เมาครั้งที่ 13
เตียงนอนขนาดหกฟุตไม่ได้คับแคบอะไรสำหรับคนสองคนเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าในช่วงเวลาที่แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามารบกวนนั้นทำให้ผมสะดุ้งตื่น ไม่ใช่เพราะรีบร้อนไปทำงาน แต่เป็นเพราะรู้ตัวเองว่าเป็นคนนอนเรียบร้อยมากแค่ไหน... ผ้าห่มกระจัดกระจาย เคยถีบไอ้จุ้นตกเตียงแล้วก็มี สิ่งที่พบเจอหลังลืมตาคือผมนอนคนเดียว แล้วแฮงค์ล่ะ!
ผมรีบกุลีกุจอคลานไปดูข้างเตียงทันทีเพราะจำได้ว่าเมื่อคืนเขาก็ขึ้นมานอนด้วยกัน สายตาเหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตานอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่บนพื้นโดยมีหมอน ผ้าห่มเรียบร้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าแฮงค์ย้ายสำมะโนครัวลงไปนอนเองไม่ได้เกิดจากฝีเท้าผม แต่ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ หรือโกรธที่นายการินนอนดิ้นเกินไป
ผมก้าวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ร่างสูง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขานอนขดได้ขนาดนี้ ลมแอร์ตกเต็มๆ กลัวแฮงค์จะไม่สบายเลยแอบเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก พบว่าอุณหภูมิเป็นปกติ ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง คราวนี้ก็เหลือแค่ถามเหตุผลว่าทำไมลงมานอนตรงนี้ เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว ถ้าอย่างนั้นถือวิสาสะปลุกเลยดีกว่า
"แฮงค์"
ผมเรียกชื่อพร้อมกับเขย่าแขนของคนที่เปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายด้วยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เขาไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวอะไรทั้งสิ้น แต่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ามันๆ นั่นกลับสะดุดสายตาผมอย่างจัง แฮงค์คงกำลังฝันดีอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ทั้งที่ตัวเองนอนบนพื้นเย็นๆ
"แฮงค์ เจ็ดโมงแล้วนะ มีเรียนหรือเปล่าเนี่ย"
ผมเพิ่มเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยแต่ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เนื่องจากไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนตื่นง่ายหรือหลับลึก แรงเขย่าตัวเพิ่มขึ้นตามกันทำให้ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย สีหน้าที่คลี่ยิ้มในตอนแรกกลายเป็นบูดบึ้งเพราะทำปากคว่ำเหมือนเด็กเวลาโดนขัดใจ มองไปมองมาก็... น่ารักดีมั้ง
"อือ"
เสียงครางดังขึ้นมาแต่เจ้าตัวยังคงปิดตาสนิทแถมยังเอื้อมมือกระชับผ้าห่ม ทำให้ผมเผลอถอนหายใจเฮือกเมื่อจับเค้ารางได้ว่าแฮงค์น่าจะขี้เซาอยู่ไม่น้อย แต่จะให้ละความพยายามตอนนี้ก็กลัวว่าเขาจะมีเรียนแล้วไปสาย แบบนั้นจะซวยเอาได้ ผมเลยพยายามปลุกต่อไป
"ปรานต์ สายแล้ว!!"
ผมตัดสินใจตะโกนเรียกชื่อจริงของเขาไปและมันก็ได้ผลฉับพลัน แฮงค์ดีดตัวลุกขึ้นแบบไม่ส่งสัญญาณใดๆ ศีรษะของเขาเลยกระทบเข้ากลับปลายคางของผมเต็มๆ จนหงายหลังไปเลย ไอ้เหี้ย โคตรเจ็บ สั่นสะท้านไปถึงสมองเลย!
"โอ๊ยแม่ง! เจ็บเว้ย!!"
