:::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]  (อ่าน 38944 ครั้ง)

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากๆคับ มาต่ออีกนะคับ รักจิณณ์ อิอิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอาแต่ใจจริงๆเลย

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
เริ่มปฏิบัติการรุกคืบ
เอาแบบให้ชีวิตนี้ขาดพี่ไม่ได้
๕๕๕๕ สู้วว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คุณ นี่เอาแต่ใจ แสนงอนด้วย บื้ออีกต่างหาก
คุณ มีข้อเสียเยอะนะ ลืมยืมหนังสือที่ต้องทำรายงาน
พี่จิณณ์ เป็นเจ้าบ้านที่ดี หาขนมมาให้ แต่คุณ ก็กินหมด ทั้งที่ไม่หิว
คุณ จะทำงาน แต่ก็ง่วง ผลัดจะทำพรุ่งนี้ หลับไปซะก่อน
แต่เป็นข้อเสีย ที่ทำให้พี่จิณณ์ เข้ามาใกล้ตัวได้มากขึ้นๆ
พี่จิณณ์ ยอมคุณ มากจริงๆ อดนอน แปลงานให้จนเกือบเสร็จ
ไม่เคยชวนเพื่อนมาบ้านเลย แต่ยอมชวนคุณมา
แสดงว่าชอบคุณจริงๆ เพื่อนๆ คงรู้กันหมดแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สนุกมากกกกกกกก :ling1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
พี่เค้าชัดเจนมาก แต่คุณภัทรเราซื่อเกิน 555

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กำลังสนุกเลยคับ มาต่ออีกบ่อยๆนะคับ

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๙   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




ครั้งที่สามของการปีนบันไดแดง

เมื่อความชินยังไม่บังเกิดความเหนื่อยยากเลยยังไม่ลดลง ออกจะสาหัสกว่าครั้งที่แล้วด้วยซ้ำเพราะครั้งก่อนหน้านี้ผมมากับจิณณ์สองคน ได้พี่มันหลอกคุยนั่นคุยนี่จนเพลิน (แต่ก็ยังไม่ลืมหรอกว่าไอ้พี่บ้านั่นมันลากผมวิ่งขึ้นบันไดแล้วผลักจนล้มลงไปกองกับพื้น คิดแล้วก็แค้นไม่หาย)

อีกหนึ่งชั้น ผมบอกกับตัวเองหลังจากเริ่มนับถอยหลังมาตั้งแต่เริ่มก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก ชั้นที่เหลือคือชั้นอภิสิทธิ์ชนที่เหล่าสมาชิกของสภาสถาปัตย์ไปเลือกตั้งห้องคณะกรรมการอยู่และคุณชายท่านคงกำลังนอนหลับสบายอยู่ในห้องนั้น ผมทรุดตัวลงนั่งเมื่อคลานขึ้นมาได้ครึ่งชั้น กะว่าจะพักสูดลมเข้าปอดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาปีนต่อไปแต่เสียงฝีเท้าทางด้านหลังทำให้ต้องรีบหันไปมอง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินลงบันไดมาช้า ๆ ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอย่างบอกไม่ถูก คิด ๆ อยู่ว่าเคยเจอที่ไหนฝ่ายนั้นก็มองมาทางผมแล้วก็ร้องทักทันที

“น้องคุณ มานั่งทำอะไรตรงนี้” ประโยคแรกที่เค้าทักมาพร้อมรอยยิ้มก็ยังไม่ทำให้ความจำของผมดีขึ้น ผมยิ้มตอบแห้ง ๆ ลุกขึ้นยืนทั้งที่เพิ่งนั่งลงไปไม่ถึงนาที

“มาหาจิณณ์หรือ”

“เอ่อ ครับผม”

“เฮ้ย ไม่ต้องพูดเพราะขนาดนั้นก็ได้ คนกันเอง เพื่อนจิณณ์ก็เหมือนเพื่อนพวกเรา เจ้านั่นหลับอยู่ข้างบนแน่ะ ขึ้นไปปลุกตอนนี้ก็ระวังตัวหน่อยนะ ท่านกำลังมูดดี้” พี่เค้าชวนผมคุยอีกสองสามประโยคก็เอ่ยขอตัวอย่างอารมณ์ดี พออีกฝ่ายโบกมือให้เท่านั้นแหละผมถึงได้นึกออกว่าพี่คนนี้ชื่อภูวดล หนึ่งในสมาชิกสภาอภิสิทธิ์ชนที่จิณณ์เคยแนะนำให้รู้จักเมื่อครั้งก่อน ผมจำได้ว่าเค้ามือสวย พอเห็นอีกทีเลยจำได้ “บอกไปเค้าจะดีใจเหรอคุณภัทร จำมือได้แต่จำหน้าไม่ได้”


และแล้วความพยายามของผมก็สัมฤทธิ์ผล แต่ขณะที่ผมกำลังเดินข้ามลานกว้างเพื่อตรงไปยังห้องสภานั้น ประตูบานสูงที่เห็นแต่ไกลก็ถูกเปิดออกโดยใครคนหนึ่งเสียก่อน ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วก็พาลผวา ล่อกแล่กจะหาที่ซ่อนตัวเอาซะตรงนั้น แต่ก็มาคิดได้ว่าจะซ่อนทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า

โชคดีของผมที่คนที่เปิดประตูออกมาเป็นเจ้าของรอยยิ้มประทับใจที่ผมจำชื่อเขาได้ดี เมื่ออีกฝ่ายฉีกยิ้มมาให้แต่ไกลผมก็ยิ้มตอบได้อย่างเต็มใจ

“พี่ไวทิน ท่าทางอารมณ์ดีนะครับ”

“ก็นะ มีเรื่องดี ๆ น่ะ” อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเลยที่เห็นผมซึ่งเป็นคนนอกรุกล้ำเข้าในเขตหวงห้าม มือหนาตบไหล่ผมหนัก ๆ (เล่นเอาเกือบเซ) บุ้ยใบ้ไปทางประตูบานใหญ่แล้วก็บอกเสียงชื่น

“หลับอยู่ในนั้นแน่ะ วันนี้เหมือนจะอารมณ์ไม่ดี ระวังหน่อยนะ” ผมพยักหน้ารับ สองคนแล้วที่บอกผมว่าจิณณ์อารมณ์ไม่ดี เล่นเอาผมใจแป้วไปวูบหนึ่งเลยเหมือนกัน แหม ก็ถ้าลองให้เดาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้คุณชายท่านหงุดหงิดจนเพื่อนต้องเผ่นออกมาแบบนี้ หนึ่งในนั้นก็คงมีชื่อผมติดโผด้วยแหง ๆ

“ฝากด้วยละกันนะ”

“ครับ” ผ่านด่านมาสองด่าน ผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องโดยสวัสดิภาพ อยากจะเปิดประตูเข้าไปตอนนี้ก็เปลี่ยนใจรอดูก่อนว่าจะมีใครโผล่ออกมาต้อนรับอีกไหม นอนหลับในนี้หนึ่ง เดินออกไปแล้วสอง ไปดูหนังกับเพื่อนผมหนึ่ง ยังเหลือใครก็หรือเปล่าวะ เอาน่ะ อยากรู้ก็ต้องเข้าไปดู

ห้องสภาของสถาปัตย์ยังมีรูปแบบเหมือนครั้งล่าสุดที่ผมเห็น แนวยังไงก็ยังแนวอยู่อย่างนั้น เรียบหรูและดูดีตั้งแต่ส่วนนอกไปจนถึงข้างในแต่อะไรมันก็คงไม่ดูดีเท่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นตรงหน้า นะ ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน ขืนชมพี่มันออกไปบ่อย ๆ เดี๋ยวจะมีคนเบื่อเอา คนที่นอนหลับบนเบาะยาวยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัว ขนาดผมแกล้งกระแอมไปตั้งสองสามครั้งมันก็ยังนอนนิ่ง ไม่นับที่แกล้งเอาปลายเท้ายัน ๆ เบาะอีกต่างหากนะ ปลุกกันขนาดนี้ยังไม่ตื่นตกลงหลับหรือตายวะเนี่ย

“เอาไงดีวะหรือจะรอให้ตื่นเอง” แบบนั้นก็ไม่ใช่นิสัยผมอีก ผมไม่ชอบรอใคร ยิ่งการรอที่มองไม่เห็นจุดหมายว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ทั้งที่ผมมีเรื่องอัดแน่นอยู่เต็มอกแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ แต่จะให้ปลุกคนที่เค้ากำลังหลับเพราะความอ่อนเพลียที่เกิดจากตัวเองเป็นเหตุมันก็ออกจะใจร้ายไปหน่อย

แล้วต้องทำไงเนี่ย

ผมเกาหัวแกรก รู้สึกเหมือนอับจนหนทางขึ้นมาทุกที ในตอนนั้นเองที่จิณณ์พลิกตัวนอนหงาย ผมยิ้มเสียเต็มหน้ากะว่าพี่มันต้องตื่นแล้วแน่ ๆ แต่ที่ไหนได้ พลิกนอนหงายเสร็จมันก็พลิกตะแคงต่อ โห ไอ้พี่ มึงจะนอนเอาบ้านเอาเมืองเลยหรือไงวะ

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยสิเนี่ย” ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนเบาะเดียวกับคนหลับ เอาวะ รอสักห้านาทีก็ได้ ผมคิดอย่างคนที่ใจกว้างอยู่เป็นนิจ เห็นว่าต้องอดนอนเพราะผมจะยอมให้อีกครู่หนึ่งละกัน แต่ห้านาทีของผมก็ต้องลดลงเหลือห้าวิเพราะทันทีที่ผมถอนสายตาจากเจ้าคนที่นอนนิ่งปุ๊บ ร่างของผมก็หงายผึงลงไปบนเบาะปั๊บ

“เฮ้ยยยยยยย!” และแทนที่จะเห็นเพดานห้องลอยอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นอกล่ำ ๆ ของใครบางคนซะนี่! เหตุการณ์แม่งโคตรคุ้นเลยโว้ย

“มานั่งถอนหายใจทำไมตรงนี้”

“นี่ ตื่นแล้วก็ลุกสิ ปล่อยให้คนรออยู่ได้”

“รอทำไม” เสียงคนพูดฟังดูแล้วมันสดใสผิดกับคนเพิ่งตื่นนอนเลยแฮะ

“ก็...รอ...เฮ้ย...อย่ามากอดได้ไหมเล่า” ผมร่ำร้องเอาอีกรอบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง หนึ่งคือยังอายเกินกว่าที่จะตอบตามตรงกับสองคือสภาพผมตอนนี้มันยากที่จะเอ่ยปากพูด ก็ไอ้คุณชายท่านเล่นกอดผมซะแน่นแถมยังกดหน้าผมซบกับอกแบบนี้ ใครมันจะขยับปากพูดได้วะ

“ทำไม” ยังจะมีหน้ามาถาม!

“ผมหายใจไม่ออก”

“ผายปอดให้ไหมล่ะ”

เออ ไอ้ประโยคนี่ก็คุ้น ๆ แฮะ

“ว่าไง” ลมหายใจร้อนกระทบหน้าผากผมจนรู้สึก จิณณ์ยอมคลายแรงรัดของแขนและขาลงพอให้ผมหายใจได้แล้วพี่มันก็เลื่อนตัวเองลงมาจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน แม่เจ้า ยิ่งกว่าเดิมอีก ถ้าพี่จะมาจ้องตากันแบบนี้ กอดกูไว้แบบเดิมยังจะคุยกันรู้เรื่องกว่านะ

“หน้าแดง” ไม่พูดเปล่า หมอยังใช้ข้อนิ้วเกลี่ยแก้มผมให้อีก เฮ่ย ๆ ๆ มันชักจะเข้าโหมดการ์ตูนตาหวานเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่ได้การ ต้องรีบทำลายออร่าสีชมพูอมม่วงนี้อย่างเร่งด่วน

“อย่าลูบ เมื่อเช้าไม่ได้โกนหนวด”

“ไหนดูซิ” อีกแล้ว! อีกแล้วที่มันบอกว่าดูแต่มันไม่ได้ทำแค่ดู ไอ้เหี้ยพี่จิณณ์แม่งยื่นหน้าเข้ามาเคลียกับแก้มและคางของผมแบบเนียนมาก ห่า! ทนไม่ไหวแล้ว ตายเป็นตายงานนี้

พลั่ก!

ผมผลักไอ้โจรใจโฉดสุดแรงเกิดแต่ผลที่ได้มากที่สุดก็แค่พี่มันยอมปล่อยมือแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนต่อก็เท่านั้น ผมลุกพรวดขึ้นนั่ง กัดปากมองอีกคนอย่างดุเดือด

“เล่นบ้าอะไร”

“รู้ว่าเล่นแล้วจะโกรธทำไม”

“โกรธทำไมงั้นเหรอ ทำไมพี่ทำแบบนี้วะ ล้อกันเล่นสนุกนักใช่มะ คนเค้าอุตส่าห์ตั้งใจมาขอโทษดี ๆ พี่ก็ทำมันพังหมดเลย”

“คุณ”

“ไม่ต้องมาจับ” ผมกระชากเสียงใส่เมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาหาแล้วก็รั้งแขนผมเข้าไปใกล้แต่พลังยุทธ์ไอ้พี่จิณณ์แม่งสูงส่งกว่าผมมากนัก เพราะแค่พี่มันจ้องนิ่ง ๆ ก็เล่นเอาผมมือไม้อ่อนจนน่าเจ็บใจ เออ ไม่เกิดมาตัวใหญ่เป็นเสาเอกเหมือนใครบางคนก็ให้มันรู้ไป

“จะขอโทษเรื่องอะไร”

“ไม่มี ไม่ขอแล้ว”

“ก็นั่นสิ คุณภัทรไม่ได้ทำผิด ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะ หือม์” ถ้าไม่ได้นั่งจ้องตากันอยู่ผมคงคิดว่ากำลังถูกผู้ชายปากจัดประชดเข้าให้ แต่นี่มันไม่ใช่ คนพูดมันยิ้มทั้งปากทั้งตาด้วยสีหน้าอ่อนโยนแบบนี้ ผมจะคิดไปในทางลบได้ยังไงกัน เฮ้อ ใครก็ได้เอาเหล็กมาดามใจผมหน่อยเถอะ รู้สึกพักนี้มันพาลจะอ่อนให้ยิ้มอ้อน ๆ แบบนี้อยู่เรื่อย!

