คดีรักนักดูดวง
บทที่ 4
สุดเขตสะบัดหน้าขับไล่ดาวเดือนที่ลอยอยู่วิ้งๆ เขายกมือกุมซีกหน้าที่ชาดิกจากกำปั้นของพาลีพร้อมกับสบถออกมา
“ไอ้เหี้ยลี มึงต่อยกูทำไม”
เมื่อสติกลับคืนมาแล้วสุดเขตเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าของพาลี มันทำให้เขาหุบปากแทบไม่ทันเพราะพาลีมองเขาเหมือนจะ
กระโดดมากัดเขาเสียให้ได้
“กูรู้ว่ามึงไม่มีหัวคิด” พาลีด่าเขา
“แต่เรื่องแบบนี้มึงคิดก่อนจะพูดออกมาได้ไหม มึงจะด่ากูยังไงก็ได้แต่อย่าลามปามไปถึงอาชีพของกู กูไม่เคยใช้ความเป็น
หมอดูไปหลอกลวงใคร”
สุดเขตอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะข้อความนั้น แต่เขาก็ยังมีความเป็นตัวตนจนยากจะยอมรับว่าตัวเองผิด เขาจึงเถียงออกไปด้วย
ความไม่อยากเป็นผู้แพ้
“แล้วจะไม่ให้กูคิดแบบนั้นได้ยังไง ใครๆเขาก็รู้ว่าหมอดูน่ะชอบหลอกเอาเงินทองของลูกค้า หากินกับความไม่สบายใจของ
คนอื่น”
“อาชีพมึงไม่มีคนเลวงั้นสิ ไอ้ที่ออกข่าวไม่เว้นแต่ละวันนั่นใช่คนสีเดียวกับมึงไหม”
พาลีพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มให้นิ่งที่สุดทั้งที่ในใจเขาโมโหสุดเขตอย่างที่ไม่เคยโมโหใครมาก่อน
“ทุกอาชีพมันก็มีทั้งคนดีและคนเลวทั้งนั้นแหละ ถ้ากูเหมาว่าตำรวจเลวเหมือนกันหมดทุกคนมึงจะรู้สึกยังไง”
สุดเขตเถียงไม่ออก เขาได้แต่สบตากับนัยน์ตาขุ่นเคืองของพาลีและในที่สุดสุดเขตก็ต้องยอมรับความจริง
“เออ กูขอโทษ พอใจหรือยัง”
แม้จะยังมีกระแสความกระด้างอยู่บ้างแต่สุดเขตก็กล่าวออกมาเพราะความรู้สึกผิดจริงๆ พาลีมองใบหน้าจ๋อยๆของสุดเขตแล้ว
ก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ
“มึงก็ชอบพูดไม่คิดไม่เคยเปลี่ยน เมื่อก่อนเป็นแบบไหนโตมาก็เหมือนเดิม นี่กูงงว่ามึงมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง
โดยที่ไม่โดนกระทืบตายเสียก่อน”
“ด่าซะแม่งสำนึกเกือบไม่ทัน สบายใจรึยังล่ะด่ากูขนาดนี้แล้ว”
สุดเขตบ่นพึมพำที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ เขานึกแปลกใจตนเองที่กลายเป็นฝ่ายยอมลงให้พาลีทั้งที่เขาไม่เคยยอมใครมาก่อน
จากนั้นสุดเขตก็คว้าจานข้าวที่กินจนเกลี้ยงของตนเองและจานของพาลีขึ้นมาถือไว้
“เอาไปไหน” พาลีเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย
“ล้างสิวะ แดกข้าวแล้วไม่ล้างจานรึไง”
“กูล้างเอง”
พาลีลุกขึ้นและพยายามจะแย่งจานในมือของสุดเขต แต่นายตำรวจหนุ่มกลับรีบก้าวไปทางอ่างล้างจาน
“มึงทำให้แดกแล้วก็นั่งเฉยๆเหอะ เดี๋ยวกูล้างจานให้ ผลัดกันไง”
สุดเขตยักคิ้วส่งให้พาลีแล้วหันกลับไปล้างจาน พาลีได้แต่มองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดคล้ายๆมันคันยุบยิบ
อยู่ในหัวใจแต่ก็เกาไม่ถูกที่คัน
อันที่จริงเพื่อนเก่าของเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายนักหรอก ขนาดยอมลดทิฐิมาเอ่ยปากขอโทษพาลีก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมสุดเขต
แต่พาลีเลือกที่จะชื่นชมอยู่แค่ในใจก็พอ เขาไม่อยากให้สุดเขตรู้ว่ากำแพงของเขาค่อยๆเตี้ยลงทีละน้อย
สุดเขตนำพาลีมาที่ฝ่ายสืบสวนในตอนสายของวันนั้นตามคำสั่งของร.ต.อ.สมบัติผู้บังคับบัญชาสายตรงของเขาโดยที่พาลี
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องมาที่โรงพักอีก เมื่อมาถึงสุดเขตบอกกับพาลีว่าเขาต้องหลบไปที่อื่น
“กูรับหน้าที่คุ้มครองพยานและสืบคดีด้วย ปกติไม่เปิดเผยใบหน้าและชื่อแซ่โว้ย”
เมื่อสุดเขตหลบฉากไปแล้วพาลีจึงได้ก้าวเข้าไปในห้องรับรองด้านในที่เขาเคยมาเมื่อวานนี้ ไม่ทันจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้
ประตูห้องสืบสวนที่ปิดอยู่ก็เปิดออกพร้อมกับมีเสียงเล็ดลอดออกมา
“จะให้บอกกี่ครั้งให้การกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม ว่าคุณนายสมรนั่นน่ะเป็นแฟนคลับของผม”
เสียงนั้นคุ้นหูเหมือนว่าพาลีเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่พาลีก็พยายามจะไม่สอดรู้สอดเห็น ทว่าเสียงนั้นก็ยังดังมาให้ได้ยินต่อ
เนื่อง
“แล้วไอ้เรื่องแฟนคลับเปย์นี่ ที่ไหนๆเขาก็มีกันทั่วโลกแหละ ไม่งั้นเขาจะเรียกแฟนคลับหรือครับผู้กอง”
“แต่คุณนายสมรเขาจ่ายให้คุณเยอะเป็นพิเศษนะ”
นั่นเสียงผู้กองสมบัติ พาลีจำได้
“พวกแฟนคลับทัพหน้าเขาก็ทุ่มทุนแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ยอมจ่ายจะได้เข้ามาอยู่ใกล้ศิลปินอย่างผมเหรอ พอกันที คุณจะ
สืบสวนอะไรผมก็ตอบได้แค่นี้แหละ นี่ก็เสียเวลาเสียรายได้ต้องยกเลิกงานอีเวนท์เพื่อมาให้ตำรวจถามอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องของผม แค่ผู้
หญิงบ้านักร้องถูกยิงตายคนเดียว”
น้ำเสียงดูฉุนเฉียวก่อนที่จะได้ยินเสียงกระแทกส้นเท้าเดินออกมา เจ้าของเสียงเดินคอแข็งผ่านพาลีไปโดยไม่ได้หันมามอง
เขาที่นั่งอยู่ลึกจากทางเดิน แต่พาลีกลับมีโอกาสได้เห็นบุคคลผู้นั้น พาลีย่นคิ้วมองด้วยความสนใจ
ผู้ชายคนนั้นคือติณณ์
ติณณ์ คือศิลปินที่โด่งดังมาจากรายการเรียลลิตี้รายการหนึ่งในการแข่งขันเมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการโหวตเป็นอันดับสองหาก
แต่กลับโด่งดังกว่าอันดับหนึ่งเพราะรูปร่างหน้าตาดีกว่า ในขณะที่คนได้อันดับหนึ่งมีความสามารถที่เสียงร้องโดดเด่นส่วนติณณ์นั้นร้อง
เต้นได้พอประมาณ แต่เพราะรูปร่างสูงและชวนมองด้วยมัดกล้ามประกอบหน้าตาหล่อเหลาเขาจึงมีแฟนคลับจำนวนมาก
หลังจากการแข่งขันและการโปรโมทสิ้นสุดลงติณณ์ก็มีงานอีเวนท์มากมาย เจ้าของค่ายที่ติณณ์สังกัดป้อนงานละครให้เขารับ
บทเป็นพระเอก ละครเรื่องดังกล่าวออนแอร์ได้ไม่กี่ตอนแต่มีเรตติ้งถล่มทลายเพราะความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง ส่งผลให้ชื่อเสียงของ
ติณณ์ยิ่งโด่งดังมากขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นเบอร์หนึ่งของค่าย พาลีรู้เรื่องพวกนี้จากบรรดาแม่ค้าในตลาดเมื่อเขาไปซื้ออาหารสดและ
ของใช้ เมื่อเห็นติณณ์ที่โรงพักพาลีก็เกิดความสงสัยว่าทำไมเขาพบนักร้องชื่อดังในสถานที่แห่งนี้
“อ้าวคุณพาลีมาแล้วนี่”
ผู้กองสมบัติและเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตามออกมาในอีกไม่นานนัก พาลียกมือไหว้ทักทายเพราะสมบัติอาวุโสกว่า สมบัติทรุด
ตัวลงนั่งใกล้กับพาลีด้วยสีหน้าเครียดจัด
“เห็นไอ้หมอนั่นหรือเปล่า”
สมบัติบุ้ยใบ้ตามหลังติณณ์ที่กำลังเดินออกจากโรงพัก
"รู้จักมันไหม ทำไมผมไม่เคยรู้จักพวกนักร้องประกวดอะไรพวกนี้นะ หรือว่าผมไม่ค่อยได้ดูทีวี อยากรู้ว่าดังขนาดไหนถึงได้ชู
คอเป็นกิ้งก่าขนาดนั้น”
“เขาดังนะครับ”
พาลีตอบตามที่รู้
“ละครหลังข่าวที่กำลังเล่นอยู่มีแต่คนดูกันทั้งตลาด”
“อ๋อ ไอ้ที่เป็นคุณหลวงเมียเยอะๆแล้วตบตีแย่งผู้ชายกันอะนะ เมียผมก็ดูนี่หว่า น้ำเน่าขนาดนี้ถึงว่าทำไมดัง”
พาลีไม่ได้พูดอะไรอีก เขาปล่อยให้สมบัติเป็นฝ่ายครองบทสนทนาไว้
“ไอ้หมอนี่แหละที่คุณนายสมรคลั่งไคล้นักหนาจนไม่เป็นอันทำงานทำการช่วยผัว ได้แต่ไปนั่งเฝ้าเวลานักร้องมีงาน เดี๋ยวนี้
เขาเรียกอะไรนะแฟนคลับเหรอ นี่ถ้าเป็นวงลิเกแถวบ้านนอกของผมก็คงไม่พ้นเรียกว่าแม่ยก”
สมบัติหัวเราะพลางส่ายหน้าไปมา
“ตอนนี้ผมพุ่งเป้าไปที่เสี่ยพิชัยผัวคุณนายกับนักร้องที่ชื่อติณณ์นี่แหละ ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณนายสมร”
“แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้จะถึงกับฆ่ากันตายเชียวหรือครับ”
พาลีไม่อยากจะเชื่อ เขานึกถึงเสียงเหี้ยมที่เอ่ยกับเขาจากโทรศัพท์ของสมร มันทำให้เขาหวาดหวั่นจนไม่อยากจะเชื่อว่าคน
บงการจะเป็นเสี่ยพิชัยหรือติณณ์
“เราต้องสงสัยหว่านแหไปก่อน”
สมบัติอธิบายให้พาลีคลายความข้องใจ
“การสืบสวนที่ดีไม่ควรจะปักใจกับอะไรเป็นพิเศษในช่วงแรกจนกว่าจะได้ข้อมูลดีๆมาอยู่ในมือ ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยน่ะมันเป็น
ไปได้ทั้งนั้น ไอ้เรื่องชู้สาวนี่แหละตัวดี ยิงกันตายมานักต่อนัก”
“ผมขอถามครับผู้กอง”
พาลียกมือขออนุญาตด้วยความสงสัย
“เรื่องสำคัญอย่างนี้ทำไมผมจะต้องมารู้ด้วยครับ มันไม่ใช่ความลับทางราชการหรือ”
“ใช่แล้ว มันเป็นการสืบสวนทางลับ”
สมบัติพยักหน้ายอมรับ
“แต่คุณเป็นแค่ไม่กี่คนที่คุณนายสมรพูดคุยเรื่องส่วนตัวมากที่สุดเท่าที่เรารู้ในตอนนี้ ผมจำเป็นต้องใช้คุณให้เป็นประโยชน์กับ
รูปคดี”
พาลีหรี่ตามองสมบัติ เขาเอ่ยถามหยั่งเชิงเพื่อความแน่ใจ
“หมายความว่านอกจากผู้กองจะกันผมไว้เป็นพยานแล้ว ผู้กองจะใช้ผมเป็นเครื่องมือในการสืบหาข้อมูลอีกด้วย ผมเข้าใจถูก
ต้องหรือเปล่า”
สมบัติหัวเราะร่วน เขาเอื้อมมือมาตบบ่าพาลีอย่างถูกอกถูกใจ
“คุณนี่ฉลาดดี ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรให้มากก็เข้าใจได้ ผมชอบคุณว่ะคุณหมอดู”
“แล้วถ้าผมไม่ยอมทำตามที่ผู้กองต้องการล่ะ?”
พาลีลองป้อนคำถามอีกครั้ง แต่คราวนี้สมบัติหุบยิ้มและจ้องหน้าเขาอย่างจริงจัง
“คุณเห็นสภาพคนตายไหมว่าน่าสงสารแค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าคุณนายสมรจะทำเรื่องอะไรมาก็เถอะ คนผิดสมควรจะได้
รับการลงโทษตามกฎหมายใต้ความยุติธรรม คุณจะทนเห็นคนผิดลอยนวลได้ยังไง แล้วอีกอย่างนะคุณพาลี”
สมบัติขู่เขากลายๆ
“สุดเขตบอกผมว่าคุณเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับคุณนายสมรและคนที่อาจจะเป็นฆาตกรด้วย คุณคิดหรือว่าคนร้ายมันจะปล่อย
ให้คนที่ได้ยินเสียงมันเอาไว้ให้ชี้ตัวมันถูก รู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้คุณอยู่ในที่แจ้งเพื่อให้คนที่หลบอยู่ในมุมมืดจ้องมองคุณอยู่”
คำขู่ของสมบัติได้ผล พาลีหน้าซีดเผือดลงทันที
“คุณเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงไม่น้อยนะพาลี ลมหายใจของคุณมีค่ามากเกินกว่าจะหมดลงเพราะถูกปิดปาก ถ้าคุณฉลาดอย่างที่
ผมคิด คุณก็ควรจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
มีต่ออีกนิด...