ตอนที่ ๑๑ ผู้แต่ง :: FANISMZการเตรียมเสบียงของเราสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ผมเค้นคอพี่มันถามจนได้คำยืนยันที่แน่นอนแล้วว่าหนังที่เราจะดูนั้นไม่ใช่ไอ้เรื่องลาบงลาแบลอะไรที่มันแกล้งล้อผมเล่นแน่ ๆ นึกแล้วก็อยากฟันศอกใส่หน้าหล่อ ๆ นั่นนัก พวกคุณไม่เห็นสีหน้าผมตอนนั้นแต่ไอ้บ้าข้าง ๆ ผมนี่มันเห็นเต็มตาเพราะพอพูดจบมันก็หัวเราะลั่น หลุดมาดคุณชายก่อนจะทรุดลงนั่งกุมท้องหัวเราะเหมือนโดนพ่อแม่ห้ามหัวเราะมาทั้งชีวิตอย่างนั้น
ผมเกือบหวดหน้าแข้งรักษาอาการขำให้แล้วแต่ติดว่าผมอาจจะต้องพึ่งพิงมันอีกหลายงานเลยอดใจไว้ ก้าวฉับ ๆ เข้ามาด้านในโดยมีไอ้คนตัวสูงเดินยิ้มกริ่มตามมาไม่ห่าง เวลาแก้แค้นของผมมาถึงแล้ว ขวามือผมเป็นกองตะกร้าที่วางซ้อนกันไว้ ผมดึงขึ้นมาใบหนึ่งแล้วก็ยัดใส่มือเบ๊ประจำตัวแบบห้ามไม่ให้มีการปฏิเสธ
“ทำไมซื้อแต่ของขบเคี้ยว เลือกของที่มันมีประโยชน์กับร่างกายหน่อยสิ ขนมพวกนี้มันมีโมโนโซเดียมกลูตาเมทสูงนะ” คนที่ถือตะกร้าตามผมต้อย ๆ บ่นอุบ คราวนี้องค์คุณหมอลงครับ
“ของพวกนี้ก็มีประโยชน์ กินแล้วอิ่มท้อง ท้องอิ่มก็อารมณ์ดี อารมณ์ดีก็ส่งผลถึงสภาพจิตใจด้วย อารมณ์ดีจิตใจดีจะทำให้ไม่ขี้บ่น ประโยชน์เท่านี้พอหรือยัง”
“ว่าใครขี้บ่น”
“ไม่ได้ว่าใคร อยากรับก็หยิบใส่ตะกร้าไปสิ” คุณหมอท่านฟังแล้วก็ตบเท้าอ้อมมาขวางทาง อ้อ หน้านิ่งแล้วครับงานนี้ “สงสัย ฉันคงกำลังหลอกตัวเองว่าเป็นห่วงนายอยู่แน่ ๆ”
โฮะ!
“ขนาดนายยังไม่ห่วงตัวเองแล้วฉันที่เป็นคนอื่นจะไปห่วงนายได้ยังไง” พูดเสร็จก็เดินลอยชายไปที่อื่น ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่กับเสียงหัวเราะคิกคักของคุณป้าแม่บ้านแถวนั้น ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบ ทำคนอื่นอายแล้วยังหน้าด้านลอยหน้าลอยตาไปเลือกซื้อของได้อีกเรอะ!
