ตอนที่ 21
และแล้วช่วงเวลาของการพักผ่อนก็ผ่านพ้นไปในที่สุด สิ่งรอบข้างเคลื่อนตัวผ่านเลยไปเนื่องด้วยการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ ดวงตาโตทอดมองทัศนียภาพของสิ่งก่อสร้างระฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนกรุงอย่างที่ชอบทำ แม้ใจจะรู้สึกวูบโหวงกับการกลับมาสู่วงเวียนชีวิตแบบเดิมทว่าสามวันที่ผ่านมันก็เพิ่มพลังกายและใจให้ได้ไม่น้อย
“ง่วงหรือเปล่า”
เสียงทุ้มจากร่างสูงข้างกายที่เอ่ยถามดึงรั้งความสนใจจากภายนอกให้กลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง กานต์รักหันมาสบมองใบหน้าคมของคนรักก่อนจะแย้มยิ้มแล้วเอ่ยตอบ
“นิดหน่อยครับ ว่าแต่...นี่เราจะไปไหนกันครับ”
สองข้างทางมีความไม่คุ้นชินทำให้รับรู้ได้ว่าจุดหมายปลายทางนั้นไม่ใช่สถานที่ที่กานต์รักเคยไป ความสงสัยปรากฏอยู่บนใบหน้าของร่างบางอย่างปิดไม่มิด เพราะหลังจากที่เครื่องบินส่วนตัวลงจอดบนดาดฟ้าอีกคนกลับพามาขึ้นรถทั้งที่ควรจะลงไปพักในห้องโดยไม่ยอมบอกกันซักนิดว่าจะไปไหน
“ถึงแล้วก็รู้เอง” แพทริกตอบพร้อมกับยกยิ้ม
“คงไม่ได้ลวงรักไปทิ้งที่ไหนใช่ไหมครับ”
เอ่ยถามพลางขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทางนั้น อีกคนดูมีลับลมคมในบางอย่างจนไม่อาจจะคาดเดา กานต์รักแสร้งถามแม้จะรู้ดีว่าคนรักคงไม่ทำอย่างนั้น แต่เป็นเพราะความสงสัยจึงอดเอ่ยออกไปไม่ได้
“เมียทั้งคน ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง” แพทริกตอบคำถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกขำกับความคิดของเด็กน้อยที่ถามออกมาอย่างเอ็นดู
“ก็ไม่รู้สิครับ คุณแพทดูมีความลับนี่นา”
สถานะที่ถูกเรียกขานทำให้ใจดวงน้อยสั่นไหวจนไม่กล้าสบดวงตาคมขณะพูด ไม่ว่าจะกี่ครั้งยามได้ยินอวัยวะที่ใช้สูบฉีดเลือดก็พานเต้นถี่รัว
“ไม่ต้องกังวลหรอก ถึงแล้วนายจะได้รู้เอง”
สุดท้ายจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้เมื่ออีกคนไม่ยอมบอก ภาพวิวทิวทัศน์ภายนอกถูกให้ความสนใจอีกครั้ง กานต์รักมองบรรยากาศรอบตัวอย่างหวังว่ามันจะทำให้ความรู้สึกอยากรู้เจือจางลงไปได้
ความเร็วของรถเริ่มลดลงก่อนจะกลายเป็นเคลื่อนช้าๆเมื่อประตูของคฤหาสน์หลังหนึ่งเปิดออก ระยะทางจากประตูสู่ตัวบ้านนั้นไกลกันเพราะสมควร ดวงตาโตที่ยังเหลือบมองน้ำพุสวยงามข้างหน้าเบือนกลับมาสบคนข้างตัวอย่างรวดเร็วเมื่อรถจอดนิ่งสนิท เริ่มเข้าใจด้วยตัวเองแล้วว่าถูกพามาที่ไหน
“นี่บ้านของคุณแพทเหรอครับ”
“อืม วันนี้เราจะทานข้าวเย็นกันที่นี่” กานต์รักพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนแพทริกจะเอ่ยบอกให้ลงจากรถเพื่อขึ้นไปพัก
ยามได้มองเห็นบ้านหลังใหญ่ที่สมควรเรียกว่าคฤหาสน์อย่างเต็มตาดวงตาใสก็อดจะเบิกขึ้นชื่นชมความสวยงามนั้นไม่ได้ ยอมรับว่าทั้งตื่นเต้นและรู้สึกเซอร์ไพร์สที่ถูกพามาที่นี่ ทุกสิ่งรอบตัวนั้นทำให้ตื่นตาเสียจนกานต์รักยืนมองนิ่งๆไม่ยอมขยับเดิน กระทั่งท่อนแขนแข็งแรงต้องตวัดรัดเอวเล็กแล้วรั้งให้ก้าวตาม
“อ๊ะ คุณแพทครับ” คนไม่ทันได้ตั้งตัวหลุดอุทานออกมาเสียงเบา ก่อนจะต้องรีบโค้งหัวเร็วๆเมื่อเมทรับใช้ที่ออกมายืนเรียงรายนั้นค้อมตัวต้อนรับ
“ปล่อยรักก่อนได้ไหมครับ รักอยากดูภาพวาดตรงนั้น”
มือเล็กวางทับอยู่บนท่อนแขนที่กอดรอบเอวของตัวเองก่อนจะตบเบาๆสองสามครั้งยามร้องขอให้อีกคนปล่อย แพทริกมองคนรักที่ไม่แม้แต่จะสนใจกันพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนจะคลายแรงกอดรัดลง
ทันทีที่เป็นอิสระกานต์รักก็ขยับก้าวเร็วๆไปทางภาพวาดที่ถูกติดไว้บนผนังอย่างสวยงาม ทุกอย่างนั้นดูลงตัวจนคนที่ชอบอะไรแบบนี้กวาดตามองอย่างตั้งใจ
“บ้านคุณแพทสวยมากเลยครับ”
เมื่อดูทุกอย่างจนพอใจร่างเล็กจึงหันมาพูดกับคนที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางที่ทำให้แพทริกตวัดเอวเล็กเข้าหาแนบชิดก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วชอบหรือเปล่า”
“ชอบครับ”
“ถ้าชอบก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบนิ่งหากแต่สายตาที่มองสบกันสื่อความหมายลึกซึ้งจนใจคนฟังสั่นไหว เริ่มเข้าใจแล้วว่าการถูกพามาที่นี่นั้นอาจจะมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง
“อยากให้รักมาอยู่ด้วยจริงๆเหรอครับ”
รอยยิ้มบางถูกจุดขึ้นบนใบหน้าหวาน มือเล็กที่วางทาบกับหน้าอกแกร่งขยับจัดคอเสื้อที่ไม่เป็นระเบียบเล็กน้อยนั้นให้เรียบร้อยก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวโตอีกครั้ง
“ถ้าคราวนี้ไม่ยอมก็จะฉุด”
ไม่มีแววล้อเล่นในน้ำเสียงเลยซักนิด แพทริกพร้อมจะทำอย่างที่ตัวเองพูดโดยไม่รีรอหากกานต์รักไม่ยอมตกลง ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่อีกคนควรจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน เขาอยากเจอหน้าคนรักทั้งก่อนจะนอนและตอนตื่น หากกลับจากทำงานแล้วพบว่ากานต์รักรออยู่ที่บ้านในทุกๆวันคงรู้สึกดีเป็นที่สุด
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
คำพูดแสนเอาแต่ใจของคนตัวโตทำให้คนฟังเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีอย่างที่ไหนบังคับให้มาอยู่ด้วยกันดื้อๆเสียอย่างนั้น
“อืม ก็เมียดื้อเลยต้องบังคับ”
ร่างบางได้แต่นิ่งเงียบเมื่ออีกคนเอ่ยคำพูดที่ทำให้เก้อเขินจนไม่อาจสบตา ใบหน้าหวานหันไปมองทางอื่นอย่างพยายามซ่อนความเขินอายบนใบหน้าที่เห่อร้อน
“ว่ายังไง...ย้ายมาอยู่กับฉันนะ”
จมูกโด่งเป็นสันขยับเข้ามาคลอเคลียบนแก้มเนียนใสราวกับแมวยักษ์กำลังอ้อนเจ้าของ เสียงทุ้มที่มักเรียบนิ่งอ่อนลงจนกลายเป็นเว้าวอนให้คนฟังใจอ่อนยวบยาบ ดวงตาโตเหลือบกลับมามองคนที่อิงแอบแนบชิด ใจเต้นแรงกับท่าทางนั้นไปจนหมด
ไม่เคยคิดเลยว่าอีกคนจะอยากให้มาอยู่ด้วยกันขนาดนี้
“อืมมมม” กานต์รักแกล้งทำหน้าครุ่นคิดพร้อมทั้งลากหางเสียงยาว
“ไม่ต้องคิด พูดออกมาเดี๋ยวนี้ว่าตกลง” ความใกล้ชิดนั้นผละออกไปก่อนคนตัวโตจะเอ่ยสั่งเสียงขุ่น ขณะที่คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างใจร้อน
“รัก...”
“...”
“ตกลงครับ”
คนหน้าหวานระบายยิ้มกว้างยามเอ่ยคำที่อีกคนต้องการในที่สุด คำตอบนั้นทำให้แพทริกยกยิ้ม ประกายความสุขฉายชัดออกมาจากดวงตาคมจนกานต์รักสังเกตเห็น
“ย้ายมาวันนี้เลย”
“เร็วไปครับ! รักต้องจัดการหลายอย่างคงต้องใช้เวลาซักหน่อย”
กานต์รักตกใจกับความใจร้อนของอีกฝ่ายจนเผลอพูดออกมาเสียงดัง ขณะที่คนขี้ใจร้อนกลับมาทำหน้านิ่งทันทียามได้ยินประโยคที่ตัวเองไม่พึงประสงค์
“ไม่นานหรอกครับ”
มือบางยกขึ้นมาลูบโครงหน้าแกร่งนั้นเบาๆพร้อมกับปลอบประโลมด้วยเสียงอ่อนนุ่ม แพทริกสบตามองกันนิ่งทว่ากระแสความไม่พอใจก่อนหน้าก็จางหายไปให้ได้เบาใจ
“แพทริก!”
ก่อนจะได้พูดคุยกันมากกว่านั้นเสียงเรียกชื่อคนร่างสูงก็ดังขึ้นจนทำให้กานต์รักตกใจผละออกอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าก้าวฉับๆดังมาจากทางด้านหลัง ยังไม่ทันจะได้หันไปมองใครคนนั้นก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเคียงข้างคนรักให้ดวงตาโตเบิกกว้าง
“มัมบอกว่าถ้าจะมาให้โทรบอกก่อนทำไมถึงไม่ทำหืม?”
เสียงสนทนาภาษาอังกฤษไม่อาจทำให้คนที่ตกใจดึงสติกลับมาได้ แน่นอนว่ากานต์รักรู้ดีว่าคนตรงหน้านั้นเป็นใคร หากแต่สถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวและเตรียมใจทำให้ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรจนได้แต่นิ่งงัน
มะ แม่ของคุณแพท
“ผมขี้เกียจ” แพทริกเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ออกมาง่ายๆ
“มัมยังทำกับข้าวไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ พ่อกับพี่ชายเราก็ยังไม่ทันได้กลับมา ถ้าโทรมาบอกก่อนพวกเราจะได้จัดการเวลาถูก นี่อะไร คิดจะมาก็มามันน่าตีนัก”
หญิงสาวที่แม้จะมีอายุแล้วหากแต่ยังคงความสวยงามเอาอย่างน่ามองเอ่ยพูดกับลูกชายยืดยาว
“ผมกับกานต์รักจะขึ้นไปพักก่อนพอดี มัมก็จะได้มีเวลาจัดการกับอาหารต่อ รอแด๊ดกับพีทกลับมาพวกเราค่อยลงมาอีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นมัมขอคุยกับรักก่อน”
แม้ชื่อของตัวเองจะได้ยินไม่ถนัดนักหากแต่มันก็ทำให้คนที่ไม่ทันได้เตรียมใจสั่นไหว ความคิดมากมายตีรวนอยู่ในอกจนมือบางเย็นเฉียบ
อีกคนไม่ได้บอกเลยว่าวันนี้จะได้เจอกับครอบครัวเบรนเนแกน แน่นอนว่าหากใครเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างนี้ความตื่นเต้นและความกังวลใจมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถห้ามได้ ยิ่งยามดวงตาหวานสีเดียวกันกับแพทริกหันมาสบความตื่นกลัวยิ่งเตลิดไปไกล
ควรทำยังไงดี
“กานต์รักใช่ไหมจ๊ะ?”
สุ้มเสียงหวานกังวานเอ่ยพูดขึ้น ความอ่อนละมุนของน้ำเสียงนั้นทำให้คนฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นมาจนต้องพยายามผ่อนลมหายใจที่เกร็งคัดของตัวเองออกมาช้าๆ
“คะ ครับ”
“ได้เจอกันเสียทีนะ...หน้าตาน่ารักจริงๆ”
คนตรงหน้าไม่เพียงแต่พูดเปล่า มือบางยังเอื้อมขึ้นมาลูบไล้แก้มเนียนใสเบาๆจนเจ้าของไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว กานต์รักยืนนิ่งมองใบหน้าสวยของมารดาแพทริกพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ ท่าทางที่ยิ่งทำให้น่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
“...สวัสดีครับ”
กว่าหลายวินาทีที่ทุกอย่างนั้นนิ่งงัน กระทั่งบางอย่างในหัวร้องเตือนว่าควรกล่าวคำทักทายออกไปคำพูดตอบกลับด้วยภาษาเดียวกันจึงดังขึ้น
“สวัสดีจ้ะ ไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้าง เดินทางเหนื่อยหรือเปล่า” ฝ่ามือบอบบางที่สัมผัสอยู่ข้างแก้มผละออกไปก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“สนุกครับ....ตอนนี้ก็เพลียนิดหน่อย” กานต์รักเอ่ยตอบเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจนัก แม้ความรู้สึกกังวลจะดีขึ้นทว่ายังไม่อาจจางหายไปได้หมด
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปพักเถอะจ้ะ...เดี๋ยวถ้าแด๊ดกับพีทมามัมจะให้คนไปตามอีกที” ประโยคหลังเอ่ยบอกกับร่างสูงที่ยืนนิ่งก่อนแพทริกจะพยักหน้ารับ
ฝ่ามือเล็กที่วางอยู่ข้างตัวถูกเกาะกุมก่อนร่างสูงจะออกแรงรั้งให้กานต์รักทำได้เพียงโค้งหัวอย่างขอตัวกับผู้ใหญ่แล้วเดินตามคนตัวโตขึ้นไปด้านบน
แกร๊ก
ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลงกานต์รักก็ได้แต่ยืนนิ่งสบตากับแพทริกโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา จวบจนกระทั่งเป็นคนตัวเล็กที่ทนไม่ไหว
“คุณแพทไม่เห็นบอกรักก่อนเลยครับ”
“ฉันอยากเซอร์ไพร์ส”
คำตอบนั้นทำให้คนหน้าหวานเผลอยู่ปากเพราะมันเซอร์ไพร์สมากจริงๆ เซอร์ไพร์สเสียจนหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นผู้ให้กำเนิดของคนรักยืนอยู่ตรงหน้า
ไม่ให้เวลากันได้เตรียมใจเลยซักนิด
“มัมของคุณแพทจะชอบรักไหมครับ”
คำถามนั้นถูกเปล่งออกมาอย่างไร้ซึ่งความมั่นคง นั่นคือเรื่องที่กังวลอยู่ในใจจนรู้สึกวูบโหวงไปทั่วท้อง กานต์รักไม่อาจปฏิเสธเลยว่าตอนนี้ตัวเองกังวลมากแค่ไหน และแพทริกสัมผัสมันได้จนต้องรั้งอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด ฝ่ามือหนายกขึ้นมาลูบไล้แผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน
“ทุกคนจะรักนายเหมือนที่ฉันรัก ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
เสียงทุ้มนุ่มและการกระทำอันอ่อนโยนทำให้ใจที่สั่นไหวค่อยๆสงบขึ้น กานต์รักหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ให้สัมผัสอบอุ่นนั้นโอบล้อมรอบกายแทนความรู้สึกวูบไหว ปล่อยให้เวลาค่อยๆไหลผ่านไปในอ้อมกอดแข็งแรงที่เปรียบเป็นดั่งที่พักพิงให้เสมอ
“ง่วงหรือเปล่า พักซักหน่อยแล้วกัน”
เมื่อรับรู้ได้ว่ากานต์รักรู้สึกดีขึ้นแล้วแพทริกจึงเอ่ยถามเพราะอีกฝ่ายตื่นมาเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับแต่เช้า คำถามที่คนฟังก็พยักหน้ารับเบาๆ
“รักขอเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
กานต์รักขยับผละออกจากอ้อมกอดนั้นก่อนจะเอ่ยบอก ยามที่อีกคนเดินลับหายไปทางห้องน้ำแพทริกจึงหันไปเปิดแอร์เพราะเมื่อครู่มัวแต่คุยกันจนลืมไปเสียสนิท
ห้องนอนในคฤหาสน์กว้างใหญ่โตโออ่า กว่าจะเดินถึงห้องน้ำกานต์รักก็สำรวจความสวยงามรอบๆไปด้วยอย่างตื่นตา กระทั่งเมื่อมาถึงที่หมายจากแค่การจะเข้าห้องน้ำก็กลายเป็นเดินชมทุกซอกทุกมุม
“สวยจัง”
ภายในห้องน้ำถูกออกแบบและตกแต่งจนกานต์รักแทบอยากจะย้ายมานอนในนี้ แม้จะเห็นความสวยงามของการตกแต่งมาหลากหลายสไตล์จากหลายที่ที่เคยอยู่หากแต่เพราะเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาจึงอดตื่นเต้นไม่ได้
กว่าร่างบางจะออกจากห้องน้ำได้จึงผ่านไปหลายนาทีจนแพทริกเกือบจะเดินมาตาม พอถูกถามว่าทำไมหายไปนานก็ได้แต่ยิ้มบางๆตอบ
“ฉันจะออกไปจัดการงานนิดหน่อย” แพทริกเอ่ยบอกกับคนที่นอนอยู่บนเตียงกว้างเรียบร้อย ความรู้สึกง่วงงุนเริ่มเล่นงานจนตาดวงโตหรี่ปรือ
“ครับ”
กานต์รักพยักหน้ารับขณะมือหนาของคนที่นั่งอยู่ขยับกระชับผ้าห่มให้จนถึงแผ่นอก แม้จะเสียดายยามไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นตระกองกอดเช่นเคยแต่ก็เข้าใจดีว่าเรื่องงานนั้นสำคัญเพียงใด
เปลือกตาสีอ่อนปรือปิดลงยามสัมผัสบางเบาทาบทับลงมาบนหน้าผาก ความอุ่นร้อนแช่นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะผละออกไป แพทริกยังคงนั่งมองอีกคนอยู่อย่างนั้นกระทั่งมั่นใจว่ากานต์รักหลับไปแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อจัดการบางอย่าง
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“เฮ้ ว่าไงน้องชาย” ร่างสูงที่เคียงข้างมากับผู้เป็นพ่อเอ่ยทักทายน้องชายทันทีที่เห็นหน้า แพทริกซึ่งกำลังนั่งคุยกับอยู่กับมัมทำเพียงแค่ปรายตามองก่อนจะทำเป็นไม่ได้ยินคำทักทายนั้น
“สวัสดีครับแด๊ด” กล่าวทักทายผู้ให้กำเนิดอีกคนโดยไม่สนใจพี่ชายที่ทรุดตัวนั่งลงอีกฝั่งเลยซักนิด
“อะไรวะ นี่แกเมินพี่ชายอย่างฉันเหรอแพทริก” ปีเตอร์แสร้งเอ่ยถามตามนิสัย รู้ดีว่าน้องเป็นคนยังไงแต่ก็อดแกล้งให้หงุดหงิดไม่ได้ แพทริกแตกต่างจากเขามากเลยล่ะ
“ลูกสองแล้วนะแกน่ะ เลิกทำตัวไร้สาระซักทีพีท”
แพทริกเอ่ยกับพี่ชายอย่างเบื่อหน่ายเมื่อไม่ว่าจะผ่านไปเท่าไหร่อีกคนก็มักทำอะไรแบบนี้อยู่เสมอ อาจจะด้วยอายุที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเลยทำให้ทั้งสองนั้นพูดคุยกันตรงๆเหมือนเพื่อน
“แด๊ดเห็นด้วยกับแพทริก...แล้วนี่เป็นไง แซมกับโจเซฟบอกว่าแกหนีงานไปเที่ยว”
ผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งเคียงข้างคู่ชีวิตหันมาถามลูกชายอีกคน การมาเมืองไทยครั้งนี้ก็เพราะว่าเรื่องงานและส่วนหนึ่งคือเรื่องคนรักของแพทริก ทุกคนในครอบครัวนั้นต่างตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้เจอกับกานต์รักอย่างจดจ่อ
“ผมแค่หาเวลาไปพักผ่อน”
“ให้ตัวเองพักหรือให้ใครพัก” พอล เบรนเนแกน เอ่ยถามอย่างรู้ทันโดยมีทั้งแม่และพี่ชายส่งยิ้มล้อเลียน
“ทั้งสองอย่าง”
คำตอบสั้นๆอย่างยอมรับแต่โดยดีทำให้ทุกคนหลุดยิ้มกับมุมที่ไม่เคยเห็นของแพทริก ใบหน้าคมยังคงนิ่งเรียบไม่ได้แสดงท่าทีหากแต่มันมีความสุขประกายออกมาอยู่จางๆ เป็นครั้งแรกที่ได้คุยหยอกล้อถึงเรื่องนี้เพราะที่ผ่านมาแพทริกไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อนเลยซักคน
“จริงจังแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“น่ารักดีนะ มัมชอบ” คนเป็นแม่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม นึกไปถึงคนตัวเล็กหน้าหวานท่าทางเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกเอ็นดู
“ผมต้องเจอหน้าน้องสะใภ้บ้างแล้ว ว่าแต่ตอนนี้แฟนแกอยู่ไหน”
“แพทบอกว่าน้องพักผ่อนอยู่...เอาล่ะ มัมว่าแด๊ดกับพีทขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า จะได้ลงมาทานข้าวกัน...แพท ป่านนี้น้องคงตื่นแล้วล่ะมัมว่า”
“โอเค งั้นแยกย้าย อีก20นาทีเจอกัน” ปีเตอร์พูดออกมาพร้อมกับขยับขึ้นยืนแล้วลุกออกไปจากห้องเป็นคนแรกก่อนจะตามด้วยแพทริกที่เอ่ยขอตัวด้วยอีกคน
เรือนร่างสูงใหญ่เดินเข้าห้องมาก่อนจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อบนเตียงกว้างนั้นไร้ซึ่งร่างของคนที่นอนอยู่ก่อนหน้า ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปดูทางห้องน้ำกานต์รักก็เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าใสที่มีหยดน้ำเกาะอยู่บางๆ
“หิวหรือยัง อีกเดี๋ยวลงไปทานข้าวกัน” แพทริกเอ่ยถามร่างบางก่อนจะได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ กานต์รักก้มลงมองชุดที่ตัวเองสวมใส่ก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอ่อนพร้อมด้วยกางเกงขาสี่ส่วนสีขาว...
“รักขอเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”
“เปลี่ยนทำไม”
สีหน้าไม่มั่นใจของกานต์รักทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่น ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วร่างของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แพทริกไม่เห็นว่ามันสมควรจะต้องเปลี่ยนตรงไหน เขาชอบเสียอีก
“ต้องเจอครอบครัวคุณแพท รักว่ารักควรจะแต่งตัวให้สุภาพกว่านี้ครับ” คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เข้าใจทันทีว่าอีกคนนั้นกังวลเรื่องอะไร
เรือนร่างสูงใหญ่ขยับเข้าหาก่อนจะรั้งมือเล็กทั้งสองข้างมาไว้ในมือ
“แค่เป็นอย่างที่นายเป็น ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องอื่น”
“รักกังวลครับ”
คนตัวเล็กยอมรับออกมาโดยง่าย ขนาดเมื่อบ่ายได้เจอเพียงแค่แม่ของอีกคนกานต์รักยังรู้สึกกังวลไม่หาย ไม่รู้ว่าทำท่าทางอย่างไรไปให้ดูไม่เหมาะสมหรือเปล่า คราวนี้ต้องเจอทั้งครอบครัวจะไม่ให้กังวลและคิดมากได้อย่างไร
“กังวลทำไม พ่อกับแม่นายน่ากังวลกว่าเยอะ”
นิ้วมือแกร่งไล้วนบนหลังมือเล็กเพื่อคลายความไม่สบายใจให้อีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยกึ่งหยอกเหย้า ครั้งแรกที่รู้ว่าพ่อแม่กานต์รักเป็นใครใช่ว่าแพทริกไม่กังวล หากเทียบกับพ่อแม่ของตัวเองแล้วเขาคิดว่าน่าจะสบายกว่ามาก
“ยังไงรักก็กังวลอยู่ดี พ่อกับพี่ชายคุณแพทดุไหมครับ” ดวงตาโตที่เหลือบมองมามีแววไม่มั่นคง มันสั่นคลอนวูบไหวบ่งบอกความรู้สึกของเจ้าของได้เป็นอย่างดี
“สำหรับนายไม่มีใครกล้าดุ เชื่อฉันสิ”
สำหรับแพทริกแล้วในเรื่องงานผู้เป็นพ่อนั้นเรียกว่าดุและเข้มงวด หากแต่ถ้าเป็นเรื่องการใช้ชีวิตท่านไม่เคยยุ่งปล่อยให้ตัดสินใจเองทุกอย่าง กับกานต์รักนั้นเขามั่นใจเหลือเกินว่าเพียงแค่เห็นหน้าก็แทบไม่มีใครดุได้ลง
เมื่อก่อนแพทริกไม่ใช่คนใจดีและไม่เคยใส่ใจใคร ทว่าพอตอนนี้กับกานต์รักแล้วเขากลายเป็นคนอ่อนโยนทั้งที่กับคนอื่นๆไม่เป็นอย่างนั้นเลยซักนิด
“รักทั้งตื่นเต้นและกลัวไปหมดเลย มัน...ไม่รู้สิครับ”
กลัวว่าคนในครอบครัวคนรักจะไม่ชอบ จะรับได้ไหม จะรู้สึกยังไง
ท่าทางกระวนกระวายใจนั้นทำเอาคนมองได้แต่ยกยิ้ม เพราะเป็นกานต์รักที่ใส่ใจกับทุกๆคนจึงเป็นแบบนี้ แพทริกกระชับฝ่ามือเล็กให้แน่นขึ้นก่อนจะละมือข้างขวาขึ้นมาไล้แก้มเนียนนั้นแผ่วเบา
“แค่เป็นตัวนาย ทุกอย่างจะออกมาดี” ใบหน้าคมกระซิบพูดก่อนระยะห่างระหว่างริมฝีปากทั้งสองจะค่อยๆลดลงไป ลดลงจนกระทั่งจรดกันในที่สุด
แพทริกดึงรั้งความกังวลและความกลัวทุกอย่างของกานต์รักให้เหลือเพียงสัมผัสตรงหน้า เรียวปากได้รูปบดคลึง ดูดดึงเข้าหาแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความรู้สึก ดวงตาโตค่อยๆปรือหลับพริ้ม ยอมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับความหวามไหวตรงหน้า แลกเปลี่ยนสัมผัสของกันและกันจนเกิดเสียงในความเงียบ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เป็นอย่างนั้น กระทั่งกานต์รักหายใจไม่ทันแพทริกจึงค่อยๆผละออก ก้านนิ้วยาวปาดไล้น้ำสีใสออกจากมุมปากบางให้ทั้งที่ยังซบหน้าผากเข้าหากัน
“พร้อมหรือยัง”
เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆปรือเปิดขึ้น อกบางกระเพื่อมไหวยามลมหายใจวูบโหวงถูกสูดลึกเข้าไปในปอด กานต์รักมองหน้าคนร่างสูงที่อิงแอบแนบชิดก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด
แพทริกส่งยิ้มให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะผละออกแล้วรั้งมือเล็กให้ก้าวออกจากห้องไปด้วยกัน
“คุณแพท...เสื้อผ้า...” หากแต่พ้นประตูไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงสั่นๆก็เอ่ยถึงเรื่องที่ยังกังวล
“นายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมัน”
เอ่ยเสียงเรียบเพียงเท่านั้นก่อนคนตัวโตจะสาวท้าวไปเรื่อยๆให้กานต์รักได้แต่ขยับตาม มืออุ่นหนาตรงหน้าจับกันแน่น ความอุ่นนั้นทำให้ใจสั่นไหวค่อยๆกลับมามั่นคงอีกครั้ง
“นั่นไงลงมาพอดี...ไฮ~ โอ๊ะ น่ารักจังเลย”
บุคคลที่มีลักษณะใกล้เคียงกับแพทริกทั้งหน้าตาและรูปร่างหันมาเห็นเมื่อทั้งสองเดินเข้ามายังห้องอาหาร ก่อนอีกฝ่ายจะถลาเข้ามาหาและชะโงกหน้ามองจนกานต์รักได้แต่ยืนนิ่งเบิกตากว้าง
“แฟนฉันตกใจหน้าแกพีท ถอยออกไปเดี๋ยวนี้” แพทริกเอ่ยด้วยเสียงเบื่อหน่าย
“แค่ดูก็ไม่ได้หรือไง...สวัสดีคิ้วท์บอย ฉันชื่อปีเตอร์เป็นพี่ชายของแพท หรือจะเรียกสั้นๆว่าพีทก็ได้”
“อ่า...สวัสดีครับ ผมกานต์รัก เรียกสั้นๆว่ารักก็ได้” เสียงตอบกลับเป็นภาษาเดียวกันทำให้อีกคนยิ้มกว้าง ขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองก็กำลังมองมาพร้อมกับอมยิ้ม
“รั๊ก...รัก ที่แปลว่าเลิฟใช่ไหม คำนี้ฉันรู้จักนะ”
ปีเตอร์อวดความรู้ภาษาไทยของตัวเองอย่างอารมณ์ดี ท่าทางนั้นทำให้กานต์รักค่อยๆผ่อนความกังวลลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรกว่าที่คิดเอาไว้
“พอแล้วน่าพีท แด๊ดกับมัมรออยู่ไม่เห็นหรือไง”
แพทริกตอบก่อนจะรั้งคนข้างตัวให้เดินเลยพี่ชายจอมป่วนเพื่อไปแนะนำกับพ่อแม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ ตาโตมีแววสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นชายที่ดูภูมิฐานและสงบนิ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะ ดวงตาคมคล้ายกับคนรักจ้องมองมาไม่วางตา
“แด๊ดครับ มัมครับ นี่กานต์รัก คนรักของผม”
แพทริกเอ่ยแนะนำตัวกานต์รักอย่างเป็นทางการ ขณะที่ร่างเล็กก็ก้มหัวลงให้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวคำทักทายเป็นภาษาไทยเพราะคิดว่าอย่างไรแล้วที่นี่ก็คือเมืองไทย
“สวัสดีครับ”
“ซา หวัด ดี จะ”
มัมของแพทริกพยายามรับไหว้ด้วยการตอบกลับเป็นภาษาเดียวกันก่อนเธอจะหลุดหัวเราะกับสำเนียงที่ไม่ชัดเจนนักของตัวเองจนกานต์รักยิ้มตาม ขณะที่แด๊ดของแพทริกนั้นก็พยักหน้ารับพร้อมกับยกยิ้ม
“คนนี้น่ะเหรอที่จับมาขังไว้จนเขาต้องบีบให้แกปล่อยตัว”
เหตุการณ์วันนั้นพอล เบรนเนแกรนยังจำได้ไม่มีลืม แค่เพียงเท่านั้นผู้ที่ผ่านอะไรมาไม่น้อยและมีอำนาจก็รู้แล้วว่าเด็กตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา แต่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งกับเรื่องของลูก หากมีอะไรที่ควรรู้แพทริกคงจะบอกออกมา เรื่องของความรักมันไม่เกี่ยวกับฐานะอยู่แล้ว
ประโยคทักทายที่แพทริกเองก็จำเหตุการณ์นั้นได้ไม่ลืม ขณะที่กานต์รักได้แต่เหลือบสายตามองคนตัวโตอย่างขอลุแก่โทษกับเรื่องราวในวันนั้น
“ครับ คนนี้แหละ”
“ไม่ธรรมดา...เอาล่ะ สวัสดีกานลัก เรียกฉันกับมัมอย่างที่แพทเรียกแล้วกัน ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา”
“ขอบคุณครับ...ดะ แด๊ด...มัม”
ใบหน้าหวานมีแววไม่ค่อยมั่นใจหากแต่ไม่ได้กังวลอย่างเช่นก่อนหน้า รอยยิ้มบางถูกจุดขึ้นให้คนที่อายุมากกว่าทั้งหมดมองอย่างเอื้อเอ็นดู กานต์รักมีความอ่อนโยนและอ่อนหวานอยู่ในตัว ดูใจเย็นและน่ารักอย่างลงตัวจนไม่น่าแปลกใจเลยซักนิดที่สามารถหยุดแพทริกได้
“มัมว่าเราทานข้าวกันดีกว่าเนอะ รักคงจะหิวแย่แล้ว...ทานข้าวกันจ้ะ มัมเข้าครัวเองเลยนะ”
เรือนร่างบอบบางของหญิงสาวเพียงคนเดียวในบ้านขยับเข้ามาหา ก่อนมือเล็กจะแตะเข้ากับแผ่นหลังบางของกานต์รักให้นั่งลง ร่างบางยิ้มรับก่อนจะมองหน้าแพทริก ขณะที่คนตัวสูงก็พยักหน้าให้แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างกัน
“ผมก็หิวแล้วครับมัม” เสียงของปีเตอร์ดังขึ้นก่อนเจ้าตัวจะวิ่งไปนั่งลงข้างผู้เป็นแม่ ขณะที่บิดานั้นนั่งในตำแหน่งหัวโต๊ะที่ประจำของผู้นำครอบครัว
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างไม่อึดอัด มีมัมและปีเตอร์คอยทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย กานต์รักถูกถามเรื่องทั่วๆไปบ้างทว่าก็ไม่ได้เจาะลึกจนตอบไม่ได้ราวกับทุกคนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความกังวลใจและกลัวเกร็งจึงลดลงจนสามารถเป็นตัวของตัวได้โดยไม่รู้ตัว
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
(มีต่อ)