแรงนิดหน่อย สายตาไม่ยอมละออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเลยแม้แต่นิดเดียว และอีกอย่างคือไม่ได้ยินเสียงพี่ต้นเดินออกมาจากห้องน้ำด้วย

“จ้องขนาดนั้นกลัวว่ามันจะหายไปจากมือหรือยังไง”
พี่ต้นเอ่ยแซวขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กัน เขาวางมือลงบนไหล่ของผมแล้วชะโงกเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์จนต้องรับกดปุ่มล็อกเครื่องทันที ไม่อยากเห็นเขาออกอาการหวงน้องและไม่อยากให้เขาขัดขวางการคุยกับแฮงค์


“แอบคุยกับใครครับ”
พี่ต้นถามเสียงเรียบก่อนจะผละมือออกไปจากไหล่ ดวงตาคมจ้องกันอย่างต้องการคำตอบแต่ผมกลับเลิกคิ้วขึ้นแสร้งทำเป็นสงสัยไม่เข้าใจอะไรที่เขาถามเลยแม้แต่นิดเดียว

“หือ ก็เปล่านี่ครับ เราจะออกไปกันได้หรือยัง”
ผมถามขึ้นแล้วยัดโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีดำแขนยาวของตัวเอง พี่ต้นจิ๊ปากด้วยความขัดใจแต่ไม่ได้ถามอะไรซ้ำออกมา เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งมือข้างหนึ่งมาให้กัน และการทำแบบนั้นยิ่งทำให้น้องชายอย่างผมเกิดอาการงงมากยิ่งขึ้น นี่มันเหมือนแฟนกันยังไงไม่รู้ น่าขนลุกฉิบหายเลย ไม่รู้ว่าคิดจะเล่นอะไรอีก

“จับสิ”
เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะยักคิ้วกวนประสาทให้กัน ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพราะไม่เข้าใจอย่างหนัก

“ไม่อะ พี่คิดจะเล่นอะไรวะเนี่ย”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงหวาดๆ แล้วขยับตัวหนีพี่ต้นไปอีกทาง รู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าเดี๋ยวมันต้องมีเรื่องชวนให้ขนหัวลุกได้แน่ๆ

“วันนี้เป็นแฟนกันหนึ่งวัน”
น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับมาแต่แววตากลับมีแววทะเล้นอย่างปิดไม่มิด ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก ไอ้การที่ให้พี่น้องมาโมเมว่าเป็นเพื่อนกันนี่มันน่าขนลุกจริงๆ นะเว้ย ถึงจะสนิทกันมากแค่ไหนแต่ทำแบบนี้มันก็... หยึ๋ยๆ วะ อ๊าก

“ห๊ะ ไม่ๆ นี่คิดจะเล่นอะไรวะพี่ต้น ขนลุก”
เมื่อผมตั้งสติได้ก็ทำหน้าตาขยะแขยงแทบจะทันที มือเรียวลูบไปตามแขนที่ขนลุกชัน ไม่ได้มีการโอเวอร์แต่อย่างใดเพราะมันเป็นความรู้สึกจริงๆ ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ พี่ต้นมองผมก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างถูกใจ นานๆ ครั้งเขาจะหัวเราะด้วยความร่าเริงแบบนี้ ไม่รู้ว่าแอบคิดแผนนี้มานานแค่ไหนแล้วน่ะสิ แต่ผมก็เข้าใจนะว่าทำไมเขาต้องสร้างเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็เรากำลังจะไปเที่ยวผับและมีโอกาสโดนจีบเยอะพอตัว

“ไม่ดีหรือไง จะได้ไม่ต้องมีใครมาจีบทั้งพี่แล้วก็ข้าว”
นั่นไงเหตุผล มันผิดไปจากที่ผมคิดไว้ซะเมื่อไหร่ล่ะ ทำไมซื้อหวยแล้วไม่ถูกจังๆ แบบนี้บ้างวะเฮ้ย แต่เขาเริ่มเรื่องมาแบบนี้แล้วก็ขอตอบกลับแบบกวนตีนหน่อยแล้วกัน ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูงในผลที่จะตามมาน่ะนะ