“เชื่อพี่เค้าเถอะพ่อหนู พี่เค้าพูดก็ถูกนะ ของพวกนี้กินมากเกินไปมันก็ไม่ดีกับไตนะลูก” ครับ ขอบคุณครับ
“ใช่ เค้าเป็นห่วงถึงเตือน น่ารักจังเนาะเธอ” ครับ แล้วผมจะบอกพี่เค้าให้นะครับ
“นั่นสิ เห็นแล้วอิจฉาเด็ก คิ ๆ ๆ” ไม่ต้องงงง ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรให้อิจฉา ป้าอย่าไปไกล ผมยิ้มหวานส่งให้คุณป้าทั้งสองแล้วก็วางถุงมันฝรั่งทอดกลับเข้าที่เดิม หึ ๆ ขอบคุณสำหรับความเห็นครับ ขอบคุณด้วยหัวใจ ผมจะนำไปปรับปรุงการดำเนินชีวิตต่อไปครับ
กวาดตามองหาเป้าหมายได้ผมก็เดินตรงเข้าไปหา จิณณ์กำลังยืนสนทนากับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ท่าทางกำลังออกรสได้ที่ ผมยืนมองแค่ไม่กี่วินาทีก็ยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปซุกหน้ากับแผ่นหลังมันแบบไม่ให้ตั้งตัว การปรากฏตัวของผมส่งผลให้เสียงหัวเราะเมื่อกี้เงียบกริบลงทันที!
“อยากกลับบ้านแล้ว” ผมบอกอู้อี้กับแผ่นหลังกว้างก่อนจะดึงตะกร้าในมือมันมาดูเหมือนมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นแถวนั้น
“พี่เลือกของเสร็จหรือยังอ่ะ” คิ้วคมย่นนิด ๆ แต่จิณณ์ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอาการประหลาดของผม ไอ้หล่อมันแย่งตะกร้าไปถือแล้วก็ขยับออกห่างผมเสียก้าวหนึ่ง
“เรียบร้อยแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกไหมล่ะ” ผมทำเป็นมองไม่เห็นว่าอีกคนพยายามจะถอย งานนี้พี่มันทำให้ผมอายคุณป้าสองคนนั้นได้ผมก็ทำให้มันอายสาว ๆ ได้เหมือนกัน ทุกคนเลยได้เห็นผมทำหน้าเง้า ยกมือสีตาด้วยท่าทางน่ารักเต็มที่ มึ้งงงง เล่นกะใครไม่เล่น พ่อจะเอาให้มีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ได้อีกเลย
“ฮึ! เราง่วงนอนแล้วอ่ะ”
“ไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่รู้” สบายดีแต่ตอนนี้อยากแกล้งคน มีอะไรไหมมมม
“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรไปได้” จิณณ์หันไปบอกกลุ่มนั้นยิ้ม ๆ แล้วพี่มันก็ถือโอกาสโอบผมออกมา ผมหันไปมองข้างหลังแล้วก็เงยมองคนข้างตัว ตกลงผู้หญิงพวกนั้นเป็นใคร ทำไมจิณณ์ถึงให้โทรไปหาได้ เอ๊ะ หรือไอ้หล่อมันจะแอบแจกเบอร์สาวไปโดยที่ผมไม่ทันเห็น
“พวกนั้นเป็นใครน่ะ” ผมถามพร้อมกับหนีบเอามือใหญ่ออกจากไหล่ จิณณ์ทำเสียงหึในคอ วางตะกร้าให้แคชเชียร์แล้วจึงตอบข้อสงสัยของผมพร้อมรอยยิ้มเย็น
“เพื่อนที่คณะ”
“เพื่อน!”
“ใช่ พอใจหรือยัง ได้เปิดตัวไปแบบนั้น”
“เพื่อนยังไง? เพื่อนแบบเพื่อนจริง ๆ เพื่อนที่ไม่มีอะไรในกอไผ่อย่างนั้นหรือ” ซวยหมาแล้ว ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ “พวกนั้นเรียนสถาปัตย์ปีเดียวกับฉัน เป็นรุ่นพี่นายทั้งหมดนั่นแหละ ไม่คุ้นหน้าเลยหรือคุณภัทร”
“...แล้ว...แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม!”
