:::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]  (อ่าน 36751 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่จิณณ์ ออกจะรักและเอ็นดูคุณ ขนาดนี้
คุณ ถามตัวเองซิว่าเคยมีใครตามใจคุณ
ได้เท่าพี่จิณณ์ อีกหรือเปล่าคุณ
คุณ นี่ฉลาดพูดนะ "พี่เป็นคนดี ไว้ใจและเชื่อใจได้เสมอ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะไม่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
โดยการบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่ผมยังไม่พร้อม
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การกระทำของพี่บอกผมแบบนี้”
แต่พี่คุณ สวนกลับซะ "คุณภัทรนะคุณภัทร
การกระทำของฉันมันไม่ได้บอกนายด้วยหรือ
ว่าฉันจะไม่ยอมรับความผิดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น...”
โอ้....พี่จิณณ์ ประกาศเจตนารมณ์ ชัดเจน
คุณภัทรเอ๊ย.....จะหนีพี่จิณณ์ พ้นหรือ   :katai1: :katai1: :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
น่ารักจัง ชอบๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
หึหึหึ หวั่นไหวล่ะสิ

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุณภัทรเริ่มหวั่นไหวละคับ

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๗   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ







“หิวหรือเปล่า กินอะไรก่อนนอนไหม”

“กินอะไรดีอ่ะ”

“อะไรก็ได้”

“งั้น กินเครปเค้กของซีเคร็ท การ์เด้นท์” เอาสิ รวยนักนี่สั่งให้เค้าส่งตรงมาจากเอกมัยเลยสิ ตอบแล้วผมก็คว้าหมอนข้างมากอด กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้วที่จะได้จิณณ์ถามถึงเรื่องปากท้องและความสะดวกสบายถ้าวันไหนไม่ได้ยินนี่สิเรื่องแปลก มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จิณณ์จะเป็นห่วงแต่บังเอิญว่าตอนนี้ผมเคือง เคืองที่พี่มันบังอาจรุกผมในรถเมื่อตะกี้ เคืองโคตรขอบอก ไม่สนใจคนที่ชะงักไป ผมนอนขวางเตียงกอดหมอนข้างในท่าที่สบายที่สุด ตอนนี้เวลาห้าทุ่มกว่าแต่เพราะนอนเอาแรงไว้มากเมื่อตอนบ่ายผมเลยยังไม่รู้สึกง่วง เปิดทีวีดูเกมโชว์จากเกาหลีที่ฟังไม่รู้เรื่องแต่ฮาโคตรฆ่าเวลารอจิณณ์อาบน้ำเสร็จ เกมโชว์รายการนี้สนุกดี มีการแข่งขันแบบแปลก ๆ คนเข้าแข่งขันก็แปลกแต่ก็ชวนฮาได้ตลอด ผมอ่านชื่อเกมไม่ออก ฟังภาษาเค้าก็ไม่ออกแต่สีหน้าสีตากับแอคติ้งของผู้ร่วมรายการกลับเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ตลอดเวลา เออ เก่งกันจังเลยวุ้ย กำลังชื่นชมไปจนถึงโปรดิวเซอร์ที่คิดรูปแบบรายการก็หันไปเห็นจิณณ์กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์

“พี่จะทำอะไรน่ะ” สัญชาตญาณร้องสั่งให้ผมคว้าโทรศัพท์วางกลับไปที่เดิม จิณณ์เหมือนจะตกใจแต่ก็ยอมตอบตามตรง “จะโทรไปสั่งของว่างให้ไง”

“สั่งที่ไหน”

“อยากกินที่ไหนก็จะสั่งจากที่นั่นแหละแต่ต้องรอหน่อยนะ กว่าของจะมาถึงคงเป็นพรุ่งนี้ช่วงสาย รอได้ไหม” รอได้ไหมงั้นเหรอ ผมผุดลุกขึ้นนั่ง กลอกตาซ้ายขวาแล้วก็เจออาวุธอยู่ข้างมือซ้าย หมับ ตายซะเถอะไอ้พี่เลว!

“โอ๊ย คุณ เจ็บนะ” มารยา แค่หมอนข้างเนี่ยนะจะเจ็บ ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ผมจะไม่เชื่อมันอีกต่อไปแล้ว

“เจ็บสิดี แม่ง พี่จะกวนประสาทผมไปถึงไหนกันวะ”

“ใครกวนกันก่อนล่ะ โอ๊ย มันโดนตานะคุณ”

“ดี โดนข้างไหน เอาไปอีกข้างหนึ่งเลย นี่ ๆ ๆ ๆ” จิณณ์คว้าหมอนไว้มั่น

“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามจะหยุดไหม” ผมโยนหมอนใส่หน้ามันก่อนที่อีกคนจะเริ่มนับ นั่งหอบแฮ่กให้ไอ้คนนิสัยเสียจ้องหน้าอยู่สามวิก็ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้ โกรธมัน โกรธที่ตอบโต้มันไม่ได้เต็มไม้เต็มมือ หนึ่งเพราะรู้ดีว่าผมเป็นคนกวนตีนมันก่อน สองเพราะรู้ว่าถ้ามันทำจริงผมคงสู้แรงมันไม่ได้และสาม...ผมกลัวหน้าไอ้สันดานนั่นเสียโฉม โอ๊ย โกรธตัวเองแทนแล้ว

“เด็กอะไร โมโหร้ายชะมัด” เสียงคนข้างหลังยังบ่นอุบ ผมย่นจมูก จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เราลงไม้ลงมือใส่กัน เอ่อ โอเค ที่ผมลงไม้ลงมือกับมัน(ฝ่ายเดียว)ก็ได้ จิณณ์ไม่ได้ตอบโต้สักแอะนอกจากริบอาวุธผมทิ้งไปบนพื้นห้อง จากนั้นพี่มันก็นั่งเงียบจนผมต้องเอี้ยวตัวไปมอง

จิณณ์นั่งหันหลังให้ผมอยู่อีกฝั่งของเตียง ไหล่หนาที่เคยหยัดตรงค้อมลงนิดหน่อย ผมขัดอกขัดใจตัวเองจนต้องพ่นลมจิ๊จ๊ะ เอาวะ อีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นพี่แถมยังแก่ปีกว่าเราตั้งมาก เราเองก็เป็นคนดีศรีสังคม โปรดสัตว์มันหน่อยก็แล้วกัน คิดแล้วก็คลานเข้าไปหยุดข้าง ๆ จับหน้าขาว ๆ ให้หันมาหา จิณณ์หรี่ตามองผมเหมือนจะงอน จ้ะ น่ารักตายละมึง

“เจ็บมากไหม”

“มาก”

“ไปหาหมอไหมล่ะ” จิณณ์ส่ายหน้า จับมือผมออกแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ความจริงรีสอร์ทหรูหราขนาดนี้น่าจะมีหมอประจำอยู่เผื่อมีคนไข้เคสฉุกเฉิน หรือถ้าไม่มีอย่างน้อยก็น่าจะมียาสามัญประจำบ้านสำรองไว้ ผมคิดแล้วก็ยกหูต่อสายไปยังล็อบบี้ ขอยาหยอดตามาหนึ่งหลอดแล้วก็ได้ตามที่ขอในห้านาทีต่อมา พอจิณณ์ออกจากห้องน้ำมาอีกครั้งผมก็บังคับให้มันนอนบนเตียง

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่เคืองนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”

“เคืองก็ใส่ยาจะได้หายเร็วขึ้น”

“ทำไม รู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ” ผมบู้ปาก รู้สึกว่ามือสั่นจนรู้สึกได้ตอนที่พยายามหยดยาใส่ตาให้คนเจ็บ

“ก็เออน่ะสิ แต่ไม่ทั้งหมดหรอกนะ พี่เองก็ผิดที่ยั่วโมโหผมตั้งแต่ตอนอยู่ในรถ” คนตัวสูงถอนใจยาว พึมพำทั้งที่ยังหลับตาว่าขอโทษ

ก็เป็นเสียแบบนี้

เป็นคนดี เป็นคนยอม

จะเป็นอย่างนี้อีกนานไหม 

ไม่รู้หรือว่ายิ่งยอมเด็กนิสัยเสียอย่างผมก็จะยิ่งเอาแต่ใจ

ผมได้แต่ทวนประโยคเดิมอยู่ในใจ ขณะที่เคลื่อนตัวขึ้นไปนอนซุกทางขวามือของจิณณ์ อีกฝ่ายสอดแขนเข้ารองแทนหมอนให้เหมือนทุกครั้งที่เรานอนด้วยกัน การได้นอนอยู่ใกล้จิณณ์ยังให้ความรู้สึกอุ่นสบายเหมือนทุกครั้งแต่ที่มากกว่านั้นคือผมรู้สึกหน่วงหนักในใจ ไม่อยากจะตอบตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นเพราะมันจะยิ่งทำให้ผมเข้าใกล้ในสิ่งที่ตัวเองไม่พร้อมจะยอมรับ

“หลับเสีย พรุ่งนี้จะได้ไม่ง่วง”

“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”

“ไม่ ไม่เจ็บแล้ว”

“ขอโทษ ผม...ขอโทษ...” มันไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บตาและจิณณ์เองก็คงจะรู้ความหมายของมัน ลมหายใจของอีกคนสะดุดไปในทันที ถึงอย่างนั้นมืออุ่นก็ยังไล้แผ่นหลังผมราวกับจะปลอบโยนเราทั้งคู่ไปในคราวเดียวกัน

“ไม่เป็นไรคุณภัทร ฉันไม่เป็นไร”

นั่นเป็นคืนแรกที่ผมอยู่กับพี่จิณณ์แล้วหลับได้ไม่เต็มตา




เช้านี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสว่างไม่มีเมฆฝนบดบัง สายลมพัดเย็นหอบเอากลิ่นหอมของกล้วยไม้โชยเข้ามากระทบเป็นระยะ มันคงดีถ้าอารมณ์ผมแจ่มใสเหมือนอากาศตอนนี้ ผมตื่นแต่เช้าทั้งที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนสักงีบแต่ก็ยังสายกว่าอีกคนที่เพิ่งเดินลัดเลาะออกมาจากแนวต้นไม้ข้างบ้านพัก จิณณ์สวมกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อยืด มีผ้าขนหนูคล้องคอ ใบหน้าคมพราวด้วยหยดเหงื่อไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนีไปวิ่งออกกำลังตอนเช้ามา

“ตื่นแล้วหรือ หิวไหม”

“ไม่หิว พี่ไปไหนมา” จะถามทำไมเนี่ยก็รู้อยู่ว่าไปวิ่ง

“ออกกำลัง ด้านหลังมีฟิตเนสด้วยนะ ทั้งสปา ทั้งสระว่ายน้ำ อยากไปลองดูไหมล่ะ” ครบครันสมกับเป็นรีสอร์ทหรูแต่ถ้าอยากเล่นฟิตเนสผมก็หาเวลาไปเล่นแถวศูนย์ใกล้บ้านก็ได้ ไม่ต้องถ่อข้ามจังหวัดมาถึงนี่หรอก จิณณ์ยืดแข้งยืดขาคลายกล้ามเนื้อสองสามทีแล้วก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ ทำไมมันสดใสไร้รอยหม่นแบบนี้วะ

“เป็นอะไรหรือเริ่มหิวข้าวแล้ว” ไม่รู้จะบอกยังไงเลยได้แต่พยักหน้ารับ พี่มันยิ้มบาง ทำท่าเหมือนจะลูบหัวผมแต่ก็ไม่ลูบ เปลี่ยนไปจับพนักเก้าอี้ซะงั้น “งั้นรอเดี๋ยวนะ ขออาบน้ำก่อน วันนี้จะพาไปขี่ช้างชมป่า” ผมเม้มปากแน่น เอาสิ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะจำเอามาใส่ใจ ผมก็จะลืมเหมือนกัน

“เร็ว ๆ นะ”

“ครับบบ คุณชาย”

จิณณ์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในเวลาแค่สิบห้านาทีแต่รัศมีความดูดีก็ใช่ว่าจะด้อยลงเพราะเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องอาหารของรีสอร์ทมันก็ยังเด่นสะดุดตาจนใครต่อใครพากันหันมามองอยู่ดี ผมเป็นคนเลือกโต๊ะ งานนี้ขออยู่ในซอกหลืบของความมืดก็แล้วกัน ไม่อยากนั่งเด่นเป็นลิงในสวนสัตว์ให้คนมองไปกินข้าวไปหรอก เมนูของวันนี้ไม่ซ้ำกับเมื่อวานแต่ก็ยังน่ากินไม่แพ้กัน ถึงจะมีเรื่องให้ใจมันไม่สบายแต่ก็ใช่ว่าความสามารถในการรับประทานของผมจะลดลง เราต้องแยกให้ออกครับ ใจก็เรื่องหนึ่ง ปากกับท้องก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ควรเอามาเกี่ยวกันเพราะมันจะกระเทือนต่อระบบร่างกายของเราได้ ทฤษฏีนี้มันเป็นจริงมาตลอด ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงของใครบางคนทักขึ้นว่า...

“ใช่จริง ๆ ด้วย! จิณณ์คะ!” เจ้าของชื่อเขาหันไปมองด้วยมาดพระเอกหน้าหยกเล่นเอาสาวเจ้าซอยเท้าถี่ ๆ เข้ามาหาแทบไม่ทัน ผมราช้อนลงมองแขกของเช้านี้ด้วยสายตาสนใจอย่างเปิดเผย อื้อหือ ขาว สวย ไม่หมวยแต่สะบึมโคตร น่าเสียดายที่กระดี๊กระด๊าเข้าหาผู้ชายไปหน่อยแล้วเสื้อกล้ามที่ใส่นั่นน่ะถ้ายังห่วงอธิปไตยของตัวเองหาเสื้อตัวอื่นมาใส่ทับอีกทีดีไหมครับคุณผู้หญิง ผมคงมองเจ้าหล่อนตาค้างเกิน จิณณ์เลยเลื่อนจานสลัดปูมาให้เป็นการเรียกสติ

“บังเอิญจังเลยค่ะ มาเที่ยวเหมือนกันหรือคะ”

“ครับ ผมมากับน้อง” คนที่เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นน้องอย่างผมเลยต้องรีบวางช้อน ยกมือไหว้ทักทายก่อนตามมารยาท

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ รจิตนะคะ เป็นเพื่อนที่ทำงานของจิณณ์” เพื่อนที่ทำงาน อ้าว ตกลงไอ้พี่จิณณ์มันตกลงใจแล้วหรือว่าจะทำงานที่ไหน ทำไมผมไม่รู้ ผมหันไปมองหน้าคนกลาง จิณณ์ก็เอาแต่นั่งยิ้มมองคนสวยไม่ยอมหันมาตอบคำถามในสายตาผม นะ สลัดปูของโปรดชักจะขมปากขึ้นมาแล้วสิ

“จิณณ์จะอยู่กี่วัน แล้วคิดไว้หรือยังคะว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง”

“คิดเอาไว้แล้วครับ คุณรจิตมากับใครหรือครับ เพื่อนหรือว่าคนพิเศษ” คุณรจิตของจิณณ์เธอค้อนให้พองาม แล้วก็เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ปากจะต้องยื่นออกมาพองามเหมือนกันด้วย “ถ้ามีอย่างที่พูดก็ดีสิคนพิเศษน่ะ รจิตมากับเพื่อนผู้หญิงค่ะ อยู่โต๊ะนู้น จิณณ์แวะไปทักทายหน่อยดีไหม พี่หยีกับอลิซที่อยู่แผนกเดียวกันก็มาด้วยนะ”

“จะดีหรือครับ ผมกลัวว่าจะไปขัดคอ ท่าทางกำลังคุยกันสนุก”

“ขัดคออะไรกันคะ คนกันเองทั้งนั้น ไปเถอะ นะ” โดนบ่วงคล้องแขนแถมยังรัดแน่นซะขนาดนั้นแกะหลุดได้ก็ให้มันรู้ไป ผมเหลือบตามองไอ้คนเนื้อหอมที่ทำหน้าไม่รู้ทันมารยาผู้หญิงพลางควักเนื้อมะพร้าวอ่อนเข้าปากเคี้ยวหงับ ๆ จิณณ์ยังคงยิ้มบาง เมื่อหันมาสบตากัน ใบหน้าขาวจัดก็ฉายแววอ่อนหวานและอ่อนโยนแบบที่ผมไม่ได้เห็นมานานมาก อย่าหันมาทางนี้ แสบตาโว้ย!

“อิ่มแล้วหรือ”

“ยัง จะกินของหวานต่อ”

“สั่งเองเป็นไหมหรือจะให้สั่งให้ก่อน” วะ มันจะรู้ไหมว่ากำลังประจานความโง่ด้านทักษะการเอาตัวรอดของผมให้คนภายนอกรับรู้ ผมสั่นหน้าดิก

“ไม่ต้องหรอก ผมจะสั่งเอง พี่ไปเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็รอเดี๋ยวนะ ขอไปทักพี่ ๆ เค้าก่อน” ผมผงกหัวโดยไม่พูด ก้มหน้าสนใจแค่ลูกมะพร้าวเนื้ออ่อนในมือ พอจิณณ์ลุกไปได้ก็ชำเลืองมองตาม โอ้โห ฉากเหมือนในละครที่แม่ชอบดูเป๊ะ พอนางเอกเงยหน้าขึ้นมอง นางร้ายที่กำลังควงพระเอกเดินจากไปจะต้องหันมาส่งยิ้มทิ้งท้าย ทั้งสายตาและสีหน้าประหนึ่งจะประกาศว่าผู้ชนะในเกมนี้จะต้องเป็นหล่อนเท่านั้น ผมถือช้อนเหล็กค้าง ก้มลงมองตัวเองแล้วก็คิดได้

ตกลงกูเป็นนางเอก?

“ตุ๊ดจริง” ไม่ต้องสงสัยมันเป็นคำสบถคำใหม่ที่ผมเพิ่งได้มาจากเพื่อนที่คณะ ไม่จำเป็นต้องหยาบคายแต่ก็แทนความรู้สึกในใจได้
ผมไม่ชอบอ่านนิยายรัก เกลียดกลิ่นเหม็นเน่าเวลานางเอกกับพระเอกโกรธกันด้วยเรื่องงี่เง่า รำคาญที่พระเอกชอบโง่กับเรื่องที่ควรฉลาดแล้วก็เกลียดอุปสรรคที่เป็นตัวอิจฉาหน้าตาดีแต่จิตใจเต็มไปด้วยความริษยา บอกได้เลยว่าผมไม่ใช่นางเอกเพราะฉะนั้นหากเจอแบบในนิยายบางเรื่องไม่มีทางที่ผมจะยอมทนนั่งน้ำตาซึมให้นางร้ายกดขี่ข่มเหงครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าพระเอกมันโง่ผมจะซัดเอาให้เลือดโง่มันออก ถ้านางร้ายมันร้ายมาผมก็จะร้ายกลับให้มันหน้าแหกไม่กล้ามายุ่งกับผมอีกชั่วชีวิต ไม่เชื่อคอยดู



หลังจากปล่อยให้คุณชายท่านไปเฮฮาปาร์ตี้ในฮาเร็มได้เกือบครึ่งชั่วโมง จิณณ์ก็เดินยิ้มกลับมาหา พี่มันกวาดตามองรายการที่ผมเพิ่งจัดการกวาดลงท้องไปแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้าง แม่ง ทำหน้าเหมือนทุกอย่างเป็นไปดั่งใจคิดแบบนี้ น่าหมั่นไส้ฉิบหาย ผมวางช้อนลงหลังจากกว้านเก็บวุ้นมะพร้าวหวานกรอบตามผองเพื่อนลงท้องไปเรียบร้อย เงยหน้าให้ไอ้หล่อแตะกระดาษซับรอยเปื้อนของน้ำเชื่อมแล้วก็ถามซื่อ ๆ

“เจ้คนนั้นเค้ามาชอบพี่หรือ”

“ไม่รู้สิ แต่คงไม่หรอกมั้ง ก็เห็นเค้าทำแบบนี้กับทุกคน”

“ทุกคนที่ทำงานบริษัทเดียวกับพี่ใช่ไหม” ผมลากเสียงถาม ดูดชารสเฝื่อนตบท้ายพลางจ้องมันตาเป็นประกาย จิณณ์พยักหน้าน้อย ๆ เขี่ยปลายนิ้วกับนิ้วผมเหมือนเอาใจ ไม่ต้องแล้วพี่ งานนี้มึงมีความผิดโทษฐานมีความลับกับน้อง ถึงจะปั้นหน้าให้หล่อราวเทพบุตรกรีกเราก็ไม่หลงกลรอยยิ้มอ้อน ๆ ของนาย เข้าใจนะ

“ฉันตอบตกลงเขาไปก่อนเริ่มติวหนังสือสอบให้นายน่ะ ช่วงนั้นนายก็คงวุ่นวายกับการทบทวนบทเรียน ฉันเลยไม่อยากเอาเรื่องอื่นไปรกสมองอีก”

“พี่คิดถูกแล้ว ผมไม่ได้อยากรู้ให้รกสมองหรอก”

“คุณ ก็ตั้งใจจะบอกตอนมาเที่ยวนี่แหละแต่มันลืม”

“พอเถอะ เอาเป็นว่าผมรับรู้ก็แล้วกัน ถึงจะไม่ได้มาจากปากเจ้าตัวเองก็เถอะ”

“งอนอีกแล้ว ช่วงนี้งอนบ่อยนะเรา เป็นอะไรหรือเปล่า” เป็นอะไรหรือเปล่า! เชี่ย แม่งถามมาได้ มันเป็นคนทำให้ผมเป็นแบบนี้ยังมีหน้ามาทำหน้าซื่อถามอีกเรอะ ไหนฉลาดนักหนาไงล่ะ จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เรื่องเบสิกแค่นี้ คิดเอาเองสิวะ

“สมมุติง่าย ๆ ถ้าเราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วผมเกิดมีแฟนโดยไม่บอกพี่ พี่มารู้อีกทีเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วแนะนำตัวว่าคบกับผมมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว พี่จะรู้สึกยังไงวะ”

“สมมุติเรื่องอื่นได้ไหม” อ๊าววว แค่เรื่องสมมุติมึงยังโกรธเลยพี่ แล้วถ้าเป็นจริงแม่งไม่พีคยิ่งกว่ากูอีกหรือวะ “ช่างเถอะ ผมแค่แปลกใจที่พี่เริ่มงานเร็วเลยอึ้งนิดหน่อย ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ที่ตัวเองไม่รู้เรื่องทั้งที่เราก็คุยกันตลอด ว่าแต่ วันนี้เราจะไปไหนกันบ้าง”

เปลี่ยนเรื่องละ ไม่อยากคุยเรื่องเดิมให้ตัวเองรู้สึกสาวน้อยไปมากกว่านี้ ถ้าจะถกปัญหาเรื่องโกรธไม่โกรธ เก็บเอาไว้ถกกันหน้ารั้วบ้านผมดีกว่า อุตส่าห์ได้มาเที่ยวจะมาคิดเล็กคิดน้อยให้เสียดายบรรยากาศแปลกใหม่ไปทำไมกัน จิณณ์ทำหน้าจำยอม เรียกบริกรมาคิดเงินแล้วก็พาผมเดินออกมาจากห้องอาหารของรีสอร์ท เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาสองสามรอบก่อนจะเวียนหัวกับเส้นทาง คำตอบก็ส่งเสียงร้องแปร๋น ๆ ทักทายมาจากอีกฟากของรั้วกั้น

“...นี่...นี่ที่นี่เค้าเลี้ยงช้างด้วยหรือ”

“เคยเห็นช้างจริง ๆ มาก่อนหรือเปล่า” ผมส่ายหน้า แถวบ้านผมมันมีที่ไหนกันล่ะ วงจรชีวิตเด็กเมืองกรุงอย่างผมคงไม่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโต จมูกยาวนี่ได้หรอก ไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะตื่นเต้นกับเจ้าตัวสี่ขาที่กำลังแกว่งงวงของมันไปมาอยู่ตรงหน้า น่ารักจังเลย น่ารักตรงที่ตัวมันใหญ่แต่ท่าทางมันนอบน้อมแถมยังมีดวงตาอ่อนเชื่อมมีประกายของความเป็นมิตรทั้งที่เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ผมจะเดาเอาเองว่าไอ้การชูงวงขึ้นสูงนั้นเป็นการทักทายของมันได้หรือเปล่านะ

“มันจะกัดเราไหม”

“ถามมันดูสิ” อ้าว ไอ้พี่ ย้อนไม่ขาดคำแบบนี้ถึงหล่อก็ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์ปากแตกนะโว้ย ผมมองมันตาเขียว จิณณ์มันรู้ตัวรีบโอ๋ด้วยการดึงผมเข้าไปตบหัวลูบหน้าลูบหลังต่อหน้าต่อตาคนเลี้ยงช้างนับสิบและนักท่องเที่ยวอีกหลายเชื้อชาติ คิดจะโมโหมันอยู่หรอกแต่บังเอิญว่าอารมณ์ดีเลยเผลอยิ้มตอบไป ฮ่วย เบื่อใจดี ๆ ของตัวเอง

“เข้าไปใกล้ ๆ กันดีกว่า”

“ไปได้หรือ มันไม่กลัวเราหรือ”

“ไม่กลัวหรอก เจ้าพวกนี้มันชินกับนักท่องเที่ยวแล้วล่ะ เอ้า เอานี่ไปด้วย” ตะกร้าหวายใบเล็กน่ารัก ข้างในมีกล้วยแล้วอะไรก็ไม่รู้เป็นแท่งทรงกระบอกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำยาวประมาณหนึ่งคืบ ผมหยิบมันมาพลิกมองดูถึงรู้ว่ามันคืออ้อยที่ถูกตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ กำลังจะดมพิสูจน์กลิ่นจิณณ์ก็ห้ามไว้เสียก่อน

“อย่าดมอะไรไปเรื่อยสิ”

“หอมดีอ่ะ อยากกินน้ำอ้อยสดขึ้นมาเลย”

“เดี๋ยวค่อยไปกินที่ห้องอาหาร อย่าไปแย่งช้างกินสิ มันน่าสงสารนะ ดูสิ มองตาละห้อยเลย”

“แค่พูดถึงเฉย ๆ หรอก” จิณณ์ดันผมไปใกล้รั้ว ตรงนั้นมีช้างเชือกหนึ่งกำลังนอนให้คนเลี้ยงลูบเนื้อลูบตัวอยู่ พอพวกเราเดินเข้าไปใกล้พร้อมตะกร้าในมือ มันก็ยันตัวเองขึ้นยืนเต็มความสูง สูงเสียจนผมต้องเงยมอง ท่าทางมันดีใจที่เห็นของในมือเรา งวงยาว ๆ นั้นถึงได้ยื่นออกมาหาผมสองคนแบบไม่ต้องรอให้ใครสั่ง ผมถอยกรูดเพราะความไม่ชินแต่ไอ้ผู้ชายบางคนมันกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก จิณณ์ดันหลังผมกลับไปยืนจุดเดิมพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ

พี่ มึงจำไว้เลย แค้นนี้กูต้องได้ชำระ

“หยิบป้อนมันหน่อยสิ เอาขนมมาล่อแล้วจะหนี บาปนะ”

“ก็คนมันกลัว”

“กลัวทำไม มานี่มา” คนที่ยืนซ้อนข้างหลังผมหยิบกล้วยมาหนึ่งผล ยื่นให้เจ้าตัวโตรับไปกลืนเหมือนไม่ต้องเคี้ยว ผมยืนเบียดจิณณ์แบบกล้า ๆ กลัว ๆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ลองมันก็เสียเที่ยวใช่ไหม โอเค ช้างก็ช้างวะ ถ้ามันคิดอยากจะกินคนแทนกล้วยขึ้นมาไอ้พี่จิณณ์คงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าผม

“กินนะ กินดี ๆ น้า” ครั้งแรกมันก็คงต้องเจ็บ เอ๊ย ต้องสั่นกันบ้าง มือผมสั่นจนจิณณ์ต้องซ้อนฝ่ามือทับไว้ ครั้งต่อไปเลยดีขึ้น พอหมดตะกร้าแรกตะกร้าที่สองและสามก็มีคนเอามายื่นให้ ตอนนี้ผมวางใจพอที่จะลูบผิวหยาบ ๆ ของเจ้าช้างเพศเมียเชือกนี้ได้แล้ว แหม เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าเราเองก็รักเด็กเมตตาสัตว์ใช่น้อยเหมือนกัน ครึ ๆ ๆ

บริจาคกล้วยและอ้อยจนพอใจแล้วเลยเดินเตร่กลับไปหน้ารีสอร์ท พนักงานสาวสวยคนเดิมยังทำหน้าที่ของเธอเหมือนเมื่อวาน จิณณ์ไปคุยอะไรกับหล่อนครู่หนึ่งแล้วก็เดินกลับมาหาผมพร้อมขวดน้ำอ้อยสด อา ชื่นใจจัง

ผมกำลังจ้องเงาตัวเองในอ่างบัวด้านหน้า ยังไม่ทันรู้เรื่องว่าจะทำอะไรต่อ พี่ปริมก็เดินนำหญิงสาวกลุ่มหนึ่งมาถึง ไกด์สาวยิ้มเหมือนดีใจอย่างสุดแสนที่ได้เจอผม เธอหันไปคุยกับคนกลุ่มนั้นแล้วก็ตรงแน่วมาหาผมทันที

“น้องคุณ น้องจิณณ์ พร้อมแล้วใช่ไหมคะ”

“พร้อม? พร้อมอะไรครับ?”

“ก็พร้อมที่จะไปชมความงามของธรรมชาติเลียบไปตามข้างแม่น้ำแล้วก็กลับมาด้วยการล่องแก่งสุดมันส์ไงล่ะคะ เอ๋ นี่น้องจิณณ์ยังไม่ได้บอกอีกหรือคะ” ถ้าน้องจิณณ์ของพี่บอกผมคงไม่งงครับ เจ้าตัวมันส่งยิ้มเป็นคำทักทายพี่ปริม อุปมาไปเองหรือเปล่าที่เห็นประกายวิ้ง ๆ แผ่ออกมารอบกรอบร่างสูงใหญ่นั่น ทำไมมีแต่ผมคนเดียวที่ใจเต้น พี่ปริมเองก็มองมันเต็มตาไม่ยักกะมีอาการผิดปกติเลยเหมือนผู้หญิงบางคนแม้แต่น้อย

“ไปกันเถอะค่ะ เพื่อน ๆ รออยู่แล้ว” เอา ไปก็ไป

“จิณณ์คะ!” ผมมองเพื่อนใหม่อีกเกือบสิบชีวิตแล้วก็อยากจะเดินกลับห้องพักเสียเดี๋ยวนั้น น่ะ โลกกล๊มกลมเนาะ เพิ่งเจอกับที่ห้องอาหาร แยกกันไปได้แค่ชั่วโมงเดียวก็ดันมาเจอกันอีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีสาวสวยเดินเข้ามาคล้องแขนไอ้พี่จิณณ์อีกข้างผมคงกระชากคอเสื้อมันถามไปแล้วว่าไปแอบนัดกันไว้ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้

“ไปเที่ยวด้วยกันนะคะน้องคุณ มีแต่พวกเราแบบนี้ต้องสนุกแน่เลย” ผมฉีกยิ้มเต็มแก้ม

“ครับ คงสนุกแน่”



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แอ๊ะ.....ไม่มีใครชวนเลย แต่ยังกล้ามาร่วมวงด้วย
แถมยังพูดว่ามีแต่พวกเราคงสนุกแน่ อีก
เขาอยากเป็นพวกหล่อน อยากสนุกด้วยด้วยหรือเปล่า
ไม่หน้าหนา ทำไม่ได้นะเนี่ย
มาพักผ่อนส่วนตัว แท้ๆ
ติดใจจิณณ์ จนทำตัวน่ารังเกียจ
จิณณ์ คุณ จะแก้ปัญหาชะนีหลงผู้ชายยังไงกันนะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๘   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





กลุ่มเรามีทั้งหมดสิบคนรวมพี่ปริมที่เป็นไกด์ ทัวร์ชมธรรมชาติกลุ่มเล็กแต่ประสิทธิภาพการทำลายความสงบรุนแรงมาก เริ่มตั้งแต่การขึ้นนั่งบนหลังช้าง ผมว่าผมกลัวแล้วนะแต่ยังสู้สาว ๆ เขาไม่ได้ ไม่นับพี่ปริมที่ดูคุ้นเคยกับการเดินทางแบบนี้ดีนอกนั้นต่างส่งเสียงวี้ดว้าย เอะอะร้องเอะอะกรี๊ด แค่เห็นขบวนเจ้าตัวโตเดินเรียงกันมายืนอยู่ตรงหน้าก็กรีดร้องขวัญผวากันแล้ว อาการอกสั่นขวัญแขวนในใจผมเลยหายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกว่าตัวเองดูมีค่าขึ้นมาทันทีที่สามารถประคองพี่ปริมขึ้นไปนั่งบนเทียบ(หรืออะไรก็ไม่รู้เหมือนเป็นเก้าอี้ขนาดสองคนนั่ง)หลังช้างได้ พอผมจะนั่งลงข้างกัน ไกด์สาวก็ยกมือท้วงทันที

“น้องคุณต้องไปนั่งกับน้องจิณณ์ไม่ใช่หรือคะ”

“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นนะครับแต่ตอนนี้คงไม่แล้วล่ะพี่ปริม ปล่อยเค้าดูแลเพื่อนไปเถอะ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ทุกคนพร้อมนะค้าาา” ผู้นำทัวร์ส่งเสียงบอกลูกทัวร์อย่างสดใส คำตอบรับคือเสียงวี้ดว้ายทันทีที่ช้างทุกเชือกเริ่มย่างก้าวไปตามเส้นทางของการชมลำน้ำและป่าเขา พวกเราผ่านสวนผลไม้ที่ถูกตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดี ผ่านแนวป่าที่มีไม้ดอกให้ชื่นชมและเก็บรูปสวย ๆ ได้ตลอด ทะลุออกมาใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำสายหลักของรีสอร์ทขึ้นไปหาต้นน้ำเพื่อที่จะได้ล่องแก่งกันตามโปรแกรม จะว่าไปนี่มันก็โปรแกรมที่ผมเคยคิดไว้ว่าอยากจะทำทั้งนั้น ตั้งแต่กินของอร่อย ขี่ช้างชมป่า เที่ยวผจญภัย แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองเก็บเกี่ยวเอาความสนุกได้ไม่เต็มที่ก็ไม่รู้

“พี่เพิ่งรู้นะคะว่าน้องจิณณ์เป็นคนรู้จักของแขกกลุ่มนั้น”

“อ๋อ ครับ เห็นว่าทำงานที่เดียวกันน่ะครับ” พี่ปริมครางรับ มือก็ยังวุ่นวายกับการถ่ายภาพผมมุมนั้นมุมนี้แบบไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ “ไม่น่าเชื่อนะคะว่าน้องจิณณ์จะทำงานแล้ว ท่าทางยังเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยอยู่เลย”

“เขาเรียนเร็วน่ะครับเลยจบก่อน จากที่เคยเป็นพี่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็กลายไปเป็นน้องใหม่ในโลกของการทำงานแทน ดูแล้วคงเป็นรุ่นน้องที่ได้รับความเอ็นดูมากอยู่” พี่ปริมหัวเราะเสียงใส เธอมองไปยังลูกทัวร์สองคนบนหลังช้างเชือกที่อยู่หน้าพวกเราแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมเข้าใจว่าด้วยมารยาทและจรรยาบรรณของการเป็นไกด์ที่ดีทำให้เธอหลีกเลี่ยงที่จะออกความเห็นในเรื่องส่วนตัว เราสองคนนั่งมองคุณรจิตเอียงไปเอียงมาบนหลังช้างแล้วก็เผลอหัวเราะออกมาพร้อมกัน น่าแปลกที่เวลาได้เอียงเข้าไปหาจิณณ์แล้วคุณรจิตเธอไม่ยักจะเอียงออกเหมือนตอนเอียงเข้าหา ผมหลับตาสูดลมหายใจลึก บางทีถ้าทำแบบนี้แล้วมันคงทำให้ผมรับรู้ความสวยงามของป่าเขาได้ดีมากขึ้นก็ได้ คิดว่านะ


พวกเราลงจากหลังช้างท่ามกลางความโล่งใจของสาวน้อยใหญ่และชายหนุ่มอีกหลายชีวิต แอบลูบงวงเจ้าตัวโตไปสองสามทีแล้วก็เดินไปสมทบกับอีกกลุ่ม จิณณ์ยังคงคอนเซ็ปต์สุภาพบุรุษไว้ทุกกระเบียดนิ้ว คอยช่วยเจ้าหน้าที่ประคองพวกผู้หญิงลงจากหลังช้าง เป็นหลักยึดให้ในยามเดินผ่านพื้นดินขรุขระหรือโขดหินสูงต่ำ ใบหน้าหล่อระดับพระเอกประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นจริงใจจนใครต่อใครก็อยากอยู่ใกล้

“เหนื่อยไหม” พี่มันหันมาถามผมในจังหวะหนึ่งที่พี่ปริมกำลังอธิบายข้อบังคับของการล่องแก่งผจญภัยในครั้งนี้ ผมส่ายหน้าตอบ “ไม่ได้เดินเองจะเหนื่อยได้ไง”

“ท่าทางนายคุยถูกคอกับคุณไกด์เค้านะ”

“อือ พี่ปริมคุยสนุกดี”

“ดีแล้วล่ะ” แล้วคุณชายท่านก็เดินไปช่วยพวกผู้ชายรับเสื้อชูชีพพร้อมหมวกมาแจกสาว ๆ คราวนี้เห็นทีว่าจะงอนเงียบครับท่านผู้ชม ผมเท้าเอวเซ็ง ๆ เห็นอยู่ว่าผมนั่งมากับพี่ปริมสองคนถ้าไม่คุยกับเค้า ไอ้พี่จิณณ์มันจะให้ผมคุยกับควาญช้างหรือยังไง แล้วก่อนจะเชิดใส่คนอื่นหมอนั่นมันสำรวจตัวเองแล้วหรือยังว่าวันนี้มันทำตัวกวนโมโหผมมาตั้งแต่ห้องอาหารแล้ว

“พี่โกรธอะไรวะ” ผมถามมันทันทีที่รับชุดชูชีพมาสวม ไอ้หล่อมันไม่ยอมสบตา วางหมวกลงบนหัวผมจัดการล็อคให้เรียบร้อย

“ไม่ได้โกรธ ดูที่ล็อคให้ดีนะ ระวังมันหลุด”

“จิณณ์ ผมถามพี่แล้วนะ”

“ฉันก็ตอบนายแล้ว” แล้วตกลงมึงงอนไหม ถ้าไม่งอนกูจะได้ไม่ง้อ “ไม่มีอะไรหรอก แค่เป็นห่วงว่านายอาจจะเหงาที่ฉันไม่ได้อยู่ใกล้แต่ดูแล้วนายคงไม่ได้เป็นอะไร”

“ฟังนะจิณณ์ เมื่อกี้ผมนั่งมากับพี่ปริมแค่สองคนบนหลังช้าง ถ้าพี่ไม่พอใจ ไม่อยากให้ผมคุยกับมนุษย์หน้าไหน วันหลังถ้ามีเวลาว่างพี่ก็สอนภาษาช้างให้ผมด้วยแล้วกัน” ผมสะบัดมือมันหนาออกจากแขนเป็นการจบประโยคอันยืดยาว กะว่าจะเดินไปหาพี่ปริมให้มันสบายใจอีกรอบ ทว่าการเดินทางอันแสนสั้นของผมถูกขัดขวางด้วยร่างเพรียวบางของคุณรจิต คุณเธอเดินสวนทางมาเป้าหมายคงเป็นจิณณ์แต่บังเอิญว่าเราใช้ทางเดียวกัน แล้วผมคงขวางทางเธออยู่ถึงได้โดนกระแทกไหล่จนเซเป็นนกปีกหักถลาไปใส่อกผู้ชายคนหนึ่งแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” แทนที่จะได้ยินคำขอโทษเป็นเสียงหวาน ๆ กลับกลายต้องมาก้มหัวขอโทษขอโพยคนที่เค้าเป็นห่วงถามไถ่ ผมส่งยิ้มเป็นคำตอบก่อนเราทั้งคู่จะร้องออกมาพร้อมกัน ผู้ชายตรงหน้าคุ้นตาผมมาก ต้องเคยเจอมาก่อนแน่ ๆ แต่...แต่มันติดอยู่ตรงปากนี่แหละ

“เพื่อนบุรินทร์ใช่ไหม?”

“โอ๊ะ ลูกพี่ลูกน้องบุรินทร์ใช่ไหมครับ”

“บังเอิญจังเลยนะ มาเที่ยวเหมือนกันหรือ แล้วมากับใคร”

“มากับเพื่อนครับ อ่า ขอโทษครับแต่ผมจำชื่อพี่ไม่ได้ รบกวนพี่ช่วยบอกอีกที” ญาติห่าง ๆ ของบุรินทร์หัวเราะร่วน เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อชนาธิปแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าบุรินทร์เคยเรียกเขาว่าพี่ชา เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งหน้าโรงหนังใกล้มหาวิทยาลัย ตอนนั้นแนะนำตัวแล้วก็ทักทายกันได้สองสามคำก็แยกย้ายกันไปตามยถากรรม เพราะพี่ชาเขาอายุห่างจากพวกเราหลายปี วงจรชีวิตเลยไม่ค่อยได้หมุนเข้ามาข้องเกี่ยวกันเท่าไหร่ นานเข้าก็ลืมกันไปพอเจอกันอีกทีเลยเป็นอย่างที่เห็น มาจ๊ะเอ๋กันแบบนี้ น่าดีใจพิลึกแฮะ

“สอบเสร็จแล้วสินะ กลับไปนี่ก็ขึ้นปีสองแล้วสิ”

“ครับ พี่ชาสบายดีหรือเปล่าครับ”

“สบายดี พี่มากับเพื่อนที่บริษัทน่ะผู้ชายกลุ่มนั้นไง” กะจากที่สายตามองเห็นคร่าว ๆ แล้ว สงสัยทริปนี้คงมีคนมาจากสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือญาติของไอ้ตี๋ กลุ่มสองคือคุณรจิต กลุ่มสามคือผมกับไอ้พี่จิณณ์ เอ~ หรือจะแบ่งกลุ่มสุดท้ายออกเป็นสองนะ ได้ข่าวว่ามาด้วยกันแต่แยกกันตลอดเส้นทาง

“เคยเที่ยวแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าน่ะเรา” ผมส่ายหน้า มองแพที่ลอยน้ำรออยู่ตาวาว

“ผมไปกับพี่ชาได้ไหมครับ เผื่อเกิดอะไรขึ้นผมจะได้ฝากชีวิตไว้กับพี่” พี่ชาหัวเราะเสียงก้องป่า ท่าทางพี่แกเป็นคนอารมณ์ดีเหมือนหน้าตา

อะไรนะครับ ผมยังไม่ได้เอ่ยถึงรูปร่างหน้าตาของพี่คนนี้หรือครับ จะว่ายังไงดีล่ะ...ผมหันไปมองคนที่ชวนผมมาเที่ยวมันก็ยังสติลทรีทผู้หญิงกลุ่มนั้นไม่มองฟ้าดิน พี่ชาเป็นคนที่หน้าตาดีมากครับ หล่อสุด ๆ ตัวสูงหุ่นดี จมูกโด่งแถมยังมีลักยิ้มข้างแก้ม แต่ความหล่อของพี่แกออกแนวหล่อร้าย แบดบอยประมาณนั้น ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงมีบางคนแอบส่งสายตามาทางนี้อยู่บ่อย ๆ

“เอาล่ะค่ะทุกคน แบ่งกลุ่มลงแพละสี่คนนะคะ ทางเราจะมีเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้าไปด้วยแพละสองคนเป็นหก รบกวนสุภาพบุรุษทั้งหลายช่วยกระจายกำลังกันดูแลสุภาสตรีให้ทั่วถึงด้วยนะคะ แบ่งมาทางนี้ได้ค่ะ น้องคุณจะไปกับกลุ่มไหนดีคะ”

ผมชี้ใส่คนข้างตัวที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ พี่ปริมเลยหันไปหากลุ่มของจิณณ์ที่กำลังจัดสรรปันส่วนกันวุ่นวาย สุดท้ายผมก็ได้อยู่กับพี่ชาสมใจ ส่วนไอ้ผู้ชายบางคนคงโดนลากลงไปแพใดแพหนึ่งนั่นแหละ คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นแต่พอเห็นรองเท้าคุ้นตามาหยุดอยู่ข้างตัว ผมก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าจิณณ์มองผมอยู่ก่อนแล้วแต่มันเป็นวิธีการมองที่ทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลก ๆ เปลือกตาคมหรุบต่ำ ริมฝีปากสีแดงเหมือนเลือดเหยียดตรง

เชี่ย แค่ปากกับตาทำไมมันทำให้คนถูกมองหนาววูบขึ้นมาได้วะ

“มีอะไร” ถามออกไปเพราะทนอึดอัดไม่ไหว ก็แม่งเล่นมายืนจ้องเอา ๆ คนนะโว้ยไม่ใช่กระจก จิณณ์ไม่ตอบแต่ก้าวข้ามขาผมไปหาพี่ชา ผมนั่งมองเขาสองคนทักทายและแนะนำตัวกันตามมารยาทแล้วก็มองเลยไปด้านหลังตัวเอง ตามมาจริง ๆ โว้ยเฮ้ย

“รจิตยังไม่เคยล่องแพแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ฝากด้วยนะคะ” เธอบอกชายหนุ่มทุกคนเสียงหวานก่อนจะถอยมานั่งข้างผม แพโล่ง ๆ ถึงจะดูแข็งแรงแต่ก็ไม่มีหลังคามีแต่ไม้ค้ำหรือไม้พายก็ไม่รู้ครบเท่าจำนวนคน ผมนั่งมองแม่น้ำสีขุ่นที่ไหลเอื่อยแล้วก็นึกสนุกในใจ ตกตูมลงไปจะเป็นยังไงนะ คิดนั่นคิดนี่ไปเพลิน ๆ คุณรจิตของไอ้หล่อก็เปรยขึ้นพอได้ยินกันสองคน

“น้องคุณ พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ผมหันไปมองแล้วก็รอคำถามนั้น

“น้องคุณคบกับจิณณ์อยู่หรือเปล่า”

“ครับ ก็คบกันอยู่” ถ้าไม่ได้คบหากันแล้วใครมันจะใจง่ายมาเที่ยวกับคนไม่รู้จักล่ะแม่คุณ คุณรจิตเธอนิ่งค้างไปก่อนจะยิ้มหวาน

“พี่หมายถึงคบกันแบบคนรักน่ะค่ะ”

“.......”

“ว่ายังไงคะ?”

“คุณอยากรู้ไปทำไมหรือครับ”

“แค่อยากรู้เท่านั้นเองค่ะ แต่ถ้าน้องคุณลำบากใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะจะใช่หรือไม่ใช่มันก็ไม่มีผลกับความสัมพันธ์ของพี่กับจิณณ์ น้องคุณเข้าใจที่พี่พูดไหมคะ” ยิ่งกว่าเข้าใจอีกครับคุณผู้หญิง ผมพยักหน้ารับ เมื่อเจ้าหล่อนไม่พูดต่อผมก็ถือเป็นการปิดประเด็น หันไปสนใจธรรมชาติต่อไป เออ ดีเนาะผู้หญิงสมัยนี้ ประกาศสงครามความรักกันโต้ง ๆ ใจกล้าดีแท้ แล้วไอ้คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องก็นะ มัวแต่ซักนั่นถามนี่คนนำทาง มึงช่วยหันมามองทางนี้หน่อยได้ไหม กูจะโดนงับหัวตายอยู่แล้ว! พี่มันหันกลับมามองจริง ๆ ครับ พอเจอสายตาพิฆาตมารของผมมันก็ตรงเข้ามาถามเสียงอ่อน

“ร้อนไหม” ทีอย่างนี้มาทำเอาใจ แน่จริงมึงเชิดข้ามวันเลยสิ กูจะได้โดนทิ้งให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมส่ายหน้าตอบ เป็นฝ่ายลุกไปหาพี่ชาแล้วก็ทิ้งมันอยู่กับเสียงออดอ้อนของเพื่อนร่วมงานต่อไป ตามสบายเลยพี่ อยากสวีทกันก็ตามสบายเลย จะนั่งจี๋จ๋าจนจบทริปนี้ก็ไม่มีใครว่า แค่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ

รำโว้ย!

เราล่องแพชมธรรมชาติกันมาได้ครู่ใหญ่ ผ่านแม่น้ำสายเล็กออกมาสู่แม่น้ำสายหลักที่ไหลเชี่ยวกว่าเยอะ ความสดชื่นที่พัดมาจากผิวน้ำและป่าเขาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก พี่ชาดูจะเป็นแกนนำสำคัญในการสร้างสีสันของกลุ่ม แกทำเรื่องให้พวกเราหัวเราะได้ตลอดและดูจะสนุกกับการได้แกล้งจะผลักผมให้ตกน้ำมาก ผมได้แต่ยึดแขนพี่แกไว้ทุกครั้งที่โดนทำแบบนั้น คุณพี่ครับ ผมมีชีวิตเดียวนะครับ เกิดดับสูญไปด้วยความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวพี่จะเอาที่ไหนไปใช้แฟนคลับอีกครึ่งมหาวิทยาลัยของผม ชื่นชมทิวทัศน์กันจนอิ่มเอมแล้ว คนนำทางก็บอกว่าอีกไม่นานจะถึงที่หมาย ผมลุกขึ้นยืนบิดตัวคลายความเมื่อยแล้วก็ต้องร้องเฮ้ย

“อ๊ะ...”

“กรี๊ดดดดดดดดดด!”

ตูม!

คุณรจิตลงไปตีน้ำอยู่ข้างแพเรียบร้อย ผมอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง คือ ผมไม่ได้ตั้งใจจะผลักเธอลงไปนะ แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาตะลึงตอนนี้ ใครคนหนึ่งกระโจนลงไปแล้วก็ลากเธอขึ้นมาบนเรือได้สำเร็จ จิณณ์รับร่างเพรียวต่อจากเจ้าหน้าที่มาประคองไว้ สาวสวยนอนระทดระทวยซบอกกว้าง สูดเอาอากาศเข้าปอด กระอักกระไอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมคล้ายกำลังตัดพ้อ
นั่น เอาแล้วไง ฉากในนิยายลอยมารำไร

“ไม่เป็นไรนะครับ” เจ้าหล่อนส่ายหน้าช้า ๆ แต่ตายังไม่คลาดจากใบหน้าผม ตกลงเจ้แกจะให้ผมตกหลุมให้ได้ใช่ไหม “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ คุณรจิตถึงพลัดตกลงไป หน้ามืดหรือครับ”

“ไม่...ไม่ใช่ค่ะ แต่ ช่างมันเถอะ”

“นั่นสิครับ อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะครับ” พี่ชาบอกเสียงนุ่มแต่ผมค้างคาใจ ค้างคาใจมาก ๆ ตอนที่ทุกคนได้ยินเสียงกรีดร้องแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะต้องเห็นตอนผมสะบัดคุณรจิตออกจากตัวก่อนเธอจะหล่นตูมลงไปในน้ำ ทุกคนเห็นสายตาตัดพ้อของผู้หญิงคนนี้แต่ไม่มีใครเห็นตอนที่ผมจะโดนเขาคุกคาม... - - -

“คุณภัทร มีอะไรจะพูดหรือเปล่า” เชี่ย ไม่นะ อย่าบอกนะว่าไอ้คุณชายมันจะสวมบทพระเอกโง่ ไม่อ๊าว กูไม่อยากเล่นเรื่องนี้ ไม่อยากเป็นทั้งนางเอกนางร้าย อย่ามาดราม่าใส่กู

“มันเป็นอุบัติเหตุใช่ไหมคุณ” พี่ชาถามผมเขายังคงยิ้ม

“คงจะอย่างนั้นแหละครับ ทุกคนก็เห็นแล้วว่าผมสะบัดเธอจนตกน้ำ แต่ก่อนหน้านั้น ตอนผมลุกขึ้นบิดตัว คุณรจิตเข้ามาจับไหล่ผมแล้วก็แกล้งจะผลักผมลงไป ขอโทษนะครับที่ผมตกใจจนทำให้คุณต้องเปียกเป็นลูกหมาแบบนี้”

“พี่แค่จะแกล้งให้น้องคุณตกใจเหมือนที่คุณชาทำก็เท่านั้น ไม่คิดว่าน้องคุณจะตกใจจนเหวี่ยงพี่ตกน้ำ” ตกลงกลายเป็นว่าผมเหวี่ยงเธอตกน้ำ โอเค ผมยิ้มรับ “ขอโทษนะครับที่ตกใจเกินเหตุ กลับไปถึงห้องพักอย่าลืมหายาแก้ปวดแก้ไข้กินนะครับ อาการจะได้ไม่กำเริบตอนดึก ถ้าคุณไม่สบายขึ้นมาผมคงรู้สึกผิดแย่เลย”

เตือนด้วยรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดในชีวิตก่อนจะรับผ้าขนหนูจากเจ้าหน้าที่มายื่นให้ คุณรจิตรับมันไปด้วยใจจำยอมเห็น ๆ แต่ผมไม่สนใจ ชำเลืองมองไอ้คนดีที่กำลังนั่งหน้าเครียดประคองสาวสวยแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวสั้น ๆ แล้วผมก็ได้รับกลับคืนมาแค่นั้นเช่นกัน


จบสิ้นการล่องแพชมธรรมชาติ ไม่มีการผจญภัยตามแก่งเล็กแก่งน้อยอย่างที่ผมเฝ้าคอยเพราะกลุ่มของเรามีผู้หญิงเยอะประกอบกับช่วงนี้กระแสน้ำค่อนข้างเชี่ยวเลยมีการเปลี่ยนแผนเป็นการแวะถ่ายรูปในฟาร์มกล้วยไม้ พักผ่อนกันตามอัธยาศัยแทน กว่าจะกลับถึงรีสอร์ทก็โพล้เพล้เต็มที ผมแยกกับพี่ชาหลังจากเราไปหาของว่างรองท้องในห้องอาหาร เดินคลำทางกลับบ้านพักของตัวเองแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของห้องอีกคนกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้าน รู้จักกันมาหลายเดือนผมเพิ่งเคยเห็นจิณณ์สูบบุหรี่
ก้าวไปหยุดอยู่ไม่ห่าง จิณณ์ก็ยังไม่คิดจะถอนสายตาจากกระถางกล้วยไม้ที่แขวนไว้ตรงชายคากระท่อม สุดจะทนกับความอึดอัด ผมเลยย่ำเท้าเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังให้เบาที่สุดก่อนจะเปลี่ยนใจกระชากมันออกแล้วก็อัดกลับไปโครมใหญ่ สมบัติใครจะหักจะพังก็ช่างแม่ง ตอนนี้ไม่มีคนอื่นให้ต้องเกรงใจ ผมจะออกฤทธิ์แบบนี้แหละ ใครจะทำไม กำลังปลดเสื้อออกจากตัว ไอ้บ้าคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแบบไม่ให้เสียง ผมตวัดตามองมันแล้วก็หันหน้าหนี รู้สึกตัวเองกำลังเฉียดเข้าใกล้บทนางเอกแสนงอนเข้าไปทุกที แต่จะงอนอะไรล่ะ ตอนนี้ผมกำลังไม่พอใจเรื่องอะไรผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด เป็นอะไรไปแล้ววะคุณภัทร

“คุณ”

“ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ผมโพล่งออกไปทันทีที่ไอ้คนตัวสูงมันก้าวเข้ามาขวางทาง จงใจพูดดักทางไปแบบนั้นทั้งที่ตัวเองก็สูบเป็นครั้งคราว จิณณ์ได้ยินแบบนั้นก็ว่าง่ายเกินมนุษย์ ยอมหลีกทางให้โดยไม่คัดค้าน ผมคว้าผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็เดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาจัดการตัวเองนานที่สุดเท่าที่จะทำได้จนคิดว่ามันนานจนน่าเกลียดแล้วเลยยอมเดินหน้านิ่งออกมา จิณณ์ยืนอยู่หน้าบ้าน พอผมผึ่งผ้าเช็ดตัวเสร็จพี่มันก็เลี่ยงเข้าไปใช้ห้องน้ำต่อ คนที่กลั้นใจรอจังหวะเปิดอย่างผมก็ได้แต่รอเก้อ เออ อึดอัดบรรลัยเลยเถอะ

จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน

รู้สึกตัวอีกทีเมื่อที่นอนข้างตัวมันยุบลงเพราะน้ำหนักของใครบางคน ผมปรือตามอง เห็นแล้วว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลยซุกหน้ากับหมอนหลับต่อ ง่วงครับ เพลียด้วย ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับใครเลยไม่ใส่ใจแม้ว่าจะถูกมืออุ่นจัดรั้งเข้าไปซุกในมุมที่คุ้นเคย ลมหายใจที่เป่ารดอยู่กลางหน้าผากให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายจนคร้านที่จะดิ้นรนหนี สัมผัสที่ลากแผ่วขึ้นลงทั่วแผ่นหลังกระตุ้นให้ขยับกายเข้าหาแผ่นอกกว้างมากขึ้น

“อย่าทำแบบวันนี้อีกนะ” ทำอะไรวะ?

“ถึงจะเป็นญาติของบุรินทร์แต่ฉันก็ไม่อยากให้เค้าทำแบบนั้นกับนาย” ตอนแรกผมคิดว่าพี่มันจะเทศน์ผมเรื่องคุณรจิตแต่สงสัยจะไม่ใช่ ประเด็นนี้น่าจะเกี่ยวกับพี่ชามากกว่า ผมครางในคอ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้อธิบายรายละเอียด ทำไมผมถึงรู้นะว่าจิณณ์กำลังหมายถึงเรื่องอะไร

“คุณ” น้ำเสียงนั้นเจือแววเร่งเร้าจนไม่อาจแกล้งหลับต่อไปได้ ผมเงยหน้ามองคนพูด สบตาคู่คมแล้วก็เสเบียดแก้มกับไหล่กว้าง

“ง่วง”

“คุยกันก่อนสิ”

“ผมง่วง” มุขดื้อหลับครับ ให้มันรู้ไปว่าจิณณ์จะขัดใจ ผมเกลือกหน้ากับชุดนอนเนื้อนุ่ม ใช้สีหน้าและน้ำเสียงที่คิดว่าน่าเอ็นดูเป็นที่สุดบวกกับเสียงครางแผ่ว ๆ แม้มันจะดูสาวน้อยมาก ๆ แต่ทำแล้วคุ้มครับ หึ เจอคุณภัทรเวอร์ชั่นนี้เข้าไป จิณณ์จะทำอะไรได้นอกจากถอนใจแล้วก็เงียบตาม

ก่อนจะเคลิ้มหลับไปอีกครั้งผมอดคิดถึงสีหน้าของคุณรจิตไม่ได้ การกระทำของเธอมันประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการไอ้หล่อไปครอบครองแบบไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คงไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่จะเกิดกับผม คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

แย่จังเลยนะ ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับคุณภัทร คิดว่าตัวเองตีบทแตกอยู่คนเดียวหรือไง จริงอยู่ว่าผมอาจจะไม่ได้ตั้งใจในตอนต้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีเจตนาแอบแฝงและจะไม่สะใจที่ได้เห็นผลลัพธ์ของมัน เพียงแวบเดียวที่สบตากัน คนฉลาดแบบจิณณ์ต้องมองออกอยู่แล้ว มันถึงได้นั่งหน้าเครียดจะเข้าข้างคุณรจิตก็ไม่ได้และจะปรามผมก็ยิ่งไม่ได้อีก

ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ

พี่ต้องเข้าใจผมอยู่แล้ว

ใช่ไหมพี่จิณณ์




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ร้ายเหมือนกันนะคุณภัทร))

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
มากับเรา แต่ไป สนุกกับคนอื่นถึงจะเพื่อนร่วมงานก็เถอะ สวีทนะคิดไหม
ปฏิเสธ เป็นไหม แบบนี้ กลับไปเทแน่นอน (อินมากกกก ด่าได้แต่อย่าแรง 55555)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มากับเรา แต่ไป สนุกกับคนอื่นถึงจะเพื่อนร่วมงานก็เถอะ สวีทนะคิดไหม
ปฏิเสธ เป็นไหม แบบนี้ กลับไปเทแน่นอน (อินมากกกก ด่าได้แต่อย่าแรง 55555)
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว  ชอบบบบ  กร๊ากกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ช่ายเลย อะไรกัน อย่างจิณณ์เนี่ยนะ
เกรงใจหญิงที่มารุกแนบเนื้อแนบตัว
ให้รู้ไป เกรงใจหญิง กับหัวใจตัวเอง
ถ้าไม่ชัดเจน ถ้าคุณ รำคาญ จะรู้สึก
ทีจิณณ์ ยังไม่พอใจที่คุณ อยู่กับพี่ชา
แล้วคุณ จะพอใจที่รจิต มานัวเนียจิณณ์ หรือ
เป็นคุณ จะเล่าที่นางมาวุ่นวายให้จิณณ์ฟัง
ที่จริงนางก็ดูออกนี่ ว่าสองคนเขาเป็นไรกัน
สรุปนางอยากแย่งน่ะเอง เลว
ไม่มีปัญญาหาคนโสด เอ่อ.....แล้วหล่อ รวย ......ใหญ่ ใช่ปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2016 21:03:03 โดย ทฟเืนสรฟ »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ตอนนี้เข้าข้างคุณภัทร !!!

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๙   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ


ผมตื่นก่อนจิณณ์แต่เช้านี้ไม่มีการนอนเอื่อยรออีกฝ่ายหนึ่งตื่นแล้วค่อยลุกพร้อมกันดังเคย พอลืมตาได้ผมก็ย่องไปอาบน้ำแต่งตัว ย่องออกจากบ้านพักแล้วก็ตรงแน่วไปยังห้องอาหารทันที ก็มื้อสุดท้ายของเมื่อวานผมกินตอนหัวค่ำกับพี่ชา แล้วมันก็แค่อาหารว่างรองท้องไม่ใช่มื้อหลัก แค่นอนท้องร้องทั้งคืนนี่ก็ทรมานมากแล้ว เช้านี้เลยต้องรีบออกมาหาของอร่อยส่งส่วยให้พยาธิในท้องเร็วกว่าปกติ

“อ้อ เธอนั่นเอง” เช้าอันสดใสของผมวูบแสงลงไปราวกับพระอาทิตย์โดนเมฆบัง คุณรจิตเองก็เพิ่งเหยียบเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกลุ่มเพื่อนอีกสองคน ผมค้อมศีรษะทักทายเธอ ตั้งท่าจะเดินไปนั่งที่โต๊ะแต่คำพูดของหนึ่งในนั้นทำให้ผมชะงัก

“เธอตั้งใจผลักรจิตตกน้ำใช่ไหม”

“อะไรนะครับ”

“ฉันถามว่าเธอตั้งใจผลักเพื่อนฉันตกน้ำใช่หรือเปล่า ตรงนี้ไม่มีคนอื่น เธอไม่จำเป็นต้องเล่นละคร ไม่พอใจอะไรก็พูดมาเลยสิ” อยากจะขำ หนุ่มน้อยผู้บอบบางอย่างคุณภัทรกำลังโดนสาวออฟฟิศทั้งกลุ่มหาเรื่อง เหอะ นางเอกกว่านี้มีอีกไหม

“ผมไม่ได้เล่นละครครับแล้วตอนนี้ก็ไม่มีอะไรไม่พอใจด้วย”

“แต่สิ่งที่เธอทำเมื่อวานมันทำให้เพื่อนของเราไม่สบายนะ รจิตต้องมาเป็นไข้เพราะเธอ”

“พวกคุณ ๆ ก็โตกันแล้ว ไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวหรือครับ ก่อนที่จะมาโทษคนอื่น ผมว่าพวกคุณลองกลับไปคิดอีกทีดีกว่าถ้าเพื่อนคุณไม่อุตริเข้ามาแกล้งคนกำลังเผลออยู่ เค้าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า คิดจะทวงความยุติธรรมให้เพื่อนก็ควรจะมองตั้งแต่ต้นว่าเพื่อนคุณเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นมาเอง ไม่ใช่ผม”

“เด็กเมื่อวานซืนแท้ ๆ ปากคอเราะร้ายเหมือนไม่มีคนสั่งสอนเรื่องมารยาท”

“สมัยนี้เค้าไม่สนกับแล้วพี่หยี พอมีเรื่องผู้ชายมาเอี่ยวเด็กหรือผู้ใหญ่ก็คงพร้อมร้ายใส่อ่ะ คงเห็นว่าจิณณ์เอาแต่สนใจรจิตส่วนตัวเองดันโดนทิ้งเลยไม่พอใจ”

“คนไม่พอใจคือคนที่หาเรื่องก่อนแล้วก็ระรานไม่จบหรือเปล่าครับ คุณก็โตจนทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองได้แล้วทำไมทำอะไรย้อนแย้งจัง ปากตำหนิผมแต่ไม่ดูเลยว่าเพื่อนตัวเองต่างหากที่ทำเรื่องแย่ ๆ พวกนั้น ขอเตือนในฐานะเด็กรุ่นน้องนะครับ” คราวนี้ผมหันไปต่อตากับคุณรจิตคนสวยตรง ๆ

“เลิกทำตัวน่าสมเพชเพราะผู้ชายเสียทีเถอะ มันงี่เง่าแล้วก็ทำให้คุณกับเพื่อนเหมือนคณะตัวอิจฉาในละครมาก ขอตัวครับ” เริ่มต้นนับหนึ่งในใจ ปกติแล้วผมเป็นคนใจร้อนแต่งานนี้ผมไม่อยากเป็นเด็กไม่ดีจึงไม่ตอบโต้รุนแรงอย่างใจคิด จิตใจที่ต้องการเอาชนะของผู้หญิงกลุ่มนั้น ผมควรจะรับมือด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ จากนั้นค่อยไปใช้อารมณ์กับไอ้ผู้ชายบางคนให้สะใจไปเลย!


จิณณ์ตื่นหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แค่เดินเข้ามาในร้านด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมด๊าธรรมดากับกางเกงสียีนส์สีซีดก็ทำให้คนแถวนั้นเคลิ้มไปได้หลายนาที ไม่รวมผมนะครับ เพราะรู้พิษสงความหล่อของมันดีผมเลยหันหน้าหนีตั้งแต่เห็นเสื้อโอโมของมันแวบ ๆ ถ้าคุณคิดว่าไอ้พี่จิณณ์จะได้เข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับผมล่ะก็คุณคิดผิดถนัด เพราะดาวเด่นเบอร์หนึ่งท่านโดนพรานสาวดักแล้วก็ลากแวะข้างทางไปเรียบร้อย ผมยักไหล่ ลอยหน้าใส่พี่มันเป็นเชิงสมน้ำหน้าแล้วก็จัดการมื้อเช้าของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุข



ทุ่งดอกทานตะวัน

ผมเคยเห็นแต่ในรูปถ่าย ไม่คิดว่าพอมาเจอของจริงแล้วมันจะสวยงามได้ถึงเพียงนี้ ท้องทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาสลับสีเขียวเหลืองสดใส ตั้งแต่วินาทีแรกที่รถตู้ของรีสอร์ทเคลื่อนเข้าไปในเขตไร่ผมก็ไม่อาจถอนสายตาจากความงดงามตรงหน้าได้เลย เมื่อเดินไปตามเส้นทางที่ถูกจัดไว้ให้ก็เหมือนตัวเองหลงไปในอีกโลกหนึ่ง รอบตัวมีแต่ดอกไม้สีเหลืองสดดอกโต เชิดหน้าสู้แสงตะวันอย่างเบิกบาน มองไปทางไหนก็มีแต่เจ้าพวกนี้เหมือนมันยาวไปจรดขอบฟ้า เงยหน้าก็เจอท้องฟ้าสีครามสดใส สายลมพัดเอื่อยช่วยคลายความร้อน นักท่องเที่ยวหลายคนกำลังแข่งกันโพสต์ท่าเก็บรูปอย่างสนุกสนาน ผมยิ้มมองปลีกตัวเองออกมาจากกลุ่มใหญ่แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามรั้วไม้สีขาว

สวยอะไรแบบนี้ อยากมีทุ่งดอกทานตะวันเป็นของตัวเองจัง

“อ๊ะ” ชมดอกไม้เพลินจนโดนจับไม่รู้ตัว แล้วไอ้วิธีการจับนี่ก็เอาแต่ได้สุดฤทธิ์ ผมชำเลืองมองใบหน้าขาวจัดที่วางพาดบนไหล่ ขณะที่ผมยังคงสวมหมวกปีกกว้างกันแดดแต่จิณณ์ปัดมันทิ้งไว้ตรงท้ายทอย เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมตามไรผมสีเข้ม ความร้อนทำให้ใบหน้าหล่อจัดขึ้นสีเรื่อ ริมฝีปากแดงสดฉ่ำชื้นเพราะปลายลิ้นที่แลบเลียยามเผลอตัว

หล่อแบบบ้านไร่ เซ็กซี่ได้อีกครับคุณผู้ชม

“ตื่นมาก่อน กินข้าวก่อน หนีขึ้นรถมานั่งกับคนอื่นก่อน เอ ตกลง เรามาเที่ยวด้วยกันหรือเปล่าครับคุณคุณภัทร” ผมยกยิ้มพลางวางมือทับบนท่อนแขนขาว จิณณ์พับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกเผยให้เห็นผิวเนียนสวยและไรขนสีอ่อนนุ่มมือ ผมไม่ได้ตอบคำตอบนั้นเพราะรู้ดีว่าจิณณ์ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง เราสองคนได้แต่ทอดสายตามองดอกทานตะวันนับพันที่กำลังเบ่งบานอยู่ตรงหน้า ผิวชื้นเหงื่อสัมผัสกันชวนให้รู้สึกวูบวาบในอกแต่พอสายลมพัดผ่านมาความเย็นสบายก็กลบทุกความร้อนรุ่มให้สงบลงดังเดิม คนข้างตัวผมถอนใจยาว ถอยออกห่างก่อนจะยกกล้องขึ้นถ่ายรูปโดยไม่ให้สัญญาณ

ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมืออาชีพในการเป็นนายแบบจำเป็น ผมกัดปากหรี่ตาให้กล้องด้วยท่าที่บันทึกไว้ในสมองตั้งแต่จำความได้ หลายแอคชั่นตามมาราวกับกระสุนปืนกล เมื่อจิณณ์ไม่เบื่อที่จะกดชัตเตอร์ผมก็ไม่เบื่อที่จะโพสต์ เดินบ้างนั่งบ้างยิ้มบ้าง ทำหน้าบึ้งหรือแม้แต่รูปแคนดิท คุณชายท่านก็ยังมีใจถ่ายเก็บไว้ เดินสลับวิ่งเปลี่ยนโลเกชั่นกันไปทั่วทั้งทุ่งจนสุดท้ายก็มาหยุดหอบข้างรั้วสีขาว ผมชักคอแห้งเลยบ่นกับพี่เลี้ยงตามความเคยชิน

“หิวน้ำแล้วอ่ะ”

“ก็เล่นไม่อยู่กับที่เลยนี่นะ” หมวกใบใหญ่กลายเป็นพัดอย่างดี ผมปีนขึ้นไปนั่งบนรั้วได้มุมเหมาะด้วยการวางหัวพิงไว้กับเสาของรั้วไม้สีขาว หลับตาลงแล้วก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์สองสามครั้งติดกันก็ยิ้มเนือย ๆ

“พอแล้ว จะถ่ายอะไรนักหนา”

“นายแบบน่ารัก ถ่ายไว้เยอะ ๆ น่ะดีแล้ว”

“ขอบคุณจ้าาา” อย่าคิดว่าไม่เขินนะ ถึงจะทำเสียงเหมือนประชดแต่ผมก็ร้อนไปทั้งหน้านะโว้ย เสียงฝีเท้าก้าวมาหยุดตรงหน้า ผมปรือตามองแล้วก็ใจกระตุก ร่างสูงของจิณณ์ยืนอยู่ในระยะไม่เกินสองคืบ เพราะผมนั่งบนรั้วเลยได้หรุบตามองพี่มันอย่างที่ไม่เคยได้ทำตอนเหยียบบนพื้นระดับเดียวกันแน่นอน ไอ้หล่อมันยิ้มบาง วางมือตรงบั้นเอวผมเหมือนจะส่งสัญญาณเตือน

“เคยดูซีรี่ส์เรื่อง...ของ NHNK ที่ทาคุยะ คิมูระแสดงไหม”

“ถามทำไม”

“ได้ดูฉากที่กลีบซากุระปลิวมาติดตรงแก้มนางเอกหรือเปล่า” ดู แต่คิดว่าไม่พูดคงดีกว่า ผมเริ่มขยับตัวไปมาเมื่อไอ้พี่จิณณ์ยิ้มเหมือนเดาความคิดของผมออก ไอ้คนฉลาด ข้ารู้นะว่าเอ็งกำลังคิดอะไรอยู่ อย่ามาเนียนทำตาเชื่อมใส่กันนะโว้ย “เปลี่ยนจากซากุระเป็นทานตะวันคงไม่เป็นไรเนาะ”

“เป็น”

“เป็นอะไรล่ะ?”

“เป็นอะไรก็ได้ ก็มันเป็นอ่ะ”

“จริงหรือ”

“จริง”

“จริงนะ”

“ก็บอกว่าจริงไงเล่า” ด๋อย แล้วผมจะมาเถียงกับมันทำไม เถียงมาเถียงไปตอนนี้ก็แทบจะประกบปากกันอยู่แล้ว ไอ้ที่พูดออกไปเมื่อกี้เพียงแค่กระซิบอยู่ในคอแต่ที่ยังได้ยินท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิวอย่างนี้เพราะริมฝีปากสีเลือดนั่นมันกำลังคลอเคลียกับปากผมอยู่น่ะสิ

ฮื่ออออ มือไม้สั่น อกใจก็วูบวาบ

ใครก็ได้ช่วยโผล่เข้ามาขัดจังหวะที



สาม


สอง


หนึ่ง


มีไหม จะมีใครโผล่มาช่วยชีวิตผมเหมือนในนิยายไหม มีหรือไม่มี ผมหลับตาปี๋ ไม่ไหวแล้วในอกมันปั่นป่วนไปหมด อยากตะโกน อยากแหกปาก อยากผลักหน้าพี่มันออกไปให้สุดแขนแต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว ฝ่ามือหนาที่สอดเข้ารองแผ่นหลังทำให้ผมไม่หงายหลังลงไปจากรั้วสูง แต่มันก็เป็นด่านกักกันที่ทำให้ผมไม่สามารถดันตัวเองให้พ้นจากการรุกรานของอีกฝ่ายได้ อื้อ ไม่เอานะ ผมยังไม่อยากไปฝรั่งเศสกับมัน ใครก็ได้เข้ามาขัดจังหวะที!

“เอ่อ...จิณณ์คะ...”

โอ้ มาย จอร์จ ลอร์ด บุดด้า!

ไม่สิ ไม่ใช่เวลาที่จะมาขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์
 
คนที่ผมควรขอบคุณควรจะเป็นแม่สาวทรงโต คุณรจิตกับเพื่อนหล่อนต่างหากล่ะ ผมครางเสียงสั่นแทรกมือเข้าวางแปะบนริมฝีปากคนตรงหน้าก่อนมันจะทำให้ผมขาดใจตาย บ้าจริง แค่ริมฝีปากที่คลอเคลียกันเบา ๆ ทำให้อกใจเราเต้นรัวได้เหนื่อยขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ปฏิกิริยาเหี้ยอะไรวะทำเอาผมแทบตาย ผมทำเสียงขู่ฟ่อเมื่อจิณณ์ทำท่าจะเนียนไม่ได้ยิน ไม่เห็นและไม่สนใจคนที่กำลังยืนชะเง้อมองมาอย่างร้อนรน ใบหน้าหล่อคมฉายแววผิดหวัง ดวงตาคมหวานชำเลืองมองทางต้นเสียงแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“เค้าเรียกแล้ว ไปสิ”

“ไม่ไป”

“ไม่ไปเดี๋ยวก็ได้เข้ามาหาหรอก ผมไม่อยู่ด้วยหรอกนะ” ผมบอกเสียงขุ่น บทจะดื้อพี่มันก็ดื้อได้อย่างน่ากลัว คิดดูเถอะถ้าเกิดมันไม่ยอมถอยออกไปแล้วยังทำหน้าซื่อยืนล็อคเอวผมไว้แบบนี้ พี่สาวชาวออฟฟิศทั้งหลายเขาจะว่ายังไง แค่เดินไปเดินมาด้วยกันยังโดนเขม่นหน้าจะแย่อยู่แล้ว ขืนมาเห็นร่องรอยที่จิณณ์มันดูดปากผม พวกเจ๊แกคงได้ไล่ฟ้อนเล็บใส่หน้าคุณภัทรผู้น่าสงสารกันทั้งแผนก

“ถอยไปสิ นั่น เดินมานั่นแล้วเห็นไหม”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าใส่ใจเลย”

“จะไม่ใส่ใจได้ยังไง ผู้หญิงพวกนั้นเค้ามาตามหาพี่นะ” จิณณ์ยิ้มบาง มันคิดอะไรผมล่ะตามไม่ทันจริง ๆ พอคุณรจิตโฉบเข้ามาใกล้ มันก็วางมือข้างหนึ่งไว้ตรงเอวผม อีกข้างคุณชายท่านถือหมวกสานใบกว้างพัดเรียกลมไปมาตรงหน้า เย็นสดชื่นดีครับแต่มันไม่ใช่เวลามาชื่นชมความเอาใจใส่ของมัน อีสาวมหาภัยเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ไอ้พี่จิณณ์ก็หันไปยิ้มทักสาวเจ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฮัลโหล ๆ ได้ข่าวว่าตอนนี้มึงกอดเอวกูอยู่นะพี่

“คุณรจิตถ่ายรูปทั่วทุกมุมแล้วหรือครับ”

“ยังหรอกค่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

“แหม ก็คนที่หวังพึ่งให้เป็นตากล้องหายตัวมาแบบนี้จะถ่ายกันได้ยังไงล่ะคะ”

“พอดีวิวแถวนี้สวยน่ะครับ ผมเลยหลงชมเพลินไปหน่อย คุณเค้าก็ชอบถ่ายรูปเลยยิ่งเพลิน” นั่นมันใช่คำตอบที่ไหนกันเล่า ผู้หญิงเค้ากำลังตัดพ้อที่พี่ทิ้งเค้ามา แทนที่จะขอโทษดันอวดเค้าอีกว่าหนีมามีความสุขกับผมสองคน เจริญล่ะมึงคราวนี้

“แล้วเรียบร้อยหรือยังคะ รจิตจะได้ยืมตัวจิณณ์ไปทางโน้นบ้าง”

“คุณรจิตมีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พี่หยีกับอลิซอยากวานจิณณ์ถ่ายรูปให้แล้วก็อยากถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึกเก็บไว้ด้วย สะดวกไหมคะ” จะสะดวกหรือไม่สะดวกมันก็เรื่องของพี่จะเงยหน้ามองผมทำไมวะ ผมเบือนหน้าหนี ไม่รู้ ไม่เกี่ยวโว้ย

“ฉันไปได้ไหม”

“ก็ไปสิ ใครห้ามล่ะ”

“เผื่อไม่อยากให้ไปก็จะไม่ไป” เสียงทุ้มกระซิบเสียงแผ่ว คุณรจิตของมันไม่ได้ยินแต่ผมได้ยินเพราะพี่มันกระซิบกับแก้มผม เหลือบเห็นเจ้าหล่อนตาลุกวาวแล้วก็นึกเหนื่อยใจไว้ล่วงหน้า ประกายริษยาฉายแรงขั้นดับดวงอาทิตย์ได้แบบนั้น ผมจะมีชีวิตรอดกลับไปเจอพ่อแม่ที่บางกอกไหมหนอ

จิณณ์ยังมองเหมือนจะรอคำตอบที่แน่ชัด ผมแกล้งทำหน้าคิดนิด ๆ แน่นอนว่าทุกความเคลื่อนไหวของเราสองคนตกอยู่ในสายตาของแม่สาวกลุ่มนั้นตลอด ไม่ว่าผมจะเอียงคอคิดด้วยท่าทางที่คิดว่าน่ารักสุด ๆ ไม่ว่าผมจะเป็นตอนที่ผมทำปากงอนหรือตอนที่ผมคล้องแขนกับต้นคอจิณณ์แล้วสบตากับพี่มัน...(เหมือนจะ)หวานซึ้ง

“ผมไม่อยากให้พี่ไปหรอกแต่พี่ก็ควรไป พวกเค้าเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน พี่ยังต้องเจอพวกเค้าอีกนานไม่ใช่หรือ” จิณณ์ยิ้มบาง พี่มันรู้แน่ว่าผมกระแดะทำยั่วโมโหพวกไก่แก่แม่ปลาช่อนทั้งหลายและมันก็ให้ความร่วมมืออย่างดีด้วยสิ

“พูดจาน่ารักแบบนี้มีอะไรอยากขอไหม” ผมส่ายหน้าดิกเมื่อมือที่วางตรงเอวเริ่มขยับไล้สีข้างผมช้า ๆ

“ไม่เอาหรือแต่ฉันอยากให้นะ”

“ไม่เอา” ผมกัดฟันพูด จิกปลายนิ้วกับไหล่หนามั่น อย่านะมึง ขืนทำอะไรรุ่มร่ามอีกกูตบแถมข่วนแน่ จิณณ์หัวเราะน้อย ๆ ได้ยินเสียงหนึ่งในสามสาวถอนหายใจเหมือนรำคาญดวงตามันก็ยิ่งพราวระยับ แล้วใครจะทันคิด อยู่ ๆ ไอ้หล่อมันก็ยกหมวกปีกกว้างขึ้นมาในระดับสายตา ผมเผลอหันไปมองแล้วก็... - - -

ฟอด!

เสร็จโจรสิครับงานนี้

จิณณ์ลดหมวกลงช้า ๆ พี่มันยักคิ้วให้ผมก่อนจะเดินตรงไปหาผู้หญิงกลุ่มนั้นโดยไม่ลืมหันมาส่งยิ้มให้ไอ้เด็กตาดำ ๆ ที่กำลังนั่งเม้มปากหน้าแดงก่ำอยู่ที่เดิม ไอ้พี่จิณณ์ มึง ไอ้ ไอ้ ไอ้คนบ้า ไอ้คนหน้าไม่อาย!


จัดเวลาสำหรับคิดแค้นไอ้คนหน้าด้านเพียงแค่ห้านาทีแล้วผมก็กระโดดลงจากรั้ว เดินเตร็ดเตร่ไปตามมุมนั้นมุมนี้จนสุดท้ายก็มานั่งรอคนอื่น ๆ อยู่ในรถตู้คันเดิม รถติดเครื่องเปิดแอร์เย็นฉ่ำชวนให้รู้สึกสบายกว่าการนั่งท้าลมร้อนข้างนอก ตอนเดินมานั้นผมเห็นหลายคนกำลังนั่งพักขากันในร้านน้ำชาเล็ก ๆ ที่ทางไร่เปิดไว้บริการนักท่องเที่ยวแต่เห็นคนที่แทบจะล้นออกมานอกร้านแล้วก็ตัดสินใจว่ามานั่งรอในรถจะดีกว่า นั่งฟังเพลงจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของลูกทัวร์คนอื่น ๆ ก็กลุ่มเดิมนั่นแหละครับไม่ใช่ใครที่ไหน ผมถอนใจยาวรู้สึกเหมือนหนังตามันหนักกว่าปกติแถมยังปวดรุมไปทั้งตัวเลยคร้านจะสนใจ ซุกหน้าหลับต่อไป

เอ๊ะ?

ซุกหน้าหลับอย่างนั้นหรือ? ผมค่อยฝืนยกเปลือกตาขึ้นทีละข้าง มองหมอนจำเป็นที่อาศัยวางหัวตอนไม่รู้สึกตัวแล้วก็ต้องตาโต

“พี่ชา โอย ขอโทษครับพี่” ญาติผู้พี่ของบุรินทร์ยิ้มใจดีให้ผม เขากลับมานั่งในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทันรู้ อาจจะเป็นตอนที่ผมหลับลึกแล้วก็คว้าเอาไหล่พี่แกเป็นหมอนไปโดยไม่รู้ตัว ชีวิตนี้ ทำไมผมถึงขยันทำเรื่องน่าอายกับคนแปลกหน้าจังเลยนะ

“นอนต่อเถอะ ตัวรุม ๆ เหมือนจะไม่สบายนะ ปวดหัวหรือเปล่า” ผมพยักหน้า

“นิดหน่อยครับ สงสัยแพ้แดด”

“งั้นก็นอนต่อเถอะถึงแล้วพี่จะปลุก” พี่แกตบหัวผมเบา ๆ เพราะร่างกายมันไม่เอื้ออำนวยให้ทำตัวเป็นคนเก่ง ผมเลยหลับตาลงอีกครั้งอย่างว่าง่าย เออ มุมนี้มันเหมาะแก่การซบจริง ๆ ให้ตายเถอะ เล่นเอาผมวูบไปอีกยาวไม่ได้รับรู้เลยว่าคนรอบตัวเขาทำอะไรไปถึงไหนกันแล้ว ผมหลับและหลับจนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพี่ชาเขย่าตัวปลุก งัวเงียฝืนมองไปรอบ ๆ ก็ได้รู้ว่าเรากลับมาถึงรีสอร์ทเป็นที่เรียบร้อย ลูกทัวร์คนอื่นตรงดิ่งไปยังห้องอาหารเพราะตอนนี้มันเลยเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ผมยิ้มเนือยให้คนตัวสูง รอให้พี่ชาลงไปก่อนก็ค่อยพยุงตัวเองตามไปช้า ๆ

เวียนหัวมากเลยครับ

แค่เท้าแตะพื้นก็มึนจนเซ ไม่ได้แกล้งเป็นนางเอกแต่มันไม่ไหวจริง ๆ ผมรู้สึกได้เลยว่าลมหายใจที่ผ่อนออกมานั้นร้อนผ่าวจนน่ากลัว ในปากขมปร่า คอแห้งเป็นผง ครั่นเนื้อครั่นตัวและมวนท้องจนไม่กล้าลืมตา ผมพิงร่างกับรถตู้แม้ไอร้อนจากตัวเครื่องจะทำให้รู้สึกไม่สบายแต่ก็ไม่มีทางใดดีกว่านี้ ถ้าไม่มีที่ยึดผมอาจล้ม

“ไหวหรือเปล่า” เสียงทุ้มถามอย่างห่วงใย ผมพยักหน้ารับ ใจหนึ่งมันดีแสนดีไม่อยากให้พี่เค้าต้องเป็นห่วงแม้อีกใจกำลังร่ำร้องด้วยความทุกข์ทรมานว่าไม่ไหวแล้ว ๆ ๆ อยู่ก็เถอะ เดินไปตามการประคองของพี่ชาอยู่ดี ๆ ตัวผมก็ลอยหวือขึ้นจากพื้น

“ผมพาเขาไปเอง ขอบคุณมาก” กว่าจะมาได้นะ ผมกระแทกหน้าผากกับกระดูกไหปลาร้าไอ้คนตัวสูงอย่างขุ่นเคือง นี่ถ้ามีแรงเหลือรับรองว่าพี่มันไม่ได้เห็นผมหลับตาพริ้มให้อุ้มแบบนี้หรอก ผมไม่สบายแทนที่มันจะเป็นคนแรกที่รู้และดูแลกลับกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ได้สนิทกันสักนิดเดียว นี่ถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้อีกหน่อยนะ ผมจะให้มันบินกลับกับพวกผู้หญิงนั่นแหละ ไม่อยากมานั่งหมุ่ยใจกับความป๊อบของใครอีกแล้ว

“คุณ ปวดหัวมากเลยหรือ” เสียงร้อนรนถามขณะที่ร่างผมถูกวางลงบนเตียง นี่ก็อีกเรื่อง ทำไมพี่มันไม่ให้ผมขี่หลังหรือประคองเดินแบบคนปกติเค้าวะ อุ้มท่าเจ้าหญิงจากหน้ารีสอร์ทมาถึงบ้านพักแบบนี้ ไม่มีแล้วล่ะความมาดแสนของนายคุณภัทร มุดดินหนีลงน้ำไปหมดแล้วแน่ ๆ

“ปวดหัว”

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะให้เขาตามหมอมาตรวจดู”

“ไม่เอา ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ปวดหัวนิดหน่อย นอนพักก็หาย” พี่จิณณ์ยอมนั่งลงข้าง ๆ ผมเบียดแก้มกับฝ่ามือเย็นเฉียบทั้งที่ยังหลับตา นอนนิ่งให้ไอ้คนดีมันลูบหน้าลูบตาเหมือนลูกหมาเชื่อง ๆ ตัวหนึ่ง แม้จะรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แนบกับหน้าผากซ้ำ ๆ ผมก็ทำได้แค่นอนถอนใจระรวย

หมายเหตุนะ ผมกำลังไม่สบาย จิตใจผมไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ สติผมก็ลางเลือน ตาฝ้าฟางมองอะไรไม่ชัด สรุปก็คือผมในตอนนี้ไม่ใช่คุณภัทรในยามปกติ เพราะฉะนั้นถ้าผมจะคิดจะทำอะไรไม่เหมือนเดิมมันก็ไม่แปลก โอเคนะ

“ถ้าไม่อยากให้เรียกหมอก็ต้องกินยาแก้ไข้นะ”

“ไม่เอา” แค่ลืมตาก็เกือบจะไม่ไหวแล้ว ถึงขั้นต้องดันตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อกรอกยาเม็ดขมเข้าปาก ให้ผมตายซะดีกว่า “จะนอน นอนเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“อย่าดื้อสิ”

“เดี๋ยวก็ดี เชื่อสิ” พึมพำบอกทั้งที่ยังหลับตา กำหนดกลับคือพรุ่งนี้เที่ยง มีเวลานอนเรียกพลังกลับคืนอีกเกือบทั้งวัน ทันถมเถ ผมตะแคงหลับตา หมดฤทธิ์ของจริงครับไม่ได้แกล้ง นอนไม่รู้ตัวถึงขนาดที่ว่าจิณณ์แอบออกไปเอายาแก้ไข้กลับมาแล้วผมยังไม่รู้ พอได้ยินเสียงแก้วน้ำกระทบกับโต๊ะผมก็ลืมตาพรึบ เอาแล้วไง ไอ้คนดีมันเล่นผมแล้ว ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดเบ้งวางรออยู่ในถ้วยใบเล็ก ผมพ่นลมขึ้นจมูก มองพี่มันอย่างไม่พอใจ

“กินยาก่อนแล้วจะปล่อยให้นอน อย่าลืมสิว่าเรายังไม่ได้ไปเที่ยวอีกตั้งหลายที่ อุตส่าห์มาถึงเมืองกาญนายจะเอาแต่นอนซมเพราะพิษไข้แบบนี้ กลับไปได้โดนบุรินทร์กับวาล้อตายเลยนะ” ถ้าไม่มีคนบอกสองคนนั้นก็ไม่มีวันรู้ ผมพลิกตัวหันหลัง ไม่เอา ไม่กิน

“คุณ ถ้าไม่กินยาก็ต้องฉีดยานะ”

“ไม่เอาทั้งสองอย่าง จะนอน!” คำสุดท้ายไม่ทันหลุดออกจากปาก แผ่นหลังผมก็โดนซ้อนขึ้นจากเบาะนุ่ม อ้าปากจะด่าคนเซ้าซี้ให้หายโมโห จิณณ์ก็ฉกริมฝีปากลงมา ยาสองเม็ดไหลลงคอไปพร้อมกับน้ำอุณหภูมิห้อง ถ้าไม่อยากสำลักก็ต้องรีบกลืนลงไปพร้อมความรู้สึกเสียววาบที่แล่นปราดไปทั้งช่องท้อง อา วิธีการดั้งเดิมมากครับ มึงไม่กินกูก็จะบังคับให้มึงกิน

“คราวนี้ก็นอนได้แล้ว” ไอ้หมอจำเป็นมันปาดปลายนิ้วกับมุมปากผมแล้วก็ลุกหายไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ผมนั่งหน้าเอ๋อตาลอยอยู่คนเดียวเป็นครู่ จนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับมานั่นแหละผมถึงได้ทิ้งตัวลงนอน ดึงผ้าห่มคลุมจนมิดหัว ภาวนาให้ยาแก้ไข้เมื่อครู่มันแปรฤทธิ์เป็นยานอนหลับให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ผมจะได้ไม่ต้องมานอนฟังเสียงหัวใจตัวเองกระหน่ำเต้นจนปวดหัวไปหมดแบบนี้


โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ทำไมเริ่มรู้สึกว่าพี่จิณณ์เองก็ร้ายใช่ย่อยนะเนี่ย))

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
น้องคุณกลัวยาก็เข้าทางพี่จิณณ์เลยซิ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
เขินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
จิณ  เสน่ห์แรงจังน๊า

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เจ้าเล่ห์นะ คุณจินณ์

ออฟไลน์ idoloveyou555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มีความป้อนยาด้วยปาก  แล่วๆๆ ฉากนี้ต้องมา อร๊ายยยยฟินนน :ling1: :ling1: :katai5: :katai2-1: :hao7: :hao7: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๒๐   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ








ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหนักจนไข้ขึ้น กลางดึกคืนนั้นทางรีสอร์ทต้องตามหมอมาให้ตามคำขอของจิณณ์เพราะผมเอาแต่เพ้อไม่รู้เรื่อง โดนจับฉีดยาไปหนึ่งเข็มก็ไม่รู้ตัว กว่าอาการจะสงบพอให้คนเฝ้าคลายใจฟ้าก็ใกล้สางเต็มที ผมไม่รู้ว่าระหว่างนั้นจิณณ์เป็นอย่างไร ทำอะไรบ้างรู้แต่ว่าตัวเองครึ่งหลับครึ่งฝันอยู่นาน พอสติสัมปชัญญะวูบผ่านเข้ามาก็เห็นใบหน้าหล่อจัดคุ้นตาก้มมองมาเสมอ ใจจริงก็อยากมองมันให้เต็มตา จิณณ์เวอร์ชั่นหล่อแบบเถื่อน ๆ ผมยุ่ง ตาโรย เหนือริมฝีปากสีสดลามมาถึงปลายคางเขียวครึ้มเพราะไรหนวด น่ามองน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะครับ แต่พอฝืนตัวเองมากเข้าก็ปวดหัวขึ้นมาอีก ผมเลยข่มใจบอกตัวเองให้หลับทั้งที่อยากมองหน้าคนเฝ้าใจแทบขาด เฮ้อ พิษไข้เนี่ยมันทำให้เราพลาดอะไรดี ๆ ไปหลายอย่างเลยแฮะ

เกือบบ่ายสองของอีกวันผมถึงรู้สึกตัวเต็มร้อย ลืมตาตื่นได้ก็มองหารูมเมทหน้าหล่อ ๆ เป็นคนแรก จิณณ์ไม่อยู่ในห้อง ไอ้คนดีมันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ทิ้งให้ผมตื่นขึ้นมาเจอห้องโล่งคนเดียว ปกติเวลาพระเอกหรือนางเอกตื่นมาในสถานการณ์แบบนี้จะต้องเจออีกฝ่ายนอนซบอยู่ข้างเตียงกุมมือกันไว้แน่นไม่ใช่หรือ ทำไมมันไม่เหมือนในนิยายวะ พอสติกลับมานิสัยเอาแต่ใจก็กลับมาด้วย นั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยจนเบื่อก็เลิกคิด ผมตวัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง

“...ห่า...น...ฉิบหายแล้ว!”

“คุณ! ตื่นแล้วหรือ” ร่างสูงก้าวพรวดเข้ามาในห้องนอนพร้อมรอยยิ้มยินดี อ๋อ ที่แท้พี่มันก็ซุ่มอยู่ตรงระเบียงหลังห้องนี่เอง แต่เดี๋ยวก่อน ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ เรื่องที่ทำให้ผมต้องแผดเสียงเต็มบ้านก็คือ “พี่ พี่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเหรอ”

“ใช่ ฉันเอง”

“ใครใช้ให้พี่ทำวะ!”

“ถ้าฉันไม่เป็นคนทำ นายจะให้ใครทำหรือคิดว่าตัวเองจะละเมอลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้” ชะหนอย ไอ้โจรชั่ว ฟังมันย้อน ตัวเองทำผิดแล้วยังไม่สำนึก ไอ้...ไอ้...โอ๊ย มันไม่เห็นอะไรของผมไปถึงไหนต่อไหนแล้วหรือเนี่ย “ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเลย ใส่ชุดเดิมแค่คืนเดียว ผมไม่ตายหรอก”

ไอ้พี่หล่อมันยิ้มชื่น ตอบอย่างหน้าไม่อายว่า “รู้ได้ยังไง ชุดนายเปียกเหงื่อจนชุ่มแถมยังมีแต่ฝุ่นดินติดเต็มไปหมดถ้าไม่เปลี่ยนใหม่นายอาจอาการหนักกว่านี้ก็ได้ แล้วจะบอกให้นะ นายเองนั่นแหละเป็นคนร่ำร้องบอกให้ฉันถอดให้ แถมตอนสวมชุดใหม่ให้ยังงอแงจะไม่ยอมใส่อีกด้วย”

“ไม่จริง พี่โกหก”

“อัดคลิปวิดีโอไว้จะดูไหมล่ะ”

“โรคจิต ลบมันทิ้งเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นผมซัดพี่ไม่เลี้ยงแน่” จิณณ์มันคงกลัวเพราะคนขู่ขู่ไปก็หอบไปเหมือนหมาหอบแดด ผมกัดปากจนเจ็บทำอะไรคนไม่ได้ก็ต้องลงไม้ลงมือกับหมอนและผ้าห่มแทน จิณณ์หัวเราะหึ เดินมาทิ้งตัวบนเตียง ทาบหลังมือกับหน้าผากผม

“ตัวยังรุมอยู่ ตอนนี้ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า” ผมหันหน้าหนี ไม่ตอบ

“ไม่เอาน่า อย่าโกรธเลย เมื่อคืนฉันปิดไฟทุกดวงในห้องแล้ว แถมตอนถอดยังเอาผ้าห่มคลุมตัวนายไว้ สาบานได้ว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เหลือบตามองแวบหนึ่ง ให้ตาย เห็นรอยยิ้มของพี่มันแล้วผมใจโคตรสั่น ผู้ชายชื่อจิณณ์นี่มันเกิดมาทรมานคนด้วยหน้าตาแท้ ๆ ดูเอาเถอะ ขนาดพับผ้าห่มมันยังหล่อ

“จริงนะ”

“ไม่จริง” แล้วมึงจะพูดทำแป๊ะอะไรครับพี่ ฟังแล้วกูจะสบายใจขึ้นหรือก็ไม่ อยากจะอาละวาดมันอีกสักรอบแต่พออารมณ์โกรธมันวูบลงไปแล้วจะกลับมาโกรธอีกก็ใช่ที่ มันไร้สาระแถมยังไม่ใช่นิสัยผู้ชายแมน ๆ อย่างเราด้วย เมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมจะเชื่ออย่างที่เจ้าตัวพูดมาก็แล้วกัน ไม่เห็นก็ไม่เห็น(วะ)

“พี่ดูแลผมทั้งคืนเลยหรือ” จิณณ์พยักหน้ารับ

“แล้วได้นอนบ้างหรือเปล่า”

“นอนสิ ฉันเพิ่งตื่นก่อนนายสักชั่วโมงนี่เอง” ในหัวปรากฏภาพฝูงปีศาจในอกผมมันกำลังฉีกทึ้งตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ทำไมหนอทำไม ทำไมผมไม่ตื่นเร็วกว่านี้สักชั่วโมง ไอ้โอกาสที่จะได้ตื่นมานั่งมองหน้าคุณชายจิณณ์ตอนหลับทั้งที่หนวดเคราเต็มคางแบบนั้นจะหาที่ไหนได้อีก ฮ่วย พลาดแล้วคุณภัทร

“แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อ”

“อยากทำอะไรล่ะ”

“อยากเที่ยวแต่สังขารผมตอนนี้คงออกไปไหนไม่ได้...ใช่ไหม” กั๊กคำสุดท้ายไว้นานหน่อย เผื่อคนฟังมันจะนึกเอ็นดูคนอยากเที่ยวบ้างแต่ไอ้พี่จิณณ์มันก็ยังนั่งยิ้มเฉย ผมอมลมไว้ทั้งสองแก้ม กูกลั้นใจแอ๊บแบ๊วจนอายตัวเองขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ผลอีกหรือเนี่ย อะไรมันจะตบะฌานแรงกล้าขนาดนี้ “ก็...ไหน ๆ เราก็พลาดเวลาเช็คเอ้าท์เมื่อตอนเที่ยงแล้ว พี่เองก็ยังไม่คิดจะกลับคืนนี้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะปล่อยเวลาให้เสียเปล่า ผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้ใคร ถ้าพี่อยากจะไปดูอะไรอีกนิดหน่อย ผมก็จะไปเป็นเพื่อนให้ก็ได้”

ไม่มีคำตอบเป็นเสียงออกมานอกจากดวงตาที่พราวระยับยิ่งกว่าเดิมและอาการกลั้นยิ้มจนเจ้าตัวต้องกัดปากไว้แน่น ผมเกือบจะค้อนเข้าให้ ดีที่จิณณ์ยอมแพ้เสียก่อน

โอเค ๆ” ไอ้คนตัวสูงดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ดึงมือผมไปลูบอย่างเอาใจ “ผมมีที่ที่อยากไปอยู่ที่หนึ่ง รบกวนคุณคุณภัทรช่วยไปเป็นเพื่อนหน่อยนะครับ”

ก็แค่นั้นแหละ!




ทุกท่านครับ ขณะนี้เป็นเวลาประมาณสิบเก้านาฬิกาของเวลาท้องถิ่น คุณดวงอาทิตย์ที่(ผมคิดว่า)เริ่มจะเหนื่อยล้ากับการทำงานมาทั้งวันกำลังโบกมือลาอยู่ตรงเหลื่อมเขา เหลือเพียงแสงสลัวของบรรยากาศยามพลบค่ำไว้เป็นเพื่อนผม หมู่แมกไม้น้อยใหญ่แกว่งไกวกิ่งก้านตามแรงลมยามเย็น เกิดเป็นเงาดำพัดผ่านไปมา อุปมาไปเองว่าคล้ายหญิงสาวผมยาวหลายคนกำลังวิ่งตัดผ่านตัวผมไปทางนั้นทางนี้กันอย่างสนุกสนาน อา น่าขนลุกใช่น้อยครับ แสงสีเหลืองจากไฟดวงเล็กที่ติดไว้ตามเสาเหล็กดัดสีดำส่องเรืองรองนำทางให้แต่ละก้าวของผมยิ่งเข้าใกล้คำว่าสยองขวัญเข้าไปทุกขณะ

ผมมาทำอะไรอยู่ตรงนี้

นั่นสิ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราต้องถามคนที่พามาใช่ไหมครับ โอเค ก่อนที่ผมจะประสาทแดกกับจินตนาการของตัวเองมากกว่านี้ เรามาเอาคำตอบจากไอ้คนที่กำลังเดินหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ ผมดีกว่า

“มีเหตุผลอะไรที่อยากมาที่นี่หรือเปล่า”

“มี”

“จะเป็นการรบกวนมากไปไหมถ้าจะวานให้บอกเหตุผลข้อนั้นหน่อย”

“รบกวนมาก เหตุผลสำคัญ บอกตอนนี้ไม่ได้”

“ขอบคุณ” เลว กวนตีนแบบนี้เดี๋ยวกูหนีกลับ ปล่อยให้โดนผีหลอกคนเดียวเลยหนิ ผมกวาดตามองรอบด้าน ทำไมถึงพูดแต่เรื่องผีมาตั้งแต่ต้นน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าหลังจากที่จิณณ์บังคับผมกินข้าวกินยารอบเย็นเรียบร้อย พี่มันก็บอกผมว่าจะพามาเที่ยว ผมก็โคตรจะดีใจเพราะตอนนั้นอีกคนไม่ได้บอกว่าจะพามาเที่ยวสุสาน มันมาบอกเมื่อรถของรีสอร์ทเลี้ยวเข้ามาตามป้ายบอกทางแล้ว
ผมไม่รู้อะไรดลใจ ไอ้คุณชายมันถึงได้นึกอยากมาเที่ยวสุสาน จะว่าแถวบ้านมันไม่มีที่ให้ฝังศพมันเลยจะมาดูลาดเลาเผื่อไว้อีกหกสิบเจ็ดสิบปีข้างหน้าก็ไม่น่าจะใช่ อะไรมันจะประทับใจมากมายจนอยากมาหลับมานอนที่นี่ตลอดกาล ผมว่ามันคงมีเหตุผลอื่นที่คนธรรมดาอย่างผมคิดไม่ถึง ไอ้ครั้นจะเงียบเดินตามต้อย ๆ ก็ยังไงอยู่ ข้องใจมากก็เลยต้องถามแต่ถามแล้วผลก็เป็นอย่างที่เห็น ถ้าไม่อยากบอกใครก็อย่าหวังว่าจะง้างปากแดง ๆ นั่นได้ ผมเดินฟังเสียงฝีเท้าของตัวเองไปตามทาง จิณณ์หยุดเดินผมจึงเงยหน้าขึ้นมอง

สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้มาก สุสานแห่งนี้ไม่ได้วังเวงน่ากลัวอย่างที่หาดูได้ในหนังผีเขย่าขวัญสั่นประสาท ตรงกันข้ามภาพหลักศิลาที่เรียงรายเป็นระเบียบทั้งสองฝั่งและผืนหญ้าสีเขียวที่ทอทาบด้วยแสงสีส้มทองนั้นให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่นจนไม่เหลือความกลัวในใจ ผมกระชับเสื้อไหมพรมตัวนอกแม้อากาศช่วงหัวค่ำจะไม่โหดร้ายเหมือนฤดูหนาวของทางเหนือแต่สำหรับคนที่เพิ่งฟื้นไข้อย่างผมแค่สายลมที่พัดเอื่อยก็สะท้านไปทุกตารางผิวแล้ว

จิณณ์หันมารั้งข้อมือผมให้ไปยืนข้างตัว ณ เวลานี้ เราสองคนกำลังยืนอยู่กลางอาณาเขตที่มีทหารกล้าหลับอย่างสงบอยู่นับพัน ป้ายแผ่นหินสีเข้มนิ่งสงบอยู่ในอาณาเขตรั้วรอบขอบชิด บนแผ่นหินนั้นสลักชื่อนามสกุลและคำไว้อาลัยถึงผู้ล่วงลับด้วยข้อความคล้ายคลึงกัน ดอกไม้สีขาวสะอาดชูกิ่งก้านอวดสายตาประดับให้แต่ละบล็อกของแผ่นหินดูงดงามจับตาเมื่อมองจากมุมกว้าง

สุสานทหารพันธมิตร

อนุสรณ์สถานแด่ทหารกล้าผู้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิตในสงคราม

ต่างคนต่างใช้เวลาไปกับการไว้อาลัยวีรชนผู้ล่วงลับเงียบ ๆ ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วความมืดของราตรีเริ่มกางปีกเข้าครอบครองแผ่นดินที่ผมกำลังเหยียบยืน ความรู้สึกเหงาจับใจทำให้ต้องหันไปมองหาคนที่มาด้วยกัน

ว่างเปล่า!

เฮ้ย ไอ้พี่มันหายไปไหนแล้ววะ?

“จิณณ์” ผมลองเรียกหาเบา ๆ เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงกิ่งไม้ที่ไหวซ่าเพราะแรงลม ไม่ว่าจะมองทางซ้ายทางขวาหรือหมุนตัวมองรอบทิศก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจิณณ์อยู่ตรงนั้น ผมใจหายวาบ จินตนาการอันล้ำเลิศเริ่มฉายภาพอาถรรพ์สารพัดประการเข้ามาในหัว ไม่หรอก ไม่ใช่หรอก แถวนี้นี่มันเกือบจากกลางเมืองเลยนะ กลางเมืองแล้วยังไงล่ะ! กลางเมืองแต่ก็ยังเป็น... หยุดนะคุณภัทร หยุดเดี๋ยวนี้ ผมปลอบใจตัวเองทั้งที่มือไม้เริ่มเย็น เวรหรือกรรมก็ไม่รู้ที่ตั้งแต่พวกผมเริ่มย่างเท้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้มันก็ไม่มีมนุษย์อื่นหลงเหลืออยู่แล้ว ไม่รู้ว่าคนแถวนี้เค้าไม่นิยมมาคารวะท่านทหารกล้ากันยามค่ำคืนหรือเพราะสาเหตุอื่น

“จิณณ์!” เสียงของผมสะท้อนกลับมาในความสงัดนั้น หัวใจกระตุกวูบเมื่อไฟตรงถนนรอบนอกมันดับลงทีละดวง ๆ จนเหลือเพียงแสงไฟสีอ่อนภายในสุสาน มันคงสวยดีถ้ามีคนยืนดูเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้มีเพียงผมที่ยืนโดดเด่นเป็นสง่ามองไปรอบตัวเห็นแต่แผ่นหิน แผ่นหินและแผ่นหิน โอย ผมอยากเป็นลม นี่ นี่พี่มันคงไม่คิดจะทำเซอร์ไพรส์ในสุสานหรอกนะ
จิณณ์จะรู้หรือเปล่า

จิณณ์จะรู้ไหมว่า

คุณภัทรคนนี้...กลัวผีที่สุดในชีวิต!

“ไอ้บ้าพี่จิณณ์ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้ายังเล่นแบบนี้อีก ผมจะโกรธพี่ไปทั้งชีวิตเลย” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง ผมหันขวับไปมองแล้วก็ชนปึกเข้ากับกำแพงมนุษย์จนต้องครางซี้ด กลิ่นหอมแบบนี้ สัมผัสแบบนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากมัน ไม่สนใจว่าใครจะแก่วัยใครจะเด็ก ผมฟาดฝ่ามือใส่แผ่นอกตรงหน้าเต็มแรงมือ 

“เล่นเหี้ยอะไรของพี่วะ บ้าไปแล้วหรือไง”

“ใจเย็น ๆ สิ ฉันแค่กลับไปเอาของที่รถ ไม่คิดว่าจะกลัวขนาดนี้นะเนี่ย”

“ของผีอะไร ปากน่ะมีไหม จะไปทำไมไม่บอกกันสักคำ พี่รู้ไหมว่าผม...ผม...แม่ง เกลียด ผมเกลียดพี่จนจะบ้าตายอยู่แล้ว ได้ยินไหมว่าเกลียด” ระดับความกลัวในใจทำให้เสียงของผมดังก้องไปทั้งลานกว้าง แทนที่จิณณ์จะดุพี่มันกลับเปล่งเสียงหัวเราะ กระชับแขนให้ผมจมเข้าไปในอกมันมากขึ้น หนอย ทำผิดแล้วยังมีหน้ามาหัวเราะชื่นบาน กำหมัดทุบหลังมันปึกปักไอ้คนเจ้าเล่ห์มันก็ยังยืนลูบหลังลูบไหล่ให้เหมือนไม่สะเทือน ผมกดหน้ากับเสื้อเชิ้ตเนื้อนุ่ม โทษอาการเจ็บป่วยไม่สบายของตัวเองก็แล้วกันที่ทำให้น้ำตามันซึมจนล้นออกมา

“ขอโทษ” ขอโทษห่านอะไรล่ะ ผมกลัวไปแล้ว ใจหายไปแล้วแถมยังร้องไห้ไปแล้วด้วย แก้ไขอะไรได้ไหม ย้อนเวลาไปทำให้ผมไม่ต้องโดนทิ้งไว้คนเดียวได้หรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งเคือง มันไม่รู้หรือไงว่าคนไม่สบายอารมณ์มักจะแปรปรวนแถมยังอ่อนไหวง่าย ทำอะไรไม่คิดแบบนี้มันน่าแกล้งตีหน้าเซ่อให้เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องไปจนตายนัก

“อย่าโกรธเลยนะ”

“โกรธไปแล้วโว้ย!”

“น่า หายโกรธเถอะ มีอะไรจะให้” ทำเป็นเอาของมาล่อ รู้ใช่ไหมว่าปกติผมจะต้องสนใจ แต่คราวนี้ไม่สน ผมสูดน้ำมูกฟุดฟิด เบี่ยงตัวออกจากอกมัน เดินเร็ว ๆ ตัดสนามตรงไปทางลานรอดรถโดยไม่ยอมตกหลุมล่อของไอ้นายพรานเจ้าเล่ห์ดังทุกครั้ง เสียงฝีเท้าก้าวตามมาติด ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ต้นแขนถูกรั้งด้วยมือใหญ่ไม่อยากสะบัดให้อายผีสางเทวดาแถวนั้น ผมเลยยืนคอตั้งหน้าเชิดอย่างสงบทั้งที่ในใจเดือดปุด

“คุณภัทรน่าจะรู้เหมือนที่ฉันรู้...” ไม่รู้โว้ย! “พวกเรามีความเชื่อว่าการได้เอ่ยความปรารถนาต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้คำพูดนั้นมีพลังยิ่งกว่าการเอ่ยอ้างลอย ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยดลบันดาลให้ความตั้งใจของเราเป็นจริง ทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดคำสัญญาด้วยพลังที่เรามองไม่เห็น พลังที่จะผูกชะตาของคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน”

ผมหันไปมองคนตัวโตกว่า เสียงนุ่ม ๆ อ่อน ๆ ที่บอกเล่าความรู้ดั้งเดิมทำเอาผมฟังเพลินจนลืมโกรธ ใบหน้าคมคายที่วางเกยอยู่บนไหล่มันก็ยิ่งทำให้ผมไปไหนไม่ได้ไกลจากคำว่าหล่อและหล่อ ดวงตาเรียวกว้างที่มองกลับมาเหมือนมีคำว่าใจอ่อน ใจอ่อนและใจอ่อน พุ่งออกมากระแทกหน้าผากผมอย่างไร้ซึ่งความปรานี อยากจะบ้าตาย จะมีวันไหนที่ผมไม่ต้องตกเป็นทาสความดูดีของมันบ้างเนี่ย

“เชื่อแบบนั้นไหม”

“ไม่รู้ ไม่เคยสัญญากับใคร”

“ความจริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ฮินดูแล้วก็การนับถือภูติผี เทพเทวดา จิตวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว พวกโบราณสถาน โบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาก็ใช่ แต่ในสถานการณ์นี้ ฉันคิดว่ามันคงไม่เหมาะที่จะพานายไปสารภาพรักในวัด กลัวพระชีแถวนั้นท่านจะแตกตื่น สาเหตุที่ฉันเลือกที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากแกล้งให้นายกลัวแต่เป็นเพราะฉันหวังว่าวีรชนที่ล่วงลับไปแล้วจะแบ่งพลังความกล้าหาญให้ฉันบ้าง สักเศษเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี”

ไม่ไหวแล้วครับ อายมากถึงมากที่สุด ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ตัวเองสามารถละลายระเหิดระเหยหรืออะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้ผมพ้นไปจากตรงนี้ได้ ตั้งแต่มีคำศัพท์สะเทือนโลกคำนั้นหลุดออกมาจากปากพี่มัน ผมก็ฟังต่อไม่รู้เรื่องแล้วครับ หูอื้อ ตาลาย มองอะไรไม่เห็นนอกจากประกายหวานเชื่อมในหน่วยตาคู่คม โอย ฉิบหายแล้ว ผมกำลังน้ำตาคลอ อย่านะ อย่าร้องไห้นะคุณภัทร ถ้าปล่อยให้น้ำตาไหลตอนถูกพระเอกสารภาพรักนายจะกู่ไม่กลับเลยนะโว้ย!

“ฉันว่าถึงฉันไม่พูดนายก็คงเข้าใจ ใช่ไหมคุณภัทร” ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเลยได้แต่มองหน้าอีกคนนิ่ง จิณณ์ยังมองตอบกลับมาแม้ว่ามือใหญ่ทั้งสองข้างกำลังเลื่อนมาจับมือผม ปลายนิ้วเรียวกำลังคลึงนิ้วนางผมเบา ๆ อะไรบางอย่างในตัวมันกระตุกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตผมเผลอดึงมือออกจากมือใหญ่แต่จิณณ์กลับยึดไว้มั่น ดวงตาเรายังประสานกัน ผมเห็นเต็มตา ประกายวาววับในหน่วยตาดำขลับบอกให้รู้ว่า อย่างไรเสียวันนี้จิณณ์จะไม่ยอมรับการปฏิเสธใด ๆ ทั้งสิ้น สัมผัสลื่นเย็นเลื่อนเข้าแทนที่ปลายนิ้วอุ่น ทั้งที่ตายังจ้องกันในระยะลมหายใจกางกั้นแต่ผมไม่ได้เบลอจนไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เพิ่งถูกเลื่อนเข้ามาจับจองนิ้วนางของผมนั้นมันคืออะไร

“ถือว่าเราทำสัญญากันแล้วนะ”

จูบซ้ำบนแหวนอีกหนึ่งครั้งเป็นอันจบพิธี เอ๊ย จบการทำสัญญา แล้วไอ้คุณชายมันก็ยิ้มกริ่ม เดินผิวปากตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ทันที ผมก็ยังเป็นฝ่ายโดนทิ้งให้ยืนอึ้งอยู่เบื้องหลังได้เหมือนเคยและดูเหมือนคราวนี้ผมจะอึ้งนานไปหน่อย พี่มันถึงต้องเดินกลับมารับอีกรอบ

“นี่ อย่าทำหน้าแบบนี้ได้ไหม”

“ทำ? ทำยังไง?” พอผมย้อนถามจิณณ์ก็เม้มปาก มันหรุบตามองผมก่อนจะหันหลังกลับคราวนี้ไม่ลืมลากผมตามไปด้วย

“ทำหน้าเหมือนโดนฉันแกล้งให้น่ะสิ”

“แล้วพี่แกล้งผมจริง ๆ หรือเปล่า”

“คงจริงมั้ง”

“จิณณ์” จิณณ์หยุดเดินก่อนจะถึงรถแค่สามก้าว พอเห็นเราสองคนกลับมาคนขับรถที่เดินเล่นอยู่แถวนั้นรีบกลับมาประจำตำแหน่งอย่างรู้หน้าที่ ไอ้หล่อมันชำเลืองมองพี่คนขับก่อนจะหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลก ๆ ที่ว่าแปลกเพราะผมไม่ชินตากับการที่มันจะกลอกตาไปมา ไม่สบตาแถมยังเม้มปากคลายปากอยู่นั่น เป็นอะไรของเค้าวะ?

“ถ้าตั้งใจแกล้งผมจะได้รู้ว่าพี่แค่เล่น ๆ”

“ใครเค้าล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้กันเล่า ฉันจริงจังคุณภัทร นั่นน่ะเรื่องจริงล้วน ๆ”

“เรื่องอะไรล่ะ” ผมไพล่แขนไปด้านหลัง เอียงคอมองอีกคนหน้าเครียด

“ไม่เอาน่า ถึงไม่บอกเราก็รู้กันไม่ใช่หรือ” รู้อะไร ใครเค้ารู้กับเธอ จู่ ๆ ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนอื่น คอยให้คำปรึกษา เอาอกเอาใจไม่ว่าเรื่องไหนไม่เคยขัด ยามที่ต้องการความช่วยเหลือหันไปมองหาเมื่อไหร่ก็ไม่เคยที่จะไม่เจอ ทำแบบนี้ใครเค้าจะรู้ เราไม่รู้ ถ้าเธอไม่ยอมพูดออกมาเราก็จะยืนยันว่าไม่รู้แบบนี้ไปจนตายนั่นแหละจิณณ์รนี

“ผมรู้ว่าพี่รู้สึกดีกับผมแล้วผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน อันที่จริงแล้ว ตอนนี้น่ะ พี่สำคัญกับผมพอ ๆ กับบุรินทร์และวาเลยนะ” ผมบอก มองคนปากหนักทำหน้าเหวอแล้วก็แทบหัวเราะพรืด

“มันใช่แบบเดียวกันที่ไหน!” คุณชายท่านท้วงเสียงเข้ม “ฉันต้องต่างจากสองคนนั่นสิ บุรินทร์กับวาเป็นเพื่อนนาย แต่ฉันไม่ใช่ ที่ฉันทำมาทั้งหมดมันหมายความว่าฉันรักนาย ไม่ใช่รักแบบเพื่อนหรือแบบน้อง ฉันรักนายแบบ...” จิณณ์ชะงักพร้อมกับที่ผมลอยหน้าลอยตาลากเสียงยาวในคอ สารภาพก็ได้ว่าเขินจนแทบจะแทะตัวเองเล่นแล้ว แต่จะไม่ให้รู้หรอกว่าในอกนี้หัวใจกำลังกระหน่ำรัวระทึกฤทัยแค่ไหน

“ก็แค่เนี้ย พูดตรง ๆ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย” รีบเผ่นเข้าไปนั่งในรถด้วยความเร็วระดับลิงยังอาย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นใบหน้าหล่อจัดซับสีเรื่อจนแดงไปถึงคอ แหม๊ะ พ่อคนฟอร์มจัด มาทึกทักสวมแหวนให้คนอื่นเค้าโดยไม่มีคำว่ารักสักคำแบบนั้น มันใช้ได้ที่ไหน อยากได้ท่านคุณภัทรคนนี้เป็นแฟนแต่จะไม่ยอมพูดคำสำคัญก็ฝันไปเถอะ

“เขินก็ไม่บอกนะคนเรา”

“เงียบนะ” ผมยกมือปิดปากอย่างให้รู้ว่าแกล้งทำ หรี่ตามองใบหน้าอีกคนก่อนจะหันหน้าไปยิ้มแป้นกับเงาในกระจก เป็นไงล่ะ ได้สารภาพข้างรถแบบไม่ทันตั้งตัวเลย



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((บอกรักแล้วววว >< ))

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :haun4: อ่านทันแล้ววว สนุกมากครับ รอตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
บอกรักกันแล้วว เย้เย

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
 :o8: :o8:
น้องคุณยังดูเอาแต่ใจ
รึว่าเพราะเขินเลยต้องเอาแต่ใจกลบเกลื่อนนะ
 :mew1:

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกค่ะ สนุกมาก ่อ่านรวดเดียว
แต่อยากให้ลดปริมาณคำชมเรื่องความหล่อของพระเอกที่นายเอกชมบ่อยมาก คือรู้ว่าจิณณ์หล่อ แต่จะชมอะไรแทบทุกย่อหน้าจนเริ่มเอียนแล้ว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จิณณ์ สวมแหวนให้คุณแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่เขินไม่กล้าพูดคำว่ารัก อั๊ยยะ  :impress2:
จิณณ์ ที่เก่งกล้าทุกอย่าง เขินเป็นด้วย น่าร้ากกกกก
คุณ มีแกล้งจิณณ์ ซะด้วย สมเป็นคุณ
ชอบบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
รอตอนต่อไปครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด