ตอนที่ ๑๙ ผู้แต่ง :: FANISMZผมตื่นก่อนจิณณ์แต่เช้านี้ไม่มีการนอนเอื่อยรออีกฝ่ายหนึ่งตื่นแล้วค่อยลุกพร้อมกันดังเคย พอลืมตาได้ผมก็ย่องไปอาบน้ำแต่งตัว ย่องออกจากบ้านพักแล้วก็ตรงแน่วไปยังห้องอาหารทันที ก็มื้อสุดท้ายของเมื่อวานผมกินตอนหัวค่ำกับพี่ชา แล้วมันก็แค่อาหารว่างรองท้องไม่ใช่มื้อหลัก แค่นอนท้องร้องทั้งคืนนี่ก็ทรมานมากแล้ว เช้านี้เลยต้องรีบออกมาหาของอร่อยส่งส่วยให้พยาธิในท้องเร็วกว่าปกติ
“อ้อ เธอนั่นเอง” เช้าอันสดใสของผมวูบแสงลงไปราวกับพระอาทิตย์โดนเมฆบัง คุณรจิตเองก็เพิ่งเหยียบเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกลุ่มเพื่อนอีกสองคน ผมค้อมศีรษะทักทายเธอ ตั้งท่าจะเดินไปนั่งที่โต๊ะแต่คำพูดของหนึ่งในนั้นทำให้ผมชะงัก
“เธอตั้งใจผลักรจิตตกน้ำใช่ไหม”
“อะไรนะครับ”
“ฉันถามว่าเธอตั้งใจผลักเพื่อนฉันตกน้ำใช่หรือเปล่า ตรงนี้ไม่มีคนอื่น เธอไม่จำเป็นต้องเล่นละคร ไม่พอใจอะไรก็พูดมาเลยสิ” อยากจะขำ หนุ่มน้อยผู้บอบบางอย่างคุณภัทรกำลังโดนสาวออฟฟิศทั้งกลุ่มหาเรื่อง เหอะ นางเอกกว่านี้มีอีกไหม
“ผมไม่ได้เล่นละครครับแล้วตอนนี้ก็ไม่มีอะไรไม่พอใจด้วย”
“แต่สิ่งที่เธอทำเมื่อวานมันทำให้เพื่อนของเราไม่สบายนะ รจิตต้องมาเป็นไข้เพราะเธอ”
“พวกคุณ ๆ ก็โตกันแล้ว ไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวหรือครับ ก่อนที่จะมาโทษคนอื่น ผมว่าพวกคุณลองกลับไปคิดอีกทีดีกว่าถ้าเพื่อนคุณไม่อุตริเข้ามาแกล้งคนกำลังเผลออยู่ เค้าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า คิดจะทวงความยุติธรรมให้เพื่อนก็ควรจะมองตั้งแต่ต้นว่าเพื่อนคุณเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ไม่ใช่ผม”
“เด็กเมื่อวานซืนแท้ ๆ ปากคอเราะร้ายเหมือนไม่มีคนสั่งสอนเรื่องมารยาท”
“สมัยนี้เค้าไม่สนกับแล้วพี่หยี พอมีเรื่องผู้ชายมาเอี่ยวเด็กหรือผู้ใหญ่ก็คงพร้อมร้ายใส่อ่ะ คงเห็นว่าจิณณ์เอาแต่สนใจรจิตส่วนตัวเองดันโดนทิ้งเลยไม่พอใจ”
“คนไม่พอใจคือคนที่หาเรื่องก่อนแล้วก็ระรานไม่จบหรือเปล่าครับ คุณก็โตจนทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้แล้วทำไมทำอะไรย้อนแย้งจัง ปากตำหนิผมแต่ไม่ดูเลยว่าเพื่อนตัวเองต่างหากที่ทำเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น ขอเตือนในฐานะเด็กรุ่นน้องนะครับ” คราวนี้ผมหันไปต่อตากับคุณรจิตคนสวยตรง ๆ
“เลิกทำตัวน่าสมเพชเพราะผู้ชายเสียทีเถอะ มันงี่เง่าแล้วก็ทำให้คุณกับเพื่อนเหมือนคณะตัวอิจฉาในละครมาก ขอตัวครับ” เริ่มต้นนับหนึ่งในใจ ปกติแล้วผมเป็นคนใจร้อนแต่งานนี้ผมไม่อยากเป็นเด็กไม่ดีจึงไม่ตอบโต้รุนแรงอย่างใจคิด จิตใจที่ต้องการเอาชนะของผู้หญิงกลุ่มนั้น ผมควรจะรับมือด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ จากนั้นค่อยไปใช้อารมณ์กับไอ้ผู้ชายบางคนให้สะใจไปเลย!
จิณณ์ตื่นหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แค่เดินเข้ามาในร้านด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมด๊าธรรมดากับกางเกงสียีนส์สีซีดก็ทำให้คนแถวนั้นเคลิ้มไปได้หลายนาที ไม่รวมผมนะครับ เพราะรู้พิษสงความหล่อของมันดีผมเลยหันหน้าหนีตั้งแต่เห็นเสื้อโอโมของมันแวบ ๆ ถ้าคุณคิดว่าไอ้พี่จิณณ์จะได้เข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับผมล่ะก็คุณคิดผิดถนัด เพราะดาวเด่นเบอร์หนึ่งท่านโดนพรานสาวดักแล้วก็ลากแวะข้างทางไปเรียบร้อย ผมยักไหล่ ลอยหน้าใส่พี่มันเป็นเชิงสมน้ำหน้าแล้วก็จัดการมื้อเช้าของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุข
ทุ่งดอกทานตะวัน
ผมเคยเห็นแต่ในรูปถ่าย ไม่คิดว่าพอมาเจอของจริงแล้วมันจะสวยงามได้ถึงเพียงนี้ ท้องทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาสลับสีเขียวเหลืองสดใส ตั้งแต่วินาทีแรกที่รถตู้ของรีสอร์ทเคลื่อนเข้าไปในเขตไร่ผมก็ไม่อาจถอนสายตาจากความงดงามตรงหน้าได้เลย เมื่อเดินไปตามเส้นทางที่ถูกจัดไว้ให้ก็เหมือนตัวเองหลงไปในอีกโลกหนึ่ง รอบตัวมีแต่ดอกไม้สีเหลืองสดดอกโต เชิดหน้าสู้แสงตะวันอย่างเบิกบาน มองไปทางไหนก็มีแต่เจ้าพวกนี้เหมือนมันยาวไปจรดขอบฟ้า เงยหน้าก็เจอท้องฟ้าสีครามสดใส สายลมพัดเอื่อยช่วยคลายความร้อน นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังแข่งกันโพสต์ท่าเก็บรูปอย่างสนุกสนาน ผมยิ้มมองปลีกตัวเองออกมาจากกลุ่มใหญ่แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามรั้วไม้สีขาว
สวยอะไรแบบนี้ อยากมีทุ่งดอกทานตะวันเป็นของตัวเองจัง
“อ๊ะ” ชมดอกไม้เพลินจนโดนจับไม่รู้ตัว แล้วไอ้วิธีการจับนี่ก็เอาแต่ได้สุดฤทธิ์ ผมชำเลืองมองใบหน้าขาวจัดที่วางพาดบนไหล่ ขณะที่ผมยังคงสวมหมวกปีกกว้างกันแดดแต่จิณณ์ปัดมันทิ้งไว้ตรงท้ายทอย เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผมสีเข้ม ความร้อนทำให้ใบหน้าหล่อจัดขึ้นสีเรื่อ ริมฝีปากแดงสดฉ่ำชื้นเพราะปลายลิ้นที่แลบเลียยามเผลอตัว
หล่อแบบบ้านไร่ เซ็กซี่ได้อีกครับคุณผู้ชม
“ตื่นมาก่อน กินข้าวก่อน หนีขึ้นรถมานั่งกับคนอื่นก่อน เอ ตกลง เรามาเที่ยวด้วยกันหรือเปล่าครับคุณคุณภัทร” ผมยกยิ้มพลางวางมือทับบนท่อนแขนขาว จิณณ์พับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกเผยให้เห็นผิวเนียนสวยและไรขนสีอ่อนนุ่มมือ ผมไม่ได้ตอบคำตอบนั้นเพราะรู้ดีว่าจิณณ์ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง เราสองคนได้แต่ทอดสายตามองดอกทานตะวันนับพันที่กำลังเบ่งบานอยู่ตรงหน้า ผิวชื้นเหงื่อสัมผัสกันชวนให้รู้สึกวูบวาบในอกแต่พอสายลมพัดผ่านมาความเย็นสบายก็กลบทุกความร้อนรุ่มให้สงบลงดังเดิม คนข้างตัวผมถอนใจยาว ถอยออกห่างก่อนจะยกกล้องขึ้นถ่ายรูปโดยไม่ให้สัญญาณ
ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมืออาชีพในการเป็นนายแบบจำเป็น ผมกัดปากหรี่ตาให้กล้องด้วยท่าที่บันทึกไว้ในสมองตั้งแต่จำความได้ หลายแอคชั่นตามมาราวกับกระสุนปืนกล เมื่อจิณณ์ไม่เบื่อที่จะกดชัตเตอร์ผมก็ไม่เบื่อที่จะโพสต์ เดินบ้างนั่งบ้างยิ้มบ้าง ทำหน้าบึ้งหรือแม้แต่รูปแคนดิท คุณชายท่านก็ยังมีใจถ่ายเก็บไว้ เดินสลับวิ่งเปลี่ยนโลเกชั่นกันไปทั่วทั้งทุ่งจนสุดท้ายก็มาหยุดหอบข้างรั้วสีขาว ผมชักคอแห้งเลยบ่นกับพี่เลี้ยงตามความเคยชิน
“หิวน้ำแล้วอ่ะ”
“ก็เล่นไม่อยู่กับที่เลยนี่นะ” หมวกใบใหญ่กลายเป็นพัดอย่างดี ผมปีนขึ้นไปนั่งบนรั้วได้มุมเหมาะด้วยการวางหัวพิงไว้กับเสาของรั้วไม้สีขาว หลับตาลงแล้วก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์สองสามครั้งติดกันก็ยิ้มเนือย ๆ
“พอแล้ว จะถ่ายอะไรนักหนา”
“นายแบบน่ารัก ถ่ายไว้เยอะ ๆ น่ะดีแล้ว”
“ขอบคุณจ้าาา” อย่าคิดว่าไม่เขินนะ ถึงจะทำเสียงเหมือนประชดแต่ผมก็ร้อนไปทั้งหน้านะโว้ย เสียงฝีเท้าก้าวมาหยุดตรงหน้า ผมปรือตามองแล้วก็ใจกระตุก ร่างสูงของจิณณ์ยืนอยู่ในระยะไม่เกินสองคืบ เพราะผมนั่งบนรั้วเลยได้หรุบตามองพี่มันอย่างที่ไม่เคยได้ทำตอนเหยียบบนพื้นระดับเดียวกันแน่นอน ไอ้หล่อมันยิ้มบาง วางมือตรงบั้นเอวผมเหมือนจะส่งสัญญาณเตือน
“เคยดูซีรี่ส์เรื่อง...ของ NHNK ที่ทาคุยะ คิมูระแสดงไหม”
“ถามทำไม”
“ได้ดูฉากที่กลีบซากุระปลิวมาติดตรงแก้มนางเอกหรือเปล่า” ดู แต่คิดว่าไม่พูดคงดีกว่า ผมเริ่มขยับตัวไปมาเมื่อไอ้พี่จิณณ์ยิ้มเหมือนเดาความคิดของผมออก ไอ้คนฉลาด ข้ารู้นะว่าเอ็งกำลังคิดอะไรอยู่ อย่ามาเนียนทำตาเชื่อมใส่กันนะโว้ย “เปลี่ยนจากซากุระเป็นทานตะวันคงไม่เป็นไรเนาะ”
“เป็น”
“เป็นอะไรล่ะ?”
“เป็นอะไรก็ได้ ก็มันเป็นอ่ะ”
“จริงหรือ”
“จริง”
“จริงนะ”
“ก็บอกว่าจริงไงเล่า” ด๋อย แล้วผมจะมาเถียงกับมันทำไม เถียงมาเถียงไปตอนนี้ก็แทบจะประกบปากกันอยู่แล้ว ไอ้ที่พูดออกไปเมื่อกี้เพียงแค่กระซิบอยู่ในคอแต่ที่ยังได้ยินท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิวอย่างนี้เพราะริมฝีปากสีเลือดนั่นมันกำลังคลอเคลียกับปากผมอยู่น่ะสิ
ฮื่ออออ มือไม้สั่น อกใจก็วูบวาบ
ใครก็ได้ช่วยโผล่เข้ามาขัดจังหวะที
สาม
สอง
หนึ่ง
มีไหม จะมีใครโผล่มาช่วยชีวิตผมเหมือนในนิยายไหม มีหรือไม่มี ผมหลับตาปี๋ ไม่ไหวแล้วในอกมันปั่นป่วนไปหมด อยากตะโกน อยากแหกปาก อยากผลักหน้าพี่มันออกไปให้สุดแขนแต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว ฝ่ามือหนาที่สอดเข้ารองแผ่นหลังทำให้ผมไม่หงายหลังลงไปจากรั้วสูง แต่มันก็เป็นด่านกักกันที่ทำให้ผมไม่สามารถดันตัวเองให้พ้นจากการรุกรานของอีกฝ่ายได้ อื้อ ไม่เอานะ ผมยังไม่อยากไปฝรั่งเศสกับมัน ใครก็ได้เข้ามาขัดจังหวะที!
“เอ่อ...จิณณ์คะ...”
โอ้ มาย จอร์จ ลอร์ด บุดด้า!
ไม่สิ ไม่ใช่เวลาที่จะมาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์
คนที่ผมควรขอบคุณควรจะเป็นแม่สาวทรงโต คุณรจิตกับเพื่อนหล่อนต่างหากล่ะ ผมครางเสียงสั่นแทรกมือเข้าวางแปะบนริมฝีปากคนตรงหน้าก่อนมันจะทำให้ผมขาดใจตาย บ้าจริง แค่ริมฝีปากที่คลอเคลียกันเบา ๆ ทำให้อกใจเราเต้นรัวได้เหนื่อยขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ปฏิกิริยาเหี้ยอะไรวะทำเอาผมแทบตาย ผมทำเสียงขู่ฟ่อเมื่อจิณณ์ทำท่าจะเนียนไม่ได้ยิน ไม่เห็นและไม่สนใจคนที่กำลังยืนชะเง้อมองมาอย่างร้อนรน ใบหน้าหล่อคมฉายแววผิดหวัง ดวงตาคมหวานชำเลืองมองทางต้นเสียงแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่
“เค้าเรียกแล้ว ไปสิ”
“ไม่ไป”
“ไม่ไปเดี๋ยวก็ได้เข้ามาหาหรอก ผมไม่อยู่ด้วยหรอกนะ” ผมบอกเสียงขุ่น บทจะดื้อพี่มันก็ดื้อได้อย่างน่ากลัว คิดดูเถอะถ้าเกิดมันไม่ยอมถอยออกไปแล้วยังทำหน้าซื่อยืนล็อคเอวผมไว้แบบนี้ พี่สาวชาวออฟฟิศทั้งหลายเขาจะว่ายังไง แค่เดินไปเดินมาด้วยกันยังโดนเขม่นหน้าจะแย่อยู่แล้ว ขืนมาเห็นร่องรอยที่จิณณ์มันดูดปากผม พวกเจ๊แกคงได้ไล่ฟ้อนเล็บใส่หน้าคุณภัทรผู้น่าสงสารกันทั้งแผนก
“ถอยไปสิ นั่น เดินมานั่นแล้วเห็นไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าใส่ใจเลย”
“จะไม่ใส่ใจได้ยังไง ผู้หญิงพวกนั้นเค้ามาตามหาพี่นะ” จิณณ์ยิ้มบาง มันคิดอะไรผมล่ะตามไม่ทันจริง ๆ พอคุณรจิตโฉบเข้ามาใกล้ มันก็วางมือข้างหนึ่งไว้ตรงเอวผม อีกข้างคุณชายท่านถือหมวกสานใบกว้างพัดเรียกลมไปมาตรงหน้า เย็นสดชื่นดีครับแต่มันไม่ใช่เวลามาชื่นชมความเอาใจใส่ของมัน อีสาวมหาภัยเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ไอ้พี่จิณณ์ก็หันไปยิ้มทักสาวเจ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฮัลโหล ๆ ได้ข่าวว่าตอนนี้มึงกอดเอวกูอยู่นะพี่
“คุณรจิตถ่ายรูปทั่วทุกมุมแล้วหรือครับ”
“ยังหรอกค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“แหม ก็คนที่หวังพึ่งให้เป็นตากล้องหายตัวมาแบบนี้จะถ่ายกันได้ยังไงล่ะคะ”
“พอดีวิวแถวนี้สวยน่ะครับ ผมเลยหลงชมเพลินไปหน่อย คุณเค้าก็ชอบถ่ายรูปเลยยิ่งเพลิน” นั่นมันใช่คำตอบที่ไหนกันเล่า ผู้หญิงเค้ากำลังตัดพ้อที่พี่ทิ้งเค้ามา แทนที่จะขอโทษดันอวดเค้าอีกว่าหนีมามีความสุขกับผมสองคน เจริญล่ะมึงคราวนี้
“แล้วเรียบร้อยหรือยังคะ รจิตจะได้ยืมตัวจิณณ์ไปทางโน้นบ้าง”
“คุณรจิตมีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พี่หยีกับอลิซอยากวานจิณณ์ถ่ายรูปให้แล้วก็อยากถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึกเก็บไว้ด้วย สะดวกไหมคะ” จะสะดวกหรือไม่สะดวกมันก็เรื่องของพี่จะเงยหน้ามองผมทำไมวะ ผมเบือนหน้าหนี ไม่รู้ ไม่เกี่ยวโว้ย
“ฉันไปได้ไหม”
“ก็ไปสิ ใครห้ามล่ะ”
“เผื่อไม่อยากให้ไปก็จะไม่ไป” เสียงทุ้มกระซิบเสียงแผ่ว คุณรจิตของมันไม่ได้ยินแต่ผมได้ยินเพราะพี่มันกระซิบกับแก้มผม เหลือบเห็นเจ้าหล่อนตาลุกวาวแล้วก็นึกเหนื่อยใจไว้ล่วงหน้า ประกายริษยาฉายแรงขั้นดับดวงอาทิตย์ได้แบบนั้น ผมจะมีชีวิตรอดกลับไปเจอพ่อแม่ที่บางกอกไหมหนอ
จิณณ์ยังมองเหมือนจะรอคำตอบที่แน่ชัด ผมแกล้งทำหน้าคิดนิด ๆ แน่นอนว่าทุกความเคลื่อนไหวของเราสองคนตกอยู่ในสายตาของแม่สาวกลุ่มนั้นตลอด ไม่ว่าผมจะเอียงคอคิดด้วยท่าทางที่คิดว่าน่ารักสุด ๆ ไม่ว่าผมจะเป็นตอนที่ผมทำปากงอนหรือตอนที่ผมคล้องแขนกับต้นคอจิณณ์แล้วสบตากับพี่มัน...(เหมือนจะ)หวานซึ้ง
“ผมไม่อยากให้พี่ไปหรอกแต่พี่ก็ควรไป พวกเค้าเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน พี่ยังต้องเจอพวกเค้าอีกนานไม่ใช่หรือ” จิณณ์ยิ้มบาง พี่มันรู้แน่ว่าผมกระแดะทำยั่วโมโหพวกไก่แก่แม่ปลาช่อนทั้งหลายและมันก็ให้ความร่วมมืออย่างดีด้วยสิ
“พูดจาน่ารักแบบนี้มีอะไรอยากขอไหม” ผมส่ายหน้าดิกเมื่อมือที่วางตรงเอวเริ่มขยับไล้สีข้างผมช้า ๆ
“ไม่เอาหรือแต่ฉันอยากให้นะ”
“ไม่เอา” ผมกัดฟันพูด จิกปลายนิ้วกับไหล่หนามั่น อย่านะมึง ขืนทำอะไรรุ่มร่ามอีกกูตบแถมข่วนแน่ จิณณ์หัวเราะน้อย ๆ ได้ยินเสียงหนึ่งในสามสาวถอนหายใจเหมือนรำคาญดวงตามันก็ยิ่งพราวระยับ แล้วใครจะทันคิด อยู่ ๆ ไอ้หล่อมันก็ยกหมวกปีกกว้างขึ้นมาในระดับสายตา ผมเผลอหันไปมองแล้วก็... - - -
ฟอด!
เสร็จโจรสิครับงานนี้
จิณณ์ลดหมวกลงช้า ๆ พี่มันยักคิ้วให้ผมก่อนจะเดินตรงไปหาผู้หญิงกลุ่มนั้นโดยไม่ลืมหันมาส่งยิ้มให้ไอ้เด็กตาดำ ๆ ที่กำลังนั่งเม้มปากหน้าแดงก่ำอยู่ที่เดิม ไอ้พี่จิณณ์ มึง ไอ้ ไอ้ ไอ้คนบ้า ไอ้คนหน้าไม่อาย!
จัดเวลาสำหรับคิดแค้นไอ้คนหน้าด้านเพียงแค่ห้านาทีแล้วผมก็กระโดดลงจากรั้ว เดินเตร็ดเตร่ไปตามมุมนั้นมุมนี้จนสุดท้ายก็มานั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ในรถตู้คันเดิม รถติดเครื่องเปิดแอร์เย็นฉ่ำชวนให้รู้สึกสบายกว่าการนั่งท้าลมร้อนข้างนอก ตอนเดินมานั้นผมเห็นหลายคนกำลังนั่งพักขากันในร้านน้ำชาเล็ก ๆ ที่ทางไร่เปิดไว้บริการนักท่องเที่ยวแต่เห็นคนที่แทบจะล้นออกมานอกร้านแล้วก็ตัดสินใจว่ามานั่งรอในรถจะดีกว่า นั่งฟังเพลงจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของลูกทัวร์คนอื่น ๆ ก็กลุ่มเดิมนั่นแหละครับไม่ใช่ใครที่ไหน ผมถอนใจยาวรู้สึกเหมือนหนังตามันหนักกว่าปกติแถมยังปวดรุมไปทั้งตัวเลยคร้านจะสนใจ ซุกหน้าหลับต่อไป
เอ๊ะ?
ซุกหน้าหลับอย่างนั้นหรือ? ผมค่อยฝืนยกเปลือกตาขึ้นทีละข้าง มองหมอนจำเป็นที่อาศัยวางหัวตอนไม่รู้สึกตัวแล้วก็ต้องตาโต
“พี่ชา โอย ขอโทษครับพี่” ญาติผู้พี่ของบุรินทร์ยิ้มใจดีให้ผม เขากลับมานั่งในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทันรู้ อาจจะเป็นตอนที่ผมหลับลึกแล้วก็คว้าเอาไหล่พี่แกเป็นหมอนไปโดยไม่รู้ตัว ชีวิตนี้ ทำไมผมถึงขยันทำเรื่องน่าอายกับคนแปลกหน้าจังเลยนะ
“นอนต่อเถอะ ตัวรุม ๆ เหมือนจะไม่สบายนะ ปวดหัวหรือเปล่า” ผมพยักหน้า
“นิดหน่อยครับ สงสัยแพ้แดด”
“งั้นก็นอนต่อเถอะถึงแล้วพี่จะปลุก” พี่แกตบหัวผมเบา ๆ เพราะร่างกายมันไม่เอื้ออำนวยให้ทำตัวเป็นคนเก่ง ผมเลยหลับตาลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย เออ มุมนี้มันเหมาะแก่การซบจริง ๆ ให้ตายเถอะ เล่นเอาผมวูบไปอีกยาวไม่ได้รับรู้เลยว่าคนรอบตัวเขาทำอะไรไปถึงไหนกันแล้ว ผมหลับและหลับจนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพี่ชาเขย่าตัวปลุก งัวเงียฝืนมองไปรอบ ๆ ก็ได้รู้ว่าเรากลับมาถึงรีสอร์ทเป็นที่เรียบร้อย ลูกทัวร์คนอื่นตรงดิ่งไปยังห้องอาหารเพราะตอนนี้มันเลยเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ผมยิ้มเนือยให้คนตัวสูง รอให้พี่ชาลงไปก่อนก็ค่อยพยุงตัวเองตามไปช้า ๆ
เวียนหัวมากเลยครับ
แค่เท้าแตะพื้นก็มึนจนเซ ไม่ได้แกล้งเป็นนางเอกแต่มันไม่ไหวจริง ๆ ผมรู้สึกได้เลยว่าลมหายใจที่ผ่อนออกมานั้นร้อนผ่าวจนน่ากลัว ในปากขมปร่า คอแห้งเป็นผง ครั่นเนื้อครั่นตัวและมวนท้องจนไม่กล้าลืมตา ผมพิงร่างกับรถตู้แม้ไอร้อนจากตัวเครื่องจะทำให้รู้สึกไม่สบายแต่ก็ไม่มีทางใดดีกว่านี้ ถ้าไม่มีที่ยึดผมอาจล้ม
“ไหวหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างห่วงใย ผมพยักหน้ารับ ใจหนึ่งมันดีแสนดีไม่อยากให้พี่เค้าต้องเป็นห่วงแม้อีกใจกำลังร่ำร้องด้วยความทุกข์ทรมานว่าไม่ไหวแล้ว ๆ ๆ อยู่ก็เถอะ เดินไปตามการประคองของพี่ชาอยู่ดี ๆ ตัวผมก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น
“ผมพาเขาไปเอง ขอบคุณมาก” กว่าจะมาได้นะ ผมกระแทกหน้าผากกับกระดูกไหปลาร้าไอ้คนตัวสูงอย่างขุ่นเคือง นี่ถ้ามีแรงเหลือรับรองว่าพี่มันไม่ได้เห็นผมหลับตาพริ้มให้อุ้มแบบนี้หรอก ผมไม่สบายแทนที่มันจะเป็นคนแรกที่รู้และดูแลกลับกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ได้สนิทกันสักนิดเดียว นี่ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้อีกหน่อยนะ ผมจะให้มันบินกลับกับพวกผู้หญิงนั่นแหละ ไม่อยากมานั่งหมุ่ยใจกับความป๊อบของใครอีกแล้ว
“คุณ ปวดหัวมากเลยหรือ” เสียงร้อนรนถามขณะที่ร่างผมถูกวางลงบนเตียง นี่ก็อีกเรื่อง ทำไมพี่มันไม่ให้ผมขี่หลังหรือประคองเดินแบบคนปกติเค้าวะ อุ้มท่าเจ้าหญิงจากหน้ารีสอร์ทมาถึงบ้านพักแบบนี้ ไม่มีแล้วล่ะความมาดแสนของนายคุณภัทร มุดดินหนีลงน้ำไปหมดแล้วแน่ ๆ
“ปวดหัว”
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะให้เขาตามหมอมาตรวจดู”
“ไม่เอา ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปวดหัวนิดหน่อย นอนพักก็หาย” พี่จิณณ์ยอมนั่งลงข้าง ๆ ผมเบียดแก้มกับฝ่ามือเย็นเฉียบทั้งที่ยังหลับตา นอนนิ่งให้ไอ้คนดีมันลูบหน้าลูบตาเหมือนลูกหมาเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง แม้จะรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แนบกับหน้าผากซ้ำ ๆ ผมก็ทำได้แค่นอนถอนใจระรวย
หมายเหตุนะ ผมกำลังไม่สบาย จิตใจผมไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ สติผมก็ลางเลือน ตาฝ้าฟางมองอะไรไม่ชัด สรุปก็คือผมในตอนนี้ไม่ใช่คุณภัทรในยามปกติ เพราะฉะนั้นถ้าผมจะคิดจะทำอะไรไม่เหมือนเดิมมันก็ไม่แปลก โอเคนะ
“ถ้าไม่อยากให้เรียกหมอก็ต้องกินยาแก้ไข้นะ”
“ไม่เอา” แค่ลืมตาก็เกือบจะไม่ไหวแล้ว ถึงขั้นต้องดันตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อกรอกยาเม็ดขมเข้าปาก ให้ผมตายซะดีกว่า “จะนอน นอนเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“อย่าดื้อสิ”
“เดี๋ยวก็ดี เชื่อสิ” พึมพำบอกทั้งที่ยังหลับตา กำหนดกลับคือพรุ่งนี้เที่ยง มีเวลานอนเรียกพลังกลับคืนอีกเกือบทั้งวัน ทันถมเถ ผมตะแคงหลับตา หมดฤทธิ์ของจริงครับไม่ได้แกล้ง นอนไม่รู้ตัวถึงขนาดที่ว่าจิณณ์แอบออกไปเอายาแก้ไข้กลับมาแล้วผมยังไม่รู้ พอได้ยินเสียงแก้วน้ำกระทบกับโต๊ะผมก็ลืมตาพรึบ เอาแล้วไง ไอ้คนดีมันเล่นผมแล้ว ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดเบ้งวางรออยู่ในถ้วยใบเล็ก ผมพ่นลมขึ้นจมูก มองพี่มันอย่างไม่พอใจ
“กินยาก่อนแล้วจะปล่อยให้นอน อย่าลืมสิว่าเรายังไม่ได้ไปเที่ยวอีกตั้งหลายที่ อุตส่าห์มาถึงเมืองกาญนายจะเอาแต่นอนซมเพราะพิษไข้แบบนี้ กลับไปได้โดนบุรินทร์กับวาล้อตายเลยนะ” ถ้าไม่มีคนบอกสองคนนั้นก็ไม่มีวันรู้ ผมพลิกตัวหันหลัง ไม่เอา ไม่กิน
“คุณ ถ้าไม่กินยาก็ต้องฉีดยานะ”
“ไม่เอาทั้งสองอย่าง จะนอน!” คำสุดท้ายไม่ทันหลุดออกจากปาก แผ่นหลังผมก็โดนซ้อนขึ้นจากเบาะนุ่ม อ้าปากจะด่าคนเซ้าซี้ให้หายโมโห จิณณ์ก็ฉกริมฝีปากลงมา ยาสองเม็ดไหลลงคอไปพร้อมกับน้ำอุณหภูมิห้อง ถ้าไม่อยากสำลักก็ต้องรีบกลืนลงไปพร้อมความรู้สึกเสียววาบที่แล่นปราดไปทั้งช่องท้อง อา วิธีการดั้งเดิมมากครับ มึงไม่กินกูก็จะบังคับให้มึงกิน
“คราวนี้ก็นอนได้แล้ว” ไอ้หมอจำเป็นมันปาดปลายนิ้วกับมุมปากผมแล้วก็ลุกหายไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ผมนั่งหน้าเอ๋อตาลอยอยู่คนเดียวเป็นครู่ จนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับมานั่นแหละผมถึงได้ทิ้งตัวลงนอน ดึงผ้าห่มคลุมจนมิดหัว ภาวนาให้ยาแก้ไข้เมื่อครู่มันแปรฤทธิ์เป็นยานอนหลับให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ผมจะได้ไม่ต้องมานอนฟังเสียงหัวใจตัวเองกระหน่ำเต้นจนปวดหัวไปหมดแบบนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป ((ทำไมเริ่มรู้สึกว่าพี่จิณณ์เองก็ร้ายใช่ย่อยนะเนี่ย))