เสียงแฮงค์ดังขึ้นก่อนที่มือหนาจะลูบหัวตัวเองป้อยๆ และดูเหมือนจะตื่นเต็มตาในทันที สีหน้าแสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมนอนแผ่ราบไปกับพื้นไม่ร้องออกมาสักแอะเพราะเจ็บจนจุกไปแล้ว จะอ้าปากยังสงสารขากรรไกรเลย ระบมไปหมด แถมจังหวะที่ฟันกระทบกันกระพุ้งแก้มเสือกคั่นกลาง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั้งปาก แสบแผลฉิบหาย
"เฮ้ย! พี่ข้าวมานอนแผ่อะไรตรงนี้"
เหมือนแฮงค์เพิ่งสังเกตว่ามีบุคคลนอนกลับหัวกลับท้ายกับตัวเองอยู่ บุญแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เอาเท้ายัดปากมัน เขาขยับแล้วโน้มตัวลงมามองกัน ท่าทางล่อแหลมเหมือนมันจะคร่อมผม... มันใช่เวลามาคิดหื่นเหรอวะ เลือดกบปากขนาดนี้
"เพราะมึงเลยน้องแฮงค์"
ผมพูดเสียงเครือด้วยใบหน้าบูดบึ้งก่อนจะใช้มือผลักอกมันที่โน้มตัวลงมาให้ถอยออกไปห่างๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงอีกคนเดินตามมาไวๆ คงไม่เข้าใจว่าที่ผมพูดไปหมายถึงอะไรแน่ๆ ไม่ถุยเลือดใส่หน้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังมายืนหน้ามึนมองกันผ่านกระจกอีก ต่อยกันไหมห๊ะ
"ผมทำอะไรวะพี่ ไม่เข้าใจอะ"
แฮงค์ยืนเกาหัวแกรกๆ ด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ผมเผ้ายิ่งกว่ารังนกซะอีก แต่น่าอิจฉาตรงที่แม้แต่เพิ่งตื่นนอนยังดูมีเสน่ห์ คนบ้าอะไรจะหล่อได้หล่อดีขนาดนี้ ดูอย่างผมสิ... หน้ามันเยิ้มแถมดูเหมือนผีตายซากอีก ช่วงนี้ทำงานหนักนอนดึกเลยขอบตาคล้ำหมดหล่อไปอีก
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแล้วก้มหน้าคายเลือดผสมน้ำลายที่อยู่ในปากลงอ่างล้างหน้าก่อนจะเปิดก๊อกน้ำแล้วใช้แก้วรองไว้จนเต็มกะว่าจะบ้วนปาก แต่แฮงค์ร้องเสียงดังขึ้นมาก่อน
"เฮ้ย ทำไมเลือดออกขนาดนั้นล่ะพี่ข้าว ไปทำอะไรมาครับ!"
พูดพร้อมกับทำหน้าตาตื่นใส่กัน เท่านั้นไม่พอยังใช้มือประคองใบหน้าของผมให้หันซ้ายหันขวา แฮงค์ใช้สายตาสำรวจไปทั่ว อยากจะบอกว่าไอ้ที่มึงทำแบบนี้เนี่ย กูเจ็บเว้ย นิ้วโป้งนี่ก็กดแผลที่กระพุ้งแก้มจัง ชอบกันจริงหรือจะฆ่ากันแน่ โว้ย จะไม่ทน!
"ปล่อย เจ็บ!"
ผมตีมือแฮงค์แล้วสะบัดตัวหนีหันกลับไปบ้วนปากทันที แสบ... แสบจนอยากตะโกนดังๆ เมื่อน้ำแทรกซึมผ่านเข้าไป แล้วแบบนี้จะกินอะไรได้ล่ะ จะบ้าตาย กะว่ากินชาบูให้หนำใจสักหน่อย แผนการล่มไม่เป็นท่า น่าหงุดหงิดชะมัด แดกหัวไอ้เด็กบ้าแทนได้ไหม ฮ่วย ก็รู้ว่าไม่ควรโมโหเพราะเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ แต่อดไม่ได้ ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะเด้งตัวขึ้นมาแบบนั้น
"พี่..."
แฮงค์เรียกกันเสียงแผ่วเบา ใบหน้าหงอยลงถนัดตาจนผมไม่กล้าเอ่ยปากด่าสักเท่าไหร่ เจอแบบนี้ทีไรพาลคิดถึงหมาที่บ้านทุกที เฮ้อ... ดูท่าทางจะเผลอเอ็นดูไอ้เด็กคนนี้เข้าให้แล้วล่ะ ผมใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเล็กน้อยเพราะยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ยิ่งเจ็บยิ่งทำให้เจ็บกว่าเดิม จะหาว่าโรคจิตก็ไม่แคร์ อย่าปฏิเสธเลยว่าพวกคุณไม่เคยกดแผลตัวเองแบบนี้
"หัวนายกระแทกคางพี่ ฟันมันกัดกระพุ้งแก้มพอดี ซี๊ด"
เผลอซี๊ดปากปิดท้ายประโยคไปก่อนจะทำหน้าเหยเก แฮงค์เลิกคิ้วเหมือนยังงุนงงในคำพูดของผม แต่ไม่นานนักใบหน้าหล่อเหลาก็สลดลงคงคิดได้ว่าตอนตื่นนอนตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน หัวโขกคางคนอื่นเนี่ย มึนไหมล่ะ
"ขอโทษครับ ผมตกใจเสียงพี่น่ะ นึกว่าเผลอหลับในห้องเรียน"
แฮงค์หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะส่งสายตาเป็นห่วงมาให้กัน ผมหลุดหัวเราะออกไปซะอย่างนั้น ตลกที่เขาคิดว่าตัวเองหลับในคาบเรียน เพราะโดนเรียกด้วยชื่อจริง ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า...
"แอบหลับในห้องเรียนบ่อยเหรอ"
ผมถามก่อนจะพิงสะโพกลงบนเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้าแล้วกอดอกมอง แฮงค์เบิกตาโตก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ โกหกได้ไม่เนียนเอาซะเลย
"วิชาพี่ข้าวผมไม่เคยหลับเลยนะ"
แฮงค์ว่าเสียงตะกุกตะกักก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้าให้กับความเป็นเด็กของเขาแล้วเบี่ยงตัวออกจากห้องน้ำ ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่าจะคุยกันในนั้นไปอีกนานแค่ไหน จะว่าไปแปรงฟันก็ไม่มีนี่หว่า ลงไปมินิมาร์ทข้างล่างดีกว่า
"เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อของที่มินิมาร์ทนะ เราจะเอาอะไรไหม"
ผมหันไปถามคนที่ก้าวตามออกมาจากห้องน้ำ หน้าตาของเขาเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำเล็กๆ เห็นแล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ล้างหน้า บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากก่อนน่าจะดี
"เอ่อ... เดี๋ยวลงไปด้วยดีกว่า พี่ข้าวไม่แปรงฟันล้างหน้าก่อนเหรอ"
"กำลังจะกลับไปล้างหน้า แต่เรื่องแปรงฟัน... จะทำไงวะ ให้พี่ใช้นิ้วถูเหรอ"
ผมพูดก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วเดินกลับเข้าไปล้างหน้า แฮงค์เดินมายืนพิงขอบประตูแล้วหัวเราะเบาๆ มือหน้าส่งผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้กันด้วย ผมได้แต่รับมาแล้วซับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เช็ดหน้าตัวเองก่อนล่ะ จะบริการแขกดีเกินไปแล้ว
"เออว่ะ ผมลืมไปเลย เดี๋ยวออกไปเอาคีย์การ์ดที่อู่ให้ก็ได้"
"สายๆ ค่อยออกไปเอาก็ได้ พี่ไม่รีบร้อน ว่าแต่แฮงค์เถอะ มีเรียนไหม"
"ไม่มีครับ แต่ต้องออกไปซื้อวัตถุดิบทำค็อกเทลสักหน่อย"
"อ๋อ..."
ผมตอบไปแค่นั้น ไปซื้อพวกเหล้าอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ ชักอยากไปด้วยขึ้นมาแล้วสิ เปรี้ยวปาก... เมื่อคืนจิบไปนิดๆ หน่อยๆ เอง
"เดี๋ยวออกไปข้างนอกด้วยกันนะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้ายืมของผมใส่ก่อนอีกชุดก็ได้"
เหมือนเขาเข้ามานั่งในใจผมอย่างนั้นล่ะ ชวนกันออกไปข้างนอกเฉยเลย คิดว่าปฏิเสธไหมล่ะ พยักหน้าแบบไม่ต้องคิดเลยเถอะ
หลังจากลงไปมินิมาร์ท อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ได้อาหารเช้าง่ายๆ เป็นแซนวิชไข่ต้มกับนมอุ่นๆ พร้อมน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว อย่างกับเปิดห้องในโรงแรมนอนมีบริการระดับห้าดาว จริงๆ ก็เกรงใจ ขอเขาค้างไม่พอยังเป็นภาระให้ ถึงอีกฝ่ายจะจีบกันอยู่ก็เถอะ รู้สึกไม่ดีเลยว่ะ ผมมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม
"ทำเองเหรอ"
ผมถามก่อนที่จานบรรจุอาหารจะเลื่อนมาตรงหน้า พ่อครัวจำเป็นพยักหน้าหงึกหงักกลับมาเป็นคำตอบก่อนจะใช้มือหยิบแซนวิชส่วนของตัวเองไปกัด แก้มขาวๆ ขยับไปมายามออกแรงเคี้ยว ไม่อยากบอกเลยว่าตอนเวลาเขากินเหมือนมันจะอร่อยทุกอย่าง
"กลัวจะกินไม่ได้เหรอพี่"
แฮงค์ถามกันด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะยังกลืนขนมปังไม่หมด ผมที่จ้องเขานานเกินไปเลยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธแล้วหยิบแซนวิซขึ้นมากัดบ้าง อืม... ก็ดี มีมายองเนสข้างในแต่ขาดซอสมะเขือเทศว่ะ
"มีซอสมะเขือเทศปะ"
"หือ... จะกินเหรอ เดี๋ยวผมลงไปซื้อให้ พอดีมันหมดน่ะ"
แฮงค์พูดจบก็ลุกขึ้นเต็มความสูงทั้งๆ ที่ปากยังคาบแซนวิชเอาไว้ ผมเอื้อมไปรั้งข้อมือเขาแล้วกระตุกให้นั่งลงตามเดิม ใส่แค่มายองเนสก็กินได้นั่นล่ะ ไม่อยากรบกวนแล้ว แค่นี้ก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงได้อีก
"ไม่ต้องๆ ถามไปเพราะเผื่อมี ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร กินแบบนี้ก็ได้"
ผมว่าก่อนจะยิ้มให้เขาแล้วกัดแซนวิชเข้าปากอีกรอบ เคี้ยวไปได้สักพักก็ยกแก้วนมอุ่นๆ ขึ้นดื่ม แสบแผลว่ะ แต่ก็ทนๆ กินไป แฮงค์ยิ้มน้อยๆ แล้วนั่งเท้าคางมองกันหน้าตาเฉย แบบนี้จะกินยังไงวะ อายนะเว้ย
"ถ้าพี่ขอร้องผมก็พร้อมทำให้นะ ไม่ลำบากอะไรเลยด้วย"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เดาว่าคงเป็นเสียงที่สองไม่ก็สามสี่เวลาจะใช้จีบใครสักคน ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้ววางแก้มนมเปล่าลงบนโต๊ะแล้วใช้สายตาจับจ้องแค่เศษเสี้ยวแซนวิชที่เหลืออยู่อีกครึ่ง ไม่กล้าเผชิญหน้าเพราะลางสังหรณ์บอกว่าต่อไปต้องโดนหยอดอีกแน่ๆ
"จะใจดีกับพี่มากไปแล้วมั้ง"
ผมว่าขึ้นลอยๆ แล้วกินแซนวิชที่เหลือจนหมดตามด้วยน้ำผลไม้อีกแก้ว ตอนแรกนึกว่าจะไม่อิ่ม ที่ไหนได้แน่นท้องไปหมดแล้ว
"เขาไม่ได้เรียกว่าใจดีนะ เรียกว่ากำลังเอาใจดีกว่าครับ"
พูดจบก็ส่งรอยยิ้มจริงใจมาให้กัน ผมเผลอย่นจมูกใส่แล้วรวบเก็บจานไปตั้งในอ่างด้านหลัง กำลังลงมือจะล้างแต่เจ้าของห้องก็เดินมาขัดกันก่อน จะตามมาหยอดอะไรอีกล่ะคราวนี้
"ผมล้างเองครับ พี่ไปนั่งเถอะ ไม่อยากใช้แรงงานคนที่ผมชอบสักเท่าไหร่"
ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมให้กัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้าบอกว่าชอบผมซ้ำๆ อยู่นั่น ไม่อายบ้างหรือไง แต่จะว่าไปแก้มใสๆ นั่นก็เจือสีแดงระเรื่ออยู่เหมือนกันนะ
"ย้ำจังนะ กลัวพี่ลืมหรือไงวะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยอมกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม แต่หันหน้าไปหาคนที่กำลังล้างจานแทน แฮงค์เหลียวมองกันเล็กน้อยแล้วหลุดยิ้มมุมปาก คิดว่าหล่อนักหรือไง ถ้าเป็นสาวๆ คงหลงเสน่ห์ที่เขาโปรยไปแล้วมั้ง แต่กับผู้ชายอย่างผมมันเป็นเรื่องยากน่า ก็เพศเดียวกันอแถมหน้าตายังจัดว่าดีเหมือนกันอีก
"ก็กลัวนะครับ แต่ย้ำให้พี่มันใจในตัวผมมากกว่าว่ามันเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกจริง"
อ่า... ใจเต้นแรงขึ้นมาหน่อยนึงเลยเนอะ
หลังจากนั้นผมก็โดนลากมาที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังโดย Honda City แฮงค์รับหน้าที่เข็นรถเข็นแล้วถามไปตลอดทางว่า 'พี่ข้าวจะซื้ออะไรไหม' หรือ 'อยากเดินดูอะไรหรือเปล่า' ให้ความรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่คนอื่นดี ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอไป แต่ผมจะซื้ออะไรล่ะ ที่บ้านก็มีแม่บ้าน ที่คอนโดก็ไม่ต้องตุนอะไรสักหน่อย อาทิตย์หนึ่งมาค้างแค่สองสามวันเอง
"ไม่ล่ะ แฮงค์จะซื้ออะไรก็ไปตรงนั้นเลย"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้ แฮงค์พยักหน้ารับแล้วเดินนำผมไปแผนกสุราทันที ตลอดทางที่ผ่านมามีคนนั้นคนนี้ให้ความสนใจผู้ชายที่อยู่เคียงข้างกันเป็นระยะ บางคนกรี๊ดกร๊าด บางคนยิ้มกรุ้มกริ่มทำหน้าฟินจนผมแอบขนลุก คงคิดอะไรอกุศลอยู่เป็นแน่ แค่จีบยังไม่ได้เป็นแฟนเว้ย
ผมออกจะตื่นตาตื่นใจเล็กน้อยเมื่อถึงแผนกขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะนานๆ ครั้งจะได้มาเหยียบ ถึงจะเป็นคนชอบดื่มแต่ไม่ได้รู้จักชนิดของแอลกอฮอล์มากมายหรอก แต่คนที่เดินข้างกันคงจะมีความรู้เรื่องพวกนี้ดี เขาผละออกจากรถเข็นแล้วตรงไปเลือกอะไรบางอย่างที่ชั้นวางของ ผมขยับเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ซื้ออะไรบ้าง"
ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูขวดแก้วที่แฮงค์ถืออยู่ พบว่าของเหลวด้านในเป็นสีใส บนขวดระบุด้วยตัวหนังสือสีน้ำเงินว่า Absolute Vodka เปรี้ยวปากว่ะ รินลงแก้วชอตแล้วกระดกใส่ปากตามด้วยเกลือมะนาว อย่างฟิน... ไอ้จุ้นชอบบ่นเสมอว่าผมเป็นคนกินเหล้าโหด อะไรที่ On the rock ได้จะไม่เคยพลาด ก็มันอร่อยนี่หว่า
"ซื้อตากีลา วอดก้า แล้วก็จินครับ"
แฮงค์ร่ายยาวไม่มีติดขัดทำให้ผมรู้สึกเบลอเล็กๆ ไอ้ที่เขาว่ามาก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันต่างกันยังไง ส่วนมากก็เห็นเป็นน้ำสีใสๆ เหมือนกันซะหมด...
"มันต่างกันยังไงวะ"
ผมถามออกไป ดวงตาก็กวาดมองไปตามชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดหลากหลายยี่ห้อ แฮงค์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกปากอธิบายด้วยน้ำเสียงยินดีสุดๆ
"ตากีลาเป็นเหล้าสีขาวครับ กลิ่นจะแรง ส่วนวอดก้าเป็นเหล้าสีใส กลิ่นจะอ่อนมากๆ จนแทบไม่ได้กลิ่น ส่วนจินเป็นเหล้าสีขาวจะมีกลิ่นหอมของผลจูนิเปอร์ครับ"
"อ๋อ... การใช้งานก็ต่างกันใช่ปะ"
"ครับผม ถ้าพี่อยากลองทำค็อกเทลบ้างผมสอนให้ก็ได้นะ"
แฮงค์เสนอเหมือนรู้ว่าผมอยากลองทำอะไรแบบนั้น แต่จะให้ลงมือเองกลัวว่าจะพังไม่เป็นท่านี่ดิ เป็นหน่วยชิมอาจจะดีกว่ามั้ง
"โห ให้พี่ทำนี่อย่าเสี่ยงเลย เป็นคนชิมถนัดกว่า"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะไม่ค่อยเอาอ่าวกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าพูดถึงเรื่องอาหารก็พอทำเป็นบ้าง
"เหรอครับ ถ้างั้น... วันนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านเลยนะครับ ช่วยชิมค็อกเทลฝีมือผมก่อนได้ไหม พอดีจะฝึกเมนูใหม่ๆ"
แค่ชวนให้ชิมค็อกเทลทำไมต้องหน้าแดงหูแดงด้วยวะ ไม่ได้ชวนขึ้นเตียงสักหน่อย หรือว่าคิดจะให้ผมค้างที่ห้องอีก ไม่เอาแล้วนะ ไม่อยากรบกวน... ที่สำคัญคือโดนดูแลมากๆ ใจมันก็ชักหวั่นขึ้นมา
"ก็ได้ แต่หลังจากนี้ต้องพาพี่ไปเอาคีย์การ์ดก่อนนะ"
ผมพูดดักคอไปอย่างนั้น แฮงค์เลยเผลอทำหน้าหงอยใส่กัน ไม่คิดจะปิดบังอาการแบบนั้นบ้างเหรอวะ ใจกล้าหน้าด้านเกินไปไหม ไม่กลัวว่าผมจะถอยห่างหรือยังไงกันออกตัวแรงขนาดนี้น่ะ
"ที่จริงค้างด้วยกันอีกคืนก็ได้นะครับ"
พูดด้วยเสียงอ่อยๆ แต่สายตาที่มองกันนี่ระยิบระยับจนน่าหมั่นไส้ ผมเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อเช้าลืมถามไปเรื่องที่เขาลงไปนอนบนพื้น พอโอกาสมาถึงก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยแน่ๆ
"หึ ชวนนอนอีกคืน แต่เมื่อเช้าพี่เห็นเรานอนที่พื้นหมายความว่าไงหืม"
ผมไม่ได้โกรธหรืออะไรเขาหรอก แต่สงสัยมากกว่า ก็นอนอยู่ด้วยกันดีๆ ไหงเช้ามาพบว่าอีกคนลงไปนอนที่พื้นล่ะ สงสัยจนเริ่มระแวงว่าตัวเองเป็นคนตีโพยตีพายไล่เจ้าของห้องหรือเปล่า อาจละเมอหรืออะไรแบบนั้น
"อ๋อ... ก็ผมลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก พอกลับมาที่เตียงพี่ก็แผ่ท่าปลาดาวเต็มพื้นที่แล้ว ผมไม่อยากปลุกก็เลยลากหมอนกับผ้าห่มไปนอนที่พื้นแทน"
แฮงค์ว่าก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้กันและไม่รอให้ผมได้พูดอะไรออกไปเขาก็กลับไปเลือกของที่ต้องการต่อ ปล่อยให้คนทำเรื่องน่าอายยืนแก้มร้อนเห่อเพราะความอายซะอย่างนั้น ไม่รู้เมื่อไหร่จะแก้นิสัยนอนร้ายของตัวเองได้สักที ถ้ามีหมอนข้างกอดจะดีขึ้นปะวะ หรือต้องใช้คนเป็นๆ คิดได้แบบนั้นก็เผลอเหลือบมองเขา ยังจำสัมผัสตอนที่กอดได้ดี อุ่นจนไม่อยากปล่อย แต่จะให้ทำแบบนั้นซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่มีเหตุผลก็กลัวจะกลายเป็นการให้ความหวังเกินไป ถ้าน้องเป็นผู้หญิงผมอาจจะใจอ่อนไปแล้ว แต่นี่น้องเป็นผู้ชาย... มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ต้องดูกันนานหน่อยว่าจะจริงจังจริงใจได้นานแค่ไหน
แฮงค์ขับรถมุ่งสู่อู่รถที่เป็นธุรกิจของทางบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเรียบร้อย ปากหยักฮัมเพลงอย่างมีความสุขต่างจากผมที่เริ่มง่วงขึ้นมาอีกระลอกทั้งๆ ที่เมื่อคืนนอนอิ่มไปแล้วก็ตาม อาจจะเป็นเพราะความเพลียที่สะสมมานานก็ได้
"แฮงค์... พี่ง่วงว่ะ"
ผมหันไปบอกเขาก่อนจะปรือตามองอย่างยากลำบาก แผ่นหลังพิงแนบไปกับเบาะพร้อมหลับทุกเวลา แฮงค์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนพยักหน้ารับ
"นอนก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวถึงอู่ผมจะปลุก"
"โอเค"
ผมฝืนยิ้มให้แฮงค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพาตัวเองจมสู่ห้วงนิทรา ก่อนที่ประสาทการได้ยินจะปิดตัวลงได้ยินเสียงทุ้มนุ้มแว้วขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล
"ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะครับ"
อืม... พูดอะไรวะ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย นอนดีกว่า
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทแล้วมีอะไรบางอย่างวูบไหวไปมาตรงหน้า ดวงตาเปิดปรือขึ้นอย่างยากลำบากแต่ก็ต้องเบิกค้างเมื่อเห็นว่าแฮงค์อยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบเดียว เขาไม่ได้มองมาที่ผมแต่กำลังพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยให้กันอยู่ เดาว่าก่อนหน้านี้อาจจะออกปากปลุกกันแล้วแต่ผมหลับลึก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะกลัวว่าเขาจะหันมา ยังไม่พร้อมเผชิญในระยะประชิดแบบนี้
แฮงค์ถอยออกไปเมื่อสิ้นเสียงเข็มขัดนิรภัยดีดตัวออก ผมลอบถอนหายใจเฮือกแล้วค่อยๆ ทำเป็นว่าเพิ่งตื่นขึ้นมา พลางแสร้งบิดตัวไล่ความเมื่อยขบกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ เมื่อยามได้ใกล้ชิดกันเกินกว่าปกติ ไม่ไหวจริงๆ เด็กคนนี้เริ่มทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองซะแล้ว เมื่อไหร่พี่ต้นจะกลับมาปกป้องหัวใจน้องตัวเองกันวะ
"ตื่นแล้วเหรอครับ"
แฮงค์ถามขึ้นแล้วจัดการดับเครื่องยนต์ทันที ผมพยักหน้ารับก่อนจะเสตามองออกไปบริเวณรอบๆ พบว่าเป็นอู่ขนาดใหญ่และดูดีอยู่มากทีเดียว ตะลึงไปเหมือนกันที่เห็นช่างใส่ชุดหมีเดินไปเดินมาราวๆ เกือบสิบห้าคน นี่มันโรงงานอุตสาหกรรมประกอบรถขนาดย่อมหรือเปล่าวะ คนโคตรเยอะ
"ลงไปกันเถอะครับ"
คำเชิญชวนจบลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตูรถของคนด้านข้าง ผมทำตามอย่างไม่รีรอและเดินตามลูกชายเจ้าของอู่เข้าไปด้านใน ช่างในชุดหมียกมือไหว้บ้างก็ทักทายแฮงค์อย่างสนิทสนม ดูเขาจะเป็นที่รักของทุกคนดีเหลือเกิน น่าอิจฉาจัง... ถึงที่บริษัทจะมีบรรยากาศคล้ายๆ กัน แต่ถ้าไม่ใช่คนในแผนกเขาก็ไม่กล้าตีสนิทกับผมสักเท่าไหร่ เพราะกิตติศัพท์เรื่องหวงน้องของประธานนั้นกระฉ่อนเหลือเกิน แต่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งพยายามแหกกฎนั้น... ถ้าวันไหนเขาทำเกินเลยขึ้นมาเรื่องคงถึงหูพี่ต้นแน่ๆ
“ไอ้น้องแฮงค์ มาแล้วเหรอวะ”
ชายหนุ่มร่างยักษ์ผิวเข้มทักทายอย่างอารมณ์ดี ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหัวหน้าช่างของที่นี่เพราะดูมีความน่ายำเกรงพอตัว แฮงค์พยักหน้ารับแล้วแบมือขึ้นทันทีแบบไม่รีรออะไรทั้งสิ้น
“ไหนอะคีย์การ์ด”
ปากถามนิ้วมือกระดิก ท่าทางแบบนี้กวนตีนชะมัด ถ้าผมเป็นพี่ช่างคงขอเตะกันมันสักที
“รีบร้อนจังวะ กลัวแฟนรอนานเหรอ”
พูดจบก็ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาทางผมซะอย่างนั้น ไม่ทักทายแล้วยังมาแซวกันแบบนี้อีก ตกใจนะที่โดนแบบนั้นแต่แปลกใจมากกว่าว่าพี่เขาไปเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหน หรือว่าแฮงค์เป็นคนเล่าให้ฟัง สนิทกันขนาดนั้นเชียวเหรอ
“เฮ้ย อย่าปากหมานะเว้ย แฟนอะไร ไม่ใช่สักหน่อย พูดแบบนั้นพี่ข้าวเสียหาย”
แฮงค์พูดรัวจนลิ้นเกือบจะพันกัน ทั้งแก้มทั้งใบหูแดงจัดจนดูเหมือนเขาจะโกรธ แต่จากที่สังเกตท่าทางแล้วน่าจะเป็นอาการเขินมากกว่า ผมได้แต่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่แสดงอะไรออกไป หัวใจที่เริ่มเต้นแรงไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาปกติในเร็วๆ นี้ ทำไมต้องรู้สึกดีแปลกๆ ที่โดนหาว่าเป็นแฟนของเด็กคนนี้วะ หรือผมจะชอบเขาไปแล้ว... ตอบตัวเองไม่ได้เลย
“อ้าวเหรอ เห็นชอบมาตั้งนานไม่ใช่หรือไง มึงไม่มีน้ำยานี่หว่าไอ้หมาแฮงค์”
พี่ช่างยังคงหยอกล้อแฮงค์อย่างสนุกสนานเหมือนกับว่าเขายืนกันยู่ตรงนี้แค่สองคน ส่วนผมกับบรรดาลูกน้องราวสิบชีวิตเป็นอากาศธาตุ จากที่น้องเขินตอนนี้กลายเป็นทำหน้ายักษ์ใส่คนอายุมากกว่าไปแล้วแถมยังใช้มือใหญ่ต่อยลงบนต้นแขนของอีกคนด้วย ดูท่าทางหมัดหนักน่าดูเพราะคนผิวเข้มถึงกับเบ้ปาก
“หยุดพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วเอาคีย์การ์ดมาได้แล้ว ผมต้องรีบไปทำธุระต่อ”
แฮงค์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วหันมาก้มหัวขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ที่คนของตัวเองพูดจาแบบนั้นใส่ แต่ผมไม่ถือสาหาความอะไรเพราะเป็นคนสบายๆ เลยส่งยิ้มกลับไปให้แทน ดูน้องจะโล่งใจเพราะไม่โดนโกรธ แต่แอบสงสัยนะว่าขนาดช่างในอู่ยังรู้ว่าเขาชอบผมมานานแล้ว ทำไมไม่ยอมเล่าให้ฟังสักทีว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อได้คีย์การ์ดคืนมาผมกับแฮงค์ก็ตรงกลับคอนโดทันที โดยมื้อเที่ยงก็ได้บะหมี่แถวคอนโดช่วยชีวิตเอาไว้ เขาขนของลงจากรถโดนที่ไม่ยอมให้ช่วยเลยสักนิดเดียว ผมเลยได้แต่เดินตัวปลิวและอาสากดลิฟท์ให้เท่านั้น พอขาก้าวเข้าภายในห้องพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“ฮัลโหล”
ผมกดรับสายแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา แฮงค์หายเข้าไปเก็บของในห้องครัวและเตรียมทำค็อกเทลให้ชิม ปลายสายมีเสียงกุกกักอยู่พักใหญ่แล้วตามมาด้วยเสียงตอบกลับที่ดูแปลกไปจากเดิม
‘ข้าวครับ... ว่างหรือเปล่า’
พี่พายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนนิดหน่อยนั่นทำให้ผมแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีเขาจะแสดงออกมาแบบนี้ ทั้งที่ปกติเป็นคนใจเย็นอย่างกับน้ำแข็ง
“พี่พายมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมเลือกตั้งคำถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจว่าที่เขาถามว่าต้องการอะไร
‘คือพี่อยากให้ข้าวมาที่โรงพยาบาลหน่อยน่ะครับ’
“ห๊ะ มีใครเป็นอะไรเหรอ”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย จู่ๆ มาขอให้ไปที่โรงพยาบาลแบบนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ
‘ตุลย์ประสบอุบัติเหตุน่ะ... ขาหัก’
น้ำเสียงของพี่พายสั่นเล็กน้อยอาจจะเพราะตกใจที่อยู่ๆ เพื่อนก็ประสบอุบัติเหตุ ผมยังตกใจเลย แต่... มันเกี่ยวอะไรที่จะให้ไปโรงพยาบาลล่ะ
“แล้ว... จะให้ผมไปทำไมครับ”
ไม่เข้าใจเลยถามออกไป รู้ข่าวแล้วค่อยไปเยี่ยมหลังจากวันนี้ก็ยังไม่สายนี่ ทำไมต้องรีบร้อนให้ผมไปโรงพยาบาลด้วย เป็นญาติกันก็ไม่ใช่ ใครจะหาว่าใจดำก็เชิญ
‘มาหาตุลย์หน่อยสิครับ เขาไม่ยอมกินอะไรเลย จะขอเจอข้าวให้ได้’
“อะไรนะ แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยวะพี่พาย แฟนก็ไม่ใช่”
ตอบกลับไปเสียงดังพอควรจนแฮงค์เดินออกมาดู เขาถามกันแบบไม่มีเสียงว่า ‘มีอะไรหรือเปล่า’ ผมส่ายหน้าแล้วแสร้งโบกมือให้กลับไปทำค็อกเทลต่อ น้องก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีซะด้วย
‘แต่ข้าวก็รู้ว่าเขาคิดยังไง มาให้กำลังใจมันหน่อยได้ไหมครับ พี่... รู้สึกไม่ดีที่เห็นตุลย์ไม่เอาใครแบบนั้น’
ปลายประโยคนั้นสั่นเครือเหมือนคนกำลังร้องไห้ทำให้ผมสะกิดใจอย่างรุนแรง พี่ตุลย์ขาหักแล้วพี่พายจำเป็นต้องร้องไห้ด้วยเหรอวะ มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนอนเป็นเจ้าชายนิทราหรือเปล่า อาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นที่ผมยังไม่รู้กันนะ
“กับพี่พาย... พี่ตุลย์ก็ไม่ยอมฟังเหรอ”
เหมือนผมโยนเหรียญถามทางไปอย่างนั้น แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นช่างเงียบกริบแต่มันชัดเจนในความรู้สึก พี่พายต้องเสียใจที่พี่ตุลย์ไม่ยอมฟังตัวเองแน่ๆ และข้อสันนิธานต่อไปก็คือ... เขาอาจจะชอบคนๆ นั้น
“พี่พายครับ... ผมถามอะไรสักอย่างสิ พี่ต้องตอบมาตรงๆ นะ”
ผมปรับน้ำเสียงให้เข้าโหมดจริงจังในทันที ได้ยินเสียงครางอือตอบรับมาอย่างแผ่วเบาแล้วทำให้อดใจหายไม่ได้ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาพี่พายไม่เคยแสดงอาการแบบนี้เลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันชัดเจนจนผมอยากมุดโทรศัพท์แล้วดึงเขาเข้ามากอดให้แน่นๆ
“พี่ชอบพี่ตุลย์ใช่ไหม”
เป็นคำถามที่ผมคิดว่าตรงที่สุดแล้วในเวลานี้ แต่ไม่รู้คำตอบจะตรงเหมือนกันหรือเปล่า ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ไม่ได้ดังมากเพราะเหมือนเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้เต็มที่
‘ฮึก... ชอบเหรอ ชอบมากแค่ไหนมันก็... ไม่มีประโยชน์หรอก อึก ช่วยมาเยี่ยมมันหน่อยเถอะนะ’
ผมสะอึกไปกับคำพูดของพี่พายในทันที ‘ชอบมากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก’ เป็นประโยคที่เจ็บปวดมาก ซึ่งความรู้สึกที่เราชอบใครสักคนที่ไม่เคยมองเรานั้นมันแย่จริงๆ แล้วนี่อะไร ทนเห็นพี่ตุลย์คั่วคนนั้นคนนี้ทีอยู่ตลอดเวลา ไม่กระอักเลือดตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าพี่หมอคนดีของผมจะบอบช้ำแค่ไหน... และส่วนหนึ่งในใจกลับรู้สึกผิดขึ้นมา ผมอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ตุลย์มองข้ามเพื่อนสนิทของตัวเองด้วย
ต่อด้านล่างน้า