“หวงผมไว้ให้แฮงค์เหรอครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้พี่ต้น เขายกมือที่กำหมัดขึ้นแล้วแจกมะเหงกให้กลางหัวเต็มๆ หน้าตาหล่อเหลานี่เรียบตึงสุดๆ ดูท่าทางจะได้ผลลับในทางลบแล้วล่ะ... ไม่น่าพูดเล่นแบบนั้นออกไปเลยเว้ย ความซวยเข้าตัวเองหมดแน่ๆ

“ไม่ต้องหวงไว้ให้ ใจข้าวก็ไปหามันแล้วไม่ใช่หรือไง”
พูดใส่กันแบบคนขี้น้อยใจแถมใช้หางตามองกันอีก ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่หวงกันขนาดนี้เพราะกลัวว่าผมจะสนใจคนอื่นมากกว่าพี่ชายหรือเปล่า ที่เขาพูดมานั่นผมไม่ขอปฏิเสธนะ ก็ใจมันไปหาแฮงค์แล้วจริงๆ นั่นล่ะ ถ้าให้นับเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คงประมาณหกสิบแล้วล่ะมั้ง หึหึ

“น้อยใจเหรอ กลัวผมจะสนใจคนอื่นมากกว่าพี่ใช่ไหม”
ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วโผตัวเขากอดพี่ต้นก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง เขาครางอือในลำคอเพื่อเป็นการตอบรับก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวกันอย่างแผ่วเบาและค่อยๆ หนักมือขึ้นจนผมต้องรีบผละตัวออก... มันเปลืองสเปรย์จัดแต่งทรงไม่รู้หรือไงวะ

“ถ้าวันหนึ่งตัดสินใจเลือกแฮงค์แล้ว สัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะรักพี่มากกว่ามัน”
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมจ้องมากกันอย่างบีบคั้น แต่มีหรือที่ผมจะยอมรับปากอะไรแบบนั้น ก็ความรักน่ะมันไม่สามารถวัดความมากน้อยไดสักหน่อย ก็พี่กับคนรักมันคนละตำแหน่งกันนี่หว่า ไม่ได้อัจฉริยะถึงขนาดประเมินค่าของความรู้สึกได้ขนาดนั้น

“ไม่รู้ไม่ชี้ครับ ไปเที่ยวกันดีกว่า!”
ผมพูดจบก็รีบวิ่งหนีทันทีโดยไม่สนว่าอีกคนจะโวยวายอะไรตามหลังมา การที่มีพี่ขี้หวงบางครั้งมันก็ดีนะ ได้เห็นมุมเด็กๆ ของเขาด้วย

บรรยากาศผับของญี่ปุ่นไม่ได้แตกต่างจากที่ไทยสักเท่าไหร่ แต่ผู้คนแต่งตัวล้ำกว่าเป็นหลายเท่าจนผมรู้สึกว่าตัวเองไม่น่ามาโผล่ในสถานที่แบบนี้ได้ ผมสั่งค็อกเทลง่ายๆ มานั่งจิบฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนการมาเลี้ยงฉลองวันเกิดแต่อย่างใด เหมือนมานั่งดื่มกันปกติก็แค่นั้น

“ไปเต้นไหม”
พี่ต้นตะโกนถามมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ดูเหมือนเขากำลังวางมาดให้ดูขรึมมากกว่า ก็เล่นโดนสายตาสาวๆ จิกมาขนาดนั้น ส่วนผมทำตัวตามปกติคือไม่สร้างสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น แต่ถ้ามีคนเข้ามาคุยก็ตอบไปตามมารยาทนั่นล่ะ ก็ไม่ใช่คนที่นี่สักหน่อย สักวันก็คงลืมหน้ากันไม่ได้แค่อะไรขนาดนั้น

“หึ ไม่เอาหรอก นั่งดื่มเฉยๆ สนุกกว่า”
เอาจริงๆ ผมไม่ชอบไปเบียดเสียดกันสักเท่าไหร่ คนเยอะๆ เป็นอะไรที่ไม่ค่อยปลื้ม นานๆ ครั้งจะเข้ามาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่พี่ต้นนั้นชินชากับที่แบบนี้ล่ะ เพราะเขาเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ ไลฟ์สไตล์โคตรจะต่างกันราวฟ้ากับเหว

“อืม สั่งอะไรเพิ่มไหม”