“แล้วพี่ไม่โกรธแล้วหรือไง”

“โกรธเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องเมื่อเช้านั่นน่ะ”

“เรื่องเมื่อเช้าหรือ...” เอ้า จะมาโง่อะไรตอนนี้เนี่ย คนยิ่งไม่อยากพูดถึงอยู่

“เรื่องที่ผมพูดไม่ดี เสียมารยาท ไม่ยอมเรียกชื่อพี่ตอนเราคุยกันไงล่ะ อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว” คราวนี้จิณณ์ยิ้มเสียเต็มแก้ม หน้าหล่อ ๆ ของมันพราวไปด้วยรัศมีความสุขใจจนผมตาพร่า คนอะไรดุก็หล่อ ไม่ดุก็ยิ่งหล่อ ใครก็ได้ช่วยเตือนให้พี่มันระวังความหล่อของตัวเองหน่อยเถอะ บอกด้วยว่าผมใจคอไม่ดี
มืออุ่นบีบนิ้วผมเบา ๆ ก่อนร่างสูงจะลุกขึ้นยืน

“อะไรกัน ก็รู้นี่นาว่าฉันโกรธเรื่องนั้น”

“ก็รู้น่ะสิ” เอ๊ะ? ตอบไปแล้วก็ต้องชะงัก จิณณ์กำลังยิ้มมุมปากจาง ๆ หรี่ตามองผมอย่างผู้ชนะ ผู้ชนะ? หนอย ไอ้พี่นี่มันรู้แต่แรกแล้วว่าผมจะขอโทษเรื่องอะไร ไอ้ที่บอกว่าคุณภัทรไม่ได้ทำผิดอะไรนั่นน่ะ ไม่ใช่เพราะมันไม่รู้หรอกแต่เป็นเพราะมันแกล้ง มันจงใจ มันประชดของจริงเลย!

“ไอ้พี่จิณณ์ นี่พี่หลอกให้ผมพูดหรือวะ”

“ไม่ได้หลอก จริง ๆ นะ ก่อนหน้านั้นฉันหายโกรธนายไปแล้วตอนนายพูดถึงเลยงงหน่อย ๆ น่ะ แบบว่าคุย ๆ ไปแล้วมันเพิ่งมาคิดออกตอนหลังอะไรทำนองนั้นไง ไม่เคยเป็นหรือ”

“ไม่เคย!” ผมลุกพรวดขึ้น แม้จะต้องเงยหน้าเถียงแต่ก็ไม่คิดจะยอมแพ้ แม้หน้าจะร้อนวูบวาบเพราะความอายแกมเคืองหน่อย ๆ แต่ก็ยังแข็งใจเถียงคอเป็นเอ็น จิณณ์หัวเราะในคอหึ ๆ ใช้มือปัดผมให้เข้าทรงแล้วจึงหันไปคว้าเป้ของผมมาเปิดอย่างถือวิสาสะ

“จะทำอะไร” ยัง ผมยังไม่หายเคืองมัน ขอเสียงแข็งไว้ก่อน

“ทำงานต่อ พรุ่งนี้ต้องส่งแล้วไม่ใช่หรือ ไม่รีบทำเดี๋ยวไม่เสร็จนะ”

“ไม่ต้องเอาเรื่องงานมาอ้างเลย คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังหรือไง” ประโยคสุดท้ายผมบ่นพึมกับตัวเอง จิณณ์คงได้ยินแหละ พี่มันยักไหล่ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกแล้วกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสองแก้ว เหอะ เข้าใจหาของกินมาปิดปากนะ ผมไม่ใช่คนเห็นแก่กินเรื่องนี้ผมมั่นใจ แต่ที่ผมยอมรับแก้วน้ำมาจิบเพราะผมรู้ดีว่าตัวเองตั้งใจจะขึ้นมาข้างบนนี้เพื่อขอโทษอีกฝ่าย เมื่อพี่มันไม่ได้โกรธแล้วก็ถือว่าผมบรรลุจุดมุ่งหมายเลยขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืด(แม้ในใจจะยังเคืองหน่อย ๆ) เมื่อจิณณ์วางจานของว่างชิ้นเล็กน่ากินลงต่อหน้าผมเลยสนองให้เสียจนเกลี้ยงจาน

เฮ้ย ผู้ชายเค้าไม่ติดใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กันหรอก

อะไรยอมได้ก็ยอมกันไป แมน ๆ *ไหวไหล่*




“จิณณ์”

เจ้าของชื่อครางรับทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากตำรา เจ้าของร่างสูงใหญ่แบบผู้ชายร้อยเจ็ดสิบสามอย่างผมอิจฉานั่งอยู่บนพื้นพรมใช้เตียงเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ ขณะที่ผมกำลังนอนเหยียดยาวบนเตียงกว้าง หลังจากจัดการของว่างหมดเราก็เข้าสู่โหมดทำงานกันมาพักใหญ่ ผมที่กำลังวัดความกว้างความยาวของเตียงนุ่มก็โพล่งถามขึ้นมา

“พี่หายโกรธผมตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ”

“ยังไม่จบอีกหรือเรื่องนี้”

“ก็มันยังไม่หายข้องใจนี่หว่า เมื่อเช้าพี่งอนผมยังกะอะไรดี พูดด้วยก็ไม่พูดแถมยังทำหน้าอย่างกับตูด พอตอนบ่ายพี่กลับบอกว่าลืมไปแล้ว”

“ก็ลืมไปแล้วจริง ๆ”

“ทำไมถึงลืมอ่ะ” ผมพลิกตัวนอนคว่ำ เท้าคางมองมันในระยะประชิดกะว่ามีพิรุธนิดเดียวก็อย่าหวังว่าจะหลุดพ้นจากสายตาท่านคุณภัทรไปได้เลย จิณณ์ชายตามองผมนิ่ง ย้อนถามเสียงเรียบ

“อยากรู้จริง ๆ หรือ”

“เออดิ ไม่อยากรู้จะถามทำไมล่ะ” ผมหลบตาวูบ เฮ่ย ๆ ๆ ตกลงใครมันมีพิรุธแน่วะ

“แน่ใจนะว่าถ้าฟังแล้วนายจะรับได้” ผมพยักหน้ารับ

“คุณภัทร” เสียงทุ้มเรียกชื่อย้ำ ผลจำต้องแข็งใจสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ จิณณ์ทอดตามองผมนิ่ง นิ่งและเงียบจนผมชักอึดอัด ปลายนิ้วเรียวเลื่อนมาเกลี่ยปอยผมข้างแก้มให้ผมคล้ายอาการของคนละเมอ ผมเองก็ไม่ต่างกัน นอกจากประสานสายตากับจิณณ์แล้ว อย่างอื่นรอบตัวก็เหมือนจะอยู่นอกเหนือจากความสนใจ ปลายนิ้วอุ่นเหมือนจะสั่นนิด ๆ เมื่อยามไล้ผ่านผิวแก้มมาหยุดตรงริมฝีปากของผม เหมือนมีใครมากระซิบบอกข้างหู ให้ผมเผยอริมฝีปากออกแล้วริมฝีปากของเราทั้งคู่ก็เคลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น

ผมยังนอนอยู่บนเตียง

จิณณ์ยังนั่งอยู่บนพื้นพรม





เราสองคนจูบกัน












บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มที่กำลังนั่งอยู่คนเดียว ข้างกายมีโทรศัพท์เครื่องเล็กกำลังสั่นเรียกร้องความสนใจแต่ผลลัพธ์ก็เท่าเดิม มันสั่นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมไม่รับโทรศัพท์ ไม่อยากรับตอนนี้แต่ดูเหมือนทางโน้นจะไม่รู้ความคิดผม ไม่งั้นคงไม่โทรจิกข้ามวันข้ามคืนแบบที่เป็นอยู่นี่หรอก ผมปล่อยให้มันกะพริบไฟเตือนแบบนั้นจนกระทั่ง

ป้าบ!

“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย เล่นเหี้ยไรเนี่ย”

“ฟัง ๆ ๆ วา ฟังมันพูด อยู่ห่างเพื่อนแค่สองสามวันนี่ไปเก็บนิสัยกุ๊ยที่ไหนกินมาไม่ทราบครับ ไหนเอาหน้ามาดูหน่อยซิ” คนพูดหรือไอ้โหดมือหนักเมื่อกี้ใช้ฝ่ามือทั้งสองประกบหน้าผมแล้วก็ดันจนแก้มโย้ เจ็บจนน้ำตาแทบไหลแต่ไอ้เพื่อนรักมันหาได้ปรานีไม่ ยิ่งผมปัดป้องเท่าไหร่มันยิ่งมันมือ ยิ่งแกล้งหนักขึ้นเท่านั้น

“อ่อยยยยย เอ็บอะเอ้ย” (ปล่อย เจ็บนะเว่ย)

“บุรินทร์ พอได้แล้ว คุณแก้มช้ำหมดแล้วเห็นไหม”

“เฮอะ พอก็ได้...โอ๊ย!...” บุรินทร์ร้องเต็มเสียงเพราะทันทีที่มันปล่อยมือจากแก้มผมตามคำสั่งของวา ผมก็ฉวยปึกชีทตรงหน้าเหนี่ยวแขนฟาดกะบาลมันสุดแรง เออ ไม่เจ็บก็ให้มันรู้ไป

“โอย ไอ้ลูกหมา ฟาดมาได้ สมองเสื่อมไปทำไงวะ”

“คราวหน้าถ้าทำแบบนี้อีกจะซัดให้กะโหลกยุบไปเลย ไม่เชื่อลอง” ผมบอกเสียงขุ่น คราวนี้วากับบุรินทร์เหมือนจะค่อยจับได้แล้วว่าผมกำลังหงุดหงิดอย่างสุด ๆ อยู่ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วคงสำนึกได้ว่าผมคงอารมณ์ไม่ดีมาก่อนหน้านั้นแล้วและก็เป็นคราวซวยของบุรินทร์ที่เสร่อมาเล่นไม่ดูฟ้าดูดิน ฟ้าเลยลงโทษไปเต็มเหนี่ยวเต็มกะบาล

“ขอโทษได้ไหมล่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บเลย” บุรินทร์ทรุดตัวลงนั่งติดกับผม วางคางไว้บนไหล่เหมือนที่ทำเป็นประจำเวลาจะอ้อน พอเห็นผมไม่พูดไม่จาเลยกอดแถมให้อีกประการหนึ่งแล้วมันก็โยกตัวไปมาเหมือนพ่อกำลังกล่อมลูกยังไงยังงั้น

“ไหนเล่าให้ฟังซิ ใครทำอะไรให้พี่น้องคุณโกรธ”

“ไม่มี”

“งั้นหงุดหงิดอะไร”

“ไม่รู้”

“เมนส์ไม่มาหรือ”

“ทะลึ่งละ เคยพูด ๆ อยู่แล้ววูบไปเลยไหม” ผมค้อนมันตาคว่ำ เออ ถึงผู้ชายเค้าไม่ค่อยจะทำแบบนี้กันแต่ผมก็จะทำ คุณเข้าใจไหม อาการที่เราไม่อยากจะมองอีกฝ่ายแต่ก็จำต้องมอง เราเลยต้องใช้หางตาจิกมองแล้วก็ต้องมองแบบโกรธ ๆ เคือง ๆ แบบนั้นน่ะ ผมเข้าใจนะว่าพวกผู้หญิงเค้ารู้สึกยังไงเวลาทำแบบนี้ อีกอย่างบุรินทร์มันกำลังกอดซ้อนหลังผมไว้ ไอ้เรื่องที่จะหันไปมองหน้าด่าบรรพบุรุษมันตรง ๆ ก็ทำไม่ได้อีก เลยต้องค้อนเอาไง

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือคุณ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่ วาที่เลี่ยงไปซื้อน้ำตั้งแต่เมื่อกี้วางกระป๋องน้ำเก๊กฮวยเย็นเฉียบไว้ตรงหน้า ยิ้มถามอย่างเอาใจ เออ มันต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้ใจ วาน่ะรู้จักเอาใจผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ใช่คอยแต่จะกวนให้ขุ่นหนักยิ่งกว่าเดิมแบบไอ้คนที่กำลังนัวเนียผมอยู่ตอนนี้

“ขอมั่ง” นั่น ยังมีหน้ามาอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนปลาขาดน้ำอยู่อีก   ผมจิบแล้วก็เลยส่งให้สัมภเวสีที่กระซิบกระซาบขออยู่ข้างหู ยิ้มให้วาหลังจากที่คิดว่าตัวเองดึงความคิดจากเรื่องที่กังวลมาทั้งคืนได้สำเร็จส่วนหนึ่ง

“อารมณ์ดีแล้วก็เอางานออกมาได้แล้ว วันนี้ต้องเรียบเรียงหัวข้อใหม่แล้วนะ ถ้าทุกอย่างโอเคฉันจะเอาไปพิมพ์ที่บ้านเอง บุรินทร์ เอาส่วนของนายมาสิ” วาเร่งพร้อมทั้งแบมือรอ บุรินทร์เลยต้องจำใจคลายแรงกอดหันไปหยิบแฟ้มของตัวเองส่งให้ “อยู่ในนี้แหละ ไม่ต้องเสียเวลาหาเพราะมีอยู่วิชาเดียว”

“นี่ของฉัน” ผมเลื่อนปึกชีทพิฆาตมารเมื่อกี้ไปให้วา เจ้าคนหน้าสวยรับไปเปิดผ่าน ๆ แล้วก็ยิ้มแฉ่ง คงชอบใจที่งานสำเร็จลุล่วงด้วยดีทั้งที่ของผมนั้นเหลืออยู่บทสุดท้ายอีกทั้งบท ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่ามันยังไม่เสร็จแต่วาก็พูดขึ้นเสียก่อน

“พอดีเลย ตกลงว่าครบนะ งั้นก็เริ่มกันเลย”

“เดี๋ยวก่อนวา ของฉันยังไม่เสร็จนะ เหลือสองบทสุดท้ายน่ะ”

“จริงดิ” บุรินทร์แทรกขึ้น มันคงรู้ดีเหมือนกันว่าบทท้าย ๆ ของแต่ละเนื้อหามันสำคัญเพราะมันหมายถึงบทสรุปของทั้งหมดหรือเกือบจะทั้งหมดและผมก็ดันไม่ได้ทำมา

“ไม่เป็นไร” ผมอ้าปากเหวอ วายิ้มให้แล้วก็ดึงแฟ้มบางใสอันหนึ่งขึ้นมาโบก

“ได้มาแล้ว”

“เอามาจากไหน อย่าบอกนะว่ารู้ล่วงหน้าว่าคุณจะทำไม่เสร็จเลยทำมาเผื่อน่ะ”

“ฉลาดมากบุรินทร์” ข้อสันนิษฐานของบุรินทร์เข้าท่าจนวาต้องให้รางวัลด้วยการเคาะหน้าผากไปหนึ่งที ผมมองลายมือคุ้นตาที่จำได้ตั้งแต่แวบแรกแล้วก็ได้แต่เงียบคำ

นั่งมองกองกระดาษตรงหน้านานแค่ไหนไม่รู้ จำไม่ได้ด้วยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น วากับบุรินทร์จะคุยเรื่องอะไรกันผมก็ไม่ได้ฟัง ในหัวมันมึน ๆ งง ๆ เหมือนมีหมอกคลุมเต็มไปหมด ครั้นจะพูดอะไรออกไปสักคำปากมันก็หนักเหมือนถูกถ่วงด้วยหิน ทั้งปากทั้งใจคล้ายมันจะล้า ล้าจนไม่มีแรงจะทำอะไรต่อ ไม่มีแม้แต่แรงที่จะคิดหาเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมคิดไม่ได้หรือผมไม่อยากจะคิดถึงมันกันแน่นะ



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คุณ คิดได้แต่ไม่อยากคิดน่ะสิ
ก็คุณเอง เริ่มใจอ่อน
กับแพ้ความหล่อ ความดีของพี่จิณณ์แล้ว
ก็พี่จิณณ์ ชอบนัวเนียร่างกายคุณ
ให้ยืมหนังสือ ให้สิทธิพิเศษ ช่วยทำงานให้คุณ
งอนคุณ อารมณ์ดีกับคุณ ทั้งที่เพื่อนบอกมู้ดดี้แท้ๆ
ที่แน่ๆ เพิ่งจูบกับคุณ อะจ๊ากกกกก ชอบบบบบ :o8: :-[ :impress2:
รอตอนใหม่
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2016 05:29:12 โดย ทฟเืนสรฟ »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เริ่มคิดได้แล้วน้องคุณ พี่แกอ่อยแรงขนาดนี้

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอตอนใหม่อยู่คับ มาต่ออีกนะคับ

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๐   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





งานส่วนที่สองของพวกเราเสร็จเรียบร้อยไปอย่างน่าพอใจ วาที่อาสาว่าจะเอางานไปพิมพ์เองที่บ้านก็อารมณ์ดีจนถึงกับเอ่ยปากชวนผมและบุรินทร์ไปเริงร่ากันต่อที่ร้านประจำ ผมพยักหน้ารับไปทั้งที่ปกตินั้นคนที่ต้องดี๊ด๊าที่สุดคงไม่พ้นตัวเอง บุรินทร์ที่มีเรียนตอนบ่ายอีกหนึ่งตัวจำใจต้องแยกไปเรียนเพียงลำพัง เพื่อนชั่วแม่งปล้ำจูบแก้มผมจนพอใจแล้วก็หัวเราะร่าไปอย่างสมใจ ผมเลยได้แต่กัดฟันกรอด เก็บความแค้นไว้รอชำระเมื่อถึงเวลา

“คุณจะไปไหนอีกหรือเปล่าระหว่างนี้น่ะ”

“ไม่อ่ะ”

“งั้นไปถาปัตย์ด้วยกันไหม” ผมสั่นหน้าดิก ดีนะที่ไม่สะดุ้งแถมไปด้วย แค่ชื่อคณะก็เล่นเอาอกใจสะท้านถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องคิดถึงตอนที่ต้องเจอเจ้าของคณะมัน โห ขวัญหนีแบบกู่ไม่กลับแน่คุณ

“ทำไมล่ะ จะได้ไปขอบคุณพี่จิณณ์ด้วยไง วันนี้พี่เค้าว่างทั้งวันนะ” มิน่า มันถึงได้มีเวลาโทรจิกผมได้ทั้งวัน ใช้เวลาว่างได้เป็นประโยชน์เหลือเกิ๊น

“เอาไว้คราวหลังดีกว่า ตอนนี้ง่วงว่าจะไปแอบหลับบนห้องสมุดสักหน่อย”

“ถ้าจะหลับในห้องข้างบนตึกก็มีเตียงนะ นอนสบายกว่าเยอะเลย” ผมเกาจมูกตัวเองเหมือนไม่รู้จะตอบยังไง วาก็เต็มใจชักชวนเหลือเกิน ไม่ได้รู้เลยว่ามันเคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนฟ้าดิน ณ ไอ้เตียงที่กำลังพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ พอเห็นผมยืนยันว่าไม่ไปชัวร์ เพื่อนหน้าสวยก็ยอมแพ้ บ่นนิดหน่อยแล้วก็เลยย้ำเรื่องนัดหมายเย็นนี้ก่อนจะเดินตัวปลิวไปทางตึกสีน้ำตาลใกล้ ๆ นั้น

ห้องสมุดคณะผมยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไม่ผิดเพี้ยน เริ่มด้วยไอเย็นที่กรูกันมาปะทะหน้าทันทีที่เปิดประตูกระจกฝ้าเข้าไป เดินผ่านบรรณารักษ์ที่มนุษยสัมพันธ์ดีเกินร้อยตรงเคาน์เตอร์ไปเปิดประตูออกไปสู่บันไดที่ปูพรมสีเทาเข้ากับตัวตึกมาก ๆ จากความเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศเมื่อครู่ก็จะกลายเป็นเย็นเพราะลมธรรมชาติเมื่อเราเดินขึ้นมาถึงชั้นสอง ชั้นนี้ไม่ใช่เป้าหมายของผมครับต้องเดินขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น ชั้นสาม เราก็จะเจอประตูกระจกแบบฝ้าอีกสองบาน ผมเลือกบานทางซ้ายเพราะห้องนี้น่ะเงียบได้ใจมาก


ห้องสี่เหลี่ยมกว้าง แอร์เย็นเฉียบ จัดไว้สำหรับเก็บหนังสือหายากและพวกนิยาย มุมซ้ายสุดเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมมันถึงเงียบดับจิตได้ขนาดนี้ ผมมีมุมประจำคือโต๊ะที่อยู่ติดกับหน้าต่างหลังชั้นหนังสือสูงท่วมหัว พอวางกระเป๋าเรียบร้อยก็จัดการเลื่อนเก้าอี้มาต่อกันเสียสองตัวแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนแบบไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น พอหัวถึงเป้ปุ๊บผมก็ข่มตาหลับพร้อมกับเริ่มนับแกะในใจไปด้วย

คุณรู้ใช่ไหมว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้น

ใช่แล้วครับเพราะผมนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืน

ผมมัวไปทำอะไรอยู่น่ะหรือ จำไม่ได้ ระหว่างนั้นชีวิตมันออกแนวเบลอ ๆ เหมือนทีวีที่สัญญาณไม่ชัดยังไงยังงั้น มีคลื่นแทรกเป็นภาพในอดีตบ้างบางครั้งแต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้ แล้วมันก็น่าเจ็บใจที่บางเหตุการณ์มันไม่ได้เลือนลางตามไปด้วย แต่กลับเด่นชัดแม้กระทั่งยามหลับตาผมก็ยังรู้สึกถึงมัน ความรู้สึกที่ยังตามติดมาย้ำเตือนให้จดจำ ไม่ใช่การมองเห็น ไม่ใช่การรับฟังแต่กลับฝังลึกจนน่ากลัว

ผมจะทำยังไงกับมันดี   

เผลอหลับไปได้ยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะความง่วงที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียจนทนไม่ไหวท้ายที่สุดเลยผล็อยหลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่กระนั้นในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น แม้เปลือกตาผมจะปิดสนิทแต่ประสาทการรับรู้บางส่วนยังคงทำงานแบบมึน ๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านไปมาในห้องนั้นหลายรอบ อาจจะเป็นเพราะว่าพื้นห้องเป็นไม้ปาร์เก้เคลือบเงาพอมีนิสิตเดินผ่านเสียงมันก็จะสะท้อนในความเงียบ หลายต่อหลายครั้งที่มันลอยเข้ามากระทบโสตประสาทแต่ผมก็แค่ขยับตัวแล้วก็หลับต่อ

อากาศเย็น เย็นจนน่าโมโหว่าจะเปิดแอร์ให้เปลืองทำไมมากมาย ผมกอดตัวเองแน่นเข้าแล้วก็ต้องเผลอครางออกมาอย่างพอใจ อากาศหนาวขั้วโลกเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอุ่นสบายอย่างที่ผมปรารถนา ผมครางเบา ๆ ความฝันมันดีแบบนี้เอง อยากให้เป็นแบบไหนก็คิดเอาได้ ดูสิ ผมอยากอุ่นก็อุ่นขึ้นมาทันใจ ลองเป็นแบบนี้ผมจะจินตนาการถึงเตียงนุ่ม ๆ บ้าง มันจะทำให้ผมนอนสบายขึ้นไหมนะ ผมซุกหน้าลงต่ำ ดึงผ้าเนื้อนุ่มให้คลุมสูงขึ้น




เอ๊ะ!

ผ้าหรือ?

ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างเร็วจนเผลอเอาข้อมือไปฟาดกับขอบโต๊ะเข้า เจ็บจนต้องครางซี้ดแต่ไม่มีเวลาสาปแช่งโต๊ะเก้าอี้อย่างที่เคยชินก็ต้องรีบหยิบผ้าสีเข้มที่หล่นไปกองกับพื้นขึ้นมากางดู ผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่ผมเห็นทีแรกแท้จริงแล้วมันคือเสื้อคลุมตัวยาวประมาณสะโพกยี่ห้อที่ผมเห็นแล้วต้องเพ่งมองซ้ำอีกที ห่า ใครมันเอาของแพง ๆ มาทิ้งไว้แบบนี้วะ! มองหาเจ้าของมันจนทั่วแถวนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากผมอีก ผมเดินลากขากลับมานั่งที่เดิม หลังจากนั่งรวบรวมสติอยู่ครู่เดียวผมก็ได้คำตอบที่ทำให้วูบในอกอย่างน่าโมโห

คงไม่ใช่ใครที่ไหน

ผมคลี่เสื้อตัวนั้นคลุมทับไหล่ รู้สึกเหมือนถูกกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของใครบางคนโอบกอดไว้อย่างอ่อนโยน ถ้าไม่มัวแต่ตกใจผมคงรู้คำตอบตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาตื่น เพราะมันเป็นคำตอบเดียวกันกับที่ผมคิดถึงตลอดเวลาที่กำลังหลับและฝัน




หกโมงตรงขาดเกินอีกนิดหน่อยเมื่อพวกเราพร้อมใจกันเดินออกมาจากคณะเพื่อการสังสรรค์ที่ร้างลาไปนาน ผมฟังบุรินทร์นินทาอาจารย์อย่างออกรสแล้วก็พลอยหัวเราะไปด้วยเมื่อพูดกันอยู่ดี ๆ เพื่อนเลิฟก็สำลักน้ำลายแบบไม่รู้สาเหตุ

“เวรกรรมมันมีจริง” วาบอกอย่างนั้น ถึงจะถูกค้อนจากไอ้ตี๋หน้าหยกแต่คนหน้าสวยก็ยังเชิดหน้ายิ้ม อารมณ์ดีที่ได้ไปใช้เวลาพักในห้องสภาฯ ของถาปัตย์มาแน่ ๆ

“หลับสบายหรือเปล่าคุณ” อยู่ ๆ ก็ถามออกมาแบบไม่ให้ตั้งตัว ผมที่กำลังเหม่อได้ที่เลยเอ๋อรับประทาน ได้แต่พยักหน้าตอบไปหงึก ๆ ตาคู่สวยเขม้นมองผมนิ่งทำเหมือนจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจไปหาเรื่องบุรินทร์ต่อ พวกเราขึ้นรถป็อบป้ายที่ใกล้ที่สุดไปลงสยาม ส่งบุรินทร์เลือกซื้อของสองสามอย่างกว่าจะเรียบร้อยถึงเวลากินก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า

“ไปเลยดีไหม หาข้าวกินที่โน่นเอา” ความจริงเราตั้งใจกันว่าเดินเล่นหาอะไรกินแถวนี้แล้วค่อยไปชิลต่อที่ร้านประจำแถวทองหล่อแต่เมื่อมันเลทมากแล้ววาเลยเสนอให้ไปกินที่ร้านคราวเดียวเลย ผมกับบุรินทร์ไม่มีปัญหา พวกเราสามคนเลยได้มานั่งชนแก้วพร้อมกับแกล้มเต็มโต๊ะอยู่ในร้านอย่างตอนนี้นี่แหละครับ ทุ่มกว่าจัดว่าเป็นเขตเวลาที่ยังหัววันอยู่มาก ทางร้านจึงเลือกเปิดเพลงเป็นจังหวะสโลว์น่าซบบรรเลงแผ่ว ๆ ก่อนจะค่อยเร่งจังหวะให้มันส์มากขึ้นตามระดับความดึกและแอลกอฮอล์ในเลือดของลูกค้า ผมเองก็เริ่มจะกรึ่ม ๆ เพราะซัดแข่งกันกับเพื่อนไปหลายแก้ว วาเองที่เห็นนิ่ง ๆ พอจะดื่มขึ้นมาใครก็หยุดไม่อยู่ เล่นเอาผมต้องยอมแพ้

“คุณ” บุรินทร์สะกิดไหล่ผมพอรู้สึก

“อะไร”

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ มันสั่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

“ช่างแม่ง ขี้เกียจคุย” บุรินทร์ทำปากยื่น น่าเอาแม็กซ์เย็บปากมันมากขอบอก

“ไม่คุยก็ปิดเครื่องไปสิ ปล่อยมันสั่นอยู่ได้ สะเทือนมาถึงตูดฉันนี่”

“หนอย ไอ้ตูดเซ้นส์ซิทีฟ มือถือสั่นแค่นี้ทำเป็นบ่น”

“ก็มันรำคาญ ไม่อยากคุยใช่ไหม งั้นเอามานี่ แด๊ดดี้จะคุยให้เอง”

“เฮ้ย อย่านะโว้ย” ผมกระชากมือถือมาจากไอ้คนมือไวแต่มันทำท่าว่าจะไม่ยอม บุรินทร์ล็อคคอผมกะว่ายังไงเสียยกนี้มันต้องชนะให้ได้ ผมร้องโวย เกือบจะแพ้แรงมันอยู่แล้วถ้าวาไม่ห้ามทัพไว้เสียก่อน เพื่อนผู้แสนดีของผมง้างแขนบุรินทร์ออก ยัดมือถือใส่ตักผมแล้วก็บอกเสียงดุ

“รับโทรศัพท์ซะไม่งั้นก็ปิดเครื่อง” โหย สุดท้ายวาก็เข้าข้างไอ้ตี๋นั่นแหละ

“อะไรกันนักหนา” ผมจิ๊ปากจิ๊คอใส่ทั้งสองคนให้เห็นว่ากูก็เริ่มวิบแล้วนะโว้ย! จากนั้นก็ฉวยโทรศัพท์ติดตัวมาเข้าห้องน้ำด้วย ผมเลือกห้องน้ำห้องแรกเป็นที่พึ่งชั่วคราว เข้าไปถึงก็จัดการพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ว่า
(งานยุ่ง ไม่ว่างคุยตอนนี้) หลังจากกดส่งข้อความไปเรียบร้อยแล้วผมก็นั่งรอว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่าอย่างไรแต่รอเกือบห้านาทีก็ไม่มีการตอบรับไม่ว่าจะเป็นทางใดทั้งสิ้นแถมยังเลิกโทรหาผมอีกด้วย

เออ พูดให้มันรู้ฟังมั่ง ผมถอนใจเฮือกใหญ่ เปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วก็เกือบผงะ ไอ้!!!!@#฿^%!!!! เอร๊ยยยยยย ใครบอกให้มันมาอยู่ตรงนี้วะ! “ไง งานยุ่งมากเลยหรือ” ผมถอยหลังกรูด หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเอาดื้อ ๆ ฮือออออ ใครช่วยบอกที ไอ้ที่เห็นว่ากำลังยืนหน้าเคร่งพิงอ่างล้างมืออยู่ตรงหน้าเนี่ยมันไมใช่ตัวจริงงง!

