ตอนที่ ๒๑ ผู้แต่ง :: FANISMZเรากลับบ้านตอนเที่ยงของวันต่อมา
จิณณ์ปลุกผมขึ้นมากินข้าวเช้าตั้งแต่ไก่โห่ ล่ำลาพี่ปริมและบรรดาคนที่เคยคุ้นหน้าในระหว่างทริปยังไม่ทันเสร็จ พอเห็นตัวสูง ๆ ของพี่ชาเดินโผล่มาจากซุ้มไม้ใบเขียวแถวนั้น ไอ้พี่จิณณ์มันก็ทำท่าจะลากคอผมขึ้นรถตู้ของรีสอร์ทแบบไม่ฟังเสียงใครหน้าไหน
“เดี๋ยว ๆ ๆ ขอไปลาพี่ชาก่อน”
“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวก็ต้องเจอกันที่กรุงเทพอยู่ดี”
“แล้วถ้าเกิดไม่เจอล่ะ”
“ก็ดี” มันตอบเสียงนุ่มพร้อมยิ้มบาง ๆ ในหน้า อย่า อย่าคิดว่ามาแบบหล่อซอฟท์แล้วพี่คุณจะใจอ่อน ผมดันหน้ามันออกทั้งที่มือไม้อ่อนยวบ เดินเป๋ ๆ กลับไปหาพี่ชาแบบคนสติไม่เต็มนัก รายนี้ก็หล่อบรรลัยโลกไม่แพ้กัน เห็นหน้าผมก็ฉีกยิ้มยิงฟันส่งมาให้เล่นเอารังสีอำมหิตจากด้านหลังแผ่ซ่านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ผมยิ้มให้เขา เรายิ้มให้กันแต่บางคนมันดันไม่ยอมยิ้มด้วย
“หายดีแล้วหรือเรา”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ ผมต้องกลับวันนี้แล้ว ถ้ายังไงเราค่อยเจอกันที่กรุงเทพนะครับ”
“อืม เดินทางดี ๆ นะ ถ้ากลับไปแล้วพี่จะโทรหา”
“ครับ ผมไปนะ” การไซโคของคุณชายจิณณ์ได้ผลดีสุดยอด แค่มันมายืนกอดอก ยิ้มจาง ๆ อยู่ข้างผมก็ส่งผลให้เราสองคนต้องรีบรวบรัดตัดความบทสนทนากันแบบไม่ให้เสี่ยงชีวิตกันต่อ ผมยึดเอาเบาะแถวแรกของที่นั่งผู้โดยสารในรถตู้แต่เพราะมีแค่เราสองคนจิณณ์เลยบอกแกมสั่งให้ผมตามไปนั่งถัดไปอีกแถวหนึ่ง เอา เปลี่ยนก็เปลี่ยน ผมจะเป็นเด็กดีเชื่อพี่มันทิ้งทวน
“หิวหรือเปล่า” นั่งฟังเสียงแอร์ในรถกันไปครู่ใหญ่ คนข้างตัวผมก็ถามขึ้น ผมส่ายหน้าตอบ จะหิวอะไรล่ะยัดมื้อเช้าไปเต็มคาบซะขนาดนั้น กะว่าจะหลับเอาแรงแต่อีกคนแม่งไม่ยอมโว้ย
“นายดูสนิทกับผู้ชายคนนั้นนะ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือ”
“ไม่ใช่ครั้งแรก พวกผมเคยเจอกันมาก่อนแล้ว”
“ที่ไหน”
“จำไม่ได้ ในห้างสักห้างนี่แหละ”
“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง” ผมนึกย้อนไปเมื่อวันก่อน เพราะมีเรื่องอาการเจ็บป่วยของผมเข้ามาแทรกเลยทำให้หลงลืมเรื่องพี่ชาไปได้พักใหญ่ เพิ่งมานึกออกตอนนี้ว่าผมยังไม่ได้เล่าความเป็นมาลูกพี่ลูกน้องของบุรินทร์ให้จิณณ์ฟัง “เจอกันโดยบังเอิญ พี่เค้าเป็นญาติของบุรินทร์”
“เรื่องนั้นฉันรู้”
“เอ้า! รู้แล้วจะถามทำไม”
“เพราะฉันอยากรู้ว่านายสนิทกับเค้าถึงขั้นแลกเบอร์กันได้แล้วหรือ”