“ไม่ล่ะครับ แล้วพี่ไม่อยากกินเค้กอะไรแบบนั้นเหรอ วันเกิดทั้งทีน้า”
ผมเอ่ยถามแล้วยกแก้วค็อกเทลสีสวยขึ้นจิบ ดวงตากลมลอบมองสีหน้าของพี่ชายอย่างใคร่รู้เพราะเขาไม่เคยเรียกร้องงานวันเกิดอย่างคนอื่นเขาที่ต้องมีเค้ก มีการจัดงาน หรือมีการเชิญคนนั้นคนนี้มาร่วมงานวันเกิด เขาขมวดคิ้วให้กันแล้วส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ ก็รู้ว่าพี่ชอบเหล้ามากกว่าเค้ก”
เขากระตุกยิ้มมุมปากแล้วกระดกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม ผมไหวไหล่เพราะรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วในเรื่องนี้ กับแกล้มบนโต๊ะไม่ค่อยได้แตะสักเท่าไหร่เพราะสายตามัวแต่มองไปรอบๆ บางครั้งก็เจอทั้งผู้หญิงและผู้ชายส่งยิ้มมาให้ บรรยากาศน่าอึดอัดว่ะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่วงท่าสบายๆ หน้าจอสี่เหลี่ยมถูกปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือ จุดประสงค์หลักคืออยากรู้ว่าแฮงค์ตอบกลับมาแบบไหนหลังจากที่ลืมไปแล้ว... รู้สึกแย่เล็กน้อยที่เอาเวลาว่างมาเที่ยวสถานที่อโคจรแบบนี้กับพี่ต้น อยากกลับไปนอนใจจะขาดอยู่แล้ว

แฮงค์
-   แฮร์รี่เหรอครับ ก็ชอบนะ 21:30
-   พี่ข้าว... หลับไปแล้วเหรอครับ 21:55
-   คิดถึงว่ะพี่ ถ้าตื่นแล้วทักมาหาผมหน่อยนะ 22:40


เห็นเวลาที่เขาตอบกลับมาแล้วแทบจะร้องไห้ ผมทิ้งเขาให้รอข้อความตอบกลับนานเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าแฮงค์จะคิดอะไรมากหรือเปล่ากับการที่อยู่ๆ บทสนทนาก็ขาดหายลงดื้อๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้คุยกันตั้งสองวัน... แล้วสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่มากๆ คือการที่เขาคิดว่าผมนอนหลับไปแล้ว ทั้งๆ ที่กำลังเที่ยวกลางคืนสนุกสนาน เฮ้อ ขอโทษตอนนี้ทันไหมนะ

ข้าว
-   แฮงค์ หลับไปหรือยัง 22:57

ก็ยังมีหน้าไปถามเขาเนอะ แต่หัวใจของผมนี่เต้นแรงเพราะอะไรก็หาสาเหตุไม่ได้ กลัวเขาโกรธอย่างนั้นเหรอ... แต่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันสิทธิ์จะทำแบบนั้นคงไม่มีหรอก แต่ถ้าถามว่าผมยอมง้อไหมถ้าเขาไม่พอใจจริงๆ ขอบอกเลยว่ายอม

แฮงค์
-   ยังครับๆ พี่ข้าวตื่นแล้วเหรอ 22:57


เขาตอบกลับมาแทบจะทันทีโดยที่ผมก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นอย่าน่าประหลาดที่แฮงค์ยังไม่ได้เข้านอนไปก่อน แต่คำถามนั้น... ผมควรจะตอบกลับไปว่ายังไงดี ควรโกหกหรือบอกความจริงดีนะ อยู่ไกลกันขนาดนี้แต่ทำตัวให้เขาต้องกังวลนี่รู้สึกแย่จริงๆ ฝ่ายนั้นบอกกันทุกความเคลื่อนไหวแต่ผมกลับไม่บอกอะไรเลย แย่เนอะ

“พี่ต้น”
ผมเรียกคนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้กันด้วยเสียงที่ดังพอตัวเพราะต้องแข่งกับเสียงเพลงจังหวะเร็ว พี่ต้นเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าก่อนจะลดแก้วเหล้าในมือให้ต่ำลงจนในที่สุดก็วางมันลงบนโต๊ะกระจก

“ผมออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกก่อนนะ”
ผมบอกสิ่งที่ต้องการออกไปแล้วรอคำอนุญาตจากคนพี่ เขานิ่งไปชั่วอึดใจเหมือนกำลังคิดว่าดึกขนาดนี้แล้วยังจะโทรหาใครอีก ก็เวลาที่ญี่ปุ่นกับไทยห่างกันตั้งสองชั่วโมงนี่นา

“อืม รีบกลับมาก็แล้วกัน”
พี่ต้นเอ่ยอนุญาตด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจรดริมฝีปากตามเดิม ดวงตาคมจ้องมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากมองหน้ากัน แต่ผมไมได้แคร์อะไรขนาดที่ต้องมานั่งซักนั่งถามถึงการแสดงออกเหล่านั้นของพี่ชายตัวเอง ตอนนี้แฮงค์กำลังรอคำตอบจากผมอยู่ และผมก็เลือกที่จะใช้น้ำเสียงพูดคุยกับเขามากกว่าตัวอักษรที่ไม่มีความรู้สึกอยู่ในนั้น

ผมเดินออกมาจากผับแล้วหามุมดีๆ เพื่อยืนคุยโทรศัพท์ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นไม่นานก็มีเสียงทุ้มตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้นที่ไม่คิดจะปกปิดแต่อย่างใด และนั่นก็ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว การชอบใครสักคนมันรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอวะ ดูเหมือนผมจะหลงลืมความรู้สึกแบบนี้ไปนานแล้วจริงๆ ว่าไปแล้วก็แอบวางตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน กลัวว่าสักวันจะทำความลับแตก... ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวรู้ว่าผมชอบเขาไปแล้ว เพราะอยากเห็นความพยายามในการจีบของแฮงค์ไปเรื่อยๆ มันสนุกดี

‘เฮ้ย โทรมาหากันเลยเหรอครับ’
เสียงแฮงค์ดูจะตกใจมากที่อยู่ๆ ผมก็โทรไปหาเขากะทันหันโดยไม่บอกก่อนแบบนั้น ความจริงก็อยากจะเซอร์ไพร์สเขาเล็กน้อยถึงปานกลาง และอยากรู้ว่าการที่ไม่ได้คุยกันสองวันนั้นเขาจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า จะดีใจแค่ไหนที่ผมรุกเขาก่อนแบบนี้ มันเป็นความอยากรู้อยากลองในแบบฉบับของเด็กๆ

“พี่โทรหาแฮงค์นะ ไม่ได้โทรหากันย์สักหน่อย”
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะกับการเล่นมุกของตัวเอง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างชอบใจ ไม่รู้จะตลกอะไรนักหนานะคนเรา

‘โหย โดนพี่ข้าวเล่นมุกใส่ผมนี่เงิบเลย’
น้ำเสียงของแฮงค์ยังคงสั่นเพราะเขาไม่หยุดหัวเราะสักที ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อพบว่าเขาไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยแถมยังไม่งอแงเรื่องที่ผมหายไปตั้งสองวันอีกด้วย การที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่บางครั้งมันก็ตัดเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยเหมือนตอนคบกับผู้หยิงออกไปได้และทำให้เราสบายใจที่จะคุยกันมากยิ่งขึ้น อืม... ชอบเพศเดียวกันมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปนี่นา สังคมจะมองยังไงก็ช่าง ขอให้ตัวเองเองและคนที่อยู่รอบข้างมีความสุขก็คงเพียงพอแล้ว

“หยุดหัวเราะได้แล้วน่า”
ผมตอบเสียงห้วนๆ เพราะรู้สึกอายขึ้นมาซะดื้อๆ ที่เผลอเล่นมุกบ้าบอแบบนั้นออกไป เสียงเพลงจากในผับไม่ได้ดังลอดออกมาจึงทำให้ตอนนี้มีแค่เสียงรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมานานๆ ครั้งเท่านั้น แต่แฮงค์ก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว ทำไมผมต้องรู้สึกผิดด้วยวะเนี่ย