“จะให้บอกตอนไหนล่ะ ไปถึงก็อ้อนเอา ๆ ฉันจะสนใจเรื่องอะไรได้อีก” ผมพูดไม่ออก ในหัวนึกภาพตัวเองกำลังลงไปนอนกลิ้งทึ้งผมตัวเองอย่างไร้สติ อีเหี้ยยยยยยยยยย พวกนั้นเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แล้วที่ผมทำไปเมื่อกี้ ภาพตัวเองเกาะแขนเกาะขาอ้อนไอ้พี่จิณณ์เหมือนเบบี้บอยระดับชาติฉายซ้ำเข้ามาในหัวทีละช็อต ทีละช็อต น่าอายไหมคุณภัทร นัวเนียไปขนาดนั้นพวกพี่เค้าจะคิดยังไง หมด...หมดกันชื่อเสียงที่สั่งสมมา พรุ่งนี้ข่าวผมเป็นเด็กในคอนโทรลไอ้หล่อไม่กระฉ่อนไปทั่วสถาปัตย์เลยหรือเนี่ย ผมครางเสียงอ่อย มองหน้าตัวต้นเหตุแล้วก็ฉุนกึก
“ไม่ต้องมายิ้มเพราะพี่นั่นแหละพลอยทำให้ผมซวยไปด้วยเลย”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ก็พี่...ไม่รู้ล่ะ เพราะพี่นั่นแหละ พี่คนเดียว แม่ง ซวยฉิบ...” คำสุดท้ายผมอุบอิบในคอเพราะไอ้คนที่กำลังส่งแบล็คการ์ดให้แคชเชียร์มันปรายตามองมาก่อนผมจะทันหลุดออกคำสรรเสริญกันให้ชื่นใจ ไม่น่าเลยผม จะแกล้งมันคืนดันไม่ดูหน้าดูหลังแทนที่จะได้หัวเราะสะใจอย่างมาดแมนกลับต้องมานั่งคร่ำครวญ ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ ๆ
ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้าน ไม่ได้โกรธจิณณ์จริงจังหรอกออกแนวเซ็งความเซ่อซ่าของตัวเองมากกว่า พอเริ่มทำใจได้จิณณ์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าบ้านผมพอดี ผมหันไปมองหน้าคนขับแบบไม่เข้าใจ ก็ไหนพี่มันบอกจะให้ผมไปดูหนังเป็นเพื่อนพอผมตกลงใจแล้วทำไมถึงพาผมมาส่งบ้านหน้าตาเฉยหรือจิณณ์จะโกรธที่ผมทำให้เพื่อนกลุ่มนั้นเข้าใจผิด
“เป็นอะไร”
“เปล่า ขอบคุณที่มาส่ง” ผมบอกเสียงแผ่ว ความรู้สึกไม่สบายใจแล่นพล่านไปทั้งเนื้อทั้งตัวเมื่อคิดว่ากำลังทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ พอผมหันไปค้นเอาข้าวของที่เบาะหลังจิณณ์ก็คว้าแขนผมหมับ
“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครมาส่งนาย”
“พี่ไง”
“เป็นอะไร อยู่ ๆ ก็ซึม ใครทำอะไรให้ไม่พอใจหรือ” ไม่มีใคร ผมทำตัวผมเองพอใจหรือยัง ทำตัวเองเซ็งแล้วยังไม่พอยังมาโดนเมินอีก มันใจเสียนะโว้ย ผมไม่ตอบจิณณ์ก็ไม่บังคับ มืออุ่นรั้งแขนผมให้นั่งลงที่เดิมแถมยังทำท่าจะเสยผมให้อีกรายการ ผมหันหน้าหนี ยกมือกั้นสัมผัสอ่อนโยนไว้ก่อนฮอร์โมนสาวน้อยในตัวจะทำงานหนักกว่าเดิม
“เครียดเรื่องเพื่อนฉันหรือ” ผมส่ายหน้าแต่จิณณ์ไม่ยอมเชื่อ “อย่าเครียดเลย พวกนั้นไม่เอาไปพูดหรอก กลุ่มนี้ไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ฉันรับรองได้ แต่ถ้านายยังไม่สบายใจเดี๋ยวฉันจัดการให้”
“จัดการยังไง” จิณณ์ยิ้มบาง
“ก็บอกพวกเค้าไปตามตรงว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน แล้วที่เห็นน่ะก็เป็นเพราะนายต้องการจะแกล้งฉัน โอเคไหม”
“ถ้าพวกเค้ายอมเชื่อมันก็โอเค”
“โอเคสิ ถ้าสบายใจแล้วก็ลงไปได้ เดี๋ยวจะดึกเกิน” ผมแทบสะอึก คุยกันจนเข้าใจแล้วมันยังจะให้ผมลงอีกหรือ ตกลงพี่จิณณ์ทำให้ผมหายเคืองแต่ตัวมันยังไม่หายใช่ไหม ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยเอื้อมมือไปคว้าเป้เป็นรอบที่สองแต่จิณณ์ก็รั้งแขนผมไว้เป็นครั้งที่สอง
“จะเอาเป้ลงไปทำไม”
“ถ้าไม่เอาไปจะทิ้งไว้ให้รกรถพี่หรือไงล่ะ”
“แค่ลงไปเอาเสื้อผ้าจะเอาลงไปด้วยทำไม” ผมชะงัก หันมามองหน้าคนพูดช้า ๆ เมื่อกี้ว่าไงนะ “หรือนายจะใส่เสื้อผ้าฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นไปเอา”
ผมเกาหัวแกรก กลอกตาไปมาก่อนจะหัวเราะออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ เปิดประตูลงรถเป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องชายตัวแสบเดินออกมาดูหน้าบ้านพอดี เจ้าคีย์ทำหน้าสงสัยพอเห็นจิณณ์เดินตามผมเข้าไปด้วยมันก็หัวเราะขลุกขลักในคอ ทักทายแขกด้วยท่าทางที่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ผลุบหายเข้าไปในบ้าน พอผมโผล่หน้าเข้าไปแม่ก็ตรงรี่เข้ามาหาจับผมหอมแก้มซ้ายขวา ไม่ได้ดูสักนิดว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากคนในครอบครัวตามหลังผมมาด้วย
“คิดถึงจังลูก ทำไมวันนี้กลับค่ำ” ลืมบอกไปว่าแม่เค้าไปเที่ยวกับพ่อมาหลายวัน ผมยื่นหน้าให้แม่จูบจนพอใจแล้วจึงหันไปมองคนที่มาด้วยกันพลอยให้แม่ต้องมองตาม
“อุ้ย เพื่อนพี่คุณหรือจ๊ะ”
“สวัสดีครับ ผมจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ครับ” มารยาทงาม รูปงาม นามไพเราะ ไม่ต้องบอกว่าพี่มันจะโกยคะแนนจากแม่ผมไปแบบท่วมท้นแค่ไหน คุณนายทิพปภายิ้มหวาน
“สวัสดีจ้ะ พี่คุณจะพาเพื่อนมาค้างบ้านหรือลูก งั้นเดี๋ยวแม่ไปเตรียมที่นอนให้นะ”
“ไม่ใช่ครับแม่ คืนนี้ผมจะไปนอนบ้านพี่จิณณ์ นัดกันไว้ว่าจะดูหนังด้วยกัน” พอได้ยินผมบอกอย่างนั้นไอ้น้องตัวแสบที่นั่งอยู่หน้าทีวีก็หัวเราะก๊ากออกมาอีกรอบ มันยักคิ้วใส่ผมแล้วก็หันไปหัวเราะคึก ๆ กับภาพในจอต่อ แหม ไม่ได้ใกล้ชิดกันแค่ไม่กี่วันทำตัวอ้อนตีนขึ้นเยอะเลยน้องรัก
“พ่อล่ะครับ”
“ยังไม่กลับลูก มาถึงก็ออกไปบริษัทเลย”
“งั้นผมขึ้นไปเอาเสื้อผ้านะครับ พี่จะ...ขึ้นไปด้วยกันไหม...” ตอนแรกผมนึกว่าจิณณ์จะรีบตามขึ้นไปด้วยแต่ปรากฏว่าไม่ ไอ้คุณชายมันยิ้ม ตอบเสียงอ่อนเสียจนผมขนลุกซู่
“ไปเถอะ ฉันขออยู่คุยกับคุณน้าก็แล้วกัน ได้ไหมครับ” แหมะ โดนลูกอ้อนคนหล่อไปขนาดนั้นไม่ได้ก็แย่แล้ว ผมทิ้งให้จิณณ์อยู่กับแม่และคีย์ไม่ถึงสิบนาทีก็รีบวิ่งลงมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบเก่ง พอเห็นผมคีย์มันก็พยักเพยิดให้แม่หันมามอง บอกด้วยเสียงไม่เบานัก
“คราวนี้แม่เชื่อหรือยัง”
“น้องคีย์ก็พูดไปเดี๋ยวก็โดนดีหรอก”
“ก็ผมบอกแม่แล้ว ใช่ไหมพี่จิณณ์” จิณณ์มันยิ้มอย่างเดียว ผมมองคนนั้นคนนี้แต่ไม่มีใครให้ความกระจ่างในหัวข้อที่กำลังพูดกับผมสักคน แม่มองหน้าผม มองหน้าจิณณ์แล้วก็หันมามองผมอีก
“มีอะไรครับแม่”
“พี่คุณเป็นแฟนกับพี่จิณณ์หรือลูก” พรวด! น้ำหวานที่ผมเพิ่งแย่งมาจากมือเจ้าคีย์พุ่งพรวดใส่หน้าเจ้าของเดิมของมันแบบยั้งไม่อยู่ ผมไม่สนใจน้องชายที่ร้องเหมือนโดนน้ำกรดสาด ตวัดตามองหน้าหล่อ ๆ ของไอ้คุณชายทันที ใครมันปากหมาบอกแม่ไปงั้นวะ!
“ฉันไม่ได้พูดอะไร”
“แล้วเมื่อกี้แม่พูดอะไร”
“แหม ก็แม่อยากรู้ ปกติพี่คุณไม่ค่อยไปนอนค้างนอกบ้านแถมช่วงนี้ก็ไปบ้านพี่จิณณ์บ่อย ๆ พอน้องคีย์พูดแม่ก็คิดสิลูก” อ้อ ผมลืมบอกไปอีกอย่าง สาววายครับ แม่ผมเป็นสาววายเต็มขั้น ตั้งแต่ผมโตมาเห็นลูกชายตัวขาวปากแดงเอวบางร่างเล็กเข้าหน่อยแม่ชอบลืมตัวว่าหน้าตาผมมันเน้นไปทางหล่อมากกว่าสวย ชอบคิดอะไรเป็นการ์ตูนแบบไม่ห่วงอนาคตของตระกูลปัทมวรกุลเลย
“ผมไปนอนบ้านพี่มันแค่สองครั้งเองนะแล้วก็ไปเพราะเรื่องงานด้วย”
“อ้าว ตกลงไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกหรือคะ”
“ไม่ได้เป็นครับ” ผมตัดบทแบบไม่เหลือเยื่อใย วันนี้มันอะไรเนี่ย เริ่มจากเพื่อนรักสองคนที่เปิดทางให้เสียจนน่าเกลียด คุณป้าผู้หวังดีในฟู้ดแลนด์ กลับมาบ้านยังมาเจอแม่กับน้องชายถามเรื่องแปลก ๆ ให้อีก ผมเข้าใจนะว่าประเทศเราให้อิสระกับการเลือกคู่ครองมานาน ไม่ว่าชายหญิง ชายชาย หญิงชาย มันก็เป็นเรื่องปกติเสียแล้วในบ้านเมืองนี้แต่ผมน่ะ นายคุณภัทร ปัทมวรกุล เคยมีสักครั้งหรือที่ผมประกาศตัวเองว่าชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่เคย ผมแมนมาตลอด ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่จำความได้ แม่กับน้องชายมาด่วนฟันธงตัดสินอนาคตของผมแบบนี้ได้ไง
“เราเป็นเพื่อนกันน่ะครับ คุณภัทรเขา...ไม่ได้ชอบผมแบบนั้น” พอเจ้าตัวยืนยันอย่างนั้นคุณนายทิพปภาก็พยักหน้ารับซื่อ ๆ ดูจากแววตาแล้วคาดว่าเธอคงแอบหวังในตัวคุณชายรูปงามอยู่ไม่น้อย ผมชำเลืองมองจิณณ์ พี่มันก็ชำเลืองมองมาแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวจริง ๆ
เออ งอนกูอีก
จิณณ์เอ่ยลาครอบครัวผมแล้วก็ฉวยเอาเป้ไปช่วยถือ มืออีกข้างมันจับข้อมือผมลากออกมาจากบ้านโดยที่ผมเองก็ไม่กล้าจะสะบัดต่อหน้าแม่กับน้อง ได้แต่มองตามแผ่นหลังคนตัวสูงอย่างสับสน ใครก็ได้บอกผมหน่อยว่าไอ้พี่จิณณ์มันเป็นด๋อยอะไรไปอีก
บรรยากาศขาไปบ้านจิณณ์ผิดกับตอนที่เราออกมาจากร้านสะดวกซื้อราวฟ้ากับเหว พ่อคนดีของแม่ผมมันเก็บปากเก็บคำเงียบ ไม่ชวนคุย ไม่ยิ้มให้เหมือนโดนผีปิดปากไว้ ผมเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยไม่ได้ถามไถ่ปล่อยมันเงียบจนถอยรถเข้าจอดเรียบร้อย
รถจอด จิณณ์ดับเครื่อง เราสองคนเงียบ
ถ้าถามถึงความรู้สึกผมตอนนี้ ถ้าเป็นทุกทีผมคงหงุดหงิดใจที่พี่จิณณ์มันทำตัวงี่เง่าให้ผมอารมณ์เสียแต่คราวนี้มันแปลกไป ผมบอกไม่ได้เต็มปากว่าผมกำลังขุ่นใจเพราะอีกฝ่าย ตรงกันข้าม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งทำเรื่องไม่ดีมายังไงไม่รู้ มันไม่สบายใจมาตั้งแต่ได้ยินเสียงจิณณ์แก้ต่างกับแม่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ไอ้ความรู้สึกอึดอัดในใจมันก็ยังไม่ยอมหายไป ผมเป็นอะไรไปแล้ว
“จิณณ์” จิณณ์หันมามองผม เลิกคิ้วนิด ๆ
“พี่โกรธผมหรือเปล่า”
“โกรธเรื่องอะไร” เอาใหม่ เปลี่ยนคำถามให้มันเข้าท่าหน่อยดีกว่า
“ผมทำให้พี่รู้สึกไม่ดีหรือเปล่า” จิณณ์นิ่งคิด กลอกตามองนอกรถ มองพวงมาลัย มองรถคันอื่น มันมองแม่งทุกอย่างตอนที่กำลังหาคำตอบให้ผม อย่างเดียวที่ไม่มองคือหน้าคนถาม ผมขยับตัวหันหน้าไปมองบ้าง คราวนี้จิณณ์ถอนใจยาว
“ฉันรู้สึกไม่ดีเพราะตัวฉันเอง”
“ทำไม ไปทำอะไรมา”
“เพราะฉันคาดหวังมากเกินไป พอลืมตามองความจริงแล้วรู้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฉันเลยเสียใจ” ตรงมาก ซื่อตรงอย่างที่สุด รู้สึกอย่างไรเล่นบอกแบบไม่มีกั๊ก ผมได้แต่เก็บคำเงียบ จิณณ์ไม่ได้บอกหรอกว่าเขาคาดหวังกับเรื่องอะไรถึงทำให้เสียใจมากขนาดนี้ แต่บางทีนะ บางทีผมอาจเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยก็ได้
“บางที สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงอย่างที่สุดก็ได้”
“หมายความว่าไง”
“ไม่รู้อ่ะ” อย่าให้ขยายความเลย
“คุณภัทร” มืออุ่นคว้าข้อมือผมหมับแต่ผมก็ดึงกลับทันทีเหมือนกัน เรื่องอะไรจะยอมให้ได้ใจกันง่าย ๆ จิณณ์มองผมเหมือนไม่คิดจะทำอะไรต่ออีกแล้วในชาตินี้ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอก ผมเปิดประตูออกมายืนรอข้างนอก เคาะรถเร่งให้พี่มันรีบตามลงมาจะได้ดูหนังกันเสียที
“เอาของหลังรถลงไปด้วยไหม” หมายถึงหนังสือกับแฟ้มของผม
“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้ใช้อะไรนี่”
“คุณมาถือการ์ดกับกุญแจหน่อย ฉันจะถือเสบียงพวกนี้” เสบียงที่ช่วยกันขนออกมาจากร้านตอนเลือกเหมือนหยิบมาแค่สองสามอย่าง ตอนจ่ายเงินก็ไม่ได้สังเกตแถมตอนขนขึ้นรถจิณณ์ก็จัดการเองหมด มารู้ว่ามันเยอะจนต้องหิ้วเต็มสองมือก็ตอนที่เห็นอีกคนเปิดท้ายรถนี่แหละ
“จะกินหมดไหมเนี่ย”
“กินไม่หมดก็เก็บไว้กินคราวหน้า มันไม่เสียหรอก”
“คราวไหนอีกล่ะ ใกล้จะสอบแล้ว กว่าจะได้มาคงอีกนาน” จิณณ์ยกมุมปากยิ้ม มองตัวเลขในลิฟต์แล้วก็เสนอทางออกด้วยวิธีที่เบสิกที่สุดในโลก “งั้นคราวนี้ก็อยู่นาน ๆ เลยแล้วกัน กินของที่ซื้อมาให้หมด ไม่หมดก็ไม่ต้องกลับ”
และแล้วคุณชายจิณณ์ก็กลับมาอารมณ์ดีในที่สุด น่าแปลกที่คำพูดของผมแค่ไม่กี่คำมีผลกับอีกคนมากขนาดนี้ ต่อไปนี้จะพูดอะไรสงสัยผมจะต้องระวังเสียหน่อยแล้ว ไม่อยากมานั่งรู้สึกผิดแล้วก็ต้องง้อให้ใครได้ใจแบบนี้อีก ผมเข้าห้องได้ก็ตรงรี่เข้าไปในครัวลากเก้าอี้มานั่งเท้าคางมองเจ้าถิ่นรื้อของออกจากถุงทีละใบ ทีละใบ อีกไม่กี่นาทีผมก็จะได้นอนกินของอร่อย ๆ มีความสุขดีแท้ จิณณ์หยิบของออกจากถุงไปก็ชำเลืองมองผมไป
“มองอะไร”
“ทำไม มองไม่ได้หรือไง” โห คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าพี่มันแอบค่อนความขี้เกียจของผมอยู่
“มองมากเดี๋ยวเก็บตังค์นะเว่ย”
“พูดไม่เพราะเลย”
“พี่จ๋า ถ้าพี่มองมาก หนูขอเก็บตังค์ค่ามองนะจ๊ะ” เอียงคอไปทางซ้ายสักนิด ลากเสียงให้มันน่ารักน่าเอ็นดูสักหน่อย ถึงจะทุเรศตัวเองอยู่บ้างแต่ก็คุ้มที่ทำให้จิณณ์เงียบปากลงไปได้ หมอนั่นยัดของกินที่ซื้อมาเข้าเก็บในตู้ แยกของแห้งเอาไว้ข้างนอกแล้วก็ทำหน้าตกใจเสียจนผมตกใจตาม
“อะไร?” จิณณ์ไม่ตอบหันไปเทน้ำเย็นใส่แก้วแล้วก็เอามาวางให้
“ขอโทษที มัวแต่จัดของ”
“โธ่ แล้วก็ทำหน้าซะตกใจ นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก”
“ก็กลัวว่าจะหิวน้ำ เห็นพูดไม่หยุดมาตลอดทาง” ผมมองตาขวาง ไม่อยากจะเถียงเดี๋ยวจะหาว่าผมพูดมากอีกเลยซดน้ำเป็นการระงับใจตัวเอง คราวนี้ถือว่าพี่มันพูดเพราะเป็นห่วง ผมจะยกประโยชน์ให้จำเลยไป จิณณ์จัดของเรียบร้อยแล้วก็หันมาถามผม
“จะอาบน้ำเลยไหม” ยังกะโรงเรียนอนุบาลเล่นมาเหนื่อย ๆ ก็ให้อาบน้ำนอน
“ยังไม่อยากอาบตอนนี้อ่ะ ค่อยอาบหลังกินข้าวได้ไหม”
“อาบก่อนดีกว่าจะได้สบายตัว” วะ แล้วพี่จะถามความเห็นผมทำแป๊ะอะไร
“แต่ผมหิวแล้ว”
“เพิ่งไปกินกับแกล้มกับพวกวาไม่ใช่หรือไง” อุตส่าห์เอาเรื่องท้องไส้มาอ้างก็ยังดันรู้ทันอีก พอผมทำท่าจะเถียงพี่มันก็ก้าวออกไปจากห้องครัว หายไปในห้องนอน กลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูและเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้ม จิณณ์ยื่นให้ผมที่ตอนนี้ย้ายตัวเองมานอนแผ่อยู่ตรงพื้นหน้าทีวีจอยักษ์
“ไปอาบน้ำก่อน”
“อีกสิบนาทีได้ไหม”
“ไม่ได้”
“ผมยังไม่หายเหนื่อยเลย”
“เพิ่งกลับมาจากข้างนอกจะมานอนได้ยังไง สกปรก” จิณณ์พูดถูกทุกอย่างผมไม่เถียงแต่ก็เล่นวิธีดื้อเงียบ นอนนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่เจ้าของห้องพูด วินาทีต่อมาเลยโดนยักษ์ใหญ่ลากไปทิ้งไว้ในห้องน้ำพร้อมผ้าสีน้ำตาลกองหนึ่ง
“เดี๋ยวจะออกไปเตรียมของกินไว้ให้ นายอาบน้ำเสร็จก็พอดีได้กิน”
“เผด็จการ!”
“พูดง่าย ๆ จะได้โตไว ๆ” มันยิ้มบอก ดึงเอาผ้าขนหนูกับเสื้อคลุมไปแขวนไว้ให้เสร็จสรรพ โดนมัดมือชกขนาดนี้แล้วผมก็ขี้เกียจจะทำตัวไร้สาระกับคุณชายมันอีก มากไปก็ไม่ดีเดี๋ยวจิณณ์จะหาว่าผมปัญญาอ่อน อีกอย่างถึงจะดื้อหัวชนกำแพงยังไงสุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้หน้าหล่อ ๆ ของมันอยู่ดี เก็บแรงไว้ป้องกันตัวคืนนี้ดีกว่า
“พี่เปิดน้ำให้หน่อย” จิณณ์ยิ้มเหมือนเป็นรางวัลให้เด็กที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ เขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วก็เริ่มสอนผมใช้อ่างน้ำวนนั้นอีกครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป ((ทำไมไม่ให้พี่จิณณ์อาบน้ำให้เลยล่ะคะพี่น้องคุณ))