“ผมไม่ได้แลกเบอร์กับพี่เค้า”
“แล้วหมอนั่นเอาอะไรมาพูดว่าจะโทรหานาย” เห็นพี่มันแค่นยิ้มแล้วท้องไส้ปั่นป่วนพิลึก ถึงผมจะชอบมองหน้ามันแบบหล่อ ๆ เลว ๆ แต่ก็คงไม่ใช่ในสถานการณ์ชวนทะเลาะแบบนี้ ไม่อยากเป็นปากเป็นเสียงกับคนพาลเลยหันหน้าออกไปมองป่าข้างทางแทน
“ผมจะรู้ไหม ก็อยู่กับพี่ตลอด พี่ชาเค้าอาจจะพูดไปอย่างนั้นก็ได้”
“อย่างนั้นหรือ” เสียงนั้นดังอยู่ตรงข้างหูครับ ลมหายใจนั้นก็เป่าอยู่ข้างแก้ม ผมถดเข้าซุกตัวกับมุมเบาะ ตวัดตามองอย่างไม่ไว้ใจ
“เป็นอะไรเนี่ย ผีสิงหรือไง”
“ถ้าผีมันหึงเป็นก็คงใช่”
“ผีบ้าน่ะสิ” เตะปลายเท้าเข้ากับหน้าแข็งมันพอให้รู้สึก จะใกล้เกินไปแล้วโว้ย อยู่ในรถแถมยังกลางป่ากลางเขา อย่ามาสวมบทพระเอกเดี๋ยวพี่คุณอินตาม
“คิดมาก”
“ถ้าไม่อยากให้คิดมากก็ทำให้ฉันมั่นใจสิ” ต่อรองได้อีก แหมะ พี่เขาช่างกล้า
“จะให้ทำยังไง” เออ แล้วผมก็ใจอ่อนตามใจมัน
“นั่นสิ จะทำยังไง” ไอ้หล่อมันยกยิ้ม ชำเลืองมองท้ายทอยคนขับแล้วย้ายสายตามามองริมฝีปากผม สมองเริ่มเบลอเหมือนตาจะเริ่มพร่าด้วย หน้าขาว ๆ ปากแดง ๆ มันถึงได้ดูลอยเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น ผมรีบสูดลมหายใจเข้าปอดกักตุนไว้ก่อนจะไม่ได้หายใจเองไปครู่ใหญ่ ไอ้คนเจ้าเล่ห์มันจงใจเลือกเบาะหลังสุดเพราะแบบนี้เองใช่ไหม เรื่องพี่ชาน่ะเป็นแค่ข้ออ้าง ความจริงคือไอ้พี่จิณณ์แม่งตั้งใจจะจูบผมอยู่แล้ว
แวะนั่นแวะนี่กว่าจะเหยียบกรุงเทพเมืองฟ้าอมรเวลาก็ล่วงเข้าสู่กลางคืนแล้ว ไปเที่ยวเพียงแค่ไม่กี่วันทำไมผมรู้สึกเหมือนอะไร ๆ มันเปลี่ยนไปเยอะเลยก็ไม่รู้ ทั้งผู้คน บ้านเมือง ต้นไม้ ใบหญ้า เหมือนจะดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เคยเห็นมาสิบกว่าปี สงสัยเพราะผมพกความสุขจากการไปเที่ยวกลับมาด้วย ไม่ว่ามองอะไรเลยรู้สึกดีไปหมด ตอนแรกไอ้คุณชายมันจะให้ผมค้างที่คอนโดหรูโคตรพ่อโคตรแม่ของตัวเองแต่สัญชาติญาณการป้องกันตัวของผมมันร้องสั่งให้ผมปฏิเสธ เหอะ ขนาดอยู่ในรถตู้มีคนขับนั่งหัวโด่อยู่พี่มันยังทำมึนจูบปากผมได้หน้าด้าน ๆ หลายชั่วโมงบนรถตู้คนจะงีบเอาแรงก็ยังคอยวนเวียนกวนอยู่แถวแก้มกับคาง ไม่ต้องคิดถึงในห้องหับมิดชิดที่จะอยู่กันสองต่อสอง บอกเลยว่าความเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยมีสูงทะลุเพดาน เมื่อผมส่ายหน้าพี่มันก็ยอมเข้าใจ จิณณ์เลยให้รถตู้วีไอพีส่งเราที่คอนโดจากนั้นพี่มันขับรถตัวเองมาส่งผมอีกต่อ