‘ครับๆ หยุดแล้ว พี่อยู่ข้างนอกเหรอ’
ผิดคาดไปเล็กน้อยตรงที่เขาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมหยุดชะงักมือที่ยกขึ้นลูบท้ายทอยก่อนหน้านั้นทันที... ควรจะบอกความจริงไปสินะ เขาจะได้รู้ว่าผมไม่มีอะไรปิดบัง มาเที่ยวก็บริสุทธิ์ใจอีกด้วย ไม่ได้แอบมีกิ๊กแล้วหลอกให้เขาจีบไปวันๆ หรอกน่า
“อือ พี่ต้นลากมาฉลองวันเกิดที่ผับน่ะ”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่แพ้เขาก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนขอบกระบะปูนปลูกดอกไม้ที่หน้าผับ ดวงตากลมมองถนนเส้นใหญ่ที่โดนแสงไฟสีส้มทอดยาวไปตลอดสาย ดูๆ ไปมันก็ให้ความรู้สึกวังเวงชวนขนลุกอยู่เหมือนกันนะ

‘อ๋อ... สนุกไหมครับ สาวๆ สวยหรือเปล่าน่ะ’
ผมยอมรับว่าเขาสามารถปรับน้ำเสียงให้อยู่ในโทนปกติได้อย่างดีเยี่ยม แต่ด้วยความที่รู้จักกันมาได้สักระยะแล้วนั้นทำให้รู้ว่านี่ก็แค่ฉากบังหน้าที่ทำให้ตัวเองดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ พร้อมจะให้อิสระกัน ทั้งที่จริงๆแล้วเขาอยากแสดงอาการหึงหวงจนแทบบ้า

“ขอโทษนะ ที่ไปไหนไม่ได้บอกก่อนเลย แถมยังหายไปตั้งสองวันอีก”
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิด ที่จริงเวลาว่างจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความของเขาสักนาทีสองนาทีมันก็มีอยู่หรอก แต่เป็นผมเองที่ไม่คิดถึงคนรออย่างเขาเลย... มัวแต่เพลิดเพลินกับการไปเที่ยวทั้งๆ ที่ก่อนมาออกอาการจะเป็นจะตายเบื่ออย่างนั้นเบื่ออย่างนี้ เกลียดตัวเองชะมัด

‘เฮ้ย จะมาขอโทษผมทำไมครับเนี่ย พี่ข้าวไม่ผิดอะไรสักหน่อย’

“แต่แฮงค์บอกพี่แทบจะทุกเรื่องเลยนะ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คุยกัน”

‘ผมบอกทุกอย่างเพราะผมชอบพี่ อยากให้รู้ว่าผมจริงใจ แต่การที่พี่ไม่บอกอะไรผมมันก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอครับ ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ บางครั้งผมก็คิดว่าตัวเองอาจจะทำมากเกินไป พี่ข้าวอาจจะรำคาญผมที่เอาแต่ส่งข้อความบ้าๆ รบกวนกันก็ได้ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย’

ที่แฮงค์พูดมามันก็ถูก เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลและความพอใจของผมเองที่จะบอกหรือไม่บอกเรื่องต่างๆ ในชีวิตให้เขาได้รับรู้ เพราะเราไม่ได้มีสถานะอะไรให้ปฏบัติตัวแบบนั้น แต่ทำไมต้องรู้สึกจุกกับคำว่าไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยวะ ผมก็แค่ชอบเขาเท่านั้นเอง... ใจบางขนาดนั้นเลยเหรอ นิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึก อาการเริ่มหนักเข้าไปทุกวัน

"อืม... ทำไมนอนดึกจัง สอบเสร็จแล้วเหรอ"
ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงเลยเลือกเปลี่ยนเป็นถามต่อไปแทน ที่นี่จวนจะตีหนึ่งแค่ที่นั่นจวนจะตีสาม ทำไมเขายังไม่นอนล่ะ หรือว่ารอผมอยู่... คงไม่ใช่หรอก แบบนั่นก็ดูหลงตัวเองไปหน่อยล่ะเนอะ

'มีสอบช่วงบ่ายครับ ตอนนี้กำลังปั่นงานประกวดออกแบบอยู่น่ะ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว'
เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมเองที่ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิงไปหมด มีสอบแต่ก็ยังห่วงเรื่องนี้เหรอ น่าหงุดหงิด แต่แฮงค์คงมีเหตุผลของตัวเอง

"ไปนอนเถอะ เดี๋ยวก็ไปสอบไม่ไหวเอาหรอก เรื่องงานประกวดออกแบบมันต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ"
ผมเตือนเพราะหวังดี ถึงเขาจะเก่งและสามารถคว้าเกรดสวยๆ มาครองได้ตลอดการเรียนมหาวิทยาลัยก็เถอะ แต่เล่นนอนดึกแบบนี้สมองอาจจะเกิดการเออเร่อขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้... เฮ้อ ยอมรับว่าเป็นห่วงแต่ไม่พูดตรงๆ หรอก มันขัดเขินยังไงก็ไม่รู้

'วิชาที่สอบผมมั่นใจมากเลยล่ะ แต่งานประกวดผมไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะได้รางวัล... ผมอยากได้ที่หนึ่งนะ'
ปลายประโยคเขาพูดเสียงแบบแทบกลายเป็นการกระซิบแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนและไม่ต้องถามซ้ำให้ยุ่งยาก การได้รางวัลที่หนึ่งมันหมายถึงผลงานของเขาจะได้ปรากฎในตัวเกมจริงๆ ได้เงินรางวัล แล้วสิ่งสุดท้ายคือได้เข้ามาสัมผัสชีวิตในบริษัทร่วมเจ็ดวันเหมือนเป็นการดูงานและฝึกงานไปในตัว... ผมแอบสงสัยนะว่าแฮงค์ต้องการอะไรมากที่สุด

"มั่นใจในตัวเองหน่อย ตอนนี้ไปนอนได้แล้วน่า อย่าดื้อ"
ผมว่าเสียงดุแต่ไม่จริงจังนัก ไม่ได้อยู่ใกล้กันไม่สามารถเดินไปเคาะประตูห้องแล้วบังคับให้นอนได้เลยกังวลอยู่เล็กน้อย และที่สำคัญคือผมรู้สึกแย่นิดหน่อยเพราะดูเหมือนตัวเองจะโทรไปกวนเวลาของเขายังไงไม่รู้ จากเป็นคนที่ไม่ค่อยแคร์โลกอะไรพอมีความรู้สึกเข้ามาปะปนก็กลายเป็นคนคิดมากขึ้นมา จะบอกว่าดีหรือแย่ดีนะ...

'ครับๆ ไม่ดื้อแล้ว อยากเป็นคนดีในสายตาพี่ข้าว'
เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะได้ยินเสียงเขาชัทดาวน์เครื่องคอมพิวเตอร์ลง ผมได้แต่เม้มปากแน่นเพราะต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ เผลอไม่ได้เป็นหยอดเล็กหยอดน้อยตลอด คนบ้าอะไรวะขยันทำให้เขินอยู่เรื่อย

"พอเลย หยอดอยู่ได้"
พยายามทำเสียงแข็งใส่แต่กลับกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้จนต้องยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองไปมา ทั้งๆ ที่อากาศเย็นขนาดนี้แต่หน้าร้อนวูบ... ไม่ชอบเลย ไม่ชอบๆๆๆ

'ไม่พอสิครับ ต้องหยอดจนกว่าพี่จะใจอ่อนให้ผม ~'
ลากเสียงทะเล้นยาวๆ ให้ผมได้ชักสีหน้า ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะคว้าคอเสื้อเข้ามาต่อยให้หน้าเสียโฉมไปเลย หรือกระชากเข้ามาประกบปากจูบดีนะ... เฮ้ย ฟุ้งซ่านว่ะ ใครจะไปกล้าทำแบบนั้นเล่า เสียชื่อพี่ข้าวคนคูลๆ หมด เราจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนจำไว้!

"เออๆ หยอดได้หยอดไป ตอนนี้นอนได้แล้ว เข้าใจไหม"

'ครับๆ แล้วพี่จะกลับที่พักกี่โมง'

"สักพัก จะกลับเข้าไปดื่มต่อแล้ว"

'โอเค ฝันดีนะครับ แล้วก็... คิดถึงนะ'
อ่า... ตายครับ อยากบินกลับไทยตอนนี้เลยได้ไหม อยากเห็นหน้าว่ะ

กว่าจะได้กลับไทยก็ปาเข้าไปกลางสัปดาห์เลยกว่ากำหนดการในตอนแรกไปสองวัน ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรงเมื่อมาถึงบ้านในตอนสายๆ ของวัน ส่วนพี่ต้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าออฟฟิศทันทีทันใด อยากถามว่าเอาความฟิตมาจากไหนนักหนาไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ





มีต่ออีกหน้าน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2017 19:28:52 โดย Ch0cmint »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด