CHAPTER
16
อาการปวดตัวร้าวไปถึงไขสันหลังทำให้ยากต่อการขยับตัว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นจากการนอนหลับที่แสนจะยาวนานเหมือนกับว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่จริงๆแล้วยังไม่ตาย กลิ่นน้ำหอมจางๆภายในห้องนอนบ่งบอกว่าผมอยู่ที่บ้านไอ้เจล
นี่ผมหลับไปนานขนาดไหนกันถึงได้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดขนาดนี้
“นิยังไม่ตื่นเหรอ” เสียงของใครสักคนดังขึ้นหน้าห้องนอน ผมจำเสียงได้ มันคือเสียงไอ้ธาม
“ยัง กว่าจะหลับได้ก็ตีสี่ ร้องไห้งอแงไม่หยุด” แล้วก็เสียงของเจล
ผมนิ่งไปนิดหน่อยที่ได้ยินพวกมันพูดว่าผมร้องไห้ จริงๆผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง รู้แค่ในหัวมีแต่เรื่องของแม่กับเนเต็มไปหมด ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกแย่จนไม่อยากจะอยู่อีกต่อไป
แต่พอไอ้ตุลเดินเข้ามา แค่มันเรียกชื่อผม ผมรู้สึกแค่อยากจะร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก ทำตัวอ่อนแอให้คนอื่นสงสาร ไม่อยากจะทำตัวเข้มแข็งอีกแล้ว
“สาบานได้ว่าถ้ากูเจอไอ้อิงกูไม่เอามันไว้แน่”
“เออเจอเมื่อไรบอกกูด้วย งานนี้ต้องมีแชร์”
“ว่าแต่ไอ้นิเนี่ยนะร้องไห้ ปกติโดนด่าแค่ไหนก็ไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยด”
“ไม่รู้ว่ะ แค่ไอ้ตุลเรียกชื่อมันแม่งก็งอแงเป็นเด็กเลย กูก็เพิ่งเคยเห็นมันร้องหนักขนาดนี้เนี่ยแหละ แหมมึงนะ มีของดีก็ไม่บอก”
ประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับคนที่ทำให้ผมร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ ไอ้ตุลแบกกระเป๋าเป้ใบโตมาวางไว้ข้างเตียงพลางหันมามองผม
“นิ!”
พอมันเห็นว่าผมลืมตามองมันอยู่มันก็รีบพุ่งเข้าใส่ แขนหนักๆของตุลาการกอดผมเอาไว้จนอุณหภูมิห้องที่เคยเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศร้อนขึ้นมาเฉยๆ
“หนัก” ผมพูดเสียงแผ่ว ไอ้ตุลที่นอนทับผมอยู่ก็รีบลุกออก
“โอเคมั้ย เจ็บตรงไหนมั้ย ปวดหัวมั้ย ตัวร้อนหรือเปล่า” คำถามที่ถูกส่งมาเป็นชุดทำให้ผมหัวเราะในลำคอพลางค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ปวดหัวก็ปวด แต่ความดื้อด้านมันมีมากกว่า
คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองหน้าผมพลางใช้มือของมันแตะลงเบาๆที่โหนกแก้มฝั่งที่ผมโดนไอ้อิงต่อย ไอ้ตุลมีสีหน้าเป็นห่วงผมเอามากๆ
“ผมขอโทษ ที่ไม่ได้มาส่งที่บ้าน ถ้าผมมาส่งนิ ไอ้เวรนั่นไม่มีทาง…”
“ช่างมันเถอะ มึงไม่ได้ผิด กูแค่อ่อนแอเกินไป” ผมพูดขัดไอ้ตุล ไม่อยากให้มันคิดมากว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไอ้อิงเข้ามาทำร้ายผม
แผลภายนอกแปปเดียวก็หาย
แต่แผลภายใน มันต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะเยียวยาได้
พอเห็นว่าผมเงียบไป คนตรงหน้าถึงได้ดึงผมเข้าไปกอด คางของไอ้ตุลเกยอยู่บนหัวของผม อ้อมกอดของมันอุ่น อุ่นจนทำให้ไม่อยากจะละไปไหน
“นิเข้มแข็งมากๆต่างหาก”
หึ งั้นหรอกเหรอ
“เอางี้เป็นไง ต่อหน้าผมนิไม่ต้องเข้มแข็งก็ได้”
“ห้ะ” ผมร้องในลำคอ
“เอ้าก็นิร้องไห้เพราะผมไม่ใช่เหรอ” ไอ้ตุลมองหน้าผมเล่นเอาผมรู้สึกเหมือนจะบ้าตาย มันคิดว่าผมร้องไห้เพราะมันงั้นเหรอ มึงจะหลงตัวเองมากไปแล้ว
“ไอ้ประสาท” ผมเอามือยันหน้าของไอ้ตุล แต่มันก็ฝืนกอดเอาไว้ไม่ขยับไปไหน
“ปล่อย”
“ไม่”
“บอกให้ปล่อย” เราสองคนเล่นมวยปล้ำกันจนเหนื่อย ในที่สุดผมก็เป็นคนยอมแพ้แล้วล้มตัวลงนอนด้วยความปวดล้าร่างกาย
ผมเอาแขนก่ายหน้าผากพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไอ้ตุลเหมือนจะรู้ว่าผมเหนื่อยมันเลยล้มตัวลงนอนข้างๆ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ข้างๆนะ” ฝ่ามืออุ่นๆของตุลาการจับมือของผมเอาไว้ ราวกับว่ากลัวว่าผมจะหายไปไหน
กลับกัน คนที่กลัวกลับกลายเป็นผม
มึงต่างหาก
อย่าหายไปไหนนะ
มันเหมือนกับว่าพายุลูกใหญ่พัดมาแล้วก็ผ่านไป การร้องไห้ออกมาเหมือนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด มันเหมือนว่าผมได้ระบายทุกอย่างที่จะพูดออกไปผ่านทางน้ำตา
หลังจากวันนั้นเพราะว่าไอ้ตุลรู้สึกผิด ทั้งกับเนและกับผม มันเลยไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะเรียน จะเลิกเรียน จะไปเที่ยวกับเพื่อน จะไปดูไอ้เจลซ้อมบาส ผู้ชายที่ชื่อตุลาการจะตามติดเกาะผมเป็นปลิงจนเรียกได้ว่า
น่ารำคาญ…
“มึงเคยรู้สึกว่าตัวเองน่ารำคาญบ้างมั้ยวะ” ผมถามคนที่ตามติดตลอด24 ชั่วโมงยิ่งกว่ารายการวาไรตี้ตามติดชีวิตดารา
“ไม่นะครับ” แถมมันยังตอบคำถามได้หน้าตายอีกต่างหาก
ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้ผมจองคอร์ทแบดมินตันเอาไว้เล่นกับพวกไอ้เจล นานๆทีจะได้กลับมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้าไม่ติดที่ว่าไอ้ตุลตามติดมาด้วย ผมอาจจะรู้สึกดีกว่านี้
เพราะเวลาพวกผมเล่นแบดกัน มันไม่ได้เล่นกันแบบปกตินี่ดิ
“ไหนๆวันนี้มีหกคนครบคู่พอดี จะเล่นกันแบบปกติก็จะเป็นอันหมดมู้ด” ไอ้ป้องพูด ผมกับไอ้ธามมองหน้ากันพลางทำหน้าหน่ายๆ
แล้วยิ่งถ้ามีไอ้ป้องนะ ชีวิตบรรลัยแน่จริงๆ
“จะเอาไง จะเอาไงว่ามา” นักกีฬาอย่างจรัส บราวน์ยอมรับคำท้าทุกสถานการณ์ มันควงไม้แบดเก่งพอๆกับควงลูกบาส ไอ้เจลเล่นกีฬาเก่งทุกอย่าง ดังนั้นมันนี่แหละที่จะเป็นผู้ชนะในเกมของไอ้ป้อง
“เอาเป็นว่าวันนี้เรามีหกคน แบ่งกันทีมละสอง สองทีมที่แพ้ต้องผูกข้อมือติดกันหนึ่งคืน!”
“เชี่ย”
“เควี่ย”
“เฮี่ย” สามคำออกมาจากปากคนสามคน ทั้งไอ้เจล ไอ้ธาม ไอ้สิท มีไอ้ปกป้องคนเดียวที่ยิ้มโชว์ฟันขาวซ่อนดวงตาเจ้าเล่ห์ไว้ภายใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยม ผมถอนหายใจแล้วมองหน้าไอ้ตุลที่ดูจะประหลาดใจกับบทลงโทษประสาทๆของเพื่อนสนิทผม
“เล่นไรของมึงเนี่ยป้อง” ไอ้เจลบ่น ไอ้ป้องยักคิ้วหลิ่วตาใส่ไอ้เจล
“อะไรบ่นอะไร หรือมึงป้อด?”
เจอคำว่าป้อดเข้าไปเท่านั้นแหละ ไนเจลสู้ไม่ถอย
“ใครป้อด ไม่มี๊ เนอะธาม”
“เออ เพราะมึงนั่นแหละจะแพ้ไอ้ห่าป้อง” ไอ้ธามเสริม
“แล้วจะจับคู่ยังไง” ไอ้สิทถามบ้าง ทุกสายตาจับจ้องไปที่ไอ้ป้อง ดวงตาฉายแววขี้โกงของมันทำให้ผมรู้สึกว่าการที่ผมพาไอ้ตุลมาด้วยไม่ใช่เรื่องดีแน่
“โอ น้อย ออก!!!”
“เชี่ย กูไม่อยากคู่กับไอ้ป้องงงงงง!!!” ไอ้สิทโวยวายแหกปากเมื่อโอน้อยออกแล้วได้คู่กับไอ้ป้อง ส่วนไอ้เจลคู่กับไอ้ธาม และผมคู่กับไอ้ตุล
บอกแล้วว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ไอ้ตุลมาด้วย เพราะผมรู้ว่าไอ้ป้องมีแผนอะไรนี่ดิ
มันคงวางแผนกันมาก่อนหน้าแล้วว่าจะคู่กับใคร
ไอ้พวกเช็ดแมว
ยกที่หนึ่งคือนัดระหว่างเจล ธาม กับป้องและสิท ผมนั่งอยู่ข้างสนามกับไอ้ตุลแล้วมองพวกมันเล่นกัน คะแนนตัดที่ 21 แต้ม ใครได้ 21 แต้มก่อนถือเป็นผู้ชนะ
ถึงจรัส บราวน์จะเก่งทุกอย่าง แต่ไม่มีทางชนะนักแบดอย่างไอ้คุณปกป้องแน่นอน แต่ก็นะ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ไอ้สิทมันถึงได้โวยวายไง เพราะไอ้ป้องเป็นพวกชอบแกล้ง ยิ่งไอ้สิทเนี่ยนะคู่อริไอ้ป้องเลย ขืนมันถูกมัดติดกันหนึ่งคืนล่ะก็ ไอ้สิทตายแน่นอน
“ไม่ต้องเล่นก็ได้นะ ยังไงก็แพ้” ผมบ่น ไอ้ตุลหันมาขมวดคิ้ว
“ไม่หรอก เราต้องชนะเชื่อสิ”
“มึงทำอย่างกับว่ามึงเอาชนะไอ้ป้องได้ มันนักแบดทีมชาตินะนั่น”
“นักแบดทีมชาติก็แพ้คนมีทริคได้นะครับ” ไอ้ตุลยิ้มโชว์ลักยิ้ม ผมมองคนที่มักจะมองโลกในแง่บวกตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มค่อยๆพยายามที่จะลืมเน
คิดในแง่บวกมันก็ดี
แต่ครั้งนี้มันคิดผิดมากๆเลยว่ะ
“นิ ทางซ้ายๆ” ปากบอกทางซ้ายแต่ไอ้ส้นตีนป้องตีมาทางขวา
“นิ ทางขวาๆ” ปากบอกทางขวาแต่ไอ้หน้าฮวกสิทตีมาทางซ้าย
“นิๆๆ ข้างหน้าๆ” บอกข้างหน้าตีข้ามหัวกูไปซะอย่างนั้น
“โว้ยไอ้พวกส้นตีนหุบปาก!!!” ผมตะโกนใส่พวกมัน ลืมบอกไปหรือเปล่าว่าผมนี่สกิลการตีแบดถึงขั้นติดลบ มีไอ้ตุลวิ่งลิ้นห้อยอยู่คนเดียว
คนที่วิ่งหอบแฮ่กเหงื่อแตกจนเสื้อเปียกไปหมดหันมามองเมื่อลูกแบดถูกตีมาที่ฝั่งผม พอจะตบกลับดันวืดลูกปลิวไปกระแทกหัวไอ้ตุลซะเฉยๆ ไอ้ป้องกับไอ้สิทงี้หัวเราะขี้แตกส่วนผมได้แต่ทำหน้าตายยกนิ้วกลางใส่พวกมันด้วยความโมโห
“นิสู้ๆ นิสู้ตาย” มีไอ้เจลยืนเชียร์อยู่ข้างสนามก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกฮึดอยากชนะขึ้นเลย
“ไหวมั้ยครับ” ไอ้ตุลเดินเข้ามาหาผมหลังจากที่โดนนำไปครึ่ง ผมมองมันตาขวาง
“ดูสภาพสิว่ากูไหวมั้ย” ผมบ่น วิ่งเป็นหนูติดจั่นแต่ดันตีลูกไม่ได้สักลูกนี่กูไหวมากดิ
ไอ้ตุลยิ้มเผล่อย่างไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรแต่กลับเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหัวยุ่งๆของผมที่ชุ่มด้วยเหงื่อ
“นิเหมือนเนเลยนะครับ ตอนตีแบดเนก็ตีไม่เคยได้เลย” ผมชะงักไป ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ตุลที่มักจะยิ้มออกมาทุกครั้งเวลาพูดถึงเน แต่กลับเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล
นั่นสินะ เนเองก็เล่นแบดไม่เก่งเหมือนกับผม ต่อให้พ่อพยายามสอนเราก็ไม่เคยตีได้ทั้งคู่เลย
แต่บางทีผมก็มักจะคิดเองเออเองว่า เนเหมาะสมกับไอ้ตุลมากกว่าผมจริงๆ
ครึ่งหลังเริ่มขึ้นและจบด้วยสกอร์อันอุบาทว์ชาติชั่วสุดๆ ไอ้ป้องกับไอ้สิทชนะไปอย่างง่ายดาย ผมหน้าทิ่มหัวคะมำเพราะรองเท้าลื่นไปสองครั้ง ก้นกบกระแทกพื้นไปอีกครั้ง เล่นแบดหรือเล่นเทควันโดวะสะบักสะบอมยิ่งกว่าอะไร
เล่นกันจนแต่ละคนเหมือนไปตกน้ำมา เหงื่อนี้ท่วมกันเป็นแถบๆ สุดท้ายผู้ชนะก็คือไอ้ป้องกับไอ้สิท ส่วนไอ้เจลกับไอ้ธาม และผมกับไอ้ตุลจะถูกมัดมือติดกันหนึ่งคืน
ผมอ่ะทำใจไว้แล้ว แต่ไอ้เจลกับไอ้ธามนี่ดิ
“นรก นรกชัดๆ” ไอ้เจลบ่น
“แหมกูอยากนอนกับมึงตายห่านล่ะ” ไอ้ธามด่ากลับ
สองคนตะโกนด่ากันเหมือนเด็กๆ ผมมองภาพนั้นนิ่งๆอย่างมีความสุข อย่างน้อยเพื่อนๆก็ยังคอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่ห่างๆ ถึงจะห่างกัน เวลามีเรื่องทีไรมันก็จะคอยอยู่ข้างๆเสมอ
“กูไปเปลี่ยนชุดนะ เหนียวตัวโคตรๆ”
“ผมไปด้วย”
ผมกับไอ้ตุลขอตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เราเล่นกันจนคอร์ทแบดใกล้ปิด เหลือเพียงแค่สนามของพวกผมที่ยังเปิดไฟอยู่เพราะไอ้ป้องเป็นสมาชิกของชมรมที่นี่ มันเลยมีสิทธิ์อยู่จนดึกจนดื่นได้ ดูเหมือนพวกมันจะเล่นกันต่อหลังจากที่ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว เพราะว่านานๆทีจะได้เจอกัน
พอเข้ามาในห้องน้ำ ผมก็รีบหาที่เปิดไฟก่อนอันดับแรก ตุลาการวางของลงบนอ่างล้างหน้า เจ้าตัวสวมเสื้อแขนกุดกับกางเกงบาสฯ เพื่อให้ไม่อับจนเกินไป ผิดกับผมที่สวมเสื้อยืดธรรมดา พอเหงื่อออกมันก็แทบจะบิดน้ำออกมาได้เป็นถังๆ
“อาบน้ำก่อนนะ”
“ให้ถูหลังให้มั้ย” ผมหันขวับไปมองไอ้ตุลที่กระพริบตามองผมปริบๆไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่พูด ยังไม่ทันที่มันจะได้พูดอะไรต่อผมก็ปาผ้าเช็ดหัวใส่มันแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป
“โรคจิต”
น้ำเย็นๆช่วยคลายความเหนียวตัวขึ้นเยอะ หลังจากที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายพอเหงื่อออกเยอะๆผมเลยรู้สึกตัวเบาๆ บางทีมันก็ดี เลิกคิดเรื่องที่ทำให้ปวดหัวมาหาอะไรทำ อยู่กับเพื่อนๆกับคนที่เราสบายใจ
พออาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาข้างนอก สวมเสื้อยืดตัวใหม่กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าที่สบายตัวเพราะเห็นว่าพวกไอ้เจลจะไปกินข้าวกันต่อ ผมยันตัวขึ้นไปนั่งบนอ่างล้างหน้าพลางกดโทรศัพท์เครื่องใหม่เล่นไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเสียงกลอนประตูห้องน้ำดังขึ้น
ไอ้ตุลเดินขยี้หัวเปียกๆของมันเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเหลือบมองเจ้าของหัวทุยๆแวบหนึ่งแล้วหันมาสนใจมือถือของตัวเองต่อ
“นิ” เสียงทุ้มๆทักขึ้น ผมร้องฮืมในลำคอเพื่อตอบกลับ
“อือ”
“นิเอามาห้อยด้วยเหรอ” ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์แล้วมองไปยังไอ้ตุลที่ยืนจับพวงกุญแจจระเข้ที่ผมห้อยไว้ที่กระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบคำถามของตุลาการ
“อือ”
“ตอบอย่างอื่นนอกจากอือ อืม อ่าฮะได้มั้ยเนี่ย” คนชอบคิดมากเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมแล้วก้มลงล้างหน้าในอ่างล้างหน้า ผมมองไอ้ตุลด้วยหางตา
เอาจริงๆผมไม่รู้จะพูดอะไรเวลาอยู่กับมัน รู้แค่ว่าอยู่ด้วยกัน มันอยู่ตรงนี้ แค่นั้นก็พอใจแล้ว
พอมันล้างหน้าเสร็จมันก็เช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู ผมเหลือบตามองไอ้ตุล เห็นว่ามันยังล้างหน้าไม่สะอาดเพราะโฟมยังติดอยู่ที่หน้า ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มือของผมเอื้อมไปปาดโฟมที่ติดอยู่ที่หางคิ้วของคนตรงหน้าออก
ราวกับเวลาทั้งหมดหยุดชะงัก ภายในห้องน้ำมีเพียงแค่เสียงหายใจของผมกับตุลที่แข่งกันดัง ไอ้ตุลค่อยๆเขยิบมาใกล้ผม พอมารู้ตัวอีกทีมันก็มาหยุดอยู่ที่ระหว่างขาของผมแล้ว ใบหน้าของมันค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆสัมผัสลงบนปลายจมูกของผม ใจที่เต้นรัวทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี
แต่เหมือนกลับว่ายิ่งพยายามหนี ยิ่งจนมุม
ผมบอกแล้วไงว่าการจูบกับคนที่รู้สึกดีด้วย มันทำให้เราพลาดแล้วพลาดอีก
ริมฝีปากของคนตรงหน้าแตะลงบนริมฝีปากของผมแผ่วเบา แค่ได้สัมผัสเบาๆมันก็เหมือนยิ่งต้องการ มือสองข้างของผมยันอ่างล้างหน้าเอาไว้ด้วยความกลัวว่าจะลื่นหัวทิ่ม แต่ไอ้ตุลกลับลุกล้ำเข้ามา มันเขยิบดันตัวเองเข้ามาใกล้จนกระทั่งศีรษะของผมสัมผัสกับกระจก
จูบที่ควรจะเป็นจูบเบาๆแล้วถอนออกกลับถลำลึกลงเรื่อยๆ อุณหภูมิรอบๆกายก็เพิ่มสูงขึ้นทั้งๆที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่เหงื่อกับท่วมไปหมด มือข้างหนึ่งของผมกำโทรศัพท์ไว้แน่นในขณะที่อีกข้างเหมือนเป็นปฏิกิริยาต่อต้านให้ดันร่างของไอ้ตุลออก
แต่มือมันกลับอ่อนปวกเปียกไปหมด
“ตุล เดี๋ยว” คนตรงหน้าไม่แม้แต่จะฟังคำทักท้วงของผม ริมฝีปากของมันบดเบียดลงบนริมฝีปากของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยให้ผมได้หายใจสักพักก็กดย้ำลงมาใหม่ เสียงหอบหายใจกับเสียงครางในลำคอเพราะความต้องการของคนตรงหน้าทำให้ผมห้ามตัวเองไม่ได้ และไม่รู้จะผลักไสวิธีไหน
มันเหมือนกับว่ากำลังดิ่งลงไป
ดิ่งลงไป
‘ปัง’
“โอ้ย”
“ไอ้ขี้หมา! พ่อมึงเป็นนักทวงหนี้เหรอ กะอิแค่ห้าบาทค่าชีโตสแม่งก็ทวง…จัง”
ประตูห้องน้ำถูกกระแทกเปิดพร้อมกับไอ้ป้องที่เดินเช็ดแว่นตาเข้ามาพร้อมกับไอ้สิท ผมผลักไอ้ตุลกระเด็นไปนอนกองที่พื้นด้วยความตกใจจนมันร้องโอ้ยออกมา ไม่รู้ว่ามันเจ็บมั้ย แต่ผมถือว่าผมไม่ใช่คนผิดเพราะผมห้ามแล้วมันก็ไม่ฟัง
สองคนที่เข้ามาใหม่มองหน้าผมสลับกับไอ้ตุล มันยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องน้ำแล้วกระพริบตาปริบๆ
“นี่กูเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า…” ไอ้ป้องถาม ไอ้สิทตบกบาลไอ้ป้องดังผั่วะ
“โอ้โหปากหรือโถส้วม”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ไอ้ป้องกับไอ้สิทมองหน้าผมสลับกับไอ้ตุลที่นั่งอยู่ที่พื้น ไอ้ตุลลูบท้ายทอยเบาๆที่เมื่อกี้เราสองคนเกือบจะทำอะไรมากกว่าจูบ ในห้องน้ำ และ ไม่ได้ล็อคประตู
ผมเบือนหน้ามองไปทางอื่นพลางใช้แขนปิดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้
จนกระทั่งไอ้เจลเดินแหกปากเข้ามานั่นแหละ
“เฮ้ยไปกินหมูทะกัน!” ไอ้เจลโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ มันมองซ้ายมองขวาด้วยความประหลาดใจที่ทุกคนเหมือนเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน
“มีอะไรกันวะ เกิดไรขึ้น วอทเฮพเพ่น” จรัส บราวน์ยังคงถามต่อ จนโดนไอ้ธามกระทุ้งสีข้างไปครั้ง
ผมกระโดดลงจากอ่างล้างหน้าแล้วเลือกที่จะคว้าไอ้ธามออกไปข้างนอก
บางทีผมควรจะรู้ตัวเองได้แล้ว
ว่าการที่หัวใจเต้นแรงขนาดนี้
มันเป็นเพราะว่าผมชอบผู้ชายที่ชื่อตุลาการเข้าแล้วจริงๆ
TBC