กระเป๋าเพิ่มมาอีกหนึ่งใบซึ่งบรรจุของฝากจากกาญจนบุรีและระหว่างทางจนแน่น ลงจากรถมาได้ครู่ใหญ่แล้วสัมภาระก็กองอยู่แทบเท้าเรียบร้อยแต่เจ้าของรถยังไม่ยอมกลับบ้าน เอาแต่ยืนมองหน้าผมอยู่นั่น
“กลับไปเถอะจะได้รีบพักผ่อน”
“อือ” รับคำแล้วเงียบ ชนะเลิศครับ มามุขนี้ทีไรผมทำอะไรไม่ได้ทุกที
“พรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่”
“ใช่ก็กลับไปสิ ตื่นสาย โดนเจ้านายด่า อย่ามาโทษกันนะโว้ย”
“โว้ยเหรอ?”
“อุ่ย!”
“ยังไม่อยากกลับ” เอากับพี่มันซี่ อย่าบอกนะว่าจะขอค้างที่บ้านผม ไม่เอานะโว้ย ถึงผนังห้องผมจะไม่ได้บางแต่ใช่ว่ามันจะเก็บเสียงได้มิด แถมเตียงเดี่ยวสามฟุตครึ่งก็แคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน เอ้า! แล้วผมจะมาคิดเรื่องชวนติดเรททำไมวะ ไม่ได้สิ ตอนนี้ผมต้องกล่อมให้จิณณ์กลับบ้านให้ได้
“กลับไปเถอะ ขับรถกลางคืนมันอันตราย ผมเป็นห่วง”
“อยากนั่งไปเป็นเพื่อนคนขับไหมล่ะ” เออ วันนี้พี่มันมาแปลกวุ้ย ดูงอแงเงียบ ๆ หนักไปทางเด็กห้าขวบมากกว่าปัญญาอ่อนหน่อยหนึ่ง อารมณ์ง่วงจัดทำให้ผมไม่มีใจจะพะเน้าพะนอพี่มัน จากปกติที่ไม่ค่อยจะตามใจจิณณ์อยู่แล้วเวลานี้เลยยิ่งเป็นหนัก ผมดันหลังอีกคนไปขึ้นรถแม้จิณณ์จะขืนทำตัวหนักเป็นหินในตอนแรกแต่พอโดนทุบไหล่ไปทีพี่มันก็ยอมลากขาขึ้นรถไปง่าย ๆ
“ไม่ไปด้วยกันจริง ๆ หรือ”
“อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวันแล้วไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“ถ้าเบื่อฉันจะชวนทำไมหรืออยากให้เบื่อจะได้ไม่มาเจอสักพัก”
“อย่างอนงี่เง่าน่า เราเข้าใจกันแล้วไม่ใช่หรือไง” พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง ไม่ได้เผลอหรอกครับ ผมคิดก่อนพูดเพราะเห็นพี่มันเริ่มหน้าตึงเลยไม่รู้จะปลอบยังไง ดื้อดึงปากแข็งต่อไปเดี๋ยวก็จะงอน กระชากรถปึงปังออกไปให้ผมต้องเป็นห่วงประชากรบนท้องถนนอีก แต่ทั้งที่กลั้นใจข่มความอายพูดออกไปซะขนาดนั้นพี่มันก็ยังไม่ยอมมีปฏิกิริยาในทางบวกให้ผมชื่นใจสักกะนิด ผมถอนใจยาว เอาวะ จะได้รีบขึ้นไปอาบน้ำนอน
โน้มตัวลงไปในระดับผิวแก้มขาวนั่น ยื่นจมูกเข้าไปใกล้แต่เป้าหมายมันดันไม่อยู่นิ่ง หันใบหน้ากลับมาหา ผมเลยเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกเกือบนาที คราวนี้ไอ้พี่จิณณ์มันยิ้มชื่น ผีเด็กว่าง่ายพุ่งเข้าสิงร่างรวดเร็วทันใจ
“ราตรีสวัสดิ์ เดี๋ยวจะรีบเอารูปทริปนี้มาให้ดูนะ”
ผมยังจำประโยคสุดท้ายนั่นได้ ทั้งที่บอกว่าจะรีบเอารูปของทริปกาญจนบุรีมาให้ดูแต่หลังจากคืนนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปอาทิตย์กว่าแล้ว ไอ้คนพูดมันยังไม่ยอมเอาหน้าหล่อ ๆ มาให้เห็น ผมนอนกลิ้งอยู่บ้านจนวันปิดเทอมเหลือไม่เท่าไหร่ บุรินทร์กับวาก็พร้อมใจกันมายืนกดออดหน้าบ้าน ผมเกือบกระโดดเข้ากอดเพื่อนรักทั้งสองเต็มแรงคิดถึงแต่บังเอิญหันไปเห็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักยืนมองมาตาปริบ ๆ อยู่เลยได้แต่ทักทายด้วยภาษาเพื่อนสนิท
“นึกว่าตกบ่อโคลนตายไปแล้ว หายหน้าไปเลยนะ”
“ปากแบบนี้มันน่าเอาหน้ามาให้เห็นไหมล่ะ หลีกทางเลย เป็นเจ้าบ้านประสาอะไรปล่อยให้แขกยืนตากแดดร้อน ๆ” ไอ้ตี๋มันสวนกลับ พร้อมกับเบี่ยงตัวให้เด็กคนนั้นเดินเข้ามาก่อน ผมแอบสะกิดวา บุ้ยใบ้ไปทางคู่ข้างหน้า อีกฝ่ายก็แค่ยิ้ม
“รุ่นน้องโรงเรียนเดิมน่ะ”
“เด็กมอปลายคนนั้นใช่ไหม”
“อือ ว่าแต่คุณอยู่บ้านคนเดียวหรือวันนี้”
“อยู่คนเดียว แม่ไปหาพ่อ คีย์ไปดูหนังกับเพื่อน เจ้าน้องบ้านั่นรู้อยู่ว่าฉันต้องอยู่บ้านคนเดียวแทนที่มันจะอยู่เป็นเพื่อนดันแรดออกไปเที่ยว แล้วยังมีหน้ามาบอกให้ฉันโทรไปบอกให้จิณณ์มาอยู่ด้วย ฝันไปเถอะ” วาชะงักฝีเท้า เลิกคิ้วมองผมเหมือนจะงง
“คีย์ไม่รู้หรือว่าพี่จิณณ์ไปอเมริกา”
“ไปไหนนะ?” วายิ่งแปลกใจแต่เชื่อได้เลยว่าคงน้อยกว่าอาการอึ้งของผม
“อ้าว อย่าบอกนะว่าคุณก็ไม่รู้ เห็นพี่พีร์บอกว่าไปตั้งหลายวันแล้วนี่นา” โอเค ไม่ให้บอกก็ไม่บอก ผมได้แต่เกาหัวเกาหู ไอ้พี่จิณณ์แม่ง หลอกให้ผมรอแล้วรอหาย มีความหวังว่าจะได้ยลรูปวิวสวย ๆ นายแบบหล่อ ๆ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เห็นพี่มันหายเงียบไปก็นึกว่างานหนักจนมันโทรมาเมื่อคืนก่อนบอกว่าช่วงนี้ติดโปรเจคใหม่เลยไม่ค่อยมีเวลาว่าง ใครจะคิดว่าฝ่ายนั้นจะโทรมาจากอีกแผ่นดินหนึ่งที่อยู่ไกลไปเป็นพันไมล์
“ไปเรื่องงานหรือ”
“เหมือนจะไม่ใช่นะ รู้สึกจะเป็นตัวแทนทางบ้านไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนคุณพ่อนี่แหละ ฉันก็ไม่แน่ใจ พี่จิณณ์ไปอเมริกาทำไมนะบุรินทร์” วะ แม้แต่ไอ้ตี๋มันก็รู้หรือเนี่ย บุรินทร์มันทำหน้านิ่ว ตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเพื่อนมันสักนิด
“มาถามผมทำไม ถามพี่น้องคุณสิครับ”
“คุณยังไม่รู้เรื่อง”
“พูดจริงพูดเล่น?” พูดเล่นทำห่าอะไรในเวลานี้ ผมพ่นลมหายใจดังพู่ ปล่อยให้วาเป็นธุระในการหาน้ำดื่มกับขนมมาเสิร์ฟแขก ส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีนั่งรอชิมขนมที่เพื่อนหิ้วมาฝากพร้อมความหงุดหงิดในอารมณ์ บุรินทร์มันคงเห็นว่าผมเริ่มขุ่นเลยพยายามเบี่ยงไปประเด็นอื่น
“เออ คุณ ขอแนะนำหน่อย” มันกระแอมในคอ สะบัดนิ้วโป้งข้ามไหล่ไปหาคนที่ยืนยิ้มโชว์เขี้ยวอยู่ด้านหลัง “นี่น้องอันน์ น้องที่ฉันกำลังสอนพิเศษอยู่ อันน์ พี่คนนี้ชื่อพี่คุณ เพื่อนของครูเอง”
“สวัสดีครับพี่คุณ”
“สวัสดีครับ คิดยังไงถึงมาเรียนพิเศษกับบุรินทร์ครับน้อง ไม่กลัวคนสอนงับหัวเอาหรือ” น้องอันน์หัวเราะร่วน แก้มยุ้ยเลยยิ่งแดงเรื่อ น่ามองพอกับน่าเอ็นดู ผมปลายตามองไอ้คนตัวสูง มิน่า ร้อยวันพันปีไม่เคยนึกอยากสอนพิเศษแถมยังซุ่มเงียบแอบไปสอนอยู่เป็นนาน ที่แท้มันก็กลัวเพื่อนจะรู้ว่าคิดไม่ซื่อกับลูกศิษย์นี่เอง
“พี่คุณตัวจริงน่ารักสุด ๆ ไปเลยครับ ครูบุรินทร์บอกว่ามีเพื่อนน่ารักแต่ผมไม่คิดว่าจะน่ารักมากขนาดนี้” อะฮ้า พูดจาน่าฟังแบบนี้ ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูไปใหญ่เลยครับ ผมหัวเราะชื่น ยิ้มรับเสียเต็มแก้ม ไม่ได้หลงตัวเองนะแต่น้องเค้าอุตส่าห์ชม เราก็ต้องตอบรับเพื่อไม่ให้น้องเค้าเก้อแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดไปอื่นไกล ฮ่า ๆ ๆ
“ผมอยากเจอมานานแล้วครับก่อนหน้านี้พี่ชายก็พูดถึงพี่คุณอยู่บ่อย ๆ”
“พี่ชาย?” ผมหันไปมองไอ้ตี๋ มันส่ายหน้าประมาณว่ากูไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับกู
“พี่จิณณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมครับ” เฮือก เฮือกสิครับงานนี้ ผมสะดุ้งเฮือกจนไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองมันหัวเราะก๊าก มายจอร์จ ลอร์ด บุดด้า โลกใบนี้มันจะกลมไปถึงไหน ประหลาดใจจนต้องสำรวจเด็กตรงหน้าให้ละเอียดอีกครั้ง หน้าตาตรงข้ามกันสุดกู่ครับพี่น้องคู่นี้ น้องอันน์ตาโต แก้มยุ้ย ผิวไม่จัดว่าขาวมากอย่างจิณณ์แต่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับไอ้ตี๋มัน แต่ที่เหมือนกันคือมาตรฐานรูปลักษณ์ที่สูงกว่าคนทั่วไปแล้วก็ออร่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจนผมแสบตา ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ยิ่งทักยิ่งดูดี ที่แท้ก็เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับไอ้คุณชายนั่นเอง
สงสัยเพราะถูกขนาบด้วยบุรินทร์กับวาเลยทำให้ผมมองข้ามความน่ามองของน้องเขาเมื่อตอนแรกพบ พอได้สำรวจดูดี ๆ แล้วก็อยากจะเอาหัวโขกพื้นตาย มิน่าล่ะ เด็กมอปลายทั่วไปที่ไหนจะมีอำนาจถึงขนาดที่จะทำให้คุณชายบุรินทร์ยอมไปเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้ถ้าไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจเสมอกัน ดู ๆ แล้ว เรื่องนี้จะใกล้ตัวผมมากกว่าที่คิดแฮะ
“หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย”
“แค่ญาติห่าง ๆ น่ะครับแต่ก็สนิทกันอยู่”
“นะ บังเอิญจัง” ทำไมผมไม่เคยรู้ ทำไมคนอื่น ๆ ถึงรู้ แต่จะว่าไปผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลย ทุกอย่างที่รู้ก็เกิดจากการอนุมานของตัวเองจากสิ่งที่เห็นทั้งสิ้น รู้ว่าบ้านพี่มันคงรวยเพราะไม่งั้นคงไม่ซื้อคอนโดหรูอยู่คนเดียวหรือขับรถราคาหลายล้านได้ รู้ว่ามันเรียนเก่งเพราะเป็นว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รู้ว่าที่บ้านทำกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ส่วนเรื่องนิสัยก็แสนจะดี ยกเว้นเรื่องกวนอารมณ์เป็นบางครั้งแล้วพี่มันก็แทบไม่มีข้อเสียเลย สุภาพ อ่อนโยน ใจเย็น ใจดี ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เครือญาติหรืออะไรอย่างอื่น ผมแทบไม่มีข้อมูลเหล่านั้นในหัว
ทำไม?
เพราะผมไม่สนใจจะถามหรือเพราะเจ้าตัวไม่อยากบอก
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”
“ไม่ได้เป็น”
“ทำหน้าคิดมากนะ น้อยใจหรือเรา” บุรินทร์ยิ้มกริ่ม กระแซะตัวเข้ามาวางคางกับไหล่ผม ไอ้นี่ก็วอนไม่อยากตายดีแถมยังจะตายเพราะตาวาว ๆ ของเด็กอีกด้วยนะ ผมดันหน้ามันออก เถียงสุดใจขาดดิ้น “น้อยใจเชี่ยอะไรล่ะ ฉันแค่กำลังคิดว่าไอ้พี่จิณณ์มันนินทาอะไรฉันบ้าง อย่าไปเชื่อคำมากนะน้องอันน์ หมอนั่นพูดไหนไม่มีนั่นหรอก”
“ไปว่าพี่ชายให้น้องเค้าฟังอีก” วาปรามเสียงอ่อน
“ก็มันจริงไหมล่ะ พี่จิณณ์ของวาบอกว่าจะรีบเอารูปที่ไปเที่ยวมาให้ดูแล้วมันก็ชิ่งหนีไปอเมริกาไม่ยอมบอกฉันสักคำ หลอกให้คอยหาย ๆ แม่ง พูดแล้วก็หงุดหงิด เซ็งโว้ย” สะบัดหน้าพรืดจนคอแทบเคล็ด วารีบวางแก้วชาบนโต๊ะก่อนที่ผมจะฟาดงวงฟาดงาไปโดน คนหน้าสวยดีกรีหนึ่งในผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยจับคางผมส่ายไปมาทั้งที่หน้ายังยิ้มหวาน
“เก็บอาการหน่อย นี่ต่อหน้าเพื่อนไม่ใช่แฟน”
“ใครแฟนใคร พูดให้ดี ๆ นะ”
“พี่จิณณ์ไง ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วหรือ”
“ไม่ได้เป็น แค่บอกรักไม่ได้ขอ...” ตายหอง!
“ไม่ได้ขออารายยยยยยยย?” ผมรีบยกมืออุดปากตัวเองแล้วก็สั่นหน้าดิก ไหวไหมวะ ดวงตาของเพื่อนรักและเด็กรุ่นน้องอีกหนึ่งวาววับ บอกให้รู้ว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่ทุกคนพอใจ ผมคงไม่รอดไปต้อนรับคุณชายจิณณ์กลับจากอเมริกาเป็นแน่
เพื่อนเลิฟทั้งสองกับน้องอันน์กลับไปแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นหลังจากที่ขู่แกมบังคับให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง บุรินทร์หัวเราะร่วนเมื่อรู้ว่าจิณณ์เลือกอนุสรณ์สถานทหารพันธมิตรเป็นสถานที่สารภาพความในใจ ไอ้ตี๋มันลงไปนอนกลิ้งทั้งตัวแล้วก็เนียนยกหัวพาดตักเด็กไว้อย่างนั้นไม่ยอมลุก ผมพยายามปั้นหน้านิ่ง หน้าจะแดงแก้มจะร้อนก็ช่างมัน ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะเขินให้ใครดู สรุปความอย่างรวบรัดให้เป็นที่รู้กันว่าผมกับจิณณ์ยังเป็นแค่คนรู้จักกันเหมือนเดิมเพราะถึงจะรู้ว่าพี่มันชอบผมเกินระดับนั้นแต่อีกคนก็ไม่ได้เอ่ยปากขอให้ผมเลื่อนตำแหน่งให้ บวกกับความลึกลับของอีกฝ่ายทำให้ผมยังไม่อยากคิดอะไรมากกว่านั้น
เราเลยยังเป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกัน
ผมคิดอย่างนั้นนะ
คีย์กลับมาตอนหกโมง เจ้าน้องชายคนดีมันหิ้วเอายำแหนมกับโรตีสายไหมจากข้างนอกมาฝากแต่ผมไม่อารมณ์จะเอ็นจอยอิ๊ตติ้งเลยบอกผ่าน เก็บตัวอยู่ในห้องเงียบ ๆ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์คุณชายจิณณ์โชว์หราจนอยากจะปาเครื่องลงถังขยะ ยังดีที่สำนึกดีมันยั้งใจไว้
“ฮาโหล มีธุระอะไร ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก็วางไปเลยตอนนี้กำลังง่วง”
(คิดถึง ด่วนไหม)
“คิดถึงแล้วไปทำห่านอะไรถึงอเมริกา”
(รู้แล้วหรือ) หนอย ยังมีหน้ามาหัวเราะร่วน อีแบบนี้ถ้าเห็นตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้ามีเจ็บตัวกันไปข้าง ผมจับหมอนหนุนมาเหวี่ยงตุบ ๆ กระชากเสียงถามแบบพร้อมจะอาละวาดได้ในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้า “ทำไมไม่บอกกันสักคำ คิดจะไปก็ไปหรือยังไง”
(...เรื่องด่วนน่ะ ตอนแรกไม่ใช่ฉันหรอกที่ต้องมาแต่บังเอิญพ่อกับพี่ชายไม่ว่าง โชคเลยมาตกที่ฉัน)
“แต่เมื่อคืนก่อนพี่ก็ไม่ได้บอกผม”
(ไม่อยากให้เป็นห่วง มาแค่ไม่กี่วันก็จะกลับแล้ว อีกอย่างจากบ้านเรามาที่นี่ก็ไม่ไกลแล้วก็เดินทางไม่นานด้วย อย่าห่วงเลยฉันดูแลตัวเองได้) อืม ไม่ไกลจ้ะ จากบางกอกไปอเมริกาไม่ไกลเลยจ้ะ อืม โมเมว่ากูห่วงมึงอีก ไม่ได้ห่วงแต่โกรธโว้ยโกรธ โกรธที่แม่งไม่ยอมบอกอะไรผมเลย ทั้งที่เป็นเรื่องของมันแต่ผมต้องมารู้จากคนอื่นอีกที แบบนี้มันน่าปลื้มไหม ผมได้แต่สำรอกอยู่ในอก จ้างให้ก็ไม่พูดออกไปให้โดนแหย่กลับมาอีกหรอก
“แล้วโทรมามีธุระอะไร ผมจะนอนแล้ว”
(นี่มันเพิ่งหัวค่ำเองไม่ใช่หรือ ทำไมรีบนอน วันนี้ไปทำอะไรมาหรือเปล่า)
“แล้วทำไมพี่ต้องรู้วะ นี่มันเรื่องของผม”
(คุณภัทร) เสียงทุ้มลากแผ่วจนผมใจหวิว จิณณ์ทิ้งให้ความเงียบทำงานของมันแบบไม่กลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่นั่งพิงหัวเตียงถือสายค้างอยู่อย่างนั้น คีย์โผล่หน้าเข้ามาดูครั้งหนึ่ง พอเห็นบรรยากาศแปลก ๆ ในห้องเจ้าเด็กนั่นก็ผลุบหายไปทันที เงียบกันไปพักใหญ่ผมก็ชักเซ็งกับความงี่เง่าของเราสองคนแล้วก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างเลยเป็นฝ่ายเอ่ยขอวางสายเสียเอง
“ผมยังไม่อยากคุยตอนนี้ ขอโทษนะ”
(คุณ...) กดตัดสายไปแล้ว จิณณ์อาจจะโกรธและผมก็ไม่ได้สบายใจขึ้นเลย ทำไมคนเราถึงโง่ทำสิ่งที่รู้ว่าจะทำให้เรื่องมันยิ่งแย่กว่าเดิมนะ ทั้งที่รู้ว่าควรใจเย็น ควรพูดกันดี ๆ ไม่ควรใช้อารมณ์เพราะบางทีเหตุผลของอีกฝ่ายก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกของเรา คิดได้เป็นฉาก ๆ แต่พอถึงเวลาทำ ทำไมมันถึงได้ยากนัก
จิณณ์โทรกลับมาอีกครั้งแต่ผมปล่อยโทรศัพท์ให้ดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไป นอนกลิ้งอยู่พักใหญ่ คราวนี้มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นแต่ไม่ใช่เสียงก่อนหน้านั้น ผมมองเบอร์แปลก ๆ แล้วก็ชั่งใจอยู่ว่าควรจะรับดีไหม เพราะรู้ดีว่ากำลังหงุดหงิดแถมยังไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครในตอนนี้ด้วย ตัดใจปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้นอีกรอบแต่แทนที่จะเงียบหายไป สายนี้กลับกะพริบอยู่นานจนแปลกใจ ผมหยิบขึ้นมากดรับ ยังไม่ทันส่งเสียงไปก็ได้ยินเสียงนุ่ม ๆ ของใครบางคนแทรกมาเสียก่อน
(ถ้ายังไม่อยากคุยกันตอนนี้ ก็ เอาเพลงไปฟังก่อนนะ) หมดจากข้อความสั้น ๆ นั้นก็เป็นอินโทรของเพลงสากลที่คุ้นหูเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ครั้งหนึ่งที่เรานั่งทำรายงานของผมอยู่ พอได้ยินเพลงนี้ผมก็หลับตานอนเลื้อยไปกับพื้นก่อนจะลุกขึ้นมาใหม่เมื่อเพลงนั้นจบลง ผมไม่เคยบอกคนส่งว่าชอบเพลงนี้ ไม่เคยชวนจิณณ์คุยเรื่องเนื้อหากับทำนองที่มันโคตรจะโดนใจแต่ผมก็ไม่แปลกใจว่าทำไมจิณณ์ถึงรู้
There are times when you make me laugh
there are moments when you drive me mad
there are seconds when I see the light
though many times you made me cry
There's something you don't understand
I want to be your man
Nothing to lose your love to win hoping so bad that you'll let me in
I'm at your feet waiting for you I've got time and nothing to lose
I've got time and nothing to lose
Nothing To Lose : MLTRโปรดติดตามตอนต่อไป สนุกค่ะ สนุกมาก ่อ่านรวดเดียว
แต่อยากให้ลดปริมาณคำชมเรื่องความหล่อของพระเอกที่นายเอกชมบ่อยมาก คือรู้ว่าจิณณ์หล่อ แต่จะชมอะไรแทบทุกย่อหน้าจนเริ่มเอียนแล้ว
ดีใจที่ชอบและขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
สี่ไม่ใช่คนแต่งอ่ะค่ะ คงแก้ไขตรงจุดนี้ไม่ได้
แต่อยากให้ติดตามอ่านไปเรื่อยๆแล้วจะรู้ว่าที่น้องคุณชมพี่จิณณ์นี่ยังน้อยค่ะ ฮ่าๆๆๆ *คันปากอยากสปอยด์มากกกก*