:::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]  (อ่าน 36639 ครั้ง)

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๒๑   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




เรากลับบ้านตอนเที่ยงของวันต่อมา

จิณณ์ปลุกผมขึ้นมากินข้าวเช้าตั้งแต่ไก่โห่ ล่ำลาพี่ปริมและบรรดาคนที่เคยคุ้นหน้าในระหว่างทริปยังไม่ทันเสร็จ พอเห็นตัวสูง ๆ ของพี่ชาเดินโผล่มาจากซุ้มไม้ใบเขียวแถวนั้น ไอ้พี่จิณณ์มันก็ทำท่าจะลากคอผมขึ้นรถตู้ของรีสอร์ทแบบไม่ฟังเสียงใครหน้าไหน

“เดี๋ยว ๆ ๆ ขอไปลาพี่ชาก่อน”

“ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวก็ต้องเจอกันที่กรุงเทพอยู่ดี”

“แล้วถ้าเกิดไม่เจอล่ะ”

“ก็ดี” มันตอบเสียงนุ่มพร้อมยิ้มบาง ๆ ในหน้า อย่า อย่าคิดว่ามาแบบหล่อซอฟท์แล้วพี่คุณจะใจอ่อน ผมดันหน้ามันออกทั้งที่มือไม้อ่อนยวบ เดินเป๋ ๆ กลับไปหาพี่ชาแบบคนสติไม่เต็มนัก รายนี้ก็หล่อบรรลัยโลกไม่แพ้กัน เห็นหน้าผมก็ฉีกยิ้มยิงฟันส่งมาให้เล่นเอารังสีอำมหิตจากด้านหลังแผ่ซ่านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ผมยิ้มให้เขา เรายิ้มให้กันแต่บางคนมันดันไม่ยอมยิ้มด้วย

“หายดีแล้วหรือเรา”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ ผมต้องกลับวันนี้แล้ว ถ้ายังไงเราค่อยเจอกันที่กรุงเทพนะครับ”

“อืม เดินทางดี ๆ นะ ถ้ากลับไปแล้วพี่จะโทรหา”

“ครับ ผมไปนะ” การไซโคของคุณชายจิณณ์ได้ผลดีสุดยอด แค่มันมายืนกอดอก ยิ้มจาง ๆ อยู่ข้างผมก็ส่งผลให้เราสองคนต้องรีบรวบรัดตัดความบทสนทนากันแบบไม่ให้เสี่ยงชีวิตกันต่อ ผมยึดเอาเบาะแถวแรกของที่นั่งผู้โดยสารในรถตู้แต่เพราะมีแค่เราสองคนจิณณ์เลยบอกแกมสั่งให้ผมตามไปนั่งถัดไปอีกแถวหนึ่ง เอา เปลี่ยนก็เปลี่ยน ผมจะเป็นเด็กดีเชื่อพี่มันทิ้งทวน

“หิวหรือเปล่า” นั่งฟังเสียงแอร์ในรถกันไปครู่ใหญ่ คนข้างตัวผมก็ถามขึ้น ผมส่ายหน้าตอบ จะหิวอะไรล่ะยัดมื้อเช้าไปเต็มคาบซะขนาดนั้น กะว่าจะหลับเอาแรงแต่อีกคนแม่งไม่ยอมโว้ย

“นายดูสนิทกับผู้ชายคนนั้นนะ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือ”

“ไม่ใช่ครั้งแรก พวกผมเคยเจอกันมาก่อนแล้ว”

“ที่ไหน”

“จำไม่ได้ ในห้างสักห้างนี่แหละ”

“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง” ผมนึกย้อนไปเมื่อวันก่อน เพราะมีเรื่องอาการเจ็บป่วยของผมเข้ามาแทรกเลยทำให้หลงลืมเรื่องพี่ชาไปได้พักใหญ่ เพิ่งมานึกออกตอนนี้ว่าผมยังไม่ได้เล่าความเป็นมาลูกพี่ลูกน้องของบุรินทร์ให้จิณณ์ฟัง “เจอกันโดยบังเอิญ พี่เค้าเป็นญาติของบุรินทร์”

“เรื่องนั้นฉันรู้”

“เอ้า! รู้แล้วจะถามทำไม”

“เพราะฉันอยากรู้ว่านายสนิทกับเค้าถึงขั้นแลกเบอร์กันได้แล้วหรือ”

“ผมไม่ได้แลกเบอร์กับพี่เค้า”

“แล้วหมอนั่นเอาอะไรมาพูดว่าจะโทรหานาย” เห็นพี่มันแค่นยิ้มแล้วท้องไส้ปั่นป่วนพิลึก ถึงผมจะชอบมองหน้ามันแบบหล่อ ๆ เลว ๆ แต่ก็คงไม่ใช่ในสถานการณ์ชวนทะเลาะแบบนี้ ไม่อยากเป็นปากเป็นเสียงกับคนพาลเลยหันหน้าออกไปมองป่าข้างทางแทน

“ผมจะรู้ไหม ก็อยู่กับพี่ตลอด พี่ชาเค้าอาจจะพูดไปอย่างนั้นก็ได้”

“อย่างนั้นหรือ” เสียงนั้นดังอยู่ตรงข้างหูครับ ลมหายใจนั้นก็เป่าอยู่ข้างแก้ม ผมถดเข้าซุกตัวกับมุมเบาะ ตวัดตามองอย่างไม่ไว้ใจ

“เป็นอะไรเนี่ย ผีสิงหรือไง”

“ถ้าผีมันหึงเป็นก็คงใช่”

“ผีบ้าน่ะสิ” เตะปลายเท้าเข้ากับหน้าแข็งมันพอให้รู้สึก จะใกล้เกินไปแล้วโว้ย อยู่ในรถแถมยังกลางป่ากลางเขา อย่ามาสวมบทพระเอกเดี๋ยวพี่คุณอินตาม

“คิดมาก”

“ถ้าไม่อยากให้คิดมากก็ทำให้ฉันมั่นใจสิ” ต่อรองได้อีก แหมะ พี่เขาช่างกล้า

“จะให้ทำยังไง” เออ แล้วผมก็ใจอ่อนตามใจมัน

“นั่นสิ จะทำยังไง” ไอ้หล่อมันยกยิ้ม ชำเลืองมองท้ายทอยคนขับแล้วย้ายสายตามามองริมฝีปากผม สมองเริ่มเบลอเหมือนตาจะเริ่มพร่าด้วย หน้าขาว ๆ ปากแดง ๆ มันถึงได้ดูลอยเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น ผมรีบสูดลมหายใจเข้าปอดกักตุนไว้ก่อนจะไม่ได้หายใจเองไปครู่ใหญ่ ไอ้คนเจ้าเล่ห์มันจงใจเลือกเบาะหลังสุดเพราะแบบนี้เองใช่ไหม เรื่องพี่ชาน่ะเป็นแค่ข้ออ้าง ความจริงคือไอ้พี่จิณณ์แม่งตั้งใจจะจูบผมอยู่แล้ว



แวะนั่นแวะนี่กว่าจะเหยียบกรุงเทพเมืองฟ้าอมรเวลาก็ล่วงเข้าสู่กลางคืนแล้ว ไปเที่ยวเพียงแค่ไม่กี่วันทำไมผมรู้สึกเหมือนอะไร ๆ มันเปลี่ยนไปเยอะเลยก็ไม่รู้ ทั้งผู้คน บ้านเมือง ต้นไม้ ใบหญ้า เหมือนจะดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เคยเห็นมาสิบกว่าปี สงสัยเพราะผมพกความสุขจากการไปเที่ยวกลับมาด้วย ไม่ว่ามองอะไรเลยรู้สึกดีไปหมด ตอนแรกไอ้คุณชายมันจะให้ผมค้างที่คอนโดหรูโคตรพ่อโคตรแม่ของตัวเองแต่สัญชาติญาณการป้องกันตัวของผมมันร้องสั่งให้ผมปฏิเสธ เหอะ ขนาดอยู่ในรถตู้มีคนขับนั่งหัวโด่อยู่พี่มันยังทำมึนจูบปากผมได้หน้าด้าน ๆ หลายชั่วโมงบนรถตู้คนจะงีบเอาแรงก็ยังคอยวนเวียนกวนอยู่แถวแก้มกับคาง ไม่ต้องคิดถึงในห้องหับมิดชิดที่จะอยู่กันสองต่อสอง บอกเลยว่าความเสี่ยงต่อการเสียอธิปไตยมีสูงทะลุเพดาน เมื่อผมส่ายหน้าพี่มันก็ยอมเข้าใจ จิณณ์เลยให้รถตู้วีไอพีส่งเราที่คอนโดจากนั้นพี่มันขับรถตัวเองมาส่งผมอีกต่อ

กระเป๋าเพิ่มมาอีกหนึ่งใบซึ่งบรรจุของฝากจากกาญจนบุรีและระหว่างทางจนแน่น ลงจากรถมาได้ครู่ใหญ่แล้วสัมภาระก็กองอยู่แทบเท้าเรียบร้อยแต่เจ้าของรถยังไม่ยอมกลับบ้าน เอาแต่ยืนมองหน้าผมอยู่นั่น

“กลับไปเถอะจะได้รีบพักผ่อน”

“อือ” รับคำแล้วเงียบ ชนะเลิศครับ มามุขนี้ทีไรผมทำอะไรไม่ได้ทุกที

“พรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่หรือไง”

“ก็ใช่”

“ใช่ก็กลับไปสิ ตื่นสาย โดนเจ้านายด่า อย่ามาโทษกันนะโว้ย”

“โว้ยเหรอ?”

“อุ่ย!”

“ยังไม่อยากกลับ” เอากับพี่มันซี่ อย่าบอกนะว่าจะขอค้างที่บ้านผม ไม่เอานะโว้ย ถึงผนังห้องผมจะไม่ได้บางแต่ใช่ว่ามันจะเก็บเสียงได้มิด แถมเตียงเดี่ยวสามฟุตครึ่งก็แคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน เอ้า! แล้วผมจะมาคิดเรื่องชวนติดเรททำไมวะ ไม่ได้สิ ตอนนี้ผมต้องกล่อมให้จิณณ์กลับบ้านให้ได้

“กลับไปเถอะ ขับรถกลางคืนมันอันตราย ผมเป็นห่วง”

“อยากนั่งไปเป็นเพื่อนคนขับไหมล่ะ” เออ วันนี้พี่มันมาแปลกวุ้ย ดูงอแงเงียบ ๆ หนักไปทางเด็กห้าขวบมากกว่าปัญญาอ่อนหน่อยหนึ่ง อารมณ์ง่วงจัดทำให้ผมไม่มีใจจะพะเน้าพะนอพี่มัน จากปกติที่ไม่ค่อยจะตามใจจิณณ์อยู่แล้วเวลานี้เลยยิ่งเป็นหนัก ผมดันหลังอีกคนไปขึ้นรถแม้จิณณ์จะขืนทำตัวหนักเป็นหินในตอนแรกแต่พอโดนทุบไหล่ไปทีพี่มันก็ยอมลากขาขึ้นรถไปง่าย ๆ

“ไม่ไปด้วยกันจริง ๆ หรือ”

“อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวันแล้วไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“ถ้าเบื่อฉันจะชวนทำไมหรืออยากให้เบื่อจะได้ไม่มาเจอสักพัก”

“อย่างอนงี่เง่าน่า เราเข้าใจกันแล้วไม่ใช่หรือไง” พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง ไม่ได้เผลอหรอกครับ ผมคิดก่อนพูดเพราะเห็นพี่มันเริ่มหน้าตึงเลยไม่รู้จะปลอบยังไง ดื้อดึงปากแข็งต่อไปเดี๋ยวก็จะงอน กระชากรถปึงปังออกไปให้ผมต้องเป็นห่วงประชากรบนท้องถนนอีก แต่ทั้งที่กลั้นใจข่มความอายพูดออกไปซะขนาดนั้นพี่มันก็ยังไม่ยอมมีปฏิกิริยาในทางบวกให้ผมชื่นใจสักกะนิด ผมถอนใจยาว เอาวะ จะได้รีบขึ้นไปอาบน้ำนอน