นอกจากจะไม่ช่วยให้คำร้องขอของผมเป็นจริงแล้ว จิณณ์ยังสาวเท้าเข้ามาใกล้เล่นเอาผมถอยยาวอีกรอบ ตอนแรกก็ว่าจะถอยกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อคกลอนเสียแต่สถานการณ์ตอนนี้มันคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินมาก่อน ถ้าเลือกที่จะถอยจริง อีกฝ่ายมักจะตามทันแล้วก็กลายเป็นว่าขังคนสองคนในห้องน้ำแคบ ๆ เพียงลำพัง ไม่ดี ไม่ควรเสี่ยง ผมเลยยืนลอยหน้า ทำเนียนเหมือนไม่แปลกใจที่เจอกันแล้วก็ค่อยเดินไปล้างมือทั้งที่หัวใจกำลังเต้นระทึกอย่างกับมีคนมารัวกลองศึกอยู่ในอก กำลังลุ้นอยู่ในใจว่าหมอจะทำยังไงต่อก็เป็นอันต้องสะดุ้งสุดตัว

“มากับใคร” ผมครางฮือในคอ อย่าเอาหน้ามาใกล้ได้ไหม อึดอัดนะโว้ย

“กับเพื่อน วากับบุรินทร์ไง”

“ทำงานเสร็จแล้วหรือ”

“เกือบเสร็จแล้วล่ะ เหลือแค่พิมพ์ ขอบคุณมากนะ เรื่องรายงานน่ะ” ผมหมายถึงส่วนที่ผมทำไม่เสร็จแล้วจิณณ์ก็ทำมาส่งให้ถึงมือวาเมื่อเช้า อีกฝ่ายคลายสีหน้าเคร่งขรึมเป็นยิ้มจาง ๆ พยักหน้าให้ผมแล้วก็ตอบเสียงนุ่มไม่ต่างจากทุกครั้ง

“ไม่เป็นไร ฉันแค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไปล่ะ”

อ้าว

“เดี๋ยว พี่ พี่จะกลับแล้วหรือ”

“จะกลับแล้ว”

“แล้ว แล้วมาทำไม” พี่มันหันมามองเงียบ ๆ เล่นเอาผมร้อนวาบในท้องขึ้นมายกหนึ่ง เฮ้ย ๆ อะไรวะ จะมาออกฤทธิ์อะไรตอนนี้ ผมกลั้นใจมองต่อตาทั้งที่ร่างกายมันเริ่มทรยศพาลจะแข้งขาอ่อนตามหัวใจไปอีกประการ

“แค่อยากมาดูว่านายไม่ได้เป็นอะไร เห็นไม่รับโทรศัพท์ นึกว่าไม่สบาย อยู่กับเพื่อนก็ดีแล้วล่ะ ฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” เออ มาแล้วก็ไป ตกลงที่ตามมาถึงที่นี่เนี่ยพี่มันแค่ต้องการมาทำตัวเป็นคนดีแล้วก็ไปใช่ไหมวะ จะได้เข้าใจ ผมมองตามแผ่นหลังมันไปจนสุดตาเหมือนนางเอกในละครไม่ผิด คิดไปคิดมาก็ไม่อยากให้ตัวเองทำตัวสาวให้เหมือนพวกนางเอกทั้งหลายเลยเดินส่ายอาด ๆ ตามไปจนทัน

“พี่จิณณ์” ตอนแรกผมคิดว่าพี่มันจะงอนแล้วก็วางฟอร์มหยุดเดินรอให้ผมโดยไม่หันมาเหมือนพระเอกนิยายแทบทุกเรื่องแต่จิณณ์กลับหยุดฝีเท้าหันกลับมาหาผมง่าย ๆ ซะงั้น ทั้งที่ผมคิดว่าการหนีของผมอาจจะทำให้พี่มันโกรธไม่มากก็น้อยแต่สีหน้ากับแววตาคู่นั้นกลับราบเรียบจนผมนึกเซ็ง ไม่สนุกเลยโว้ย

“พี่จะรีบไปไหนหรือเปล่า”

“เปล่า” คือว่านะพี่ มึงช่วยถามต่อหน่อยได้ไหมว่ากูอยากรู้ทำไม เล่นตอบสั้น ๆ แล้วเงียบแบบนี้ถึงจะหน้าด้านเป็นกิจวัติก็มีสิทธิ์ต่อไม่เป็นเหมือนกันนะ ผมนึกขอบคุณฤทธิ์เมรัยที่ดื่มเข้าไปเยอะพอควร มันทำให้ผมใจกล้าพอที่จะชวนอีกฝ่ายเสียงนุ่ม

“อยู่ด้วยกันก่อนไหม”

‘ว่าไงนะ?’ สีหน้าของคนฟังตอบผมว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพี่มันเข้าใจประโยคที่ผมพูดไปยังไงเพราะพอผมพูดจบจิณณ์ก็ขมวดคิ้วฉับแล้วก็ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดไม่จา

“ผมหมายความว่าพี่มาดื่มกับพวกเราสิ ผมจะได้ถือโอกาสนี้เลี้ยงตอบแทนที่พี่อุตส่าห์ช่วยเหลือไว้ตั้งหลายอย่าง” คราวนี้พี่ท่านสูดลมหายใจเข้า

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ค่อยคุ้นกับสถานที่แบบนี้เท่าไหร่”

“หมายความว่าไง พี่ดื่มไม่เป็นหรือ”

“เป็นแต่ไม่ค่อยดื่มในที่แบบนี้”

“แล้วต้องดื่มที่แบบไหน”

“ที่ที่มีแต่คนสองคน”

โอเค จบข่าว! ผมผลักอกกว้างเต็มแรงเมา ไม่น่าซอกแซกถามมากจนวกเข้าหาตัวแบบนี้เลย ให้ตายสิเอ้า ไอ้คนพูดเองก็เหมือนจะรู้ว่าคารมของตัวทำให้ผมเก้อไปหลายวิมันเลยหัวเราะชอบใจจนผมยิ่งอายหนัก ผมขยับปากด่าอุบอิบ ไม่กล้าออกเสียงมากเดี๋ยวฝ่ายตรงข้ามจะรู้ว่าภาพเก่าวันวานนั้นยังแจ่มชัดในหัวผม ตราบใดที่ผมยังหาคำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเองไม่ได้ ไม่มีทางที่ผมจะแสดงให้อีกฝ่ายรู้หรอกว่าก้อนเนื้อตรงอกซ้ายของผมมันเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นริมฝีปากสีสดนั่น

“หน้าแดงหมดแล้ว” จิณณ์บอกเสียงอ่อน แตะ ๆ หลังมือกับข้างแก้มผมก่อนจะดีดหน้าผากผมแปะหนึ่ง “เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจดื่มเหล้า กลับบ้านได้แล้วไป”

“ใครเด็ก ผมจะยี่สิบปีนี้แล้ว”

“ถึงยี่สิบแล้วค่อยกลับมาดื่มดีกว่า ไปบอกเพื่อนไปว่าจะกลับแล้ว” นั่น แล้วก็รวบรัดให้ผมกลับบ้านจนได้ สั่งได้สั่งเอานะมึง

“ไม่เอา ผมมากับเพื่อนก็ต้องกลับกับเพื่อนสิ พี่นั่นแหละมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ผมไม่กลับด้วยหรอก” จิณณ์เม้มปากนิดหนึ่งก่อนจะพรูลมหายใจออก ไม่ได้อะไรหรอกนะแต่ใครก็ได้ช่วยบอกพี่มันหน่อยว่าการมายืนล้วงกระเป๋าแล้วก็หรุบตามองผมแบบนี้น่ะ มันตกองศาที่ทำให้พี่เขาหล่อมาก

ใจไม่แกร่งพออย่ามอง!

“กลับเถอะ” คราวนี้จิณณ์ออดเสียงนุ่มเป็นผลให้ผมฉุนกึก อะไรวะ! คนบอกไม่กลับ ๆ จะอยู่กับเพื่อนแล้วพี่มันยังจะอะไรอีก พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ผมตวัดตามองหน้าคนช่างตื๊อก่อนจะกระแทกเท้ากลับมาที่โต๊ะ ทั้งที่ผมหายไปตั้งนานสองนานแต่เพื่อนผู้ประเสริฐทั้งสองกลับไม่มีใครเอ่ยปากถามเลยสักคำ มองสีหน้ายิ้ม ๆ ของวาแล้วก็มองเลยไปทางบุรินทร์ เจ้านั้นยักไหล่ ซดเหล้าเข้าปากไปอีกรอบ


“ตกลงใครโทรมา”

“ไม่รู้” ผมตอบสั้น ๆ มองหน้าเพื่อนรักสลับกันก่อนจะค่อยดึงเป้มาสะพาย

“วา”

“ว่า?”

“กลับก่อนนะ” วากับบุรินทร์หัวเราะพรืด นึกแล้วว่าสองคนนี้ต้องรู้เห็นเป็นใจกับไอ้หล่อนั่น วาน่ะไม่ต้องสงสัยถือหางพี่จิณณ์เต็มร้อยแต่บุรินทร์นี่สิ ทุกทีผมไม่เคยเห็นมันจะตื่นเต้นกับไอ้คุณชายนั่นแล้ววันนี้มันอะไร ไม่ห้ามไม่หวงเพื่อนสนิทเลยหรือไง

“กลับดี ๆ ล่ะ เจอกันพรุ่งนี้ถ้านายไปไหว”

“ปาก” ผมเงื้อแก้วน้ำใส่มัน บุรินทร์หัวเราะร่าหลบไปซ่อนอยู่หลังวาแต่ยังไม่เลิกปากดี

“ฝันดีนะจ๊ะยาหยี ฝันถึงพี่ชายนะจ๊ะ”

“เออ คืนนี้จะฝันว่าโปรดสัตว์” จิณณ์ยืนรอผมอยู่ที่เดิม พอเห็นผมเดินไปหาพร้อมข้าวของคุณชายท่านก็ทำท่าจะคว้าไปถือไว้เอง ผมรีบเบี่ยงตัวหนีทันที

“ไม่ต้อง เป็นผู้ชายถือเองได้”

“ผู้ชายอะไรน่ารักขนาดนี้”

“ใจคอหน้าส้วมเนี่ยก็ยังจะจีบใช่ไหม ผมจะได้เตรียมใจว่าต้องเสียตัวให้พี่ในวันสองวันนี้แน่แล้ว” จิณณ์หัวเราะเสียงดัง ท่าทางพี่มันไม่เขินสักนิดที่ได้ยินผมพูดเรื่องห่าม ๆ ออกไปหน้าตาเฉย มืออุ่นแตะศอกผมแล้วดึงให้เดินตามไปทางลานจอดรถ รถคันเดิมจอดรออยู่ ผมนั่งได้ก็เหวี่ยงของที่ถือมาไว้เบาะหลัง กดหาเพลงฟังประหนึ่งว่าเข้ามานั่งในรถตัวเอง

“หิวหรือเปล่า แวะหาอะไรกินก่อนไหม”

“ตอนนี้ไม่หิว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อกลับเอาละกันนะ เผื่อหิวตอนดึก ไม่อยากเห็นคนหงุดหงิดเพราะความหิว” ผมจิ๊ปาก มองคนพูดตาขุ่น “ไม่ต้องซื้ออะไรทั้งนั้นแหละเพราะผมจะกลับบ้านไม่ได้จะไปเข้าป่าที่ไหน ถ้าหิวก็ลงมาเปิดตู้เย็นแม่คงทำอะไรทิ้งไว้บ้างแหละ แต่ถ้าพี่กลัวหิวพี่ก็ซื้อกลับบ้านพี่ไปละกัน ไม่ต้องเผื่อผม”

“อ้าว” จิณณ์ละสายตาจากถนนมามองผมงง ๆ

“เราไม่ได้จะไปดูหนังที่บ้านฉันหรือ”

“ผมบอกเมื่อไหร่ว่าจะไปดูหนังที่บ้านพี่”

“นายบอกเมื่อตอนเราทำรายงานด้วยกันที่บ้านฉันคราวที่แล้วไง พอรู้ว่าชอบดูหนังเหมือนกัน นายก็บอกว่ารอให้รายงานฉบับนี้เสร็จก่อนแล้วนายจะไปดูด้วย ฉันก็เก็บเรื่องที่อยากดูไว้รอนาย ตกลงลืมจริง ๆ หรือคุณภัทร” ผมเกาหัวแกรก คุ้น ๆ ว่าเคยพูดเรื่องดูหนังกับคนตรงหน้าแต่ไม่เห็นจำได้ว่าเคยไปทำสัญญาใจกับพี่มันไว้ด้วย พอเห็นผมกลอกตาไปมาจิณณ์ก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“โอเค ไม่เป็นไร ถือว่าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวสิ ก็คนมันจำไม่ได้จริง ๆ นี่นา”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“เฮ้ย พี่อย่าเพิ่งงอนสิวะ ให้ผมคิดก่อนว่าผมเคยพูดตอนไหน” จิณณ์ยิ้มแต่ผมว่ามันกระตุกปากมากกว่า ใบหน้าหล่อจัดหันไปสนใจแต่ถนนและไฟท้ายรถคันข้างหน้าทำให้ผมยิ่งไม่สบายใจ หรือผมจะเป็นฝ่ายลืมเองวะ

“ช่างมันเถอะ เรื่องแค่นี้เอง อย่าคิดมาก” คุณชายท่านยิ้มบอก น้ำเสียงจริงใจซะจนผมรู้สึกผิดวูบ สงสัยผมจะลืมไปจริง ๆ นั่นแหละ ช่วงนั้นมันเครียดเรื่องงานด้วยสมองเลยเบลอรับปากจิณณ์ไปแล้วก็ดันมาลืมเสียเอง ไม่ได้แล้ว ๆ ต้องรีบกอบกู้ชื่อเสียงด่วน

“งั้น แวะซื้อของกินก่อนได้ไหม ดูหนังดึก ๆ เดี๋ยวหิว” จิณณ์ไม่ตอบเป็นคำพูดแต่หันมาหรี่ตามองพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ หล่อได้อีกครับท่าน “มองถนนสิ แวะฟู้ดแลนด์ข้างหน้านี่แหละ ซื้อป็อปคอร์นไปอบด้วยนะ พี่อบ” จากอาจารย์พิเศษกลายเป็นพนักงานขับรถและในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะกลายเป็นพ่อครัวอีกตำแหน่งหนึ่ง

“พิซซ่า โคล่า ไก่ทอด อะไรอีกดี ช่างเถอะ เดี๋ยวเห็นก็คิดออกเอง พี่จ่าย” คำสุดท้ายผมหันไปบอกคนขับ ไอ้หล่อมันยกริมฝีปากยิ้มพลางบอกเสียงนุ่ม “เหมาทั้งร้านให้ก็ยังไหว”

พอเห็นผมอึ้งแม่งก็หัวเราะให้อีก

“รวยจังเลยยยยยย”

“ไม่ชอบหรือ” ผมส่ายหน้า ตอบอย่างซื่อตรงที่สุด

“ชอบ มีตังค์ใช้ใครจะไม่ชอบ เฮ้อ โลกนี้จะมีกี่คนนะที่มีกินมีใช้โดยไม่ต้องลำบากหา อยากเกิดมาบนกองเงินกองทองจัง”

“อยากรวยไปทำไม”

“ถามได้ ข้อดีที่เห็นได้ชัด ๆ ข้อแรกเลยก็คือถ้ารวยผมก็ไม่ต้องให้พี่เลี้ยงข้าวไงล่ะ”

“งั้นก็จนอยู่นั่นแหละ” พี่มันสรุปอนาคตของผมด้วยเหตุผลที่น่าต่อยที่สุดในจักรวาล จากนั้นก็ตัดบทด้วยการเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ร่างสูงดับเครื่อง คว้ากระเป๋าเงินแล้วก็ลงไปก่อน ผมกัดฟันกรอด แบบนี้มันจะดูหนังด้วยกันรอดไหมเนี่ย พอเปิดประตูตามลงไปเห็นจิณณ์เดินมารออยู่ใกล้ ๆ ก็เลยได้จังหวะถามออกไป

“แล้วเราจะดูเรื่องอะไร”

“เรื่องอะไร” นั่น ยังมีหน้ามาขมวดคิ้วใส่ผมอีก

“ก็หนังที่พี่บอกว่าเก็บไว้รอดูกับผมไงเล่า มันชื่อเรื่องอะไร” จิณณ์จุดยิ้มมุมปาก ดวงตาคมหวานพราวระยับในยามที่เจ้าตัวโน้มใบหน้ามาหาผมจนเกือบชิด

“La Belle” La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle La Belle
 
เธอ เขา...และรักของเรา

ห่านนนนนนนนนนนน ไอ้พี่จิณณ์! ไอ้เลว!


โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:



โปรดจิ้มดูตัวอย่าง La Belle >>> https://www.youtube.com/watch?v=6AQJAKIlruw

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ขอไปมุดใต้โซฟารอดูหนังด้วยคนนะพี่จิณณ์
 :katai3: :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
ะขาจีบกันอย่างเปิดเผย~ :hao7:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่จิณณ์ รุกหนักแล้ว
ตามคุณ ไปทุกที่เลย
วาคงเป็นคนส่งข่าวแน่เลย
คุณ ก็เริ่มใส่ใจพี่จิณณ์และ
ไม่อยากให้พี่จิณณ์ งอน
พี่จิณณ์ น่ารัก อบอุ่น ตามใจคุณสุดๆ เลย :mew1: :mew1: :mew1:
บุรินทร์ นี่แค่แกล้งคุณเท่านั้นนะ
แต่แกล้งแบบหอมแก้มคุณ นี่ชักแหม่งๆ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ rk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
งื้ออออเค้าจีบกันเขินนน :hao7:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตกลงคุณรู้ตัวใช่ไหมคะว่าเขาจีบ

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๑   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ






การเตรียมเสบียงของเราสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ผมเค้นคอพี่มันถามจนได้คำยืนยันที่แน่นอนแล้วว่าหนังที่เราจะดูนั้นไม่ใช่ไอ้เรื่องลาบงลาแบลอะไรที่มันแกล้งล้อผมเล่นแน่ ๆ นึกแล้วก็อยากฟันศอกใส่หน้าหล่อ ๆ นั่นนัก พวกคุณไม่เห็นสีหน้าผมตอนนั้นแต่ไอ้บ้าข้าง ๆ ผมนี่มันเห็นเต็มตาเพราะพอพูดจบมันก็หัวเราะลั่น หลุดมาดคุณชายก่อนจะทรุดลงนั่งกุมท้องหัวเราะเหมือนโดนพ่อแม่ห้ามหัวเราะมาทั้งชีวิตอย่างนั้น

ผมเกือบหวดหน้าแข้งรักษาอาการขำให้แล้วแต่ติดว่าผมอาจจะต้องพึ่งพิงมันอีกหลายงานเลยอดใจไว้ ก้าวฉับ ๆ เข้ามาด้านในโดยมีไอ้คนตัวสูงเดินยิ้มกริ่มตามมาไม่ห่าง เวลาแก้แค้นของผมมาถึงแล้ว ขวามือผมเป็นกองตะกร้าที่วางซ้อนกันไว้ ผมดึงขึ้นมาใบหนึ่งแล้วก็ยัดใส่มือเบ๊ประจำตัวแบบห้ามไม่ให้มีการปฏิเสธ

“ทำไมซื้อแต่ของขบเคี้ยว เลือกของที่มันมีประโยชน์กับร่างกายหน่อยสิ ขนมพวกนี้มันมีโมโนโซเดียมกลูตาเมทสูงนะ” คนที่ถือตะกร้าตามผมต้อย ๆ บ่นอุบ คราวนี้องค์คุณหมอลงครับ

“ของพวกนี้ก็มีประโยชน์ กินแล้วอิ่มท้อง ท้องอิ่มก็อารมณ์ดี อารมณ์ดีก็ส่งผลถึงสภาพจิตใจด้วย อารมณ์ดีจิตใจดีจะทำให้ไม่ขี้บ่น ประโยชน์เท่านี้พอหรือยัง”

“ว่าใครขี้บ่น”

“ไม่ได้ว่าใคร อยากรับก็หยิบใส่ตะกร้าไปสิ” คุณหมอท่านฟังแล้วก็ตบเท้าอ้อมมาขวางทาง อ้อ หน้านิ่งแล้วครับงานนี้ “สงสัย ฉันคงกำลังหลอกตัวเองว่าเป็นห่วงนายอยู่แน่ ๆ”

โฮะ!

“ขนาดนายยังไม่ห่วงตัวเองแล้วฉันที่เป็นคนอื่นจะไปห่วงนายได้ยังไง” พูดเสร็จก็เดินลอยชายไปที่อื่น ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่กับเสียงหัวเราะคิกคักของคุณป้าแม่บ้านแถวนั้น ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบ ทำคนอื่นอายแล้วยังหน้าด้านลอยหน้าลอยตาไปเลือกซื้อของได้อีกเรอะ!

“เชื่อพี่เค้าเถอะพ่อหนู พี่เค้าพูดก็ถูกนะ ของพวกนี้กินมากเกินไปมันก็ไม่ดีกับไตนะลูก” ครับ ขอบคุณครับ

“ใช่ เค้าเป็นห่วงถึงเตือน น่ารักจังเนาะเธอ” ครับ แล้วผมจะบอกพี่เค้าให้นะครับ

“นั่นสิ เห็นแล้วอิจฉาเด็ก คิ ๆ ๆ” ไม่ต้องงงง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรให้อิจฉา ป้าอย่าไปไกล ผมยิ้มหวานส่งให้คุณป้าทั้งสองแล้วก็วางถุงมันฝรั่งทอดกลับเข้าที่เดิม หึ ๆ ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ขอบคุณด้วยหัวใจ ผมจะนำไปปรับปรุงการดำเนินชีวิตต่อไปครับ

กวาดตามองหาเป้าหมายได้ผมก็เดินตรงเข้าไปหา จิณณ์กำลังยืนสนทนากับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ท่าทางกำลังออกรสได้ที่ ผมยืนมองแค่ไม่กี่วินาทีก็ยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปซุกหน้ากับแผ่นหลังมันแบบไม่ให้ตั้งตัว การปรากฏตัวของผมส่งผลให้เสียงหัวเราะเมื่อกี้เงียบกริบลงทันที!

“อยากกลับบ้านแล้ว” ผมบอกอู้อี้กับแผ่นหลังกว้างก่อนจะดึงตะกร้าในมือมันมาดูเหมือนมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นแถวนั้น

“พี่เลือกของเสร็จหรือยังอ่ะ” คิ้วคมย่นนิด ๆ แต่จิณณ์ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอาการประหลาดของผม ไอ้หล่อมันแย่งตะกร้าไปถือแล้วก็ขยับออกห่างผมเสียก้าวหนึ่ง

“เรียบร้อยแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกไหมล่ะ” ผมทำเป็นมองไม่เห็นว่าอีกคนพยายามจะถอย งานนี้พี่มันทำให้ผมอายคุณป้าสองคนนั้นได้ผมก็ทำให้มันอายสาว ๆ ได้เหมือนกัน ทุกคนเลยได้เห็นผมทำหน้าเง้า ยกมือสีตาด้วยท่าทางน่ารักเต็มที่ มึ้งงงง เล่นกะใครไม่เล่น พ่อจะเอาให้มีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ได้อีกเลย

“ฮึ! เราง่วงนอนแล้วอ่ะ”

“ไม่สบายหรือเปล่า”

“ไม่รู้” สบายดีแต่ตอนนี้อยากแกล้งคน มีอะไรไหมมมม

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรไปได้” จิณณ์หันไปบอกกลุ่มนั้นยิ้ม ๆ แล้วพี่มันก็ถือโอกาสโอบผมออกมา ผมหันไปมองข้างหลังแล้วก็เงยมองคนข้างตัว ตกลงผู้หญิงพวกนั้นเป็นใคร ทำไมจิณณ์ถึงให้โทรไปหาได้ เอ๊ะ หรือไอ้หล่อมันจะแอบแจกเบอร์สาวไปโดยที่ผมไม่ทันเห็น

“พวกนั้นเป็นใครน่ะ” ผมถามพร้อมกับหนีบเอามือใหญ่ออกจากไหล่ จิณณ์ทำเสียงหึในคอ วางตะกร้าให้แคชเชียร์แล้วจึงตอบข้อสงสัยของผมพร้อมรอยยิ้มเย็น

“เพื่อนที่คณะ”

“เพื่อน!”

“ใช่ พอใจหรือยัง ได้เปิดตัวไปแบบนั้น”

“เพื่อนยังไง? เพื่อนแบบเพื่อนจริง ๆ เพื่อนที่ไม่มีอะไรในกอไผ่อย่างนั้นหรือ” ซวยหมาแล้ว ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ “พวกนั้นเรียนสถาปัตย์ปีเดียวกับฉัน เป็นรุ่นพี่นายทั้งหมดนั่นแหละ ไม่คุ้นหน้าเลยหรือคุณภัทร”

“...แล้ว...แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม!”

“จะให้บอกตอนไหนล่ะ ไปถึงก็อ้อนเอา ๆ ฉันจะสนใจเรื่องอะไรได้อีก” ผมพูดไม่ออก ในหัวนึกภาพตัวเองกำลังลงไปนอนกลิ้งทึ้งผมตัวเองอย่างไร้สติ อีเหี้ยยยยยยยยยย พวกนั้นเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แล้วที่ผมทำไปเมื่อกี้ ภาพตัวเองเกาะแขนเกาะขาอ้อนไอ้พี่จิณณ์เหมือนเบบี้บอยระดับชาติฉายซ้ำเข้ามาในหัวทีละช็อต ทีละช็อต น่าอายไหมคุณภัทร นัวเนียไปขนาดนั้นพวกพี่เค้าจะคิดยังไง หมด...หมดกันชื่อเสียงที่สั่งสมมา พรุ่งนี้ข่าวผมเป็นเด็กในคอนโทรลไอ้หล่อไม่กระฉ่อนไปทั่วสถาปัตย์เลยหรือเนี่ย ผมครางเสียงอ่อย มองหน้าตัวต้นเหตุแล้วก็ฉุนกึก

“ไม่ต้องมายิ้มเพราะพี่นั่นแหละพลอยทำให้ผมซวยไปด้วยเลย”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ก็พี่...ไม่รู้ล่ะ เพราะพี่นั่นแหละ พี่คนเดียว แม่ง ซวยฉิบ...” คำสุดท้ายผมอุบอิบในคอเพราะไอ้คนที่กำลังส่งแบล็คการ์ดให้แคชเชียร์มันปรายตามองมาก่อนผมจะทันหลุดออกคำสรรเสริญกันให้ชื่นใจ ไม่น่าเลยผม จะแกล้งมันคืนดันไม่ดูหน้าดูหลังแทนที่จะได้หัวเราะสะใจอย่างมาดแมนกลับต้องมานั่งคร่ำครวญ ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ ๆ


ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้าน ไม่ได้โกรธจิณณ์จริงจังหรอกออกแนวเซ็งความเซ่อซ่าของตัวเองมากกว่า พอเริ่มทำใจได้จิณณ์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าบ้านผมพอดี ผมหันไปมองหน้าคนขับแบบไม่เข้าใจ ก็ไหนพี่มันบอกจะให้ผมไปดูหนังเป็นเพื่อนพอผมตกลงใจแล้วทำไมถึงพาผมมาส่งบ้านหน้าตาเฉยหรือจิณณ์จะโกรธที่ผมทำให้เพื่อนกลุ่มนั้นเข้าใจผิด

“เป็นอะไร”

“เปล่า ขอบคุณที่มาส่ง” ผมบอกเสียงแผ่ว ความรู้สึกไม่สบายใจแล่นพล่านไปทั้งเนื้อทั้งตัวเมื่อคิดว่ากำลังทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ พอผมหันไปค้นเอาข้าวของที่เบาะหลังจิณณ์ก็คว้าแขนผมหมับ

“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครมาส่งนาย”

“พี่ไง”

“เป็นอะไร อยู่ ๆ ก็ซึม ใครทำอะไรให้ไม่พอใจหรือ” ไม่มีใคร ผมทำตัวผมเองพอใจหรือยัง ทำตัวเองเซ็งแล้วยังไม่พอยังมาโดนเมินอีก มันใจเสียนะโว้ย ผมไม่ตอบจิณณ์ก็ไม่บังคับ มืออุ่นรั้งแขนผมให้นั่งลงที่เดิมแถมยังทำท่าจะเสยผมให้อีกรายการ ผมหันหน้าหนี ยกมือกั้นสัมผัสอ่อนโยนไว้ก่อนฮอร์โมนสาวน้อยในตัวจะทำงานหนักกว่าเดิม

“เครียดเรื่องเพื่อนฉันหรือ” ผมส่ายหน้าแต่จิณณ์ไม่ยอมเชื่อ “อย่าเครียดเลย พวกนั้นไม่เอาไปพูดหรอก กลุ่มนี้ไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ฉันรับรองได้ แต่ถ้านายยังไม่สบายใจเดี๋ยวฉันจัดการให้”

“จัดการยังไง” จิณณ์ยิ้มบาง

“ก็บอกพวกเค้าไปตามตรงว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน แล้วที่เห็นน่ะก็เป็นเพราะนายต้องการจะแกล้งฉัน โอเคไหม”

“ถ้าพวกเค้ายอมเชื่อมันก็โอเค”

“โอเคสิ ถ้าสบายใจแล้วก็ลงไปได้ เดี๋ยวจะดึกเกิน” ผมแทบสะอึก คุยกันจนเข้าใจแล้วมันยังจะให้ผมลงอีกหรือ ตกลงพี่จิณณ์ทำให้ผมหายเคืองแต่ตัวมันยังไม่หายใช่ไหม ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยเอื้อมมือไปคว้าเป้เป็นรอบที่สองแต่จิณณ์ก็รั้งแขนผมไว้เป็นครั้งที่สอง

“จะเอาเป้ลงไปทำไม”

“ถ้าไม่เอาไปจะทิ้งไว้ให้รกรถพี่หรือไงล่ะ”

“แค่ลงไปเอาเสื้อผ้าจะเอาลงไปด้วยทำไม” ผมชะงัก หันมามองหน้าคนพูดช้า ๆ เมื่อกี้ว่าไงนะ “หรือนายจะใส่เสื้อผ้าฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นไปเอา”

ผมเกาหัวแกรก กลอกตาไปมาก่อนจะหัวเราะออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ เปิดประตูลงรถเป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องชายตัวแสบเดินออกมาดูหน้าบ้านพอดี เจ้าคีย์ทำหน้าสงสัยพอเห็นจิณณ์เดินตามผมเข้าไปด้วยมันก็หัวเราะขลุกขลักในคอ ทักทายแขกด้วยท่าทางที่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ผลุบหายเข้าไปในบ้าน พอผมโผล่หน้าเข้าไปแม่ก็ตรงรี่เข้ามาหาจับผมหอมแก้มซ้ายขวา ไม่ได้ดูสักนิดว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากคนในครอบครัวตามหลังผมมาด้วย

“คิดถึงจังลูก ทำไมวันนี้กลับค่ำ” ลืมบอกไปว่าแม่เค้าไปเที่ยวกับพ่อมาหลายวัน ผมยื่นหน้าให้แม่จูบจนพอใจแล้วจึงหันไปมองคนที่มาด้วยกันพลอยให้แม่ต้องมองตาม

“อุ้ย เพื่อนพี่คุณหรือจ๊ะ”

“สวัสดีครับ ผมจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ครับ” มารยาทงาม รูปงาม นามไพเราะ ไม่ต้องบอกว่าพี่มันจะโกยคะแนนจากแม่ผมไปแบบท่วมท้นแค่ไหน คุณนายทิพปภายิ้มหวาน

“สวัสดีจ้ะ พี่คุณจะพาเพื่อนมาค้างบ้านหรือลูก งั้นเดี๋ยวแม่ไปเตรียมที่นอนให้นะ”

“ไม่ใช่ครับแม่ คืนนี้ผมจะไปนอนบ้านพี่จิณณ์ นัดกันไว้ว่าจะดูหนังด้วยกัน” พอได้ยินผมบอกอย่างนั้นไอ้น้องตัวแสบที่นั่งอยู่หน้าทีวีก็หัวเราะก๊ากออกมาอีกรอบ มันยักคิ้วใส่ผมแล้วก็หันไปหัวเราะคึก ๆ กับภาพในจอต่อ แหม ไม่ได้ใกล้ชิดกันแค่ไม่กี่วันทำตัวอ้อนตีนขึ้นเยอะเลยน้องรัก

“พ่อล่ะครับ”

“ยังไม่กลับลูก มาถึงก็ออกไปบริษัทเลย”

“งั้นผมขึ้นไปเอาเสื้อผ้านะครับ พี่จะ...ขึ้นไปด้วยกันไหม...” ตอนแรกผมนึกว่าจิณณ์จะรีบตามขึ้นไปด้วยแต่ปรากฏว่าไม่ ไอ้คุณชายมันยิ้ม ตอบเสียงอ่อนเสียจนผมขนลุกซู่

“ไปเถอะ ฉันขออยู่คุยกับคุณน้าก็แล้วกัน ได้ไหมครับ” แหมะ โดนลูกอ้อนคนหล่อไปขนาดนั้นไม่ได้ก็แย่แล้ว ผมทิ้งให้จิณณ์อยู่กับแม่และคีย์ไม่ถึงสิบนาทีก็รีบวิ่งลงมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบเก่ง พอเห็นผมคีย์มันก็พยักเพยิดให้แม่หันมามอง บอกด้วยเสียงไม่เบานัก

“คราวนี้แม่เชื่อหรือยัง”

“น้องคีย์ก็พูดไปเดี๋ยวก็โดนดีหรอก”

“ก็ผมบอกแม่แล้ว ใช่ไหมพี่จิณณ์” จิณณ์มันยิ้มอย่างเดียว ผมมองคนนั้นคนนี้แต่ไม่มีใครให้ความกระจ่างในหัวข้อที่กำลังพูดกับผมสักคน แม่มองหน้าผม มองหน้าจิณณ์แล้วก็หันมามองผมอีก

“มีอะไรครับแม่”

“พี่คุณเป็นแฟนกับพี่จิณณ์หรือลูก” พรวด! น้ำหวานที่ผมเพิ่งแย่งมาจากมือเจ้าคีย์พุ่งพรวดใส่หน้าเจ้าของเดิมของมันแบบยั้งไม่อยู่ ผมไม่สนใจน้องชายที่ร้องเหมือนโดนน้ำกรดสาด ตวัดตามองหน้าหล่อ ๆ ของไอ้คุณชายทันที ใครมันปากหมาบอกแม่ไปงั้นวะ!

“ฉันไม่ได้พูดอะไร”

“แล้วเมื่อกี้แม่พูดอะไร”

“แหม ก็แม่อยากรู้ ปกติพี่คุณไม่ค่อยไปนอนค้างนอกบ้านแถมช่วงนี้ก็ไปบ้านพี่จิณณ์บ่อย ๆ พอน้องคีย์พูดแม่ก็คิดสิลูก” อ้อ ผมลืมบอกไปอีกอย่าง สาววายครับ แม่ผมเป็นสาววายเต็มขั้น ตั้งแต่ผมโตมาเห็นลูกชายตัวขาวปากแดงเอวบางร่างเล็กเข้าหน่อยแม่ชอบลืมตัวว่าหน้าตาผมมันเน้นไปทางหล่อมากกว่าสวย ชอบคิดอะไรเป็นการ์ตูนแบบไม่ห่วงอนาคตของตระกูลปัทมวรกุลเลย

“ผมไปนอนบ้านพี่มันแค่สองครั้งเองนะแล้วก็ไปเพราะเรื่องงานด้วย”

“อ้าว ตกลงไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกหรือคะ”

“ไม่ได้เป็นครับ” ผมตัดบทแบบไม่เหลือเยื่อใย วันนี้มันอะไรเนี่ย เริ่มจากเพื่อนรักสองคนที่เปิดทางให้เสียจนน่าเกลียด คุณป้าผู้หวังดีในฟู้ดแลนด์ กลับมาบ้านยังมาเจอแม่กับน้องชายถามเรื่องแปลก ๆ ให้อีก ผมเข้าใจนะว่าประเทศเราให้อิสระกับการเลือกคู่ครองมานาน ไม่ว่าชายหญิง ชายชาย หญิงชาย มันก็เป็นเรื่องปกติเสียแล้วในบ้านเมืองนี้แต่ผมน่ะ นายคุณภัทร ปัทมวรกุล เคยมีสักครั้งหรือที่ผมประกาศตัวเองว่าชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่เคย ผมแมนมาตลอด ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่จำความได้ แม่กับน้องชายมาด่วนฟันธงตัดสินอนาคตของผมแบบนี้ได้ไง

“เราเป็นเพื่อนกันน่ะครับ คุณภัทรเขา...ไม่ได้ชอบผมแบบนั้น” พอเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้นคุณนายทิพปภาก็พยักหน้ารับซื่อ ๆ ดูจากแววตาแล้วคาดว่าเธอคงแอบหวังในตัวคุณชายรูปงามอยู่ไม่น้อย ผมชำเลืองมองจิณณ์ พี่มันก็ชำเลืองมองมาแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวจริง ๆ

เออ งอนกูอีก

จิณณ์เอ่ยลาครอบครัวผมแล้วก็ฉวยเอาเป้ไปช่วยถือ มืออีกข้างมันจับข้อมือผมลากออกมาจากบ้านโดยที่ผมเองก็ไม่กล้าจะสะบัดต่อหน้าแม่กับน้อง ได้แต่มองตามแผ่นหลังคนตัวสูงอย่างสับสน ใครก็ได้บอกผมหน่อยว่าไอ้พี่จิณณ์มันเป็นด๋อยอะไรไปอีก



บรรยากาศขาไปบ้านจิณณ์ผิดกับตอนที่เราออกมาจากร้านสะดวกซื้อราวฟ้ากับเหว พ่อคนดีของแม่ผมมันเก็บปากเก็บคำเงียบ ไม่ชวนคุย ไม่ยิ้มให้เหมือนโดนผีปิดปากไว้ ผมเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยไม่ได้ถามไถ่ปล่อยมันเงียบจนถอยรถเข้าจอดเรียบร้อย

รถจอด จิณณ์ดับเครื่อง เราสองคนเงียบ

ถ้าถามถึงความรู้สึกผมตอนนี้ ถ้าเป็นทุกทีผมคงหงุดหงิดใจที่พี่จิณณ์มันทำตัวงี่เง่าให้ผมอารมณ์เสียแต่คราวนี้มันแปลกไป ผมบอกไม่ได้เต็มปากว่าผมกำลังขุ่นใจเพราะอีกฝ่าย ตรงกันข้าม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งทำเรื่องไม่ดีมายังไงไม่รู้ มันไม่สบายใจมาตั้งแต่ได้ยินเสียงจิณณ์แก้ต่างกับแม่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ไอ้ความรู้สึกอึดอัดในใจมันก็ยังไม่ยอมหายไป ผมเป็นอะไรไปแล้ว

“จิณณ์” จิณณ์หันมามองผม เลิกคิ้วนิด ๆ

“พี่โกรธผมหรือเปล่า”

“โกรธเรื่องอะไร” เอาใหม่ เปลี่ยนคำถามให้มันเข้าท่าหน่อยดีกว่า

“ผมทำให้พี่รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า” จิณณ์นิ่งคิด กลอกตามองนอกรถ มองพวงมาลัย มองรถคันอื่น มันมองแม่งทุกอย่างตอนที่กำลังหาคำตอบให้ผม อย่างเดียวที่ไม่มองคือหน้าคนถาม ผมขยับตัวหันหน้าไปมองบ้าง คราวนี้จิณณ์ถอนใจยาว

“ฉันรู้สึกไม่ดีเพราะตัวฉันเอง”

“ทำไม ไปทำอะไรมา”

“เพราะฉันคาดหวังมากเกินไป พอลืมตามองความจริงแล้วรู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฉันเลยเสียใจ” ตรงมาก ซื่อตรงอย่างที่สุด รู้สึกอย่างไรเล่นบอกแบบไม่มีกั๊ก ผมได้แต่เก็บคำเงียบ จิณณ์ไม่ได้บอกหรอกว่าเขาคาดหวังกับเรื่องอะไรถึงทำให้เสียใจมากขนาดนี้ แต่บางทีนะ บางทีผมอาจเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยก็ได้

“บางที สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงอย่างที่สุดก็ได้”

“หมายความว่าไง”

“ไม่รู้อ่ะ” อย่าให้ขยายความเลย

“คุณภัทร” มืออุ่นคว้าข้อมือผมหมับแต่ผมก็ดึงกลับทันทีเหมือนกัน เรื่องอะไรจะยอมให้ได้ใจกันง่าย ๆ จิณณ์มองผมเหมือนไม่คิดจะทำอะไรต่ออีกแล้วในชาตินี้ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมเปิดประตูออกมายืนรอข้างนอก เคาะรถเร่งให้พี่มันรีบตามลงมาจะได้ดูหนังกันเสียที

“เอาของหลังรถลงไปด้วยไหม” หมายถึงหนังสือกับแฟ้มของผม

“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้ใช้อะไรนี่”

“คุณมาถือการ์ดกับกุญแจหน่อย ฉันจะถือเสบียงพวกนี้” เสบียงที่ช่วยกันขนออกมาจากร้านตอนเลือกเหมือนหยิบมาแค่สองสามอย่าง ตอนจ่ายเงินก็ไม่ได้สังเกตแถมตอนขนขึ้นรถจิณณ์ก็จัดการเองหมด มารู้ว่ามันเยอะจนต้องหิ้วเต็มสองมือก็ตอนที่เห็นอีกคนเปิดท้ายรถนี่แหละ

“จะกินหมดไหมเนี่ย”

“กินไม่หมดก็เก็บไว้กินคราวหน้า มันไม่เสียหรอก”

“คราวไหนอีกล่ะ ใกล้จะสอบแล้ว กว่าจะได้มาคงอีกนาน” จิณณ์ยกมุมปากยิ้ม มองตัวเลขในลิฟต์แล้วก็เสนอทางออกด้วยวิธีที่เบสิกที่สุดในโลก “งั้นคราวนี้ก็อยู่นาน ๆ เลยแล้วกัน กินของที่ซื้อมาให้หมด ไม่หมดก็ไม่ต้องกลับ”

และแล้วคุณชายจิณณ์ก็กลับมาอารมณ์ดีในที่สุด น่าแปลกที่คำพูดของผมแค่ไม่กี่คำมีผลกับอีกคนมากขนาดนี้ ต่อไปนี้จะพูดอะไรสงสัยผมจะต้องระวังเสียหน่อยแล้ว ไม่อยากมานั่งรู้สึกผิดแล้วก็ต้องง้อให้ใครได้ใจแบบนี้อีก ผมเข้าห้องได้ก็ตรงรี่เข้าไปในครัวลากเก้าอี้มานั่งเท้าคางมองเจ้าถิ่นรื้อของออกจากถุงทีละใบ ทีละใบ อีกไม่กี่นาทีผมก็จะได้นอนกินของอร่อย ๆ มีความสุขดีแท้ จิณณ์หยิบของออกจากถุงไปก็ชำเลืองมองผมไป

“มองอะไร”

“ทำไม มองไม่ได้หรือไง” โห คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าพี่มันแอบค่อนความขี้เกียจของผมอยู่

“มองมากเดี๋ยวเก็บตังค์นะเว่ย”

“พูดไม่เพราะเลย”

“พี่จ๋า ถ้าพี่มองมาก หนูขอเก็บตังค์ค่ามองนะจ๊ะ” เอียงคอไปทางซ้ายสักนิด ลากเสียงให้มันน่ารักน่าเอ็นดูสักหน่อย ถึงจะทุเรศตัวเองอยู่บ้างแต่ก็คุ้มที่ทำให้จิณณ์เงียบปากลงไปได้ หมอนั่นยัดของกินที่ซื้อมาเข้าเก็บในตู้ แยกของแห้งเอาไว้ข้างนอกแล้วก็ทำหน้าตกใจเสียจนผมตกใจตาม

“อะไร?” จิณณ์ไม่ตอบหันไปเทน้ำเย็นใส่แก้วแล้วก็เอามาวางให้

“ขอโทษที มัวแต่จัดของ”

“โธ่ แล้วก็ทำหน้าซะตกใจ นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก”

“ก็กลัวว่าจะหิวน้ำ เห็นพูดไม่หยุดมาตลอดทาง” ผมมองตาขวาง ไม่อยากจะเถียงเดี๋ยวจะหาว่าผมพูดมากอีกเลยซดน้ำเป็นการระงับใจตัวเอง คราวนี้ถือว่าพี่มันพูดเพราะเป็นห่วง ผมจะยกประโยชน์ให้จำเลยไป จิณณ์จัดของเรียบร้อยแล้วก็หันมาถามผม

“จะอาบน้ำเลยไหม” ยังกะโรงเรียนอนุบาลเล่นมาเหนื่อย ๆ ก็ให้อาบน้ำนอน

“ยังไม่อยากอาบตอนนี้อ่ะ ค่อยอาบหลังกินข้าวได้ไหม”

“อาบก่อนดีกว่าจะได้สบายตัว” วะ แล้วพี่จะถามความเห็นผมทำแป๊ะอะไร

“แต่ผมหิวแล้ว”

“เพิ่งไปกินกับแกล้มกับพวกวาไม่ใช่หรือไง” อุตส่าห์เอาเรื่องท้องไส้มาอ้างก็ยังดันรู้ทันอีก พอผมทำท่าจะเถียงพี่มันก็ก้าวออกไปจากห้องครัว หายไปในห้องนอน กลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูและเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้ม จิณณ์ยื่นให้ผมที่ตอนนี้ย้ายตัวเองมานอนแผ่อยู่ตรงพื้นหน้าทีวีจอยักษ์

“ไปอาบน้ำก่อน”

“อีกสิบนาทีได้ไหม”

“ไม่ได้”

“ผมยังไม่หายเหนื่อยเลย”

“เพิ่งกลับมาจากข้างนอกจะมานอนได้ยังไง สกปรก” จิณณ์พูดถูกทุกอย่างผมไม่เถียงแต่ก็เล่นวิธีดื้อเงียบ นอนนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่เจ้าของห้องพูด วินาทีต่อมาเลยโดนยักษ์ใหญ่ลากไปทิ้งไว้ในห้องน้ำพร้อมผ้าสีน้ำตาลกองหนึ่ง

“เดี๋ยวจะออกไปเตรียมของกินไว้ให้ นายอาบน้ำเสร็จก็พอดีได้กิน”

“เผด็จการ!”

“พูดง่าย ๆ จะได้โตไว ๆ” มันยิ้มบอก ดึงเอาผ้าขนหนูกับเสื้อคลุมไปแขวนไว้ให้เสร็จสรรพ โดนมัดมือชกขนาดนี้แล้วผมก็ขี้เกียจจะทำตัวไร้สาระกับคุณชายมันอีก มากไปก็ไม่ดีเดี๋ยวจิณณ์จะหาว่าผมปัญญาอ่อน อีกอย่างถึงจะดื้อหัวชนกำแพงยังไงสุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้หน้าหล่อ ๆ ของมันอยู่ดี เก็บแรงไว้ป้องกันตัวคืนนี้ดีกว่า

“พี่เปิดน้ำให้หน่อย” จิณณ์ยิ้มเหมือนเป็นรางวัลให้เด็กที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ เขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เริ่มสอนผมใช้อ่างน้ำวนนั้นอีกครั้ง






โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:


((ทำไมไม่ให้พี่จิณณ์อาบน้ำให้เลยล่ะคะพี่น้องคุณ))

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักมากคับน้องคุณเป็นเด็กขี้อ้อน จิณณ์ดูเป็นผู้ใหญ่มากกก

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๒   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ






กลิ่นหอมของป็อบคอร์นลอยเข้าจมูกทันทีที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ตามกลิ่นมันไปจนถึงห้องครัวก็เห็นคนตัวสูงกำลังยกชามแก้วใบโตมาตั้งตรงโต๊ะกลาง ผมเปิดยิ้มกว้าง คว้าข้าวโพดคั่วอบเนยเข้าปากแล้วก็ต้องร้องจ๊าก


“ร้อน!” จิณณ์รีบยื่นทิชชู่มารองใต้คางผมก็คายแหมะใส่มือใหญทันที หงื่อออ ลิ้นพองไปหมดแล้ว


“อ้าปาก” ผมเปิดปากกว้าง

“แลบลิ้นซิ” แลบลิ้นให้ดูอย่างว่าง่าย จิณณ์ทำหน้าเครียดแตะคางผมเงยขึ้นก่อนจะจิ๊ปาก ผมนั่งลิ้นห้อยปล่อยน้ำลายไหลยืด ได้แต่ทำหน้าบู้กลอกตามองมันเดินกลับไปกลับมาในครัวเพราะแสบลิ้นจนไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ของมันร้อนหยิบดูก็น่าจะรู้” ก็คนเพิ่งอาบน้ำมา มือมันเย็นจนไม่รู้ว่าเป็นของร้อน ใครจะรู้ว่าพอแตะลิ้นแล้วมันจะร้อนจัดขนาดนี้

“เกิดลิ้นพองเป็นแผลขึ้นมา กินข้าวไม่อร่อยไปเป็นอาทิตย์แน่” บ่นจังเลยยยย ผมกระแทกลมหายใจปล่อยคนขี้บ่นอยู่คนเดียวในครัวแล้วก็เดินออกมาหยิบเสื้อผ้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำอีกรอบ ชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขาสั้นทำให้ไม่รู้สึกหนักตัวเหมือนเสื้อคลุมสีน้ำตาลเมื่อครู่ ผมแขวนมันไว้ในห้องน้ำเดินออกมาอีกทีจิณณ์ก็ยกของกินมาวางไว้หน้าทีวีแล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนบนเบาะนุ่มแต่พอจิณณ์ทักขึ้นมาว่า “เป่าผมให้แห้งก่อน” ผมก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง กลัวจะโดนอย่างคราวที่แล้วอีกเลยกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ไดร์เป่าผมอันเดิมวางอยู่หน้ากระจกบานสูงตอนแรกตั้งใจจะเป่าในห้องน้ำนั่นแหละแต่เจ้าของห้องมันดันนึกอยากอาบน้ำตอนนั้นขึ้นมาพอดีผมเลยอัปเปหิตัวเองออกมานั่งเป่าข้างนอก ถึงห้องน้ำหรูของจิณณ์จะแยกโซนเปียกโซนแห้งออกจากกันแต่ผมก็ไม่อยากเสี่ยงอยู่ด้วย เกิดเห็นคุณชายท่านแก้ผ้าอาบน้ำแล้วห้ามใจตัวเองไม่ได้ขึ้นมา ไม่รู้ใครจะแย่ เป่าผมไปก็คิดอะไรไปเพลิน ๆ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีมือมาแย่งไดร์ไปจากมือแล้วจมูกโด่งเป็นสันก็ซุกมาบนหัวผม(จนได้)

“หอมแล้ว” ผมหลับตาอย่างอ่อนใจ อุตส่าห์หนีมาเป่าคนเดียวยังจะตามมาทำประวัติศาสตร์ให้ซ้ำรอยอีก ถีบให้สลดสักทีดีไหมเนี่ย

“เป่าให้แห้งไม่ได้เป่าให้หอม”

“เป่าให้หน่อยสิ”

“ไม่ จะนอน” จิณณ์แกล้งถอนใจเมื่อผมล้มตัวลงนอนอีกรอบ แล้วพอผมไม่ยอมทำให้พี่มันก็วางไดร์ทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ยอมเป่าเอง ปล่อยให้น้ำหยดแหมะ ๆ จากปลายผมอยู่นั่น ผมพลิกตัวหันหลังไปเจอตุ๊กตารูปลิงหน้าแป้นตัวหนึ่งก็คว้ามันมาตบต่อย ๆ แก้เบื่อ

“ไปทำมันทำไม มันเจ็บนะ”

“มันชื่ออะไรน่ะ”

“คุณ” ผมคิ้วกระตุกขณะที่อีกคนยิ้มชื่น

“ชื่ออะไรนะ”

“คุณภัทร”

“ลิงบ้านพี่สิชื่อคุณภัทร! แล้วชื่อผีตายในหลุมมีอีกเป็นร้อยเป็นพันทำไมไม่เอามาตั้ง เอาชื่อผมไปตั้งทำไม” จิณณ์ยักไหล่ ดึงเจ้าลิงน้อยไปจากมือผมแล้วก็จูบไปฟอดใหญ่ “ก็อยากให้ชื่อนี้”

“เปลี่ยนเดี๋ยวนี้”

“ไม่เปลี่ยน เออ เห็นดีวีดีที่วางอยู่ตรงนี้ไหม” เปลี่ยนเรื่องซะจนผมตามแทบไม่ทัน เห็นจิณณ์มองไปรอบ ๆ ก็เลยมองตาม ไม่เห็นจะมีอะไรที่พอจะระบุได้ว่าเป็นดีวีดีหรือใกล้เคียงดีวีดีเลย จิณณ์ว่าแล้วก็ลุกเข้าไปในห้องนอนแล้วก็ถือกล่องสี่เหลี่ยมบาง ๆ กลับมาด้วย ผมลุ้นแทบตายกลัวว่ามันจะเปลี่ยนใจเอาหนังเรื่องนั้นมาให้ดูจริง ๆ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่พอเห็นหน้ากล่องผมก็ถอนใจ โล่งอก

“ทำไม ผิดหวังหรือ”

“ผิดหวังบ้าอะไรล่ะ หนังเรื่องนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากฉากนั้นทั้งเรื่องแถมดูจนเวียนหัวก็ยังตีความสัญลักษณ์ในเรื่องได้ไม่หมด ถ้าพี่จะดูก็ดูคนเดียวเพราะผมไม่อยากดู”

“แล้วชอบฉากไหนที่สุดล่ะ”

“บนโต๊ะกินข้าว” ผมตอบแล้วก็ฟาดหมอนใส่ไอ้คนหลอกถามเต็มหลัง พอจิณณ์หัวเราะหนักเข้าผมก็พลอยหัวเราะตามมันไปด้วย จบเรื่องหนังเจ้าปัญหาไปได้จิณณ์ก็แกะหนังใหม่ออกมาเปิด ร่างสูงถอยมาอยู่ข้างผม จิณณ์หยิบหมอนใบใหญ่หลายใบมาซ้อนกันเอาไว้รองหลังและศอก ผมที่นอนราบไปกับเบาะเลยได้แต่เงยหน้ามองคางพี่มันตาปริบ ๆ หนังเริ่มเรื่องจิณณ์ก็กดรีโมทอะไรไม่รู้สองสามครั้งไฟในห้องก็ค่อยหรี่ลงจนเหลือแต่แสงสีอ่อนจาง ๆ

“โห อย่างกะโรงหนังส่วนตัว”

“จะได้รู้สึกเหมือนดูในโรงหนังอยู่ไง”

“โรงหนังที่ไหนเค้าจะให้นอนเหยียดแข้งเหยียดขาดูแบบนี้เล่า”

“ก็ที่นี่ไง มีของกินให้ด้วยนะ” เจ้าของห้องบอก หยิบข้าวโพดอบเนยที่ยังอุ่นอยู่ใส่ปากตัวเองแล้วก็เลยหยอดใส่ปากผมด้วย ผมขยับตัวให้นอนสบายขึ้น ตาก็จับจ้องที่ภาพหิมะขาวโพลนในจอก่อนจะยิ้มอย่างถูกใจเมื่อเห็นเจ้าไซบีเรียน ฮัสกี้กับอลาสกัน มาลามิวท์เจ็ดแปดตัวกำลังสลัดหิมะออกจากขนของตัวเอง

“เคยดูหรือยัง” จิณณ์ถามเสียงเบา คงตั้งใจไม่ให้แข่งกับเสียงหนังที่กำลังฉาย “ยัง ตอนเรื่องนี้กำลังฉายในโรงผมติดสอบเลยไม่ได้ไปดู เสียดายแทบแย่แน่ะ”

“ตอนนั้นฉันไปดู ชอบเลยซื้อมาเก็บไว้”

“ไปดูกับใครล่ะ”

“คนเดียว” จิณณ์บอก ผมช้อนตามองคนพูดเห็นหรอกน่าว่าแอบยิ้มอยู่น่ะ ว่าจะถามว่ายิ้มทำไมเสียหน่อยไอ้พี่จิณณ์ก็หยิบป็อบคอร์นใส่ปากผมเหมือนรู้ทัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองผมยิ้ม ๆ แล้วก็หันไปมองจอยักษ์ตรงหน้าต่อ ผมเริ่มทำใจกับการกระตุกยิ้มมุมปากของท่านแล้วล่ะครับ มองมุมต่ำก็ยังหล่อได้อีกนะมนุษย์เรา


หนังเรื่องนี้สนุกจริงอย่างที่จิณณ์ว่า ผมกำลังดูเจ้าพวกนั้นลากเลื่อนอยู่เพลิน ๆ จิณณ์ก็ลุกผละไปเล่นเอาผมหนาวเยือกเพิ่งรู้ว่าแอร์ทำงานได้ดีก็ตอนไม่มีเธออยู่นี่แหละ จิณณ์กลับมาพร้อมกล่องทิชชู่ลายการ์ตูนน่ารัก พี่มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะวางแหมะไว้ใกล้กับป็อบคอร์น

“เผื่อไว้ก่อน” ผมมองอย่างไม่ไว้ใจแล้วก็มาซึ้งเอาตอนที่เห็นฉากนางเอกขับเครื่องบินพาพระเอกออกจากขั้วโลกไปรักษาตัวในเมืองแล้วก็ล่ามเจ้าแปดตัวไว้ท่ามกลางพายุหิมะ แค่เห็นเจ้าพวกนั้นมันเห่าและตะเกียกตะกายจะตามพระเอกผมก็น้ำหูน้ำตาไหล เดาได้เลยว่าในอนาคตมันต้องมีฉากสะเทือนใจยิ่งกว่านี้แน่

จิณณ์ส่งทิชชู่ให้ผมทั้งที่ตายังมองจอนิ่ง ไอ้คุณชายมันใจหินขณะที่ผมน้ำตาไหลไม่หยุดไม่เห็นมันจะรู้สึกรู้สาอะไรนอกจากขยับท่าเอนหลังให้สบายขึ้น ผมยังกลั้นใจดูต่อไปแม้จะหลุดเสียงครางเบา ๆ ไปหลายครั้ง ยิ่งฉากที่เจ้าตัวโตหนึ่งในนั้นตกภูเขาหิมะตายแล้วเจ้าตัวเอกของเรื่องพยายามจะเรียกให้เดินตามฝูงผมยิ่งสะอื้นหนัก เสียงร้องงี้ด ๆ ของมันทำให้ผมไม่กล้าดูต่อต้องหลับตาหันหน้าเข้าหาคนข้าง ๆ เพื่อทำใจเป็นครู่

อะไรมันจะสะเทือนใจคนรักหมาได้แบบนี้วะ

จิณณ์ไม่พูดอะไรเป็นการขัดอารมณ์ พี่มันยังติดตามเรื่องราวในจอเหมือนไม่เคยดูมาก่อน มือข้างหนึ่งลูบหลังผมอีกข้างก็ลูบหน้าผากให้เบามือ ผมนิ่วหน้าแล้วก็ต้องครางฮือ แม่งกำลังกอดผมอยู่นี่หว่า

“ปล่อย” ผมบอกมันเสียงยังสั่นไม่หาย

“ทำไม”

“ดูหนังไม่ถนัด” จิณณ์ยกแขนออก ผมเลยพลิกตัวนอนหงายชักสงสัยว่าทำไมพี่มันไม่ยอมเอาหน้าไปห่าง ๆ เสียทีแล้วก็มาเข้าใจเมื่อขยับตัวอีกที อ้ออออ ผมนอนหนุนแขนอีกคนอยู่ ผมเลื่อนตัวลงต่ำแล้วก็เลยหันหน้าออกไปอีกทางที่ไม่ใช่หน้าหล่อ ๆ นั่น หนังเดินเรื่องมาถึงตอนที่ชวนให้ลุ้นตัวโก่งเมื่อเจ้าขนฟูทั้งฝูงที่เหลือต้องไปแย่งกินซากปลากับเจ้าตัวน่ากลัวที่เหมือนสิงโตทะเลหรืออะไรสักอย่าง ผมดูไปก็กลัวไป กลัวว่าจะมีเจ้าตัวไหนต้องตายไปอีกแล้วก็ต้องร้องโอ๊ยเมื่อ มายา จ่าฝูงโดนเจ้าตัวน่ากลัวนั่นงับเข้าที่ขาหลัง ตอนนี้ถึงจะรู้สึกว่ามีอะไรหนัก ๆ มาพาดที่เอวแล้วดึงเข้าไปใกล้ร่างอุ่น ๆ ด้านหลังผมก็ไม่สนใจแล้ว จะกอดก็กอดไปอย่าบดบังทัศนวิสัยของผมก็พอ

“มันจะมีใครตายอีกไหม” ผมถามเสียงเบา จิณณ์ไม่ตอบ

“จิณณ์”

“ดูไปเดี๋ยวก็รู้” คุณชายท่านตอบแบบไม่เต็มเสียงแล้วก็ผ่อนลมหายใจแรง ผมชำเลืองมองมันเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเอาแต่เงียบที่แท้จิณณ์ก็แอบเสียงสั่นเหมือนกันนั่นแหละ หมอนี่คงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาเลยทำเป็นเอาหน้ามาซุกไว้กับหัวผม ผมกลั้นใจเมื่อถูกรัดจนแผ่นหลังเบียดเข้ามาอกกว้างมากขึ้น เถอะ เห็นแก่คุณงามความดีที่เคยสร้างสมมาจะยอมให้เอาแต่ใจสักคืนก็ได้วะ
หนังจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้งและก็สวีทจี๋จ๋าน่ารักสมกับที่มีเจ้าตัวขนฟูร่วมฉากด้วย ผมนอนตัวแข็งแอบหวั่นว่าไอ้คนบางคนมันจะอินกับตอนจบจนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกที่ต้องคิสนางเอกปิดท้ายเหมือนในหนังหรือเปล่า เพราะฉะนั้นพอถูกรั้งไหล่ให้หันหน้าไปหา ผมเลยยัดเจ้าลิงหน้าแป้นใส่หน้าเจ้าของมันทันที


“ปวดฉี่~” ร้องบอกเสียงดังแล้วก็วิ่งหนีเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้ม ๆ ตามหลังมาก็พาลให้ใจสั่นจนเกือบจะยืนไม่อยู่ เกือบไปแล้ว เกือบหลงกลความหล่อนั่นแล้ว ออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งห้องทั้งห้องก็สว่างเหมือนเดิม ผมสูดน้ำมูกแรง ๆ อาการสะอื้นยังค้างอยู่ในจังหวะการหายใจผิดกับอีกคนที่นั่งโยนป็อบคอร์นเข้าปากเฉย ด้วยความสงสัยเลยเดินเข้าไปใกล้เว้นระยะห่างพอประมาณแต่ก็ไม่มากเกินกว่าที่จะสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเต็มตา

อื้อหือ หน้ายังซื่อตายังใส ผิวหน้าก็ยังเนียนขาว ผมแค่นยิ้ม จำได้ว่าเห็นตัวเองในกระจกเมื่อกี้ขอบตาผมยังบวมตุ่ย ปลายจมูกก็แดงจนเห็นได้ชัดซึ่งมันก็เป็นอาการปกติของคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาไม่ใช่หรือ แล้วไอ้คนที่นั่งยิ้มกินข้าวโพดอบแบบไร้ร่องรอยของน้ำตาเลยแบบนี้มันจะผิดปกติไปหน่อยไหม

“ทำไมมองแบบนั้น”

“พี่ไม่ได้ร้องไห้นี่” จิณณ์เลิกคิ้วนิด ๆ

“ก็ไม่ได้ร้อง ใครบอกว่าฉันร้องล่ะ” ไม่มีใครบอกแต่มันทำให้ผมคิด!

“แล้วไอ้อาการเสียงสั่นแถมยังทำเหมือนหายใจขัด ๆ แบบนั้นน่ะมันอะไร แถมยัง แถมยังเอาหน้ามาซุกหัวกันอีก พี่หลอกผมใช่ไหม” ผมเค้นเสียงใส่มันเพราะโมโหจนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอแต่จิณณ์ยังทำหน้าไม่เข้าใจ

“ทำไมฉันต้องหลอกนายด้วยล่ะ เรากำลังดูหนังกันอยู่แถมหนังก็ซึ้งซะขนาดนั้นมันก็ต้องมีเสียงสั่นกันบ้างแล้วที่ฉันไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนนายก็ต้องโกรธกันด้วยหรือคุณภัทร” ผมเถียงไม่ออก รู้แต่ว่าโกรธ โกรธมาก ๆ ไอ้คนเจ้าเล่ห์ มันบังอาจหลอกให้ผมคิดว่ามันกำลังร้องไห้เพราะอ่อนไหวไปกับหนัง หลอกให้ผมสงสารเห็นใจว่ารู้สึกเหมือนกันเลยยอมใจอ่อนให้มันกอดจนจบเรื่อง ผมรู้ว่าจิณณ์เดาออกว่าผมกำลังคิดอะไร มันถึงได้ทำหน้าซื่อแต่ตาพราวระยับแบบนั้น

แค้นนนนนน!

ผมจ้องเข้าไปในดวงตาดำจัดอย่างเคียดแค้น โกรธมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พูดอะไรออกไปก็จะพาลเข้าตัวอีกเลยได้แต่ฮึดฮัดจนโดนไอ้พี่บ้ามันหัวเราะใส่

“โกรธอะไร หิวหรือ”

“ไม่หิว ไม่อยากตายก็เอาหน้าไปไกล ๆ เลยไป” จิณณ์ยิ่งหัวเราะหนัก มันลุกขึ้นอย่างว่าง่าย บิดขี้เกียจล่อกำปั้นผมแล้วก็เดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป ผมได้แต่ฟาดเจ้าลิงกังในมือตุบ ๆ ฟ้าไม่ยุติธรรมเลย ทำไมคนอย่างคุณภัทรต้องมาโดนมันหลอกเอา ๆ แบบนี้ด้วย






“วันศุกร์หน้าว่างไหม” ผมเงยหน้ามองคนพูด ก้มหน้าคิดแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่ว่างหรือ” จิณณ์เหมือนจะผิดหวัง ผมรอให้เจ้าของห้องปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงเดินตรงไปที่ลิฟต์ ความจริงผมไม่มีธุระที่ไหนหรอกแต่ไม่อยากตอบเป็นคำพูดเลยส่ายหน้าแทนคำว่าไม่รู้ จิณณ์จะตีความเอาว่าไม่ว่างก็ตามใจ

“ยังไม่หายโกรธอีกหรือเนี่ย” ผมส่ายหน้า เดาเอาเองว่ายังไม่หายหรือไม่ได้โกรธแล้ว

“คุณ อย่าทำแบบนี้สิ ไม่พอใจอะไรก็บอกกันมาตรง ๆ”

“ไม่มีอะไร”

“แล้วทำไมทำหน้าบึ้งแบบนั้น ยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอีกหรือ”

“ไม่ได้โกรธ พี่ก็เลิกเซ้าซี้ซักทีเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะโว่ย ไม่ต้องมาง้อเสียงเล็กเสียงน้อย รำคาญ” จิณณ์ขมวดคิ้วฉับ เออ ตอนโกรธก็ยังหล่อในระดับใจสั่นได้อีกนะ ผมรีบเบือนหน้าหนี ความจริงก็ไม่ได้อยากงอแงกับมันหรอกแต่เพื่อเป้าหมายในใจผมต้องใจแข็ง อยู่ด้วยกันมาสองคืนเต็มไม่อยากจะบอกว่าผมเสียหายไปเท่าไหร่ ไอ้คุณชายมันคงไม่คิดอะไรทำหน้าตายเอะอะกอดเอะอะหอมอย่างกับผมเป็นลูกมันอยู่นั่น นิดหน่อยก็ยังพอทน ผมจะอนุมานเอาเองว่าจิณณ์คงโตมาในประเทศตะวันตก ไม่ก็ถูกพ่อกับแม่เลี้ยงมาแบบนั้นพี่มันเลยถนัดแสดงความรู้สึกทางการสัมผัส แต่ผมไม่ใช่ โอเคว่าแม่อาจจะกอดจะหอมเป็นประจำ พ่อก็ทุกครั้งที่กลับบ้าน แต่ไม่ใช่กับคนนอกครอบครัว ถูกทำอะไรแบบนั้นทีไรผมใจคอไม่ดีทุกที ไม่ใช่รู้สึกไม่ดีแต่ข้างในมันหวิวแปลก ๆ แถมบางครั้งยังเกิดอาการปัญญาอ่อน พูดไม่เป็นคำซะอย่างนั้น ผมคิดดูแล้วว่าไม่อยากจะให้มันลุกลามไปมากกว่านี้เลยตั้งใจไว้อย่างแน่นอนว่าจะให้อีกฝ่ายเลิกทำเรื่องถึงเนื้อถึงตัวให้ได้

“แล้วนายไม่พอใจอะไร”

“บอกไปแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา”

“ไม่บอกแล้วจะรู้ได้ยังไง คิดอะไรอยู่ก็บอกมาสิเผื่อฉันจะช่วยได้”

“พี่แน่ใจว่าพูดแล้วจะทำได้” ผมย้อนถาม เงยหน้ามองแล้วก็แกล้งหันหน้าหนี จิณณ์เดินมาดักหน้า ทำท่าจะแตะคางผมให้หันไปหาแต่ผมหลบทัน

“ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้อีก” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ

“แบบไหน?”

“ผมไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว ไม่ได้รังเกียจนะแต่มันไม่ชิน พี่เป็นผู้ชายผมก็เป็นผู้ชายแถมเรายังไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือที่จะมาจับมือถือแขน กอดกัน หอมแก้มกัน ทำอะไรแปลก ๆ ทีคนทั่วไปเค้าไม่ทำกันแบบนี้” จิณณ์ชะงักไปตั้งแต่ผมโพล่งประโยคแรกพ้นปาก จนผมพูดจบไปแล้วพี่มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะสาวความต่อจากนั้น ดวงตาคู่คมยังคงมองผมนิ่ง ปากแดงเม้มนิด ๆ เล่นเอาผมชักป๊อด หรือพี่มันจะคิดว่าผมตีต้นไปก่อนไข้วะ

“พี่เข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจ”

“โกรธหรือเปล่า”

“โกรธทำไม” จิณณ์สูดลมหายใจลึก วางของไว้เบาะหลังแล้วก็หันมาสนใจโทรศัพท์ต่อ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูทำแป๊ะอะไรตอนนี้ แต่จิณณ์ไม่สนใจมันกด ๆ ปิด ๆ อยู่แบบนั้นจนพอใจแล้วก็โยนเจ้าเครื่องเล็กราคาเกือบสี่หมื่นข้ามไหล่ไปหล่นตุบที่เบาะหลัง ผมได้แต่อ้าปากค้าง ตกลงโกรธผมใช่ไหมเนี่ย

“เฮ้ย ทำอะไรน่ะ” ผมยื่นมือไปแตะไหล่หนาแต่ไอ้คนดีกลับเบี่ยงตัวหนี เล่นเอาผมชะงักแทน “ฉันเข้าใจแล้วว่านายไม่ชอบให้ใครแตะตัว เอาเป็นว่าขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดีมาตั้งนาน วางใจได้ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบเดิมอีก”

“ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีแค่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ นี่ พี่อย่าโกรธสิ ถ้าพี่เข้าใจจริงอย่างที่พูดแล้วทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจด้วยล่ะ”

“ฉันรับรู้ว่านายไม่ชอบการสัมผัสแต่ไม่ยอมรับเหตุผลที่นายบอก การเป็นผู้ชายเหมือนกันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแย่เมื่อเราสัมผัสอีกฝ่าย ฉันไม่เคยเก็บเอาเหตุผลงี่เง่าข้อนั้นมาคิด ถ้าจะกอดก็หมายความว่าฉันอยากกอด ฉันทำแล้วรู้สึกดี เหตุผลอื่นฉันไม่สนใจ แต่ถ้าการกระทำแบบนั้นมันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกันฉันก็จะหยุด อย่างที่นายต้องการ”


ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองตอบไปว่าอย่างไร รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ยืนมองท้ายรถคันใหญ่ลับหายไปจากเนินถนน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถจะเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาจากลำคอได้ กล่องเสียงเหมือนจะตื้อและตันจนร้าวไปหมด ผมพาร่างของตัวเองเข้าบ้าน โชคดีที่ไม่มีใครอยู่เลยไม่ต้องตอบคำถามของแม่หรือน้องชายในเวลานี้ ถึงห้องได้ก็ทิ้งทุกอย่างจากมือ ล้มตัวลงนอนด้วยใจที่เหนื่อยล้าแสนสาหัส แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจอย่างที่ควรเป็น ผมเป็นคนต้องการให้จิณณ์ทำแบบนี้เอง เพราะรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ เลยไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากเกินไป พอบอกออกไปแล้วฝ่ายนั้นเข้าใจและยอมถอยไปง่าย ๆ ผมกลับไม่ได้โล่งใจอย่างที่นึก

ตรงกันข้าม

ใจผมมันหน่วงหนักเหมือนมีหมอกคลุมอยู่เต็มไปหมด มองอะไรไม่เห็น แม้แต่จะหายใจยังลำบาก อึดอัดจนอยากระบายออกมาสักทาง สุดท้ายผมก็ได้แต่หลับตา ปล่อยน้ำหยดใสไหลไปเรื่อย ๆ ไม่เช็ดออก ไม่สะอื้น ไม่คร่ำครวญ
ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร


โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:



 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด