ตอนที่ 20
เวลาแห่งการเล่นน้ำล่วงเลยไปจนพระอาทิตย์เกือบจะตกดิน กระทั่งร่างเล็กเริ่มอ่อนแรงลง ใบหน้าหวานขาวซีด ปากสีสดก็เข้มคล้ำ ด้วยเพราะกลัวว่าคนรักจะไม่สบายหากแช่น้ำนานกว่านี้แพทริกจึงเอ่ยบอกให้กานต์รักกลับขึ้นห้อง
ร่างเล็กรับคำโดยง่ายก่อนจะเดินขึ้นฝั่งไปหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวขึ้นมาสวมขณะที่แพทริกนั้นก็ก้าวตามมาไม่ห่าง มือเล็กหยิบชุดแบบเดียวกันส่งให้ก่อนร่างกายหนาแน่นถูกจะสวมทับด้วยชุดคลุมเรียบร้อย
กานต์รักที่ตัวเปียกซกโดนสั่งให้เข้าไปอาบน้ำทันทีที่มาถึง ก่อนแพทริกจะถอดกางเกงว่ายน้ำออกจากร่างแล้วสวมเพียงเสื้อคลุมเพียงตัวเดียวระหว่างรอ ผ่านไปซักพักกานต์รักก็ออกจากห้องน้ำหลังจากที่แต่งตัวจนเรียบร้อยแพทริกจึงเข้าไปใช้ห้องน้ำต่อ
ร่างเล็กในชุดสบายๆทรุดตัวนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือเล็กหยิบดรายเป่าผมมาเสียบปลั๊กก่อนจะกดเปิดใช้งานเพื่อเป่าเส้นผมให้แห้ง กระทั่งจนเรียบร้อยจึงเก็บมันเข้าที่แล้วเดินเอาผ้าเช็ดหัวไปตาก ไม่นานนักร่างสูงก็ออกจากห้องน้ำด้วยชุดแบบเดียวกัน เส้นผมหนาที่พึ่งผ่านการสระมาเมื่อครู่เปียกชื้น
“รักเช็ดให้นะครับ”
กานต์รักเอ่ยพลางก้าวเท้าตามคนตัวโตที่ทรุดตัวลงนั่งหน้ากระจก สองสายตาสบกันผ่านสิ่งสะท้อนก่อนใบหน้าคมจะพยักอนุญาต ผ้าสีขาวบนไหล่กว้างจึงถูกหยิบขึ้นมาวางบนหัวของแพทริกแผ่วเบา
“ใช้ดรายเป่าผมไหมครับ”
“ฉันไม่ชอบ”
คนถามพยักหน้ารับก่อนจะลงมือเช็ดเส้นผมหนาต่อไปเงียบๆโดยใช้เพียงผ้าในมือ ระหว่างนั้นใบหน้าเล็กก็เงยขึ้นมองร่างสูงผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้า ก่อนภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าจะปรากฏขึ้นมาซ้อนทับ
“เหมือนวันนั้นเลยว่าไหมครับ”
เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยยามมองเห็นภาพในวันวาน การกระทำที่เหมือนกันหน้าบานกระจกใหญ่อดทำให้นึกขึ้นมาไม่ได้ จะต่างกันก็แค่แพทริกนั้นไม่ได้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำและสายตาคมที่สบกันอยู่ก็แปรเปลี่ยนไปไม่ห่างเหิน ผ้าผืนเล็กยังคงถูกซับอย่างเบามือ แพทริกทอดมองใบหน้าหวานผ่านกระจกก่อนจะยกยิ้มเมื่อในหัวคิดภาพตาม
“รู้ไหมว่าตอนนั้นฉันคิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มเอ่ยถามก่อนกานต์รักจะส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มบางให้แพทริกได้เอ่ยต่อ “ฉันอยากรู้ว่านายจะเป็นยังไง”
“เป็นยังไงเรื่องไหนครับ”
“เรื่องนั้น” แพทริกตอบออกมาทันทีพร้อมกับสายตาคมที่ทอประกายแพรวพราว สองคำสั้นๆที่ไม่ต้องอธิบายต่อก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นเรื่องใด
“คนทะลึ่ง” ปากเล็กบ่นอุบพร้อมกับแก้มนวลที่แดงปลั่ง ไม่ว่าจะพูดถึงอะไรหากแต่คนตัวโตก็จะสามารถวกเข้าเรื่องนี้ได้ทุกครั้งจนกานต์รักเริ่มรู้สึกว่าคนรักของตัวเองนั้นเข้าขั้นหื่นไม่น้อย
อืม แต่หากดูจากความร้อนแรงบนเตียงแล้วคงต้องเรียกว่าหื่นมากเสียมากกว่า
“หึ ก็ฉันถูกใจ...แล้วก็อยากได้ ตอนที่เห็นว่านายเดินเข้ามามันก็ต้องคิดไปถึงเรื่องนั้นเป็นอย่างแรก เลยแอบตื่นเต้นคิดไปด้วยว่านายจะเป็นยังไง” แพทริกนึกย้อนไปถึงความรู้สึกในวันนั้นก่อนจะค่อยๆบรรยายมันออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ใบหน้าหวานเรียบเรื่อยนั้นตรึงใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มอง ความสบายตายามเห็นทุกท่าทางและการเคลื่อนไหวมันทำให้ไม่อยากจะละสายตา แพทริกรู้สึกยินดีที่ในวันนั้นกานต์รักยอมตกลง และยิ่งยินดีอย่างที่สุดที่เรื่องราววันนั้นทำให้มีวันนี้
“รักทั้งตื่นเต้นและกลัวแทบตาย”
เสียงเล็กเอ่ยออกมาแผ่วเบาพร้อมกับหลบสายตาคมกลับมามองผ้าผืนเล็กสีสะอาดตา มือบางก็พลันหยุดนิ่งยามเห็นว่าเส้นผมหนานั้นแห้งหมาดได้ที่ แพทริกเลื่อนสายตามามองแก้มเนียนที่แดงซ่านอย่างอ่อนแสง พอจะเข้าใจและนึกออกว่าวันนั้นคนตัวเล็กรู้สึกอย่างไร
“ฉันดูใจร้ายและหลังจากนั้นก็ใจร้ายกับนายมาก”
ภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำตอกย้ำถึงความรุนแรงจนใบหน้าคมฉายแววรู้สึกผิด กับใครอื่นแพทริกไม่เคยต้องสนใจหากแต่พอเป็นกานต์รักแล้วความรู้สึกมันไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เป็นเพราะตัวเขาอีกฝ่ายถึงต้องล้มป่วยหาหมอไม่รู้ต่อกี่รอบ
แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไป และแพทริกสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่มีทางทำร้ายกานต์รักอย่างนั้นอีก
“ไม่ว่าคุณแพทจะใจร้ายแค่ไหน รักก็ไม่เคยโกรธคุณแพทเลย” คำพูดนั้นถูกเอ่ยออกมาจากความรู้สึกของหัวใจ ก่อนใบหน้าเล็กจะโน้มลงซบเข้ากับลาดไหล่แข็งแรงแผ่วเบา
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
คำพูดถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด หากไม่แน่ใจว่าจะทำหรือไม่มั่นใจแพทริกจะไม่มีทางพูดมัน คำมั่นสัญญาที่กล้าเอื้อนเอ่ยโดยไม่ต้องนึกคิด ขณะที่คนฟังนั้นทำได้เพียงซบหน้านิ่งอย่างตื้นตัน ให้ทุกความรู้สึกเอ่ยผ่านการอิงแอบแทนถ้อยคำที่อยากจะเอ่ย
“รักรักคุณแพทนะครับ”
เป็นเวลากว่านาทีถ้อยคำแสนซึ้งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันจนคนที่ไม่ได้คาดคิดยกยิ้ม ดวงตาคมจ้องมองคนที่ซบหน้าอยู่กับไหล่กว้างให้ได้เห็นเพียงกลุ่มผมนุ่มสวยอย่างอ่อนโยน
“ฉันก็รักนาย”
เสียงทุ้มเอ่ยกลับหนักแน่นเสียจนมันสลักลึกเข้าไปถึงหัวใจ กานต์รักน้ำตารื้นขึ้นมาแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน ถ้อยคำอ่อนหวานที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็รู้สึกเต็มตื้นราวกับเป็นความฝัน
เนิ่นนานเหลือเกินกว่าที่จะได้ยิน
“
รักรักมากกว่า”
เสียงเล็กเอ่ยอู้อี้ สองแขนเล็กสอดผ่านเข้ามากอดลำคอแกร่งพร้อมกับซุกซบใบหน้าให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม การกระทำที่ทำให้แพทริกต้องยกมือขึ้นโอบท่อนแขนเรียวเอาไว้อีกชั้น
“ใครบอก?” คนตัวโตแกล้งเอ่ยถาม ใบหน้าคมอ่อนแสงลงจนหากลูกน้องได้เห็นคงทำหน้าไม่อยากเชื่อ
นักธุรกิจมาเฟียผู้มีอำนาจและน่าเกรงขามแทบจะกลายเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่ทอดมองคนรักอย่างสุดซึ้งและมีแววหยอกล้ออยู่ในที ไม่เหลือเค้าความน่ากลัวหลงเหลืออยู่เลยซักนิด
“รักบอก...รักรักคุณแพทมาตั้งสิบปีนะครับ ยังไงก็ต้องมากกว่าอยู่แล้ว”
ใบหน้าเล็กเงยขึ้นแล้วเอ่ยอธิบาย ท่าทางยามปากสีสดขยับพูดนั้นน่าหมั่นเขี้ยวเสียจนแพทริกใช้แรงรั้งให้คนด้านหลังตกลงมานั่งบนตักแกร่งอย่างรวดเร็ว ก่อนท่อนแขนแข็งแรงจะโอบรอบเอวเล็กเป็นสเต็ป
“เวลาไม่ใช่ตัวบ่งชี้” เสียงทุ้มเอ่ยพูดขณะที่คนฟังนั้นทำได้เพียงขยับตัวอย่างขัดเขินเมื่ออยู่ในท่าทางชวนสั่นไหว
เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย คุณแพทมือไวกานต์รักตามไม่เคยทัน ได้แต่ยอมทำตามความต้องการของคนตัวโตอย่างไม่อาจจะเอ่ยห้าม
“แต่ยังไงรักก็รักมากกว่า”
“ขี้เกียจเถียง” ร่างสูงแกล้งทำหน้าเบื่อหน่าย
ไม่เคยคิดถึงเรื่องอะไรแบบนี้เพราะไม่ได้สนใจว่าฝ่ายใดจะรักกันมากกว่า แพทริกเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองว่ามันไม่ได้น้อยไปกว่าความรู้สึกของกานต์รักที่มีมาตลอดสิบปี แม้จะไม่ได้คาดคิดหากแต่ยามได้ยินคนในอ้อมกอดเอ่ยอย่างนี้ก็อดรู้สึกดีไม่ได้
“รัก...”
เพียงเสียงถูกเปล่งออกริมฝีปากเล็กก็ถูกฉวยลงมาปิดกั้นทุกคำพูด แพทริกตัดปัญหาโดยการกวาดต้อนความหอมหวานจากปากเล็กไม่ให้ได้เอื้อนเอ่ย ชั่ววินาทีคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวตกใจเล็กๆแต่ต่อมาก็ผ่อนร่างที่เกร็งแข็งลงโอนอ่อนยอมรับสัมผัสร้อนแต่โดยดี
“ไม่ต้องไปกินข้าวแล้วดีไหม ลงโทษเด็กช่างเถียง” เรียวปากร้อนผละออกก่อนจะกระซิบชิดความหอมหวานนั้นไม่ห่าง
“กะ กลับมาค่อยลงโทษนะครับ...รักอยากลงไปทานข้าว”
พูดทั้งที่ดวงตาโตจับจ้องเพียงกระดุมเสื้อเม็ดบนของอีกฝ่ายอย่างไม่กล้าสบตา สัมผัสเมื่อครู่ยังคงทิ้งความร้อนเอาไว้บนริมฝีปากจนความร้อนเห่อลามไปทั่ว ยิ่งยามที่คนตัวโตแนบชิดกันอยู่อย่างนี้ยิ่งขัดเขิน
คำพูดที่เอ่ยถึงการลงโทษยังพาให้ใจดวงน้อยแทบทะลุออกมานอกอก เสียงเอ่ยตอบกลับจึงพลันตะกุกตะกักแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยอย่างยอมรับการลงโทษโดยไม่นึกขัด
เด็กช่างเถียงเมื่อครู่ถูกทำให้กลับมาเงียบอีกครั้งด้วยสัมผัสที่แพทริกแสนจะได้เปรียบและชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ลุก ก่อนที่จะไม่ได้ทานข้าวจริงๆ” คราวนี้คนบนตักเด้งตัวผึงขึ้นยืน แพทริกเห็นท่าทางนั้นแล้วแทบจะหลุดหัวเราะทว่ายังคงพยายามรักษาใบหน้าเอาไว้ไม่ให้แสดงออก
กระทั่งเมื่อหยิบของที่จำเป็นจนเรียบร้อยทั้งคู่จึงเดินลงมาข้างล่างแล้วตรงไปยังร้านอาหารซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ริมหาด
“นั่นร้านอะไรเหรอครับ”
ขณะที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ดวงตาโตก็เหลือบไปเห็นร้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไป ด้วยเพราะโต๊ะอาหารนั้นเป็นแบบริมทะเลจึงสามารถมองผ่านไปยังทุกส่วนได้ทั้งหมด ร้านต้องสงสัยดูมิดชิดหากแต่มีคนเดินเข้าออกเป็นระยะไม่ขาดสาย
“บาร์เหล้า อยากไปหรือไง” แม้จะไม่เคยมาแต่จากการคาดเดาบรรยากาศแล้วคงไม่ผิดจากคำตอบเป็นแน่
“มันเป็นร้านที่เปิดเพลงเสียงดังหรือว่าเป็นร้านแบบนั่งสบายๆครับ”
กานต์รักไม่ค่อยได้ไปสถานที่แบบนี้บ่อยนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร รู้สึกสนใจอยู่ไม่น้อยแต่หากเป็นร้านที่เปิดเพลงเสียงดังก็คงไม่เอา
“ฉันไม่แน่ใจ อยากจะลองเข้าไปดูหรือเปล่า”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม การมาเที่ยวนั้นควรจะได้สัมผัสกับทุกสิ่งอย่างที่มีอยู่ แพทริกไม่นึกห่วงเพราะตัวเองอยู่ตรงนี้ทั้งคน นอกจากนั้นยังมีลูกน้องที่คอยตามดูแลห่างๆอีกจำนวนไม่นอน
“คุณแพทอนุญาตไหมครับ”
ครั้งหนึ่งของการมาเที่ยวกานต์รักก็อยากไปให้ครบในทุกที่ ความอยากรู้อยากลองเกิดขึ้นเล็กๆหากแต่ถ้าคนตัวโตไม่เอ่ยอนุญาตก็พร้อมเชื่อฟัง
“ถ้านายอยากไป ทานข้าวเสร็จค่อยไป”
“งั้นเราไปกันนะครับ” ใบหน้าคมพยักรับก่อนจะเอ่ยเตือนให้กานต์รักลงมือทานอาหารตรงหน้าต่อ
การมาเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้มีแบบแผนมากนัก ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร หากเจอสิ่งที่อยากทำหรือสนใจก็ลองดูไม่เสียหาย ด้วยอายุและวุฒิภาวะทำให้ไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องตะลอนทำกิจกรรมทุกอย่าง เพียงแค่การมาครั้งนี้คือการพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ จุดหมายหลักแล้วอย่างไรก็คือการได้ใช้เวลาร่วมกัน
หลังจากทานข้าวเสร็จทั้งคู่ก็ออกมาเดินเล่นริมชายหาดเพื่อย่อยอาหารก่อนจะตรงไปยังที่ที่หมายตา พอผ่านเข้ามาภายในกานต์รักจึงได้รู้ว่ามันเป็นเพียงร้านนั่งเล่นสบายๆไม่ใช่กึ่งผับอย่างที่นึกกังวล
เสียงเพลงเปิดคลอเรียบเรื่อย ภายในนั้นถูกตกแต่งอย่างมีรสนิยม ลูกค้าดูหนาตาหากแต่ก็ไม่ได้วุ่นวาย
ยามร่างสูงใหญ่เคียงข้างด้วยร่างเล็กบอบบางในชุดเดียวกันราวกับฝาแฝดเดินเข้าไปจึงเป็นจุดสนใจไม่น้อย ก่อนสายตาที่จับจ้องมาจะต้องเสหลบทำเป็นมองอย่างอื่นเมื่อมีกลุ่มคนตามคุ้มกันบ่งบอกถึงการมีอิทธิพล รังสีบางอย่างแผ่ออกมาจนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ
แพทริกกุมมือเล็กเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ว่าง ลูกน้องทุกคนกระจายตัวออกไปห่างๆอย่างให้ความเป็นส่วนตัวเพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายต้องอึดอัดจนเกินไปนัก ขณะที่ใบหน้าหวานฉายชัดถึงความตื่นเต้นพลางจ้องมองรอบตัวด้วยดวงตาพราวระยับ
“ร้านสวยมากเลยคุณแพทว่าไหมครับ”
ดวงตาคมนิ่งเรียบมองตามไปรอบๆก่อนจะพยักหน้ารับ สำรวจบรรยากาศได้ไม่นานพนักงานก็เดินเข้ามาหาอย่างนอบน้อม เป็นแพทริกที่ทำหน้าที่สั่งเครื่องดื่มให้เสร็จสรรพ ดูว่าอะไรที่กานต์รักน่าจะชอบและเหมาะสม ส่วนของตัวเองนั้นก็เป็นบรั่นชั้นดี
ระหว่างรอเครื่องดื่มที่สั่งไปร่างเล็กข้างตัวก็เอาแต่ขยับดูนั่นนี่จนท่อนแขนใหญ่ต้องดึงรั้งเอวเล็กให้ขยับแนบชิด
“ห้ามซน” แพทริกโน้มใบหน้าลงกระซิบข้างหูเล็ก แม้เสียงเพลงจะไม่ได้ดังมากนักแต่ก็ต้องใช้ระดับเสียงที่มากกว่าปกติ
“รักตื่นเต้นครับ ไม่ค่อยได้มาที่อะไรแบบนี้เลย”
คนถูกดุหันมาพูดพร้อมกับระบายยิ้มบาง ด้วยเพราะบรรยากาศในร้านมีแสงไฟเพียงสลัวไม่ได้ชัดแจ้งนักจึงไม่นึกอายสายตาคนอื่นยามต้องอยู่ใกล้ชิดกับร่างสูง อีกทั้งเอวบางยังถูกพาดผ่านโอบกอดอย่างเปิดเผย
“มาได้แค่กับฉัน กับคนอื่นห้าม” เสียงทุ้มเอ่ยเข้มขึ้น หากไม่ใช่เขาแพทริกไม่มีทางไว้ใจปล่อยให้กานต์รักมา
“รักไม่มากับคนอื่นหรอกครับ”
ที่อยากลองเข้ามาก็เป็นเพราะว่าอีกคนอยู่ด้วยกัน หากเป็นที่อื่นที่ไม่มีแพทริกคงไม่สนใจแม้แต่จะเฉียดกายเข้าไปใกล้ กานต์รักแค่เข้ามาเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เท่านั้น
คำตอบที่แพทริกพยักหน้ารับอย่างพอใจ ต่อจากนั้นพนักงานก็นำเครื่องดื่มเข้ามาเสิร์ฟก่อนจะโค้งให้เมื่อเรียบร้อย มือบางเอื้อมไปหยิบน้ำสีสวยที่คนรักสั่งมาให้ก่อนจะก้มลงใช้ปลายจมูกเล็กสัมผัสกลิ่นว่าเป็นอย่างไร
“น้ำผลไม้หรือครับ”
“เขาเรียกว่าม็อกเทล คล้ายกับค็อกเทลแต่ต่างกันตรงที่ไม่มีแอลกอฮอล์...ลองจิบดูสิ”
แพทริกไม่อยากสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กานต์รักจึงสั่งเป็นม็อกเทลซึ่งทำมาจากผลไม้และไร้ซึ่งแอลกอฮอล์ ใบหน้าคมพยักให้ลองชิมก่อนจะกระดกแก้วของตัวเองขึ้นจิบ
ขอบแก้วใสแนบชิดกับริมฝีปากเล็กยามกานต์รักยกมันขึ้นมา ปากบางอ้ารับก่อนน้ำสีสวยจะค่อยๆไหลเข้าสู่ร่างกายให้ได้ลิ้มลองรสชาติ
“เป็นยังไง” เสียงทุ้มของร่างที่แนบชิดเอ่ยถาม
“อร่อยดีครับ”
คนหน้าหวานเอ่ยตอบพร้อมกับระบายยิ้มถูกใจ ดวงตาโตเหลือบมองแก้วในมือหนาอย่างอยากรู้ว่ามันคืออะไร อาการที่แพทริกสังเกตเห็นจนท่อนแขนขยับรั้งให้ร่างเล็กแนบชิดกว่าเคย
“อันนี้เด็กห้ามลอง”
“รักไม่ใช่เด็กเสียหน่อยครับ”
คนโดนรู้ทันเอ่ยตอบไม่เต็มเสียง คงเพราะสีหน้าของตัวเองที่ปกปิดไม่เก่งนักคนข้างตัวจึงจับได้โดยง่าย กานต์รักแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่แพทริกชอบนั้นจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่ามันคงแรงกกว่าน้ำผลไม้ในมือของตัวเองมากโข
“อืม...ไม่เด็กแต่เด็ด” แค่กๆ
กานต์รักสำลักน้ำลายกลางอากาศขึ้นมาทันทีกับประโยคที่ไม่ได้คาดคิด มือที่ถือแก้วเครื่องดื่มพลันสั่นไหวจนแก้วนั้นเอียงต่ำ ตาโตเบิกกว้างมองหน้าคนพูดพร้อมกับอาการพูดไม่ออก สองแก้มเนียนแดงซ่านเห่อร้อนในความสลัวขณะที่คนตัวโตนั่งยิ้มกริ่มจนนึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“ดะ เด็ดอะไรกันครับ ไม่ใช่ซักหน่อย”
ใบหน้าเล็กก้มงุดมองตักตัวเองนิ่ง ความร้อนลามแล่นไปทั่วร่างจนตัวแทบไหม้ ยิ่งสายตาคมที่ทอดมองมายิ่งพาให้ใจสั่น คนตัวโตทำเพียงยิ้มกริ่มไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นก่อนกานต์รักจะทำเป็นยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบแก้อาการขัดเขิน
เมื่อเวลาผ่านไปอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรน่าอายไปมากกว่านั้นสถานการณ์จึงเข้าสู่ปกติ ความร้อนที่แล่นลามลดน้อยลง ใจถี่รัวกลับมาเต้นด้วยจังหวะคงที่
“คุณแพทครับ รักอยากเข้าห้องน้ำ”
น้ำสีสวยในแก้วหมดไปอาการปวดหน่วงอยากปลอดปล่อยน้ำออกจากร่างกายจึงทำงานตามกระบวนการ กานต์รักกระซิบบอกคนข้างตัวแผ่วเบาพร้อมกับขยับตัวน้อยๆ
“อืม” แพทริกรับคำในลำคอก่อนจะขยับลุกขึ้นยืนให้ร่างเล็กขยับตาม
“รักไปคนเดียวก็ได้ครับ”
แพทริกไม่ฟังคำนั้นเพราะไม่มีทางยอมทำตามอย่างที่กานต์รักเอ่ย สายตาคมส่งสัญญาณให้ลูกน้องก่อนจะเอื้อมมาจับมือเล็กแล้วออกแรงรั้งให้ก้าวเดิน จนเมื่อมาถึงห้องน้ำมือหนาก็ดันแผ่นหลังเล็กให้ตรงเข้าไปข้างใน
“เข้าในนี้”
แม้อยากจะค้านทว่าคนถูกสั่งก็ยอมทำตามแต่โดยดี กานต์รักปิดประตูห้องน้ำลงก่อนจะทำธุระของตัวเองขณะที่แพทริกก็เดินไปยังโถสำหรับยืนฉี่แล้วจัดการตัวเอง
“อ๊ะ ขอโทษครับ”
แรงกระแทกจากทางด้านหลังทำให้คนตัวสูงหันมามองอย่างไม่ชอบใจ ยังดีที่ว่าจัดการตัวเองเรียบร้อยพอดีไม่อย่างนั้นคงหงุดหงิดใจกว่าที่เป็น
แพทริกหมุนตัวกลับมาหาต้นเหตุก่อนจะพบเข้ากับผู้ชายเรือนร่างบอบบางในชุดกางเกงหนังและเสื้อซีทรูที่แทบปกปิดอะไรไม่ได้ ดูท่าทางและกลิ่นเหล้าที่โชยออกมานั้นคงเมาอยู่ไม่น้อย
“ขอโทษครับ ซีนไม่ทันระวังเลยชนคุณเข้า”
แพทริกมองหน้าคนพูดนิ่ง ไม่นึกจะสนใจนอกจากเหลือบสายตามองบานประตูห้องน้ำที่กานต์รักหายเข้าไปอย่างรอคอยว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะออกมา
“ซีนนะครับ ไม่ทราบว่าคุณ...”
ร่างเล็กเอ่ยพูดพร้อมกับขยับกายเข้าหาแล้วยกมือขึ้นไล้แผงอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นอย่างแผ่วเบา แพทริกไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะความสนใจทั้งหมดพุ่งตรงไปยังประตูห้องน้ำ กว่าจะรับรู้ก็เป็นตอนที่มือเล็กเคลื่อนไหวอยู่บนอก ฝ่ามือใหญ่จึงคว้ามาจับและบีบแน่นก่อนจะสะบัดออกทันที
“อย่ามายุ่งกับฉัน” แพทริกเอ่ยเสียงห้วน ความละลาบละล้วงนั้นทำให้ไม่พอใจอย่างรุนแรง
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูห้องน้ำที่รอคอยดังขึ้นในที่สุด แพทริกไม่รอช้าเดินตรงเข้าไปหาจนกานต์รักที่เดินออกมาทำหน้างุนงง ก่อนดวงตาโตจะเบิกขึ้นนิดๆยามเห็นบุคคลที่สามยืนนิ่งอยู่ทางอ่างล้างหน้า ดวงตาเฉี่ยวคู่นั้นสบกลับมาอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“เสร็จแล้วใช่ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ใบหน้าคมมีแววหงุดหงิดใจจนกานต์รักสัมผัสได้
“ครับ”
“ถ้างั้นก็กลับโต๊ะกัน”
มือใหญ่เอื้อมมาจับมือเล็กเอาไว้ก่อนจะตั้งท่าเดินออกจากห้องน้ำ หากแต่ยังไม่ทันจะก้าวผ่านร่างที่ยังคงยืนอยู่อีกฝ่ายก็เข้ามาขวางทางเอาไว้
“เดี๋ยวสิครับ ซีนยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
คนที่ไม่รู้เรื่องทำหน้าฉงนก่อนจะหันมามองร่างสูงข้างตัวอย่างมีคำถาม เพราะดูท่าแล้วคนตรงหน้าน่าจะพูดกับแพทริกมากกว่าตัวเอง ใจดวงน้อยไหววูบขึ้นมาทันทียามเห็นอีกฝ่ายเต็มตา
ร่างเล็กตรงหน้าดูเย้ายวน มีเสน่ห์จนแม้แต่กานต์รักยังเผลอมอง...แล้วแพทริกเล่า
“บอกว่าอย่ามายุ่ง!”
แพทริกกัดฟันตะคอกใส่อีกฝ่ายจนแม้แต่กานต์รักยังผวา นานมากแล้วที่ร่างสูงไม่ได้มีท่าทางเกรี้ยวกราดเช่นนี้ นานจนแทบลืมไปว่าเนื้อแท้ของแพทริกไม่ใช่คนที่ใจดีนัก
“ทำไมล่ะครับ ซีนอยากรู้จักคุณ”
แม้จะรู้ดีว่าคนหน้าจืดที่ยืนเคียงกับคนที่ตัวเองหมายตานั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแต่ก็ไม่สนใจ หากอยากได้ก็ต้องได้แม้ว่าใจจะหวาดหวั่นกับท่าทางดุร้ายนั่นไม่น้อยก็ตาม
“ฉันไม่อยากรู้จักนาย”
ประโยคไร้เยื่อใยดังขึ้นทำให้ใจดวงน้อยที่วูบไหวไปค่อยๆพองโต แม้ด้วยสถานการณ์แล้วจะไม่ควรรู้สึกอะไรอย่างนี้แต่กานต์รักก็ไม่อาจห้ามตัวเองเอาไว้ได้
ดีใจที่เห็นคุณแพทปฏิเสธคนอื่น
“ใจร้ายจังนะครับ”
ปากเล็กจีบพูดพร้อมกับทำเสียงเล็กเสียงน้อยและใบหน้าตัดพ้อ แพทริกมองคนตรงหน้าอย่างเอือมระอา ไม่อยากจะใจเย็นหากแต่นิ้วมือเล็กที่ไล้วนอยู่บนหลังมือกลับขับกล่อมให้อดทนจนไม่ระเบิดใส่คนตรงหน้า
เมื่อดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมถอยโดยง่ายมือหนาจึงล้วงโทรศัพท์เครื่องหรูออกจากกระเป๋ากางเกง สแกนนิ้วมือเพื่อปลดล็อคก่อนจะกดส่งสัญญาณบางอย่างให้ไม่กี่วินาทีต่อมาลูกน้องคนสนิทก็ปรากฏตัว
“เอาตัวเด็กนั่นออกไป” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งก่อนชายรูปร่างสูงใหญ่จะเข้ามาชิดตัวแล้วรั้งร่างเล็กออกไปทันที
เสียงร้องโวยวายดังไปตลอดทางหากแต่ไม่มีคนสนใจ ตัวที่เล็กยิ่งเล็กลงไปใหญ่เมื่อเทียบกับฝรั่งตัวโตที่ขนาบข้างทั้งสองคน กานต์รักได้แต่มองตามกระทั่งอีกฝ่ายหายลับไปจากสายตา ก่อนจะหันมาหาคนที่ดูไม่สบอารมณ์อยู่ข้างตัว
“เขาเป็นใครเหรอครับ”
รับรู้ได้ว่าแพทริกไม่พอใจและกำลังหงุดหงิดอย่างรุนแรงแต่ถึงอย่างนั้นสายตาคมที่ทอดมองมาก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มองคนเมื่อซักครู่
“ไม่รู้ อย่าไปสนใจเลย”
ร่างสูงตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะก้าวนำออกจากห้องน้ำเพื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาแพทริกไม่มีอารมณ์จะนั่งต่อจนกานต์รักที่สัมผัสได้เอ่ยชวนร่างสูงกลับเพื่อพักผ่อนให้อารมณ์ร้อนๆนั้นเย็นลง
“คุณแพทหายหงุดหงิดหรือยังครับ”
ทันทีที่เดินเข้าห้องมือเล็กที่ยังคงถูกกุมเอาไว้ไม่ปล่อยก็กระตุกรั้งให้ต้องหยุดกึก แพทริกหันมามองหน้าคนพูดก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเพื่อระบายความร้อนในอก
“ดีขึ้นแล้ว”
“ดีขึ้นแต่ทำไมหน้ายังบึ้งอยู่เลยครับ”
มือข้างที่ไร้การเกาะกุมถูกยกขึ้นพร้อมกับไล้ไปตามคิ้วได้รูปที่ขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างหวังให้มันคลายออก กลัวว่าอีกคนจะหน้ายับไปเสียก่อนหากหน้ายังคงเป็นอย่างนี้
“เด็กไร้มารยาทนั่นน่าหงุดหงิดน้อยเสียเมื่อไหร่”
แพทริกเอ่ยเสียงขุ่น ทำให้เวลาที่ควรจะมีความสุขกับกานต์รักต้องพลันสะดุดจนต้องกลับมาดับอารมณ์อย่างนี้ไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไร ร้านเมื่อครู่บรรยากาศดี แพทริกคิดว่าจะนั่งดื่มชิลๆกับคนรักและฟังเพลงไปเรื่อยๆแต่กลับเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเสียก่อน
“อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยครับ เราจะไม่มีความสุขเปล่าๆนะ”
รอยยิ้มบางคลี่แย้มกว้างปลอบประโลมอารมณ์ร้อนให้เย็นลง สายตาคมทอดมองคนตรงหน้าก่อนจะคลายมือที่จับกันออกแล้วสอดท่อนแขนโอบรัดเอวเล็กะร้อมกับขยับรั้งให้เข้ามาแนบชิด
“ถ้าสมติฉันสนใจเด็กนั่นขึ้นมาจริงๆนายจะทำยังไง”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่ออยู่ดีๆก็นึกอยากรู้ว่าหากเขาสานต่อกับเด็กคนนั้นกานต์รักจะมีวิธีจัดการยังไง คำถามที่ทำให้คนฟังเผลอกลั้นหายใจ ใบหน้าหวานพลันหม่นหมอง ริมฝีปากบางถูกขบเม้มเข้าหากัน
“รัก...ก็คงไม่ทำอะไรครับ ถ้าคุณแพทชอบเขาก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อย” ประโยคสุดท้ายเอ่ยตอบเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ ดวงตาโตหลบวูบไม่อยากนึกคิดถึงความเจ็บปวดนั้นซักนิด
แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้วกานต์รักคงไม่โวยวาย อาจจะเพียงเอ่ยถามว่าแพทริกจะเลือกใคร หากตัวเองไม่ใช่คนที่อีกคนอยากอยู่ด้วยก็คงต้องไป ทางออกนั้นมีเพียงเท่านี้ คนที่เข้ามาไม่ได้ผิดกานต์รักไม่ถือโทษ หากใจจะไม่รักกันแล้วรั้งไปคงยิ่งไม่มีความสุขและเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
“จะไม่โวยวายหน่อยหรือ” แพทริกถามขึ้นอีกครั้งแม้จะรู้ว่าคนตัวเล็กคงไม่ทำอย่างนั้นเช่นที่ได้พูดออกมา
“ไม่ครับ โวยวายไปก็ไม่ได้ทำให้คุณแพทกลับมารักได้อยู่ดี” ยิ่งทำอย่างนั้นทุกอย่างคงจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ หากต้องจากกันจริงๆจากอย่างเข้าใจคงดีกว่า
“ฉันแค่ถาม...ไม่เคยนึกจะทำอย่างนั้น”
นิ้วมือแกร่งช้อนปลายคางเล็กให้คนที่ก้มหน้าลงต่ำเงยขึ้นสบตา ความวูบไหวที่ได้เห็นมันทำให้แพทริกรู้ว่าเพียงแค่คำถามอยากรู้ของตัวเองกำลังทำให้อีกคนไม่สบายใจ
“...”
“ไม่มีใครทำให้ฉันรู้สึกอย่างที่รู้สึกกับนาย...ไม่มีวัน”
ผู้คนมากมายหลายหลากที่ผ่านเข้ามาไม่เคยมีใครเป็นอย่างกานต์รัก แพทริกไม่เคยรู้สึกอย่างนี้และคงไม่มีวันรู้สึกกับใครได้อีก บางอย่างมันร้องเตือนว่าต้องเป็นเพียงกานต์รักคนเดียวเท่านั้น หากไม่ใช่ก็ไม่มีทางที่ใจดวงนี้จะยอมสยบ
“อาจจะมีก็ได้นะครับ บางทีคุณแพทอาจจะเจอคนที่ทำให้รู้สึกมากกว่าที่รู้สึกกับรักในซักวัน”
“ฉันมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง” แพทริกนิยมการมีรักเดียวและคู่ชีวิตเพียงคนเดียวเช่นคนเป็นพ่อแม่
ที่ผ่านมาเป็นเพราะว่ายังไม่เจอใครจึงไม่ลงหลักปักฐานหรือแม้แต่มีความรู้สึกพิเศษ หากแต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไป ยามเมื่อเจอกานต์รักทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง ไม่สนใจคนอื่น ไม่ต้องการไขว่คว้า คือคนที่ทำให้รู้สึกว่าอยากอยู่ด้วย อยากเคียงข้างกันไปตลอดทั้งชีวิต
ใครซักคนที่จะรักเรามาเป็นสิบปี มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