โน้มตัวลงไปในระดับผิวแก้มขาวนั่น ยื่นจมูกเข้าไปใกล้แต่เป้าหมายมันดันไม่อยู่นิ่ง หันใบหน้ากลับมาหา ผมเลยเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกเกือบนาที คราวนี้ไอ้พี่จิณณ์มันยิ้มชื่น ผีเด็กว่าง่ายพุ่งเข้าสิงร่างรวดเร็วทันใจ

“ราตรีสวัสดิ์ เดี๋ยวจะรีบเอารูปทริปนี้มาให้ดูนะ”




ผมยังจำประโยคสุดท้ายนั่นได้ ทั้งที่บอกว่าจะรีบเอารูปของทริปกาญจนบุรีมาให้ดูแต่หลังจากคืนนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไปอาทิตย์กว่าแล้ว ไอ้คนพูดมันยังไม่ยอมเอาหน้าหล่อ ๆ มาให้เห็น ผมนอนกลิ้งอยู่บ้านจนวันปิดเทอมเหลือไม่เท่าไหร่ บุรินทร์กับวาก็พร้อมใจกันมายืนกดออดหน้าบ้าน ผมเกือบกระโดดเข้ากอดเพื่อนรักทั้งสองเต็มแรงคิดถึงแต่บังเอิญหันไปเห็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักยืนมองมาตาปริบ ๆ อยู่เลยได้แต่ทักทายด้วยภาษาเพื่อนสนิท

“นึกว่าตกบ่อโคลนตายไปแล้ว หายหน้าไปเลยนะ”

“ปากแบบนี้มันน่าเอาหน้ามาให้เห็นไหมล่ะ หลีกทางเลย เป็นเจ้าบ้านประสาอะไรปล่อยให้แขกยืนตากแดดร้อน ๆ” ไอ้ตี๋มันสวนกลับ พร้อมกับเบี่ยงตัวให้เด็กคนนั้นเดินเข้ามาก่อน ผมแอบสะกิดวา บุ้ยใบ้ไปทางคู่ข้างหน้า อีกฝ่ายก็แค่ยิ้ม

“รุ่นน้องโรงเรียนเดิมน่ะ”

“เด็กมอปลายคนนั้นใช่ไหม”

“อือ ว่าแต่คุณอยู่บ้านคนเดียวหรือวันนี้”

“อยู่คนเดียว แม่ไปหาพ่อ คีย์ไปดูหนังกับเพื่อน เจ้าน้องบ้านั่นรู้อยู่ว่าฉันต้องอยู่บ้านคนเดียวแทนที่มันจะอยู่เป็นเพื่อนดันแรดออกไปเที่ยว แล้วยังมีหน้ามาบอกให้ฉันโทรไปบอกให้จิณณ์มาอยู่ด้วย ฝันไปเถอะ” วาชะงักฝีเท้า เลิกคิ้วมองผมเหมือนจะงง

“คีย์ไม่รู้หรือว่าพี่จิณณ์ไปอเมริกา”

“ไปไหนนะ?” วายิ่งแปลกใจแต่เชื่อได้เลยว่าคงน้อยกว่าอาการอึ้งของผม

“อ้าว อย่าบอกนะว่าคุณก็ไม่รู้ เห็นพี่พีร์บอกว่าไปตั้งหลายวันแล้วนี่นา” โอเค ไม่ให้บอกก็ไม่บอก ผมได้แต่เกาหัวเกาหู ไอ้พี่จิณณ์แม่ง หลอกให้ผมรอแล้วรอหาย มีความหวังว่าจะได้ยลรูปวิวสวย ๆ นายแบบหล่อ ๆ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เห็นพี่มันหายเงียบไปก็นึกว่างานหนักจนมันโทรมาเมื่อคืนก่อนบอกว่าช่วงนี้ติดโปรเจคใหม่เลยไม่ค่อยมีเวลาว่าง ใครจะคิดว่าฝ่ายนั้นจะโทรมาจากอีกแผ่นดินหนึ่งที่อยู่ไกลไปเป็นพันไมล์

“ไปเรื่องงานหรือ”

“เหมือนจะไม่ใช่นะ รู้สึกจะเป็นตัวแทนทางบ้านไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนคุณพ่อนี่แหละ ฉันก็ไม่แน่ใจ พี่จิณณ์ไปอเมริกาทำไมนะบุรินทร์” วะ แม้แต่ไอ้ตี๋มันก็รู้หรือเนี่ย บุรินทร์มันทำหน้านิ่ว ตอกกลับมาแบบไม่ไว้หน้าเพื่อนมันสักนิด

“มาถามผมทำไม ถามพี่น้องคุณสิครับ”

“คุณยังไม่รู้เรื่อง”

“พูดจริงพูดเล่น?” พูดเล่นทำห่าอะไรในเวลานี้ ผมพ่นลมหายใจดังพู่ ปล่อยให้วาเป็นธุระในการหาน้ำดื่มกับขนมมาเสิร์ฟแขก ส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีนั่งรอชิมขนมที่เพื่อนหิ้วมาฝากพร้อมความหงุดหงิดในอารมณ์ บุรินทร์มันคงเห็นว่าผมเริ่มขุ่นเลยพยายามเบี่ยงไปประเด็นอื่น

“เออ คุณ ขอแนะนำหน่อย” มันกระแอมในคอ สะบัดนิ้วโป้งข้ามไหล่ไปหาคนที่ยืนยิ้มโชว์เขี้ยวอยู่ด้านหลัง “นี่น้องอันน์ น้องที่ฉันกำลังสอนพิเศษอยู่ อันน์ พี่คนนี้ชื่อพี่คุณ เพื่อนของครูเอง”

“สวัสดีครับพี่คุณ”

“สวัสดีครับ คิดยังไงถึงมาเรียนพิเศษกับบุรินทร์ครับน้อง ไม่กลัวคนสอนงับหัวเอาหรือ” น้องอันน์หัวเราะร่วน แก้มยุ้ยเลยยิ่งแดงเรื่อ น่ามองพอกับน่าเอ็นดู ผมปลายตามองไอ้คนตัวสูง มิน่า ร้อยวันพันปีไม่เคยนึกอยากสอนพิเศษแถมยังซุ่มเงียบแอบไปสอนอยู่เป็นนาน ที่แท้มันก็กลัวเพื่อนจะรู้ว่าคิดไม่ซื่อกับลูกศิษย์นี่เอง

“พี่คุณตัวจริงน่ารักสุด ๆ ไปเลยครับ ครูบุรินทร์บอกว่ามีเพื่อนน่ารักแต่ผมไม่คิดว่าจะน่ารักมากขนาดนี้” อะฮ้า พูดจาน่าฟังแบบนี้ ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูไปใหญ่เลยครับ ผมหัวเราะชื่น ยิ้มรับเสียเต็มแก้ม ไม่ได้หลงตัวเองนะแต่น้องเค้าอุตส่าห์ชม เราก็ต้องตอบรับเพื่อไม่ให้น้องเค้าเก้อแค่นั้นเอง ไม่ได้คิดไปอื่นไกล ฮ่า ๆ ๆ

“ผมอยากเจอมานานแล้วครับก่อนหน้านี้พี่ชายก็พูดถึงพี่คุณอยู่บ่อย ๆ”

“พี่ชาย?” ผมหันไปมองไอ้ตี๋ มันส่ายหน้าประมาณว่ากูไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับกู

“พี่จิณณ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมครับ” เฮือก เฮือกสิครับงานนี้ ผมสะดุ้งเฮือกจนไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองมันหัวเราะก๊าก มายจอร์จ ลอร์ด บุดด้า โลกใบนี้มันจะกลมไปถึงไหน ประหลาดใจจนต้องสำรวจเด็กตรงหน้าให้ละเอียดอีกครั้ง หน้าตาตรงข้ามกันสุดกู่ครับพี่น้องคู่นี้ น้องอันน์ตาโต แก้มยุ้ย ผิวไม่จัดว่าขาวมากอย่างจิณณ์แต่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับไอ้ตี๋มัน แต่ที่เหมือนกันคือมาตรฐานรูปลักษณ์ที่สูงกว่าคนทั่วไปแล้วก็ออร่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจนผมแสบตา ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ยิ่งทักยิ่งดูดี ที่แท้ก็เป็นสายพันธุ์เดียวกันกับไอ้คุณชายนั่นเอง

สงสัยเพราะถูกขนาบด้วยบุรินทร์กับวาเลยทำให้ผมมองข้ามความน่ามองของน้องเขาเมื่อตอนแรกพบ พอได้สำรวจดูดี ๆ แล้วก็อยากจะเอาหัวโขกพื้นตาย มิน่าล่ะ เด็กมอปลายทั่วไปที่ไหนจะมีอำนาจถึงขนาดที่จะทำให้คุณชายบุรินทร์ยอมไปเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้ถ้าไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจเสมอกัน ดู ๆ แล้ว เรื่องนี้จะใกล้ตัวผมมากกว่าที่คิดแฮะ

“หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย”

“แค่ญาติห่าง ๆ น่ะครับแต่ก็สนิทกันอยู่”

“นะ บังเอิญจัง” ทำไมผมไม่เคยรู้ ทำไมคนอื่น ๆ ถึงรู้ แต่จะว่าไปผมแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลย ทุกอย่างที่รู้ก็เกิดจากการอนุมานของตัวเองจากสิ่งที่เห็นทั้งสิ้น รู้ว่าบ้านพี่มันคงรวยเพราะไม่งั้นคงไม่ซื้อคอนโดหรูอยู่คนเดียวหรือขับรถราคาหลายล้านได้ รู้ว่ามันเรียนเก่งเพราะเป็นว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รู้ว่าที่บ้านทำกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ส่วนเรื่องนิสัยก็แสนจะดี ยกเว้นเรื่องกวนอารมณ์เป็นบางครั้งแล้วพี่มันก็แทบไม่มีข้อเสียเลย สุภาพ อ่อนโยน ใจเย็น ใจดี ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เครือญาติหรืออะไรอย่างอื่น ผมแทบไม่มีข้อมูลเหล่านั้นในหัว

ทำไม?

เพราะผมไม่สนใจจะถามหรือเพราะเจ้าตัวไม่อยากบอก

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“ไม่ได้เป็น”

“ทำหน้าคิดมากนะ น้อยใจหรือเรา” บุรินทร์ยิ้มกริ่ม กระแซะตัวเข้ามาวางคางกับไหล่ผม ไอ้นี่ก็วอนไม่อยากตายดีแถมยังจะตายเพราะตาวาว ๆ ของเด็กอีกด้วยนะ ผมดันหน้ามันออก เถียงสุดใจขาดดิ้น “น้อยใจเชี่ยอะไรล่ะ ฉันแค่กำลังคิดว่าไอ้พี่จิณณ์มันนินทาอะไรฉันบ้าง อย่าไปเชื่อคำมากนะน้องอันน์ หมอนั่นพูดไหนไม่มีนั่นหรอก”

“ไปว่าพี่ชายให้น้องเค้าฟังอีก” วาปรามเสียงอ่อน

“ก็มันจริงไหมล่ะ พี่จิณณ์ของวาบอกว่าจะรีบเอารูปที่ไปเที่ยวมาให้ดูแล้วมันก็ชิ่งหนีไปอเมริกาไม่ยอมบอกฉันสักคำ หลอกให้คอยหาย ๆ แม่ง พูดแล้วก็หงุดหงิด เซ็งโว้ย” สะบัดหน้าพรืดจนคอแทบเคล็ด วารีบวางแก้วชาบนโต๊ะก่อนที่ผมจะฟาดงวงฟาดงาไปโดน คนหน้าสวยดีกรีหนึ่งในผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยจับคางผมส่ายไปมาทั้งที่หน้ายังยิ้มหวาน

“เก็บอาการหน่อย นี่ต่อหน้าเพื่อนไม่ใช่แฟน”

“ใครแฟนใคร พูดให้ดี ๆ นะ”

“พี่จิณณ์ไง ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วหรือ”

“ไม่ได้เป็น แค่บอกรักไม่ได้ขอ...” ตายหอง!

“ไม่ได้ขออารายยยยยยยย?” ผมรีบยกมืออุดปากตัวเองแล้วก็สั่นหน้าดิก ไหวไหมวะ ดวงตาของเพื่อนรักและเด็กรุ่นน้องอีกหนึ่งวาววับ บอกให้รู้ว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่ทุกคนพอใจ ผมคงไม่รอดไปต้อนรับคุณชายจิณณ์กลับจากอเมริกาเป็นแน่



เพื่อนเลิฟทั้งสองกับน้องอันน์กลับไปแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นหลังจากที่ขู่แกมบังคับให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง บุรินทร์หัวเราะร่วนเมื่อรู้ว่าจิณณ์เลือกอนุสรณ์สถานทหารพันธมิตรเป็นสถานที่สารภาพความในใจ ไอ้ตี๋มันลงไปนอนกลิ้งทั้งตัวแล้วก็เนียนยกหัวพาดตักเด็กไว้อย่างนั้นไม่ยอมลุก ผมพยายามปั้นหน้านิ่ง หน้าจะแดงแก้มจะร้อนก็ช่างมัน ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะเขินให้ใครดู สรุปความอย่างรวบรัดให้เป็นที่รู้กันว่าผมกับจิณณ์ยังเป็นแค่คนรู้จักกันเหมือนเดิมเพราะถึงจะรู้ว่าพี่มันชอบผมเกินระดับนั้นแต่อีกคนก็ไม่ได้เอ่ยปากขอให้ผมเลื่อนตำแหน่งให้ บวกกับความลึกลับของอีกฝ่ายทำให้ผมยังไม่อยากคิดอะไรมากกว่านั้น

เราเลยยังเป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกัน

ผมคิดอย่างนั้นนะ



คีย์กลับมาตอนหกโมง เจ้าน้องชายคนดีมันหิ้วเอายำแหนมกับโรตีสายไหมจากข้างนอกมาฝากแต่ผมไม่อารมณ์จะเอ็นจอยอิ๊ตติ้งเลยบอกผ่าน เก็บตัวอยู่ในห้องเงียบ ๆ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์คุณชายจิณณ์โชว์หราจนอยากจะปาเครื่องลงถังขยะ ยังดีที่สำนึกดีมันยั้งใจไว้

“ฮาโหล มีธุระอะไร ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก็วางไปเลยตอนนี้กำลังง่วง”

(คิดถึง ด่วนไหม)

“คิดถึงแล้วไปทำห่านอะไรถึงอเมริกา”

(รู้แล้วหรือ) หนอย ยังมีหน้ามาหัวเราะร่วน อีแบบนี้ถ้าเห็นตัวเป็น ๆ อยู่ตรงหน้ามีเจ็บตัวกันไปข้าง ผมจับหมอนหนุนมาเหวี่ยงตุบ ๆ กระชากเสียงถามแบบพร้อมจะอาละวาดได้ในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้า “ทำไมไม่บอกกันสักคำ คิดจะไปก็ไปหรือยังไง”

(...เรื่องด่วนน่ะ ตอนแรกไม่ใช่ฉันหรอกที่ต้องมาแต่บังเอิญพ่อกับพี่ชายไม่ว่าง โชคเลยมาตกที่ฉัน)

“แต่เมื่อคืนก่อนพี่ก็ไม่ได้บอกผม”

(ไม่อยากให้เป็นห่วง มาแค่ไม่กี่วันก็จะกลับแล้ว อีกอย่างจากบ้านเรามาที่นี่ก็ไม่ไกลแล้วก็เดินทางไม่นานด้วย อย่าห่วงเลยฉันดูแลตัวเองได้) อืม ไม่ไกลจ้ะ จากบางกอกไปอเมริกาไม่ไกลเลยจ้ะ อืม โมเมว่ากูห่วงมึงอีก ไม่ได้ห่วงแต่โกรธโว้ยโกรธ โกรธที่แม่งไม่ยอมบอกอะไรผมเลย ทั้งที่เป็นเรื่องของมันแต่ผมต้องมารู้จากคนอื่นอีกที แบบนี้มันน่าปลื้มไหม ผมได้แต่สำรอกอยู่ในอก จ้างให้ก็ไม่พูดออกไปให้โดนแหย่กลับมาอีกหรอก

“แล้วโทรมามีธุระอะไร ผมจะนอนแล้ว”

(นี่มันเพิ่งหัวค่ำเองไม่ใช่หรือ ทำไมรีบนอน วันนี้ไปทำอะไรมาหรือเปล่า)

“แล้วทำไมพี่ต้องรู้วะ นี่มันเรื่องของผม”

(คุณภัทร) เสียงทุ้มลากแผ่วจนผมใจหวิว จิณณ์ทิ้งให้ความเงียบทำงานของมันแบบไม่กลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่นั่งพิงหัวเตียงถือสายค้างอยู่อย่างนั้น คีย์โผล่หน้าเข้ามาดูครั้งหนึ่ง พอเห็นบรรยากาศแปลก ๆ ในห้องเจ้าเด็กนั่นก็ผลุบหายไปทันที เงียบกันไปพักใหญ่ผมก็ชักเซ็งกับความงี่เง่าของเราสองคนแล้วก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างเลยเป็นฝ่ายเอ่ยขอวางสายเสียเอง

“ผมยังไม่อยากคุยตอนนี้ ขอโทษนะ”

(คุณ...) กดตัดสายไปแล้ว จิณณ์อาจจะโกรธและผมก็ไม่ได้สบายใจขึ้นเลย ทำไมคนเราถึงโง่ทำสิ่งที่รู้ว่าจะทำให้เรื่องมันยิ่งแย่กว่าเดิมนะ ทั้งที่รู้ว่าควรใจเย็น ควรพูดกันดี ๆ ไม่ควรใช้อารมณ์เพราะบางทีเหตุผลของอีกฝ่ายก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกของเรา คิดได้เป็นฉาก ๆ แต่พอถึงเวลาทำ ทำไมมันถึงได้ยากนัก

จิณณ์โทรกลับมาอีกครั้งแต่ผมปล่อยโทรศัพท์ให้ดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไป นอนกลิ้งอยู่พักใหญ่ คราวนี้มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นแต่ไม่ใช่เสียงก่อนหน้านั้น ผมมองเบอร์แปลก ๆ แล้วก็ชั่งใจอยู่ว่าควรจะรับดีไหม เพราะรู้ดีว่ากำลังหงุดหงิดแถมยังไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครในตอนนี้ด้วย ตัดใจปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้นอีกรอบแต่แทนที่จะเงียบหายไป สายนี้กลับกะพริบอยู่นานจนแปลกใจ ผมหยิบขึ้นมากดรับ ยังไม่ทันส่งเสียงไปก็ได้ยินเสียงนุ่ม ๆ ของใครบางคนแทรกมาเสียก่อน

(ถ้ายังไม่อยากคุยกันตอนนี้ ก็ เอาเพลงไปฟังก่อนนะ) หมดจากข้อความสั้น ๆ นั้นก็เป็นอินโทรของเพลงสากลที่คุ้นหูเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ครั้งหนึ่งที่เรานั่งทำรายงานของผมอยู่ พอได้ยินเพลงนี้ผมก็หลับตานอนเลื้อยไปกับพื้นก่อนจะลุกขึ้นมาใหม่เมื่อเพลงนั้นจบลง ผมไม่เคยบอกคนส่งว่าชอบเพลงนี้ ไม่เคยชวนจิณณ์คุยเรื่องเนื้อหากับทำนองที่มันโคตรจะโดนใจแต่ผมก็ไม่แปลกใจว่าทำไมจิณณ์ถึงรู้

There are times when you make me laugh
there are moments when you drive me mad
there are seconds when I see the light
though many times you made me cry
There's something you don't understand
I want to be your man
Nothing to lose your love to win hoping so bad that you'll let me in
I'm at your feet waiting for you I've got time and nothing to lose
I've got time and nothing to lose

Nothing To Lose : MLTR





โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:




สนุกค่ะ สนุกมาก ่อ่านรวดเดียว
แต่อยากให้ลดปริมาณคำชมเรื่องความหล่อของพระเอกที่นายเอกชมบ่อยมาก คือรู้ว่าจิณณ์หล่อ แต่จะชมอะไรแทบทุกย่อหน้าจนเริ่มเอียนแล้ว

ดีใจที่ชอบและขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

สี่ไม่ใช่คนแต่งอ่ะค่ะ คงแก้ไขตรงจุดนี้ไม่ได้

แต่อยากให้ติดตามอ่านไปเรื่อยๆแล้วจะรู้ว่าที่น้องคุณชมพี่จิณณ์นี่ยังน้อยค่ะ ฮ่าๆๆๆ *คันปากอยากสปอยด์มากกกก*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2016 21:30:55 โดย MoonLovers »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ปากหาเรื่องตลอด

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จิณณ์ คิดถึง คุณ :mew1: :mew1: :mew1:
คนอ่านก็คิดถึงจิณณ์ คุณ มากกกกกกกก
รู้สึกอ่านไม่พอเลย อยากอ่านเยอะๆๆๆๆๆๆๆ
รู้เพิ่มว่าคนรักของบุรินทร์ เป็นญาติห่างๆของจิณณ์
และรู้ว่าคุณ น่ารักสุดๆ จนจิณณ์ เก็บไปพูดบ่อยๆ กับอันน์
แต่ยังไม่พอ อยากอ่านที่ส่วนของจิณณ์ อีก  :ling1: :ling1: :ling1:
จิณณ์ สุดยอดดดดด
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ดูท่าจิณณ์จะแอบชอบคุณมานานแล้ว อยากอ่านพาร์ทจิณณ์แลัว

แต่ไม่ชอบจิณณ์อย่างนึงคือ มีชะนีมีนอมาอ่อยแล้วทิ้งคุณให้เคว้ง พอคุณไปคุยกะคนอื่นก็หึง เย่าสุภาพบุรุษให้มากนักปฏิเสธบ้าง

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ ติดมาสองวันแล้ว สนุกมากกกกกกกก
อยากอ่านพาร์ทพี่จิณณ์บ้าง อยากรู้ว่าเฮียแกคิดอะไรอยู่น่ะ เอ้ออออออ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ่านไปแล้วบางทีนึกอยากดีดปากเด็ก พูดไม่คิด 555

ส่วนพี่จินณ์ ทิ้งความเป็นสุภาพบุรุษลงบ้างพี่ เดี๋ยวคนหลงเพิ่มวุ่นวายอีก

มีตอนพี่แกเล่าบ้างมั้ย อยากอ่านด้วยอีกคนค่ะ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๒๒   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ



จิณณ์ไปศึกษาวิธีการง้อคนมาจากสำนักไหน ใครเป็นคนสั่งสอนให้พี่มันส่งเพลงมาทำให้คนอื่นใจอ่อนแล้วไอ้ระบบโทรศัพท์เนี่ยมันจะไฮเทคเกินไปไหม เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาถึงขั้นสามารถทำให้คนเป็น ๆ อายจนแทบละลายได้แล้วหรือ ผมทิ้งตัวลงนอน คราวนี้ไม่ลืมเอาหมอนมากดทับหัวไว้อีกชั้น ขอสงบใจสักครู่แล้วจะกลับมาซ่าต่อ

(คุณภัทร) ปลายเสียงชิงทักมาก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรเลยได้แต่ครางรับในคอพอให้มันได้ยิน หลังจากนอนกลิ้งได้อีกอึดใจ จิณณ์ก็โทรเข้ามาอีก ไอ้พี่นี่ก็กะจังหวะที่ผมอยากได้ยินเสียงมันได้พอดิบพอดี อ้ำอึ้งกันเกือบนาทีผมก็เป็นคนที่ทนไม่ไหวอีกเช่นเคย

“ไม่พูดจะวางแล้วนะ(โว้ย)”

(แล้วกัน) จิณณ์หัวเราะออกมาในที่สุด น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ส่งมาตามสายทำให้ผมนึกหน้าคนพูดได้ประหนึ่งว่ามันกำลังยืนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวจัดคงกำลังยิ้มพราย เหมือนจะเอ็นดูคนถูกมองแต่ก็แฝงความขบขันไว้ในแววตาคู่นั้นอย่างน่าโมโห ปากสีแดงสดคงเหยียดออกจนเห็นไรฟันขาว ตาคมคงพราวระยับแล้วก็คงหล่อไม่บันยะบันยังอีกเหมือนเคย

(ขอโทษนะ) สุดท้ายปลายสายก็พูดคำนี้ออกมา ผมลากเสียงยาวเป็นคำที่หาความหมายไม่ได้ในพจนานุกรมมนุษย์แต่ก็สื่อความในใจถึงอีกคนหนึ่งได้ ผมไม่โกรธจิณณ์แล้วล่ะ

(ไม่โกรธแล้วนะ)

“อือ”

(ฉันคิดแล้วว่านายต้องเข้าใจ)

“นั่นเพราะว่าผมหน้าตาดีแล้วก็มีเหตุผลต่างหากล่ะแต่คราวหน้าไม่มีอีกแล้วนะ ถ้าพี่อุ๊บอิ๊บทำอะไรไม่ยอมบอกแล้วให้ผมมารู้จากคนอื่นอีกล่ะก็ไม่ต้องเอาหน้ามาให้เห็นเลยแล้วก็ไม่ต้องส่งเพลงมาด้วย ผมไม่ฟัง” จิณณ์ทวนประโยคของผมแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ฟังพี่มันปฏิญาณตนจนพอใจแล้วก็ถึงคราวต้องวางสายเสียที ถึงบ้านพี่ท่านจะรวยล้นฟ้าแต่การเอาตังค์พ่อแม่มาผลาญเล่นเพราะค่าโทรทางไกลแบบนี้ไม่ใช่วิสัยเยาวชนที่ดี ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ควรแยกย้ายกันไปทำงาน อยากคุยก็ค่อยมาคุยกันตอนเจอหน้าดีกว่า บอกจิณณ์ไปตามที่คิดไอ้หล่อมันก็หัวเราะเข้าให้

(โอเค แล้วเจอกันนะ)

“อืม แล้ว...พี่จะกลับมาเมื่อไหร่อ่ะ” ถามไปงั้นแหละ เผื่อมีคนมาถามต่อจะได้ตอบถูก

(อีกสองอาทิตย์)

“สองอาทิตย์! ทำไมไปนานขนาดนั้น ไหนว่าแค่เป็นตัวแทนพ่อไปงานเลี้ยงไง”

(ทำไม) ปลายสายย้อนถามเสียงเจือหัวเราะ

(คิดถึงหรือ?) ห่าน กูคิดถึงแล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องเอามายอกย้อนด้วยหรือวะ ผมทุบกำปั้นลงกับหมอนตุบ ๆ จิณณ์มันคงรู้ตัวเลยรีบบอกราตรีสวัสดิ์แล้วก็ตัดสายไปอย่างว่อง คอยดู เจอกันคราวหน้าผมจะกระโดดเข้ากอด ปล้ำหอมแก้มซ้ายขวาแล้วก็ทำตาหวานบอกว่าคิดถึงจังพี่จ๋าดัง ๆ ดูซิว่ามันจะมีหน้ามาหัวเราะชื่นแบบนี้อีกไหม

 


เปิดเทอมใหม่แล้ว

พวกเรากลายเป็นนิสิตพี่ปีสองที่มีน้องใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักมาให้ชื่นชมเป็นอาหารตากันไม่เว้นวัน อาทิตย์แรกของการเรียนการสอนยังไม่ค่อยมีเนื้อหาอะไรมากนอกจากแจกชีทและอธิบายรายละเอียด ขอบเขตเนื้อหาของแต่ละวิชา พวกเราเลยมีเวลานั่งจับกลุ่มชมวิวได้อย่างสบายใจเฉิบ อากาศแจ่มใส อารมณ์ดี แบบนี้ต้องหาเรื่องบุรินทร์หน่อยแล้ว

“เฮ้ยตี๋ ช่วงนี้กินเด็กไปถึงไหนแล้ววะ” มันละสายตาจากผู้หญิงสองสามคนที่กำลังเดินผ่านโต๊ะประจำของพวกผมไปโรงอาหาร หันมามองผมตาเขียว

“ใครกิน พูดให้มันดี ๆ นั่นน้องเว่ย” โถ น้อง เชื่อก็อูฐแล้ว

“อ๋อ โทษที น้องเนาะ”

“กวนตีน”

“น้องแบบที่ท้องติดกันป่ะวะ”

“ไอ้ลูกหมา!ทะลึ่งละ เดี๋ยวจะโดน”

“ทำเป็นดุ เหอะ เมื่อไหร่แกจะเลิกคิดว่าเพื่อนโง่ตามแกไม่ทันสักทีหา เห็นตาตี่ ๆ ของแกมองน้องเค้าวันนั้นฉันก็เห็นทะลุไปถึงไส้ติ่งแกแล้ว อย่ามาปิดเสียให้ยาก กำลังพูดอยู่กับใครให้มันรู้ซะมั่ง”

“จ้า รู้ดี เรื่องคนอื่นน่ะรู้ดี ทีเรื่องตัวเองทำไมไม่ฉลาดแบบนี้บ้างล่ะ”

“ฉลาดอยู่แล้ว” ผมยักคิ้วบอก หยิบขนมดีดใส่หน้าไอ้คนช่างยอกย้อนด้วยความเร็วเหนือแสง ไอ้ตี๋มันร้องจิ๊เพราะโดนหน้าผากมันไปเต็ม ๆ
 
“ข้องใจ?” มันทำเสียงเหอะ เลียนแบบผมเป๊ะ ๆ

“โดนแอบรักอยู่เกือบปีแต่ไม่รู้ตัว เนี่ยนะคนฉลาด”

“ใคร...พูดให้ดี ๆ นะเว่ย”

“ห้าว ต่อหน้าเพื่อนล่ะห้าว ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”

“ไอ้ตี๋โลลิค่อน”

“เก็บไว้บอกแฟนตัวเองดีไหมครับพี่น้องคุณ ห่างกันกี่ปีให้พี่คำนวณให้ไหม”

“ไอ้พี่จิณณ์ไม่ใช่แฟนฉัน ยังไม่ใช่ เข้าใจไหม”

“แล้วใครพูดถึงพี่จิณณ์ของนาย”

“บอกว่าไม่ใช่ของฉัน” งี้ดดดดดดดดด โกรธมัน โมโหมัน อยากงับหัวมัน ผมถลาข้ามโต๊ะไปหา กะว่าวันนี้ไอ้บุรินทร์มันได้รอยฟันผมกลับไปอวดลูกศิษย์แน่ ๆ แต่ลืมไปว่ากลุ่มเรายังมีอีกหนึ่งคนนั่งหัวโด่เป็นพยานอยู่

“หยุด!” เสียงเฉียบขาดแบบนี้

“อะไรกันนักหนา เปิดเทอมวันแรกก็ฟัดกันแล้ว ไม่สงสารคนที่ต้องทนฟังอย่างฉันก็อายน้อง ๆ บ้างเถอะ คนมองกันใหญ่แล้วเห็นไหม คุณ กลับมานั่งนี่” สั่งอย่างเดียวไม่เคยพอใจต้องลงไม้ลงมือ ลากกันกลับมานั่งที่เดิมด้วย วาใจร้ายทีไอ้ตี๋มันล้อผมยังไม่เห็นว่าอะไรมันเลย

“มองอะไร”

“ไม่มองก็ได้” ตอบแล้วก็ซุกหน้ากับไหล่คนถาม ถ้าโดนวาดุเมื่อไหร่ต้องใช้ลูกอ้อนเท่านั้นถึงจะเรียกความเอ็นดูกลับคืนมาได้ เพราะเจ้าคนหน้าสวยของพี่พีร์ไม่ชอบง้อใครพอ ๆ กับที่ไม่ค่อยโกรธใครนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นใครทำให้วาอารมณ์บูดนั่นก็หมายความว่ารับโชคไปเต็ม ๆ เลยจ้าาา

“เย็นนี้มีใครว่างบ้างหรือเปล่า” คนที่กำลังเรียงเอกสารใส่แฟ้มถามโดยไม่มองหน้า

“ว่างมั้ง วาถามทำไมอ่ะ”

“ไปกินข้าวกัน”

“วาจะเลี้ยงหรือ”

“ไม่เลี้ยง” เพื่อนผม รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ทำร้ายน้ำใจเพื่อนก็ยังตอบแบบไม่คิดได้อยู่นะ มือเรียวบีบแก้มผมจนโย้แล้วก็บอกเจือเสียงหัวเราะ “แต่มีคนอื่นเลี้ยง”

“ใครอ่ะ”

“คนที่มีเงินเดือนกินแล้วน่ะสิ”

“พี่พีร์หรือ” เดาสุ่มไปงั้น ก็ช่วงหลังมานี่พี่คนที่ว่าเขาอาสาเป็นเจ้ามือให้พวกผมอยู่หลายครั้ง คอยซักถาม เป็นห่วงเป็นใยแม้ว่าผมจะหน้าไม่เหมือนวา ใจดีผิดกับไอ้ผู้ชายบางคนที่มันหนีไปแรดไกลถึงอเมริกา นี่ก็เหลืออีกเกือบอาทิตย์กว่าจะกลับมา คิดถึง เอ้ย นึกถึงแม่งแล้วหงุดหงิดพิลึก

“อืม มั้ง ไม่แน่ใจ”

“อะไรน่ะ ท่าทางมีความลับ” เรียวปากสีอ่อนวาดยิ้มบาง จนแล้วจนรอดวาก็ไม่ยอมบอกผมว่าใครจะเป็นผู้มีพระคุณของเรา ผมไปหันขอคำตอบจากบุรินทร์ ไอ้เพื่อนคนนี้ก็เสหยิบโทรศัพท์มากดหาเด็กน้อยตากลมแก้มป่องของมัน แล้วก็กางบาเรียสีชมพูอมม่วงกั้นผมมานั่งเอ๋ออยู่วงนอก สุดท้ายผมกับวาก็อาศัยรถบุรินทร์ไปถึงร้านที่นัดเจ้ามือไว้ตอนทุ่มตรง



พี่พีร์รออยู่ก่อนแล้ว ในโต๊ะมีสองเพื่อนซี้พี่ไวทินกับพี่ภูวดลนั่งยิ้มแป้นอยู่ด้วย พอสองหนุ่มเห็นผมก็โบกมือทักทายประหนึ่งว่าเคยคุ้นกันมาแต่ชาติปางก่อนทั้งที่เอาจริง ๆ แล้วพวกเราเคยพบกันคุยกันนับครั้งได้ แต่ไม่เป็นไรในสถานการณ์ที่ต้องเอาสวัสดิภาพของกระเพาะอาหารมาเกี่ยวข้องด้วยนั้นคนแปลกหน้าก็ย่อมกลายเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายได้

“ฝากท้องด้วยนะพี่” บุรินทร์เอ่ยฝากตัว เอาไหล่กระแทกผมให้เซไปหาวาที่กำลังคลานเข้าไปนั่งข้างพี่พีร์ ส่วนตัวเองก็ไปนั่งกับสองคู่ซี้อีกด้านหนึ่ง โต๊ะตัวยาวสีดำเงาวับ นั่งกันฝั่งละสามก็ยังเหลือที่ว่างอีกเกือบเมตร พนักงานสวมชุดกิโมโนสีน้ำตาลเข้ากับบรรยากาศอันสงบของร้านก้าวสั้น ๆ เข้ามาวางเมนูแล้วก็ก้มหน้าถอยไปด้วยกริยาที่ถูกฝึกมาอย่างดี พวกเราทักทายกันพอหายคิดถึงจากนั้นก็เริ่มกระบวนการออเดอร์ชุดใหญ่ เรียบร้อยขั้นตอนแรกนั่นแหละผมถึงมีโอกาสเปิดปากถามเรื่องที่ข้องใจ

“ตกลงเลี้ยงกันในโอกาสอะไรหรือครับพี่”

“โอกาสอยากกินไง”

“แหม คำตอบน่าคบหา งั้นก็อยากกินบ่อย ๆ แล้วก็อย่าลืมพวกผมด้วยนะครับ”

“อันนี้คงต้องแล้วแต่เจ้าของงาน ไม่รู้ว่ามันจะอยากให้ชวนน้องคุณมาด้วยหรือเปล่า” พี่ไวทินยิ้มจนหางตาย่น คนอารมณ์ดีไปกระซิบคิกคักกันสองคนกับพี่ภูวดล ยิ่งทำให้ผมอยากรู้หนัก เกาะโต๊ะยืดตัวไปมองหน้าพี่พีร์เป็นการขอคำอธิบาย

“จิณณ์มันชวนมากินน่ะเลยถือโอกาสเลี้ยงที่ทุกคนได้งานทำแล้ว”

“อ้าว เพื่อนพี่ยังอยู่ที่อเมริกาไม่ใช่หรือครับ” แล้วก็อีกเกือบอาทิตย์กว่าจะถึงกำหนดกลับอย่างที่มันบอกผม พี่พีร์ยิ้มมั่นใจ ไม่มีท่าทางบอกว่าล้อเล่นสักนิด

“กลับมาแล้ว กลับมาตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย”

“เอาจริงดิ”

“จริง”

“พี่พีร์ไม่ได้อำผมใช่ไหม”

“จะอำทำไมเล่า ตอนนี้คงกำลังไปรับอันน์อยู่มั้ง สองคนนั้นเค้าบ้านใกล้กัน หมายถึงบ้านใหญ่นะไม่ใช่คอนโด” เลิศ ประเสริฐ เพอร์เฟ็ค มึงยังมีอะไรให้กูแปลกใจอีกไหมไอ้พี่จิณณ์ นั่งฟังมนุษย์โลกเขาพูดกันเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีประเด็นไหนจะฮอตและกระแทกหูเท่าประเด็นของหนุ่มหล่อ พ่อรวย มีสาวสวยรุมล้อมทุกที่อย่างจิณณ์  ปภาเดชวิรุฬห์ ว่าจะอดใจฟังเงียบ ๆ แล้วเชียว สุดท้ายผมก็ห้ามปากตัวเองไม่ได้อีกเช่นเคย

“พี่เขาฮอตมากเลยหรือครับ”

“น้องคุณหมายถึงใคร”

“ก็พวกพี่กำลังพูดถึงคนที่ชื่อจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์ไม่ใช่หรือครับ” พี่ไวทินหัวเราะก๊าก ตะปบมือลงบนแก้มผมแล้วก็บีบแบบไม่ออมแรง โฮก พี่ครับ หน้าผม ร้องงี้ดง้าดไม่เป็นเสียงจนเค้ายอมปล่อย หากยังไม่วายยีทรงผมโคตรคูลของผมให้เสียทรงทิ้งท้ายเหมือนหมั่นเขี้ยวเสียเต็มที อะไรกันเนี่ย ล้อเล่นกับความหล่อของพี่คุณแบบนี้มันไม่ดีนะ

“น่ารักจังนะนายเนี่ยหึงจิณณ์มันหรือ”

โฮะ!
 
“ก็น่าให้น้องเค้าคิดมากอยู่หรอก ไอ้จิณณ์มันป๊อบมานานแล้วนี่นา กูจำได้ว่าเมื่อก่อนแม่งเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น แล้วเด็กมันก็ชอบเหลือเกิ๊น ผู้ชายน้ำนิ่งไหลลึกอย่างไอ้คุณชายมันเนี่ย ขอให้ได้ควงสักวันพรุ่งนี้ถูกทิ้งก็ยังเอา”

ห๊ะ?

อะไรนะ?

“จำได้ไหมดล เคยมีดาวนิเทศน์กับบัญชีมาจ๊ะเอ๋กันที่โรงอาหารคณะเราด้วยนะตอนปีสามน่ะ กูวิ่งไปตามไอ้จิณณ์แทบไม่ทัน สองดาวประกาศใส่หน้ากันปาว ๆ ว่าต่างคนก็ต่างเป็นแฟนพี่จิณณ์ ไอ้คนกลางมันมาถึงก็มองหน้าสองสาวคนละแวบแล้วก็เดินขึ้นห้องสภาไปแบบไม่พูดอะไรสักคำ เป็นอันรู้กันว่าสองคนนั่นโดนปลดจากตำแหน่งพร้อมกัน คิดถึงสายตามันแล้วยังหนาวไม่หาย”

“ใช่ กูก็อยู่ตรงนั้นด้วย น้องสองคนนั่นร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่แต่ก็โทษใครไม่ได้ รู้อยู่ว่าเชี่ยจิณณ์มันไม่ชอบให้ใครสร้างเรื่องวุ่นวาย ผลเลยเป็นแบบนั้น” สามเพื่อนซี้ยังคงเดินหน้าถกประเด็นความฮอตของไอ้หล่อมันอย่างถึงรสถึงชาติ ไม่มีใครหันมาสนใจเลยว่าผมกำลังมึนงงกับเรื่องที่ได้ยินมากแค่ไหน

ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คุณชายคนดีศรีสังคมนั่นนะจะทำเรื่องแบบนั้น โอเคว่าคุณสมบัติพี่มันสามารถจัดอยู่ในระดับสมบัติล้ำค่าของหมู่มวลมนุษยชาติได้ แต่ไอ้เรื่องเคยผ่านผู้หญิงมาโชกโชนถึงขั้นเป็นตำนานให้เพื่อนเล่าขานแบบไม่รู้จบแบบนั้นมันใช่คนเดียวกันหรือ พี่จิณณ์ที่ผมรู้จักน่ะนะจะเคยทิ้งผู้หญิงที่เคยคบอย่างโหดร้ายแบบนั้น

ทุกอย่างของจิณณ์เรียกได้ว่าครบพร้อม นอกจากรูปร่างหน้าตาดีแล้วนิสัยใจคอยังน่านับถือ เอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี มีน้ำใจ น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูคอยถามไถ่ด้วยความเอาใจใส่อยู่เสมอ แถมยังมีหลายเวอร์ชั่นให้ใจเต้น ให้พูดตอนนี้ผมก็ไม่อยากเชื่อนะว่าคนที่เคยตามใจผมทุกอย่าง ชอบทำหน้ายิ้ม ๆ อ้อน ๆ เวลาอยู่ด้วยกัน มันจะใจทมิฬถึงขั้นบอกลาผู้หญิงพร้อมกันถึงสองคนโดยการแค่ปรายตามองแล้วจบกัน

เลือดเย็นเกินไปนะ

ผู้ชายคนนั้นใช่จิณณ์จริง ๆ หรือ?

“หวังว่าที่ออกจากงานตั้งแต่ยังไม่พ้นโปรอย่างคราวนี้มันคงไม่ได้มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรอกนะ น้องคุณพอจะรู้ไหมว่าทำไมจิณณ์ถึงลาออกจากบริษัทนั้น”

“ลาออกหรือครับ?”

“อื้อ ลาออก”

“จิณณ์ พี่จิณณ์ลาออกจากงานแล้วหรือครับ”

“อ่า...ใช่...นี่เรายังไม่รู้หรือ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” พี่ดลนิ่วหน้า เหลือบตามองที่ปรึกษารอบโต๊ะแล้วก็บอกพร้อมรอยยิ้มทะเล้นประจำตัวที่จืดเจื่อนเต็มที “ตั้งแต่ก่อนไปอเมริกามั้ง เห็นว่าต้องมาช่วยงานบริษัทของทางบ้าน แต่พี่ไม่รู้รายละเอียดหรอกนะ พวกเราก็ไม่มีใครรู้ เดี๋ยวรอถามจิณณ์มันเอาละกันนะ หมอนั่นคงตั้งใจจะเล่าให้น้องคุณฟังวันนี้แหละ”

“อย่างนั้นหรือครับ”

“อย่างนั้นแหละ เชื่อพี่ ๆ”

เชื่อเหรอ? มีอะไรเหลือให้ผมเชื่อได้อีก ไม่เข้าใจเลยนะ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมไอ้พี่จิณณ์มันไม่ยอมบอกผม ทำไมต้องปิดบังแล้วให้คนอื่นมาเล่าให้ผมฟังครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ ลาออกจากงานตั้งแต่ก่อนไปอเมริกา ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็โทรคุยกันแทบทุกคืนแต่ไม่ยอมปริปากพูดถึง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็สัญญากันดิบดีว่าจะไม่ปิดบังอะไรกันอีก ทำแบบนี้จะให้ผมรู้สึกยังไง

“นั่น จิณณ์มาแล้ว” ถ้าผมลุกไปจากโต๊ะตอนนี้จะมีใครว่าผมเสียมารยาทหรือเปล่า ทุกคนจะตกใจไหม ผมจะทำให้บรรยากาศการสังสรรค์อันครึกครื้นต้องกร่อยลงไปแค่ไหนยังไง มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ แต่ทำยังไงดี ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน ไม่อยากมอง ไม่อยากจ้องตา ไม่อยากอารมณ์อ่อนไหวเพราะไอ้ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

แต่ผมก็ไม่ได้ลุกไป

สำนึกด้านดีที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดในตัว มันบังคับให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป แม้ในใจจะชาหนึบเพราะความผิดหวังและความน้อยใจแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้คนรอบตัวเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ผมคุยกับทุกคน ยิ้มให้ทุกคน ยกเว้นคนเดียวที่ให้ยังไงก็ไม่สามารถฝืนใจตอบโต้กลับไปได้ เจ้าตัวคงจะรู้สึกถึงความผิดปกตินั้นถึงได้ขยันมองมาเสียเหลือเกิน อยากมองก็มองไป ต่อให้สายตามีเลเซอร์พลังทำลายล้างอยู่ด้วย นาทีนี้มันไม่มีทางสะเทือนผม ไม่มีทาง

พอถึงจังหวะที่ทุกคนกำลังรอของหวานมาเสิร์ฟผมก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องชายสุดที่รัก เจ้าคีย์มันโทรมาหาบอกว่าเข้าบ้านไม่ได้เพราะทำกุญแจหาย แม่ก็ยังไม่กลับจากไปหาพ่อที่อยุธยา เจ้านั่นเลยนั่งรออยู่หน้าประตูเพราะเข้าไปได้แต่รั้วแต่ไม่กล้างัดประตูบ้านกลัวแม่กลับมาตี ผมฟังแล้วก็ได้โอกาสขอตัวแยกจากกลุ่มทันที

“ฉันไปส่ง” ไม่ต้องเดาว่าเสียงใคร ผมขยับสายเป้บนไหล่ตอบแบบไม่อาวรณ์เลยคราวนี้

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้ มันไม่ไกล”

“ฉันจะไปส่ง” อีกฝ่ายยืนยันเสียงเรียบแต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องตามใจ

“อย่าไปเลยพี่ พี่เป็นเจ้าภาพมื้อนี้กลับก่อนจะน่าเกลียด นานทีได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อยู่ที่นี่ต่อเถอะ ผมกลับเองได้จริง ๆ”  เจอน้ำเสียงโมโนโทนแบบไร้อารมณ์และความรู้สึกบวกรอยยิ้มบาง ๆ เข้าไปเป็นใครก็คงเถียงไม่ออก ผมยิ้มลาทุกคนแล้วก็ชิ่งหนีคู่กรณี สวมรองเท้าแล้วก็เผ่นออกจากร้านตรงไปหาแท็กซี่แบบไม่เหลียวหลัง ปกติชีวิตผมจะผูกชะตาไว้กับรถไฟฟ้าสายประจำและจักรยานคู่ชีพแต่สำหรับวันนี้ ถ้ายังขืนใจเย็นเดินเอื่อยไปสถานีใกล้ ๆ อาจจะไม่ทันการเพราะใจหนึ่งผมก็คิดว่าจิณณ์คงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพียงแค่นั้นและผมก็คิดถูก ทันทีที่รถแท็กซี่เคลื่อนตัวออกจากที่จอด จิณณ์ก็วิ่งออกมาจากร้านพอดี ร่างสูงใหญ่เสยผมอย่างงุ่นง่าน มองตามท้ายรถมาจนสุดตา

ท่าจะโกรธ แต่ใครสนล่ะ มันมีสิทธิ์โกรธด้วยหรือคราวนี้ คนที่ต้องโกรธคือผมที่นั่งน้ำตาคลออยู่นี่ต่างหากล่ะ แม่ง ทุเรศสุด ๆ นิสิตชายผู้เป็นที่ใฝ่ฝันของสาว ๆ กว่าครึ่งมหาวิทยาลัยต้องมานั่งปาดน้ำตาทิ้งยังกะนางเอกนิยายเพราะการกระทำของไอ้ผู้ชายหลายหน้าคนหนึ่ง ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้คนเลว ไอ้ชั่ว จำไว้ว่ามันทำให้ผมต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าเกลียดแบบนี้

“จะไม่ยกโทษให้ คราวนี้จะไม่มีการยกโทษให้ง่าย ๆ อีกแล้ว” ลุงคนขับแท็กซี่คงจะหลอนที่มีไอ้เด็กหน้าตาดีแต่นิสัยแปลกมานั่งครางอืด ๆ  ๆ ให้ฟังเลยเหยียบคันเร่งเสียจนมิด ไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็ได้ควักตังค์จ่ายค่าโดยสารที่แพงกว่าค่ารถไฟฟ้าหลายเท่าให้เขาไป ก้าวลงจากรถด้วยสติที่ไม่สมประดีสักเท่าไหร่เลยไม่ทันเห็นว่าตัวเองกำลังเอาหัวไปชนแผ่นอกของใครบางคนเข้า ยังดีที่อีกฝ่ายยันหน้าผากผมไว้เสียก่อน งานนี้เลยมีช็อคซ้ำสอง

“ใครบอกให้ตามมา”

ทำไมต้องรอให้ใครบอกฉันอยากมาก็มา”

“ดีนี่ อยากมาก็มา อยากไปก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ดี ดีที่สุดเลยล่ะ”

“ฟังก่อนน่า ฉันไม่ได้คิดจะปิดบังนายนะ”

“พอเถอะ วันนี้ผมเหนื่อย พี่กลับไปก่อนได้ไหม” จิณณ์เม้มปากแน่น มันใช้สายตาเพ่งมองจนผมทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปเสียเอง หางตาแวบเห็นน้องชายกำลังทำคอยืดคอยาวมาจากอีกฝั่งของรั้วก็เลยยิ่งอยากยุติการเผชิญหน้าครั้งนี้ให้เร็วที่สุด

“ขอร้องนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้”

“คุณ ที่ฉันไม่ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่แรกเป็นเพราะว่าเรื่องมันยาว เรื่องงานเรื่องทางบ้านมันเกี่ยวพันกันอยู่ ฉันกลัวว่านายจะไม่เข้าใจถึงได้รอให้เราเจอหน้ากันก่อนแล้วถึงจะเล่า ไม่ได้คิดจะปิดบังอย่างที่นายเข้าใจนะ”

“จะเหตุผลอะไรก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะฟังจริง ๆ”

“ฉันไม่สบายใจถ้าจะปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้” ผมหัวเราะเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกจิณณ์ พี่ปล่อยมันทิ้งไว้มาตั้งนานแล้วจะปล่อยไปอีกสักพักก็คงไม่มีผลอะไร ดีกว่าพี่ดึงดันจะพูดคืนนี้ตอนนี้เพราะถ้าผมไม่พร้อมจะฟัง จะเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรมันก็ไร้ค่า” เป็นความเย็นชาระดับสูงสุดที่ผมเคยแสดงออก ไม่ได้บิ้วด์ ไม่ได้แกล้งทำแต่ว่ามันออกมาจากใจที่กำลังชาหนึบเหมือนถูกคำสาปของแม่มดใจร้าย ก่อนที่ตัวเองจะเข้าสู่โหมดนางเอกนิยายมากไปกว่านี้ ผมต้องจบทุกอย่างเสียที

“ราตรีสวัสดิ์”

“คุณ อย่าทำแบบนี้” มืออุ่นคว้าต้นแขนผมไว้หมับแต่ผีบ้าในใจมันร้องสั่งให้ผมสะบัดเต็มแรง เค้นเสียงใส่อีกฝ่ายด้วยความไร้สติที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิตนี้ “พี่โง่หรือเปล่าจิณณ์ เจ้าของบ้านเค้าไล่ขนาดนี้พี่ยัง...ยังจะหน้าด้านอยู่อีกหรือ ผมบอกว่าราตรีสวัสดิ์หมายความว่าผมกำลังไล่พี่ไปจากตรงนี้ หัดฟังคนอื่นซะบ้างสิ”

“คุณภัทร”

“พอเสียที ตอนนี้ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่ ผมเบื่อ ผมรำคาญ เข้าใจไหม” พวกคุณเข้าใจไหม ผมพูดเองและเสียใจเอง



โปรดติดตามตอนต่อไป    :monkeysad:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ต้องงอนให้หนักกก!! 5555 รออออ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ AutoAngels

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใจจะขาดกรีดดดดด

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ทำไมต้องปิดบัง  :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๒๓   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





(ขอพูดกับไอ้ลูกหมาหน่อย)

“ก็พูดอยู่ เอ๊ะตี๋ โทรมาแล้วอย่ากวนได้มะ”

(อยู่ที่ไหน)

“อยู่ข้างนอก”

(แล้วทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มาเรียน ลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เปิดเทอมแล้วน่ะ) เสียงห้าวตะคอกผ่านเครือข่ายโทรศัพท์พุ่งเข้าปะทะโสตประสาทผมจนขี้หูแทบเต้น ดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูแล้วก็ย่นจมูกกับกระจกในลิฟต์ ไอ้นี่ก็ดุยิ่งกว่าพ่อกูยกกำลังเจ็ดอีก

“ไม่ได้ลืมแต่ไม่มีอารมณ์จะเรียน มีปัญหาไรมะ”

(มีแน่ อยู่ที่ไหนตอนนี้บอกมา)

“ไม่บอกกกกก”

(คุณ บอกมา จะออกไปหา)

“ไม่ต้องมา” ขืนให้มันมาเจอสภาพเหมือนศพเดินได้แบบนี้มีหวังโดนซักไม่รู้จบ ผมฉลองวันที่สองของภาคการศึกษาด้วยการฉายเดี่ยวมาดูหนังที่พารากอนโดยไม่บอกเพื่อน เลยเวลาเข้าเรียนคาบแรกไปนานแล้วบุรินทร์มันเลยโทรมาจิก มีเพื่อนประเสริฐบางทีก็ต้องทนหนวกหูแบบนี้เองล่ะน้อ

(เป็นอะไรหรือเปล่าวะ)

“เซ็ง ป่วง ป่วย จิตตก นอยด์ อะไรที่มันแปลว่าไม่โอเคได้อีกก็ตามนั้น”

(บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าอยู่ตรงไหน)

“ไม่ต้องมาหรอก”

(เอ๊ะ!)

“อยากอยู่คนเดียวน่ะ” ไอ้ตี๋มันเงียบไปอึดใจก่อนจะพึมพำเหมือนจะตัดใจ (ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็โทรมา จะไปหา)
แหม มันพูดอย่างกับผมเป็นสาวน้อยบอบบาง ที่มีปัญหาความรักทีก็จะต้องมีเพื่อนสาวเอาไว้คอยประคองป้องใจยึดไหล่ไว้ซับน้ำตา ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย แต่ก็เอาเถอะ ผมรู้ว่าบุรินทร์เป็นห่วงและถึงวาไม่โทรมาฝ่ายนั้นก็คงกำลังนั่งฟังอยู่ไม่ไกล ไม่อยากให้เรื่องของตัวเองเป็นภาระของเพื่อนผมจึงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก กวนตีนมันให้หายซึ้งไปเลย

“จ้าาา ยังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหนแต่จะมา”

(อย่ากวนให้มาก คนเป็นห่วงนะโว้ย)

“ไม่ต้องห่วง มาหลีสาวโว้ย ไม่ได้มาตาย แค่นี้นะ”

(ไอ้เพื่อนเวร...) บุรินทร์มันพ่นอะไรอีกไม่รู้เป็นภาษาต่างด้าวยืดยาวและดุเดือดพอประมาณ ผมกดตัดสายมันแล้วก็ตรงดิ่งไปยังร้านอาหารที่หมายตาเอาไว้ กำลังจะบอกพนักงานว่ามาคนเดียว ตาก็เหลือบไปเห็นคนคุ้นตาแวบ ๆ หยีตามองแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“พี่ชา!” สุดหล่อเบอร์สองยิ้มโชว์ลักยิ้มตอบกลับมาทันที

“ไง มากับใครน่ะเรา”

“มาคนเดียวครับ”

“แล้วมาทำอะไร วันนี้ไม่มีเรียนหรือ”

“มากินข้าวครับ” เลือกตอบเฉพาะคำถามแรกจะสั้นเกินไปไหม เออ คงสั้นเกินไปต่อให้อีกหน่อยละกัน “ผมมาดูหนังน่ะแต่ยังไม่ได้กินข้าวเลย ว่าจะหาอะไรรองท้องก่อน พี่มาเที่ยวกับเพื่อนหรือครับ” พ่อหล่อร้ายพี่ชายบุรินทร์ส่ายหน้า หันไปโบกมือให้คนกลุ่มนั้นแล้วก็เดินนำผมเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย

“เรื่องงานน่ะแต่เรียบร้อยแล้วล่ะ ขอดูหนังด้วยคนสิ”

“เอางั้นหรือครับ”

“ไม่ได้หรือ”

“ได้สิครับแต่บางทีพี่อาจจะไม่อยากดูหนังที่ผมตั้งใจจะดู” แล้วผมก็ไม่อยากเปลี่ยนไปดูเรื่องอื่นด้วย แต่พอผมบอกเรื่องที่อยากดูไป เขาก็คิดอยู่นิดหนึ่ง ซักถามอีกสองสามคำก็เป็นอันตกลงว่าเราพอจะร่วมอนาคต เอ๊ย อุดมการณ์เดียวกันได้อยู่ เลยตกลงว่าจะซื้อตั๋วสองใบที่นั่งติดกัน คุยกันไปมาผมก็ถามลามไปถึงเรื่องไปเที่ยวโดยไม่รู้ตัว

“พี่ชากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ก็กลับวันหลังจากที่คุณกลับนั่นแหละ เออ รูปที่เราถ่ายด้วยกันดูดีมากเลยนะ วิวสวย”

“นายแบบก็หล่อด้วยดิพี่” พี่แกหัวเราะเสียงจนไหล่สั่น ผมชินแล้วล่ะ ใครที่ไม่ชินกับความหน้าตาดีและปากตรงกับใจของผมก็มักมีอาการแบบนี้แหละ ขำแต่ไม่ค้านเพราะมันคือเรื่องจริง “อยากเห็นจังเลยครับ พี่ไม่เห็นโทรหาผมเลย บอกว่าจะโทรไม่ใช่หรือ”
“ลืมไปว่าไม่มีเบอร์โทรคุณ พอไปถามบุรินทร์เจ้านั่นก็บอกว่าจะส่งให้ จนแล้วจนรอดก็คุยกันจนลืม สุดท้ายก็ไม่ได้มา อ่ะ เมมให้หน่อยสิ” เขายื่นโทรศัพท์มาให้ตรงหน้า ผมรับมาแล้วก็อดที่จะนึกไปถึงเหตุการณ์ในรถตู้ตอนขากลับจากรีสอร์ทไม่ได้ ถ้าจิณณ์รู้ว่าผมให้เบอร์พี่ชาจะเกิดอะไรขึ้น มันจะโกรธผมหรือเปล่า ขนาดไม่ใช่เรื่องจริงพี่มันยังหาเรื่องพาลจนผมขนลุกวาบ แล้วถ้าคราวนี้มันรู้...

“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ป่ะ เปล่าครับ ผมจำเบอร์ตัวเองไม่ได้เลยนึกนานไปหน่อย” ช่างแม่งมันเถอะ เบอร์ของผม ผมมีสิทธิ์จะให้ใครก็ได้ ไม่เห็นต้องสนใจว่ามันจะพอใจหรือไม่พอใจ ทีเวลามันจะทำอะไรมันยังไม่แคร์ผมเลย ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าเสมอกัน ที่สำคัญผมบริสุทธิ์ใจจะให้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก

“พี่ได้รูปเร็วจังครับ ของผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“อยากเห็นเร็ว ๆ น่ะ กล้องอยู่ที่บ้านหรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวขากลับพี่แวะเอาไปจัดการให้ก็ได้นะ” อยากจะรบกวนมากมายแต่บังเอิญกล้องมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง ผมเลยได้แต่ปฏิเสธไปอย่างเสียดาย “ไม่เป็นไรหรอกครับ กล้องอยู่ที่พี่จิณณ์ หมอนั่นบอกว่าจะอัดมาให้”

“อย่างนั้นหรอ วันก่อนก็เจอด้วยนะ จิณณ์น่ะ”

“เจอที่ไหนหรือครับ”

“แถวคิงสตรีท แวบแรกจำไม่ได้เพราะใส่สูททำงานซะเท่เชียว เพื่อนที่ทำงานพี่บอกว่าหมอนั่นเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าของ RED BLOG จริงหรือเปล่า” คิงสตรีทเป็นย่านธุรกิจที่สองข้างถนนจะเต็มไปด้วยตึกสูงเทียมฟ้า ออฟฟิศนับหมื่นนับพันตั้งอยู่ในตัวตึกต่างดีไซน์และสีสัน หนึ่งในนั้นก็มีเครือมหาอำนาจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง RED BLOG รวมอยู่ด้วย

“RED BLOG ก็...คงงั้นมั้งครับ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ” หรือจะพูดให้ถูกที่สุดคือผมไม่รู้เรื่องเลย

“พอเรียนจบก็เข้าทำงานกับบริษัทแม่เลย กิจการใหญ่โตขนาดนั้น ท่าทางจะงานหนักไม่น้อย” ผมเขี่ยเส้นเฝอวนไปมาในน้ำซุปใส ความรู้สึกอยากอาหารจางหายไปพร้อมกับความมั่งคั่งของตระกูลใหญ่ที่พี่ชาเก็บมาเล่าสู่กันฟัง ร่ำรวยขนาดนั้น มีเกียรติ มีชื่อเสียงเหนือคนนับพัน ทายาทเจ้าของธุรกิจพันล้าน ผู้ชายเย็นชาที่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำ กับพี่จิณณ์ที่ผมคุ้นเคย คนไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริง



บางที


ผู้ชายที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเราสองคนคงให้คำตอบผมได้
 


“คุณภัทร” มาถึงก็เรียกชื่อผมเป็นการข่มนามไว้ก่อนแต่คนที่เงยหน้ามองกลับเป็นพี่ชาที่นั่งตรงข้าม ญาติของบุรินทร์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดยิ้มกว้าง เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง

“ไงจิณณ์ บังเอิญจริง นั่งก่อนสิ”

“ขอบคุณครับ” ไม่มีการปฏิเสธดังคาด ผมคิดไว้แล้วล่ะว่าระดับคุณชายจิณณ์ ไม่มีทางจะสะบัดตูดจากไปถ้ายังไม่สมใจและความสมใจในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าพี่มันไม่ได้จ้องผมให้อึดอัดใจตายไปเสียก่อน จิณณ์เลือกนั่งลงฝั่งเดียวกับผมซึ่งมันก็เหมาะตามระดับความสัมพันธ์ของเราสามคนแล้ว ตอนแรกผมดีใจเพราะถ้าหากคนมาใหม่เลือกนั่งฝั่งพี่ชาก็หมายความว่าผมต้องทนนั่งประจันหน้ากับมันตลอดมื้อ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว ให้พี่มันนั่งกับพี่ชาจะดีกว่ามาก

“เจอกันแถวตึกครั้งนั้นก็ไม่เจออีกเลยนะ งานยุ่งหรือ”

“ครับ ผมเพิ่งกลับจากไปดูงานที่อเมริกาด้วย พี่ชาสบายดีนะครับ”

“ก็เรื่อย ๆ วันนี้ออกมาพบลูกค้า บังเอิญเจอเจ้าตัวเล็กพอดีเลยลากมากินข้าวด้วยกัน” แม้จะมีข้อแก้ตัวให้ผมรอดพ้นจากข้อหานัดพบชายอื่นเพื่อพบปะสังสรรค์ แต่ในประโยคนั้นกลับมีคำสรรพนามที่แสดงถึงความสนิทสนมชั้นสูงสุดเป็นผลให้มือที่กำลังวางตรงบั้นเอวผมกระตุก

นะ เริ่มเห็นเค้าลางความยุ่งยากละ

“ผมเหมือนรู้มาว่ามหาวิทยาลัยเปิดเรียนตั้งแต่เมื่อวาน ตอนเดินผ่านยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นคุณภัทรเพราะคิดว่ากำลังนั่งเล็คเชอร์อยู่ เดินย้อนกลับมาดูอีกทีถึงได้แน่ใจ วันนี้ไม่มีเรียนหรือคุณภัทร” ประโยคหลังพี่มันหันมาเอียงคอถามผม ไม่ลืมส่งยิ้มให้ตาพร่าแถมมาด้วย พี่ชาก็บ้าจี้ไปกับหลุมพรางไอ้คนดี

“ตกลงโดดเรียนมาหรือเรา”

“เปล่าครับ พอดีว่า...เอ่อ...วิชานี้อาจารย์ผู้สอนยังไม่กลับมาจากสัมมนาเลยงดน่ะครับ” ด้นครับ ด้นไปได้หน้าซื่อ ๆ พี่ชาเชื่อแต่ไอ้คนที่กำลังกดปลายนิ้วลงบนร่องหลังผมมันคงไม่เชื่อ จิณณ์ยิ้มอ่อนโยน มองอาหารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็น

“สั่งอะไรมากินอะไรน่ะ”

“เฝอ”

“อยากกินกุ้งพันอ้อยกับหมี่ผัดปู สั่งให้หน่อยได้ไหม” ผีสิงอีกละวันนี้ ปกติเคยมีหรือที่จะสั่งให้ผมทำอะไรให้ มีแต่ตัวพี่มันเองที่เป็นคนคอยถามคอยเอาใจคุณภัทรทุกอย่าง วันนี้คึกอะไรถึงอยากออกคำสั่งบ้าง พอผมมองนิ่งพี่มันก็ย้ำแรงมือลงบนผิวผมทั้งที่หน้ายังยิ้มชื่น สะดุ้งจนเอ็นขาเกือบกระตุกถีบเข้าให้แต่ก็ยังทำใจเย็นเรียกบริกรมารับออเดอร์ เห็นแก่พี่ชาที่นั่งยิ้มไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผมจะละเว้นโทษมันไว้ชั่วคราว

กินอาหารกลางวันด้วยความอึดอัดใจอย่างที่สุด เกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้างมายืนหันรีหันขวางอยู่บนฟุตบาทข้างถนน ข้างหลังมีไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมอดดูหนังก้าวตามออกมาด้วยสีหน้าที่ต่างจากตอนกินข้าวลิบลับ มือที่กำลังโบกเรียกแท็กซี่ถูกคว้าหมับแล้วร่างผมก็เซหลุน ๆ ตามแรงรั้งของคนข้างหน้า

“ปล่อย!”

“เงียบ เสียงดังไม่อายคนหรือไง”

“ไม่อาย ทีพี่ถือวิสาสะมาฉุดกระชากลากถูคนอื่นยังไม่อาย ทำไมผมต้องอายไม่ทราบ” จิณณ์ไม่ต่อคำ ไอ้พี่บ้ามันเอาแรงมาจากไหนมากมายก็ไม่รู้ขนาดผมโก่งตัวจิกทั้งปลายเท้าส้นเท้าไว้กับพื้นยังต้านเอาไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็ต้องมายืดหอบอยู่ข้างรถคันเก่งของมันในที่สุด

“ปล่อยซักที มันเจ็บไม่รู้หรือไง” มือหนาคลายออกโดยไม่อิดเอื้อน แม่งเลว บีบซะจนข้อมือกูเป็นรอย ช้ำหมดแล้วผิวอันอ่อนบางของท่านคุณภัทร

“ทำไมไม่ไปเรียน”

“ก็บอกแล้วไงว่า...”

“บุรินทร์บอกฉันหมดแล้ว” เหี้ยตี๋ ไอ้ปากบอน กลับไปจะโดดถีบให้ดั้งหักเลยคอยดู “โดดเรียนเพราะไม่สบาย มีธุระหรือไม่อยากเรียนอะไรอย่างอื่น ฉันยังพอเข้าใจ แต่นี่อะไร โดดเรียนมานั่งกินข้าวกับผู้ชายอย่างนั้นหรือคุณภัทร”

“แล้วมันผิดตรงไหนหรือต้องกินข้าวกับผู้หญิงอย่างพี่ถึงจะไม่ผิด”

“ฉันไม่เคยทำอะไรไร้สติแบบนั้น” ผมกระตุกยิ้ม วิธีไหนที่สามารถกวนตีนไอ้คนบางคนได้นาทีนี้ผมทำหมด เรื่องไหนไม่เกี่ยวผมก็จะทำให้มันเกี่ยว ผมมั่วซั่ว ผมไม่มีเหตุผล ผมจะทำอย่างนี้ใครจะทำไม!

“แน่ใจ? กล้าบอกได้เต็มปากหรือว่าเมื่อก่อนไม่เคยทำ พี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่นนี่ ขนาดเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำวันยังทำได้นับประสาอะไรกับการโดดเรียนไปจี๋จ๋ากันนอกรอบ”

“คุณภัทร!”

“.......”

“นั่นมันไม่เกี่ยวกับเรื่องของเราตอนนี้”

“มันไม่เกี่ยวเพราะพี่ไม่อยากให้เกี่ยวใช่ไหมล่ะ ใช่สิ พี่มันฉลาด ผมมันโง่ ไม่ว่าอะไรพี่เลยต้องเป็นคนตัดสินใจหมดว่ามันดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ไม่ต้องให้ผมรู้ขณะที่คนอื่น ๆ เค้ารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง พี่คิดจะปิดหูปิดตาผมไปถึงเมื่อไหร่วะจิณณ์ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ คิดบ้างไหมว่ามันชักจะมากเรื่องเกินไปทุกที” จิณณ์ถอนใจยาว เคาะปลายนิ้วกับหลังคารถรัวเร็วคล้ายกำลังระบายความหงุดหงิดที่กำลังอัดเข้าใส่เราสองคนไม่ยั้ง

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง เรื่องอดีตมันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว สาบานได้ว่าตั้งแต่เจอกันฉันไม่เคยทำตัวแบบนั้นอีกเลย แล้วเรื่องลาออกจากงานฉันก็บอกไปแล้วว่าอยากพูดกันต่อหน้า อธิบายอะไรไปก็ไม่ยอมรับ ทำไมนายก็ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย เห็นใจฉันหน่อยสิคุณ”

“คนอย่างผมจะมีสิทธ์อะไรไปเห็นใจคนระดับพี่วะ”

“คุณ ฟัง!”

“ผมไม่ฟังแล้วก็ไม่อยากฟัง พี่มันลวงโลก ตีสองหน้า อยู่กับผมเป็นอีกคนอยู่กับเพื่อนเป็นอีกคน พูดไหนไม่มีนั่น ผมเกลียด...เกลียดที่ตัวเองถูกทำเหมือนคนโง่ ไม่รู้ห่าอะไรสักอย่าง แล้วก็ยิ่งเกลียดคือพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวง ถ้าคิดจะทำแบบที่ผ่านมาก็อย่ามาเจอหน้ากันอีกเลย”

“คุณภัทร!”

“ไปให้พ้นนะจิณณ์”

“......”

“ออกไปจากชีวิตผมได้เลยยิ่งดี” คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ผมเพิ่งไล่จิณณ์ด้วยตัวของผมเอง เสียงของผม ปากของผมทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำในชีวิตนี้ พอกันทีผมไม่อยากเป็นคนโง่ที่อีกฝ่ายไม่เห็นความสำคัญอีกแล้ว

ใครจะว่าปัญญาอ่อน ใครจะว่าไร้เหตุผล ผมไม่สนใจ สิ่งเดียวที่ผมต้องการตอนนี้คือการหลุดพ้นจากความอ่อนไหวบ้า ๆ นี่เสียที ไม่อยากแล้ว ผมไม่อยากเสียใจที่จิณณ์ไม่เห็นคุณค่า ไม่อยากน้อยใจที่จิณณ์ไม่ยอมเล่าเรื่องของมันให้ฟัง ไม่อยากตั้งความหวังว่าตัวเองคือคนที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่าย

ไม่อยากหวังและผิดหวังซ้ำ ๆ แบบนี้

พอกันที
   

‘ได้ คุณภัทร ถ้านายต้องการแบบนั้นฉันก็...ให้...นายได้’

‘บางทีการแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายมากเกินไปมันก็ทำให้ทุกอย่างสูญเปล่าได้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน ขอโทษนะ แต่ตอนนี้เราคงเหนื่อยกันทั้งสองฝ่าย ฉันขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกแย่ขนาดนี้’

‘วางใจเถอะ จะไม่มาให้เจออีกแล้วล่ะ’
   

ไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นี้เรียกว่าความเจ็บปวด

ความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก

ความรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีค่ารุมเร้าอยู่ในอก ไม่มีอะไรเหลือแม้สักอย่าง แม้แต่วันพรุ่งนี้ผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นมันได้ วูบแรกที่ได้ฟัง ได้รับรู้ ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟร้อนลวกเข้าตรงกลางอกแต่มือไม้กลับเย็นเฉียบ สั่นระริกเหมือนถูกจับช็อตไว้ในถังน้ำแข็ง ความคิดความอ่านหยุดชะงักคล้ายสมองมันไม่สั่งงาน

ในอกไม่มีความรู้สึกใดเลยนอกจากอาการอึดอัด อึดอัดมากจนแน่นไปหมด มันไม่ใช่สิ่งที่ดี ไม่ใช่เลยสักนิด ผมอยากรู้ว่าผมกำลังเป็นอะไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะต้องแก้ไขหรือบอกตัวเองให้ทำอย่างไรต่อไป แต่ผมทำไม่ได้ ผมตีความอาการที่อัดแน่นกันอยู่ในอกนี้เป็นคำพูดไม่ได้

จะตายไหม

จะตายหรือเปล่า

ถ้าไม่ตายแล้วจะเป็นอย่างไร หรือนี่คือความรู้สึกที่เคยมีคนบอกไว้ เจ็บจนเกินกว่าจะเจ็บ เจ็บจนชา เจ็บ...เหมือนกำลังจะตาย




ตั้งแต่วันนั้นจิณณ์ก็อันตรธานหายไปจากชีวิตของผม ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งที่อีกคนเคยทำให้ในอกผมจะปวดแปลบเหมือนมีของแหลมบาดลึกลงไป ยิ่งคิดก็เหมือนมีมือมืดดำใช้เล็บจิกแล้วข่วนลากเป็นรอยยาวซ้ำลงบนแผลเดิมนั้น ผมบอกตัวเองให้เลิกคิด อย่าคิด ไม่คิด เพราะยิ่งคิดตัวผมเองก็ยิ่งเจ็บยิ่งทรมาน ให้มันผ่านเลยไป อย่าได้จดจำมันคงดีกว่า

จิตใจของผมเริ่มเข้าร่องเข้ารอยหลังจากนั้นไม่นาน แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความสุขสุด ๆ เหมือนตอนอยู่กับจิณณ์แต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวด ทุรนทุรายเหมือนตอนช่วงแรกแล้ว ผมพูดคุยกับคนอื่นได้ หัวเราะได้เต็มเสียง มีความสุขกับหนังที่ดูและด่าไอ้ตี๋ได้เจ็บแสบเหมือนเคย

ผมคิดแบบนั้นมาตลอดจนมาถึงวินาทีนี้

แวบแรกที่ได้เห็นร่างสูงคุ้นตาเดินออกมาจากตึกคณะสถาปัตย์หัวใจผมมันกระตุกวาบ ความรู้สึกเจ็บแปลบวิ่งพล่านทั้งอกลามไปถึงแขนและขาพาลให้รู้สึกอ่อนแรงไปดื้อ ๆ ผมไม่น่าประมาทเลย ดันเดินเอื่อยเข้ารั้วมหาวิทยาลัยมาโดยไม่ทันคิดว่ามันเป็นวันซ้อมรับปริญญาของพวกบัณฑิตที่จบไปแล้ว คณะผมอยู่เลยคณะสถาปัตย์และศิลปกรรมเข้าไปด้านในจึงจำเป็นที่จะต้องเดินผ่านเขตแดนของคนอื่นเข้าไปเรียน มันคงไม่เป็นอะไรมากถ้าผมไม่บังเอิญมาเจอกับคู่กรณีที่เดินมากับเพื่อนอีกสองคน แค่เห็นตึกก็วาบลึกในอกแล้วมาเจอเจ้าของตึกตัวเป็น ๆ มันจะเหลือหรือ

วิญญาณก้อนหินวิ่งเข้าสิงร่างผมแบบไม่ทันได้ป้องกัน แต่กระนั้นมันก็ใช่ว่าผมคนเดียวที่จะมีปฏิกิริยา จิณณ์เองก็ไม่ต่างกันแต่อีกฝ่ายดูจะตั้งสติได้เร็วกว่าผม ริมฝีปากสีเลือดที่เผยอน้อย ๆ จึงเหยียดปิดเป็นเส้นตรง ดวงตาคมหวานมองผ่านผมไปก่อนเจ้าของร่างสูงจะก้าวผ่านไปโดยไม่มีแม้แต่คำทักทาย

รอยยิ้ม ความอ่อนโยน สีหน้าและแววตาเป็นประกายในยามที่มีผมเป็นเป้าหมายให้จับจ้อง ทุกอย่างกลายเป็นอดีตไปแล้ว

 
“คุณ?”

“.......”

“คุณภัทร เป็นอะไรไป?”

“.......”

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงช้า ๆ แปลกกับสีหน้าตกใจของวาไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ที่นี่คือที่ไหน ผมกวาดตามองไปรอบตัว โต๊ะประจำนี่นา ผมเดินมาถึงตรงนี้ได้ยังไง ข้อมือโดนกระตุกโดยมือนุ่ม ผมทรุดลงนั่งอย่างว่าง่าย ยังคงพยายามคิดกลับไปว่าอะไรที่บังคับร่างกายให้พาตัวเองมาถึงคณะตัวเองได้ทั้งที่สมองและหัวใจมันเหมือนหยุดทำงานไปตั้งแต่ที่จิณณ์เดินจากไป

“ร้องไห้ทำไม” อีกครั้งที่ผมต้องหันไปมองคนถาม ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นสัมผัสรอยชื้นตรงแก้ม บุรินทร์ที่ถือกระป๋องชามาทั้งสองมือก็วางทุกอย่างลงโครม จับไหล่ผมให้หันไปหาทันที

“เป็นอะไร”

“ไม่...ไม่รู้...ฉันไม่รู้...”

“ใครทำอะไรให้ บอกฉันมา” ผมส่ายหน้า ไม่มีบุรินทร์ ไม่มีใครทำอะไรฉันเลย “แล้วเป็นอะไรไป บอกสิว่าเป็นอะไร ไปทำอะไรมา” ผมกลืนก้อนสะอื้นที่มันแล่นขึ้นมาจุกลำคอ เจ็บร้าวลึกลงไปถึงกลางอกจนไม่สามารถอธิบายอะไรได้แต่ดูเหมือนมันมีคำเดียว คำเดียวที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากผมยามนี้

“คุณภัทร”

“เจ็บ” แรงสะอื้นหลุดพ้นริมฝีปากพร้อมอาการสั่นไหวของไหล่ ผมกำเสื้อบุรินทร์ไว้แน่น กดหน้าซุกกับอกเพื่อนอย่างลืมอาย “ฉันเจ็บบุรินทร์ เจ็บ เจ็บในอกนี่...ทำยังไงดี...ฮึ่ก...ฉันจะทำยังไงดี”

“โธ่เอ๊ยคุณ”

“ฉันเจ็บเพราะจิณณ์ เจ็บเหมือนจะตายเลยบุรินทร์ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้” หมดแล้วความพยายามทุกอย่างที่เพียรสร้างสมมา ความสงบสุขที่บอกตัวเองว่ามันดีแล้ว...มันดีแล้ว...ทุกครั้งที่ลืมตาตื่น คำโกหกที่ตอกย้ำว่าผมไม่เป็นไร ไม่มีจิณณ์ ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันหมดแล้วจริง ๆ เพียงชั่ววินาทีเดียวที่ได้มองสบดวงตาคู่นั้น เกราะป้องกันตัวเองที่ผมเพียรสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากหายวับไปกับตาราวกับเรื่องโกหก เหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้มีคุณภัทรที่เข้มแข็งและร่าเริงคนนั้นอยู่เลยในโลก เหลือเพียงไอ้เด็กอ่อนแอที่ห้ามไม่ได้แม้แต่น้ำตาของตัวเองอยู่ตรงนี้

ทำยังไงดี

ผมทรมาน

ทำยังไงดี

ผมรัก ผมรักพี่จิณณ์


โปรดติดตามตอนต่อไป    :m15:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
จิณณ์ผิดนะที่ไม่บอก ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย พอคุณไล่ดันไปอีก พอเจอคุณก็ทำเป็นไม่รู้จัก. เนี่ยนะที่จิณณ์บอกว่าชอบมากและแคร์ความรู้สึก เราเริ่มไม่ชอบจิณณ์แลัว ตั้งแต่คราวก่อนที่เจอสาวแล้วทิ้งคุณละ

แต่กำลังเดาใจไรท์ว่าต้องให้คุณไปง้อแน่ๆ เซ็งเลย. ถ้าจิณณ์ยังนิสัยแบบนี้เราไม่ชอบอ่ะ ต่อให้หล่อเพอร์เฟคก็เถอะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ไม่ดอเคกับจิณณ์เลยอ่ะ  งือ  เปลี่ยนพระเอกได้ไหม

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
จิณณ์ดูไม่มีความพยายามในการง้อนะ ออกแนวบังคับซึ่งในสถานการณ์ที่คุณกำลังอ่อนไหวแบบนี้มันใช้ไม่ได้ไง ถ้าเป็นคุณเราเชื่อว่าคุณเองไม่มีทางได้ปิดบังจิณณ์หรอกเพราะจิณณ์บังคับคุณแน่นอน

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เรื่องนี้ผิดทั้งสองคน
คุณ มีความเป็นเด็กเอาแต่ใจตัว ไม่เคยมีความรัก
คุณ เลยเก็บอารมณ์ไม่เป็น คิดอย่างไรแสดงออกมาหมด
จิณณ์ โตกว่าคิดแบบคนที่เป็นผู้ใหญ่
แรกๆ จิณณ์เอาใจใส่ ตามใจคุณ ให้อภัยคุณ
แต่จิณณ์ ยังแยกการดูแลไม่ถูกเมื่อไปเจอผู้หญิง
จิณณ์ ดูแลหญิง มากกว่าจะดูแลคุณ
ทั้งที่รักคุณ เป็นคนพาคุณไปเที่ยว
หญิงคนนั้นแค่เป็นรุ่นพี่ในที่ทำงาน
ปฏิเสธได้ แยกตัวห่างได้ แต่จิณณ์ไม่ทำ ทิ้งคุณโดดเดี่ยว
แล้วยังไม่ชอบใจที่พี่ชา เข้าหาคุณ
ตอนไปนอก บอกสักหน่อย จะเป็นไร ก็ไม่บอก
เป็นคุณ มารู้ทีหลัง ก็ต้องน้อยใจ เรื่องคบหญิง
เรื่องลาออก เรื่องฐานะ บริษัท ครอบครัว
หรือจิณณ์ คิดว่าระยะเวลาคบคุณยังน้อยไป
คุณเด็กไป ยังไม่ควรบอกอะไรๆ
แล้วพอคุณไล่ จิณณ์ ยอมทันที ทิฏฐิหรือเปล่า
อายุ ความฉลาด โตกว่า เลยรับไม่ได้
ทั้งที่ ทั้งจิณณ์ ทั้งคุณต่างก็รักกัน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ idoloveyou555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยังไงก็ทีมคุณภัทรค่ะ สู้ๆค่ะ แค่อีพี่จิตต์จัดการเลยค่ะ
หมั่นใส้มานานล่ะ 555 :laugh: :z13: :z13:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด