พิมพ์หน้านี้ - (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: leenanhyun ที่ 26-07-2016 21:22:35

หัวข้อ: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 26-07-2016 21:22:35
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ




LAST LOVE
by Jiwinil




'มึงให้สัญญากับกูได้มั้ย ว่าถ้ากูตาย มึงจะดูแลพี่เขาแทนกู'
'อือ กูสัญญา'

เรื่องที่แต่ง
EXCHANGE เอก วิน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54683.msg3418940#msg3418940)
Love Abyss หลงรัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55625.msg3470175#msg3470175)
Scumbag (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=55071.msg3439869#msg3439869)
TAKE TURN สลับรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40666.msg2587719#msg2587719)
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 27-07-2016 12:41:54
CHAPTER
1

 

            นายเนติ นิรันดร์กร

            ชาตะ 10 สิงหาคม 2535

            มรณะ 10 สิงหาคม 2557


           

            ถ้าวันหนึ่ง คนที่คุณรักที่สุดในชีวิตจากไป คุณจะทำอย่างไร
แล้วถ้าคนที่จากไป ฝากอะไรบางอย่างให้คุณได้สานต่อล่ะ … คุณจะทำมันหรือไม่

            เรื่องราวมันเกิดขึ้นกับผมหลังจากที่ฝาแฝดน้องของผมเสียชีวิตเพราะความประมาท ทั้งน้องชายของผมและคนขับรถตู้ รถของเนถูกชนท้ายตกจากสะพานหลังจากที่ส่งข้อความให้กับผมเพียงแค่เสี้ยววินาที

            ข้อความที่เราสองคนคุยข้ามประเทศ เป็นข้อความที่คุยกันเล่นๆว่า ถ้าใครคนใดคนหนึ่งตาย เราอยากจะให้ใครอีกคนสานอะไรต่อ

            ผมพิมพ์ไปว่า ‘กอดแม่’

            ส่วนน้องชายฝาแฝดของผมพิมพ์กลับมาว่า ‘ช่วยดูแลผู้ชายที่เขารักที่สุดให้หน่อย’

            ซึ่งเนคงได้สานต่อในสิ่งที่ผมอยากทำ เพราะว่าหลังจากที่เนตายไม่กี่อาทิตย์ต่อมา แม่ก็ตรอมใจตายตามแฝดน้องของผมไป

            ส่วนผม ผมไม่เคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับน้องชายตัวเอง

            แม้ว่าตัวผมจะอยู่ไกลค่อนโลก ผมก็บินกลับมาเพื่อสานต่อในสิ่งที่เนอยากให้ผมทำ

            ‘ก๊อกๆ’

            ผมเคาะหลังมือลงบนประตูไม้เบาๆพลางยืนพิงประตูแล้วจุดบุหรี่สูบ มืออีกข้างก็จับมือถือไล่ดูข้อความที่เคยคุยกับน้องชายฝาแฝด ซึ่งส่วนมากมีข้อความคิดถึงกับข้อความที่เกี่ยวกับผู้ชายที่ผมกำลังจะเจอ

            ‘ทะเลาะกับพี่ตุลว่ะ เบื่อ คิดมากอะไรนักหนาไม่รู้’

          ‘ดีกันแล้ว พี่ตุลโคตรน่ารักเลย’

          ‘นิ มึงดูดิพี่เขาซื้อสร้อยมาให้ด้วย’

          ‘อบอุ่นเนอะ ผู้ชายอะไรวะ’

          ‘เมื่อวานเผลอพูดออกไป ว่าถ้าวันนึงกูตายพี่เขาจะทำยังไง’

          ‘วันนี้วันเกิด พี่ตุลบอกว่าจะมารับ แต่ต้องรีบกลับไปหาแม่ก่อน’

          ‘ถ้าเราคนใดคนหนึ่งเกิดตายขึ้นมา มึงอยากให้กูทำไรสานต่อให้มั้ย’

          ‘ถ้ากูตาย ดูแลพี่ตุลให้หน่อยได้มั้ย’

            ประตูด้านหลังผมถูกกระชากเปิดออกจนทำให้ร่างของผมเกือบร่วงหัวโหม่งพื้น ถ้าไม่ติดที่ว่าฝ่ามือของคนในห้องดันแผ่นหลังของผมให้กลับมายืนตัวตรง

            กลิ่นเหล้าหึ่งเลยว่ะ

            พอหันไปประจันหน้าเท่านั้นแหละ ไอ้เจ้าของห้องที่เปิดประตูออกมาแม่งก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี เห็นผีไม่พอ มือสากๆนั่นยังลากแขนผมเข้าไปในห้อง ไม่ทันได้พูดได้จามือของมันก็เลื่อนขึ้นมาจับหน้าผมพร้อมกับริมฝีปากที่พร่ำพรรณนาเหมือนคนบ้าไม่หยุดหย่อน

            “เน … เนเหรอ เน …”

          ‘พี่ตุลน่ารักเนอะ’

            ข้อความของเนผุดขึ้นมาในหัวผม ผมไล่ตามองสภาพคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ผู้ชายหัวยุ่งกระเซอะกระเซิงไว้เครารุงรังเหมือนมีไว้ให้เหานอนเล่น ขอบตาคล้ำริมฝีปากซีดอย่างกับคนติดยา

            ‘พี่ตุลอบอุ่นเนอะ’

            ฝ่ามือหยาบกระด้างลูบไล้ใบหน้าของผมราวกับจะทดสอบว่าทั้งหมดนี่เป็นความฝันหรือไม่ ลมหายใจที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่ คนตรงหน้าเคลื่อนใบหน้าของมันมาใกล้จนจมูกแทบจะชนกับแก้มของผมทำให้ต้องเบือนหน้าหนี

            ‘พี่ตุลโคตรสุภาพบุรุษเลย’

            ริมฝีปากที่เหมือนเพิ่งจะละจากขวดเหล้าบดเบียดลงบนปลายคางของผมอย่างน่ารำคาญ ผมกระชากหัวของคนตรงหน้าจนหน้าเชิดแล้วมองดวงตาสีดำสนิทที่ดูเลื่อนลอย

            “เน … เน …”

            “กูไม่ใช่เน กูชื่อนิติ เป็นแฝดพี่ของเน”

            “ไม่ เน … เน”

            ไอ้บ้านี่เพ้อเจ้อไม่ยอมหยุด สุดท้ายผมเลยต้องผลักมันลงไปนอนม้วนอยู่ที่พื้นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ครอบครองพื้นที่สมองของมันไปจนเกือบหมด

            “เน … เน” มากไปกว่านั้น มันยังนอนร้องไห้ได้อย่างน่าสมเพช

            นี่น่ะเหรอผู้ชายที่น้องชายผมชมว่าดีหนักดีหนา

            ก็แค่ไอ้ขี้เมาล่ะวะ

 

                       

            (you gotta be kidding me Niti!!!)

            “fuxx off”

            ผมวางโทรศัพท์จากฝรั่งเศสพลางถอนหายใจแล้วมองไปยังคนที่นอนก่ายอยู่บนเตียง ผู้ชายตัวสูงจนขาเลยออกจากปลายเตียง เทียบกับตัวน้องชายของผมก็คงจะเป็นตอม่อกับเสาไฟฟ้า

            ถึงฝาแฝดจะมีใบหน้าเหมือนกัน แต่ผมกับเนติต่างกันลิบลับ ทั้งนิสัย ร่างกาย หรือแม้แต่ความคิด

            เนเป็นผู้ชายประเภทที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ส่วนผมเป็นประเภทที่พึ่งพาตัวเอง ผมชอบอยู่คนเดียว ทำตามใจตัวเองคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาที่ให้ไว้กับน้องชายฝาแฝด

            ผมจะไม่มีวันยุ่งกับผู้ชายที่ชื่อว่า ตุลาการ

            หรือเรียกง่ายๆเลยว่า ผัวน้องชายตัวเอง

            “อือ” เสียงครางฮือบนเตียงดังขึ้นพร้อมกับไอ้ตุลที่ค่อยๆลุกขึ้นด้วยอาการปวดล้าตามร่างกาย ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ ไปอยู่ฝรั่งเศสคนเดียว มันก็ได้อะไรมากกว่าขนมปังฝรั่งเศสก็แล้วกัน

            ผมมองสภาพพื้นห้องที่เกลื่อนไปด้วยเสื้อผ้าเน่าๆ กระป๋องเบียร์ ขวดเหล้า สารพัดข้าวของโสโครกที่สามารถทำให้คนๆหนึ่งซึ่งเคยดูดีกลับกลายเป็นขี้ยาข้างถนน

            ไอ้ตุลาการลุกขึ้นมานั่งแล้วกุมศีรษะเอาไว้ ผมมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าของมันที่เต็มไปด้วยรอยแดงทั่วแผ่นหลังพลางพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก

            “นี่น่ะเหรอผู้ชายที่น้องชายกูบอกว่ารักนักรักหนา”

            เสียงของผมทำให้ไอ้ตุลสะดุ้งแล้วหันมามองด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ มันเบิกตากว้างแล้วกระพริบตาปริบๆไม่ต่างจากเมื่อคืน จะต่างก็เพียงแค่ว่าเมื่อคืน มันเมา แต่ตอนนี้ มันไม่

            “เน…”

            “ก็เพิ่งบอกอยู่เมื่อกี้ ว่านี่น่ะเหรอผู้ชายที่น้องชายกูบอกว่ารักนักรักหนา”

            คนตรงหน้ากระพริบตาปริบๆเหมือนคนที่ยังประครองสติตัวเองกลับมาไม่ครบร้อย ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปคว้าผ้าขนหนูที่ห้อยอยู่ปลายเตียงพลางโยนไปให้คนที่ยังคงจ้องหน้าผมไม่ละไปไหน

            “ไปอาบน้ำ ทำตัวให้เหมือนคน แล้วออกมาคุยกัน”

            ผมเดินเลี่ยงเพื่อที่จะออกไปเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายนอกห้องนอน แต่กลับโดนฝ่ามือหยาบๆคว้าแขนเอาไว้ ริมฝีปากของตุลาการพึมพำเสียงแผ่ว

            “เน…”

            “กูชื่อนิติ เนติแฟนของมึงตายไปเมื่อเดือนที่แล้ว จำไม่ได้หรือไง”

            อาจจะดูใจร้ายที่ผมพูดจาแรงๆแบบนั้นออกไป ใครๆก็ว่าว่าผมใจร้าย งานศพน้องผมก็ไม่ไป งานศพแม่ผมก็ไม่ไป แล้วก็ไม่มีน้ำตาซักหยดให้ใครเห็น

            แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และมันก็ย้อนกลับไปแก้อะไรไม่ได้

            รู้แค่ว่าน้องชายกับแม่ผมตายแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผมต้องยอมรับและใช้ชีวิตต่อไป

            รอจนเกือบชั่วโมงเจ้าของห้องถึงจะเสด็จออกจากห้องน้ำ คราบของคนขี้ยาเหลือทิ้งเพียงไว้แค่ขอบตาคล้ำๆกับใบหน้าซีดเซียว แต่เมื่อโกนหนวดโกนเคราจนหมด ไอ้ตุลาการมันก็กลับมาดูเป็นผู้ชายอบอุ่นของเนติคนเดิม

            สายตาของไอ้ตุลยังคงไม่ละจากผม มันยังคงมองหน้าผมด้วยสายตาที่ประหลาดใจ ผมถอนหายใจเบาๆแล้วขยี้ก้นบุหรี่ลงบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้า

            “เข้าเรื่องเลยนะ”

            “เรื่อง … เรื่องอะไร?”

            “กูจะมาอยู่กับมึงตั้งแต่วันนี้”

            “!!!”

            “ช่วยเก็บห้องให้มันดูดีเหมือนก่อนที่เนจะตาย …” ผมมองสภาพห้องคอนโดที่รกยิ่งกว่ารังหนู พลางนึกไปถึงสิ่งที่เนชอบพูดถึงบ่อยๆเมื่อเราอยู่ไกลกัน

          ‘อยากให้มึงมาที่คอนโดพี่ตุลจัง คอนโดแบบที่มึงชอบเลยนะ สะอาดแล้วก็ดูดีมาก มึงคงชอบเหมือนกู’

            ‘พี่ตุลเป็นคนคิดมากแบบโคตรๆเลย จะทำยังไงให้พี่ตุลหายคิดมากดี’

            “แล้วอีกอย่าง” ผมเงยหน้ามองผู้ชายที่ดูจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตกใจกับตัวผม และตกใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไปไม่หยุดปาก ซึ่งผมไม่คิดจะอธิบายอะไร

            เพราะทุกอย่างมันอธิบายในตัวของมันเองอยู่แล้ว

            “เนอยากให้กูมาดูแลมึง นั่นคือคำขอของเนก่อนตาย”

            “ดูแล?” ตุลาการถามขึ้นด้วยความสงสัยที่คงอัดอั้นในใจมันเต็มแก่ ผมนั่งประสานมือมองผู้ชายตรงหน้าที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสีดำ

            “ผมไม่ต้องการให้ใครมาดูแล ผมอายุ 24 แล้วนะคุณ”

            “ผมก็ไม่ต้องการดูแลคุณ ถ้าไม่ใช่ว่าผมสัญญากับน้องชายของผม”

            คนตรงหน้าส่ายหน้าแล้วหัวเราะออกมาเป็นเชิงว่าผมเข้าใจอะไรผิด

            “คุณคิดผิดหรือเปล่า ต่อให้คุณหน้าเหมือนกัน ต่อให้พวกคุณเป็นฝาแฝดกัน แต่ผมไม่ได้รักเนที่หน้าตา ผมรักเนที่เนเป็นเน ไม่ใช่ใครหน้าเหมือนก็จะมาแทนที่ได้”

            เหอะ ใครกันแน่ ที่ไม่เข้าใจอะไรเลยวะ

            “แล้วคุณคิดว่าผมอยากทำนักหรือไง คุณคิดเหรอว่าผมอยากมาแทนที่น้องชายของผม”

            “…” ไอ้ตุลเงียบไป สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร

            “บอกไว้เลยนะ กูไม่คิดจะแย่งผัวของเนหรอก แต่กูไม่เคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเน”

            ผมมองหน้าตุลาการด้วยแววตาว่างเปล่า

            “แล้วไม่ใช่เพราะจำต้องทำ แต่เพราะอยากทำ ทีนี้ก็เลิกสงสัย เลิกถาม แล้วเก็บห้องทำตัวให้สมเป็นเด็กนิติฯอย่างที่ไอ้เนชอบอวดให้ฟังบ่อยๆที”

           

 

            ทุกสิ่งทุกอย่าง มันย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา เหมือนกับคน ที่สักวัน ก็ต้องตาย

            แต่ก่อนตาย เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำที่สุดแล้วหรือยัง

          ‘นิติ … พี่เคยรักใครสักคนมั้ย’

            ‘แค่กๆ’

            ผมลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววางหนังสือลงบนพื้นก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องนอนของเจ้าของห้องแล้วมองสภาพของตุลาการที่เมาเหมือนหมากลับมาถึงห้องก็เอาแต่นั่งจุ่มหัวลงชักโครก

            คืนแรกที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับแฟนของน้องชายตัวเอง

            ถึงห้องจะสะอาดและดูน่าอยู่ แต่คนในห้องไม่ได้ทำให้อยากอยู่ด้วยเลยสักนิด

            ผมกดโทรศัพท์ต่อสายไปยังพ่อแท้ๆของตัวเองที่มีสภาพคงไม่ต่างกับผู้ชายที่ชื่อตุลาการ

            (ว่าไง)

            “ป๊า พรุ่งนี้ผมอยากไปสมัครเรียนที่มหา’ลัย น่าจะโอนจากมหา’ลัยที่ฝรั่งเศสได้ ป๊าติดต่ออาจารย์ที่มหา’ลัยที่ปารีสให้หน่อยได้มั้ย”

            (ทำไมไม่กลับไปเรียนที่นู่นเลยล่ะ)

            “ถ้าผมกลับไปฝรั่งเศส ป๊าจะทิ้งผมไปอีกคนมั้ยล่ะ”

            ไม่มีเสียงตอบจากปลายสาย พ่อของผมวางโทรศัพท์แล้วปล่อยให้ตัวผมเองจมกับความว่างเปล่า ผมมองสภาพของผู้ชายที่นอนห้อยอยู่ที่ชักโครกก่อนจะเดินเข้าไปลากมันลงอ่างอาบน้ำแล้วเปิดน้ำฝักบัวราดใส่ตัวของไอ้ตุล

            ผมอยากจะพูดกับเน ถ้าเนยังอยู่

            ถ้ามีรัก แล้วต้องมีจาก ถ้าจากกันแล้วจะต้องทรมานขนาดนี้

            ผมเลือกไม่มีความรักยังจะดีกว่า

            “เน…” เสียงพึมพำจากคนๆเดิม คนที่ผมเจอหน้ายังไม่ถึงสองวัน ผมขมวดคิ้วมองผู้ชายที่นอนละเมออยู่ในอ่างอาบน้ำพลางค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของเขาถอดออกจากตัว

            ถ้ามันเป็นกรรมที่ผมเคยทำไว้กับเนติล่ะก็

            ผมจะไม่แปลกใจเลยที่ทำไมผมต้องมาชดใช้กรรมเหล่านั้นกับคนที่น้องชายผมรัก

            “กูนิติ ไม่ใช่เนติ” จะต้องให้บอกกี่รอบกันวะ




             TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 2 Love is Share (28-07-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 28-07-2016 10:09:54
Chapter
2

 

              ฝาแฝด เมื่อขาดคนใดคนหนึ่งไป ก็เหมือนกับขาดอีกครึ่งของชีวิตไป

              “น้องชายตายทั้งคนไม่มีน้ำตาสักหยด”

              คำพูดของญาติๆที่คอยตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวผมตั้งแต่เกิดมาเป็นฝาแฝดของเนติ เด็กผู้ชายที่ดีพร้อมทุกอย่าง เนไม่เคยมีเรื่องต่อยตีจนต้องโดนย้ายไปเรียนต่างประเทศ เนเรียนเก่ง เนเป็นเด็กดี ใครๆก็รักแฝดน้องของผม

              ผิดกับผม ที่เกเรท้าตีท้าต่อยจนถูกพ่อส่งไปดัดนิสัยถึงฝรั่งเศส

              เพราะแบบนั้นผมกับเนเลยห่างกัน ไม่ค่อยสนิทกันเหมือนแต่ก่อน แต่ถึงกระนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างฝาแฝดมันก็ไม่เคยจางหายไป

              ‘อยากได้อะไรกูจะหาให้ โอเคป่ะ ไม่ต้องมาบ่นว่าเกรงใจ กูพี่มึง’

              ‘อยากให้มึงกลับบ้านไวๆ คิดถึงนะพี่นิ’

              ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ใบหน้าของเนมันชัดเจนอยู่ในสมองเพราะมันคือใบหน้าของตัวผมเอง ผมถอนหายใจเบาๆพลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตุลาการที่ไม่รู้หายเมาตอนไหนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างโซฟา เจ้าตัวหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองจอกำแพงที่มีรูปเนติดอยู่

             “เหมือนกันมาก” เสียงพึมพำของเจ้าของห้อง ในฝ่ามือของตุลถือตุ๊กตาเป็ดตัวใหญ่อยู่

              จะไม่ให้เหมือนได้ไง ก็ฝาแฝดกันนี่

             “เนไม่เคยบอกล่ะสิว่ามีฝาแฝด” ผมถามขึ้น เพราะดูจากตอนที่เจอหน้ากัน ไอ้ตุลดูตกใจจนตาแทบถลน นอกจากเพื่อนๆที่สนิท เนก็ไม่เคยบอกใครว่ามีฝาแฝด ไม่ใช่เพราะไม่ชอบที่มีคนหน้าเหมือนกันเกิดมาพร้อมกัน แต่เป็นเพราะผมทำเรื่องแย่ๆเอาไว้ และเนมักจะเป็นคนรับแทนในสิ่งที่ผมได้ทำผิดลงไป

              ผมถึงบอกไง ว่ามันเป็นกรรมที่ผมทำไว้กับเน

              เนไม่เคยเกี่ยงที่จะยอมรับหมัดแทนผมเลยสักครั้ง

              “อือ แค่บอกว่ามีพี่ชาย”

              “ถ้าเลือกเกิดได้ กูก็ไม่อยากหน้าเหมือนน้องชายตัวเองหรอก” ผมว่าแล้วนอนหันหลังให้กับคนที่นั่งพิงโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผมจำตุ๊กตาเป็ดในอ้อมกอดของตุลาการได้

                เนชอบเป็ด

               “จำเป็นต้องนอนที่นี่ด้วยเหรอ” ตุลาการถามเสียงเรียบ ผมครางในลำคอเบาๆ

               “อือ” อยากอยู่ที่นี่ เพราะว่ามันเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆของเนเต็มไปหมด

               “มันเหมือนฝันร้ายรู้มั้ย ที่จะต้องตื่นมาเจอหน้าคนที่หน้าเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วทุกเช้า”

                คำพูดที่ดูเหมือนอยากจะไล่ผมออกจากห้องเพราะหน้าผมเหมือนกับผู้ชายที่ทำให้ตุลาการกลายเป็นไอ้ขี้เมาขี้เหล้า

                ผมหัวเราะนิดๆ

              “เพราะแบบนี้ ถึงกลับห้องดึกแล้วก็เมากลับมาสินะ มึงไม่ชอบหน้ากูขนาดนั้นเลยดิ”

            เมากลับมา จะได้ไม่รู้ว่ามีผมอยู่ในห้อง ฉลาดคิดนี่ แต่ก็โง่พอๆกัน

            “ออกไปเถอะนิติ ผมดูแลตัวเองได้ไม่ต้องให้ใครมาดูแล ยิ่งคุณอยู่ที่นี่ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่”

            “มึงพูดเองว่าไม่ได้รักเนที่หน้า นิสัยกูกับเนมันต่างกันฟ้ากับเหวอยู่แล้ว”

            “…”

            “กูจะอยู่ที่นี่ ถ้ามึงจะเมากลับมาทุกคืนเพื่อหนีหน้ากูนั่นก็เรื่องของมึง แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วเนติจะมีความสุข ก็คิดใหม่ซะนะ”

            ผมตัดบทสนทนาเพียงแค่นั้นพลางคว้าเสื้อคลุมของตัวเองเดินออกมาจากห้องของไอ้ตุล ยอมรับว่าตัวผมเองใจร้ายที่เอาหน้าเหมือนกับน้องชายไปโผล่ให้แฟนน้องเห็นบ่อยๆ

            แต่สัญญาคือสัญญา

            ผมต่อสายโทรศัพท์ไปยังเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่ผมโดนส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส ไม่นานผมก็มาหยุดอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูข้างถนนที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

            “ไอ้นิ”

            วงแขนกว้างกระชับกอดผมด้วยความคิดถึง ผมกอดตอบไปด้วยความคิดถึงเพื่อนสนิทของตัวเองพอๆกัน คนตรงหน้าผมชื่อสิท เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม กลุ่มเรามีสมาชิกกันห้าคน ซึ่งตอนนี้ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง

            ผมไม่ค่อยรู้ข่าวเพื่อนแต่ละคนมากเท่าไรเพราะไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่จบม.6 มีก็แค่ไอ้สิทเนี่ยแหละที่ยังคุยกันบ่อยๆ

            ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว

            “จะย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯเนี่ยนะ” ไอ้สิทมีท่าทีตกใจหลังจากที่ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง อันที่จริงเพื่อนทุกคนต่างก็เป็นห่วงผม พวกมันไปงานศพทั้งของเนและของแม่ผม

            “ให้ป๊าทำเรื่องโอนให้ว่ะ ว่าแต่มึงอ่ะ เรียนเป็นไงวะ” ผมถามไอ้สิท มันก็ยักคิ้วหลิ่วตาตามประสาคนที่โดดเรียนเป็นเรื่องปกติ

            “ก็เฉยๆว่ะ ชีวิตเรื่อยๆ มึงไม่โทรหาไอ้เจลบ้างเหรอ มันโคตรห่วงมึงเลยรู้มั้ย”

            “ไม่ว่ะ กลับมาก็เจอหน้าอยู่แค่สองคน มึงกับ…” ผมเงียบไปเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่ไม่รู้ป่านนี้จะตรอมใจแขวนคอตายตามน้องชายของผมไปหรือยัง ยอมรับว่าไอ้ตุลาการอะไรนั่นทำให้ผมหัวปั่นได้พอสมควรตั้งแต่มาเหยียบประเทศไทย

            เนชอบอะไรแบบนี้งั้นเหรอ

            ผมไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด

            “ช่างเหอะ”

            “พวกกูรู้นะว่ามึงเป็นคนยังไง แต่บางเรื่องก็บอกพวกกูได้นะเว้ย มึงไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวก็ได้ไม่มีใครด่าหรอก” ไอ้สิทบีบไหล่ผมเบาๆ ฝ่ามือหนักๆของมันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

            ผมยิ้มมุมปากเหมือนทุกๆครั้งที่มีเรื่องอะไรหนักใจ ซึ่งเป็นเชิงบอกพวกเพื่อนๆว่ากูโอเค กูแค่ไม่อยากพูดถึงมัน มันผ่านไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือทำตอนนี้ให้ดีที่สุด

            “แล้วจะเข้าเรียนที่ไหนวะ”

            “ยังไม่รู้เลยว่ะ แค่อยากเรียนให้จบ ถ้าทำเรื่องไม่ได้ คงต้องหางานทำ”

            “เออ มีไรให้ช่วยก็บอกพวกกูนะ”

            “อยากเจอพวกมึงทุกคนว่ะ” ผมพูดเบาๆ ไอ้สิทยิ้มมุมปากอย่างสู่รู้

            “อยากเมาก็บอก เออไว้กูนัดให้ พวกมันไม่เกี่ยงหรอกถ้าเป็นมึง”

            “เออรู้ก็ดี ใครเกี่ยงกูตัดให้เป็ดกินแน่”

            “โห ไอ้โหด!”

            ผมกับสิทคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมันขอตัวกลับ สุดท้ายผมเลยไม่มีอะไรทำ จะกลับไปห้องไอ้ตุลก็ยังไม่อยากกลับ เลยเดินร่อนเร่ไปทั่ว สองปีที่ผมจากไปอะไรๆก็เปลี่ยนไปเยอะ

            นิสัยเกเรสมัยเด็กๆของผมมันก็หายไป เพราะว่าจากที่โดนตามใจ กลายเป็นต้องพึ่งตัวเอง

            รอจนเกือบตีสามผมถึงได้พาตัวเองกลับมาที่ห้องของตุลาการ เรื่องกุญแจห้องผมได้มาจากไอ้ตุลที่เป็นคนเก็บของๆเนไว้ทุกอย่าง ทั้งกระเป๋าสตางค์ มือถือ หรือแม้แต่สร้อยที่ไอ้ตุลเคยให้เนไว้ผมก็ริบมาเก็บไว้กับตัวทั้งหมด

            ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพลางสอดสายตาไปทั่วห้อง ป่านนี้เจ้าของห้องคงหลับไปแล้ว

            ขาสองข้างของผมพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่ที่ประตูห้องที่ถูกเปิดกว้างอยู่ ไอ้ตุลนอนหลับอยู่บนเตียง ผมมองภาพๆนั้นพลางเปิดรูปในโทรศัพท์ดู รูปที่เนเคยส่งมาให้ผมตอนที่เนเคยยืนอยู่ตรงนี้

            ‘พี่ตุลหลับปุ๋ยเลย’

             ผมหัวเราะกับข้อความที่ผมคุยกับเนเรื่อยเปื่อย ถึงจะมีเนฝ่ายเดียวที่พิมพ์ไว้ซะเยอะแยะและผมตอบกลับไปแค่อืม ก็ดี แต่เนก็ยังขยันจะเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ผมฟังตลอด

             ถ้าได้ฟังจากปากก็คงจะดี

             สุดท้ายผมก็ทำเพียงแค่ดึงประตูห้องนอนของไอ้ตุลปิดลงเบาๆแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟากว้างพลางพยายามข่มตาหลับ

             ปล่อยให้อีกคืนผ่านไป พร้อมกับสัญญาของเนติที่กำลังค่อยๆถูกสานต่อ

 

 

             ‘เพล้ง’

             แก้วน้ำใบใหญ่ร่วงลงจากมือของเจ้าของห้องเมื่อตุลาการเห็นใบหน้าผมผ่านทางกระจก ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องนอนของมันเพื่อที่จะเอาเสื้อผ้าของเนมาสวม คนที่กำลังแปรงฟันแล้วเปิดประตูห้องน้ำค้างไว้คงจะตกใจที่เห็นแฟนตัวเองที่ตายไปแล้วมาโผล่อยู่ในกระจก

            กว่าจะชินก็คงอีกนานมั้ง

            ผมเดินเข้าไปหาคนที่ยืนก้มหน้ามองอ่างล้างหน้าไม่พูดไม่จา ก่อนจะจับขาของไอ้ตุลให้เขยิบออกไปเพราะกลัวแก้วจะบาด

            มือสองข้างของผมจับผ้าปูพื้นแล้วกวาดเศษแก้วพวกนั้นเพื่อเอาไปทิ้งถังขยะ

            ไม่มีบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้ตุล

            ผมเลือกทำอาหารง่ายๆอย่างแซนวิชแล้วก็ไข่ดาวกับกาแฟ เห็นเนบอกว่าไอ้ตุลชอบกินกาแฟ ผมทำทุกอย่างแล้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือที่โซฟาราวกับว่าชีวิตว่างหนักหนา

            คนตัวสูงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ตุลาการมองหน้าผมแล้วเสยผมขึ้นไปลวกๆด้วยความอึดอัดพลางเดินตรงไปห้องครัว ไม่นานนักเจ้าตัวก็โผล่หัวออกมา คิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นปม

            “กาแฟ?” ไอ้ตุลเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย ผมไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือ แค่ตอบไปตามที่มันอยากรู้

            “เนบอกทุกเรื่องเกี่ยวกับมึงให้กูฟัง”

            “…” เจ้าของห้องไม่ได้พูดอะไรอีก แค่เดินหายเข้าไปในครัวแล้วนิ่งเงียบไป

            Rrrr Rrrr

            เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ชื่อบนหน้าจอเป็นชื่อที่ผมไม่อยากจะสนทนาด้วยในตอนนี้

            “Hi” ผมทักทายอย่างลวกๆ ปลายสายรัวกลับมาด้วยความโมโหที่ผมไม่ได้บอกเธอว่าจะกลับไทยกะทันหัน และมีอีกเรื่องก็คือ ผมคงไม่กลับไปที่ปารีสอีกแล้ว

            (Niti, where are you) เบอร์โทรศัพท์นี่ เจ้าตัวคงได้จากพี่ที่ทำงานพิเศษด้วยกันกับผม

            “I don’t know where I am” (ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมอยู่ที่ไหน)

            (Stop joking around, will you come back to Paris?) (อย่าเล่นน่า จะกลับมาปารีสมั้ย)

            “No, sorry for not telling you, thanks for everything” (ไม่ ขอโทษที่ไม่ได้บอก ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง)

            (You ok right?) (โอเคหรือเปล่า)

            “I don’t know either” (ไม่รู้เหมือนกันว่าโอเคมั้ย)

            (don’t be such an idiot who doesn’t know your own feeling, if you wanna cry, then cry) (อย่าทำตัวเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องไห้ซะสิ)

            “I don’t wanna cry, gotta go now, thank you Joanna and ... goodbye” (ไม่ได้อยากร้องไห้ ไปก่อนนะ ขอบคุณโจแอนนา แล้วก็ … ลาก่อน)

            ผมกดสายทิ้งแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โจแอนนาเป็นผู้หญิงที่คอยตามตื้อผมเมื่อตอนที่ผมอยู่ปารีส เธอเป็นคนดีแต่ผมไม่ได้ชอบเธอ ตอนกลับกรุงเทพฯผมก็ไม่ได้บอกใครว่าจะกลับนอกจากพี่ที่ทำงาน ผมนั่งเงียบๆอยู่คนเดียวก่อนจะสะดุ้งไปเมื่อขวดน้ำเย็นๆสัมผัสที่แก้ม ผมรับขวดน้ำจากเจ้าของห้องมาดื่มในขณะที่ตุลาการนั่งลงข้างๆผม

            เจ้าตัวหันมามองหน้าผมอย่างพินิจพิจเคราะห์

            คงจะหาจุดไม่เหมือนกันเหมือนเล่นเกมจับผิดภาพของผมกับเนล่ะมั้ง

            “ถ้ามองใกล้ๆ ก็ต่างกันอยู่” คนตรงหน้าพึมพำ ผมเลิกคิ้ว

            “ต่างกันตรงไหน ขนาดพ่อยังแยกเราไม่ออกเลยด้วยซ้ำ”

            “เนไม่มีแผลเป็นที่หางคิ้ว” มือของไอ้ตุลถือวิสาสะแตะปลายคิ้วของผม จนกระทั่งฝ่ามือหยาบๆของมันแตะลงบนแก้มของผม

            “ผิวเนไม่กระด้างแบบนี้” เหอะ ผมควรจะดีใจกับคำพูดนี่มั้ย

            “เนไม่เจาะหู แล้วก็ไม่ชอบไว้ผมยาว” ตุลาการจับใบหูของผมที่มีจิวหูสีดำติดอยู่ แล้วก็เลื่อนไปถึงปรอยผมที่ยาวประบ่า

            ผมยิ้มจางๆแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร

            “ดีแล้ว แล้วก็จำใส่หัวไว้ว่าคนละคน จะได้ไม่ตกใจทำข้าวของแตกอีก”

            ผมทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่มือหยาบๆของไอ้ตุลคว้าผมไว้อีกครั้ง คราวนี้มันลากผมให้นั่งลงที่เดิมแล้วเคลื่อนใบหน้าของมันเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ไม่ได้ตกใจหรืออยากจะผลักไส อยู่ที่ปารีสผมก็เจออะไรแบบนี้จนชิน

            “แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน” ไอ้ตุลทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมยิ้มแหยๆส่งให้มัน

            ยังไม่ทันไรริมฝีปากอุ่นๆก็ประทับลงบนริมฝีปากของผมราวกับโหยหา ผมเบิกตากว้างแล้วเบือนหน้าหนีไอ้ตุลที่บีบแขนผมแน่นไม่ยอมปล่อย ลมหายใจหนักๆของตุลาการเป่ารดปลายจมูกของผมราวกับว่ามันทรมานจนอยากจะหายไปจากโลกนี้ซะ

            ผมใช้แรงเฮือกใหญ่ผลักไอ้ตุลกระเด็นออกไป ไม่ลืมที่ฟาดหมัดใส่ปลายคางมันจนหน้าหงาย ตุลาการนั่งกุมคางของตัวเองเอาไว้เงียบๆผิดกับผมที่หอบจนตัวโยนด้วยความโมโห

            ถ้ามันทำแบบนี้กับผม แสดงว่ามันก็เคยทำกับเน

            แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องคิด

            นอกซะจากว่า

            “กูไม่เคยคิดจะแทนที่เน จำใส่หัวไว้”

            “ขอโทษ แค่เผลอไป …”

             ผมนิ่งแล้วยืนมองหน้าไอ้ตุลด้วยความไม่เข้าใจ

            “ผมแค่จะบอกว่าพวกคุณสองคนเหมือนกันที่ว่าเข้มแข็งเหมือนกัน”

            “ห่ะ…”

            “ไม่ว่าจะเจ็บสักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยเห็นน้ำตาจากเนเลยสักครั้ง ไม่ว่าเนจะโดนไอ้กุ๊ยที่ไหนตีกลับมา เนก็ไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็น”

            สิ่งที่ตุลาการพูดออกมามันเหมือนเป็นดาบคมกริบที่แทงซ้ำๆลงบนร่างกายของผม เมื่อก่อนผมมีเรื่องบ่อย จนไอ้พวกกุ๊ยนั่นแค้น แต่ผมดันโดนย้ายไปเรียนที่ฝรั่งเศส เนเลยโดนไอ้พวกเวรนั่นมากระทืบเพราะนึกว่าเป็นผม

            ผมทำให้เนเจ็บ ผมไม่เคยลืมเรื่องนั้น

            “ผมแค่อยากบอกว่า ถ้ามันทรมาน ไม่เห็นจำเป็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียวเลย”


             TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 3 Love is Realize (30-07-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 30-07-2016 21:11:01
Chapter
3

 

           “แค่อยากบอกว่า ถ้ามันทรมาน ไม่เห็นจำเป็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียวเลย”

            ผมล่ะเกลียดพวกที่สู่รู้ไปซะทุกเรื่องทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

            หลังจากบทสนทนาของผมกับไอ้ตุลจบลงด้วยความเงียบ เราสองคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน มันเดินกลับเข้าไปนอนในห้องแล้วปิดประตูลง ส่วนผมนอนก่ายหน้าผากอยู่ที่โซฟา

            จนกระทั่งประมาณตีสองกว่าๆถึงได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ตุลาการพรวดพราดเปิดประตูออกมาจากห้องนอนแล้วเดินไปที่ประตูหน้าห้อง ผมมองด้วยหางตาแล้วหลับตาลงเพราะไม่อยากรับรู้อะไรมากไปกว่านี้

            “โอเคมั้ยวะ” เสียงไอ้ตุลถามคนที่เหมือนกำลังเดินเข้ามาในห้อง ผมเงยหน้าไปมองผู้ชายที่ตัวสูงพอๆกับตุลาการ ไอ้หมอนั่นเองก็มองมาที่ผม มันหน้าซีดเหมือนเจอผี ผมทำเพียงแค่ปรายตามองแล้วหันกลับมาเอาหนังสือปิดหน้านอนตามเดิม

            “เชี่ยตุล นั่นมันเน…”

            “นั่นพี่ชายฝาแฝดของเน ชื่อนิติ”

            “ขนกูลุกไปหมดเลยห่า ทำไมไม่บอกให้เร็วๆวะ เออว่าแต่เนมีฝาแฝดด้วยเหรอวะ”

            ผมทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินบทสนทนานั้น แต่ไอ้ตุลมันคงจะมีความเกรงใจอยู่บ้างเลยลากเพื่อนมันหายเข้าไปในห้องนอนแล้วปิดประตูลง แต่ถึงอย่างนั้นเสียงของเพื่อนไอ้ตุลก็ใช่ว่าจะเบา

            “เขาสัญญากับน้องชายว่าจะดูแลกูก่อนที่เนจะตาย”

            “แล้วเขามาอยู่กับมึงเนี่ยนะ”

            “อือ จะให้กูทำไง เขาบอกสัญญาเป็นสัญญา เขาไม่เคยผิดสัญญากับน้องชาย”

            “บ้าแล้ว มึงต้องตื่นมาทุกเช้าเจอหน้าผู้ชายที่เหมือนกับเนเนี่ยนะ หลอนตายห่า”

            “เชี่ยตาม ปากมึงนี่ ผีเจาะปากมาพูดเหรอวะ”

            “เอ้า กูพูดตามจริง ว่าแต่มึงเหอะ ดูเป็นคนขึ้นนะ หรือว่าเหมือนเจอเนอีกรอบเลยรู้สึกดีขึ้นวะ”

            “ดีกับผีมึงดิ กูผวาทุกครั้งเวลาเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ”

            ถ้าจะนินทาคนอื่น ก็นินทาให้มันเบาๆหน่อยไม่ได้เหรอวะ

            ผมกระชับนาฬิกาปลุกดิจิตอลในมือแล้วปาไปที่ประตูห้องของไอ้ตุลเพื่อบอกว่ากูนอนฟังอยู่นะ ช่วยพูดจาให้มันดีๆ ไม่ก็พูดเบาๆชนิดที่ว่าไม่ต้องให้กูได้ยินได้หรือเปล่า

            น่ารำคาญ

            ดูเหมือนคนในห้องจะรู้ตัว พวกมันลดวอลุ่มเสียงลง แต่ก็ยังได้ยินชัดแจ๋วอยู่ดี

            “แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

            “โชคดีที่มึงมา กูขอไปนอนบ้านมึงซักอาทิตย์สองอาทิตย์ได้มั้ยวะ”

            “เออมาดิ กูไม่อะไรอยู่แล้ว แล้วพี่ของเนจะไม่โกรธเอาเหรอ”

            “ไม่รู้ว่ะ กูอยู่กับเขาแล้วอึดอัด”

            “เอ้า ตลกป่ะเนี่ยไอ้ตุล แล้วมึงจะให้พี่เขาดี๊ด๊ามาทักทายเซฮัลโหลกับมึงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ น้องชายเขาตายในวันเกิดนะเว้ย ฝาแฝดเกิดวันเดียวกัน มึงโง่ป่ะเนี่ย”

            “…”

            “นั่นก็หมายความว่าทุกวันเกิดของเขา เขาต้องรู้สึกแย่เพราะมันเป็นวันที่น้องเขาตายไง”

            ‘ปัง’

            ผมฟาดประตูปิดเสียงดังแล้วพาตัวเองออกจากห้องของไอ้ตุลโดยไร้จุดหมาย แค่ไม่อยากฟังบทสนทนาพวกนั้นต่อ ขาสองข้างของผมก้าวฉับๆลงไปตามบันไดหนีไฟก่อนที่มันจะอ่อนแรงลงดื้อๆ

            หลังของผมชนกับกำแพงแล้วค่อยๆทรุดลงนั่งลงที่บันได ผมกุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้พลางขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            “นั่นก็หมายความว่าทุกวันเกิดของเขา เขาต้องรู้สึกแย่เพราะมันเป็นวันที่น้องเขาตายไง”

            ‘มึงอยากได้ของขวัญอะไรมั้ยนิ’

          เสียงของเนแทรกขึ้นมาในหัวของผม ผมจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ ก่อนจะลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ

            ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบว่าอยากได้อะไร

            แต่ตอนนี้ผมอยากขอ

            “ขอให้มึงไม่ตายได้มั้ยวะเน”

           

 

            ผมลงเอยด้วยการนอนหลับคาบันไดหนีไฟที่เวลาตีสองคงไม่มีใครออกมาเดินเล่น รู้สึกตัวอีกที แสงตะวันจากด้านนอกก็ลอดผ่านกระจกบานเล็กเข้ามากระทบกับตา ผมค่อยๆกระพริบตาไล่ความง่วงและบิดตัวไล่ความเมื่อยพลางพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน

            สภาพของผมยังอยู่ในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำ ชุดนอนเมื่อคืน

            Rrrr Rrrr

            เสียงโทรศัพท์ที่ผมคว้าออกมาด้วยดังขึ้น ผมมองเบอร์ที่ไม่คุ้นตาพลางกดรับ

            “ฮัลโหล”

            (แห้ง) เสียงที่คุ้นหูและสรรพนามที่ปลายสายใช้เรียกผมบ่อยๆทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมานิดๆ

            อย่างน้อยอะไรๆก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด

            “ไงสมหมาย” ผมเรียกชื่อพ่อของคนปลายสายกลับไป เรียกเสียงหัวเราะจากอีกคนได้เหมือนทุกครั้ง

            (คิดถึงว่ะ เมื่อวานเจอไอ้สิท เป็นไงบ้าง)

            คนที่ผมกำลังคุยอยู่คือไอ้เจล เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดในกลุ่ม สนิทมากกว่าไอ้สิทด้วยซ้ำ แต่ไอ้เจลขาดการติดต่อไปเกือบสองปี ตอนแรกผมคิดว่ามันคงยุ่งๆ แต่หลังจากที่ได้คุยกับไอ้สิทก็พอรู้ว่าไอ้เจลมันเองก็มีปัญหาที่แก้ไม่ตกพอๆกับผม

            พ่อมันเป็นตำรวจ ส่วนแม่มันติดยา

            แย่ที่สุด คือพ่อต้องมาจับแม่เข้าคุก

            “ก็ดี มึงอยู่ไหนอ่ะกูอยากเจอ”

            (วันนี้กูไม่ว่างว่ะ เอาเป็นพรุ่งนี้มั้ย กูจะนัดพวกมันไปหามึง คิดถึงแห้งของกูใจจะขาด) ผมยิ้มมุมปากแล้วค่อยๆพาตัวเองเดินกลับห้องของไอ้ตุล

            “เออได้ ที่ไหนก็โทรบอกกูแล้วกัน”

            (จ้ะที่รัก กูรักมึงนะแห้ง) ไอ้เจลพูดเสียงมีความสุข ผมทำหน้าแหยงๆใส่โทรศัพท์

            ขอบคุณ ที่ไม่ถามว่ากูโอเคมั้ย

            เพราะกูเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน

            “อือ”

            ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องของตุลาการ ไม่มีใครอยู่ในห้อง มันคงออกไปนอนกับเพื่อนแล้วมั้งเพราะผมดันเป็นตัวประหลาดสำหรับมันไปแล้ว ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วนอนหลับไปด้วยความเมื่อยล้า

            จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาสัมผัสที่หน้าผาก ผมถึงค่อยๆลืมตาขึ้น

            อันที่จริงผมนอนไม่หลับเลยตั้งแต่กลับจากฝรั่งเศส คงเรียกอาการว่าปรับเวลาไม่ถูกมั้ง เลยทำให้ตอนนี้รู้สึกตัวหนักอึ้งจนเหมือนโดนเอาก้อนหินมาถ่วงไว้ร้อยๆก้อน

            “ไม่สบายรู้มั้ย” ผมปรายตามองไอ้ตุลที่ไม่ได้ออกไปนอนค้างบ้านเพื่อนอย่างที่มันพูดไว้แต่กลับนั่งอยู่ข้างๆผมพร้อมกะละมังสีขาวกับผ้าชุบน้ำอุ่นที่มันคอยเอามาเช็ดตัวให้ผม

            “กูไม่ใช่เนนะ” เสียงของผมเริ่มประหลาดออกเป็นเชิงทุ้มจนแทบจะแหบหายเข้าไปในลำคอ

            “อือรู้ ก็ไม่ได้ทำเพราะว่าเป็นเนนี่”

            “…”

            ผมนิ่งเงียบไปเพราะไม่มีแรงจะเถียง ยิ่งเมื่อคืนออกไปนอนที่บันไดหนีไฟยิ่งทำให้ตั้งแต่คอจนถึงไหล่ปวดล้าไปหมด จะพลิกตัวทีนี่เหมือนกับว่ายกโลกทั้งใบ

            “ขอโทษ แล้วก็ขอโทษแทนเพื่อนด้วย เรื่องที่พูดออกไปเมื่อคืน” ไอ้ตุลนั่งสำนึกผิดอยู่ข้างๆผม ถ้ามีหู หูมันคงลู่ ถ้ามีหาง หางมันคงตก

            ผมไม่ได้โกรธอะไร แค่ไม่อยากจะฟังแค่นั้นเอง

            “ช่างเหอะ”

            “ขอโทษจริงๆ”

            “ช่างมัน”

            สุดท้ายก็จบลงด้วยความเงียบอีกครั้ง ตุลนั่งหันหลังให้ผมพิงโซฟาเหมือนอย่างเดิม ผมมองกลุ่มผมสีดำสนิทของมัน ทุกอย่างที่เป็นผู้ชายคนนี้ ล้วนเป็นความทรงจำที่ดีของเนทั้งหมด

            ‘ผมพี่ตุลโคตรนุ่มเลย’

            ‘พี่ตุลหล่อมากเลยนะมึง’

            ‘แขนกว้างจนแทบจะโอบกูได้สองคน’

            ‘กูรักพี่เขามากเลยว่ะ’

            และผมตอบเนไปแค่ว่า ‘โรคจิต’

            มันเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ

            ผมเอื้อมมือไปจับกลุ่มผมของไอ้ตุลที่นั่งนิ่งอยู่ มันทำท่าจะหันมาแต่ผมห้ามเอาไว้ ผมมันนุ่มอย่างที่เนว่า แล้วมันก็หล่ออย่างที่เนว่า ไหล่มันกว้างอย่างที่เนว่า

            เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย มึงถึงไม่อยากยกเขาให้ใคร เนติ

            “ทำไม”

            “เนเคยบอกว่าผมมึงนุ่มเหมือนขนแมว” ผมพูดเสียงแผ่ว ไอ้ตุลหัวเราะนิดๆ

            “งั้นเหรอ”

            “แต่กูว่าแข็งเหมือนหนังควายเลยว่ะ”

            “เฮ้ย พูดงี้ก็ไม่แฟร์ดิวะ”

            ไอ้ตุลหันหลังมาเหมือนจะหาเรื่องผมที่กำลังกลั้นขำตัวโยนเลยทำให้ใบหน้าของมันกับผมห่างกันไม่ถึงคืบ พิษไข้ของผมเริ่มทำให้ตาผมหนักจนแทบจะปิดลง

            “ขอบคุณที่ดูแลเนมาตลอด” ผมพึมพำ สิ่งสุดท้ายที่ได้ยิน คงเป็นเสียงที่กระซิบข้างหูว่า

            “ฝันดีครับ”

 

            ด้วยความถึกของร่างกาย ตกดึกผมเลยลากสังขารที่ยังไม่ค่อยหายไข้ดีออกมากินข้าวกับพวกไอ้เจลและไอ้สิท รวมถึงเพื่อนอีกคนที่ชื่อป้อง ตอนแรกพวกเราสี่คนว่าจะกินเหล้า แต่พอไอ้เจลรู้ว่าผมไม่ค่อยสบาย เลยเปลี่ยนจากกินเหล้าเป็นกินข้าวแทน

            จริงๆมีเพื่อนอีกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมชื่อไอ้ธาม ตอนนี้มันถูกส่งไปนอนกับจิงโจ้ที่ออสเตรเลีย

            “ทำไมเนถึงให้มึงสัญญาแบบนั้นวะ” ไอ้ป้องถามขึ้นหลังจากที่ผมเล่าเรื่องสัญญาของผมกับเนให้พวกมันฟัง ไอ้เจลกับไอ้สิทมองหน้าผมอย่างอยากรู้

            “ก็กูแลกสัญญากับเน ว่าอยากจะให้ใครสานต่ออะไร แล้วเนก็รักไอ้ตุลอะไรนั่นมากไง”

            “ไม่ใช่ คือหน้ามึงกับเนนี่ถ้าไม่รู้จักจริงจังก็แยกไม่ออกนะ” ไอ้เจลถามแทรก

            “กูไม่รู้ว่ะ เนมันก็แบบนี้แหละมึง กูเองยังไม่เคยเข้าใจเลยว่าฝาแฝดกูคิดอะไรอยู่”

            “แต่แบบนี้โคตรอันตรายเลยว่ะ” ไอ้เจลพูดขึ้นมาอีก ผมมองมันด้วยความไม่เข้าใจ

            “อันตรายอะไรวะ”

            “ไอ้ตุลเป็นแฟนเน แล้วมึงหน้าเหมือนเน มึงไม่คิดเหรอวะว่ามันจะเผลอไผลอะไรบ้างในเมื่อไอ้ตุลมันคิดถึงแฟนมันขนาดนั้นแล้วดันมีคนหน้าเหมือนแฟนมานอนอยู่ในห้องด้วย”

            ผมทำหน้าเบ้ใส่ไอ้เจลที่พูดอะไรไร้สาระ

            “บ้าป่ะสมหมาย ถึงฝาแฝดแต่ก็ไม่เหมือนกันว่ะ”

            “ไม่เหมือนกันเชี่ยไร ถ้าตัดเรื่องมึงนิสัยห้าวก้าวร้าวออกไป มึงกับเนแทบไม่ต่างกัน”

            “ก็จริงว่ะนิ กูว่ามีโอกาส 80% เลยที่ไอ้ตุลจะหันมาชอบมึง” ผมชะงักไปกับคำพูดของไอ้สิทแล้วมองหน้าเพื่อนๆทีละคน ไอ้เจลดูมีท่าทางเป็นห่วงผมที่สุด

            “แต่กูไม่ได้จะแย่งแฟนน้อง”

            “มึงโง่หรือแกล้งโง่วะนิ … แค่ไอ้เนบอกให้มึงมาดูแลแฟนมัน ทั้งๆที่มึงหน้าตาเหมือนเน แค่นั้นก็เหมือนกับเนอนุญาตให้มึงทำอะไรกับไอ้ตุลก็ได้ไม่ใช่เหรอไง”

            “…”

            ผมนั่งใบ้กินพูดอะไรไม่ออก แล้วมันก็จริงอย่างที่ไอ้เจลว่าจริงๆ เพราะผมลองมาย้อนอ่านข้อความที่คุยกับเน ไม่มีคำไหนเลยที่เนจะพูดว่า ‘ห้ามทำให้พี่ตุลรักเด็ดขาด’ มีเพียงแค่ว่า ‘มีมึงคนเดียวที่จะดูแลพี่ตุลได้’ ‘ถ้าวันนึงกูตาย ฝากดูแลพี่ตุลด้วยนะ’

            ตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งไร้สาระ

            ผมด่าเนกลับไปคำเดียวว่า ‘ห้ามพูดว่ามึงจะตายอีก ไม่งั้นไม่ต้องสะเออะมาคุยกับกู’

            บ้าเหอะ

            แต่ถึงยังไง ผมก็ไม่เคยคิดเรื่องรักบ้าบออะไรนั่นอยู่แล้ว

            แล้วไอ้ตุล มันต้องมีจิตสำนึกดิวะ ว่าผมกับน้อง มันคนละคนกัน!


            TBC
            -------------------------------
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 3 Love is Realize
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 30-07-2016 21:38:00
น่าสนุกน่าติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 3 Love is Realize
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 30-07-2016 21:56:19
มันจะต้องมีดราม่าแน่เลย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 3 Love is Realize
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 30-07-2016 22:36:18
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 4 Love is Suffering (03-08-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 03-08-2016 15:05:30
Chapter
4

           

            อีเมล์ฉบับหนึ่งถูกส่งเข้ามาในมือถือของผม พอกดดูเท่านั้นแหละชีวิตก็เหมือนล่องลอยอยู่ในอวกาศเป็นชั่วโมงๆ ทางปารีสไม่สามารถโอนวิชาที่ผมเรียนมาเรียนที่ไทยได้ เพราะหลักสูตรคนละแบบกัน

            ถ้ารู้ว่าจะโอนเรียนไม่ได้ ผมยอมเรียนวิชาธรรมดาที่มันมีในประเทศไทยดีกว่า

            “ทำอะไรน่ะ” ไอ้ตุลเดินออกจากห้องน้ำแล้วตรงเข้ามาหาผมที่นั่งจ่อหน้าโน้ตบุ๊คอยู่

            “ว่าจะหาที่เรียน แต่คิดอีกทีหางานทำเลยดีกว่า” ผมพูดเสียงเนือย

            ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเสียเวลาสองปีไปโดยไร้ประโยชน์เนี่ยนะ

            แล้วสิ่งที่พ่อผมพูด ก็ไม่ได้มีแววบังคับเหมือนแต่ก่อน

            ป๊าพูดแค่ว่า จะทำอะไรก็ทำไป ขอแค่ให้ผมอยู่กับป๊าก็พอ

            ความรู้สึกของผมกับพ่อไม่ได้ต่างกันเท่าไร เมื่อก่อนบ้านเราเคยมีกันสี่คน เป็นครอบครัวที่มีความสุข จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อผมถูกส่งไปต่างประเทศ เนออกจากบ้านมาอยู่กับแฟน แม่เองก็เป็นโรคซึมเศร้า

            สุดท้าย เราก็เหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งของสมดุล

            ถ้าขาดผมไปอีกคน ป๊าเองก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

            “แล้วที่เรียนที่นู่นโอนมาไม่ได้เหรอ” ไอ้ตุลถาม ผมพยักหน้า มันนั่งมองผมกดหน้าจอคอมไปเรื่อยโดยไม่ได้ถามอะไร มีเพียงแค่ความเงียบกับลมหายใจอุ่นๆแล้วก็กลิ่นแชมพูที่เนชอบใช้ที่ลอยฟุ้งไปหมด

            มันคงจะชินแล้วมั้งที่มีคนหน้าเหมือนแฟนตัวเองมานั่งอยู่ในห้อง เลยไม่มีอาการเหวอแตกหรืออะไรที่ดูน่ารำคาญสำหรับผม

            “ใช่แชมพูที่เนชอบใช้หรือเปล่า” ผมถามต่อ วันนี้เพิ่งจะได้กลิ่นมันชัดๆ เพราะสองสามวันก่อนผมได้กลิ่นแต่กลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่ตลบอบอวลไปทั้งห้อง

            “อือ”

            “ขอใช้มั่งได้ป่ะ” ผมหันไปถามเจ้าของห้อง ไอ้ตุลถอยหลังนิดๆพลางพยักหน้า

            “เอาดิ ใช้คนเดียวคงอีกหลายเดือนกว่าจะหมด”

            “เหอะ ของมึงเปล่าก็ไม่ใช่”

            “หึ ปากดีจังเลยครับ” ไอ้ตุลทำท่าจะคว้าผมไว้แต่ผมวิ่งหลบเข้าไปในห้องน้ำก่อน

            ผมนั่งลงตรงขอบอ่างอาบน้ำก่อนจะหยิบขวดแชมพูสีใสกลิ่นหอมอย่างที่เนชอบขึ้นมาดูแล้วมองดูรอบๆขวด ปกติผมใช้ห้องอาบน้ำที่อยู่ในห้องนั่งเล่นเลยใช้ของที่ตัวเองเตรียมมาแค่นั้น เนเคยถ่ายรูปแชมพูนี่มาให้ผมดูบ่อยๆแล้วก็บอกชอบนักชอบหนา เราเป็นฝาแฝดกัน แต่ผมกลับชอบอะไรที่ต่างจากเน

            มึงเคยรู้มั้ยว่าทำไมเราถึงต่างกัน

            เพราะมึงน่ารัก เวลาที่มึงเป็นตัวของมึงเองไง

            ผมทรุดตัวนั่งพิงขอบอ่างอาบน้ำทั้งๆที่มันเปียกพลางพิงตัวเองด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งๆที่เคยเป็นคนที่ไม่แคร์อะไรรอบข้างนัก แต่ยอมรับเลยว่าการที่เข้ามาอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของแฝดน้อง

            มันไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขมากนักหรอก

           

           

            “นิติ นิรันดร์กร” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นภายในห้องแอร์ที่เงียบสนิท ผมลุกจากโซฟาตรงไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะตรวจเอกสารแล้วกรอกข้อมูลที่จำเป็นลงในกระดาษสีขาวสามสี่ใบ

            “เริ่มงานวันจันทร์ได้เลยนะคะ วันเสาร์ก็แวะมาวัดชุด เอาค่าตัดชุดมาด้วย”

            “ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่พนักงานที่รับสมัครงานก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ผมตัดสินใจมาสมัครพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟชื่อดัง ใช้เวลาว่างไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะค่อยไปสมัครเรียนเอาใหม่ตอนปีหน้าในช่วงที่เขาเปิดรับสมัครกัน

            ผมเดินออกจากห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโดของไอ้ตุลก่อนจะชะงักไปเมื่อเจอใครบางคนลงจากรถแท็กซี่มาพร้อมกับเพื่อน

            ตุลาการเงยหน้ามาสบตากับผมเหมือนจะทักทาย แต่ผมกลับเบือนหน้าหนีแล้วเดินกลับไปเพื่อที่จะกลับไปที่คอนโดเมื่อหันไปเจอะกับเพื่อนของไอ้ตุลที่ชื่อว่าตาม คนที่มาห้องไอ้ตุลเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว

            ปกติผมเองก็ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครมากนักอยู่แล้ว ชีวิตคนเดียวมันสบายกว่าเยอะ

            “นิ” เสียงทุ้มๆที่ดังไล่หลังมาทำให้ผมชะงักฝีเท้า ผมหันไปมองคนที่วิ่งตามมา ตุลาการหยุดลงตรงหน้าผมก่อนจะถือวิสาสะเกลี่ยปรอยผมของผมทัดหู ผมถอยหลังแล้วมองมันอย่างคาดโทษ

            “กูกับมึงยังไม่สนิทกันถึงขั้นนั้นนะ”

            ไอ้ตุลยิ้มนิดๆ ก่อนจะยกถุงพลาสติกเล็กๆแนบลงที่ใบหูของผม

            “เนเคยบอกว่าซื้อให้พี่ชายก่อนจะถึงวันเกิดสองวัน แล้วก็ยังไม่ได้ให้ เพิ่งค้นเจอเมื่อเช้าน่ะ” คนตรงหน้ายื่นถุงพลาสติกที่บรรจุจิวต่างหูรูปดาวสีดำเอาไว้ ผมมองต่างหูนั่นด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนก่อนจะกำมันไว้ในมือแน่น

            ‘นิติอยากได้อะไรเป็นของขวัญหรือเปล่า’

          “ขอตัวนะ” ผมเดินหนีไอ้ตุลออกไปตามทางโดยไม่หันกลับไปมองคนข้างหลัง

            กำแพงที่ผมสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากความอ่อนแอ

            มันกำลังพังลง

            เพราะผมเข้าใกล้ความทรงจำของแฝดน้องเข้าไปเรื่อยๆ

            และถ้าถึงวันหนึ่ง วันที่ผมรู้ว่าเนมีค่าขนาดไหน ผมอาจจะยืนต่อไปไม่ไหวเหมือนตอนนี้

            สุดท้ายผมก็มาหยุดในที่ที่คิดว่ามันสามารถทำให้ผมลืมเรื่องราวทั้งหมดไปได้ แล้วก็มีสิ่งเดียวที่ทำให้คนสามารถลืมช่วงเวลาเจ็บปวดได้สักระยะ แม้จะเพียงแค่ช่วงหนึ่ง แต่มันก็ดีที่ไม่ต้องคิดอะไร

            ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองกระดกเหล้าเข้าปากไปกี่แก้ว รู้เพียงแค่ว่าสติเริ่มจะหลุดออกจากตัว ผมกดโทรศัพท์หาเบอร์ที่คุ้นเคยก่อนจะรอจนปลายสายรับแล้วพูดภาษาเอเลี่ยนรัวลงไปโดยจำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง รู้แค่อย่างเดียว…

            มันไม่เจ็บแล้ว

            มันไม่ทรมานแล้ว

            ไม่ต้องนึกถึงแม่และเนอีกแล้ว

            …

            “นิติ”

“นิติ!”

เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือที่แตะลงบนใบหน้าผมเบาๆ ผมค่อยๆลืมตาขึ้นจากความมืดพลางมองไปรอบๆตัวแล้วหันกลับมาโฟกัสคนที่กำลังพยุงผมเดินอยู่ข้างๆ

“ตุล?” ผมเลิกคิ้วสงสัย ตุลาการพยุงร่างของผมเข้าไปในห้องก่อนจะโยนผมลงบนเตียงกว้าง ผมนอนขดหันหลังให้เจ้าของห้องเพราะอาการปวดหัวมันประดังเข้ามาจนหัวแทบระเบิด

“Shit”

ปวดหัวฉิบ

“ใครใช้ให้กินเข้าไปเยอะขนาดนั้นวะ” ไอ้ตุลบ่น แต่เสียงที่ผ่านเข้าหูผมเป็นเพียงเสียงที่จับความไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะพิษเหล้า และมันเป็นคืนแรก

ที่ผมสามารถหลับสนิท โดยไม่ต้องตื่นขึ้นเพราะฝันร้าย

“ตกลงใครต้องดูแลใครวะเนี่ย”

             


            แสงที่แยงเข้าตาทำให้ผมค่อยๆพยุงร่างของตัวเองขึ้นมานั่ง สติที่ยังเข้าร่างไม่ครบทำให้มือของผมควานสะเปะสะปะไปทั่วจนไปสัมผัสเข้ากับสิ่งๆหนึ่งที่อยู่ข้างตัว มันคือตุ๊กตาเป็ดของเน เป็ดหน้าตากวนตีนที่สุดในโลกกำลังยิ้มเยาะผมอยู่

            มึงกำลังหัวเราะเยาะกูอยู่ใช่มั้ยเน

            ผมชกตุ๊กตาเป็ดเข้าจังๆที่หน้าจนหน้ามันบุบ ประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้องที่ยืนกอดอกพิงประตูมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม

            “ทีนี้ใครดูแลใครกันแน่” ไอ้ตุลย้อน ผมมองสภาพตัวเองที่เหลือแต่เสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์เหี่ยวๆ

            “เหอะ” อยากจะหัวเราะ แต่มันออกมาแค่นั้น

            “ดีนะที่ยังรู้จักโทรมาหา ไม่งั้นป่านนี้โดนเสี่ยที่ไหนอุ้มไปขายแล้วก็ไม่รู้” ผมหันขวับมองคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมแถมยังมีใบหน้าที่กวนประสาทจนอยากเอาฝ่าเท้าประทับสักสามสี่ที

            “กูโทรหามึงเหรอ” จำได้ว่าผมไม่ได้กดโทรเบอร์ไอ้ตุล แล้วก็ไม่มีเบอร์ไอ้ตุลด้วย

            ผมโทรหาไอ้เจลนี่

            “อือ ใช้เครื่องของเนโทรมา” ผมชะงักไป…

            เฮ้ย กูจำได้ว่ากดเบอร์เจล

            ขนผมลุกซู่ซ่าด้วยความหลอนประสาท ถึงเนจะเป็นแฝดน้อง แต่ถ้าจะหลอกกันก็อย่ามาหลอกกันแบบนี้ได้มั้ยวะเฮ้ย ถึงจะพกโทรศัพท์สองเครื่อง แต่ผมไม่เคยคิดจะหยิบโทรศัพท์ของเนมาใช้เลย

            อโหสิกันนะเนนะ ถึงพี่มึงจะห้าวขนาดนี้ แต่ก็ไม่ใช่กูไม่กลัวอะไรนะเว้ย

            ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เรื่องลี้ลับเป็นเรื่องลี้ลับของมันไป ข้าวของผมอยู่ครบไม่ได้ถูกปล้นไปแถมยังกลับมานอนที่ห้องได้อย่างปลอดภัยครบสามสิบสองถือว่าเป็นเรื่องดี

            “ทีนี้รู้หรือยัง ว่าเหล้ามันดียังไง” เจ้าของห้องถามขึ้น แล้วเดินหนีออกไป ผมเบะปากใส่มันด้วยความไม่พอใจ เออรู้ แต่ก็ไม่ได้เมาเหมือนหมาอย่างมึงแล้วกัน

            ผมพยุงตัวเองเข้าไปห้องน้ำ ตอนนี้ถือว่าห้องน้ำของไอ้ตุลเป็นห้องน้ำของผมไปแล้วโดยปริยาย เพราะเจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะโวยวายอะไรที่ผมเข้ามายุ่มย่ามกับของใช้ส่วนตัวของมันกับเน เอาจริงๆแล้วผมชอบใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำมากกว่าออกไปข้างนอก

            เพราะมันไม่ต้องเห็นความทรงจำที่ดีของเนมากสักเท่าไร

            มันก็มีเพียงแค่กลิ่นอายของความเป็นเนติอยู่เท่านั้นเอง

            หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็ค่อยๆเดินออกไปนั่งจุ่มที่โซฟาก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นไอ้ตุลยืนกินน้ำนิ่งๆอยู่ที่หน้าครัว มันเหม่อมองออกไปราวกับว่ากำลังนึกถึงสิ่งที่เคยมี กำลังนึกถึงผู้ชายที่มันรัก

            ทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ มันถูกส่งผ่านโดยเนติให้กับผมที่อยู่ที่ปารีส ผมรู้แม้กระทั่งสีเตียง สีผ้าม่าน สีของโซฟา สีของไฟ สีของพรมก่อนที่จะเข้ามาเหยียบในห้องของตุลาการ

            ผมหันไปมองผู้ชายที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนอยู่ที่หน้าห้องครัวแล้วก็ต้องนิ่งไปเมื่อน้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาเรียวของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของแฝดน้องของผม ผมนั่งเงียบอยู่กับที่จนกระทั่งไอ้ตุลรู้สึกตัวแล้วปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเอง มันหันมามองผมแล้วยิ้มจางๆ

            “เดี๋ยวออกไปข้างนอกนะ”

            ทั้งผมและไอ้ตุลไม่มีใครอยากจะอยู่ในห้องนี้นักหรอก เพราะว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่ไอจางๆของเนอยู่ทั่วไปหมด ผมทักขัดเจ้าของห้องก่อนที่มันจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

            “มึงโอเคนะ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงถามออกไปแบบนั้น ถ้าเป็นวันแรกที่ผมมาเหยียบที่ห้องนี้ คงจะมีเพียงแค่คำพูดที่ว่า มึงต้องโอเค เพราะกูจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเน

            ไอ้ตุลหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเหนื่อยล้า ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ มันนั่งลงข้างหน้าผมที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะก้มหน้าแล้วกำมือสองข้างเอาไว้แน่น

            “มันอาจจะผิด แต่… ขออย่างได้ไหม” เสียงทุ้มๆของคนตรงหน้าสั่นเครือ ผมมองไอ้ตุลนิ่งๆ

            “อือ”

            “ขอกอดทีได้ไหม” ผมนิ่งไป มันเป็นคำขอที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันกลับทำให้ใจผมหล่นฮวบไปอยู่ตาตุ่ม ผมรู้ว่าผมกับเนไม่ต่างกันมากอย่างที่ไอ้เจลบอก มีเพียงแค่ความก้าวร้าวของผมเท่านั้นที่ทำให้ฝาแฝดอย่างเราต่างกัน

            แต่พอเวลาที่ผมลดทิฐิของตัวเองลง

            ผมกับเนก็เหมือนคนๆเดียวกัน

            ผมไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้อนุญาต ตุลาการยันตัวเองขึ้นมาคุกเข่าพลางกอดผมเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นกอดครั้งสุดท้าย จมูกโด่งๆกดลงที่ไหล่ของผมพร้อมกับแผ่นหลังที่สั่นนิดๆ

            อย่างที่เนว่าไม่มีผิด

            อ้อมกอดของไอ้ตุล เมื่อสวมกอดผม มันกว้างและใหญ่ราวกับเป็นที่พักพิงได้อย่างดี

            ผมแตะมือลงบนหลังของไอ้ตุลเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่ามันชักจะนานเกินไปแล้ว เจ้าตัวถึงได้ค่อยๆถอนออก ไม่มีคำพูดใดๆต่อจากนั้น ตุลาการเพียงแค่ลุกขึ้นแล้วเดินกลับห้องปิดประตูแล้วขังตัวเองเอาไว้

            ซึ่งทั้งหมดนี่ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก

            เน … กูจะทำตามสัญญาของมึงได้นานขนาดไหนกัน

            ในเมื่อมันทรมานราวกับจะฉีกหัวใจกูออกเป็นชิ้นๆแบบนี้


            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 4 Love is Suffering
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 05-08-2016 22:56:22
โอ้ยยยยย ชอบ หลงเสน่ห์นิติสุดๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 4 Love is Suffering
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 06-08-2016 00:13:06
โอ๊ย ดราม่าแฝด ชอบๆ แอบขำเรื่องเนลี้ลับ เสียดายตัวละครเนติเหมือนกันนะ คนที่อ่อนโยนและเข้มแข็งต่อให้จากไปคนก็ยังนึกถึงอยู่ตลอด  :L2:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 5 Love is Disaster (09-08-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 09-08-2016 18:10:37
Chapter
5
[/b]

 

   ตั้งแต่วันที่ไอ้ตุลขอกอดผม เราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก อาจจะเป็นเพราะว่าผมและมันต่างคนต่างก็รู้สึกผิด ตุลาการเป็นแฟนน้องชายของผม ผมเป็นพี่ชายที่หน้าตาเหมือนเน มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกที่ไอ้ตุลอาจจะเห็นผมเป็นตัวแทนของเน

   ประจวบเหมาะกับที่ผมได้งานที่ร้านกาแฟ ผมเลยออกจากห้องตอนเช้าตรู่กว่าจะกลับก็ล่อไปเที่ยงคืนกว่า ถึงห้องก็อาบน้ำล้มตัวลงนอนหลับเป็นตาย

   จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ผมกับไอ้ตุลก็ยังไม่คุยกัน

  “สายๆโว้ย” ผมสบถแล้วคาบขนมปังปิ้งไว้คาปาก มืออีกข้างกระชับเสื้อยูนิฟอร์มของร้านกาแฟแล้วพยายามจะติดกระดุมพร้อมทั้งดึงกางเกงขึ้นมาใส่

   งานเข้าเก้าโมง แต่ผมดันหลับไม่รู้เรื่องจนตอนนี้แปดโมงสี่สิบห้าแล้ว

   จู่ๆเจ้าของห้องที่มักจะหมกตัวอยู่ในห้องนอนก็เปิดประตูผ่างออกมา ผมหันไปมองผู้ชายตัวสูงที่สวมเสื้อยืดสีดำตัวใหญ่กับกางเกงบอล หัวของไอ้ตุลยุ่งยิ่งกว่ารังนก คนตัวสูงเดินออกจากห้องแล้วเดินเลยผมไป มันไปก้มๆเงยๆอยู่ที่โซฟาก่อนจะถามขึ้น

  “เนเห็นนาฬิกาข้อมือของตุลมั้ย”

   ผมชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อของเน ไอ้ตุลดูจะไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา มันเกาหัวแกรกๆอยู่หน้าโซฟาพลางหันมามองผมที่ยังกึ่งเปลือยอยู่หน้าครัว

   ไอ้ตุลนิ่งไปเมื่อเห็นหน้าของผม มันลูบใบหน้าตัวเองหนักๆสองสามทีแล้วยืนเอามือปิดหน้าผากนิ่งอยู่แบบนั้นราวกับเพิ่งนึกได้ว่า เนตายไปแล้ว
 
  “เอ่อ โทษที เพิ่งตื่นน่ะ” คนตรงหน้าผมเดินตรงกลับไปที่ห้องพลางฟาดประตูปิดลง ผมไม่รู้ว่าไอ้ตุลหมกอยู่ในห้องทำอะไร แต่เท่าที่ดูจากสภาพมันแล้วคงทุ่มแรงอ่านหนังสือจนไม่หลับไม่นอนแล้วประสาทหลอนไป

   แต่แบบนี้ไม่ดีเลย...เน มึงคิดถูกเหรอวะที่ให้กูมาดูแลแฟนมึง

   ไม่ใช่ว่าผมควรจะปล่อยไอ้ตุลให้เจอคนใหม่แล้วลืมเนไปอย่างงั้นเหรอ แบบนั้นมันน่าจะดีกว่าให้มันทรมานกับฝันร้ายทุกคืนทุกวันเมื่อเห็นหน้าผม

   ผมไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลที่คั่นระหว่างไอ้ตุลกับผมไว้ ถึงจะอยู่ห้องเดียวกัน แต่ระยะห่างของผมกับมันไกล เหมือนมันเป็นโลก และผมอยู่นอกอวกาศ

   ช่วงวันแรกๆ ผมมั่นใจในตัวเองเหลือเกินว่าอยากจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเน ผมไม่เคยผิดสัญญา แต่ตอนนี้ ยิ่งเห็นไอ้ตุลทรมาน ผมชักคิดว่าผมไม่ควรจะทำตามสัญญานั้น

   ฝ่ามือของผมวางลงบนประตูไม้หมายจะเคาะเรียกคนด้านใน แต่มันกลับชะงักไปเมื่ออีกใจสั่งให้ผมรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเน ผมถอนฝ่ามือออกแล้วเดินตรงไปที่ครัวด้วยความหงุดหงิด

   ที่มึงหมายความว่าให้กูดูแลไอ้ตุล กูต้องดูแลมันยังไงวะเน ทำข้าวให้กินทุกเช้า ดูแลมันเวลาซุ่มซ่าม คอยชวนมันคุย คอยเล่นตลกให้มันดูแบบนี้เหรอวะ

   สุดท้ายผมก็ทิ้งความสงสัยไว้กับกระดาษโพสอิท ไข่ดาวและไส้กรอกสองชิ้นไว้ให้คนที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องก่อนจะพาตัวเองออกไปทำงาน

   ถ้าการดูแลไอ้ตุลหมายถึงการดูแลชีวิตประจำวันของมัน

   ผมว่าผมไม่จำเป็นหรอกมั้ง

 

   ตีหนึ่งครึ่ง

   ผมลากสังขารตัวเองกลับจากร้านกาแฟมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของตุลาการด้วยความอ่อนล้า แค่อาทิตย์เดียวผมถูกใช้งานยิ่งกว่าลูกทาส ทั้งเช็คสต็อก เช็คของ เช็คเงิน ทำความสะอาดร้านบ้าบอคอแตก

   สาบานได้ว่าถ้าไม่มีโบนัสให้ผมจะระเบิดร้านแม่งให้เป็นจุล

   หลังจากไขกุญแจเข้าไปในห้องสำเร็จ ผมก็เดินไร้วิญญาณไปทรุดตัวลงนอนที่โซฟา ไม่อยากอาบน้ำ ไม่อยากสนใจบ้าบอ   อะไรทั้งสิ้น เปลือกตาทั้งสองข้างที่กำลังจะปิดลงชะงักไปเมื่อหางตาของผมไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องนอนของไอ้ตุล

   มันไม่ออกไปไหนเลยทั้งวันเหรอ

   ผมยันตัวเองลุกจากโซฟาแล้วเดินไปหยุดหน้าประตูไม้ ก่อนจะเคาะเบาๆ ไม่มีสัญญาณตอบรับ ผมเลยถือวิสาสะเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไปแล้วมองสภาพห้องที่ผมไม่ได้เข้ามาเหยียบเกือบอาทิตย์

   … fuck

   ถึงไอ้ตุลจะไม่ได้ทำรกข้างนอก แต่ข้างในสภาพไม่ต่างกับตอนแรกที่ผมมาเจอมันเลย

   กลิ่นเหล้า กลิ่นเบียร์ กลิ่นบุหรี่หึ่งตลบอบอวลไปหมด

   เจ้าของห้องนอนก่ายอยู่ข้างเตียง ที่พื้นมีหนังสือกฎหมายเล่มหนาเตอะ ไหนจะชีทอะไรกระจัดกระจายไปหมด ผมถอนหายใจแล้วมองขวดเหล้าที่กองระเกะระกะบนพื้น

   ชีวิตมันต้องเดินต่อไปมึงรู้มั้ยวะตุล

   ผมเก็บขวดเหล้า กระป๋องเบียร์ยัดใส่ถุงดำแล้วค่อยๆนั่งเก็บชีทของไอ้ตุลไปวางที่โต๊ะ โทรทัศน์ที่ถูกเปิดค้างขึ้นจอสีดำมันก็ยังไม่คิดจะปิด ผมหยิบหนังสือเล่มหนาเตอะที่วางอยู่ข้างตัวของผู้ชายที่เนชมนักชมหนามาเปิดดู

   กฎหมายเป็นพันๆข้อทำผมปวดหัว

   ผมวางหนังสือลงบนเตียงแล้วเขย่าตัวคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง ไอ้ตุลสะลึมสะลือแล้วครางในลำคอ

  “อือ”

  “ลุกมานอนดีๆดิวะ” มือของผมจะยื่นไปดึงแขนคนตรงหน้า แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างแรง ผมขมวดคิ้วด้วยความรำคาญแต่ยังไม่ทันที่จะตะคอกออกไปไอ้ตุลก็สะอื้นออกมาเสียงแผ่ว

   ไอ้ขี้แย

  “เน … ตุลขอโทษ ตุลขอโทษ”

    มันพร่ำคำว่าขอโทษไม่ยอมหยุด แถมยังร้องไห้เป็นวักเป็นเวร ผมทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าของตุลาการพลางตบหน้ามันเบาๆ เจ้าตัวลืมตาขึ้นจากอาการเมาเหมือนหมา

   “เน … ตุลขอโทษ ถ้าตุลไปรับเน เนก็ไม่ตาย…” ไอ้ตุลสะอื้น ผมเม้มริมฝีปากแน่น

  “เลิกโทษตัวเองสักทีเถอะว่ะ มันน่าสมเพช”

  “เน ตุลรักเนนะ เน” วงแขนกว้างของไอ้ตุลถลาเข้าล็อคเอวผมแล้วซุกใบหน้าของมันลงบนไหล่ของผมโดยไม่แม้แต่จะขออนุญาต ผมพยายามดันหน้าของไอ้ตุลออกไป แต่ดันทำไม่ได้

  “เน … เน … เนทิ้งตุลทำไม”

  “มึงทิ้งกูทำไม”

  “เนไม่ตายได้มั้ย”

  “กูขอให้มึงไม่ตายได้มั้ย”

   มันเหมือนมีเสียงก้องอยู่ในหัว ผมทรุดตัวลงนั่งปล่อยให้ไอ้ตุลปล่อยโฮลงบนไหล่ของตัวเองพร้อมกับเสียงเรียกชื่อฝาแฝดน้องของผมที่ค่อยๆทำลายกำแพงของผมลงทีละนิด

  “มึงไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้คนเดียวก็ได้นะนิ”

   เสียงของไอ้สิท ไอ้เจลสะท้อนก้องในหัวของผม จนผมเริ่มจะทนมันไม่ไหว

   ผมผลักร่างของไอ้ตุลจนหลังมันกระแทกเข้ากับโต๊ะวางโคมโฟ ด้วยแรงกระแทกจากคนตัวใหญ่ๆทำให้โคมไฟทำท่าจะร่วงลงใส่ร่างของคนตรงหน้า ผมรีบยื่นมือเข้าไปคว้าโคมไฟนั่นก่อนที่มันจะฟาดลงบนหัวของคนที่เมาไม่รู้เรื่อง

   นี่ไม่ใช่เวลามาอ่อนแอไอ้นิ… มึงต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งให้ได้

  “ไอ้เชี่ยตุล ลุก!!!”

   ผมตะคอกเสียงดังลั่นแล้วเอาขาเตะไหล่ไอ้ตุลอย่างแรง คนที่สะลึมสะลือกึ่งเมากึ่งหลับอยู่เมื่อกี้ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม

  “เน…”

  “กูนิติ เนตายไปแล้ว เข้าใจมั้ยวะ!!!” เสียงของผมดังจนทำให้ไอ้ตุลสะดุ้งเล็กน้อย มันมีท่าทางว่าจะตั้งสติได้บ้าง ก็ดีจะได้คุยกันรู้เรื่อง ไอ้ตุลขยี้หัวตัวเองแล้วลุกขึ้นมานั่งบนเตียง

   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง

  “เลิกทำตัวเหมือนเด็กป.4 ที่ต้องให้กูมาบอกว่าอะไรควรทำไม่ควรทำได้แล้ว เนตายมึงก็ต้องอยู่ต่อให้ได้ ไม่ใช่ทำตัวเป็นไอ้ขี้เมาไปวันๆแบบนี้!” ผมพูดออกไปด้วยความหงุดหงิดและโมโห แต่เหมือนกับว่าไปจุดไฟให้ลุก

   จากไอ้ตุลที่ดูจะเป็นคนใจเย็นหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเกรี้ยวกราด มันปราดเข้ามาบีบไหล่ผมแล้วตะคอกกลับเสียงดัง

  “กูจะทำอะไรก็ชีวิตกู!!! ใครจะเหมือนมึง น้องชายแท้ๆตายยังไม่มีน้ำตาสักหยด!!! ถามจริงเหอะนิติ มึงเคยเสียใจที่เนตายบ้างมั้ยวะ!!!”

   ผมชะงักไปกับคำพูดของไอ้ตุล คำพูดที่เจ้าตัวเผลอพูดออกมาเพราะความโมโห พอรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา ไอ้ตุลถึงได้จับแขนของผมแล้วมีท่าทีอ่อนลง

   “นิ … ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ…”

   ก้อนหินนับร้อยก้อนที่ถ่วงอยู่ในหัวใจเหมือนพร้อมใจกันระเบิด สมดุลที่ขาดหายไปทำให้ใจผมเหวี่ยง ผมหันหลังเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องนอนของไอ้ตุลแล้วคว้ากระเป๋าเป้ที่ใส่เสื้อผ้ามาก่อนจะยัดเสื้อผ้าทั้งหมดลงในกระเป๋า ไอ้ตุลเดินตามออกมาห้ามผมเอาไว้

  “ขอโทษ นิ … ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

  “ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมึงก็พูดออกมาแล้ว มันย้อนกลับไปแก้อะไรไม่ได้”

   ผมคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายหลังแล้วเดินออกจากห้อง ไม่ลืมที่จะโยนกุญแจห้องกลับไปให้ไอ้ตุลที่เดินตามออกมาเพื่อจะร้องขอและขอโทษไม่ให้ผมไป

  “เอาคืนไป กูไม่มีเหตุผลที่จะต้องดูแลมึงอีกแล้ว”

   TBC
   มีความดราม่าไปอี๊กกกกกกกกกกก  :sad4: :sad4:

หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 5 Love is Disaster
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 16-08-2016 20:06:51
อึดอัดจนอยากร้องให้ แต่ชอบนะคะ :katai1:
รอติดตามนะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 5 Love is Disaster
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 17-08-2016 00:02:42
บีบหัวใจสุดๆ ตามนิกลับมาให้ได้นะ

เค้าว่ากันว่าคนที่แข็งนอกมักจะอ่อนใน โดยดูจากการกระทำ

ชอบเรื่องนี้ มาต่อไวๆนะคะ
ปล ขอแนะนำให้ใส่วันที่ที่อัพตรงชื่อเรื่อง ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยมาลง ตามอ่านทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 6 Love is Release (23-08-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 23-08-2016 19:44:49
Chapter
6

           

            ควันไอน้ำสีขาวลอยฟุ้งไปทั่วห้องน้ำ กระจกใสขึ้นฝ้าจนแทบจะมองไม่เห็นคนที่นั่งกอดตัวเองอยู่ภายใต้สายน้ำ ทุกอย่างมันอาจจะเป็นบททดสอบจิตใจของ นิติ นิรันดร์กร ผู้ชายอายุ 22 ที่จากบ้านไปสองปีกว่า ก่อนที่น้องชายฝาแฝดของเขาจะขับรถตกสะพานและแม่ผู้เป็นที่รักตรอมใจตายตามลูกไป

            มันอาจจะเป็นบททดสอบเพื่อทำให้เขาเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม

            งั้นหรือ?

            “กูจะทำอะไรก็ชีวิตกู!!! ใครจะเหมือนมึง น้องชายแท้ๆตายยังไม่มีน้ำตาสักหยด!!! ถามจริงเหอะนิติ มึงเคยเสียใจที่เนตายบ้างมั้ยวะ!!!”

            คำพูดของไอ้ตุลก้องอยู่ในหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            แม่กับน้องชายแท้ๆตาย ใครบ้างจะไม่เสียใจ

            มึงมีสิทธิ์พูดมากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร มึงเป็นแค่แฟนน้องกู มึงไม่ใช่คนในครอบครัว

            “ละมึงจะให้กูทำไงวะสิท ไปต่อยหน้าไอ้ห่าตุลที่พูดจาหมาๆใส่ไอ้นิเหรอ”

            “กูก็เข้าใจไอ้ตุลนะเว้ย แต่ไม่ใช่ไอ้ตุลคนเดียวหรอกที่ต้องมีใครดูแล มึงดูสภาพไอ้นิดิวะ”

            ผมนั่งเงียบฟังบทสนทนาของเพื่อนสองคนที่เถียงกันอยู่ด้านนอกห้องน้ำ เสียงโครมครามดังขึ้นด้านนอกไม่ได้ทำให้ผมละสายตาไปจากกำแพงห้องที่มีรูปเป็ดสีเหลืองแปะอยู่บนฝาผนัง

            “กูไม่เข้าใจเนเลยว่ะ เนทำแบบนี้เพราะอะไรวะ”

            “บางทีเนอาจจะคิดถูกก็ได้นะ”

            “อะไรของมึงอีกครับคุณปกป้อง”

            “เอ้า ก็มึงคิดดู คนนึงแฟน คนนึงแฝดพี่ ต่างคนต่างต้องการอ้อมกอดใครสักคนช่วยพยุง มึงลองคิดดีๆเจล กูว่าที่เนทำไม่ใช่ไม่มีเหตุผลหรอกว่ะ”

            “อย่าบอกนะมึง”

            “เออดิ กูว่าเรื่องนี้ต้องมีเงี่ยนงำแน่ๆ”

            “พ่อง”

            ถ้าเป็นเวลาปกติผมอาจจะขำกับมุขนั่น แต่ตอนนี้แค่จะขยับกล้ามเนื้อบนหน้ายังยากเลย ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงแล้วที่ผมนั่งจับเจ่าอยู่ท่ามกลางสายน้ำทำตัวเหมือนเป็นพระเอกเอ็มวี เจ็บนี้มิอาจลืม

            ‘ก๊อกๆ’

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้องน้ำพร้อมกับเสียงของไอ้เจลที่ตะโกนแทรกขึ้นมา

            “นิ เป็นไรป่ะวะ นี่จะสามชั่วโมงละนะมึง ออกมาก่อนที่ไข้จะแดกเหอะ!”

            ไม่เป็นไร

            ผมอยากพูดออกไป แต่ทำได้เพียงนั่งหุบปากเงียบๆแล้วมองสายน้ำที่ค่อยๆไหลลงท่อ สามชั่วโมงแล้วเหรอ ไม่ยักรู้เลยแฮะ เหมือนกับผ่านไปแค่สิบนาที

            “เฮ้ยนิ ตายยังวะ”

            “โหควายป้อง ปากเสียไอ้ห่า”

            “นิ ออกมาเหอะ พวกกูเป็นห่วงนะ” เสียงไอ้สิทดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝ่ามือทุบเบาๆที่ประตู

            ขาสองข้างผมค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนจะยกมือปาดหยดน้ำออกจากใบหน้าของตัวเองแล้วเสยผมที่เปียกชุ่มขึ้นไป ผมเดินร่างไร้วิญญาณไปที่ประตูพลางบิดลูกบิดเปิด

            “เหี้ย!!!”

            “ออกมาเลยออกมา ปากมึงม่วงหมดแล้ว” ไอ้เจลลากผมออกจากห้องน้ำแล้วให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ มันเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหัวผม ส่วนไอ้สิทก็รีบไปเอาชุดมาให้ผมเปลี่ยน

            “ไอ้ตุลแม่ง น่าเอาฝ่าตีนประทับปากมันซักที” ไอ้สิทบ่นแล้วก็ช่วยผมเปลี่ยนชุดไปพลางๆ

            ขอบคุณพวกมึงนะ ที่ดูแลกูขนาดนี้

            มีแค่พวกมึง กูก็เข้มแข็งได้

            ไอ้เจลเอาผ้าห่มคลุมร่างของผมแล้วกอดผมเอาไว้จากด้านหลังเพื่อให้ตัวผมอุ่นขึ้น เจลมันก็เหมือนพี่ชายของผม มันดูแลผมทุกอย่าง ไม่ว่าเวลาไหนที่เดือดร้อน ไอ้เจลจะโผล่หน้ามาเป็นคนแรกเสมอ

            ถึงผมกับมันจะไม่ได้คุยกันเกือบสองปี แต่พอกลับมา ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนไป

            “เฮ้ยนิ เพื่อนกูที่อยู่คอนโดเดียวกับไอ้ตุลโทรมาบอกว่าไอ้ตุลจะย้ายออกว่ะ”

            ผมหันไปมองหน้าไอ้ป้องที่ถือโทรศัพท์คาไว้ที่หู ผมกับไอ้สิทมองหน้ากัน ดูเหมือนไอ้สิทจะไม่เข้าใจว่าการย้ายออกของตุลหมายความว่ายังไง

            แต่ผมเข้าใจดี

            ตุลาการกำลังจะตัดใจจากเนติ

            ซึ่งถือเป็นเรื่องดี

            ดีมากๆ

            ปล่อยเนไปได้แล้วตุล เนมันไปสบายแล้ว

 

            สามวันที่ผมมาขออยู่บ้านไอ้เจล เช้าออกไปทำงานเย็นกลับแล้วก็หลับเป็นตาย จนกระทั่งมานั่งไล่ดูข้อความในโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง บทสนทนาที่ผมคุยไว้กับเน

            “มึงไม่คิดจะหาอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันเหรอวะ กลับไปเรียนที่ฝรั่งเศสก็ไม่มีใครว่านะเว้ย” ไอ้เจลนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ข้างๆผม ผมหันไปมองมันนิดๆพลางนอนพิงหลังมัน

            “ไม่ว่ะ กูไม่อยากให้ป๊าอยู่คนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้น กูจะได้ไปทัน”

            เพราะผมอยู่ไกลถึงครึ่งโลก ตอนที่เนตายผมเลยไม่ได้ฟังแม้แต่เสียงของเน ตอนที่แม่ตายผมยังไม่แม้แต่จะได้ห้าม คราวนี้ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ผมสาบานว่าผมจะสู้กับยมทูตให้ตายไปข้าง

            ผมเลื่อนข้อความของเนไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปสะดุดกับบางอย่าง

            ‘กูซื้อนี่ไว้ให้ แต่ยังไม่รู้จะส่งไปยังไง ปารีสนี่ไกลจัง มึงจะเหงามั้ยเวลาอยู่คนเดียว’

            เป็นข้อความที่ผมอ่านแต่ไม่ได้ตอบ อาจจะเป็นเพราะว่ายุ่งอยู่กับการทำงานพิเศษที่ปารีส ผมกดรูปดูสิ่งที่เนซื้อไว้ให้ มันเป็นสร้อยข้อมือหนังสีน้ำตาล มีจี้สีทองรูปจระเข้ห้อยอยู่

            ‘กลับบ้านไวๆนะนิ กูคิดถึง’

            ผมได้ของจากไอ้ตุลแค่อย่างเดียวคือต่างหูที่ผมใส่ติดตัวอยู่ตอนนี้ ของที่เนซื้อไว้ให้ผม แต่สร้อยข้อมือนั่นผมยังไม่ได้ และพรุ่งนี้ผมจะไปทวงคืนจากมัน

            ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมกับไอ้ตุลอาจจะเข้าหน้ากันไม่ติดแล้วก็ตาม

            มีหลายข้อความที่ผมเพียงแค่อ่านและไม่ได้ตอบเน ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีอะไรมากเลยเพราะไม่นึกว่าเนจะจากไปเร็วขนาดนี้ ผมไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยคิดจะคุยกับแฝดน้องของตัวเอง เพราะคิดตลอดว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก

            อย่างที่เขาว่าจริงๆ

            ครั้งสุดท้าย มักไม่มีสัญญาณเตือน

 

            ตอนเช้าผมตรงกลับไปที่คอนโดเก่าของไอ้ตุล เจ้าของคอนโดให้ที่อยู่ใหม่ของมันมาเพราะยังมีจดหมายบางส่วนที่จะถูกส่งมาที่คอนโดเพราะมันยังไม่ได้แจ้งเรื่องย้าย ผมเลยนั่งรถแท็กซี่ตรงไปที่คอนโดใหม่ที่ไอ้ตุลไปซื้ออยู่

            ผมหยุดอยู่ที่หน้าประตูคอนโดที่ใหม่ เรื่องที่ตุลมันเคยพลาดผิด ผมก็ถือว่าแล้วก็แล้วกันไป ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในเมื่อมันไม่ใช่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท

            ผมก็ไม่มีอะไรต้องแคร์มัน

            แล้วตอนนี้มันก็ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ที่ไม่มีความทรงจำของเนเหลืออยู่

            ถือซะว่าสัญญาของผมลุล่วงไปด้วยดี

            มันจะได้เลิกร้องไห้แล้วก็เลิกเมาเหมือนหมาสักที

            ‘ออด’

            ผมกดออดข้างประตู ไม่นานนักเจ้าของห้องก็เดินมาเปิด ไอ้ตุลดูตกใจที่เห็นผมยืนอยู่ตรงหน้า มันหลบตาผมก่อนจะเปิดประตูอ้ากว้างให้ผมเดินเข้าไป

            “เข้ามาสิ”

            สภาพห้องยังคงรกเลอะเทอะอย่างเคย แต่รกกันคนละแบบ รอบแรกที่ผมเจอตุลาการ ห้องมันเลอะเพราะความทรงจำเก่าๆ แต่ที่นี่ ทั้งกลิ่นใหม่ ทั้งฟอร์นิเจอร์ใหม่ ความทรงจำใหม่ๆกำลังถูกแทนที่

            ไม่มีกลิ่นอายของเน ไม่มีความทรงจำของเน

            แปลกที่ผมรู้สึกดี

            “กูมาเอาของ สร้อยข้อมือที่เนเคยซื้อให้ กูยังไม่ได้คืน” ผมหันไปพูดกับไอ้ตุลที่มองหน้าของผมไม่ละสายตา

            “นิ … หายโกรธผมหรือยัง” คนตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ผมกลอกตาไปมา

            “กูมาเอาของคืน สร้อยข้อมือหนังสีน้ำตาลที่มีจี้รูปจระเข้”

            “ผมขอโทษจริงๆ วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจพูดออกไป ยกโทษให้ผมนะ”

            ตกลงไอ้ตุลาการนี่มันได้ฟังสิ่งที่ผมพูดหรือเปล่าวะ

            “บอกไปแล้ว ว่าเราไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก”

            “แต่ผมไม่สบายใจ”

            “งั้นก็เลิกพูดเหอะ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป กูไม่ติดใจอะไร”

            ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ตุลาการหันไปค้นลังกระดาษลังหนึ่งแล้วหยิบกล่องใสที่ใส่ข้าวของยื่นมาให้ผม

            “นี่ของทั้งหมดของเน เอากลับไปให้หมดเลยก็ได้”

            ทุกอย่างตั้งแต่รูปคู่ รูปของเน ของใช้ส่วนตัวอยู่ในกล่องนี้หมดรวมไปถึงสร้อยข้อมือที่เนตั้งใจซื้อให้ผม แบบนี้ … ไอ้ตุลกำลังตัดใจจากเนแล้วจริงๆสินะ

            ผมก้าวขาเพื่อจะเดินออกไปจากห้องหลังจากที่ธุระของผมจบลง แต่เสียงขลุกขลักที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง ไอ้ตุลกำลังแบกลังกระดาษคนเดียวซึ่งดูท่าจะหนักเพราะมันกำลังเซไปเซมา แล้วแถมมันยังต้องจัดห้องคนเดียวที่ดูเหมือนต้องใช้เวลาซักอาทิตย์ถึงจะลงตัว ผมถอนหายใจเบาๆ

            กล่องใสที่บรรจุความทรงจำชิ้นสุดท้ายของเนถูกผมวางลงบนโต๊ะข้างตู้วางรองเท้า ผมเดินเข้าไปช่วยไอ้ตุลพยุงกล่องกระดาษที่โคตรจะหนักจนแทบจะทำให้คนที่คิดจะยกมันคนเดียวเกือบจะล้มหัวคะมำเมื่อกี้ ตุลาการดูตกใจที่เห็นผมเข้ามาช่วย พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยความเกรงใจ

            “ผมยกเองได้ ไม่เป็นไรหรอก นิกลับไปเถอะ”

            “เหอะ นอกจากปากจะหมาแล้วยังจะหัวแข็งอีกเนอะ ตัวเองจะล้มอยู่แล้วยังจะบอกว่าไหว” ผมกับไอ้ตุลวางกล่องที่บรรจุหนังสือเรียนของมันลงบนโต๊ะกินข้าว ไอ้ตุลก้มหน้ามองของในลังอยู่แบบนั้น

            “แล้วนิล้มแรงขนาดนั้น ไหวเหรอ…” คำพูดของไอ้ตุลทำให้ผมถึงกับนิ่งไป

            ใช่ ... ผมล้มแรง ผมเสียสมดุลของตัวผมเองไป มันเหมือนเสียขาสองข้าง ตอนนี้ผมกำลังใช้มือเดินแล้วลากร่างของตัวเองไปตามทาง และพร่ำบอกตัวเองว่าไหว ผมเข้มแข็ง

            “ถ้าไม่ไหว กูคงไม่ยืนอยู่แบบนี้หรอก” ผมว่าแล้วช่วยไอ้ตุลแบกของอย่างอื่น

            ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะลงตัว ผมนั่งหอบอยู่ข้างโซฟาพลางปาดเหงื่อที่ไหลเปรอะใบหน้า ไอ้ตุลยื่นกระป๋องน้ำอัดลมให้ผมพลางนั่งลงข้างๆ

            “แปลกนะ พอออกจากห้องนั้นมา ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดแล้ว”

            “ก็ดีแล้วนี่ อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นความทรงจำที่ดีไป อย่าให้มันมาทำลายตัวมึง” ผมพูดเสียงแผ่ว ไอ้ตุลหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มที่ผมไม่ค่อยได้เห็นปรากฏบนใบหน้าของผู้ชายที่เนรัก ผมเพิ่งสังเกตว่าไอ้ตุลมีลักยิ้มที่แก้มซ้าย

            “แต่บางที ก่อนที่จะเริ่มต้นใหม่ เราก็ควรระบายความเจ็บปวดออกไปให้หมดก่อนนะ”

            “…”

            ไอ้ตุลหันมามองหน้าผมก่อนจะใช้ฝ่ามือของมันสัมผัสลงบนหัวทุยๆของผม

            “คนที่เจ็บเหมือนกัน ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว”

            TBC
            มาต่อแล้วนาจาาา ขอบคุณที่ติดตามกัน  :mew1: :mew1:

             
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 6 Love is Release (23-08-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 23-08-2016 23:52:35
น่าติดตามมาก ชอบความแข็งของนิติอ่ะ ดูเป็นตัวละครที่น่าสนใจทีเดียว
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 6 Love is Release (23-08-59)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 24-08-2016 09:10:21
อา ขอให้ทั้งสองคนมีความสุขมากๆนะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 6 Love is Release (23-08-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 24-08-2016 09:32:12
เย้ๆมาต่อแล้ว ชอบเรื่องนี้อ่ะ อ่านเหมือนได้กำลังใจในตัว 55555 ชอบนิติสุดๆมีเสน่ห์ดี
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Mistake (02-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 02-09-2016 20:33:14
Chapter
7

 

            ทำไมไอ้เวรตุลาการนั่นมันชอบทำเหมือนรู้ไปหมดทุกเรื่องวะ

            ผมถอนหายใจเบาๆแล้วเดินไปตามทาง ชีวิตของผมตอนนี้เหมือนอย่างที่ไอ้เจลว่า ผมใช้ชีวิตทิ้งไปวันๆไร้จุดหมาย บางทีคนที่ควรจะทิ้งอดีตไม่ใช่ไอ้ตุลที่พยายามอ่านหนังสืออย่างหนักเพราะใกล้จะเรียนจบในปีหน้า

            แต่เป็นผมที่ยังเรียนได้แค่ครึ่งแต่ดันต้องลาออก

            “I said I won’t go back” (ก็บอกแล้วไงว่าไม่กลับไป) ผมคุยโทรศัพท์กับโจแอนนา เธอไม่ยอมหยุดตื้อ แม้ผมจะอยู่ห่างจากเธอครึ่งโลก มันน่ารำคาญเป็นบ้า

            (please come back, I beg you …) (ได้โปรดกลับมา ฉันขอร้อง)

            “No”

            (please Niti … I can’t forget you, I love you …)

            ผมกดวางสายก่อนจะถอดซิมโทรศัพท์หักทิ้งแล้วโยนลงจากสะพานข้ามแม่น้ำด้วยความหงุดหงิด สาบานได้นี่เป็นครั้งแรกที่ผมปรี๊ดแตกแบบนี้

            ทำไมต้องทำเหมือนผมเป็นคนเดียวของเธอ

            ความรักนี่มันงี่เง่า ทั้งๆที่เจ็บ ทำไมต้องยอมทนวะ

            ผมไม่ได้รักเธอ

            เลิกเพ้อเจ้อสักที

            ผมโบกแท็กซี่ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อซิมใหม่มาใส่เครื่อง ก่อนเพิ่งนึกได้ว่าข้อความที่คุยกับเน มันหายไปหมดแล้วเพราะผมโยนซิมโทรศัพท์ทิ้งไป

            ไอ้เชี่ยนิ มึงโคตรโง่

            ทั้งๆที่ผมควรจะบอกตัวเองว่าให้หยุด แต่ผมกลับเปิดโทรศัพท์ของเนขึ้นมาแล้วเลื่อนดูข้อความที่ผมกับเนคุยกัน ผมไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของเน

            แต่ผมคิดถึงเน

            มีเพียงข้อความที่เราคุยกันที่ยังบ่งบอกถึงตัวตนของเน

            คนที่ควรจะทิ้งอดีตไปแล้วเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ไอ้ตุล แต่เป็นตัวผมเอง

           

 

            หลังจากที่ผมไม่มีอะไรติดค้างกับผู้ชายที่ชื่อตุล ผมก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย แต่มันเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ชักนำให้ผมเข้าใกล้ไอ้ตุลมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ผมยึดโทรศัพท์เนมาใช้

            วันแรกผมไปเอาสร้อยข้อมือ พอหลังจากอ่านข้อความที่เนคุยกับผม มันก็ยังมีของของเนที่อยู่กับไอ้ตุลที่ผมอยากจะได้คืนอีกเยอะแยะเพราะข้อความที่เนส่งมาหาผมในโปรแกรมแชทมันมีมากมายมหาศาล วันที่สองผมไปเอาเสื้อผ้าของเนคืน วันที่สามผมไปเอารองเท้าของเนคืน วันที่สี่ผมไปเอาหนังสือเรียนคืน

            และวันที่ห้า ผมมายืนอยู่หน้าห้องของไอ้ตุลด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

            เจ้าของห้องเปิดประตูแล้วเดินนำผมเข้าไปเหมือนรู้ว่าผมมาทำอะไร

            “มึงเอาของๆเนที่มึงมีทั้งหมดคืนมาเลยเหอะ กูขี้เกียจมาทุกวัน” ผมบ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้วมองไอ้ตุลที่ยืนยิ้มโชว์ลักยิ้มอยู่ที่โซฟา

            “มันเยอะจนลืมแล้วว่ามีอะไรบ้าง ของที่เห็นชัดๆก็ใส่กล่องไปให้แล้วไง”

            “โว้ย สมองมึงนี่ ถ้ามันครบกูจะกลับมาเอาทำซากอะไรวะ!!”

            ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องนอนใหม่ของไอ้ตุลก่อนจะนิ่งไป บรรยากาศห้องนอนเก่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นแชมพูของเนตอนนี้เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมๆของน้ำหอมกลิ่นใหม่ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตุลาการเปลี่ยนแชมพู สบู่ทุกอย่างที่เนชอบใช้เป็นแบบใหม่หมด

            มึงเข้มแข็งเร็วกว่ากูอีกตุล

            ตอนนี้กูยังไม่สามารถหยุดอ่านข้อความของเนได้เลย

            ผมเดินกลับออกมาจากห้องนอนพลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเหมือนเป็นห้องของตัวเอง เจ้าของห้องมีสีหน้าดีขึ้นกว่าแต่เก่า ขอบตาก็ไม่คล้ำเป็นหมีแพนด้า

            “เวลาเนอยู่กับมึง เนเป็นคนแบบไหนวะ” ถึงจะเป็นคำถามที่ดูอึดอัด แต่ไอ้ตุลกลับไม่อึดอัดที่จะตอบ กลับกันใบหน้าของมันเปื้อนรอยยิ้มเวลาพูดถึงเนติ

            “เนเป็นคนน่ารัก ขี้งอนหน่อยๆ ขี้โวยวายแต่พอซักพักก็จะมาอ้อน”

             “เนติดนิสัยชอบซื้อของที่อยากได้ ไม่ว่าแพงขนาดไหนก็ซื้อ ของถึงได้เต็มห้องไปหมด ชอบเอาแต่ใจตัวเอง แต่พอดุก็จะถามว่า ถ้าไม่รักก็ไปรักคนอื่นเลยไป”

            “…”

            เนในสายตาของผม เป็นเด็กผู้ชายขี้งอแง งอแงในความหมายของผมคือน่ารำคาญ งี่เง่า พูดมาก ชอบทำตัวบ้าบอ เพ้อเจ้อไปวันๆ เอาแต่พูดพร่ำถึงเรื่องความรักบ้าบอคอแตก

            “มึงไม่รำคาญบ้างเหรอวะ เวลาเนงอแง” ผมถามเสียงเรียบ ไอ้ตุลนั่งลงข้างๆผมพลางถอนหายใจ

            “เวลาคนเรามีความรัก ต่อให้มันน่ารำคาญแค่ไหน เราก็จะมองผ่านมันไป”

            “…”

            “เคยได้ยินมั้ยความรักทำให้คนตาบอด” นิยามน้ำเน่าที่ผมไม่เคยเชื่อว่ามันจะมีจริง

            “น่ารำคาญว่ะ”

            “ผมก็เคยคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก จนได้เจอเน” ไอ้ตุลดูมีความสุขที่พูดถึงเน แต่ผมไม่ แค่จะยิ้มผมยังยิ้มไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

            มันเหมือนกับว่าทั้งๆที่ผมเป็นฝาแฝดของเน ผมยังไม่เคยเห็นข้อดีของฝาแฝดของตัวเอง

            ผมถอนหายใจแล้วมองหน้าไอ้ตุลก่อนจะลุกขึ้นยืน เจ้าของห้องมองหน้าผมด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถามผมก็พูดขัดขึ้นก่อน

            “เอาของๆเนมาให้หมด กูขี้เกียจมาใหม่แล้ว”

            ตุลาการยิ้มนิดๆเหมือนกับว่าเรื่องที่ผมพูดมันตลกมากนัก

            “ไม่หมดหรอก ต่อให้ขนไปทั้งห้องก็ไม่หมดหรอกนิติ” ผมขมวดคิ้ว ไอ้ตุลเงยหน้าขึ้นมามองผม ดวงตาสีดำสนิทของมันเหมือนห้วงอวกาศที่จะดูดใครก็ตามที่จ้องมองมันเข้าไป

            “เพราะผมเองก็เป็นของๆเนเหมือนกัน”

 

 

           ไม่รู้ว่าคำพูดของตุลาการมีนัยยะแฝงหรืออะไรหรือเปล่า รู้เพียงแค่ว่ามันกวนใจผมอย่างยิ่ง หลังจากกลับจากซื้อของกับไอ้เจลที่ห้าง ผมก็มานอนกลิ้งอยู่บนเตียงอ่านข้อความในโทรศัพท์ของเนแล้วมองเพื่อนสนิทที่นั่งวาดแผนการแข่งบาสอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ

           ไอ้เจลเป็นนักบาสของมหา’ลัย ตอนนี้มันเรียนอยู่ปีสามคณะเกษตร ด้านหลังบ้านมันมีสวนแปลงผักอยู่ แถมยังมีรสนิยมชอบเลี้ยงงูและรักงูเหมือนลูก ผมลืมบอกไปว่าชื่อเจลเนี่ยย่อมาจากไนเจล มันเป็นลูกครึ่ง ที่ผมสามารถบอกได้ว่าครึ่งคนส่วนอีกครึ่งไม่รู้อะไร

            ล้อเล่น

            มันเป็นลูกครึ่งไทย ออสเตรเลีย

            มันถึงได้สูงชะลูดเหมือนเสาไฟฟ้าขนาดนี้ไง

            “เจล” ผมเรียกชื่อคนที่มีสีหน้าจริงจังกับการวางแผนการซ้อมบาสฤดูหนาวปลายปีนี้

            “หือ”

            “มึงยังไม่เคยเล่าให้กูฟังเลยนะ ว่าแฟนคนล่าสุดมึงชื่ออะไร” ไอ้เจลหันหลังพรวดพราดจนแทบจะตกเก้าอี้ เจ้าตัวมีสีหน้าตระหนกตกใจกับคำถาม ผมขมวดคิ้วกับท่าทีเก้อๆของมัน ที่ผมถามเพราะว่าเคยได้ยินจากไอ้สิทว่าที่เจลมันยุ่งๆไม่ได้ติดต่อผม นอกจากเรื่องพ่อกับแม่ ก็มีเรื่องแฟนคนล่าสุดของมันเนี่ยแหละ

            เป็นไรวะ

            “ถามอะไรตอนนี้วะแห้ง กูเสียสมาธิหมด”

            “ก็กูอยากรู้ เผื่อวันนึงกูตายไป กูก็อยากรับรู้เรื่องคนรอบตัวบ้าง” เพื่อนสนิทของผมหันมาทำตาขวางใส่ ไอ้เจลวางงานของมันลงแล้วเดินมานั่งลงบนเตียงตรงหน้าผม

            “ห้ามพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีก”

            “พูดว่าจะตายน่ะเหรอ”

            “แห้ง!!!” ไอ้เจลตะคอกใส่ผมแล้วยกหมอนมาฟาดด้วยความโมโห ผมกลิ้งหลบอย่างง่ายดายก่อนที่จะถูกไอ้เจลคว้าตัวเอาไว้ มันกอดผมไว้หลวมๆ

            “ถ้ามึงตาย กูจะไม่ให้อภัยตัวเองที่ดูแลมึงไม่ดีพอ”

            ผมนิ่งไป พลางบีบแขนไอ้เจลเบาๆ

           “ถ้าสมมติมึงเป็นแฟนกู แล้วกูตายไป มึงจะรู้สึกยังไงวะ” ผมถามเพื่อนด้วยความสงสัย ไนเจลถอนหายใจเบาๆแล้วกอดผมแน่นขึ้นไปอีก

           “กูรู้นะว่ามึงอาจจะคิดว่าคนเป็นแฟนคงไม่รู้สึกถึงความรู้สึกของฝาแฝดที่เสียอีกคนไป”

           “…”

           “แต่คนเป็นแฟน มันทรมานพอๆกัน เพราะหัวใจของตัวเอง ให้อีกคนไปแล้ว”

           “อือ”

           “แล้วยิ่งถ้าเขาตายแล้ว มันก็ไม่มีคนดูแลหัวใจดวงนั้นได้ดีเท่าคนเก่าอ่ะ”

           ไอ้เจลพูดเสร็จมันก็ขยี้หัวผมเบาๆแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตามเดิม ผมนอนเหม่อมองออกไปยังประตูกระจกที่สามารถมองเห็นดวงจันทร์จากระเบียงชั้นสอง

           บางทีที่ผมเห็นไอ้ตุลมันยิ้มๆ แต่ในใจของมันอาจจะกำลังฝืนยิ้มก็ได้

           แล้วผมควรจะทำยังไง ระหว่างให้มันทำตัวเป็นไอ้ขี้เหล้า กับ ให้มันฝืนยิ้มเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน

 

 

           ขอบคุณพระเจ้าที่สร้างผมขึ้นมาให้ขี้สงสัยขนาดนี้

           อยากจะทุบหัวตัวเองสักสามรอบ ในมือของผมมีของอยู่สองอย่างที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติก ข้างซ้ายขวดเหล้า ข้างขวาขวดน้ำผลไม้ ผมอยู่หน้าห้องไอ้ตุล และผมต้องการทดสอบมันว่าผมควรจะปล่อยให้มันทำสิ่งไหนดีกว่ากัน

           ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับรอยยิ้มของเจ้าของห้องเหมือนทุกครั้ง

           ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องที่ไร้กลิ่นอายของเนก่อนจะนั่งลงบนพื้นพรมสีครีม ไอ้ตุลเดินตามมาพลางเลิกคิ้วสงสัยแล้วมองผมที่หยิบขวดเหล้าและขวดน้ำผลไม้ออกมาจากถุง

          “หือ อะไรน่ะ”

          “มึงมานั่งนี่” ผมเรียกเจ้าของห้องให้เดินมานั่งข้างหน้า ไอ้ตุลเดินมานั่งข้างหน้าผมแต่โดยดีไม่มีปากเสียงอะไร มันมองหน้าผมด้วยความไม่เข้าใจ

          “กูจะให้มึงเลือกสองอย่าง และมึงต้องซื่อสัตย์ ถือซะว่าเนจับผิดมึงอยู่บนสวรรค์”

          “ห่ะ” ไอ้ตุลดูงงแดกมาก แต่ผมไม่คิดจะอธิบายอะไรมากกว่านั้น

          "ในใจมึงจริงๆแล้ว มึงรู้สึกยังไงตอนนี้”

           คนตรงหน้าขมวดคิ้วจนเป็นโบว์เบ้อเริ่ม ไอ้ตุลทำท่าจะถามแต่ผมขัดไว้ก่อน

          “กูอาจจะผิดที่ทำให้มึงต้องฝืนยิ้ม ถ้ามึงไม่อยากฝืนก็ไม่เป็นไรนะกูเข้าใจ แต่ไงดีวะ คือกูก็ไม่อยากเห็นมึงเมาเหมือนหมา ถ้าเนรู้เนคงเสียใจ แต่กูก็ไม่อยากให้มึงฝืนตัวเองว่ะ เข้าใจมั้ยวะ” คำพูดของผมโคตรผิดหลักตรรกะ มันวนไปวนมาเหมือนอยู่ในโอ่ง

           แต่ดูเหมือนไอ้ตุลจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร มันชี้นิ้วไปที่ขวดน้ำผลไม้

          “แล้วนี่อะไรครับ”

          “ก็ถ้ามึงโอเคกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วรอยยิ้มนั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่มึงฝืน ก็ดี เนจะได้สบายใจ”

           ผมอ้างความสบายใจของเน แต่จริงๆมันคือความสบายใจของผมล้วนๆ ถ้าขืนไอ้ตุลมันฝืนยิ้มอย่างที่ผมเข้าใจถูก แล้วถ้าเกิดผมไม่คิดจะทำอะไร เนอาจจะลุกขึ้นมาจากหลุมศพแล้วบีบคอผมให้ตายตามกันไปก็ได้

           หลังจากที่อ่านข้อความของเนแล้ว ผมยอมรับว่าหัวผมอ่อนลง ผมรู้สึกผิดกับน้องชายฝาแฝดที่รักผมมากมายเท่าท้องฟ้าแต่ผมกลับเห็นค่ามันแค่เล็บขบ

           ผมอยากเข้าใจในสิ่งที่เนทำ อยากใกล้ชิดกับเนมากกว่านี้

           ผมที่ไม่เคยทำอะไรให้เน ผมอยากจะรักษาสัญญา

           ให้ชัวร์ ว่าคนที่เนรักโอเคแล้วจริงๆผมถึงจะหยุดทุกอย่างลง

           “ขวดเหล้าคือผมยังลืมเนไม่ได้ ส่วนขวดน้ำผลไม้คือผมลืมเนได้แล้วและพร้อมเริ่มต้นใหม่งั้นใช่มั้ย” ไอ้ตุลอธิบายในความเข้าใจของมัน ผมพยักหน้านิดๆ

           “อือ ตามนั้น เลือกซะ กูจะได้รู้ว่าควรจะทำไงต่อ”

           “ทำไงต่อ?”

           “กูสัญญากับเนไว้ไงจำไม่ได้เหรอ ว่าจะดูแลคนรักของเนให้ ไม่อยากให้ค้างคาโอเค้?” ผมขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงกวนบาทา แต่ไอ้ตุลทำเพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ

           “เลือกเลย” ผมนั่งนิ่งกอดอกมองผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายที่ดูเข้ากับเนอย่างที่ใครเขาว่ากัน ตุลมันตัวใหญ่ มันกอดเนทีเดียวเนก็จมแล้ว ตุลมันอบอุ่น ผู้ชายตรงสเปคคนขี้เอาแต่ใจแบบเน ไอ้ตุลมันใจเย็น คอยรับอารมณ์ของเนได้เสมอ

           ไม่แปลกใจที่เนจะรักมัน ถึงขนาดที่ว่าตายไปแล้ว ยังมีอิทธิพลส่งถึงคนอื่นให้รู้สึกสงสารไอ้เวรนี่

           ตุลาการนั่งกอดอกมองขวดเหล้าสลับกับขวดน้ำผลไม้ด้วยความหนักใจ เมื่อผมเห็นมันใช้เวลานานมากในการตัดสินใจผมเลยโพล่งขึ้นด้วยความหงุดหงิด

           “นี่ไม่ใช่ข้อสอบไอ้ห่า เลือกผิดก็เลือกใหม่ได้ ลีลาจัง กูไม่ได้มีเวลาทั้งวันมานั่งมองมึงส่ายหน้าเป็นพัดลมหรอกนะไอ้…”

           ผมสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อมือของไอ้ตุลไม่ได้หยิบขวดเหล้าหรือขวดน้ำผลไม้ แต่มือของตุลกลับยื่นมาจับปลายคางของผมแล้วดึงเข้าไปหามันพร้อมกับริมฝีปากของตุลาการที่แนบลงบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด

           เท้าของผมยกขึ้นถีบท้องไอ้ตุลกระเด็นออกไปอย่างอัตโนมัติ ผมมองไอ้ตุลที่ลงไปขดตัวกุมท้อง

           “โอ้ยเจ็บ”

           “มึงเผลออีกหรือไง” ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่จูบกับไอ้ตุลคือมันบอกว่าเผลอนึกว่าผมเป็นเน

          ถ้ามันเผลออีกรอบผมจะต่อยมันจริงๆ

          “เปล่า ก็ผมเลือกไม่ถูก” ไอ้ตุลเงยหน้ามองผม

          “เอ้า เลือกไม่ถูกแล้วไมไม่บอกวะ กูไม่ใช่เนนะถึงได้จูบเอาๆเนี่ย”

          “ผมไม่ได้โง่นะนิ”

          “มันมีหลายครั้งที่มึงโง่นะ”

          “ก็ไม่รู้จะเลือกอะไร ผมเลยเลือกนิแทน”

           ---------------------------
           TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Mistake (02-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 02-09-2016 21:26:08
หืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Mistake (02-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 02-09-2016 22:52:04
“ก็ไม่รู้จะเลือกอะไร ผมเลยเลือกนิแทน"
แจ่มว้าวมากตุลย์ แอบรู้สึกตกใจอ่ะ แต่ในทางบวกนะ เหมือนจะเห็นสัญญาณอะไดีๆจากทั้งคู่เลยแฮะ

แต่อย่าลืมนะว่าจริงๆแล้วคนที่คิดมากคิดเยอะคิดๆๆๆๆๆวุ่นวายไปหมด คือ นิติ นิติทำให้เรานึกถึงคนกลัวจากผูกพันธ์กับใครซักคน เพราะไม่อยากเจ็บปวดเลยเลือกที่จะไม่ผูกใจกับใครไว้ แต่นิติคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มผูกพันธ์กับตุลย์ทีละนิดด้วยความรู้สึกตัวเอง โดยไม่ผ่านเนอีกแล้ว ถึงได้ซื้อเหล้ากับน้ำผลไม้มาให้ตุลย์เลือก

ชอบบบบบบบบบบ จะรอตอนต่อไป ว่าตุลย์จะโดนลูกถีบอีกกี่รอบ5555

หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 8 Love is Foolish (07-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 07-09-2016 19:05:27
Chapter
8

           

     ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรหลังจากที่ตุลาการพูดคำพล่อยๆแบบนั้นออกมา ไม่รู้ว่ามันคิดก่อนพูดมั้ย หรือไม่รู้ว่าในสมองมันมีอะไรอยู่ รู้เพียงแค่ว่าไม่กี่นาทีผมก็มาหยุดยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่ไร้ผู้คนพร้อมกับคิ้วสองข้างที่ขมวดเป็นปม

     ผมไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่คนที่รู้ว่าสถานการณ์ที่เจอเมื่อกี้มันคืออะไร

     เน … มึงต้องการอะไรวะ มึงรู้หรือเปล่าว่าคนอ่อนแอมักจะโอนอ่อน

     มึงรู้หรือเปล่า ว่าคนที่สูญเสียใครสักคน แค่ใครอีกคนมาทำดีใส่ เขาก็รู้สึกดีด้วยซะแล้ว
 
     เพราะแบบนี้ไง ผมถึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของน้องชายฝาแฝด

     โถ่เว้ย ใครจะบ้าดูไม่ออก
 
     ผมโดนไอ้ตุลจูบสองรอบ รอบแรก ใช่ ดูรู้ว่ามันเผลอ แต่รอบที่สอง มันไม่ได้เผลอ ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจเลือกผม…

     ใครจะโง่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า

     ถูกมีความรู้สึกดีๆด้วย

     ผมจะไม่พูดไปมากกว่านี้ จะไม่ตัดสินใจว่าที่ไอ้ตุลมีท่าทีแปลกๆพักหลัง ที่มันยิ้มบ่อยขึ้นเวลาเจอหน้าผม ที่มันชอบแกล้งผมแล้วหัวเราะมีความสุข ทั้งคำพูดจาที่ดูเหมือนอยากจะให้ผมระบายสิ่งที่อยู่ในใจ ทำตัวเหมือนอยากเป็นที่พักพิงให้กับผม

     ผมจะไม่คิดมากไปกว่านี้ จะไม่คิดว่าไอ้ตุลยิ้มให้ผม เพราะผมเป็นมากกว่า คนรู้จัก

     การที่แฟนของน้องชายแอบมีความรู้สึกดีๆให้

     มันก็ทำให้ผมเหมือนตกนรกทั้งเป็น

 

     ผมใช้เวลาทั้งวันไปกับการนอนอยู่เฉยๆ ข้างๆมีกล่องกระจกใสใหญ่ๆที่มีงูใบไม้สีเขียวเลื้อยไปตามกิ่งไม้ที่ไอ้เจลเอามาใส่ไว้ ผมมองงูตัวเล็กๆอย่างไม่รู้สึกเบื่อ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่า ผมไม่ได้ใส่ใจมันเลยสักนิด ในสมองของผมตอนนี้ มีแต่เรื่องว่าควรจะทำอะไรต่อดี

     บางที ผมควรจะทำให้ตัวเองยุ่งเพื่อที่จะไม่ต้องมานั่งคิดฟุ้งซ่าน

     ถ้าตอนนี้ผมเรียนอยู่ฝรั่งเศส คงจะดีกว่า

     Rrrr Rrrr

     เสียงโทรศัพท์ของเนดังขึ้นเล่นเอาผมสะดุ้ง ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครโทรเข้ามาตั้งแต่ผมได้โทรศัพท์มาจากไอ้ตุล ผมหยิบโทรศัพท์ของเนมาดูชื่อคนโทรเข้าก่อนจะนิ่งไป

     มันคือชื่อของผู้ชายที่ผมไม่อยากจะสนทนาด้วยตอนนี้

     มันคือคนที่ทำให้ผมคิดมาก

     มันคือไอ้เวรที่น้องชายผมสั่งให้ดูแลเพราะกลัวว่าแม่งจะคิดสั้นตายตามแฟนไป

     ผมเลือกจะวางโทรศัพท์ไว้นิ่งๆ แต่มันโทรไม่หยุด จนสุดท้ายด้วยความรำคาญผมจึงกดรับ ยังไม่ทันที่จะได้ตะคอกด่า เสียงจากปลายสายที่ไม่ใช่เสียงไอ้ตุลก็รัวมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

     “นิหรือเปล่า กูตามนะเพื่อนไอ้ตุล มาที่คอนโดมันเดี๋ยวนี้เลย ไอ้ตุลจะฆ่าตัวตาย!!!”

     “!!!”

     นั่นเป็นความคิดที่ โคตรโง่เลยให้ตายดิ!!

     ผมรีบดิ่งตรงไปที่คอนโดของตุลาการ ก่อนจะผลักประตูห้องเข้าไป ภาพที่เห็นคือห้องที่ผมเพิ่งจะออกไปตอนบ่ายๆตอนนี้กลับกลายเป็นกองขยะไม่ต่างจากห้องเก่า ผู้ชายที่ชื่อตามเพื่อนของตุลยืนกุมขมับอยู่หน้าห้องน้ำ ผมรีบปราดเข้าไปยืนข้างๆมันพลางชะงักไป

     ภาพตรงหน้าของผมคือผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่กำลังทำตัวเองให้เหมือนไอ้ขี้แพ้ ผู้ชายที่ผมเคยคิดว่ามันเข้มแข็งเร็วกว่าตัวผมเองกำลังถือมีดโกนจ่อลงบนข้อมือ ดวงตาที่ว่างเปล่าของตุลาการเป็นคนละคนกับที่ผมเคยรู้จัก

     โชคดี ที่มันทำเพียงแค่ค้างไว้แบบนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะกรีดมันลงไป

     “กูพูดกับมันมันก็ไม่ตอบ พอจะเข้าไปดึงออกก็กลัวว่ามันจะกรีดข้อมือตัวเอง” ไอ้ตามว่า ใบหน้าของมันซีดพอๆกับไก่ต้ม ผู้ชายตัวโตซะเปล่าแต่ใจโคตรเล็กยิ่งกว่าปลาซิว ผมผลักร่างของไอ้ตามให้พ้นทาง มันทรุดลงไปนั่งข้างเตียงแล้วมองเพื่อนของมันที่นั่งเงียบอยู่ในห้องน้ำ

     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเดินเข้าไปหาตุลาการ มือจะคว้ามีดโกนออกไปแต่ไอ้ตุลกลับฝืนเอาไว้ มันเงยหน้ามองผม ดวงตาแดงก่ำที่บ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนักมันทำให้ผมสมเพช

     คนที่คิดจะฆ่าตัวตายมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ทางออกมีเป็นร้อยเป็นพันทาง

     “เนอยากมีชีวิตอยู่แต่ไม่มี มึงมีชีวิตอยู่แต่ไม่อยากมี … โง่หรือเปล่า” ผมพูดเสียงเรียบ ทั้งๆที่ในใจโมโหอยากต่อยมันให้เลือดอาบ

     “กูไม่อยากสั่งสอนมึงนะตุล เพราะมึงโตแล้ว มึงควรคิดอะไรเป็นมากกว่าคำว่าจะตาย”

     คนตรงหน้าของผมยังคงไม่เอามีดโกนออกจากข้อมือ ทั้งๆที่มันกำลังมองหน้าผมด้วยแววตาอ้อนวอน เจ็บปวด ขอร้อง

     ผมรู้ว่าไอ้ตุลรักเนมาก ผมรู้ว่าเนรักตุลมาก แต่วันนึงมันก็ต้องมีวันจากลา แค่ไม่รู้ว่าจะช้าหรือเร็ว ผมรู้ว่าจิตใจมันย่ำแย่ ผมรู้ว่ามันอาจจะซึมเศร้าที่ขาดเนไป

     แต่ตอนเกิดมา เนไม่ได้เกิดมาพร้อมมัน ทำไมมันถึงอยู่มาได้วะ

     ทำไมไม่คิดวะไอ้ห่า

     “กูเคยนึกนะว่ามึงเข้มแข็ง แต่ไม่นึกเลยว่ะ ว่ามึงจะโง่ขนาดนี้ … เนคงเสียใจ ที่มีแฟนห่วยฉิบหายแบบมึง” ตอนนี้มีคำๆเดียวที่ผมอยากพูดกับมันคือคำว่า โง่ โง่ดักดาน โง่ฉิบหาย ชีวิตมีดีๆอยากจะเอาไปทิ้ง

     โง่

     ผมไม่คิดจะกล่อมอะไรอีก แต่หันหลังแล้วจะเดินออกไปจากห้องน้ำ เสียงอะไรบางอย่างกระทบกับพื้นกระเบื้องก่อนที่วงแขนของตุลจะคว้าเอวของผมกอดเอาไว้

     ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากใคร มีเพียงแค่เสียงลมหายใจหนักๆของไอ้ตุลที่ฟังดูเหนื่อยล้า

     “กูผิดเองที่รู้สึกดีกับมึงนิติ … ทำไมวะ ทั้งๆที่เนเพิ่งไป พอมึงเข้ามาทำดีด้วยหน่อย กูกลับมีแต่ภาพมึงในหัว …”

     แต่กลับเป็นผมเองที่ได้แต่นั่งแข็งเป็นก้อนหิน วงแขนของตุลกระชับกอดแน่นขึ้น จมูกโด่งๆและหน้าผากของมันจรดลงบนแผ่นหลังของผม

     “กูรู้สึกผิดกับเน แต่ใจกูกลับคิดถึงแต่มึง”

     อย่านะ อย่าพูดคำนั้นออกมาเชียว…

     “กูชอบมึงว่ะนิ

     “…”

     “ชอบจนอยากจะเริ่มใหม่กับมึง อยากดูแลมึงเหมือนที่มึงดูแลกู ไม่ใช่เพราะอยากดูแลมึงเพราะว่ามึงเป็นฝาแฝดของเน …”

     “…”

     “กูผิดมากมั้ย … ที่เวลานึกถึงเนทีไร กลับมีมึงเต็มหัวไปหมดเลย”

     มันอึดอัด ยิ่งกว่าเอาหินมาถ่วง ตอนนี้ในอกผมเหมือนกับแบกโลกไว้ทั้งใบ มันหนัก มันหน่วงจนอยากจะหายตัวได้ อยากจะย้อนเวลากลับไป อยากนอนอยู่บนเตียงที่ฝรั่งเศสแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าทั้งหมดนี่มันเป็นฝัน

     “นิ … กูขอโทษ … กูละสายตาจากมึงไม่ได้จริงๆ”

     “คนที่มึงควรขอโทษไม่ใช่กู … แต่เป็นเน” ผมว่าแล้วสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของตุลพลางจะเดินหนี แต่กลับนิ่งไป

     เพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ เพราะมันรู้สึกผิดกับเนที่ชอบผมมันถึงจะฆ่าตัวตายงั้นเหรอ

     โง่เป็นบ้าเลย

     “มึงนี่มัน … โคตรโง่เลยว่ะ”

 

 

     ผมที่ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุให้ไอ้ตุลจะฆ่าตัวตายไม่ได้หนีหายไปเหมือนครั้งก่อนๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่ใช่คนผิด แต่ผมกลับรู้สึกแย่

     เนรู้แน่ๆว่าอะไรจะเกิดขึ้น เนรู้ว่าตุลจะต้องรักผมเข้าสักวัน

     ทำไมผมถึงไม่ทันแผนของเนวะ

     ถ้ารู้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นแบบนี้ ผมจะไม่สัญญากับเน

     ผมนั่งรอไอ้ตุลคุยกับเพื่อนของมันอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก จนกระทั่งไอ้ตามเดินออกมาขอบคุณผมที่ช่วยเพื่อนของมันไว้ก่อนที่มันจะขอตัวกลับก่อนเพราะนี่ก็เกือบจะตีสองแล้ว
 
     ตุลาการเดินออกมาจากห้องนอนพลางนั่งลงที่โซฟาข้างๆผม ผมเหม่อมองออกไปยังหน้าต่างข้างนอก ผมเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างที่บอก

     คนที่สูญเสียใครสักคนไป เวลามีอีกคนเข้ามา ย่อมใจอ่อนอยู่แล้ว

     “กูพูดผิดไปที่ว่ามึงควรจะขอโทษเน” ผมพูดเสียงแผ่วท่ามกลางความเงียบ

     วันหนึ่งไอ้ตุลต้องลืมเนอยู่แล้ว ผมไม่ควรพูดออกไปแบบนั้น เพราะมันเหมือนกับว่าเวลามันจะเปิดใจให้กับใครคนใหม่มันต้องรู้สึกผิดกับเน ทั้งๆที่เนตายไปแล้ว

     ผมแค่ ไม่อยากให้คนใหม่ของตุล เป็นตัวผมเอง

     “ผมขอโทษเนจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ที่ดันไปรู้สึกดีกับพี่ชายเน”

     “มึงอย่าพูดคำว่าชอบกู รู้สึกดีกับกูบ่อยๆได้ป่ะวะ ขนลุกว่ะแม่ง” ผมหันขวับไปเผชิญหน้ากับไอ้ตุลแล้วโวยวายด้วยความไม่พอใจ คนตรงหน้ามีสีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อกี้

     “แล้วจะให้ผมทำไง เวลาจะกินผมก็คิดถึงนิ เวลาจะนอนก็คิดถึงแต่นิ ถึงจะหน้าเหมือนกัน แต่นิกลับมาหลอกหลอนผมตลอดยิ่งกว่าเนที่ตายไปแล้วอีก” ไอ้ตุลบ่น

     ผมกับมันหันหน้าหนีกันอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด

     “ตกลงกูผิดสินะ”

     “ใช่นิผิด”

     อ้าวไอ้ห่า

     “กูผิดยังไงไหนบอกดิ้ กูแค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเนนี่กูผิดยังไงวะ”

     “ผิดทุกอย่าง ผิดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในชีวิตผม ผิดที่เป็นห่วงผม ผิดที่ทำข้าวให้ผมกิน ผิดที่ดูแลผมตอนเมา ผิดที่คอยด่าผมเวลาผมทำไม่ดี”

     ผมกลายเป็นผู้ร้ายในสายของไอ้เวรตรงหน้าขึ้นมาซะเฉยๆ จากที่จะระเบิดอยู่แล้ว มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนไฟค่อยๆลุกจนลามมาอยู่บนหน้า

     “แล้วจะให้กูทำยังไงวะ!!!”

     ไม่ทันไรริมฝีปากของตุลาการก็แนบลงบนริมฝีปากของผม แผ่วเบาราวกับต้องการจะบอกว่ามันไม่ได้โกรธอะไร มันไม่ได้โทษอะไร ผมพยายามผลักไสคนตรงหน้าออกไป ด้วยจิตใต้สำนึกที่คอยบอกว่า

     ผมไม่มีวันมาแทนที่เน

     คนอื่นจะแทนก็แทนไป แต่ไม่ใช่ตัวผม

     ฝ่ามือของตุลสัมผัสลงบนท้ายทอยของผม มือของมันดันให้ริมฝีปากของผมแนบชิดกับมันมากกว่าเดิม ลิ้นร้อนๆที่แตะลงบนริมฝีปากของผมทำให้สติแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

     ผมผลักไอ้ตุลออกไปพรวดเดียวพลางหอบหายใจแล้วรีบโกยอากาศเข้าปอด

     ก่อนที่ไอ้ตุลจะตอบคำถามผม พร้อมกับดวงตาของมันที่จ้องตาของผมด้วยความแน่วแน่

     “ช่วยทำผิดต่อไปเรื่อยๆได้มั้ยครับ

     TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Foolish (07-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 07-09-2016 22:07:03
คนที่สูญเสียใครสักคนไป เวลามีอีกคนเข้ามา ย่อมใจอ่อนอยู่แล้ว----เอาเลยค่ะ ใช้โอกาสนี้เยียวยากัน เรียนรู้กันเลยเนอะ แต่นิเป็นเด็กขี้กลัว จะไหวเร้ออออออ

ตุลย์ โคตรชัดเจนเลย ดีมาก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Foolish (07-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-09-2016 08:01:53
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Foolish (07-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 08-09-2016 10:47:09
รู้สึกชอบเวลาตุลเรียกนิ
มันรู้สึกเอ็นดู รู้สึกเหมือนตัวเล็กๆ
หนูนิ คึ //โดนนิติฟาด55555
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Foolish (07-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 11-09-2016 11:33:59
ชอบ ดราม่าหนักมากแต่ความน่ารักก็มี
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 7 Love is Foolish (07-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 11-09-2016 17:51:11
ชอบอ่ะ!! หน่วงๆเหมือนอยากจะร้องไห้ และก้อน่ารักๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 9 Love is Taking Break (11-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 11-09-2016 19:42:35
Chapter
9



   แน่นอน คำตอบผมย่อมชัดเจน ในเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกดีด้วย มันก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องหยุดทุกอย่างลง เราต่างคนต่างก็รู้สึกผิด มันก็ควรจะห่างกันซักพัก

   ซึ่งสักพักของผม คือ ห้าเดือน

   ไม่มีการติดต่อใดๆระหว่างผมกับตุลาการ เหมือนกับว่าผมหายไปจากชีวิตมันเฉยๆตั้งแต่วันที่มันสารภาพกับผมว่ามันชอบผม

   คนเราย่อมรู้ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ

   ผมเลือกจะหยุด และตุลก็ต้องหยุด

   ห้าเดือนผมบินไปปารีส หมกตัวอยู่กับแสงสีเสียงในเมืองแห่งความโรแมนติค จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมควรจะต้องกลับมาทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ผมควรจะกลับมาเรียน

   "ไอ้นิ" เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมหยุดกิจกรรมทุกอย่างลงพลางหันไปยกมือไหว้รุ่นพี่ผู้ชายที่ชื่อบอล พี่บอลยกมือรับไหว้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ

   ผมเลือกมหาลัยที่ไม่ใช่มหาลัยเดียวกันกับเน มันอาจจะดูเหมือนว่าผมทรยศเนที่พยายามจะปิดตายไม่สนใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในอดีต แต่บางทีการที่ผมจะมีชีวิตต่อไป คือผมต้องลืมครึ่งหนึ่งของตัวเองให้ได้ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ห้าเดือนผ่านมาผมก็ยังอ่านข้อความของเนทุกวัน

   "ว่าไงพี่"

   "พี่อยากให้เอ็งลงกีฬามหาลัยว่ะ เอ็งสนใจไรป่ะ"

   ผมขมวดคิ้วมองพี่บอล รุ่นพี่ปีสาม ถึงจะไม่ค่อยคุ้นกับระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่เข้าเมืองตาหลิ่วผมก็ต้องหลิ่วตาตาม เขาเรียกพี่ก็ต้องเรียกพี่

   "ไม่ว่ะพี่"

   "อย่างไอ้แห้งอ่ะเหรอ กูว่ากีฬาชักว่าวน่าจะเก่ง" เสียงที่ผมจำได้แม่นกับผู้ชายตัวสูงหน้าตาครึ่งคนครึ่งผีที่เดินเข้ามา มันคือไอ้ไนเจล

   ใช่ ผมตัดสินใจเข้าเรียนที่เดียวกับเจล แต่คนละคณะกัน เจลเรียนเกษตร ผมเรียนอักษร อย่างน้อยก็พอเอาภาษาฝรั่งเศสที่เคยเรียนมามาใช้ได้

   "นี่ก็เสือกจังวู้ว" พี่บอลบ่น ไอ้เจลมองเพื่อนตัวเองตาขวาง

   มันมีเพื่อนเป็นพันๆได้ แล้วเพื่อนมันแต่ละคนนี่ก็โคตรพันแข้งพันขา เรียกว่าไปไหนก็มีแต่เพื่อนเจล เข้าห้องน้ำจะขี้ก็เจอเพื่อนไอ้เจล ผมมีชีวิตอยู่รอดในมหาลัยก็เพราะใครๆก็รู้จักผมในนามเพื่อนเจลนี่แหละ

   "เออนิ ไอ้ธามมันกลับไทยแล้วนะมึง" ผมพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการกลับมาของเพื่อนที่โดนส่งไปเรียนที่ออสเตรเลียซะเท่าไร
 
   "หน่วยก้านอย่างน้องนิตินี่พี่ว่า ว่ายน้ำดีมะ" พี่บอลยังคงไม่จบเรื่องอยากให้ผมเป็นนักกีฬามหาลัย ปกติเด็กอักษรไม่ค่อยมีตัวดังๆในชมรมกีฬา พอผมเข้ามา แค่ว่ายน้ำช่วยเพื่อนตอนรับน้องแม่งก็เหมารวมว่าผมว่ายน้ำเก่ง นี่ถ้าผมเอาติ่งหูสะกิดบอลเข้าประตู แม่งคงเหมารวมว่าผมเตะบอลเก่งอีกอ่ะ

   "หยุดเลย หยุดม่อเพื่อนกูไอ้บอล เดี๋ยวตบหูหลุด" ไอ้เจลด่าเพื่อนมัน ผมที่นั่งอยู่กลางบทสนทนาได้แต่มองโทรศัพท์ของเน อ่านข้อความอะไรไปเรื่อยเปื่อย

   "ตัวเองอย่าใจร้ายกับเค้า"

   "แรด!!! ไปไหนก็ไปไป๊" ไนเจลผู้หล่อเหลายกตีนถีบเพื่อนตัวเองจนพี่บอลวิ่งหนีพร้อมกับโชว์นิ้วกลางคืนแทบไม่ทัน เพื่อนสนิทผมนั่งลงตรงข้ามก่อนจะถามขึ้น

   "มันโทรมาอีกป่ะ"

   ผมส่ายหน้า

   ผมไม่ได้กังวลว่าไอ้ตุลจะโทรเข้าเครื่องเนวันละร้อยกว่าสาย มันเป็นเพียงแค่เดือนกว่าๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีโทรศัพท์จากไอ้ตุลอีกเลย ผมว่ามันคงทำใจได้แล้วล่ะ หวังว่าคงไม่คิดฆ่าตัวตายอีกนะ

   "กูจะไปสนามบาส จะไปด้วยกันป่ะ" ไอ้เจลถาม ผมพยักหน้าตาม เพราะหลังเลิกเรียนไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้ว เลยรอกลับบ้านพร้อมเจลมันเลยทีเดียว

   สนามบาสในร่มดูเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ โดยเฉพาะพ่อคนหล่อสะพรึงโลกอย่างไนเจล
 
   ไอ้เจลมีแข่งบาสประมาณอาทิตย์หน้า ช่วงกีฬามหาลัยที่ต้องแข่งกับมหาลัยอื่น ผมเลยมานั่งดูมันซ้อมเกือบทุกวัน จนกลายเป็นว่าใครๆเอาไปนินทาว่าผมกับมันมีซัมติงอะไร

   ซัมตีนดีกว่ามั้ย

   "มึงว่างเปล่าอาทิตย์หน้า กูมีแข่งสองนัด"

   เจลมันนั่งลงข้างๆผมหลังจากซ้อมเสร็จ นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า มันเอาหัวชุ่มเหงื่อของมันมานอนบนตักผม

   "ว่าง"

   "เย้" สมหมาย(ชื่อพ่อเจล) ทำหน้าดีใจใหญ่ แปลกนะถ้าในบ้านจะมีคนชื่อสมหมาย กับอีกคนชื่อ อลิซ

   มันดูขัดกับชีวิต

   อย่างไอ้เจลนี่ดูสับสนกับชีวิต

   มันชื่อ จรัส บราวน์
 
   ...

   ปกติต้องใช้นามสกุลพ่อ แต่บ้านนี้แม่เป็นใหญ่ไง... ถ้ามันใช้นามสกุลพ่อ ผมว่าก็คงน่ารักดี แบบ ไนเจล ศรีเสงี่ยม ประมานนั้น

   เมื่อก่อนตอนอยู่ม.ปลายเพื่อนไม่เรียกไนเจลนะ เรียกไอ้บาวๆ ไม่ก็ไอ้จัด

   หน้าแม่งโคตรฝรั่ง ชื่อไอ้บาว

   เรียกทีคนหันทั้งบาง

   ผมกับไนเจลพ่อคนหล่อจนน่ารำคาญออกมาหาอะไรกินข้างหน้ามหาลัย กินข้าวด้วยกัน กลับบ้านบ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน ชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัวกัน

   ผมรู้ว่าคนอื่นคิดไปไหนต่อไหน แต่ผมกับเจลไม่มีความรู้สึกแบบนั้น

   เราสองคนคือเพื่อนและจะไม่มีวันเป็นมากกว่านั้น

 
 

   หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนกระพริบตาครั้งเดียว ผมสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดพอดีเข่าแล้วเดินออกจากบ้านของ จรัส บราวน์ เรียกทีไรจั๊กจี้ทุกที

   ไอ้เจลออกไปมหาลัยแต่เช้าเพราะมีแข่ง นี่เป็นแข่งรอบที่สอง รอบแรกผมติดสอบเลยไม่ได้ไปดู ได้ยินว่าชนะขาดลอย

   เอาจริงๆแค่ไอ้เจลมันเดินลงสนาม สาวๆอีกฝั่งก็เชียร์ให้ทีมตรงข้ามชนะแล้ว

   ตามหลักเหตุและผลนะผู้หญิงมักชอบคนหล่อ แล้วถ้ายิ่งนิสัยดี เอาไปเลยคูณสอง

   ผมเลือกที่นั่งบนแสตนด์ริมรั้ว ไอ้เจลหันมาหาผมก็โบกมือยิ้มหวานจนสาวๆกรี้ดกร้าดกัน ผมยกนิ้วกลางให้มันแล้วเลือกยัดหูฟังใส่หู เปิดเพลงดังๆมองการแข่งขันบาสที่กำลังจะเกิดขึ้น

   มันควรจะเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ใช่ใครสักคนกำลังเดินเข้ามาในสนามพร้อมกับทีมของตัวเอง

   'ตุลาการ'

    ผมรีบเปิดกระเป๋าไอ้เจลหาใบระบุชื่อคู่แข่งก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นชื่อมหา'ลัยที่เนติเรียน

   ผมไม่รู้มาก่อน ว่าไอ้ตุลเล่นบาส...
 
   ไอ้เจลมองมาที่ผมเหมือนจะสื่อว่ามันเห็นเหมือนที่ผมเห็น ผู้ชายตัวสูงไหล่กว้างที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ข้างสนาม ไอ้ตุลดูเปลี่ยนไปเยอะ มันตัดผมทำให้หัวทุยๆเหมือนขนแมวนั่นดูนุ่มนิ่มเข้าไปใหญ่ แถมหน้าตาก็ดูจะอ้วนขึ้น ดูดีขึ้นกว่าสภาพห้าเดือนที่แล้ว

   พวกนักบาสจากอีกฝั่งหน้าซีดเมื่อเห็นผมนั่งอยู่ข้างสนาม เสียงนินทาดังขึ้น จนกระทั่งไอ้ตุลเป็นฝ่ายหันมาสบตาผม ดวงตาสีดำสนิทที่ดูอ่อนแอตอนนั้น ตอนนี้กลับเข้มแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน มันดูตกใจที่เห็นผมที่หายตัวไปห้าเดือนจู่ๆมานั่งอยู่ตรงนี้ ก่อนจะหันไปอธิบายให้เพื่อนๆฟัง ว่าผมไม่ใช่ผีเน แต่เป็นนิติ ฝาแฝดพี่ชาย

   "มึงจะกลับก่อนมั้ย" ไอ้เจลขยับปากถามแบบไม่มีเสียงด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้า

   ผมกับตุลาการตอนนี้เป็นแค่คนรู้จัก

   ไม่มีอะไรต้องหลีกหนีอีกแล้ว
 
   การแข่งขันดำเนินไปอย่างราบรื่นแต่ผลออกมากลับกลายเป็นไนเจลชนะไปอย่างสูสี คะแนนห่างกันนิดเดียว แต่ยอมรับเลยว่าสายตาของผมมองแต่ไอ้ตุล มันเล่นบาสเก่งมาก แต่ไม่เก่งเท่าเด็กที่โตมากับลูกกลมๆสีส้ม

   ทุกอย่างลงเอยด้วยดี แพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ

   แต่ที่ลงเอยไม่ดี คือคนที่กำลังเดินข้ามฝั่งตรงมาหาผมนั่นแหละ

   "หยุดเลยมึง!" ไอ้เจลตะโกนใส่ไอ้ตุลพลางบังร่างของผมเอาไว้ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของตุลาการ

   "นิมันไม่อยากรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ มึงกลับไปเหอะ"


   เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่เมื่อดูเหมือนไอ้ตุลจะไม่ยอมหยุดเข้ามาใกล้ผม จนไอ้เจลต้องไปผลักออก คนเริ่มมองมาที่พวกมันสองคน นึกว่าจะต่อยกันเรื่องผลแพ้ชนะ ผมถอนหายใจพลางคว้าข้อมือผู้ชายสองคนออกจากสนามบาสเพื่อไปยืนเคลียร์กันที่อื่น

   ไอ้เจลยังคงดันผมไว้ด้านหลังมันตลอด เพราะกลัวว่าไอ้ตุลจะทำอะไรมากเกินกว่าคนรู้จัก แต่เอาจริง ตัวผมก็ไม่ได้เล็ก หน้าตาก็ไม่ได้หน่อมแน้ม อยู่ปารีสนี่สาวๆรุมจีบ ไอ้นี่นับวันชักจะทำตัวเหมือนพ่อเข้าไปทุกวัน

   พวกเราสามคนเลยมานั่งเคลียร์ที่ร้านนั่งชิว ผมนั่งข้างเจล ตรงข้ามคือไอ้ตุล สายตาของตุลมันไม่ได้มีแววเจ็บปวดเหมือนครั้งก่อนๆ ไม่ได้มีความเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาคู่นั้น กลับกันมันเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความดีใจ ราวกับว่ามันรอเวลาที่จะได้เจอผมมานานแล้ว

   “มึงจะเอาไง ว่ามา” ไอ้เจลเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาแต่เหม่อมองออกไปยังถนนที่มีรถวิ่งประปรายเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว

   “แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วย กูแค่อยากทักว่านิเป็นไงบ้าง” ไอ้ตุลพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่เหมือนไนเจลที่เหมือนกินภูเขาไฟเข้าไปแล้วกำลังจะปะทุ

   เรื่องเพื่อนมันจริงจังเสมอ

   “นิมันสบายดี ไม่ดิ สบายดีม๊ากมากเวลาไม่มีมึงเนี่ย” เมื่อเห็นว่าไอ้เจลชักจะพูดจาลามปามผมเลยเหยียบเท้าเพื่อนเข้าไปหนึ่งที มันสะดุ้งแล้วร้องลั่น

   ผมมองผู้ชายตรงหน้า ตุลาการ ผู้ชายที่ผมสาบานว่าจะไม่ข้องเกี่ยวด้วยแต่ดันต้องเข้าไปดูแลมันเพราะคำขอร้องจากเนน้องชายฝาแฝดที่ตายไปแล้ว จากคนรู้จักกับกลายเป็นว่ามันดันมารู้สึกดีๆกับผม ผมเลยตีตัวออกห่างจากมันห้าเดือน แล้วจู่ๆมันก็มีอะไรบางอย่างพาให้เรามาเจอกันอีก ... เน มึงเล่นตลกกับกูอยู่เหรอ

   “มึงสบายดีนะ” ผมถามไอ้ตุล มันยิ้มจางๆเหมือนดีใจที่ผมยอมคุยกับมัน

   อันที่จริงผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น อะไรผ่านไปแล้วก็ผ่าน ไม่ใช่คนเก็บอะไรมาคิดเยอะแยะ

   “ครับ นิล่ะ”

   “ก็เพิ่งบอกไปไงว่าสะ…”

   “หุบปากละกินไป” ผมยกแก้วเบียร์ด้านหน้าไอ้เจลจับกรอกปากมันไม่ให้มันพูดมาก ก่อนจะหันไปคุยกับไอ้ตุลต่อ

   “ก็ดี”

   บทสนทนาเงียบลงไป ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้น ผมนั่งเล่นแก้วโค้กในมือของตัวเองทั้งๆที่ยังมีโค้กอยู่เต็มแก้วพลางมองเลยไปยังแก้วของไอ้ตุลที่ยังมีเบียร์อยู่เต็มแก้วพอกัน

   ความคิดบางอย่างแทรกเข้ามาในสมอง ผมขมวดคิ้วพลางหัวเราะกับตัวเอง

   บ้าน่านิ … มึงคงไม่ได้ …

   ผมดันแก้วโค้กของผมไปตรงหน้าของไอ้ตุล เจ้าตัวเงยหน้าจากแก้วเบียร์พลางเลิกคิ้วมองผมด้วยความสงสัย ไอ้เจลจะถามอะไรแต่ผมเอามือปิดปากมันเอาไว้

   ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่ไอ้ตุลพอจะเดาออกว่าผมต้องการอะไร ย้อนกลับไปเมื่อห้าเดือนที่แล้วผมเคยให้มันเลือกระหว่างขวดเหล้ากับขวดน้ำผลไม้ ระหว่างยังลืมไม่ได้กับลืมได้และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ กลับกันตอนนี้คือแก้วเบียร์กับแก้วโค้ก

   “นิ…” คนตรงหน้าเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว แต่กลับเป็นผมเองที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร

   รู้แค่ว่า…

   “เลือกสิ”

   ผมอยากรู้ว่ามันลืมเนได้หรือยัง

   คนตรงหน้าไม่ได้ใช้เวลาคิดเหมือนครั้งก่อน แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที มือยาวๆของมันก็เอื้อมข้ามมาจับคอเสื้อของผมขยำซะจนมันยับยู่ยี่ ไอ้เจลที่เห็นว่าไอ้ตุลเหมือนจะหาเรื่องผมดิ้นพล่านแต่ผมตีปากมันไปแรงๆจนมันเงียบเป็นหมาหงอย

   ผมขมวดคิ้วมองไอ้ตุล มือของมันยังจับคอเสื้อของผมแน่น

   และผมรู้ ว่าครั้งนี้มันเลือกอะไร

   “คราวนี้ผมจับไม่ปล่อยแน่ๆ … นิติ

    TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 9 Love is Taking Break (11-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 11-09-2016 20:24:19
นิติ คนโหด หรือจะสู้พี่ตุลย์ มือกาว

เอาเลยพี่ จัดหนักไปเลย จับนิติถวายพานพี่ตุลย์
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 9 Love is Taking Break (11-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 11-09-2016 20:33:13
รอต่อไป~
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 9 Love is Taking Break (11-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 11-09-2016 21:36:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 9 Love is Taking Break (11-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 11-09-2016 22:51:53
สนุกมาก รอติดตามตอนต่อไป :katai4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 9 Love is Taking Break (11-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 12-09-2016 07:24:05
พี่ตุลย์กินหัวกินหาง รวบตึงไปเลยครัช!!
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 13-09-2016 20:14:13
Chapter
10


 
            “นิ หยินฝากมา”

            ผมรับกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กๆมาจากมือของพี่บอลด้วยความประหลาดใจ พี่หยินคือผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เป็นเพื่อนพี่บอล เป็นธรรมดาที่ผู้ชายจะชอบผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผมยอมรับว่าแอบมองพี่เขามาสักพักตั้งแต่ตอนรับน้อง แล้วก็พอจะรู้ว่าพี่เขาก็มีใจให้

            “หยินบอกให้แกะเลย แล้วขอคำตอบด้วย”

            พี่บอลนั่งลงข้างๆผมพลางกินลูกชิ้นปิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมแกะกล่องสีชมพูผูกโบว์สีขาวน่ารักออกก่อนจะพบกับกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลพร้อมกับกระดาษใบเล็กๆที่เขียนข้อความไว้ว่า

            ‘พี่ชอบนินะ คบกันมั้ย’

            “นี่เราอยู่ในยุคสมัยที่ผู้หญิงต้องขอผู้ชายคบแล้วเหรอวะ!” พี่บอลว่า ปกติแล้วผมอาจจะขำ แต่ที่น่าแปลกคือ ผมแอบมองพี่เขาอยู่ แต่กลับไม่รู้สึกดีใจหรือตื่นเต้นอะไรกับข้อความนี้เลย

            “ว่าไงวะนิ” คนข้างๆเห็นว่าผมเงียบไปเลยทักขึ้น ผมขยี้หัวตัวเองพลางใช้ความคิด

            “ไม่รู้ว่ะพี่”

            “งั้นแสดงว่าไม่” พี่บอลลุกจากเก้าอี้แล้วเคี้ยวลูกชิ้นปิ้งตุ้ยๆอยู่ในปาก ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าออกไปพร้อมกับทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า

            “ถ้ามึงชอบหยินจริง มึงตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดแล้ว”

            คำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกผิดกับพี่หยิน แต่มันกลับมีภาพของใครคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่

            ครั้งแรกที่ไอ้ตุลเลือก มันใช้เวลาคิดอยู่นาน แต่ครั้งที่สอง มันไม่คิดเลยว่าจะเลือกผม…

            แต่ที่ประสาทกว่านั้นคือ

            มันมีความรู้สึกหน่วงๆบางอย่างเกิดขึ้นในใจผม มันไม่ใช่หน่วงเหมือนอย่างที่เคยเป็น ไม่ได้หน่วงเพราะรู้สึกอยากจะระบายมันออกมา

            แต่มันหน่วง … เหมือนกำลังนั่งอิงอยู่ข้างเตาผิง

            เชี่ยนิ มึงมัน… บ้าไปแล้วแน่ๆ

            ทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของมึงเลยไอ้เน!

 

 

            “ฮันหน่ะ นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ปกติอ่านหนังสือไม่เห็นจะเครียดแบบนี้เลย” ไอ้เจลเปิดประตูห้องนอนเข้ามาพลางวางกระเป๋าลงที่เตียง ผมที่นั่งอยู่ที่พื้นพรมเกาหัวด้วยความเครียด

            ไม่ใช่เพราะมันยาก แต่มันอ่านไม่รู้เรื่อง!!!

            ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต ผมเป็นคนหัวดีเรียนเก่งแต่แค่ไม่คิดจะเรียน ทั้งๆที่อ่านหนังสือฝรั่งเศสอยู่แต่มันกลับไม่เข้าหัวเลยแม้แต่นิด มีแต่ภาพใครอีกคนลอยผ่านหน้ายิ่งกว่าผี

            “เป็นไรวะแห้ง” เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบไอ้เจลเลยนั่งลงข้างๆแล้วโบกมือไปมา ผมถอนหายใจเบาๆ

            “ไม่รู้”

            “กวนตีนป่ะเนี่ย”

            “เอ้าไอ้ห่า ก็ไม่รู้ว่าเป็นไรเหมือนกัน” ผมฟุบหน้าลงกับหมอนใบโต ทั้งๆที่ควรจะโฟกัสกับการสอบที่จะมาถึงเร็วๆนี้ แต่พอเจอไอ้ผู้ชายที่ชื่อตุลาการ ผมกลับไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลยในช่วงสองสามวันมานี่

            “แหนะ อย่าบอกนะว่าเผลอใจอ่อนให้ไอ้ตุลไปแล้ว” ไอ้เจลพูดขึ้นเล่นเอาผมเงียบเป็นเป่าสาก

            บ้าดิ เออบ้าแล้ว

            นั่นแฟนน้องนะเว้ย บ้าบอคอแตกเข้าไปใหญ่แล้ว

            “อย่ามั่วน่า”

            “มั่วไรแห้ง หลังจากเจอไอ้ตุล ไอ้นิของกูก็ชอบเหม่อลอยใจลอยไปไหนต่อไหน แถมยังทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ แหมกูเพื่อนมึงมากี่ปี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในหัวมึงมีแต่ไอ้ตุล ไอ้ตุล แล้วก็ ไอ้ตุล”

            ‘ผั่วะ’

            ผมฟาดหมอนใส่หน้าของไอ้จรัสด้วยความแรง มันร่วงลงไปนอนที่พื้นแล้วร้องโอดโอย

            “ทำกูทำไมแห้ง!!!”

“นั่นปากหรือส้นตีนเนี่ย ไปไกลๆเลยก่อนที่หน้ามึงจะมีรอยตีนกูแทนตีนกา!!!”

            “ใจร้าย!!!”

            “แล้วไง!!!” ผมกับไอ้เจลตะคอกใส่กัน แต่แทนที่มันจะไสหัวอันน่ารำคาญนั่นไปให้พ้นๆหน้าผม มันกลับเข้ามากระแซะแล้วกอดผมไว้จากด้านหลังเหมือนกลัวผมจะโกรธจริงๆ

            ผมแค่รำคาญ ที่มันชอบทำตัวรู้มากไปซะหมด

            “กูขอโทษ กูแค่อยากให้มึงพูดออกมาบ้างว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ บางทีนะนิ ถ้ามึงพูดออกมา อะไรๆมันอาจจะดีขึ้นก็ได้ ดีกว่าเก็บเอาไว้ให้ปวดหัวคนเดียว” ไนเจลพูดเสียงออดอ้อน ผมมองมันตาขวาง

            จะให้พูดได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นเรื่องน่าโมโห

            ที่ในสมองผมกลับมีแต่ผู้ชายที่ชื่อตุลาการ

 

 

            การสอบฝรั่งเศสที่สมควรจะง่ายสำหรับผมกลับกลายเป็นเหมือนกับออกแรงรบในสนามรบแล้วโดนยิงจนร่างพรุน ตอนนี้ผมได้แต่มานั่งเหี่ยวๆแห้งๆอยู่ที่ร้านขายหนังสือที่ไม่ห่างจากตัวมหาลัยเท่าไร ไอ้เจลกว่าจะเลิกก็สองสามทุ่ม ผมที่รู้สึกเบื่อไม่อยากจะเข้าไปนอนง่อยที่บ้านเลยคิดว่าจะหาอะไรทำฆ่าเวลา

            ถ้าไม่ติดที่ว่าใครบางคนดันติดสอยห้อยตามมาด้วย ผมเลยคิดๆว่าจะเปลี่ยนจากฆ่าเวลาเป็นฆ่าว่าที่ทนายของชาติอยู่

            “ขอบคุณนะครับที่ยอมบอกว่าอยู่ไหน”

            ไอ้ตุลทำหน้าดีใจเหมือนลูกหมาที่ได้ของเล่นพลางสั่นหางดิ้กๆเข้ามายืนข้างๆผม ผิดกับผมที่มีใบหน้าเซ็งกะตายสุดขีด อันที่จริงผมไม่ได้บอกว่าผมอยู่ที่ไหน ไม่ดิ ผมไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าผมอยู่ที่ไหน…

            ก็ไอ้ตุลอ่ะดิมันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร แล้วมันก็ได้เบอร์ผมมาจากไหนไม่รู้ เสียงแม่งก็โคตรเหมือนไอ้ธาม เพื่อนของผมที่เพิ่งกลับจากออสฯ ผมก็เลยติ๊ต่างไปว่าไอ้ตุลคือไอ้ธาม แล้วก็ดันเสร่อบอกไปว่าอยู่ร้านหนังสือที่ห้างหน้ามหาลัย

            เพิ่งจะรู้เมื่อกี้เนี่ยแหละว่าไม่ใช่ไอ้ธาม แต่เป็นไอ้ตุล 

            “นิชอบอ่านหนังสือเหรอ” คนที่ดูสดใสเหมือนโลกนี้เป็นสีชมพูตลอดเวลานั่งลงที่โซฟาข้างๆผม ภายในร้านมีโซฟาที่เอาไว้ให้เด็กๆนั่งอ่านหนังสือได้จะได้ไม่นั่งที่พื้นเกะกะทางเดิน

            ผมไม่ตอบ ไม่อยากจะคุย ไม่อยากสนิทชิดเชื้อ

            เน … มึงต้องเป็นคนบงการทุกอย่างแน่
           
            กูจะไม่ซื้อพิซซ่าเผาส่งไปให้มึง!

            “นิครับ … โกรธผมเหรอ” สายตาเหมือนลูกหมาที่ส่งมาให้ผมทำให้ผมต้องเอาหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษเล่มหนาฟาดกบาลตัวเองด้วยความละเหี่ยใจ

            สาบานดิว่านี่คนเดียวกับผู้ชายที่ผมรู้จักเมื่อห้าเดือนที่แล้ว

            “ไม่” ผมตอบนิ่งๆแล้วลุกไปเดินหาหนังสือเล่มอื่น ไอ้ตุลเดินสะพายกระเป๋าตามมา ดูก็รู้ว่ามันรีบขนาดไหน เจ้าตัวยังใส่ชุดนักศึกษา แถมเหงื่อก็ออกเต็มหลังจนเสื้อแนบไปกับลำตัว

            “แล้วทำไมนิไม่มองหน้าผมเลย”

            ผมหันขวับไปจ้องหน้าไอ้คนขี้ตื้อ ก่อนจะชี้หน้ามันด้วยความเหลืออด

            “อย่า – เยอะ!!!”

            “นิโกรธผมจริงๆด้วย” ไอ้ตุลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมเอาหนังสือฟาดกบาลมันไปทีจนมันร้อง

            “เจ็บนะครับ”

            “อยู่กับเนมึงเป็นแบบนี้ป่ะเนี่ย ปัญญาอ่อนฉิบหาย”

            เหมือนผมพูดอะไรผิด เหมือนชื่อเนเป็นคำต้องห้ามสำหรับคนตรงหน้า ไอ้ตุลเงียบไปแล้วเดินตามผมแบบไม่มีปากไม่มีเสียงอะไรจนกระทั่งผมเลือกหนังสือเล่มที่อยากได้ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

            ผมเดินออกจากร้านหนังสือด้วยความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ไอ้ตุลไม่ได้เดินหนีหายไป แต่ทำเพียงแค่สะพายกระเป๋าเดินตามผมต้อยๆ ผมไปหยุดอยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งก่อนจะสั่งกาแฟแล้วนั่งที่โต๊ะเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลา

            ถึงด้านหน้าจะเป็นตัวอักษรที่ผมตั้งหน้าตั้งตารออ่านมาเกือบสามเดือน หนังสือตอนต่อของนิยายที่ผมชอบ แต่สายตาผมกลับมองทะลุจากหนังสือไปที่คนที่นั่งลงด้านหน้า

            “ผมไม่เคยทำแบบนี้ต่อหน้าเนสักครั้งเลย” จู่ๆไอ้ตุลก็พูดขึ้น มันไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากตัก ผมลดหนังสือลงจากระดับสายตามองคนตรงหน้าที่ดูน่าสงสาร

            น่าสมเพช

            น่าชกซักสามสี่หมัด

            โอ้ยพับผ่า

            “ช่างมัน” ผมว่าก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือต่อ แต่ยังไม่ทันจะได้อ่านบรรทัดถัดไปไอ้ตุลก็คว้าหนังสือในมือผมไปแล้วมองหน้าผมด้วยความจริงจัง

            “ช่างมันไม่ได้ ผมตั้งใจแล้วว่าจะเริ่มใหม่กับนิ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นนิเป็นตัวแทนของเน ที่ผมแสดงออกไปทุกอย่างก็เพราะว่านิคือนิ อยู่ต่อหน้าเน ผมต้องเป็นฝ่ายปกป้อง…”

            “…”

            “แต่พออยู่ต่อหน้านิ มันเหมือนกับว่านิเป็นที่พักพิงให้ผมได้”

            ผมนั่งกระพริบตาปริบๆ ทั้งๆที่กินกาแฟเย็น แต่กลับไม่รู้สึกเย็นเลยสักนิด

            “อะไรที่ทำให้มึงมั่นใจว่ากูจะยอมอ่อนข้อให้มึงวะ มันมีตรงไหนของหน้ากูที่บอกว่าซักวันกูจะชอบมึงกลับเหมือนที่เนเคยชอบมึง”

            คนตรงหน้านิ่งไป ดวงตาหลุบต่ำลงอีกครั้ง

            “ถามจริงเหอะตุล อันนี้ไม่เกี่ยวกับเน ตัดเรื่องเนออกไปจากสมองเลย มึงจะแน่ใจได้ยังไง ว่าการที่มึงตามตื้อกูอยู่เนี่ยกูไม่ได้รู้สึกรำคาญมึง”

            “ก็ถ้านิรำคาญ นิคงไม่ปล่อยให้ผมอยู่ข้างนิจนถึงตอนนี้หรอกจริงมั้ย”

            เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง ผมตบหน้าผากตัวเองดังแปะ

            เออจริง ผมเป็นคนขี้โวยวาย เอาแต่ใจ แถมขี้รำคาญ ถ้าผมรำคาญ ไอ้ตุลคงไม่เสนอหน้านั่งอยู่ตรงนี้แน่ ผมคงไล่ตะเพิดมันกลับไปตั้งแต่เจอหน้าแล้ว

            จริงๆผมโคตรรำคาญมันเลยนะ

            แต่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องไล่ตะเพิดมันกลับไป

            เป็นอะไรของมึงเนี่ยนิติ…

            “ห้าเดือนที่ผ่านมา ผมไม่เคยลืมนิได้เลย มันเหมือนกับว่าคนๆหนึ่งเข้ามาในชีวิตเรา แล้วจู่ๆก็หายไป โดยไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือตาย มันทรมานยิ่งกว่ารู้ว่าเขาตายไปแล้วอีกนะครับ”

            ไอ้ตุลมองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง นัยน์ตาสีดำสนิทของมันดึงดูดจนผมละสายตาไปไหนไม่ได้

            “ผมนั่งทบทวนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งได้คำตอบแน่ชัด…”

            “…”

            “ว่าผมคงรักนิเข้าแล้วจริงๆ”

            ผมลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกแปลกๆในช่วงอก มันเหมือนจะอาเจียนแต่ก็ไม่ใช่ ขายาวๆสองข้างของผมพาร่างของตัวเองมาหยุดในห้องน้ำ ผมปิดฝาชักโครกลงแล้วทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าของตัวเองขึ้นไปพลางพ่นลมหายใจออกจากปากแรงๆ

            Shit …

            ไม่จริงน่า

            ใบหน้าที่ร้อนผ่าวกับความรู้สึกโหวงในอกมันทำให้ผมรู้ดีเลยว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร

            ถ้าไม่ผิด

            ผมกำลังเขินไอ้ตุล…

            TBC
           นิไม่ผิดหรอกลูก นิกำลังเขินนังตุลแน่ๆๆๆๆ พี่บอกเลย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 13-09-2016 20:45:12
รุกเข้าไปคร้าบบบบบบ ตุลสู้ๆๆ นิใจอ่อนไวไวน๊า ^3^
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 13-09-2016 21:37:49
รุกเข้าไป รุกเข้าไป ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 13-09-2016 23:01:19
พี่ตุลย์คนจริง เดินหน้าชัดเจน ทำเอาน้องมันเขินเลย 555555 แอบเชียร์พี่ตุลย์อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 13-09-2016 23:07:51
โอ้วววว~. นายมาถูกทางแล้วตุล รุกๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 14-09-2016 00:12:37
งุ้ยยย อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-09-2016 00:16:37
พยายามเข้านะตุล
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 14-09-2016 21:16:57
เริ่มต้นด้วยความหน่วง อ่านละเศร้าๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Unexplainable (13-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 14-09-2016 21:34:45
พี่ตุลย์ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก ตื๊อมันเข้าไป น้องเริ่มใจอ่อนแล้ว  :-[  :impress2:

ปล.แอบสงสัยทำไมเรารู้สึกว่าเนเหมือนจะรู้ว่าตัวเองจะตายเลยบอกกับนิเอาไว้แบบนั้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 10 Love is Scar (22-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 22-09-2016 20:31:32
Chapter
11
[/b]

 

            ผมนั่งเหม่อมองดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกวางอยู่บนหลุมศพของเนติ ปล่อยให้ลมเย็นๆพัดผ่านใบหน้าไป กลิ่นหอมๆของดอกไม้ที่ใครหลายๆคนเอามาให้คนที่ตายแล้วทำให้ผมไม่อยากจะลุกไปไหน ถ้าไม่ติดที่ว่าหิวข้าวไส้แทบกิ่ว กับใครอีกคนที่เหน็บมาด้วยทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด

            เมื่อความอดทนของผมถึงขีดสุด ท้องก็บิดจนจะเป็นเกลียว ผมเลยลุกพรวดออกจากสุสานโดยไม่สนใจว่าอีกคนจะตามมาไหม รู้แค่ว่าผมหิว และอยากหาอะไรกิน

            นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเยี่ยมเนที่หลุมศพ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลุมศพเนอยู่ที่ไหนถึงต้องให้ไอ้ตุลพามา เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้ถูกญาติๆนินทาว่าผมไม่รู้สึกอะไรที่แม่กับน้องชายฝาแฝดตาย อยากจะหัวเราะ

            การที่เราไม่แสดงออกมา ไม่ได้หมายความว่าไม่เสียใจหรอกนะ

            “นิครับ” เสียงทุ้มๆที่ดังตามมาด้านหลังไม่ได้ทำให้ผมหยุดเดิน ผมเดินเงียบๆไปหยุดหน้าร้านขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง

            “เอาข้าวเหนียวสองห่อแล้วก็หมูปิ้งสี่ไม้ครับ”

            “นิครับ” ไอ้ตุลยังยืนเรียกชื่อผมอยู่ข้างๆ ผมมองมันด้วยหางตานิดๆ

            “อะไร”

            “นิโกรธอะไรผมเหรอ” คำถามชวนน่ารำคาญทำให้ผมอยากจะเอาไม้เสียบหมูปิ้งนี่แทงหน้าไอ้คนข้างๆ

            “แค่หิว ขี้เกียจรอ”

            พอได้หมูปิ้งมาผมก็โบกรถสองแถวแล้วก็สวาปามไม่สนใจอะไรคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไอ้ตุลยังนั่งเงียบสีหน้าเหมือนคนรู้สึกผิดอะไรสักอย่าง ผ่านไปเกือบสิบนาทีทั้งผมและตุลก็ยังนั่งเงียบ จากที่มีคนเป็นสิบบนรถสองแถว คนก็ค่อยๆทยอยลงจนเหลือแค่ผมกับมัน

            ผมเหลือบมองไอ้คนชอบคิดมาก ก่อนจะยื่นถุงหมูปิ้งที่เหลืออยู่ไม้หนึ่งกับข้าวเหนียวอีกถุงให้มัน

            “กินป่ะ แต่กูเหลือหมูให้ไม้เดียวนะ หิว…”

            ยังพูดไม่ทันจบคนข้างๆก็โน้มหน้าลงมาใกล้จนผมต้องเขยิบหนี ผมมองหน้าไอ้ตุลด้วยความตกใจ ไอ้ห่านี่อยู่บนรถสองแถวนะ ผมยกถุงข้าวเหนียวหมูฟาดใส่มันจนมันรับเกือบไม่ทัน

            “อันที่จริง…” ไอ้ตุลพูดเสียงแผ่วแล้วจ้องมองถุงหมูปิ้งราวกับว่าจะคุยกับหมูปิ้ง ไม่ได้จะคุยกับผม ผมที่แกะหมากฝรั่งออกมาเคี้ยวแล้วเป่าเล่นเหม่อมองออกไปนอกรถ

            “อันที่จริงผมยังลืมเนไม่ได้หรอก”

            หึ … ผมว่าแล้ว ลืมได้ก็บ้า

            “ผมแค่อยากบอกให้นิรู้ ไม่อยากโกหกหรือปิดบัง”

“…”

“แต่การเริ่มต้นใหม่ บางทีมันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องลืมนี่ครับ” ผมหันไปสบตากับไอ้ตุลด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อรถสองแถวขับผ่านหน้าคอนโดของไอ้ตุลไป

            ผมรีบหันไปตบกระจกรถบอกคนขับรถก่อนที่รถจะจอด เราสองคนเดินลงจากรถแล้วไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งถึงห้อง วันนี้ผมตั้งใจจะมาเอาของๆตัวเองที่ทิ้งไว้ที่ห้องของมันเมื่อห้าเดือนก่อน

            มันก็จริงที่ว่าเราจะไปบังคับใครให้ลืมใครอีกคนไม่ได้ ยิ่งเป็นคนที่อยู่ในห้วงลึกของความทรงจำ ผมมักจะพูดกับตัวเองว่าต้องทิ้งเนไว้ข้างหลัง แต่จริงๆแล้วยิ่งคิดว่าจะทิ้ง ผมยิ่งกลับถลำลึกไปเรื่อยๆ

            ขาสองข้างของผมพาตัวเองเข้าไปในห้องคอนโดของไอ้ตุล พลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา

            “เออ มึงก็พูดถูก บางทีบางเรื่อง อยากลืมแม่งก็ลืมไม่ได้สักที” ผมบ่นอุบอิบ ตุลาการยิ้มออกมานิดๆแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ผมมองข้าวของของตัวเองที่กองอยู่ข้างโซฟา

            ก่อนจะชะงักไปเมื่อรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ดวงตา ผมเงยหน้าเพื่อไล่น้ำใสๆที่กำลังจะไหลออกมาพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ

            ทำไมมันเหมือนกับว่า ยิ่งเข้าใกล้ไอ้ตุลมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกว่าผมอ่อนแอมากขึ้นเรื่อยๆ

            มันเหมือนกับว่าข้างในอยากจะระเบิดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

            “นิ … เป็นอะไร” ไอ้ตุลเดินออกมาจากห้องนอนแล้วปราดเข้ามาหาผมที่นั่งกุมขมับอยู่ ผมสะบัดไล่ๆมันออกไป ยิ่งถูกถามว่าเป็นอะไร มันยิ่งเหมือนเอาค้อนมาทุบกำแพงที่ผมสร้างขึ้นให้ทลายลงเรื่อยๆ

            “นิ”

            “เงียบน่า!!” ผมตะคอกเสียงดังแล้วล้มตัวนอนลงบนโซฟา ไม่มีเสียงตอบรับจากไอ้ตุลอีก มีเพียงแค่เสียงฝีเท้าที่เดินไกลออกไปเรื่อย เหลือทิ้งไว้เพียงผมที่นอนเอาแขนปิดใบหน้าของตัวเองอยู่

            ยิ่งเข้าใกล้คนที่มีความทรงจำเกี่ยวกับเนเต็มไปหมด

            มันยิ่งทำให้ผมคิดถึงเน

 

            มารู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ผมเผลอหลับไปจนกระทั่งมาสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนกว่าๆ แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือผมนอนอยู่บนโซฟา มีผ้าห่มห่มให้เรียบร้อย แต่กลับมีใครอีกคนนั่งอยู่ที่พื้นแล้วพิงโซฟาอยู่ ผมขมวดคิ้วมองเจ้าของห้องที่หลับคอพับคออ่อน คนที่ห้องมีเตียงแต่ไม่ยอมไปนอนที่เตียง

            มือของผมเอื้อมไปแตะไหล่ของไอ้ตุล คนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่กลับไหลลงไปนอนที่พื้น ผมส่ายหน้าให้กับภาพตรงหน้า จะยื่นมือไปปลุกไอ้ตุลแต่กลับชะงักไปเมื่อเห็นกลุ่มผมนุ่มนิ่มของมันซะก่อน

            ผมถือวิสาสะแตะฝ่ามือลงบนกลุ่มผมของเจ้าของห้องที่แฟนของมันเคยบอกไว้ว่านุ่มนักนุ่มหนา

            มึงรู้มั้ยตุล ที่กูด่ามึงว่ามึงไม่เข้มแข็ง มึงเป็นไอ้ไก่อ่อน

            คนที่ควรโดนด่าคือกูต่างหาก

            มึงพึ่งพาอะไรกูไม่ได้หรอก เพราะขนาดความรู้สึกของตัวเอง

            กูยังไม่รู้เลย

            “เน…” เสียงพึมพำดังออกจากปากของคนที่หลับสนิทแถมยังชอบละเมอ ผมมองตุลาการ ผู้ชายที่ตรงไปตรงมา ตั้งแต่ผมรู้จักมัน โกรธก็แสดงออกว่าโกรธ เสียใจก็ร้องไห้ฟูมฟาย แต่มันกลับเข้มแข็งที่สามารถผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

            มันเข้มแข็งมากจริงๆ

            “เน” ผมมองคนที่ยังนอนละเมอพลางยิ้มออกมานิดๆแล้วเผลอเอามือขยี้หัวมันไปด้วยความหมั่นเขี้ยวแบบแปลกๆ

            เน … มึงจะโกรธกูมั้ยถ้ากูจะบอกว่า

            แฟนมึงก็น่ารักดี

            “นิ ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมสะดุ้งเมื่อใครอีกคนลุกพรวดขึ้นมา ผมหันหลังให้กับไอ้ตุลทันที เจ้าของห้องลุกขึ้นมานั่งแล้วถอนหายใจเบาๆ

            “โกรธอะไรผมเหรอ นิ…”

            “กูไม่ได้โกรธ เลิกคิดเองเออเองเหอะน่า” ผมว่า ไอ้ตุลพ่นลมหายใจหนักๆอีกครั้ง

            จู่ๆก็มีแรงกดทับลงมาที่แผ่นหลัง เหมือนไอ้ตุลจะเอาหัวของมันพิงลงบนหลังของผม มันนั่งเงียบๆอยู่แบบนั้นไม่ได้พูดอะไร จะมีก็แต่มือที่เลื่อนมาจับมือผม ผมสะบัดออกแต่ไอ้ตุลก็ยังคว้ามือผมไปจับไว้แน่น จนผมเริ่มจะรำคาญเลยปล่อยให้มันจับไว้แบบนั้น

            “นิ … ถึงเนจะอยู่ในใจผมก็จริง แต่ผมไม่เคยโกหกตัวเอง”

            “…” มันเหมือนกับมีก้อนอะไรบางอย่างขวางคอเอาไว้ ผมพยายามกลืนน้ำลายแต่มันยากซะเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าตุลาการต้องการอะไร ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงขยับตัวไปไหนไม่ได้

            ทั้งๆที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงหันไปเอาเท้ายันหน้ามันแล้วข้อหาพูดจาอะไรพล่อยๆ

            “ผมไม่เคยโกหกตัวเองจริงๆนะ ว่าความรู้สึกที่ผมมีให้นิ มันเหมือนกับตอนที่ผมเริ่มรักเนแรกๆ”

            “…”

            “ผมไม่ได้อยากจะเปรียบเทียบนิกับเน แล้วก็ไม่ได้จะขอร้องให้นิรักผมตอบ”

            “…”

            “ผมแค่ อยากดูแล อยากอยู่ข้างๆ … ผมแค่อยากบอกว่า ถ้านิต้องการใครสักคน …”

            “…”

            “ผมอยู่นี่นะ”

            ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบมีเพียงแค่เสียงลมหายใจของผมกับไอ้ตุล และอีกเสียงหนึ่งที่ผมไม่อยากให้ไอ้ตุลได้ยิน เสียงที่อาจจะไม่ดังจนมันได้ยินแต่ตัวผมเองกลับได้ยินชัด

            เสียงหัวใจที่เต้นราวกับจะระเบิดออกมาจากอก

            “อย่าลืมนะครับ ถ้ามีอะไร ผมอยู่ตรงนี้นะ” ไอ้ตุลดึงมือของมันออกไปแล้วแตะลงที่กลุ่มผมของผมเบาๆก่อนที่มันจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน

            ผมหันกลับมานอนมองเพดานด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ทำได้เพียงแค่เหม่อมองไปที่แสนไกลราวกับว่าต้องการจะคุยกับใครสักคน

            เน … มึงต้องการให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เหรอ

            มึงก็รู้ว่าจริงๆแล้ว

            กูไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย

            กูไม่ได้เข้มแข็งพอ ที่จะห้ามใจไม่ให้รู้สึกอะไรกับคนที่มาทำดีด้วย

            อย่าง ตุลาการ…

 

            รุ่งเช้าผมรีบออกจากคอนโดของไอ้ตุลเพราะยังไม่อยากเจอหน้ามันตอนนี้ ไม่รู้ดิ ผมรู้สึกสับสน แค่อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงยอมให้ตุลาการมันทำอะไรตามใจชอบ ผมเลยว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อ โดยไม่ลืมที่จะแวะห้างซื้อข้าวของอะไรเข้าไปฝากตาลุงรักสัตว์ พ่อผมก็พอๆกับไอ้เจล สองคนนี้คุยกันได้ ไอ้เจลเลี้ยงงู พ่อผมเลี้ยงกิ้งก่า

            เข้ากันอยู่

            ผมไปโดยไม่ได้โทรบอกพ่อก่อน ว่าจะไปเซอร์ไพรส์เพราะตั้งแต่กลับจากฝรั่งเศสก็ไม่ได้มาเหยียบบ้านเลย มันแปลกนะ ที่บางทีบางครั้ง เราก็ไม่อยากจะไปอยู่ในที่ที่มีความทรงจำของคนที่ตายไปแล้วเต็มไปหมด เหมือนอย่างห้องของไอ้ตุล

            ข้าวของในบ้านยังถูกจัดเรียงเรียบร้อยเหมือนเดิม การไปอยู่ที่ห้องไอ้ตุลมันมีความทรงจำของเนก็จริง แต่การกลับมาอยู่ที่บ้านสิ่งที่ผมจะนึกถึงนอกจากเน คือแม่

            ผมนั่งลงบนเก้าอี้เปียโนพลางไล้มือไปตามปุ่มสีขาวดำ บางทีถ้าผมกลับจากฝรั่งเศสให้เร็วกว่านี้ กลับมาอยู่กับแม่ แม่ก็อาจจะไม่ตาย … แต่ก็พูดไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่ลูกรักของแม่นี่

            “เสนอหน้ามาได้สักทีนะ” เสียงแหลมๆของผู้หญิงดังขึ้นด้านหลังของผม ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ผมเกลียดขี้หน้าที่สุด ป้าอร … พี่สาวแท้ๆของแม่

            เธอโทษผมว่าผมเป็นสาเหตุให้แม่ฆ่าตัวตายทั้งๆที่แม่ตรอมใจตายเพราะเนต่างหาก

            “หายหัวไปไหนมาล่ะ งานศพแม่แท้ๆยังไม่แม้แต่จะเสนอหน้ามา”

            การที่ป้าอรอยู่ในบ้านแล้วมาชี้หน้าด่าผมฉาดๆนี่ แสดงว่าพ่อไม่อยู่บ้าน เพราะถ้าพ่ออยู่บ้าน ป้าอรไม่มีสิทธิ์ที่ด่าว่าเหมือนว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เนและแม่ตาย

            “ใครน่ะแม่” ผู้ชายตัวสูงอีกคนเดินเข้ามาในห้องรับแขก เจ้าตัวขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าผม

            “ลูกทรพีไง สร้างแต่ปัญหาให้น้องสาวฉัน บางทีแกน่าจะเน่าตายอยู่ที่ฝรั่งเศสไปซะ”

            “แม่” ลูกชายของป้าอรท้วงแม่ตัวเอง ซึ่งมันทำให้ผมอยากจะขำ มันชื่อไอ้อิง ผมไม่เคยเรียกมันว่าพี่แม้ว่ามันจะอายุมากกว่าผมสามปี ผมไม่เคยเคารพผู้ชายคนนี้

            “แกอย่ามาห้ามแม่เลยอิง น้ำตาสักหยดมันยังไม่มี สำนึกหรือเปล่าไม่รู้ว่าทำชาวบ้านชาวช่องเขาเดือดร้อนไปหมด”

            “นิมันไม่รู้อะไรด้วยแม่จะไปโทษมันทำไมล่ะ”

            “งั้นก็รู้ไว้ซะนะ ว่าทำไมน้องชายแกถึงรีบกลับมาบ้าน เพราะเนติจะมาขอให้น้องสาวฉันยกโทษให้แกที่แกทำตัวเหลวไหลเที่ยวไปชกตีกับชาวบ้านไง!!!”

            ผมนิ่งไป ป้าอรชี้หน้าผมแล้วกร่นด่าอีกครั้ง

            “แกมันไม่เหมาะจะเป็นฝาแฝดพี่ชายของน้องแกเล๊ย ถ้าไม่ติดว่าแกหน้าเหมือนกัน ฉันคงไม่รู้สึกผิดที่เหมือนว่ากำลังด่าเนติหลานรักของฉันอยู่”

            ป้าอรเดินฉับๆออกไปจากห้องรับแขกเหลือเพียงแค่ผมกับไอ้อิง ผมทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาด้วยความรู้สึกแย่ที่ก่อขึ้นมาในใจ ผมเคยคุยกับเนเรื่องที่ว่าผมอยากจะกลับบ้าน แต่เพราะกลับไม่ได้ ผมไม่อยากกลับมาเจอแม่ที่เอาแต่ด่าว่าว่าผมไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของเธอ

            ผมเคยขอของขวัญวันเกิดกับเน แต่มันก็เป็นคำขอเล่นๆ เหมือนที่เราชอบพูดเล่นๆกันว่า เฮ้ยวันนี้วันเกิดกูอ่ะ มึงเอาของขวัญมาเลยบีเอ็มคันละสิบล้านอะไรแบบนี้

          ‘มึงช่วยไปพูดกับแม่ทีดิว่ากูขอโทษ กูสำนึกผิดแล้ว กูอยากกลับบ้าน’

            ผมไม่นึกว่าเนจะทำมันจริงๆ   

            “นิ” ไอ้อิงเดินเข้ามาใกล้ผม มือของมันยื่นมาจะแตะไหล่ผมแต่ผมปัดออก ผมจ้องหน้ามันด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ยอมรับว่าผมไม่ค่อยแสดงออกชัดๆว่าไม่ชอบขี้หน้าใคร

            มันเป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมเกลียดเข้ากระดูกดำ

            “พี่ขอโทษแทนแม่พี่ด้วยแล้วกันที่พูดแบบนั้น นิไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เนกับแม่ตาย”

            ผมไม่พูดอะไรทำเพียงแค่เขียนโน้ตใส่กระดาษทิ้งไว้บนเปียโนเพื่อให้พ่อรู้ว่าวันนี้ผมกลับมาบ้าน ผมเดินชนไหล่ไอ้อิงไปอย่างไม่สนใจแต่มันกลับคว้าแขนผมเอาไว้

            “นิเลิกเย็นชากับพี่สักทีได้มั้ย”

            “ได้ ถ้ามึงไม่ใช่คนที่เอาเรื่องของกูมาฟ้องแม่น่ะนะ”

            ไอ้อิงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกับแม่ไม่ลงรอยกัน มันคือคนที่เอาเรื่องทั้งหมดมาพูด ทั้งๆที่บางเรื่องมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงคืออะไร

            “แล้วถ้ากูไม่ห่วงมึง กูจะทำป่ะ”

            ผมสะบัดแขนตัวเองออกจากไอ้ญาติโรคจิตแล้วชูนิ้วกลางใส่หน้ามันอย่างไร้ความนับถือ

            “ไปตายเหอะ”

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 11 Love is Scar (22-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 22-09-2016 21:01:56
นิสู้ๆนะ :mew6:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 11 Love is Scar (22-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 22-09-2016 21:47:17
อิป้า :angry2:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 11 Love is Scar (22-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 23-09-2016 06:51:24
ทำไมดูซับซ้อน ความหลังเยอะจริงๆ ><
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 11 Love is Scar (22-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 24-09-2016 18:05:30
อ้าว ไหงงั้น นิน่าสงสาร รออ่านตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 11 Love is Scar (22-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-09-2016 18:32:18
ถึงจะบอกว่าตัวเองหวังดียังไงก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 12 Love is Weakness (25-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 25-09-2016 20:32:20
Chapter
12
[/b]

 

            ผมกลับมาทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีอีกครั้ง ตอนนี้ฝนตกหนักยิ่งกว่าฟ้ารั่ว ผมนั่งตากฝนอยู่ริมฟุตบาทไม่รู้ร้อนรู้หนาว หลังจากออกจากบ้านผมก็โทรไปหาไอ้เจลแต่มันไม่รับ ผมเลยโทรไปหาไอ้ป้อง ไอ้ป้องก็ติดงาน โทรไปหาไอ้สิท พอไอ้สิทไม่ว่างผมก็ไม่รู้จะคุยกับใคร ไอ้ธามที่เพิ่งกลับจากแดนจิงโจ้ก็ยังไม่มีเบอร์มัน จนกระทั่งเลื่อนไปเจอเบอร์ของไอ้ตุล

            อาจจะบ้าแต่ผมดันเมมเบอร์มันไว้ด้วย

            เห็นแบบนั้นก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่

            อะไรกันนักหนาวะโว้ย!

            ‘ครืน ครืน’

            ฟ้าร้องเป็นบ้าเป็นหลังไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวสักนิด ผมนั่งมองโทรศัพท์ของตัวเองที่ค่อยๆดับลงเหมือนจะชัตดาวน์ตัวเองเพราะน้ำเข้า

            ผมอาจจะเป็นคนดูมีเหตุผลในหลายๆเรื่อง อาจจะดูเป็นคนเข้มแข็งให้กับทุกอย่างที่ปะทะประดังเข้ามาพร้อมๆกัน แต่ผมก็ยังเป็นคน

            ยังมีความรู้สึก ยังเจ็บ ยังเสียใจเป็น

            ‘นิ ทำไมมึงถึงไม่เคยร้องไห้เลยวะ พี่ตุลเคยถามว่าทำไมกูถึงเข้มแข็งจัง’

          ‘เหอะ เราคงเป็นแฝดหัวแข็งฆ่าไม่ตายมั้ง’

          ‘เอาดีๆดิ’

          ‘แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูไม่เคยร้องไห้’

          ‘ก็กูไม่เคยเห็นน้ำตามึงเลยนี่หว่า’

          ‘การที่กูไม่มีน้ำไหลออกมาจากตา มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ร้องไห้อยู่ข้างใน’

            จะรู้ได้ยังไง ว่าคนที่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา เขาไม่ได้กำลังร้องเจียนจะตายอยู่ข้างใน

            นี่ไม่ใช่ละครที่ว่าผมนั่งร้องไห้อยู่แล้วจะมีนางเอกเดินมาเจอพร้อมกับร่มคันหนึ่งแล้วบอกว่ากลับด้วยกันมั้ย หรือว่ามีรถหรูมาจอดข้างหน้าแล้วบอกว่า ขึ้นมา โง่หรือเปล่าเอาตัวเองไปตากฝน

            ผมพยุงร่างแฉะๆของตัวเองไปยังที่ที่ผมคิดว่าผมอยู่แล้วผมสบายใจ แต่ผมดันโผล่มาอยู่หน้าห้องไอ้ตุล ที่ที่ผมรู้สึกว่ามันอึดอัดที่สุดในโลก

            เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมจะไปบ้านไอ้เจลนี่หว่า

            แต่ถ้าเกิดไปหาไอ้เจลตอนนี้ ดีไม่ดีผมจะทำมันเป็นห่วงมากกว่าเดิม…

            ผมเลยเคาะประตูลงหน้าห้องของไอ้ตุลที่ไม่รู้ว่ามันนอนหลับไปแล้วหรือยัง ตั้งแต่กลับจากบ้านพ่อผมก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเหมือนชีวิตไร้จุดหมาย นั่งค้างอยู่แถวสะพานข้ามแม่น้ำ ลงเอยที่ริมฟุตบาท ฝนตกจนตัวเปียกแฉะไปถึงไส้ใน

            ประตูถูกกระชากเปิดออกด้วยความตกใจ ไอ้ตุลมองหน้าผมแล้วกระพริบตาปริบๆเหมือนมีคำถามอะไรมากมายจะถาม ผมถือวิสาสะเดินลอดแขนมันเข้าไปแล้วถอดเสื้อออกเพราะแอร์ในห้องเย็นเฉียบ

            “โอยหนาว”

            “ไปทำอะไรมาเนี่ย แฉะเป็นลูกหมาเลย”

            ผมหัวเราะแหะๆให้เจ้าของห้องก่อนจะพยุงร่างตัวเองเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอุ่นๆปล่อยให้ความคิดถูกน้ำพัดลงท่อไป ไม่รู้ว่าใช้เวลาอาบน้ำนานเท่าไร รู้แค่ว่าผมเริ่มรู้สึกหัวหนักๆอยากจะทิ้งตัวลงบนเตียง

            ไอ้ตุลยืนพิงกำแพงอยู่ข้างประตูห้องน้ำ ผมมองหน้ามันนิดๆแต่ไม่ได้คิดจะพูดอะไร ก่อนจะลากสังขารตัวเองไปทิ้งตัวนอนบนโซฟาแล้วหลับตาลง

            “ไปนอนบนเตียงเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ผมนอนโซฟาเอง” ตุลาการยื่นข้อเสนอ ผมเพลียเกินกว่าจะตอบตกลงเลยได้แค่ครางอือในลำคอ

            “นิ ไม่คิดจะบอกผมจริงๆเหรอว่าทำไมถึงไปตากฝนมาแบบนี้”

            “อย่าเซ้าซี้น่า รำคาญ…” ผมว่า ไม่มีเสียงตอบรับจากไอ้ตุลอีก

            แค่ไม่กี่วินาทีต่อมาผมกลับรู้สึกเหมือนลอยขึ้นจากโซฟา ผมรีบเบิกตากว้างมองไอ้คนที่พยายามอุ้มผมด้วยท่าเจ้าสาวด้วยความตกใจ

            “ไอ้เชี่ยตุล!!!!!!!”

            ‘พลั่ก’

            มือของผมเสยเข้าที่บ้องหูไอ้ตุลจนมันเซล้มพรวดลงบนพื้นพรม ก้นกบผมกระแทกพื้นจนชาไปทั้งแถบ ผมร้องโอดโอยแล้วเอาเท้าถีบไอ้ตุลด้วยความหงุดหงิด

            มึงคิดว่ากูเป็นผู้หญิงที่มึงอยากจะอุ้มเมื่อไรก็อุ้มเหรอ

            สติยังดีอยู่มั้ยวะหา!!!!!

            “บ้ารึเปล่า นี่มึงทำบ้าอะไรเนี่ย” ผมตะคอกด่าไอ้ตุลที่นั่งกุมหูอยู่ ผมตบมันไปแรงพอสมควร มันหันมามองผมแล้วตะคอกใส่ผมกลับ

            “ก็ผมอยากให้นิบอกอะไรผมบ้างนี่!!! ทำไมต้องเก็บมันไว้คนเดียวด้วยวะ!!!”

            “แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไมเล่า!”

            “ก็ผมรักของผมนี่!!!”

            โอ้โห เหมือนโดนรองเท้าแตะตบหน้าดังฉาด ผมนั่งหน้าชาอยู่กับที่แล้วกระพริบตามองไอ้ตุลด้วยความสับสน เหมือนโดนไอ้ตุลตบบ้องหูด้วยคำพูด ตุลาการเขยิบเข้ามาใกล้ผม ไม่ถึงเสี้ยววินาทีริมฝีปากอุ่นๆของมันก็แตะลงบนริมฝีปากของผม เนิบนาบและอ่อนโยน ฝ่ามือของไอ้ตุลจับท้ายทอยของผมเอาไว้ และผมไม่ได้ขัดขืนอะไรทั้งสิ้น

            จูบเบาๆก่อนจะค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ สมองผมมึนไปหมด ลมหายใจหนักๆของไอ้ตุลกระทบข้างแก้มของผมก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆถอนริมฝีปากออกเมื่อผมเริ่มท้วงเพราะขาดอากาศหายใจ ผมผละออกจากมันเล็กน้อยพลางโกยอากาศเข้าปอด

            ไอ้ตุลยื่นหน้ามาจะจูบผมอีกครั้งแต่ผมหดคอกลับ ถึงจะชินกับการจูบเมื่ออยู่ปารีส แต่การจูบกับผู้ชายที่ดันรู้สึกดีด้วยนี่มัน …

            อันตรายชัดๆ

            อันตรายโคตรๆ

            “นิ…”   

            “เดี๋ยว หยุดๆๆ!!!” ผมถอยหลังพรวดแต่ไอ้ตุลตามเข้ามาประชิด แค่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ตามมาตะครุบผม

            Shit …

            “กูไม่เล่นนะ อยากตายหรือไง” ผมขู่ ไอ้ตุลยิ้มโชว์ลักยิ้มเล่นเอาผมชะงัก

            “ไม่ตบผมนี่ แสดงว่าชอบเหรอ”

            ‘ผั่วะ’

            “อ๋อ เป็นไอ้พวกชอบความรุนแรงงั้นสิ” มันขอมาผมก็สนอง ผมฟาดฝ่ามือลงบนหัวของไอ้ตุลอย่างแรง มันร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นช่องทางผมเลยรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งเข้าห้องนอนไอ้ตุลไปพลางกดล็อคประตู

            ผมทรุดตัวนั่งลงบนพื้น หัวใจเต้นรัวราวกับว่าจะหลุดออกมาจากอก

            เน …

            แฟนมึงกำลังทำให้กูเป็นบ้า!!!!

 

            โชคดีที่ก่อนนอนผมซัดยาแก้ไข้ไปสองเม็ดเพราะกลัวตอนเช้าจะตายเพราะไข้ซะก่อน ดันไปทำเก๋าตากฝนตั้งสามสี่ชั่วโมง ตื่นเช้าเลยมีแค่อาการปวดเมื่อยเล็กน้อยที่พอจะทำให้อยากจะนอนเหยียดอยู่บนโซฟาทั้งวัน แต่ผมกลับเลือกที่จะออกไปที่มหา’ลัยเพื่อเคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ

            “ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ จรัส บราวน์ที่ทำหน้าเหมือนไม่ได้กินข้าวเช้านั่งลงตรงข้ามผมที่นั่งอ่านหนังสือฝรั่งเศสอยู่ มันหรี่ตามองอย่างเอาเรื่องแต่ผมไม่ได้ใส่ใจ

            “นิ มึงโกรธกูเหรอที่กูไม่รับโทรศัพท์” ไอ้เจลถามผม ผมส่ายหน้าเบาๆ แต่สายตายังคงจับจ้องหนังสือที่อ่านไม่เข้าหัวเลยสักนิด ในหัวมีแต่คำพูดของป้าอร ซ้ำไปซ้ำมา

            เรื่องที่เนตายเพราะรีบกลับบ้านไปขอของขวัญชิ้นที่แย่ที่สุดในชีวิตของเน

            ของขวัญที่ขอให้ผมกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันขอก็ตายซะก่อน

            “กูเคยโกรธเรื่องไร้สาระแบบนั้นที่ไหนกัน” ผมพูดเสียงแผ่ว ไอ้เจลยื่นมามากระชากคอเสื้อผมเพื่อบ่งบอกว่ามันกำลังไม่พอใจและต้องการคุยแบบตั้งใจ

            “แล้วทำไมถึงไม่มองหน้ากู”

            “แล้วทำไมกูต้องมองหน้ามึง…” ผมตกใจเมื่อเห็นหางคิ้วไอ้เจลถูกปิดด้วยผ้าก็อต แถมโหนกแก้มมันยังมีรอยช้ำเขียว ผมขมวดคิ้วแล้วจับหน้าไอ้เจลให้หันซ้ายหันขวา เพราะเมื่อกี้มองหน้ามันมุมเงยผมถึงไม่เห็นว่าหน้ามันเยินขนาดนี้

            “ไปกัดกับหมาที่ไหนมาเนี่ย”

            “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ทำไมไม่รับโทรศัพท์เมื่อคืน โทรไปเกือบจะร้อยสาย!!” ผมแอบแปลกใจนิดหน่อยที่ไอ้เจลมันขึ้นเสียงใส่ ปกตินอกจากกวนตีนไปวันๆแล้วมันก็ไม่ค่อยจะดุผมสักเท่าไร

            “อ่าว ก็นึกว่าจะให้ดูแผล”

            ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามเพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง จะหันไปก้มมองหนังสือแต่ไอ้เจลก็คว้าหนังสือไปเก็บแล้วลากผมออกจากห้องสมุด

            “มึงเป็นอะไรเนี่ยเจล”

            “มึงไปเจอไอ้อิงมาใช่มั้ย” ไอ้เจลถามเมื่อลากผมออกมาที่ระเบียง ผมแอบแปลกใจนิดหน่อยที่มันรู้ จริงๆเรื่องไอ้อิงกับผมไม่ถูกกัน ไอ้เจลรู้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมมันรู้ว่าเมื่อวานผมไปเจอไอ้อิงมา

            ผมพยักหน้า ไอ้เจลถอนหายใจ

            “เมื่อวานมันมาหากูที่บ้าน ถามว่ารู้มั้ยว่านิไปนอนที่ไหน อยู่กับใคร”

            “…” มือสองข้างผมกำแน่น ไอ้เวรนี่ ชักจะมากไปละไง

            “มึงต้องรอให้มันทำอะไรมึงก่อนเหรอวะถึงจะยอมบอกกูว่ามึงไปเจอมันอ่ะ”

            “ก็ไม่เห็นต้องสนใจคนแบบมันนี่”

            “นิ!!! มึงก็รู้ว่าไอ้อิงเป็นคนยังไง มึงจะรอให้มันตามมึงไปทุกที่แล้วพูดจาส้นตีนยังไงกับมึงก็ได้โดยที่ไม่สนว่ามึงจะรู้สึกยังไงน่ะเหรอ”

            “กูเจอมาเยอะแล้วว่ะเจล กูไม่สนใจแล้วว่าใครจะพูดยังไง แค่ไอ้อิงคนเดียวช่างหัวมันเหอะ” เหมือนคำพูดของผมไปกระตุกต่อมโมโหของไนเจลเข้า มันบีบไหล่ผมอย่างแรงแล้วจ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

            “อย่าพูดเหมือนกับว่ามึงไม่มีค่า ทำไมวะนิ มึงชอบพูดว่ามึงชิน ชอบพูดว่ามึงน่าจะตายแทนเน มึงคิดมั้ยว่าพวกกูรู้สึกยังไงเวลามึงพูดว่าคนที่ควรจะตายน่าจะเป็นมึงมากกว่า”

            “กูก็แค่พูดเล่น”

            ไอ้เจลปล่อยมือจากไหล่ของผมแล้วฟึดฟัดทำท่าจะเดินหันหลังไป แต่มันหันหลังกลับมาชี้หน้าผมด้วยแววตาและสีหน้าที่ผิดหวังเหมือนกำลังน้อยใจ

            “มึงเล่น แต่พวกกูไม่เล่น นิที่กูรู้จักไม่ใช่ผู้ชายที่ยอมให้คนอื่นมาพ่นน้ำลายใส่หัวแล้วอยู่เฉยๆแบบนี้ นิที่กูรู้จักอ่ะ ถ้าใครพูดจาหมาๆใส่มันต้องซัดหมัดกลับไป”

            ผมรู้สึกเหมือนกับโลกหมุนเลยต้องคว้าราวระเบียงเอาไว้ ถึงอย่างนั้นปากมันก็พูดจาบ้าๆออกไปทั้งๆที่สมองยังไม่ทันจะสั่งการ

            “กูก็เป็นของกูแบบนี้แหละ”

            “ไม่ใช่ นิติที่กูรู้จัก ไม่มีวันพูดหรอกว่าตัวเองไร้ค่า”

            ไอ้เจลหันหลังให้ผมแล้วเดินออกไปทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียว ยังไม่ทันจะอ้าปากห้ามมันขาทั้งสองข้างก็ทรุดฮวบลงที่พื้น ผมนั่งพิงระเบียงแล้วใช้ฝ่ามือกุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้พลางหัวเราะบ้าๆคนเดียว

            มึงมันไม่ได้เรื่องจริงๆนิติ

 

            ผมกลับไปที่คอนโดของไอ้ตุลเพราะตอนนี้ไอ้เจลคงโมโหผมจนไฟลุกที่พูดออกไปแบบนั้นเหมือนกับไม่ใส่ใจในความเป็นห่วงของมัน จริงๆผมไม่ได้อยากพูดแบบนั้นออกไป ไม่เลยจริงๆ

            ไอ้ตุลไม่อยู่ที่ห้อง ห้องใหม่มันผมก็ไม่มีกุญแจเลยต้องลงไปนั่งรอที่ล็อบบี้ แต่ก็ขี้เกียจเกิน ผมเลยนั่งชันเข่ารอไอ้ตุลหน้าห้องพลางก้มหน้าหลับตาลงเพราะไม่อยากจะสนทนากับใครก็ตามที่จะเดินผ่านไปผ่านมา รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ ผมอยากได้ใครสักคนอยู่ข้างๆ คนที่จะไม่บ่นไม่ว่าแม้จะห่วงขนาดไหน คนที่จะยอมทนนั่งเงียบๆอยู่ด้วยกันจนกว่าผมจะยอมปริปากพูดเอง

            เหอะ ไอ้ตุลเนี่ยนะจะยอมนั่งเงียบๆ แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะตอนนี้ผมไม่อยากทะเลาะกับเพื่อน ไม่อยากให้ทิฐิและความงี่เง่าของตัวเองทำให้เพื่อนเสียใจ

            เหมือนที่ผมทำให้เจลเสียใจวันนี้

            “นิ!” เสียงของไอ้ตุลดังขึ้นก่อนที่ผมจะหลับ มันเดินเข้ามาใกล้พลางนั่งยองๆลงตรงหน้าผม สายตาเป็นห่วงถูกส่งมาแต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรรีบไขกุญแจเข้าห้องไปด้วยความรวดเร็ว

            “ขอโทษนะครับที่กลับมาช้า นิน่าจะโทรมาบอกก่อนว่าจะกลับเร็วผมจะได้ขอเพื่อนออกจากห้องติวก่อนเวลา หิวมั้ย กินอะไรมาหรือยัง”

            ไอ้ตุลพูดเป็นชุดพร้อมกับถอดรองเท้าอย่างทุลักทุเล ผมมองแผ่นหลังของมันเงียบๆ

            “นิไปอาบน้ำก่อนมั้ยเดี๋ยวผมอุ่นข้าวกล่องให้ พอดีแวะซื้อมาเมื่อกี้เผื่อจะหิวตอนดึกๆ”

เมื่อเห็นว่าไอ้ตุลไม่ยอมหยุดพูดสักทีผมเลยคว้าเสื้อของมันเอาไว้ คนที่ยืนหันหลังอยู่ถึงกับชะงักนิ่งอยู่กับที่

            “นิ…”

            “พูดมากว่ะ” ผมซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างๆของมันอย่างถือวิสาสะ

            ‘หลังของพี่ตุลกว้างมากเลยรู้ป่ะ’

            และอุ่นมาก

            ‘เวลาหนาวๆได้มันกอดนี่โคตรอุ่นเลย’

            มึงไม่เคยพูดผิดเลยเน … มึงไม่เคยพูดผิดเลยจริงๆ

            ภายในห้องมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่งๆ ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากผมหรือไอ้ตุล เหมือนมันรู้ว่าผมแค่อยากได้ที่พักพิง และผมก็ต้องการที่จะอยู่เงียบๆไม่อยากจะพูดอะไร

            “นิ…” เสียงทุ้มๆของไอ้ตุลดังขัดความเงียบ ผมครางตอบในลำคอ

            “อือ”

            “ผมอยู่ตรงนี้นะ”

            พอไอ้ตุลพูดแบบนั้นออกมาเท่านั้นแหละ มันเหมือนกับว่าร่างกายของผมขยับไปเอง จากที่เพียงแค่ซบแผ่นหลัง ผมโถมกอดมันจากด้านหลัง จิกมือทั้งสองข้างลงไปบนเสื้อของไอ้ตุลด้วยความอึดอัดที่อยากจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

            เมื่อก่อนผมเคยเป็นคนเข้มแข็งอย่างที่ไอ้เจลว่า

            แต่ตอนนี้ … ผมอยากทำตัวอ่อนแอเสียเหลือเกิน     
            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 12 Love is Weakness (25-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 26-09-2016 00:10:36
กรี้ดดดดดดดดดดเป็นเรื่องทีอ่านแล้วก็ค้ำคอร์มากกกหหทั้งค้ำคอร์ทั้งเขินทั้งโกรธ. หลายอารมที่สุดแต่คือเรื่องดีมาก ภาษาสุดยอด ไม่ไหวแล้วววจัลล้อง
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 13 Love is Stubborn (28-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 28-09-2016 21:18:41
Chapter
13

 

            (มึงควรโทรไปคุยกับไอ้เจลนะ มันงอแงใหญ่บอกว่ามึงไม่รับโทรศัพท์มัน เมื่อวานมันอยากขอโทษที่ตะคอกใส่มึง) ผมใช้มือถือไอ้ตุลโทรไปหาไอ้สิท เพราะอยากรู้ว่าไอ้เจลเป็นยังไงบ้าง ผลสรุปที่ได้คือแทนที่มันจะโกรธผม มันกลับกลัวว่าจะโดนผมโกรธแล้วก็โทษว่าตัวเองผิดที่ทำให้ผมกับมันทะเลาะกัน

            เหอะ ไอ้บ้าขี้แง ตัวโตเป็นควายร้องไห้งอแง

            “มันคงไม่อยากคุยกับกูตอนนี้หรอก แต่กูไม่อยากให้มันเป็นห่วง ฝากบอกมันด้วยว่าขอโทษ ไว้จะโทรไปขอโทษเองทีหลัง บอกเจลว่าอย่าขี้แย แล้วก็แผลที่หน้าอ่ะไปหาหมอซะเผื่อช้ำใน” ผมสั่งเสียไอ้สิท ไอ้สิทรีบท้วงตามประสาคนกวนประสาท

            (โอ้ยไปขอโทษมันทำไม ไอ้ห่าเจลอ่ะผิด นี่คนนะเว้ยไม่ใช่ควายถึกถึงจะได้ทนทุกสถานการณ์แบบมึงอ่ะไอ้ห่า นิมันก็อ่อนแอเป็นเว้ย สมองเท่าเมล็ดถั่วยังมีแต่ความชั่วอีก) ผมแอบยิ้มออกมานิดๆ ไอ้สิทจัดเต็มขนาดนี้แสดงว่าไอ้จรัส บราวน์นั่งอยู่ข้างๆมันนั่นแหละแต่ไม่กล้าคุยกับผม

            “เออแค่นี้ก่อนนะ หมามันนอนอยู่เดี๋ยวมันตื่น” ยังไม่ทันจะได้วางสาย ไอ้สิทก็รีบโวยวายกลับมา

            (เดี๋ยว มึงเลี้ยงหมาตั้งกะเมื่อไร… ปี๊ป)

            สายตาของผมละจากจอโทรศัพท์ของไอ้ตุลมองกลุ่มผมสีดำสนิทที่พิงไหล่ของผมอยู่ เมื่อคืนผมนั่งเงียบๆอยู่กับไอ้ตุลทั้งคืนโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกัน จนกระทั่งหลับไปทั้งคู่ ตื่นเช้ามาเลยเจอคนที่ดูเหมือนจะอ่านหนังสือหนักเพราะเรียนใกล้จะจบนอนพิงไหล่อยู่เลยไม่อยากจะปลุก

            ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ผมยอมให้มันเข้าใกล้ขนาดนี้

            แต่ก็ต้องขอบคุณที่มันยอมทนไม่ถามอะไร ผมเองก็ไม่อยากพูดอะไร เพราะแบบนี้ไงใครๆถึงทยอยโกรธผมที่ผมไม่ค่อยจะบอกในสิ่งที่ตัวเองเก็บเอาไว้ข้างใน

            ผมแค่ไม่ถนัดที่จะต้องพูดมันออกมา

            นั่งนานๆจนไหล่ผมเริ่มจะชาไอ้ตุลก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เหน็บเริ่มจะกินไหล่ข้างซ้ายจนผมต้องขยับนิดๆ พอขยับปุ๊ปไอ้คนข้างๆก็งัวเงียสะลึมสะลือทันที

            “เน… ขอนอนต่อแปปนึงนะ”

            ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันแบบอัตโนมัติ ผมเงยหน้ามองเพดานก่อนจะขมวดคิ้วให้กับเนติที่ผมมโนภาพเอาเองว่ามันกำลังมองมาจากบนฟ้าแล้วยกนิ้วกลางใส่มันไป

            ส่งแฟนมึงมาให้กูแล้วแฟนมึงเอาแต่พูดชื่อมึงเนี่ยนะ

            ขี้โกงนี่หว่า

            “อ้าว ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” เหมือนคนโดนบ่นจะรู้ตัว ผมมองไอ้ตุลที่ลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยหางตา มันขยี้ตาแล้วบิดไล่ความเมื่อยด้วยความงัวเงีย

            เจ้าของห้องอ้าปากหาวกว้างก่อนจะหันมามองหน้าผม

            “มีอะไรติดหน้าผมเหรอ” ไอ้ตุลถาม ผมกลอกตาด้วยความเซ็งขั้นสุด

            จงขอบคุณกูซะที่ให้มึงนั่งพิงจนปวดไหล่ขนาดนี้

            ผมทำท่าจะลุกขึ้นไปล้างหน้า แต่ไอ้ตุลคว้าแขนของผมไว้ก่อน

            “พร้อมจะบอกผมหรือยังว่าเมื่อวานเป็นอะไร” เจ้าตัวถาม ผมมองมันนิ่งๆ

            ไม่ใช่ไม่อยากบอก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนมันได้แค่ไหน

            “ไว้ถ้าทนไม่ไหวจริงๆจะบอกแล้วกัน”

            “ทำไมถึงต้องทน”

            “มึงเลิกเซ้าซี้แล้วลุกไปแปรงฟันไป ปากเหม็น”

            สุดท้ายเราสองคนก็มายืนมองหน้ากันอยู่ในห้องน้ำผ่านกระจกบานใหญ่ ผมนั่งแปรงฟันอยู่บนชักโครกเหลือบตามองไอ้ตุลที่ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าที่นั่งพิงอ้างล้างหน้าแปรงฟันอยู่

            “อึงอ่านอังอืออักอ่ออ้ะ” ผมพูดไปแปรงฟันไป ไอ้ตุลหันมามองหน้าแล้วเลิกคิ้วข้างเดียว

            “อ้ะ”

            “อูอามอ่าอึงอ่านอังอืออักอ่อ อาอำเอียว”

            “อ้ะ?!!” ไอ้ตุลยังคงไม่รู้ว่าผมพูดอะไร แต่การที่มันตอบอ้ะอ้ะกลับมาก็พอทำให้ผมรู้ว่าตัวผมเองก็พูดไม่รู้เรื่อง แค่นั้นก็ทำให้รู้สึกขำขึ้นมาซะเฉยๆ ผมดันหัวเราะทั้งๆที่ฟองยาสีฟันยังเต็มปากเลยทำให้สำลักเข้าคอไปเลยเต็มๆ

            “แค่กๆ”

            ไอ้ตุลรีบเปิดน้ำใส่แก้วแล้วล้างปากผม แต่เหมือนมันจะโง่เกินไปน้ำเลยหกเลอะกางเกงผมหมด

            “เฮ้ยนิ ผมขอโทษ” มันลุกลี้ลุกลนรีบบ้วนปากตัวเองก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ผมที่ไอเหมือนคนกำลังจะตายอยู่รอมร่อ ยาสีฟันเห็นหวานๆงี้เข้าคอทีแสบไปถึงจมูกเลยเว้ย

             “แค่กๆ โอ้ย แค่ก ทำไมมึง โง่ ขนาดนี้” ผมด่าไอ้ตุลไปไอไปแล้วดึงผ้ามาเช็ดกางเกงยีนส์ที่เปียกน้ำเป็นวงกว้างเหมือนคนฉี่ราด ผมเลยรีบเดินออกไปจากห้องน้ำแล้วหากางเกงเปลี่ยนแต่ดันลืมไปว่าไม่มีชุดมาด้วยนี่ดิ ชุดอยู่บ้านไอ้เจลหมด วันนั้นที่ตัวเปียกเพราะตากฝนมาก็ได้เสื้อยืดกับกางเกงนอนของไอ้ตุลที่มักจะห้อยไว้อยู่ในห้องน้ำตามมุมนู้นมุมนี้ตามประสานิสัยคนชอบวางเผื่อ

            ผมเดินไปถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้องอย่างเอาแต่ใจก่อนจะชะงักไป

            “เฮ้ย ชุดมึงหายไปไหนหมดเนี่ย”

            “นิไม่ได้บอกว่าจะมานอนค้างนี่ครับ เลยเอาไปซักหมดแล้วเพราะอาทิตย์หน้าแม่จะมาเยี่ยมที่คอนโดเลยรีบทำความสะอาดไว้ก่อน”

            ไอ้ตุลพูดรัวๆเล่นเอาผมหันไปถลึงตาใส่

            “แล้วกางเกงเปียกนี่จะทำไงวะ!!!”

            “ถอดมาก็ได้เดี๋ยวผมไปซักให้”     

            “กูต้องออกไปข้างนอกวันนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วจะทำไงวะเนี่ยโอ้ย”

            “แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกหรือไม่ออกนี่ครับ เอากางเกงผมไปใส่ก่อนมั้ยล่ะ” ผมมองไอ้ตุลแล้วขมวดคิ้ว

            “ก็เมื่อกี้บอกว่าเอาไปซักแล้วจะให้ใส่กางเกงไหนวะ”

            เจ้าของห้องชี้ไปยังกางเกงยีนส์ที่ตัวเองสวมอยู่ ผมมองไอ้ตุลแล้วปาผ้าที่เช็ดปากอยู่เมื่อกี้ใส่หน้ามัน

            “ขามึงยาวยิ่งกว่าเสาไฟฟ้าหน้าบ้านกูยังจะมาหน้าด้านบอกว่าให้ใส่กางเกงมึงออกไปข้างนอกเนี่ยนะ มึงคิดว่ากูเป็นเด็กฮิพเหรอไอ้ห่าเดินออกไปสภาพนั้นกูต้องเดินไปดึงกางเกงไปมั้ย!!!”

            “เอาหนังยางรัดก็ได้นะครับ”

            “กวนประสาท!!!”

            ผมยกมือจะเฉาะหัวไอ้ตุลแต่กลับโดนคว้าเอาไว้ ไอ้คนที่เล่นบาสจนตัวสูงโย่งก้มลงมากดจมูกลงบนแก้มของผมรวดเดียวแล้วรีบหดคอหนีหมัดของผม

            “ไอ้ตุล!!!”

            “นินี่เวลาโมโหเหมือนกระรอกเลยนะครับ” เจ้าของห้องยิ้มตาหยีโชว์ลักยิ้ม ผมคว้าหมอนบนเตียงปาใส่หน้ามันอย่างแรง

            “โอ้ยๆ ยอมแล้วจ้า ยอมแล้วพ่อคนดุ”

            “ไปไกลตีนเลยไป๊!!!” ผมปาหมอนอีกใบใส่หน้าไอ้ตุลที่หัวเราะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนมันต้องวิ่งหนีออกจากห้องไป ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ผมเงยหน้ามองกระจกที่ติดอยู่ตรงข้ามพลางชะงักไปเมื่อเห็นรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของตัวเอง ริมฝีปากสองข้างที่ฉีกยิ้มราวกับไม่ใช่ผู้ชายที่ชื่อนิติ ผมค่อยๆหุบยิ้มลงพลางไปยืนหน้ากระจกก่อนจะแตะเงาของตัวเองเบาๆ

            เวลามึงยิ้ม มันเป็นแบบนี้เองเหรอเน

            ถึงว่าล่ะทำไมไอ้ตุลถึงรักมึงมากขนาดนี้

            มึงรู้มั้ยว่าเวลามึงยิ้ม มึงน่ารักมากเลยนะเนติ…

            “เฮ้ยตุล เสื้อบาสที่ฝากไว้ซักยัง…วะ…” ผมชะงักไปเมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอน ใบหน้าที่คุ้นๆเหมือนเคยเจอที่ไหนทำให้ผมร้องอ๋อขึ้นมาในใจ

            เพื่อนที่เคยมาหาไอ้ตุลที่ห้องเมื่อตอนที่ผมไปหามันแรกๆ

            ชื่ออะไรผมจำไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่ใจ

            “อ้าวตาม มึงมาไงเนี่ย” ตุลาการโผล่มาจากไหนไม่รู้ทักทายเพื่อนที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ เหมือนเจ้าตัวเพิ่งจะนึกออกว่าผมไม่ใช่ผีเนแต่เป็นพี่ชายฝาแฝดของเนที่ชื่อนิติ

            “เชี่ยตุลมานี่เลย” คนที่ชื่อตามลากไอ้ตุลไปที่ห้องครัว ผมยืนพิงประตูห้องนอนฟังบทสนทนาของสองคนที่กำลังจะเกิดขึ้น ครั้งที่แล้วผมแอบได้ยิน แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจจะฟังว่าหมอนั่นจะพูดอะไร

             “ตกใจหมดห่านึกว่าเจอผี” เหอะ ผีหน้าสิหล่อขนาดนี้

            “นั่นพี่ชายเนไง จำไม่ได้เหรอวะ”

            “แล้วไหนมึงบอกว่าอยู่กับเขาแล้วอึดอัด”

            บทสนทนาเงียบไป เหมือนไอ้ตุลจะรู้ว่าผมฟังอยู่มันเลยเบาเสียงลง คราวนี้จากที่ยืนฟังธรรมดาผมถึงกับต้องเงี่ยหูฟังว่ามันจะพูดอะไร

            “ตอนแรกอ่ะใช่ … แต่จะพูดไงดีวะตาม”

            “อะไร… อะไรมึง อย่าบอกนะว่า…!”

            “เออดิ ตอนแรกกูคิดว่ากูชอบเขาเพราะว่าเขาหน้าเหมือนเน เพราะกูยังรักเน ยังลืมเนไม่ได้”

            “เฮ้ยมึง”

            “แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่แบบตอนนั้นละว่ะ”

            “เพราะหน้าเหมือนเนเหรอวะ ไม่หลอนมั่งหรือไง”

            “ห่าตาม ก็กูกำลังจะบอกว่าเขาไม่เหมือนเน … นิก็คือนิ เนก็คือเน”

            “ตุล… กูเพื่อนมึงมาทั้งชีวิตนะ กูรู้ว่ามึงไม่มีทางลืมเนง่ายๆ”

            “กูไม่ได้ลืมเน แต่กับนิติ… กูก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา”

            “แล้วมึงรู้สึกยังไงตอนนี้ กับนิติของมึงอ่ะ”

            “… กูรักเขาเข้าเต็มๆเลยว่ะ”

            ผมเคลื่อนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนพลางปิดประตูลงแล้วทรุดตัวลงบนเตียงก่อนจะคว้าหมอนเข้ามาปิดหน้า ใบหน้าที่ร้อนผ่าวเหมือนจะละลายโลกทั้งใบทำให้ผมรู้สึกแย่

            เป็นอะไรของมึงวะนิ ทำไมแค่คำพูดแค่นี้ถึงมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้

            ไม่หรอก ผมไม่ได้ชอบไอ้ตุล แค่รู้สึกดีด้วย

            อย่างที่ไอ้เจลว่า คนอ่อนแอมักจะต้องการใครอีกคน ผมก็แค่เคลิ้มตามไป

            ไม่มีไรหรอกมั้ง ไม่หรอก…

            ‘แอ๊ด’

            ประตูถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือใครสักคน ผมไม่ได้เงยหน้ามองว่าใครเดินเข้ามาแต่กลิ่นน้ำหอมจางๆที่ชินจมูกบ่งบอกว่าเป็นตุลาการไม่ใช่คนชื่อตามเพื่อนของมัน

            “นิหลับเหรอครับ”

            เปล่า

            ผมเกือบจะพูดออกไปถ้าไม่ติดที่ว่าเปลี่ยนใจนอนนิ่งๆอยู่กับที่แม้จะหายใจไม่ออกก็เถอะ

            เตียงที่ยวบลงด้านข้างบ่งบอกว่าเจ้าของห้องทิ้งตัวลงนั่ง ฝ่ามือของไอ้ตุลแตะลงบนกลุ่มผมของผม ความอุ่นของมือมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

            “ผมรู้ว่านิอาจจะไม่ชอบผม ผมรู้ว่านิไม่อยากทรยศเน”

            “…”

            “ผมเองก็ไม่อยากทรยศเน แต่บางทีผมก็สงสัยว่าทำไมเนถึงส่งนิมาดูแลผมทั้งๆที่ผมตัวคนเดียวก็ดูแลตัวเองได้ … บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเนไม่อยากให้เราสองคนอยู่ตามลำพัง”

            “อาจจะเป็นเพราะว่าเราต่างก็เป็นคนสำคัญของเน…”

            ผมนิ่งไปแล้วเหม่อมองไปที่หมอนสีขาวราวกับว่ามองทะลุผ่านมันไปได้ เพื่อนๆผมก็บอกแบบนั้นว่าจุดประสงค์ของเนที่ขอให้ผมมาดูแลไอ้ตุลก็เพราะว่าเนไม่อยากให้ผมอยู่คนเดียว

            เนรู้ว่าผมเข้ากับใครไม่ได้ ที่สำคัญผมเป็นคนหัวแข็งและนิสัยแย่

            “ผมสัญญากับตัวเองว่าเนจะเป็นคนสุดท้าย และผมจะไม่รักใครอีก”

            “…” ผมก็สัญญากับตัวเอง ว่าผมจะไม่มีวันรักใคร เพราะความรักมันงี่เง่าสิ้นดี

            “แต่ตอนนี้ผมผิดสัญญากับตัวเองที่ดันไปหลงรักคนๆหนึ่งเข้า”

            ก้อนบางอย่างจุกในลำคอของผมทำให้การกลืนน้ำลายเป็นไปอย่างยากลำบาก ผมอยากขยับตัวใจจะขาดแต่ก็อยากจะฟังว่าตุลาการจะพูดอะไรต่อ ทั้งๆที่ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่

            แย่งั้นเหรอ ถ้ามันแย่คงเป็นสิ่งแย่ๆที่ดีทีสุดเท่าที่ผมเจอมาตั้งแต่น้องชายฝาแฝดและแม่เสียไป

            จมูกโด่งๆสัมผัสลงบนกลุ่มผมของผมอย่างถือวิสาสะ ร่างทั้งร่างของผมแข็งเป็นก้อนหินเมื่อไอ้ตุลจูบศีรษะของผมเบาๆแล้วถอนออก เหมือนไฟช็อตเข้าทั่วร่าง จากที่อยากขยับดันกลับขยับไม่ได้

            “พักผ่อนเยอะๆนะครับ ฝันดีนะ”

            เจ้าของห้องเดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูลงเหมือนเดิม ผมถอนหมอนใบใหญ่ออกก่อนจะหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด ทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศมันเปิดเย็นจนหนาวแต่ใบหน้าของผมกลับร้อนผ่าวจนเหงื่อแตก

            ไอ้ตุลาการ

            มึงมันไอ้ฆาตกร

            ไอ้ปีศาจที่ชอบทำให้หัวใจคนอื่นเต้นอย่างกับจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

            Shit … I hate him …

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 13 Love is Stubborn (28-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-09-2016 23:16:17
ค่อยๆรักกันเบาๆ  :hao6:
แล้วแฟนของเจลนี่ใครคะะะ สงสัยยย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 13 Love is Stubborn (28-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 29-09-2016 00:55:47
 I hate him จริงเหรอค้าาาา นิติ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 13 Love is Stubborn (28-09-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 01-10-2016 15:56:09
โรแมนติกแบบซึนเดเระของนิติ 555555
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 14 Love is Feeling (04-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 04-10-2016 22:49:27
Chapter
14
[/b]

 

            “น้าไม่รู้เหรอครับว่าที่นิได้แผลกลับมาทุกวันเพราะไปชกต่อยกับคนอื่นเขาไปทั่ว”

          “นิมันเล่นเทควันโดต่างหากล่ะ!!!”

          “เนอย่าเถียงพี่ พี่เห็นกับตาว่านิไปชกเขา”

            “แล้วพี่รู้อะไรมั้ย ว่านี่มันเรื่องของครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของพี่!”

            “พี่อิงเขาก็พี่เนนะลูก แล้วเจ้านิอยู่ไหน โกหกน้าทุกวันว่าได้แผลจากการซ้อม”

          “น้าต้องจัดการเด็ดขาดแล้วนะครับ ผมเป็นห่วงไม่อยากให้น้องโดนลูกหลงเข้า”

          “อย่างนี้ต้องส่งไปดัดนิสัยให้ไกลๆพวกเพื่อนนิสัยแย่ของมันซะ…”

          “แม่จะส่งพี่นิไปไหน…”

          “ฝรั่งเศส!!!”

          “นิ … นิครับ” แรงเขย่าที่ไหล่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝันที่ชัดซะเหมือนกับว่าย้อนเวลาไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วบังเอิญได้ยินบทสนทนาของคนสามคนเข้า

            แม่ เน และไอ้อิงญาติที่ผมโคตรจะเกลียดขี้หน้า

            “ซื้อของเสร็จแล้ว กลับกันเลยมั้ย” ผมออกมาซื้อของเป็นเพื่อนไอ้ตุล เห็นมันบอกว่าเย็นนี้มีติวกับเพื่อนอีกเพราะใกล้สอบ แต่เพราะเหนื่อยๆไม่อยากจะเดินไปไหนมาไหนผมเลยนั่งรอที่ร้านกาแฟจนเผลอหลับไป

            แล้วก็ฝันบ้าๆแบบนั้น

            หลังจากวันนั้น วันที่ไอ้อิงเอาเรื่องที่ผมชกต่อยไปฟ้องแม่ แม่ก็ไม่เหมือนเดิม แม่หาว่าผมเป็นลูกทรพี เป็นตัวถ่วงของครอบครัว และไม่เคยคิดจะคุยกับผมดีๆสักครั้ง ไม่ว่าจะเจอหน้ากันกี่รอบ แม่จะไม่มองหน้าผมและโทษว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เนต้องเจอเรื่องแย่ๆในชีวิต เพราะว่าผมกับเนหน้าตาเหมือนกัน เนบางครั้งก็โดนลูกหลงกลับบ้านแทนผม แม่รักเนมากขนาดไหนผมรู้อยู่แก่ใจ             

            สุดท้ายแล้ว แม้แต่ตอนที่เนตาย แม่ยังไม่รับรู้เลย ว่ายังมีผมอีกคนที่เป็นลูกของแม่

            ผมไม่โกรธแม่หรอก ไม่เคยโกรธเลย

            “ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว” เสียงของไอ้ตุลปลุกผมออกจากห้วงความคิด ผมเลิกคิ้วสงสัย

            “แบบไหน”

            “ก็แบบที่ว่าเหมือนเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียว”

            ผมเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจก ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ข้างนอกนั่นต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อให้อยู่รอดในแต่ละวัน ผิดกับผมที่ปากบอกเข้มแข็ง แต่ข้างในมันกลับร้องไห้ซะเสียงดัง

            “กลับกันมั้ย หรืออยากจะแวะที่ไหนอีก” ไอ้ตุลถาม ผมไม่ได้ให้คำตอบแต่กลับนั่งอยู่เงียบๆ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับหน้าตากวนตีนๆของใครสักคนที่จำหน้าได้แม่น

            ไอ้ป้อง … กับผู้ชายตัวสูงๆอีกคนที่ผมเกือบจะจำไม่ได้ถ้าไม่ติดที่ว่าตาแหลมๆของมันกำลังมองมาที่ผมพอดิบพอดี พอเจ้าตัวมั่นใจว่าเป็นผมเท่านั้นแหละมันก็รีบลากไอ้ป้องเดินตรงมาทางนี้

            ผมลุกพรวดจากเก้าอี้เล่นเอาไอ้ตุลตกใจ ขายาวๆก้าวฉับๆโดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะเดินตามมาทันมั้ย ผมหยุดยืนอยู่ที่ประตูมองคนที่กำลังผลักประตูเข้ามาก่อนจะกระโดดเกาะมันเป็นลิงด้วยความคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันเลยตลอดสองปี

            ไอ้ธาม 

            ตั้งแต่มันกลับจากออสฯผมก็ไม่ได้ติดต่อมันเลย

            ไอ้ธามกอดผมที่เกาะมันเป็นโคอาล่าจนคนในร้านกาแฟหันมามองหมด ผมเกาะมันไม่ปล่อยจนไอ้ป้องต้องลากไอ้ธามออกจากร้านกาแฟไปข้างนอกที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน

            “เป็นไรแห้ง คิดถึงกูมากอ่ะดิ” นอกจากไอ้เจลแล้วก็มีไอ้ธามเนี่ยแหละที่ไม่ว่าจะไปไหนมันจะคอยตามติดผมเหมือนเป็นเจ้าชีวิต แล้วเวลามีปัญหามันกับไอ้เจลก็จะเสนอหน้ามาก่อนคนอื่นตลอด

            “มึงสบายดีนะ” ผมถามเสียงอู้อี้ทั้งๆที่ยังกอดไอ้ธามอยู่ มันเอามือยีหัวผมเบาๆเหมือนเมื่อก่อน

            “เออดิ สบายมาก มึงเลิกกอดกูได้ยัง เพื่อนมึงมองเหมือนจะฆ่ากูแล้วเนี่ย” ไอ้ธามว่า ผมเลยเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มาคนเดียว ผมถอนกอดออกก่อนจะถอยหลังไปนิดหน่อย เท่านั้นแหละมือของไอ้ตุลก็คว้าชายเสื้อผมกำแน่นไม่ปล่อย

            ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ไอ้ตุล มันจ้องหน้าผมแล้วมองหน้าไอ้ธามเหมือนคนไม่พอใจ

            “นี่ใคร” ไอ้ตุลถาม ผมมองหน้ามันแล้วมองหน้าไอ้ธาม

            “ธาม … เพื่อนกู เพื่อนเจล กลุ่มเดียวกัน”

            “เดี๋ยวนะ อ่ะแหนะๆๆๆ อะไรออกมาเที่ยวด้วยกันเหรอออ” ไอ้ปกป้องเหมือนจะจำไอ้ตุลได้ มันรีบแซวตามประสาคนขี้สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน

            “เรื่องของมึงเปล่า ก็ไม่” ผมแลบลิ้นใส่ไอ้ป้อง แต่อย่างไอ้ป้องน่ะเหรอจะสำนึก

            “คบกันยัง ป่านนี้เนแม่งนั่งยิ้มแฉ่งหน้าบานแล้วภารกิจทำให้พี่ชายกับแฟนรักกันสำเร็จ…” บรรยากาศรอบตัวผมมาคุขึ้นหลังจากที่ไอ้ป้องพูดออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้ธามที่จ้องหน้าไอ้ตุลเหมือนจะเขมือบหัว และไอ้ตุลที่จ้องหน้าไอ้ธามเหมือนพร้อมจะพุ่งเข้าใส่

            “วันนี้บรรยากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตกพายุจะเข้าเนอะ … กูไปจองตั๋วหนังก่อนนะธาม” แล้วมันก็แผ่นแน่บไปทิ้งขี้เอาไว้ให้ผมกองเบ้อเริ่ม

            เพื่อนเวร

            “ไอ้นี่อ่ะเหรอที่ไอ้เจลเล่าให้ฟัง”

            ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้เจลเล่าอะไรให้ธามฟัง แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้าเออออไป

            “คบกันเหรอ” ไอ้ธามถาม ผมที่กำลังจะพูดว่าไม่โดนไอ้ตุลขัดขึ้นซะก่อน

            “อือ คบกัน”

            เดี๋ยวนะ! ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้ตุล มันยังคงจ้องหน้าไอ้ธามแล้วกำชายเสื้อผมไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหลุดหายไปไหน ผมดึงจมูกไอ้ตุลอย่างแรงจนมันร้องโอ้ยแล้วก้มหน้าลงมาจนกระทั่งสบตากับผม

            “นี่จะไม่ก่อเรื่องสักวันได้ป่ะวะ”

            “ก็มัน…”

            “นิ” เสียงของธามขัดขึ้น ผมหันไปมองเพื่อนตัวเองก่อนจะถอนหายใจ

            “ไม่ได้คบ”

            เท่านั้นแหละไอ้ตุลปล่อยมือจากชายเสื้อผมแล้วเดินหายไปเลย ทิ้งผมไว้กับไอ้ธามที่ทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนได้

            “มึงชอบมันสินะ แล้วดูท่ามันจะชอบมึงมากด้วย” ไอ้ธามถาม ผมถอนหายใจอีกครั้ง

            “ไม่ต้องโกหกไม่ต้องปิดบัง กูไม่ได้โกรธอะไรถ้ามึงจะชอบใคร ถึงมันจะเป็นคนแรกที่มึงชอบก็เหอะ”

            “อือ ก็ชอบอยู่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน” ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา ไอ้ธามขยี้หัวผมแล้วยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง

            “กูดีใจนะที่มึงยอมเปิดใจให้ใครสักคน” ผมยิ้มให้กับสิ่งที่ธามพูด

            “มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ย ว่าคนนี้”

            “กูไม่รู้อะไรเลยธาม แค่เนบอกว่าให้กูมาดูแลมัน แล้วอยู่ดีๆมันก็เหมือนกับว่ากูกลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่นขึ้นมาเฉยๆ”

            “กูไม่ว่าหรอกถ้ามึงจะมีความรัก แต่ถ้าไอ้เวรนั่นทำมึงเสียใจเมื่อไร มึงรู้ใช่มั้ยว่ามันจะเจอกับอะไร”

            ผมพยักหน้าให้กับไอ้ธาม

            “มันไม่มีทางทำกูเสียใจหรอก มีแต่กูเนี่ยแหละที่จะทำมันเสียใจ”

 

            ผมแยกกับไอ้ธามหลังจากที่ขอเบอร์โทรศัพท์มาจากมัน เพราะโทรศัพท์พังไปวันนี้ผมเลยว่าจะมาหาซื้อเครื่องใหม่ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องลงเอยที่การเล่นซ่อนหากับไอ้ตุล เดินหาอยู่นานสองนานผมถึงเจอตุลาการนั่งหน้าจ๋อยอยู่ที่บันไดด้านนอกห้าง

            ขาสองข้างของผมพาตัวเองไปนั่งลงข้างๆเจ้าของแผ่นหลังกว้างกับหัวทุยๆสีดำสนิทเหมือนลูกแมว ไอ้ตุลหันมามองผมนิดๆก่อนจะหันไปมองจ้องสิ่งของในมือ

            พวงกุญแจรูปจระเข้หน้าตาปัญญาอ่อนอยู่บนฝ่ามือของไอ้ตุล

            จริงๆปกติผมไม่ใช่คนที่จะต้องมาเดินตามหาใคร ถ้ามันจะหายไปผมก็แค่เดินกลับบ้านไปโดยไม่สนใจ กลับไปนอนกระดิกเท้าฟังเพลงเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เดินหาไอ้ตุลจนปวดขา

            บางทีแม้แต่ความคิดของตัวเราเองเรายังไม่เข้าใจเลย

            “ผมรู้ว่านิคงไม่ได้ชอบผมง่ายๆ และผมก็รู้ด้วยว่าที่เราทำอยู่มันผิด”

            “…”

            “ผมรู้ว่าผมอาจจะทำให้นิไม่สบายใจ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรืออะไร”

            รู้แล้วล่ะว่าทำไมเนถึงบอกว่าให้ผมมาอยู่ข้างๆไอ้ตุล เพราะเนคิดว่าผมมันเป็นพวกไม่คิดอะไรปล่อยผ่านไป ส่วนไอ้ตุลเก็บเรื่องจุ๊กจิ๊กทุกเรื่องมากคิดไปซะหมดนี่ดิ

            “ผมขอโทษ…”

            “อันนี้ซื้อให้กูใช่ป่ะ” ผมคว้าพวงกุญแจในมือของไอ้ตุลมาถือเอาไว้ เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก แต่สีหน้าก็ยังจ๋อยเหมือนหมาหงอยเหมือนเดิม

            “ไม่เห็นจะน่ารัก” เท่านั้นแหละ ปากคว่ำหน้าบูดทันที

            “งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อใหม่”

            ไอ้ตุลทำท่าจะคว้าพวงกุญแจกลับไปแต่ผมกลับขยับมือหนีแล้วยัดพวงกุญแจนั่นใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางลุกขึ้นยืน

            “ให้แล้วห้ามทวงคืนแล้วกัน”

            เจ้าตัวคลี่ยิ้มออกนิดๆเผยให้เห็นลักยิ้มบนแก้ม ผมแอบชะงักไปกับรอยยิ้มของไอ้ตุลพลางเดินหนี

            ทุกครั้งที่เวลามันยิ้ม มันเหมือนกับหัวใจผมเต้นรัว

            มันเหมือนเด็กๆที่เวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจก็หน้าบึ้ง พอเวลามีความสุขก็ยิ้มหน้าแป้นแล้นเห็นแล้วน่าหมั่นไส้เป็นบ้า

            นี่ผมชอบมันจริงๆงั้นเหรอวะ… ตรงไหนของไอ้ตุลที่ผมดันเผลอไปชอบกัน

            “นิครับ” เสียงทุ้มๆดังขึ้น ผมเดินดุ่มๆไม่สนใจว่าไอ้ตุลจะเรียก

            “นิ…”   

            “อะไร” ผมพูดโดยไม่มองหน้าไอ้ตุล สายตาตรงไปยังทางเดินข้างหน้าเพื่อตรงไปขึ้นรถแท็กซี่

            “คือ…” คนที่เดินตามมาข้างหลังกระอึกกระอักเหมือนอยากพูดอะไร ผมเลยหันไปเผชิญหน้ามัน เจ้าของดวงตาเรียวๆกับใบหน้าคมๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมยืนกอดอกมองไอ้ตุลเงียบๆ

            “มีไรว่ามา”

            “นิชอบผมบ้างหรือยัง” คำถามตรงไปตรงมาเล่นเอาผมสะดุด คอเริ่มแห้งผากเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ผมมองหน้าไอ้ตุลสักพักก่อนจะตอบออกไป

            “มั้ง”

            ไอ้ตุลทำตาเป็นประกายพร้อมกับใบหน้ามีความสุข

            “ดีใจขนาดนั้นเลย?”

            “อย่างน้อยก็รู้ว่าพอมีความหวังบ้างแหละครับ”

            “ชอบกูมากหรือไง”

            “ก็พอที่จะทำให้หึงเวลานิกอดกับคนอื่นได้อ่ะ”

            “…” เจ้าของคำพูดคำจาที่ตรงไปตรงมาเดินผ่านร่างผมไปทิ้งให้ผมยืนกินจุดเงียบๆอยู่ลำพัง มือของผมถูท้ายทอยเบาๆพลางถอนหายใจ

            ที่มันทำหน้าเหมือนมันจะไปฆ่าใครตอนที่ผมกอดไอ้ธามเพราะมันหึงผมกับไอ้ธามงั้นสินะ

            เหอะ ตลกสิ้นดี

มันเป็นครั้งแรกที่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใคร มันน่ารำคาญก็จริงแต่พอไม่มีมันก็รู้สึกเหมือนกับขาดอะไรบางอย่างไป ไม่ได้ต้องการมัน แต่ก็ขาดมันไม่ได้

นี่น่ะเหรอที่เขาเรียกว่าความรัก

            รู้สึกโลกหมุนตลอดเวลา แถมยังหน่วงๆในอก

            นี่น่ะเหรอสิ่งที่เนเคยบอก

            ผมเคยคิดว่ามันจะแย่ซะอีก

            อันที่จริง … มันกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 14 Love is Feeling (04-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 05-10-2016 08:45:20
รอลุ้นนิให้เปิดใจกว้างๆ

หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 14 Love is Feeling (04-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 05-10-2016 19:11:48
อบอุ่น แบบกรุ่นๆ แต่ดี
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 14 Love is Feeling (04-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 05-10-2016 23:34:28
ครบรสมากค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 12-10-2016 20:39:02
Chapter
15

           

            ช่วงหลังๆผมกับไอ้ตุลเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น ส่วนมากจะเป็นมันที่ขอตามผมไปทุกที่ แล้วก็แปลกที่ผมไม่ได้ปฏิเสธ ก็แค่บอกว่าอยู่ตรงไหนแค่นั้นมันไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ หรืออาจจะชอบเซ้าซี้แต่รู้ว่าผมรำคาญเลยไม่ทำ โชคดีที่ผมมักจะหมกตัวอยู่แต่ในมหา’ลัยเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ ไอ้ตุลเลยได้ทีมาขออ่านด้วยเลยที่ห้องสมุด

            แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่เจ้าของหัวทุยๆมานอนหลับคากองหนังสือตรงหน้าผม

            คงเหนื่อยมากสินะ ใกล้จะเรียนจบแล้วนี่

            เพราะโทรศัพท์เครื่องเก่าพังไป ข้อความที่คุยกับเนบางส่วนก็หายไปด้วย อันที่จริงข้อความของเนที่อยู่ในเครื่องเนผมเปิดอ่านแค่ของผมกับเน ผมไม่เคยคิดจะเปิดข้อความที่เนคุยกับเพื่อนๆหรือคนอื่นๆเพราะไม่มีความสนใจที่จะอ่านมัน แต่ตอนนี้ผมกลับมองชื่อของ ‘พ่อเป็ด’ ฉายาไอ้ตุลที่เนตั้งเอาไว้

            เหอะไอ้นิ … อย่าเพิ่งถลำลึกดิวะ

            มึงยังไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าควรรู้สึกยังไงกันแน่

            ผมตัดสินใจปิดโทรศัพท์ของเนแล้วหย่อนลงกระเป๋าพลางก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ จู่ๆก็มีนิ้วของใครสักคนจิ้มลงบนแผ่นหลัง พอหันไปมองก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก

            “มีคนฝากมาให้นายอ่ะ” คนที่นั่งข้างหลังผมยื่นอมยิ้มมาให้ ผมรับมาไว้อย่างงงๆพลางพลิกดูโพสอิทที่ติดมากับอมยิ้ม

            ‘ขอโทษ ดีกันนะ – ไนเจล’

            ผมแทบจะหลุดยิ้มออกมาถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะแยะ ไม่ได้หันหลังไปเพื่อมองหาว่าไอ้เจลอยู่ตรงไหน แต่มันคงกำลังมองอยู่สักที่นั่นแหละ

            เพราะเป็นไอ้เจล ไอ้สิท ไอ้ป้อง กับไอ้ธาม ผมถึงรักเพื่อนมากๆ แม้บางครั้งจะกัดกันเป็นหมาก็เถอะ

            “ปวดคอ” คนตรงหน้าค่อยๆสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เท่านั้นแหละคนที่กำลังเล่นซ่อนแอบอยู่ก็โผล่พรวดออกมา ไอ้เจลที่โผล่มาจากซอกหลืบชั้นหนังสือนั่งลงข้างๆผมแล้วมองผมสลับกับไอ้ตุล

            “ทำไมมานั่งด้วยกัน มันเรียนอีกม.นี่” ไอ้เจลกระซิบถามเพราะในห้องสมุดห้ามใช้เสียงดัง

            “มาอ่านหนังสือ” ผมพูด ไอ้เจลหันมาทำตาขวางใส่

            “นิ … อย่าบอกนะว่าที่ไอ้ธามบอกเรื่องจริง”

            ผมไม่ได้ตอบ แค่พยักหน้าหงึกหงัก รู้อยู่แล้วว่าพวกมันต้องคุยกัน ไอ้คนขี้โวยวายถึงกับหน้าเบ้

            “ยังหรอก ยังไม่ได้ถึงขั้นคบกัน” แต่เป็นไอ้ตุลที่แก้ต่างแทน ผมเลิกคิ้วมองคนตรงหน้า เมื่อวานมันเป็นคนบอกไอ้ธามว่าผมกับมันคบกัน แล้วจู่ๆวันนี้มันกลับบอกไอ้เจลว่ายังไม่คบ

            ผมไม่ได้น้อยใจ แค่รู้สึกสงสัย

            “ไม่อยากให้เข้าใจผิด”

            “แต่มึงจีบเพื่อนกูอยู่ใช่ป่ะ” ไอ้เจลซัก

            “กูจีบนิก็จริง แต่กูไม่อยากให้นิอึดอัด” ผมขมวดคิ้วมองไอ้ตุล เพราะเมื่อวานผมบอกมันว่าอย่าก่อเรื่อง วันนี้ไอ้ตุลก็ไม่ก่อเรื่อง

            แม่งจะเชื่องไปไหนวะเนี่ย

            “กูหวงเพื่อนมากมึงรู้เปล่า” ไอ้เจลวางแขนลงบนพนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง มองจากด้านหลังก็เหมือนว่ามันกำลังโอบผมอยู่ ผมไม่ได้สนใจอะไรกับสงครามประสาทที่มันกำลังจะสร้างขึ้นเพื่อเล่นกับไอ้ตุล แต่กลับสนใจหนังสือที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

            “กูก็หวงคนที่กูชอบ มึงรู้ป่ะ”

            “แต่กูมาก่อนนะ”

            “แล้วไง ไม่เคยได้ยินเหรอรักแท้แพ้ใกล้ชิด”

            “หึ”

            ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา ถึงมุขมันอาจจะไม่ตลก แต่ผมก็รู้สึกถึงความจริงจังของผู้ชายที่ชื่อตุลาการ ริมฝีปากผมที่คลี่ยิ้มออกเล็กน้อยเล่นเอาคนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะถึงกับหยุดเถียงกันจนผมต้องเงยหน้ามองบทสนทนาที่จู่ๆก็เงียบไป

            ไอ้เจลมองหน้าผมอึ้งๆพอๆกับไอ้ตุลที่กระพริบตามองผมปริบๆ

            “อะไร… มองอะไร”

            “มึงยิ้ม” จรัส บราวน์ตอบ ผมแอบตกใจนิดหน่อย ก็จริงอยู่ที่ผมไม่ค่อยยิ้ม ข้อหนึ่งคือเพราะโดนแรงกดดันจากหลายๆทาง ข้อสองคือเพราะสูญเสียทั้งแม่ทั้งน้องชาย

            มันทำให้จิตใจผมแย่ยิ่งกว่าอะไร

            “ตั้งแต่เนตาย กูก็ไม่เคยเห็นมึงยิ้มเลยรู้มั้ยนิ” ไอ้เจลว่า ผมมองหน้าไอ้ตุลที่ยิ้มตอบผม คนตรงหน้ายิ้มโชว์ลักยิ้มราวกับว่ามันมีความสุขมากที่เห็นผมยิ้มเพราะมุขเห่ยๆของมัน

            ยอมรับเลย ว่าผมโคตรแพ้รอยยิ้มของไอ้ตุล

            ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหน แต่พอเห็นลักยิ้มข้างแก้มมันบุ๋มลงไปเมื่อไร ผมต้องหลบตามันทุกครั้ง

            “แต่อย่าคิดว่ามึงทำให้นิยิ้มได้แล้วกูจะยอมให้มึงทำอะไรกับเพื่อนกูก็ได้นะ” ไอ้เจลกอดแขนผมแล้วขู่ไอ้ตุลฟ่อๆ ท่าทางโคตรจะขัดกับหน้าตาหล่อๆของมันเหลือเกิน

            “กูจะทำไรได้ ถ้านิไม่อนุญาต”

            “จ้าพ่อสุภาพบุรุษ ถ้ามึงทำเพื่อนกูเสียใจนะ เตรียมป่นปี้เป็นผงได้เลย”

            ผมเอามือปิดหน้าตัวเองพลางฝืนยิ้มเอาไว้ บทสนทนาของไอ้เจลกับไอ้ตุลยังคงดำเนินไปเรื่อยๆท่ามกลางชีวิตของผมที่เริ่มจะมีจุดที่เรียกว่าสีสันแทรกเข้ามา

           

            ตกเย็นไอ้ตุลมีติวต่อกับเพื่อน ผมเลยว่าจะไปนอนบ้านไอ้เจล แต่ไอ้เจลติดซ้อมบาสดึก มันเลยให้ผมกลับไปก่อน ผมที่เหนื่อยอยากจะนอนใจจะขาดรีบตรงกลับไปบ้านเจล เมื่อรถแท็กซี่จอดหน้าบ้าน ผมกลับชะงักไปเมื่อเห็นรถเก๋งคันที่ดูคุ้นตาจอดอยู่

            เพราะไม่ได้เอะใจ ผมเลยละความสนใจออกจากรถคันนั้น แต่ยังไม่ทันจะไขกุญแจเข้าบ้าน ฝ่ามือของใครสักคนก็พุ่งตรงเข้ามากระชากแขนผมอย่างแรง

            “จับตัวได้แล้ว”

            เจ้าของใบหน้าที่ผมเกลียดและไม่อยากแม้จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมโลกกับมันปรากฏอยู่ตรงหน้า

            ไอ้อิง

            “ปล่อย”

            “นิไปนอนที่ไหน ทำไมไม่บอกพี่” คนตรงหน้าถามเหมือนแคร์มาก ทั้งๆที่ดูก็รู้ว่ามันเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี ผมล่ะเกลียดนักไอ้พวกชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้าน

            “ไม่ใช่เรื่องของมึง”

            “ใช่สิ พี่เป็นพี่ชายนินะ”

            ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่สะบัดแขนออกจากไอ้อิง ไม่อยากญาติดีด้วย มันทำให้ผมต้องทะเลาะกับแม่ มันทำให้แม่ไม่เคยคิดจะเห็นผมอยู่ในสายตา มันเป็นไอ้คนที่ยุแยงตะแคงรั่วให้ผมกับแม่มองหน้ากันไม่ติด

            ทั้งๆที่เรื่องจริง ไม่ใช่ว่าผมไปหาเรื่องคนอื่น แต่ผมเป็นคนที่โดนหาเรื่อง

            ผมเป็นนักกีฬาเทควันโด และต้องเจอกับคู่แข่งมากมาย พอพวกมันแพ้ มันก็ยกพวกมารุม  พวกไอ้เจลคอยช่วยผมอยู่เสมอ แต่ไอ้อิง พอเห็นผมไปชกต่อยครั้งเดียว มันก็หาว่าผมยกพวกไปรุมพวกมัน

            ไอ้พวกฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดอย่างมัน ผมไม่นับญาติหรอก

            “นิติ กลับบ้านกับพี่เถอะ ไปอยู่กับพี่” มือของไอ้อิงคว้าแขนผมไม่ยอมปล่อย ผมผลักมันออกแล้วมองมันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

            “อย่ายุ่งกับชีวิตกู ไม่ต้องมารับผิดชอบ ไม่ต้องมาสำนึกว่าตัวเองเป็นพี่ ถ้าสิ่งที่มึงทำเพียงแค่ต้องการให้พ่อกูเห็นใจ” ผมพูดเสียงนิ่ง แต่เหมือนไปสะกิดจุดอ่อนของไอ้อิง มันฟาดหมัดลงบนหน้าผมเล่นเอาใบหน้าข้างซ้ายชาจนผมร่วงไปกองที่พื้น

            “เพราะปากมึงเป็นอย่างงี้ไงไอ้นิ อันที่จริงกูก็ห่วงมึงนะ กูรักมึงเหมือนน้องแท้ๆ แต่ทั้งๆที่กูพยายามจะรักมึง โอ๋มึง มึงก็ผลักไสกู พ่อมึงก็ไม่เคยจะแยแสกู”

            “ก็รู้ตัวเองดีนี่”

            เบื้องหลังความเป็นห่วงของไอ้อิง ไอ้ญาติสารเลวก็เป็นเพราะว่ามันอยากเป็นหลานรักของพ่อ มันอยากให้พ่อผมเลี้ยงดูมัน ซื้อของแพงๆให้มัน ที่มันมีรถดีๆใช้ทุกวันนี้ก็เพราะว่าเงินของพ่อผม ไม่ต้องบอกว่าใครยุยงให้มันทำแบบนี้ ก็ป้าผมนั่นแหละ พ่อผมมีสมบัติเยอะ ผิดกับป้าอรที่สามีทิ้งไปและไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว เธอมักจะชอบมาขอแม่ผมเป็นประจำ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ของผมทะเลาะกันบ่อยๆ พ่อไม่ชอบป้าอร แต่ปฏิเสธไม่ได้เพราะเป็นพี่สาวแม่

            จนกระทั่งแม่ตาย ป้าอรก็ถือสิทธิ์ว่าสินสอดของทางฝ่ายแม่จะต้องได้คืน พ่อถึงได้อนุญาตให้ป้าอรเข้าๆออกๆบ้านได้ 

            ส่วนไอ้อิง มันอยากทำตัวเป็นหลานรักโดยเข้าทางผม ดูแลผม ทำตัวว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายปานจะกอดกันกลม เพราะเนปฏิเสธมันอย่างเห็นได้ชัด มันเลยอาศัยเข้าหาผมที่ไม่ชอบมีปากเสียงกับใครแทน

            แต่มันคิดผิด เพราะผมร้ายกว่าเนเยอะ

            ผลที่ออกมาคือ ต่อหน้าพ่อ หรือในบ้าน มันจะทำเหมือนรักผมมาก

            แต่พออยู่กันตามลำพัง มันจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า

            “กูเคยคิดนะ ว่ามึงจะน่ารักกว่าน้องชายฝาแฝดมึง แต่ที่ไหนได้ มึงนี่หัวแข็งกว่าเนร้อยเท่า” ไอ้อิงเริ่มลามปามไปถึงคนที่ตายไปแล้ว ผมค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นยืน

            “ก็ดีเหมือนกันที่เนมันตาย ไอ้เด็กปากดีแบบนั้นตายๆไปได้ก็ดี”

            ‘ผลั่วะ’

            ผมเสยหมัดเข้าที่คางของไอ้อิงจนมันหน้าหงาย ต่อให้มันด่าผมร้อยเท่าพันทวี ก็ไม่เท่ามันด่าเนคำเดียว

            “อย่าคิดจะพูดถึงน้องชายกูแบบนั้น”

            “ทำไมจะพูดไม่ได้ มึงมันลูกทรพี มึงทำให้น้องชายมึงต้องโดนซ้อมกลับบ้านเพราะความที่ว่าหน้ามึงเหมือนกัน เพราะน้องมึงรักมึงมากไง ถึงได้รีบบึ่งรถกลับบ้านในวันเกิดเพื่อขอให้แม่ให้อภัยพี่ชายเลวๆจนกระทั่งตัวเองตาย! มึงไม่รู้หรือไงว่ามึงนั่นแหละนิที่เป็นคนทำให้เนตาย!!!” เหมือนมีหนามพันอยู่รอบร่างกายของผม และมันกำลังค่อยๆทิ่มแทงจากข้างใน ผมจ้องไอ้อิงเขม็ง

            หยุดพูดสักที… หยุดพูดสักทีไอ้สารเลว

            “แล้วจำไว้ด้วยนะ ว่าแม่มึงก็ตายเพราะมึง เด็กนรกอย่างมึงไม่น่าเกิดมาหรอก!!!”

            หยุดได้แล้ว บอกให้หยุด

            “มึงนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าน้องชายกับแม่ของตัวเอง!!!”

            ผมปิดหูสองข้างของตัวเองแล้วถอยหลังชนกับรั้วบ้านของไอ้เจลพลางทรุดตัวลงนั่งที่พื้นด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ประเดประดังเข้ามาจนแทบจะอยากหายไปจากตรงนี้ หยุดพูดสักที!!!

            “ไอ้เด็กเวร ... มึงน่าจะตายๆไปซะ พร้อมกับน้องมึงนั่นแหละ!!!”

            “ไม่มีใครบอกเหรอ ว่าหมาขี้เรื้อนอย่างมึงนั่นแหละที่ควรตาย” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินมายืนข้างหน้าผม ผมไม่ได้เงยหน้ามองแต่ก็รู้ได้ว่าเป็นใคร

            ไอ้เจล

            “อยากตายแบบศพสวยๆ หรืออยากตายแบบหัวไปทางตัวไปทางดีล่ะ” ในมือของไอ้เจลมีไม้เบสบอลอยู่ ไอ้อิงถึงกับเงียบไปที่อยู่ๆเจลก็โผล่มา

            มันไม่กล้ากับเจลหรอก ไอ้เจลตัวใหญ่กว่ามันอีก

            “เลิกยุ่งกับเพื่อนกูแล้วไสหัวไปซะ ถ้าไม่อยากให้กูเอาเรื่องทั้งหมดนี่ไปฟ้องลุงนิรัต ว่ามึงพยายามจะสั่งให้ลูกชายสุดที่รักที่เขาเหลือเพียงคนเดียวไปตาย”

            เท่านั้นแหละไอ้อิงรีบเดินกลับไปขึ้นรถด้วยท่าทีไม่พอใจแล้วขับออกไปทันที ไอ้เจลรีบวิ่งเข้ามาหาผมพลางดูว่าผมมีแผลตรงไหนมั้ย มันค่อยๆพยุงให้ผมยืนขึ้นแล้วพาเข้าไปในบ้าน

            “โคตรเลวเลยจริงๆ สันดารแม่งเหมือนแม่มัน หมาลอบกัดฉิบ ดีนะที่กูเอะใจขอกลับก่อน” ผมนั่งเงียบอยู่บนเตียงภายในห้องนอน ไอ้เจลบ่นพลางหายออกไปข้างนอกเหมือนว่าจะไปเอากล่องยามาทำแผลที่ผมโดนต่อย แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากทำ คือเหมือนทุกๆครั้งเวลามีอะไรหนักอยู่ในหัว

            ผมพาร่างของตัวเองเดินเข้าไปในห้องน้ำพลางกดล็อคประตูแล้วทรุดตัวลงนั่งภายใต้ฝักบัว เปิดน้ำให้ล้างสิ่งที่อยู่ในหัวแล้วปล่อยตัวเองให้ลอยไป

            ผมน่ะเหรอที่ทำให้แม่กับเนตาย นั่นสินะ เป็นเพราะผมเองที่ไม่เคยแม้แต่จะคุยกับแม่หรือเนดีๆ เป็นเพราะผมเองที่ปลีกตัวออกจากครอบครัวที่ไม่มีใครต้องการ

            เป็นเพราะผมเองที่ไม่กลับมาอยู่กับแม่ตอนที่เนตาย เป็นเพราะผมเองที่ไม่เคยพูดดีๆกับเนสักครั้ง เป็นเพราะตัวผมเองทั้งหมดที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง

            ก็จริงอย่างที่ไอ้อิงว่า บางทีคนที่ควรตาย น่าจะเป็นผม

            ไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น รู้ว่ามีเสียงโวยวาย ไม่รู้ว่าผมนั่งนานขนาดไหน รู้เพียงแค่ว่าไม่รู้สึกถึงความหนาว มือก็ชาไปหมด จนกระทั่งประตูถูกพังเข้ามา คนแรกเลยที่วิ่งเข้ามาหาผมคือคนที่ไม่เคยปฏิเสธผมไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

            มืออุ่นๆของตุลาการสัมผัสลงบนใบหน้าของผมที่เย็นเฉียบ ไอ้เจลวิ่งเข้ามาปิดน้ำให้พร้อมกับมองผมด้วยสีหน้าที่มีแต่ความกังวล

            “นิ…”

             ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอได้ยินไอ้ตุลเรียกชื่อผมเท่านั้นแหละ ผมก็คว้าคอมันด้วยแขนสองข้างแล้วกอดไอ้ตุลเอาไว้ กำแพงที่ผมสร้างขึ้นจนสูงลิ่วพังทลายลงเพียงแค่พริบตา น้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ทะลักออกมาเหมือนกับว่ามันถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

            ผมร้องไห้จนตัวโยน ร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก ร้องเสียงดังเหมือนคนบ้าแถมยังตัวสั่นไปหมด

            มันทรมานมาก

            ทรมานจนอยากจะหายไปจากตรงนี้
           
            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 12-10-2016 22:28:14
สงสารนิติ. การอยู่ด้วยความรู้สึกผิดนี่มันทรมานมากนะ พี่ตุลย์ช่วยน้องด้วย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 12-10-2016 23:01:35
ความเสือกของอิง...ขอให้โดนสนองกลับเท่าเทียม
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 13-10-2016 09:43:40
อ่านแล้วโมโห สันดารจริงๆ :m16:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 13-10-2016 14:03:59
อิงกับแม่คือตัวแทนบรรดาญาติๆทั้งหลายที่มีอยู่จริงในสังคมสมัยนี้ เฮ้ออออ เบื่อจริงๆพวกอยากได้อยากมีแต่ไม่พยายามจ้องแต่จะทำลายคนอื่นแล้วแย่งเอามา แย่!  :katai1: :katai1:  :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 13-10-2016 19:35:29
มาต่อด่วนนน
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 13-10-2016 20:48:47
ยอมใจเลยค่ะคุณพี่อิง :z3:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 15 Love is Sadness (12-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-10-2016 15:07:10
 ไอ้อิง :z6:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 16-10-2016 19:00:04
CHAPTER
16

            อาการปวดตัวร้าวไปถึงไขสันหลังทำให้ยากต่อการขยับตัว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นจากการนอนหลับที่แสนจะยาวนานเหมือนกับว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่จริงๆแล้วยังไม่ตาย กลิ่นน้ำหอมจางๆภายในห้องนอนบ่งบอกว่าผมอยู่ที่บ้านไอ้เจล

            นี่ผมหลับไปนานขนาดไหนกันถึงได้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดขนาดนี้

            “นิยังไม่ตื่นเหรอ” เสียงของใครสักคนดังขึ้นหน้าห้องนอน ผมจำเสียงได้ มันคือเสียงไอ้ธาม

            “ยัง กว่าจะหลับได้ก็ตีสี่ ร้องไห้งอแงไม่หยุด” แล้วก็เสียงของเจล

            ผมนิ่งไปนิดหน่อยที่ได้ยินพวกมันพูดว่าผมร้องไห้ จริงๆผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง รู้แค่ในหัวมีแต่เรื่องของแม่กับเนเต็มไปหมด ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกแย่จนไม่อยากจะอยู่อีกต่อไป

            แต่พอไอ้ตุลเดินเข้ามา แค่มันเรียกชื่อผม ผมรู้สึกแค่อยากจะร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก ทำตัวอ่อนแอให้คนอื่นสงสาร ไม่อยากจะทำตัวเข้มแข็งอีกแล้ว

            “สาบานได้ว่าถ้ากูเจอไอ้อิงกูไม่เอามันไว้แน่”

            “เออเจอเมื่อไรบอกกูด้วย งานนี้ต้องมีแชร์”

            “ว่าแต่ไอ้นิเนี่ยนะร้องไห้ ปกติโดนด่าแค่ไหนก็ไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยด”

            “ไม่รู้ว่ะ แค่ไอ้ตุลเรียกชื่อมันแม่งก็งอแงเป็นเด็กเลย กูก็เพิ่งเคยเห็นมันร้องหนักขนาดนี้เนี่ยแหละ แหมมึงนะ มีของดีก็ไม่บอก”

            ประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับคนที่ทำให้ผมร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ ไอ้ตุลแบกกระเป๋าเป้ใบโตมาวางไว้ข้างเตียงพลางหันมามองผม

            “นิ!”

            พอมันเห็นว่าผมลืมตามองมันอยู่มันก็รีบพุ่งเข้าใส่ แขนหนักๆของตุลาการกอดผมเอาไว้จนอุณหภูมิห้องที่เคยเย็นเพราะเครื่องปรับอากาศร้อนขึ้นมาเฉยๆ

            “หนัก” ผมพูดเสียงแผ่ว ไอ้ตุลที่นอนทับผมอยู่ก็รีบลุกออก

            “โอเคมั้ย เจ็บตรงไหนมั้ย ปวดหัวมั้ย ตัวร้อนหรือเปล่า” คำถามที่ถูกส่งมาเป็นชุดทำให้ผมหัวเราะในลำคอพลางค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ปวดหัวก็ปวด แต่ความดื้อด้านมันมีมากกว่า

            คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองหน้าผมพลางใช้มือของมันแตะลงเบาๆที่โหนกแก้มฝั่งที่ผมโดนไอ้อิงต่อย ไอ้ตุลมีสีหน้าเป็นห่วงผมเอามากๆ

            “ผมขอโทษ ที่ไม่ได้มาส่งที่บ้าน ถ้าผมมาส่งนิ ไอ้เวรนั่นไม่มีทาง…”

            “ช่างมันเถอะ มึงไม่ได้ผิด กูแค่อ่อนแอเกินไป” ผมพูดขัดไอ้ตุล ไม่อยากให้มันคิดมากว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ไอ้อิงเข้ามาทำร้ายผม

            แผลภายนอกแปปเดียวก็หาย

            แต่แผลภายใน มันต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะเยียวยาได้

            พอเห็นว่าผมเงียบไป คนตรงหน้าถึงได้ดึงผมเข้าไปกอด คางของไอ้ตุลเกยอยู่บนหัวของผม อ้อมกอดของมันอุ่น อุ่นจนทำให้ไม่อยากจะละไปไหน

            “นิเข้มแข็งมากๆต่างหาก”

            หึ งั้นหรอกเหรอ

            “เอางี้เป็นไง ต่อหน้าผมนิไม่ต้องเข้มแข็งก็ได้”

            “ห้ะ” ผมร้องในลำคอ

            “เอ้าก็นิร้องไห้เพราะผมไม่ใช่เหรอ” ไอ้ตุลมองหน้าผมเล่นเอาผมรู้สึกเหมือนจะบ้าตาย มันคิดว่าผมร้องไห้เพราะมันงั้นเหรอ มึงจะหลงตัวเองมากไปแล้ว

            “ไอ้ประสาท” ผมเอามือยันหน้าของไอ้ตุล แต่มันก็ฝืนกอดเอาไว้ไม่ขยับไปไหน

            “ปล่อย”

            “ไม่”

            “บอกให้ปล่อย” เราสองคนเล่นมวยปล้ำกันจนเหนื่อย ในที่สุดผมก็เป็นคนยอมแพ้แล้วล้มตัวลงนอนด้วยความปวดล้าร่างกาย

            ผมเอาแขนก่ายหน้าผากพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไอ้ตุลเหมือนจะรู้ว่าผมเหนื่อยมันเลยล้มตัวลงนอนข้างๆ

            “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ข้างๆนะ” ฝ่ามืออุ่นๆของตุลาการจับมือของผมเอาไว้ ราวกับว่ากลัวว่าผมจะหายไปไหน

            กลับกัน คนที่กลัวกลับกลายเป็นผม

            มึงต่างหาก

            อย่าหายไปไหนนะ

 

            มันเหมือนกับว่าพายุลูกใหญ่พัดมาแล้วก็ผ่านไป การร้องไห้ออกมาเหมือนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด มันเหมือนว่าผมได้ระบายทุกอย่างที่จะพูดออกไปผ่านทางน้ำตา

            หลังจากวันนั้นเพราะว่าไอ้ตุลรู้สึกผิด ทั้งกับเนและกับผม มันเลยไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะเรียน จะเลิกเรียน จะไปเที่ยวกับเพื่อน จะไปดูไอ้เจลซ้อมบาส ผู้ชายที่ชื่อตุลาการจะตามติดเกาะผมเป็นปลิงจนเรียกได้ว่า

            น่ารำคาญ…

            “มึงเคยรู้สึกว่าตัวเองน่ารำคาญบ้างมั้ยวะ” ผมถามคนที่ตามติดตลอด24 ชั่วโมงยิ่งกว่ารายการวาไรตี้ตามติดชีวิตดารา

            “ไม่นะครับ” แถมมันยังตอบคำถามได้หน้าตายอีกต่างหาก

            ผมถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้ผมจองคอร์ทแบดมินตันเอาไว้เล่นกับพวกไอ้เจล นานๆทีจะได้กลับมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้าไม่ติดที่ว่าไอ้ตุลตามติดมาด้วย ผมอาจจะรู้สึกดีกว่านี้

            เพราะเวลาพวกผมเล่นแบดกัน มันไม่ได้เล่นกันแบบปกตินี่ดิ

            “ไหนๆวันนี้มีหกคนครบคู่พอดี จะเล่นกันแบบปกติก็จะเป็นอันหมดมู้ด” ไอ้ป้องพูด ผมกับไอ้ธามมองหน้ากันพลางทำหน้าหน่ายๆ

            แล้วยิ่งถ้ามีไอ้ป้องนะ ชีวิตบรรลัยแน่จริงๆ

            “จะเอาไง จะเอาไงว่ามา” นักกีฬาอย่างจรัส บราวน์ยอมรับคำท้าทุกสถานการณ์ มันควงไม้แบดเก่งพอๆกับควงลูกบาส ไอ้เจลเล่นกีฬาเก่งทุกอย่าง ดังนั้นมันนี่แหละที่จะเป็นผู้ชนะในเกมของไอ้ป้อง

            “เอาเป็นว่าวันนี้เรามีหกคน แบ่งกันทีมละสอง สองทีมที่แพ้ต้องผูกข้อมือติดกันหนึ่งคืน!”

            “เชี่ย”

            “เควี่ย”

            “เฮี่ย” สามคำออกมาจากปากคนสามคน ทั้งไอ้เจล ไอ้ธาม ไอ้สิท มีไอ้ปกป้องคนเดียวที่ยิ้มโชว์ฟันขาวซ่อนดวงตาเจ้าเล่ห์ไว้ภายใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยม ผมถอนหายใจแล้วมองหน้าไอ้ตุลที่ดูจะประหลาดใจกับบทลงโทษประสาทๆของเพื่อนสนิทผม

            “เล่นไรของมึงเนี่ยป้อง” ไอ้เจลบ่น ไอ้ป้องยักคิ้วหลิ่วตาใส่ไอ้เจล

            “อะไรบ่นอะไร หรือมึงป้อด?”

            เจอคำว่าป้อดเข้าไปเท่านั้นแหละ ไนเจลสู้ไม่ถอย

            “ใครป้อด ไม่มี๊ เนอะธาม”

            “เออ เพราะมึงนั่นแหละจะแพ้ไอ้ห่าป้อง” ไอ้ธามเสริม

            “แล้วจะจับคู่ยังไง” ไอ้สิทถามบ้าง ทุกสายตาจับจ้องไปที่ไอ้ป้อง ดวงตาฉายแววขี้โกงของมันทำให้ผมรู้สึกว่าการที่ผมพาไอ้ตุลมาด้วยไม่ใช่เรื่องดีแน่
           
            “โอ น้อย ออก!!!”

            “เชี่ย กูไม่อยากคู่กับไอ้ป้องงงงงง!!!” ไอ้สิทโวยวายแหกปากเมื่อโอน้อยออกแล้วได้คู่กับไอ้ป้อง ส่วนไอ้เจลคู่กับไอ้ธาม และผมคู่กับไอ้ตุล

            บอกแล้วว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ไอ้ตุลมาด้วย เพราะผมรู้ว่าไอ้ป้องมีแผนอะไรนี่ดิ

            มันคงวางแผนกันมาก่อนหน้าแล้วว่าจะคู่กับใคร

            ไอ้พวกเช็ดแมว

            ยกที่หนึ่งคือนัดระหว่างเจล ธาม กับป้องและสิท ผมนั่งอยู่ข้างสนามกับไอ้ตุลแล้วมองพวกมันเล่นกัน คะแนนตัดที่ 21 แต้ม ใครได้ 21 แต้มก่อนถือเป็นผู้ชนะ

            ถึงจรัส บราวน์จะเก่งทุกอย่าง แต่ไม่มีทางชนะนักแบดอย่างไอ้คุณปกป้องแน่นอน แต่ก็นะ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ไอ้สิทมันถึงได้โวยวายไง เพราะไอ้ป้องเป็นพวกชอบแกล้ง ยิ่งไอ้สิทเนี่ยนะคู่อริไอ้ป้องเลย ขืนมันถูกมัดติดกันหนึ่งคืนล่ะก็ ไอ้สิทตายแน่นอน

            “ไม่ต้องเล่นก็ได้นะ ยังไงก็แพ้” ผมบ่น ไอ้ตุลหันมาขมวดคิ้ว

            “ไม่หรอก เราต้องชนะเชื่อสิ”

            “มึงทำอย่างกับว่ามึงเอาชนะไอ้ป้องได้ มันนักแบดทีมชาตินะนั่น”

            “นักแบดทีมชาติก็แพ้คนมีทริคได้นะครับ” ไอ้ตุลยิ้มโชว์ลักยิ้ม ผมมองคนที่มักจะมองโลกในแง่บวกตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มค่อยๆพยายามที่จะลืมเน

            คิดในแง่บวกมันก็ดี

            แต่ครั้งนี้มันคิดผิดมากๆเลยว่ะ

            “นิ ทางซ้ายๆ” ปากบอกทางซ้ายแต่ไอ้ส้นตีนป้องตีมาทางขวา

            “นิ ทางขวาๆ” ปากบอกทางขวาแต่ไอ้หน้าฮวกสิทตีมาทางซ้าย

            “นิๆๆ ข้างหน้าๆ” บอกข้างหน้าตีข้ามหัวกูไปซะอย่างนั้น

            “โว้ยไอ้พวกส้นตีนหุบปาก!!!” ผมตะโกนใส่พวกมัน ลืมบอกไปหรือเปล่าว่าผมนี่สกิลการตีแบดถึงขั้นติดลบ มีไอ้ตุลวิ่งลิ้นห้อยอยู่คนเดียว

            คนที่วิ่งหอบแฮ่กเหงื่อแตกจนเสื้อเปียกไปหมดหันมามองเมื่อลูกแบดถูกตีมาที่ฝั่งผม พอจะตบกลับดันวืดลูกปลิวไปกระแทกหัวไอ้ตุลซะเฉยๆ ไอ้ป้องกับไอ้สิทงี้หัวเราะขี้แตกส่วนผมได้แต่ทำหน้าตายยกนิ้วกลางใส่พวกมันด้วยความโมโห

            “นิสู้ๆ นิสู้ตาย” มีไอ้เจลยืนเชียร์อยู่ข้างสนามก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกฮึดอยากชนะขึ้นเลย

            “ไหวมั้ยครับ” ไอ้ตุลเดินเข้ามาหาผมหลังจากที่โดนนำไปครึ่ง ผมมองมันตาขวาง

            “ดูสภาพสิว่ากูไหวมั้ย” ผมบ่น วิ่งเป็นหนูติดจั่นแต่ดันตีลูกไม่ได้สักลูกนี่กูไหวมากดิ

            ไอ้ตุลยิ้มเผล่อย่างไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรแต่กลับเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหัวยุ่งๆของผมที่ชุ่มด้วยเหงื่อ

            “นิเหมือนเนเลยนะครับ ตอนตีแบดเนก็ตีไม่เคยได้เลย” ผมชะงักไป ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองไอ้ตุลที่มักจะยิ้มออกมาทุกครั้งเวลาพูดถึงเน แต่กลับเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล

            นั่นสินะ เนเองก็เล่นแบดไม่เก่งเหมือนกับผม ต่อให้พ่อพยายามสอนเราก็ไม่เคยตีได้ทั้งคู่เลย

            แต่บางทีผมก็มักจะคิดเองเออเองว่า เนเหมาะสมกับไอ้ตุลมากกว่าผมจริงๆ

            ครึ่งหลังเริ่มขึ้นและจบด้วยสกอร์อันอุบาทว์ชาติชั่วสุดๆ ไอ้ป้องกับไอ้สิทชนะไปอย่างง่ายดาย ผมหน้าทิ่มหัวคะมำเพราะรองเท้าลื่นไปสองครั้ง ก้นกบกระแทกพื้นไปอีกครั้ง เล่นแบดหรือเล่นเทควันโดวะสะบักสะบอมยิ่งกว่าอะไร

            เล่นกันจนแต่ละคนเหมือนไปตกน้ำมา เหงื่อนี้ท่วมกันเป็นแถบๆ สุดท้ายผู้ชนะก็คือไอ้ป้องกับไอ้สิท ส่วนไอ้เจลกับไอ้ธาม และผมกับไอ้ตุลจะถูกมัดมือติดกันหนึ่งคืน

            ผมอ่ะทำใจไว้แล้ว แต่ไอ้เจลกับไอ้ธามนี่ดิ

            “นรก นรกชัดๆ” ไอ้เจลบ่น

            “แหมกูอยากนอนกับมึงตายห่านล่ะ” ไอ้ธามด่ากลับ

            สองคนตะโกนด่ากันเหมือนเด็กๆ ผมมองภาพนั้นนิ่งๆอย่างมีความสุข อย่างน้อยเพื่อนๆก็ยังคอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่ห่างๆ ถึงจะห่างกัน เวลามีเรื่องทีไรมันก็จะคอยอยู่ข้างๆเสมอ

            “กูไปเปลี่ยนชุดนะ เหนียวตัวโคตรๆ”

            “ผมไปด้วย”

            ผมกับไอ้ตุลขอตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เราเล่นกันจนคอร์ทแบดใกล้ปิด เหลือเพียงแค่สนามของพวกผมที่ยังเปิดไฟอยู่เพราะไอ้ป้องเป็นสมาชิกของชมรมที่นี่ มันเลยมีสิทธิ์อยู่จนดึกจนดื่นได้ ดูเหมือนพวกมันจะเล่นกันต่อหลังจากที่ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว เพราะว่านานๆทีจะได้เจอกัน

            พอเข้ามาในห้องน้ำ ผมก็รีบหาที่เปิดไฟก่อนอันดับแรก ตุลาการวางของลงบนอ่างล้างหน้า เจ้าตัวสวมเสื้อแขนกุดกับกางเกงบาสฯ เพื่อให้ไม่อับจนเกินไป ผิดกับผมที่สวมเสื้อยืดธรรมดา พอเหงื่อออกมันก็แทบจะบิดน้ำออกมาได้เป็นถังๆ

            “อาบน้ำก่อนนะ”

            “ให้ถูหลังให้มั้ย” ผมหันขวับไปมองไอ้ตุลที่กระพริบตามองผมปริบๆไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่พูด ยังไม่ทันที่มันจะได้พูดอะไรต่อผมก็ปาผ้าเช็ดหัวใส่มันแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป

            “โรคจิต”

            น้ำเย็นๆช่วยคลายความเหนียวตัวขึ้นเยอะ หลังจากที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายพอเหงื่อออกเยอะๆผมเลยรู้สึกตัวเบาๆ บางทีมันก็ดี เลิกคิดเรื่องที่ทำให้ปวดหัวมาหาอะไรทำ อยู่กับเพื่อนๆกับคนที่เราสบายใจ

            พออาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาข้างนอก สวมเสื้อยืดตัวใหม่กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าที่สบายตัวเพราะเห็นว่าพวกไอ้เจลจะไปกินข้าวกันต่อ ผมยันตัวขึ้นไปนั่งบนอ่างล้างหน้าพลางกดโทรศัพท์เครื่องใหม่เล่นไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเสียงกลอนประตูห้องน้ำดังขึ้น

            ไอ้ตุลเดินขยี้หัวเปียกๆของมันเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเหลือบมองเจ้าของหัวทุยๆแวบหนึ่งแล้วหันมาสนใจมือถือของตัวเองต่อ

            “นิ” เสียงทุ้มๆทักขึ้น ผมร้องฮืมในลำคอเพื่อตอบกลับ

            “อือ”

            “นิเอามาห้อยด้วยเหรอ” ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์แล้วมองไปยังไอ้ตุลที่ยืนจับพวงกุญแจจระเข้ที่ผมห้อยไว้ที่กระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบคำถามของตุลาการ

            “อือ”

            “ตอบอย่างอื่นนอกจากอือ อืม อ่าฮะได้มั้ยเนี่ย” คนชอบคิดมากเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมแล้วก้มลงล้างหน้าในอ่างล้างหน้า ผมมองไอ้ตุลด้วยหางตา

            เอาจริงๆผมไม่รู้จะพูดอะไรเวลาอยู่กับมัน รู้แค่ว่าอยู่ด้วยกัน มันอยู่ตรงนี้ แค่นั้นก็พอใจแล้ว

            พอมันล้างหน้าเสร็จมันก็เช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนู ผมเหลือบตามองไอ้ตุล เห็นว่ามันยังล้างหน้าไม่สะอาดเพราะโฟมยังติดอยู่ที่หน้า ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มือของผมเอื้อมไปปาดโฟมที่ติดอยู่ที่หางคิ้วของคนตรงหน้าออก

            ราวกับเวลาทั้งหมดหยุดชะงัก ภายในห้องน้ำมีเพียงแค่เสียงหายใจของผมกับตุลที่แข่งกันดัง ไอ้ตุลค่อยๆเขยิบมาใกล้ผม พอมารู้ตัวอีกทีมันก็มาหยุดอยู่ที่ระหว่างขาของผมแล้ว ใบหน้าของมันค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆสัมผัสลงบนปลายจมูกของผม ใจที่เต้นรัวทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี

            แต่เหมือนกลับว่ายิ่งพยายามหนี ยิ่งจนมุม

            ผมบอกแล้วไงว่าการจูบกับคนที่รู้สึกดีด้วย มันทำให้เราพลาดแล้วพลาดอีก

            ริมฝีปากของคนตรงหน้าแตะลงบนริมฝีปากของผมแผ่วเบา แค่ได้สัมผัสเบาๆมันก็เหมือนยิ่งต้องการ มือสองข้างของผมยันอ่างล้างหน้าเอาไว้ด้วยความกลัวว่าจะลื่นหัวทิ่ม แต่ไอ้ตุลกลับลุกล้ำเข้ามา มันเขยิบดันตัวเองเข้ามาใกล้จนกระทั่งศีรษะของผมสัมผัสกับกระจก

            จูบที่ควรจะเป็นจูบเบาๆแล้วถอนออกกลับถลำลึกลงเรื่อยๆ อุณหภูมิรอบๆกายก็เพิ่มสูงขึ้นทั้งๆที่เพิ่งจะอาบน้ำแต่เหงื่อกับท่วมไปหมด มือข้างหนึ่งของผมกำโทรศัพท์ไว้แน่นในขณะที่อีกข้างเหมือนเป็นปฏิกิริยาต่อต้านให้ดันร่างของไอ้ตุลออก

            แต่มือมันกลับอ่อนปวกเปียกไปหมด

            “ตุล เดี๋ยว” คนตรงหน้าไม่แม้แต่จะฟังคำทักท้วงของผม ริมฝีปากของมันบดเบียดลงบนริมฝีปากของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยให้ผมได้หายใจสักพักก็กดย้ำลงมาใหม่ เสียงหอบหายใจกับเสียงครางในลำคอเพราะความต้องการของคนตรงหน้าทำให้ผมห้ามตัวเองไม่ได้ และไม่รู้จะผลักไสวิธีไหน

            มันเหมือนกับว่ากำลังดิ่งลงไป

            ดิ่งลงไป

            ‘ปัง’

            “โอ้ย”

            “ไอ้ขี้หมา! พ่อมึงเป็นนักทวงหนี้เหรอ กะอิแค่ห้าบาทค่าชีโตสแม่งก็ทวง…จัง”

            ประตูห้องน้ำถูกกระแทกเปิดพร้อมกับไอ้ป้องที่เดินเช็ดแว่นตาเข้ามาพร้อมกับไอ้สิท ผมผลักไอ้ตุลกระเด็นไปนอนกองที่พื้นด้วยความตกใจจนมันร้องโอ้ยออกมา ไม่รู้ว่ามันเจ็บมั้ย แต่ผมถือว่าผมไม่ใช่คนผิดเพราะผมห้ามแล้วมันก็ไม่ฟัง

            สองคนที่เข้ามาใหม่มองหน้าผมสลับกับไอ้ตุล มันยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องน้ำแล้วกระพริบตาปริบๆ

            “นี่กูเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า…” ไอ้ป้องถาม ไอ้สิทตบกบาลไอ้ป้องดังผั่วะ

            “โอ้โหปากหรือโถส้วม”

            ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ไอ้ป้องกับไอ้สิทมองหน้าผมสลับกับไอ้ตุลที่นั่งอยู่ที่พื้น ไอ้ตุลลูบท้ายทอยเบาๆที่เมื่อกี้เราสองคนเกือบจะทำอะไรมากกว่าจูบ ในห้องน้ำ และ ไม่ได้ล็อคประตู

            ผมเบือนหน้ามองไปทางอื่นพลางใช้แขนปิดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้

            จนกระทั่งไอ้เจลเดินแหกปากเข้ามานั่นแหละ

            “เฮ้ยไปกินหมูทะกัน!” ไอ้เจลโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ มันมองซ้ายมองขวาด้วยความประหลาดใจที่ทุกคนเหมือนเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน

            “มีอะไรกันวะ เกิดไรขึ้น วอทเฮพเพ่น” จรัส บราวน์ยังคงถามต่อ จนโดนไอ้ธามกระทุ้งสีข้างไปครั้ง

            ผมกระโดดลงจากอ่างล้างหน้าแล้วเลือกที่จะคว้าไอ้ธามออกไปข้างนอก

            บางทีผมควรจะรู้ตัวเองได้แล้ว

            ว่าการที่หัวใจเต้นแรงขนาดนี้

            มันเป็นเพราะว่าผมชอบผู้ชายที่ชื่อตุลาการเข้าแล้วจริงๆ
           
            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-10-2016 19:32:53
รู้สึกชอบเรื่องนี้มากกว่าเดิมแล้ว  ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 16-10-2016 20:03:01
อ๋อยยยยยยย เขิลลลลลลลล
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 16-10-2016 23:36:53
สัมผัสได้ถึงความกลัวของนิติ กลัวที่จะรักกลัวที่จะจาก แบบอยากออกประตูบ้านนะ แต่ไม่อยากเหยียบทราย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-10-2016 01:39:24
เราร่วมลงขันช่วยกระทืบไอ้หมาอิงด้วยอีกคน :z6:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 17-10-2016 08:58:56
นิยอมรับใจตัวเองแล้ว ดีๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 16 Love is Awareness (16-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 17-10-2016 14:29:18
กรี๊ดดดดด เกือบแล้ว เกือบแล้ว เกทอบได้กันแล้วววว
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 20-10-2016 17:14:57
Chapter
17

           

            การกินหมูกระทะวันนี้เป็นการกินหมูกระทะที่ไม่อร่อยที่สุดในชีวิตเพราะบรรยากาศมันมาคุมาก ไอ้ตุลนั่งเงียบแถมยังก้มหน้าไม่พูดไม่จาเหมือนกับพิศวาสหมูในจานสุดๆ ส่วนไอ้ธามก็นั่งติดกับผมจนแทบจะสิงร่างหลังจากที่ผมไปปรึกษากับมันว่าอาการหนาวๆร้อนๆที่ผมเป็นคือผมกำลังชอบไอ้ตุลใช่มั้ย ไม่ได้เป็นไข้มโนอะไรไปเองใช่หรือเปล่า

            คำตอบของไอ้ธามคือ ผมหลงไอ้ตุลเข้าไปเต็มๆ

            ผมกับตุล แล้วก็เจลกับธามโดนมัดมือติดกันหลังจากกินหมูกระทะเสร็จ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครโกง ไอ้ป้องเลยใช้สิ่งที่เรียกว่ากุญแจมือเด็กเล่นที่เป็นพลาสติก โดยไอ้กุญแจมือเนี่ยทำหน้าที่เหมือนของจริงเด๊ะๆ คือถ้าไม่ใช้กุญแจไขก็จะถอดไม่ออก แล้วไอ้ป้องก็เป็นคนเก็บลูกกุญแจเอาไว้ จะมาไขออกให้ก็พรุ่งนี้บ่ายๆนู่นแหละ

            บัดซบที่สุด

            “เฮ้ย แล้วเวลาเข้าห้องน้ำจะทำไงวะ” ไอ้จรัส บราวน์ถามขึ้นอย่างใสซื่อ โดนล็อคแขนติดกันไว้ ให้ตัดแขนไอ้ธามมั้งถามได้ ไอ้ป้องใช้นิ้วกลางดันแว่นของมันเล็กน้อยเหมือนกำลังจะบรรยายฟังก์ชั่นการใช้งานของกุญแจมือ

            “ก็ต้องเข้าพร้อมกันไง”

            “ส้นตีนดิ!” ไอ้เจลโวยวาย

            “ไรสมหมาย มึงกับไอ้ธามก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆจะอายอะไร”

            “มึงก็พูดได้มึงลองมามัดติดกับไอ้สิทมั่งเป็นไง”

            “อายที่ตัวเองเล็กเท่าหนอนชาเขียวอ่ะดิ”

            “ไอ้ห่าป้อง!!!”

            สายตาเจ้าเล่ห์ของไอ้ป้องดูยังไงก็กวนตีนไอ้เจลอยู่ชัดๆ ผมมองไอ้เจลที่ไล่เตะไอ้ป้องโดยลากไอ้ธามตามไปด้วยเพราะแขนถูกล็อคไว้ด้วยกัน เลยได้แต่ถอนหายใจหน่ายๆพลางมองกุญแจมือพลาสติกสีฟ้าลายกบเคโระที่คล้องแขนผมกับแขนไอ้ตุลเอาไว้

            จะซื้อทั้งทีซื้อลายธรรมดาไม่ได้ คิดว่าน่ารักมากมั้งดิ

            ผมเหลือบตาไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวสูงเหม่อมองไปอีกทางราวกับคิดอะไรอยู่

            ตั้งแต่ผมกับไอ้ตุลจูบกัน เราสองคนก็แทบจะไม่ได้มองหน้ากันเลย ไม่ใช่เพราะว่าผมโกรธที่มันจูบผมแล้วเกือบจะโดนไอ้ป้องกับไอ้สิทเข้ามาเห็น ผมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้นหรอก แต่มันเป็นเพราะว่าผมรู้สึกแปลกๆเวลามองหน้าไอ้ตุล ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ความรู้สึกที่อธิบายยากแบบนี้มันเริ่มขึ้น

            นี่สินะที่เนมักจะชอบพูดให้ผมฟังว่า

            ‘มันเหมือนมีหินร้อยๆก้อนถ่วงอยู่ในอกเลย’

            “นิ มึงกลับไง ให้ไปส่งป่ะ” ไอ้เจลถามขึ้น ผมพยักหน้าเพราะขี้เกียจจะรอรถ

            ผมตัดสินใจนอนคอนโดไอ้ตุลแทนที่จะนอนบ้านเจลในคืนนี้เพราะว่าไอ้เจลกับไอ้ธามจะต้องแหกปากบ้านแตกแน่ๆ มันสองคนถึงจะสนิทกันแต่อย่ามัดติดกันเชียว นรกชัดๆนั่นแหละ

            แล้วอีกอย่าง ผมยังมีอะไรบางอย่างที่อยากจะถามไอ้ตุล

            พอเข้าคอนโดมา คนที่เงียบมาตลอดทางถึงได้พูดขึ้นบ้าง ผมที่กำลังจะเดินลากไอ้ตุลเข้าไปในห้องโดนดึงเอาไว้ เพราะถูกล็อคแขนไว้เลยไปไหนไม่ได้ถ้าอีกคนไม่ยินยอมที่จะไปด้วย

            “นิ … โกรธเหรอ” เสียงทุ้มๆดังขึ้นด้านหลัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่สบายใจ ผมขมวดคิ้วแล้วหันไปมองไอ้ตุล เจ้าตัวมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก พูดง่ายๆมันกำลังทำหน้าเหมือนหมาจ๋อย

            “กูไม่ได้โกรธอะไรมึงสักหน่อย” ผมว่า ไม่เห็นมีเรื่องอะไรที่ผมต้องโกรธเลยสักนิด

            “แต่นิไม่ยอมมองหน้าผมตั้งแต่ตอน…”

            …

            ตอนจูบสินะ

            …

            ห่ะๆ ถ้ากูโกรธ มึงคงไม่ได้มายืนเสนอหน้าตรงนี้หรอกน่า

             “กูไม่ได้โกรธ”

            “แล้วทำไมนิไม่มองหน้าผมล่ะ” ไอ้ตุลถามด้วยความสงสัย ผมทำแค่เงียบไปไม่ได้ตอบคำถามของมัน คนที่เอาแต่ถามจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบจนผมชักจะเริ่มประหม่า

            โอย มึงจะถามอะไรนักหนาวะ กูก็ไม่รู้ว่ากูเป็นอะไรเหมือนกัน อยากจะรู้อะไรนัก

            ผมไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้มันคืออะไร ผมแค่ … ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้จะอธิบายยังไง

            ทำไมต้องถามเยอะแยะด้วยไม่เข้าใจ น่ารำคาญ

            “ถ้านิไม่สบายใจ เอาคีมมาตัดกุญแจออกก็ได้นะครับ” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้ตุลที่พูดจาอะไรไม่เข้าเรื่อง คนตรงหน้าทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว หน้าที่เหมือนคนกำลังอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทำหน้าเหมือนตัวเองกำลังรู้สึกผิดทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไร

            “กูเป็นคนรักษาสัญญา ถ้ากูให้สัญญากับใครไว้ กูก็ต้องทำ” ไอ้ตุลสะอึกไปเมื่อเห็นผมทำสีหน้าจริงจัง เจ้าตัวหลุบตาต่ำลงแล้วมองไปทางอื่น

            เหมือนที่ผมให้สัญญากับเนเอาไว้ ว่าผมจะดูแลไอ้ตุลแทนเน เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าทำให้มันจบๆไปเพราะสัญญาเอาไว้ แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจเลยสักนิด

            ว่าเป็นเพราะสัญญาที่รั้งที่ผมอยู่ข้างๆผู้ชายที่ชื่อตุลาการ

            หรือเป็นเพราะความต้องการของตัวเอง

            “บางทีผมก็อยากรู้ว่านิคิดอะไรอยู่”

            “…”

            “ถึงนิจะพูดว่าไม่โกรธ แต่นิไม่ยอมมองหน้าผม ไม่ยอมบอก ถ้าขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้สักทีสิว่านิต้องการอะไร”

            “แล้วทำไมมึงถึงอยากรู้มากนักวะ กูบอกว่ากูไม่ได้โกรธ ไม่ได้รู้สึกอะ…”

            “อย่าพูดคำนั้นออกมานะ อย่าพูดว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยที่ผ่านมา”

            สีหน้าของไอ้ตุลทำให้ผมหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้ สีหน้าที่รู้สึกแย่ เจ็บ ปั่นป่วนเหมือนตอนแรกที่ผมเจอหน้ามัน ครั้งแรกที่ผมเคยพูดเอาไว้ว่า

            ‘นี่เหรอผู้ชายที่น้องชายกูรักนักรักหนา มึงมันก็แค่ไอ้ไก่อ่อนนั่นแหละ’

            ผมอยากจะกอดมัน แต่ก็ทำได้แค่ยืนกำมืออยู่นิ่งๆ

            ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน

            บรรยากาศตรงหน้านี่มันอะไรกัน

สาบานได้ว่าถ้าไม่มีไอ้กุญแจมือบ้านี่ ผมคงเดินหนีไอ้ตุลไปแล้ว แต่เพราะไปไหนไม่ได้นี่ดิ

            “ที่ผมอยากรู้ ก็เพราะว่าผมชอบนิมากจริงๆ”

            “!!”
                       
            “นิบอกให้ผมเริ่มต้นใหม่ แล้วผมก็อยากเริ่มกับนิ ไม่ใช่เพราะว่าผมรู้สึกผิดต่อเน ไม่ใช่เพราะว่าผมสัญญาอะไรไว้กับเน แต่นิเป็นคนเดียวที่ผมสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ แล้วผมก็อยากจะทำเพื่อนิให้ดีที่สุด”

            ตัวผมเองตอนนี้ทำได้เพียงแค่ยืนฟังไอ้ตุลพูดเงียบๆแค่นั้นจริงๆ ทั้งๆที่ตัวเองก็มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ดันพูดอะไรออกไปไม่ได้

            “ถ้านิไม่ชอบ ผมก็จะไม่ทำ ขอแค่นิบอก” ผมปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอ้ตุลพลางผลักมันไปกระแทกกับผนังห้องด้วยความไม่ชอบใจ

            “กูก็ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบนี่!!”

            เลิกคิดแทนคนอื่นสักทีได้มั้ย ไอ้บ้าเอ้ย!

            ผมและไอ้ตุลนิ่งกันไปทั้งคู่ก่อนผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรไม่ทันคิดออกมา มันก็แค่รำคาญหงุดหงิดไอ้คนที่ทำเหมือนตัวเองผิดไปซะทุกอย่าง โทษตัวเองไปซะทุกเรื่อง

            มึงไม่ใช่หุ่นยนต์นะตุลาการ ทำอย่างกับว่าถ้ากูสั่งให้มึงไปตายมึงก็จะไปอย่างนั้นแหละ!

            หวังว่าจะให้คนตรงหน้าเห็นค่าของตัวเองมากกว่านี้ แต่แววตาของไอ้ตุลกลับเปลี่ยนท่าทีไป มันเหมือนมีความหวัง เหมือนต้นไม้เหี่ยวเฉาที่ถูกรดน้ำแล้วกลับมาสดใสอีกครั้ง

            ถ้าคนตรงหน้ามีหู มันก็คงกำลังกระดิกหูดิ๊กๆอย่างชอบใจ

            ไอ้ตุลถลาเข้ามากอดผม แต่เพราะมือถูกล็อคไว้ด้วยกันทำให้มันแทบจะบิดแขนผมไปด้านหลัง

            “โอ้ย! เบาๆดิวะ!!”
           
            “แต่ว่า … ผมอยากกอด”
           
            คนตรงหน้าเขยิบตัวเข้ามาใกล้ ผมผลักไอ้ตุลออกไปแต่ไม่เป็นผล มือข้างที่ถูกมัดติดกันถูกไอ้ตุลดึงไปด้านหลังของมันทำให้ผมต้องโน้มตัวไปใกล้มันมากขึ้นจนหน้าแทบจะทิ่มไหล่อีกคน มืออีกข้างที่จะผลักออกก็โดนมือของไอ้ตุลคว้าแล้วบีบไว้แน่น

            “กูไม่เล่นนะ” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากคนตรงหน้า แต่ไอ้ตุลตะครุบผมไม่ยอมปล่อย

            “ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะเล่นนี่ครับ”

            ผมกับไอ้เจ้าของห้องทั้งยื้อทั้งผลักกันไปมาจนเหนื่อย เพราะล้าจากการเล่นกีฬาหนักๆมาเลยทำให้ผมขาอ่อนร่วงลงไปกองที่พื้น ไอ้ตุลนั่งลงตรงหน้าผม ก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆของมันเป่ารดข้างแก้มของผม

            “ขอบคุณนะครับ ที่ไม่โกรธผม” เสียงทุ้มๆกระซิบข้างหูทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีไอ้ตุล พอใช้หางตามอง ผมก็เหมือนจะเห็นหางงอกออกมาที่ก้นมันแล้วส่ายดุ๊กดิ๊ก

            ไอ้ … หมาบ้านี่

            “กูเริ่มจะโกรธจริงๆแล้วนะ”

            “เดี๋ยว อย่าเพิ่งโกรธ”

            “ก็เลิกทำตัวดี๊ด๊าซักที!!!” น่าหมั่นไส้เป็นบ้า

            เหมือนคนตรงหน้าจะฟังอย่างนั้นแหละ ไอ้ตุลไม่ได้ฟังในสิ่งที่ผมพูดสักนิด มันยังคงซุกไซร้ผมเหมือนกับเจ้าถิ่นที่กำลังดมกลิ่นคนแปลกหน้า

            “ที่นิบอกว่า ก็ไม่ได้ไม่ชอบนี่ … คือชอบเหรอครับ” ไอ้ตุลถามขึ้น ผมถลึงตาใส่มัน

            “ไม่ได้ชอบ!!!”

            “อะ… อ้าว แล้วตกลงชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ”

            “ใครจะไปรู้เล่า!!!”

            “นิติ!”

            “อะไร!!!”

            ริมฝีปากของคนตรงหน้าแตะลงเบาๆลงบนริมฝีปากผม ไม่มีการล่วงล้ำ แค่จูบเบาๆค้างเอาไว้ก่อนจะถอนออก ผมนิ่งค้างไปด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำของไอ้ตุลเลยแม้แต่นิด

            ไอ้กุญแจมือบ้านี่

            เป็นเพราะกุญแจมือนั่นแหละ ใช่ เป็นเพราะกุญแจมือเลย ที่ทำให้ผมไปไหนไม่ได้ ที่ทำให้ผมต้องนั่งนิ่งๆปล่อยให้ไอ้ตุลทำอะไรก็ได้ ปล่อยให้มันจูบ ทั้งๆที่ผมยังตั้งตัวไม่ทัน ปล่อยให้มันกอดทั้งๆที่หัวใจผมมันยังเต้นรัวราวกับจะกระเด็นออกมาจากอก

            “ขอบคุณนะครับ ที่มาหาผมวันนั้น”

            “…”

            “ถ้าไม่ได้นิวันนั้น ผมคงไม่มีความสุขขนาดนี้”

            คนที่ทำหน้าเหมือนมีความสุขเต็มล้นอกกอดผม คางของตุลวางอยู่บนไหล่ผมเหมือนกับต้องการที่พักพิง บางครั้ง หรืออาจจะหลายครั้งเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้ชายตรงหน้า ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลย

            ผมลดการ์ดป้องกันตัวลงก่อนจะใช้มือข้างที่ไม่ได้ถูกมัดติดกับมือของอีกคนกอดคนตรงหน้าเอาไว้แล้วใช้มือขยำลงไปบนเสื้อยืดสีดำสนิทนั่นจนมันยับยู่ยี่

            สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ มึงต้องรับผิดชอบนะ ไอ้บ้าเนติ

 

 

            ค่ำคืนที่เลวร้ายสุดๆผ่านไป ผมกับตุลาการนั่งมองขนมปังปิ้งที่ไหม้ไปครึ่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มือของเราสองคนยังคงถูกคล้องไว้ด้วยกัน ไอ้กุญแจมือบ้านี่โคตรเกะกะ ผมไม่น่าหลวมตัวไปเล่นเกมกับไอ้ป้องเลยสักนิด ไงล่ะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอน ล่อไปตีสามครึ่ง

            สภาพของผมกับไอ้ตุลก็เลยไม่ต่างจากแพนด้า เราสองคนแชร์ความคล้ำของขอบตาจากการไม่ได้นอนกันคนล่ะครึ่ง

            “ผมไปทำไข่ดาวให้ใหม่มั้ย” ไอ้ตุลถามขึ้น ผมเงยหน้าจากจานขนมปังปิ้งไปมองหน้าผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้า ที่ตอนนี้เป็นได้แค่แพนด้าหน้าโง่

            “ไม่ต้อง ทำมือเดียวเดี๋ยวก็ไหม้อีกอ่ะ” ผมแขวะ

            ก็เพราะเมื่อกี้ผมกับไอ้ตุลเกี่ยงกันทำขนมปังปิ้ง แถมมือที่ถูกคล้องไว้ด้วยกันมันก็ไม่สะดวกเลยสักนิด เราสองคนเลยแทบจะลงไปตีกันตาย สุดท้ายเลยต้องมานั่งไว้อาลัยขนมปังปิ้งเงียบๆกันทั้งคู่

            “ครั้งนี้ไม่ไหม้แน่นอนครับ … ถ้าเกิด…”

            “ถ้าเกิดอะไร” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้ตุล มันเกาท้ายทอยนิดๆ

            “ถ้าเกิดนิปล่อยให้ผมทำคนเดียว…”

            “เงียบปากไปเลย!!!”

            น่าหงุดหงิดชะมัด

            น่าหงุดหงิดเป็นบ้า

            ใครจะยอมให้มึงมาดูแลวะ

            ไม่มีอีกแล้วนิติคนอ่อนแอ หมดยุคไอ้ขี้แยนิติแล้วเว้ย

            โอ้ย ทำไมการต่อกรกับคนตรงหน้ามันถึงได้ผลาญพลังงานผมมากขนาดนี้กันนะ

            “นิครับ…”

            “อะไร”

            “ผมอยากเข้าห้องน้ำ”

            “เมื่อกี้ก็แปรงฟันไปแล้วจะเอาอะไรอีก!” ผมพูดตอบไอ้ตุลด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะชะงักไปเมื่อรู้ความหมายของการจะเข้าห้องน้ำ

            เพราะเมื่อคืนผมกับตุลไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยทั้งคืน คนตรงหน้าเลยทำหน้าขอร้องผม ฉุดกระชากลากถูกันอยู่สักพักผมก็มายืนอยู่ข้างชักโครก พลางหันหน้าออกไปที่ประตู

            ผมจะไม่มีวันเล่นเกมกับไอ้ป้องอีกเลยตลอดชาติ สาบาน!

            มือข้างที่ถูกคล้องด้วยกันไว้ถูกไอ้ตุลดึงไปเพราะมันจะถอดกางเกง ผมหันไปถลึงตาใส่มันแล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่ฟาดกบาลไอ้ตุลไปอย่างแรง

            “โอ้ยเจ็บ”

            “ถอดกางเกงก็ถอดมือเดียวก็ได้ ไม่ต้องเอามือกูไปช่วยด้วย!!!”

            “แต่ว่า… มันลำบากนี่ครับ” ไอ้ตุลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมเข้าใจว่ามันลำบาก เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่นี่มันไม่ใช่ ไม่มีทางที่ผมจะเอามือเข้าไปใกล้…
           
            จู่ๆความร้อนจากร่างกายก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาบนใบหน้าจนแทบจะทำให้หัวผมระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

            “เลิกถามนู่นถามนี่ซักที!!!”

            มันไม่ง่ายหรอกนะที่ต้องมาโดนมัดติดกับคนที่ทำให้หัวใจเต้นรัวขนาดนี้

            มันไม่ง่ายหรอกเว้ย

            ไอ้ตุลทำธุระของมันจนเสร็จพลางลากผมเดินไปที่อ่างล้างหน้าเพื่อจะล้างมือ ผมยืนพิงกำแพงห้องน้ำพลางมองคนที่ได้แต่ก้มหน้าล้างมืองกๆ

            “ถามอะไรอย่างดิ…” ผมอยากถามคำถามที่ค้างในใจมาตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้ตุลเงยหน้าจากอ่างล้างหน้าแล้วเม้มปากโชว์ลักยิ้ม

            “ครับ”

            “มึงเคย … ทำอะไรเนมากกว่าจูบมั้ย”

            คนตรงหน้าสะดุ้งแล้วหลบสายตาหนี

            นี่มัน … หมายความว่าไง…

            มึงทำอะไรเนมากกว่าจูบงั้นเหรอ!!!

            “ทำไมถึงถามแบบนั้น”

            “ก็!!” ผมชะงักไปพลางก้มลงมองฝ่าเท้าของตัวเอง

            มันเป็นคำถามที่คาใจ คามาตั้งแต่วันแรกๆที่เจอกับตุลแล้วด้วยซ้ำ มันจูบผม เพราะนึกว่าเป็นเน แล้วหลังจากนั้นมันก็จูบผมครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถ้ามันกล้าที่จะจูบผม แสดงว่ามันก็ต้องจูบเนด้วย

            แล้วมากกว่าจูบล่ะ…

            มันทำอะไรน้องชายฝาแฝดของผมมากกว่าจูบหรือเปล่า!!

            “จริงๆแล้ว ก็ …” ไอ้ตุลเกาแก้มของมันแต่ไม่ได้สบตาผม ผมขมวดคิ้วจ้องหน้าผู้ชายตรงหน้า

            “จริงๆแล้วก็เคยครั้งนึงน่ะครับ เกือบจะมีอะไรกะ…”

            ‘ผั่วะ!!!’

            ผมหยิบขวดแชมพูที่วางอยู่บนอ่างล้างหน้าปาใส่หัวไอ้ตุลอย่างแรงพลางจะเดินหนี ลืมตัวไปว่ามีกุญแจมือคล้องแขนเอาไว้เลยทำให้ผมกระเด้งกลับมาเพราะแรงดึงจากตุลาการ

            “มึงทำอะไรน้องชายกู!!!”

            “ผมเปล่านะนิ ผมยังไม่ได้…” ไอ้ตุลอ้าปากพะงาบๆแล้วเปลี่ยนเป็นคนที่จะเดินหนีผมแทน คงจะลืมไปเหมือนกันว่าแขนเราถูกคล้องติดไว้ด้วยกัน ผมมองไอ้ตุลด้วยสายตาอาฆาตเหมือนจะฆ่าคนได้

            “บอกมานะไอ้หื่นกาม มึงมีอะไรกับเนแล้วใช่มั้ย” ผมปราดเข้าไปบีบคอไอ้ตุล เจ้าตัวร้องลั่นใหญ่

            “ไม่ใช่ ไม่ใช่นะนิ ผมยังไม่เคยมีอะไรกับเน ก็แค่ช่วยเนแค่นั้น อะ … เอง”

            ช่วย

            ช่วยอะไร ช่วยอะไรของมึง!!!

            “ตายซะเหอะ ไอ้โรคจิต!!!”

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 20-10-2016 18:47:44
5555 หวงช้าไปมาก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-10-2016 19:31:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 20-10-2016 20:58:12
หืมมมมมมม น่าสนใจๆความสัมพันธ์ระหว่างพี่ตุลย์กะเนติซะแล้วสิ เหมือนเค้าจะอยู่กันแบบพี่น้องอ้ะป่าว
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 22-10-2016 12:47:41
นิติน่ารักกกกกกกก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-10-2016 13:01:59
ตายและ ยังเวอร์จิ้นๆ ป่าวเนี่ยยย กิ๊วๆ 555 น่ารัก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 24-10-2016 09:32:34
สงสัยมาก เนติทำอะไรเอาไว้นะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 17 Love is Not Hate (20-10-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 02-11-2016 15:35:53
ตอนนี้น่ารัก ไหงนิทำตัวซึนแบบนี้ล่ะ o13
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 18 Love is Knowing (06-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 06-11-2016 20:44:38
Chapter
18

           

            ไอ้ป้องเอากุญแจที่ไขกุญแจมือมาให้ผมกับตุลตอนบ่ายๆก่อนมันจะรีบดิ่งไปหาไอ้สิทที่ดูเหมือนจะมีปัญหากับรุ่นพี่นิดหน่อย ตอนนี้ผมเลยเป็นอิสระ

            “นิ จะอยู่ในห้องอีกนานมั้ย ออกมาเหอะ” เสียงทุ้มๆยังคงดังเป็นระยะๆ

            ผมนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ในห้องหลังจากแยกจากตุลาการ ไม่ใช่เพราะว่าอยากหลบหน้าไอ้ตุล แต่เพราะว่าผมต้องการจะเคลียร์อะไรบางอย่าง และผมก็ยังไม่อยากให้ใครมารบกวนตอนนี้

            นิ้วของผมไล่เปิดข้อความของเนที่คุยกับตุลจากโทรศัพท์ของเน ผมตัดสินใจที่จะอ่านข้อความพวกนั้นขึ้นมาดื้อๆ แต่ยิ่งอ่าน มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิด

            หงุดหงิดเป็นบ้าเลย

            ไอ้ตุลรักเนมาก แล้วเนก็รักตุลมาก นั่นแหละที่ทำให้ผมหงุดหงิด

            “นิครับ ออกมาเถอะ”

            ผมเมินเสียงของตุลาการไปพลางซบหน้าลงบนเข่าของตัวเอง

            จะทำยังไงดี

            ที่ผมรู้สึก … อิจฉาน้องชายฝาแฝดของตัวเอง

 

            ไม่นานนักหลังจากที่อะไรลงตัว ผมก็ย้ายไปอยู่ที่คอนโดเดียวกับไอ้ตุล ตอนแรกไอ้เจลคัดค้านไม่ยอม แต่เพราะว่าญาติห่างๆของไอ้เจลจะมาอยู่ที่บ้านสามเดือน ผมที่ไม่ค่อยชอบน้องไอ้เจลเลยย้ายออก ถ้าถามว่าทำไมไม่กลับไปนอนที่บ้าน ทำไมไม่กลับไปอยู่กับพ่อ

            ผมไม่อยากกลับไปเจอป้าอร กับไอ้อิง

            นั่นแหละคือเหตุผล

            “ไม่อ่ะป๊า … ว่าปิดเทอมคงอยู่ไทยเนี่ยแหละ ไม่อยากไปไหน”

            (แน่นะ ป๊าอยากให้แกไปด้วย ลูกชายของน้าเบลบ่นคิดถึงแก จำได้หรือเปล่า)

            “ไอ้สามอ่ะเหรอ”

            (ใช่ ตัวโตขึ้นเยอะ เผลอๆสูงกว่าแกอีกมั้ง)

            “โห่ป๊า นิก็ไม่ได้เตี้ยป่ะ”

            (แน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปญี่ปุ่นกับป๊าจริงๆ)

            “แน่สิ เที่ยวให้สนุกเถอะ ฝากบอกน้าเบลด้วยว่าคิดถึง”

            (แกเนี่ยน๊า หัวรั้นเหมือนแม่แกเลย)

            ผมนิ่งไปนิดหน่อยเมื่อพ่อพูดถึงแม่ออกมา ตั้งแต่แม่เสียผมก็ไม่อยากจะคุยอะไรเรื่องนั้นเลย ไม่ว่ากับใคร ผมเลือกที่จะสนใจแต่น้องชายฝาแฝด จนลืมแม่ไปสนิท

            อาจจะเป็นเพราะว่า ผมไม่ได้สนิทกับแม่เหมือนกับเนล่ะมั้ง

            “ผมรักป๊านะ”

            ปลายสายเงียบไป ก่อนที่ผมจะกดวางโทรศัพท์แล้วกดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องของไอ้ตุล

            ผมออกจากคอนโดตอนเย็นเพื่อไปเอาของที่บ้านไอ้เจลอีกสามสี่อย่างที่ลืมไว้ กว่าจะถึงคอนโดไอ้ตุลก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ผมมองถุงขนมปังไส้หมูหยองในมือพลางถอนหายใจ

            สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการอ่านข้อความของเนกับตุลจนผมรู้ว่าไอ้ตุลชอบกินอะไร ชอบทำอะไร มีนิสัยแบบไหน อันที่จริงตั้งแต่รู้จักกับไอ้ตุลมา ผมก็ไม่เคยรู้ว่ามันชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร จะรู้ก็เพียงเท่าที่เนบอก         

            แต่ก็นะ ปกติผมไม่ค่อยได้ใส่ใจใครอยู่แล้วนี่

            แค่มันคนเดียวที่ …

            ผมแค่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อตุลาการบ้าง

            ผมแตะคีย์การ์ดที่ตุลให้ไว้ลงหน้าประตูพลางดันประตูเข้าไปแล้วถอดรองเท้าเอาไว้หน้าห้อง ห้องที่ปิดไฟมืดบ่งบอกว่าเจ้าของห้องคงจะหลับไปแล้ว

            สายตาของผมไปสะดุดกับร่างของคนตัวสูงที่นอนกอดตุ๊กตาเป็ดอยู่ที่โซฟา บนโต๊ะข้างๆโซฟามีแก้วน้ำแก้วหนึ่งที่ถูกกินหมดไปแล้ว กับโทรทัศน์ที่ถูกเปิดค้างอยู่

            มันรอผมเหรอ…

            ไม่หรอกมั้ง

            มันไม่ได้รอผมหรอก

            ผมนั่งคุกเข่าลงข้างๆไอ้ตุลพลางถอดเสื้อคลุมสีดำของตัวเองออกแล้วห่มให้กับมัน ดวงตาที่ปิดสนิทกับขอบตาคล้ำๆนั่นบ่งบอกว่ามันคงจะอ่านหนังสือหนัก จะเรียนจบแล้วนี่เนอะ

            แล้วถ้าเรียนจบ มึงจะทำอะไร จะไปไหนต่อ

            จะทิ้งกูไปมั้ย…

            ผมสะบัดหัวของตัวเองที่คิดอะไรบ้าบอ อนาคตมันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันไปสิ ตอนนี้ไอ้ตุลยังอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆผม มันยังไม่ได้หนีไปไหน

            แขนของผมท้าวลงบนโซฟาข้างๆร่างของตุลาการ ผมมองใบหน้าของผู้ชายที่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเองมากกว่าตัวผมเอง มันรักผม มันเคยพูดว่ารู้สึกผิดกับเน แต่มันก็ไม่สามารถจะหยุดรักผมได้ เพราะผมเป็นคนเดียวที่มันอยากจะเริ่มต้นใหม่ด้วย

            ทำไมมึงถึงอยากจะเริ่มใหม่กับคนที่ดูไม่มีอนาคตแบบกูล่ะ

            ผมมีคำถามมากมายอยากจะถามผู้ชายคนนี้ แต่ผมทำได้เพียงแค่เก็บมันไว้ในใจ

            ฝ่ามือของผมยื่นไปสัมผัสกลุ่มผมสีดำสนิทที่ดูนุ่มนิ่มนั่นพลางจับมันเบาๆเพราะกลัวคนที่หลับอยู่จะตื่น

            ‘ผมพี่ตุลโคตรนุ่มเลย’

             ผมกำมือข้างที่ถือถุงขนมปังไว้แน่นพลางกัดริมฝีปากของตัวเอง คำพูดของเนยังดังซ้ำๆอยู่ในหัวของผมราวกับว่าเป็นฝันร้ายที่ลืมไม่ลง

            จู่ๆคนที่นอนหลับอยู่ก็ขยับตัวเหมือนจะละเมอ เสียงทุ้มๆของไอ้ตุลพูดคำๆนึงออกมา คำที่ทำให้ผมขยำขนมปังหมูหยองจนมันเละแล้วทิ้งให้มันวางนอนอยู่ที่พื้นก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากห้อง

            ไอ้ตุล มันเรียก ‘เน’

            โถ่เว้ยไอ้นิ มึงเป็นอะไรของมึงวะ ปกติมึงไม่ใช่คนที่เก็บเรื่องงี่เง่าแบบนี้มาคิดเลยนี่

            ผมทรุดลงบนพื้นหน้าห้องพลางกอดเข่าตัวเองเอาไว้

            ข้อความหลายร้อยข้อความที่ผมนั่งอ่านมาทั้งวันไหลพรั่งพรูเข้ามาในหัว

            ‘ตัวเล็กอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวรู้มั้ย’

            ‘คิดถึงพี่ตุลจัง’

            ‘คิดถึงเนเหมือนกัน’

            ‘จะกลับบ้านหรือยัง ซื้อขนมปังหมูหยองมาฝากด้วยนะ’

            ‘ใกล้ถึงแล้ว อยากกอดจะแย่’

            ‘เป็นห่วงรู้มั้ย อย่าทำอะไรหักโหมสิ’
         
            ‘บอกตัวเองเถอะ อย่านอนดึกมากนะ’

            ‘รักเนนะ’

            ‘เนก็รักพี่ตุล’


            ผมใช้ฝ่ามือกุมใบหน้าของตัวเองเอาไว้พลางหายใจเข้าลึกๆให้อากาศเข้าไปถึงปอด

            น่าสมเพชมั้ยล่ะนิติ นี่แหละคือผลของการชอบผู้ชายคนเดียวกับน้องชายของตัวเอง

            แต่ให้ทำไงได้

            ก็คนมันชอบไปแล้วนี่

 

            ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะชะงักไปเมื่อผมนั่งอยู่ในอ้อมกอดของใครสักคน คนที่คุ้นเคย คนที่ผมไม่อยากจะเผชิญหน้า

            ไอ้ตุลกอดนั่งพิงโซฟาแล้วกอดผมไว้จากด้านหลัง เราสองคนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน คนข้างหลังหลับปุ๋ยเหมือนเหนื่อยล้ามาก ผมได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆ ความอุ่นภายใต้ผ้าห่มทำให้ผมทิ้งตัวลงพิงกับร่างกายของคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว

            จำได้ว่าผมออกไปนั่งหน้าห้องนี่นา

            ไอ้ตุลลากผมเข้ามาในห้องแล้วนั่งกอดไว้อย่างนั้นเหรอ

            ห่ะๆ

            ตลกเป็นบ้า

            ทำไมวะ ทำไมมึงถึงต้องทำดีขนาดนี้

            กูไม่ใช่เนนะ…

            ผมขยับตัวเพื่อจะหนีจากความอบอุ่นของร่างกายของไอ้ตุลที่มักจะทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทุกครั้ง แต่พอขยับนิดเดียวคนที่หลับอยู่ก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ผมลุกออกจากอ้อมกอดของเจ้าของห้องพลางไปหยุดอยู่ที่ห้องครัว

            “นิตื่นตั้งแต่เมื่อไร ... แล้วทำไมเมื่อคืนถึงออกไปนอนหน้าห้องล่ะ” ไอ้ตุลถามขึ้น ผมชะงักไปนิดหน่อย

            ก็เพราะ...

            มึงเรียกชื่อเนตอนที่มึงนอนอยู่ไง

            ผมคงกลายเป็นไอ้โง่จริงๆ ที่ดันไปอิจฉาน้องชายฝาแฝดตัวเองกับแฟนของเขา ทั้งๆที่น้องชายฝาแฝดของผม ตายไปแล้ว

            “กูออกไปรับลมเฉยๆ เลยเผลอหลับไป” ผมไม่ได้หันไปมองหน้าตุล ไม่รู้ว่ามันจะทำสีหน้าแบบไหน แต่เจ้าตัวคงจะเข้าใจแบบที่ผมบอกไป

            “ระเบียงห้องก็มีนี่” คนขี้สงสัยถามต่อ

            ผมเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

            “อยากกินอะไรป่ะ เดี๋ยวกูทำให้ โกโก้ร้อนมั้ย” ผมเดินไปหยิบแก้วมาเพื่อจะเตรียมโกโก้ร้อนให้คนที่เพิ่งจะตื่นนอน แต่คำตอบของไอ้ตุลกลับทำให้ผมรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก

            “ไม่ชอบกินโกโก้ เอาเป็นกาแฟแทนได้มั้ย”

            ทำไม…

            ทั้งๆที่มันคอยพูดว่าชอบผม รักผม

            ทั้งๆที่ผมเองก็ใจเต้นกับไอ้ตุลตลอดทุกครั้ง

            แต่ทำไม … ผมถึงไม่เคยรู้เรื่องราวของมันเลยสักนิด

            ขนาดอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ผมยังไม่รู้เลยว่ามันไม่ชอบโกโก้

            ถ้าไม่ได้อ่านในสิ่งที่เนคุยกับตุล หรือสิ่งที่เนบอก ผมก็ไม่มีทางรู้ด้วยตัวเอง

            “นิ … เป็นอะไรหรือเปล่า” ไอ้ตุลถามเมื่อเห็นผมเงียบไป ผมหัวเราะนิดๆราวกับสมเพชในความไม่รู้ของตัวเอง ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง ผมไม่รู้ว่าตุลชอบกินอะไร ไม่รู้ว่ามันชอบทำอะไร ไม่รู้ว่ามันอยากเป็นอะไร ไม่รู้อะไรเลย

            ผมไม่เคยรู้อะไร … เกี่ยวกับคนที่ตัวเองชอบเลยสักนิด

            “เปล่า”

            ฝ่ามืออุ่นๆของตุลจับลงบนแขนที่เย็นเฉียบของผม เหมือนมันกำลังส่งผ่านความเป็นห่วงผ่านการกระทำ แต่ผมทำเพียงแค่สะบัดมือของไอ้ตุลออกเพราะตกใจ

            “นิ…” คนตรงหน้ามีสีหน้าแย่ลงไป ทั้งยังมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มหน้ามันไปหมด

            “อะไร”

            “นิเป็นอะไรทำไมไม่บอก”

            “กูไม่ได้เป็นอะไร”

            “ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมต้องหลบตาด้วยล่ะ!!!”

            ผมนิ่งไปเมื่อไอ้ตุลขึ้นเสียงใส่ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนตรงหน้า ไอ้ตุลขมวดคิ้วมองผมเหมือนจะคาดคั้นคำตอบ

            “กูแค่…”

            “แค่อะไร” เพราะไอ้ตุลเซ้าซี้ มันเซ้าซี้ผมมากเกินไปจนทำให้ผมเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ

            “กูก็แค่หงุดหงิดตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมึงเลย!!!” จนในที่สุดผมก็ตะโกนมันออกไปจนได้

            ตุลาการดูมีท่าทีตกใจที่ผมตะโกนออกไปแบบนั้น ผมก้มหน้าพลางพยายามสงบอารมณ์ ทั้งๆที่เมื่อก่อนใครๆก็ว่าว่าผมเหมือนทะเล เป็นอะไรที่สงบนิ่งแต่พอมีพายุก็โหมกระหน่ำจนน่ากลัว แต่พอผมมาเจอไอ้ตุล ผมกลับกลายเป็นไต้ฝุ่น ที่ไม่ว่าเมื่อไรก็สามารถพัดพังทุกอย่างลงไป

            “กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงไม่ชอบโกโก้ กูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมึงสักอย่าง ไม่รู้เลยว่ามึงชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไรถ้าเนไม่บอก ถ้ากูไม่อ่านข้อความของมึงกับเน กูก็คงไม่รู้ว่ามึงชอบขนมปังหมูหยอง” เหมือนทุกอย่างที่อัดอั้นมันถูกปล่อยออกมาหมด

            ผมแหกปากโวยวายอยู่คนเดียวโดยไม่คิดจะมองหน้าไอ้ตุล

            “ทั้งๆที่มึงบอกว่ารักกู มึงคอยเอาใจใส่กู กูก็อยากตอบแทนมึงบ้าง แต่…”

            มือของตุลคว้าข้อมือของผมเอาไว้ทำให้ผมนิ่งไป

            แค่อยากจะทำอะไรให้มึงบ้าง

            แค่อยากจะรู้บ้างว่ามึงชอบอะไร

            กูผิดมากนักหรือไงวะ!

            “นิติ” เสียงทุ้มๆที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้ามองตุลาการ

            “ถ้าขืนยังทำตัวน่ารักไปมากกว่านี้ จะไม่ทนแล้วนะ

            “!!!”

             TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 18 Love is Knowing (06-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 06-11-2016 21:08:46
อย่าทนค่ะพี่ตุล :hao6:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 18 Love is Knowing (06-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 06-11-2016 21:33:59
นิติ อย่ากังวลไปเลยค่ะ มันก็แค่อาการปกติของความสัมพันธ์

พี่ตุลย์รีบๆสร้างความมั่นใจให้น้องเร็วๆเลย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 18 Love is Knowing (06-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 08-11-2016 20:21:41
นิติอย่ากังวลไปก่อนเลยนะ ความสัมพันธ์มันสร้างกันได้ ค่อยๆเรียนรู้กันไปดีกว่าเนาะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 18 Love is Knowing (06-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-11-2016 02:49:27
เพราะพี่ตุลย์ชอบละเมอถึงเนรึเปล่าถึงทำให้นิคิดมาก  :hao4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 18-11-2016 15:14:45
Chapter

19

 
 

            “ออกไปนะเว้ย!!!”

            ผมใช้เท้าของตัวเองยันไหล่ของคนตรงหน้าเอาไว้ แต่ตุลาการกลับกระชากขาผมแล้วแทรกตัวเข้ามาอย่างง่ายดายเหมือนกับปลอกกล้วยเข้าปาก

            นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!

            ก็พอหลังจากผมตะโกนบอกความในใจที่มันอัดอั้นมานั่นออกไป ไอ้ผู้ชายที่ทำตัวเหมือนหมาเข้าไปทุกวันก็ลากผมเข้าห้องนอนแล้วผลักผมลงบนเตียง

            “ก็อยากทำตัวน่ารักเอง”

            “น่ารักบ้าอะไรวะ!”

            ไอ้ตุลกดจูบลงบนริมฝีปากผม ครั้งนี้ไม่ได้จูบเบาๆ แต่จูบเหมือนกับครั้งที่เราสองคนจูบกันในห้องน้ำที่คอร์ทแบด จูบที่แทบกระชากวิญญาณผมออกจากร่าง ลิ้นร้อนๆที่ไล้ไปตามริมฝีปาก ลมหายใจร้อนๆแผดเผาร่างกายของผมจนแทบจะตัวลอย แต่สติยังคงชัดเจนว่าให้ผลักร่างตรงหน้าออกไป

            “ไอ้หมาบ้า ปล่อย!”

            “ถ้านิอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับผม ถามสิครับ” ไอ้ตุลว่า ผมนิ่งไป

            “เลิกเปิดข้อความของผมกับเน แล้วถามผมแทนสิ”

            “!!!”

            บรรยากาศภายในห้องเงียบไป ผมเงยหน้าสบตากับเจ้าของกลุ่มผมสีดำสนิทที่นุ่มนิ่มเหมือนขนแมว มีแต่คำถามเต็มหน้าผมไปหมด

            มันรู้ได้ยังไงว่าผมอ่านข้อความที่มันคุยกับเน

            “มึงรู้…”

            “ขนมปังหมูหยองที่ผมชอบ มันคงไม่ได้เหาะมาใช่มั้ยล่ะ”

            ผมทำได้แค่หุบปากเงียบแล้วเบือนสายตาหนีดวงตาเรียวๆของตุลาการ

            โดนจับได้แล้วไง

            มือของไอ้ตุลจับมือของผมเอาไว้แล้วยกขึ้นไปกดจูบเบาๆ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนมาจูบมือแบบนี้ จูบเบาๆแต่ทำให้ร้อนไปทั้งร่าง

            มันจะอ่อนโยนไปแล้ว

            มันจะอบอุ่นมากไปแล้ว

            “ผมจะบอกทุกอย่างที่นิอยากรู้ แค่นิถาม”

            “กูไม่ได้…” ผมกำลังจะพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจออกจากปาก ไอ้ตุลโผเข้ามากอดผมเอาไว้เล่นเอาพูดอะไรต่อไม่ออก คำพูดคำด่าคำที่จะตัดพ้อมันถูกกลืนเข้าไปในลำคอซะหมด

            “แค่นิบอกว่าอยากจะตอบแทนผม แค่นั้นผมก็ดีใจแล้ว”

            “มึงเลิกพูดผมกับครับซักทีได้มั้ย” ผมแยกเขี้ยวใส่ผู้ชายตรงหน้า เพราะไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาบ่นมาด่าเพื่อกลบเกลื่อนความร้อนบนใบหน้าเลยทำให้ผมขุดเรื่องที่ไม่น่าจะขุดขึ้นมาเป็นประเด็น ไอ้ตุลถอนกอดออกพลางเลิกคิ้วสงสัย

            “ทำไมล่ะครับ”

            “มันขนลุก!”

            “ปกติแล้วถ้าเป็นคนพิเศษ ผมจะพูดเพราะๆกับเขา”

            “…”

            กูเป็นคนพิเศษของมึงอย่างนั้นเหรอ…

            “ผมอยากให้นิจดจำแต่เรื่องดีๆของผม”

หยุดทำตัวแบบนี้ได้มั้ย

            จมูกโด่งๆของตุลกดลงที่แก้มผมเบาๆแล้วถอนออก มันยิ้มเผล่อย่างชอบใจ ผมยกมือขึ้นจะฟาดหัวคนที่เอาแต่คอยฉวยโอกาสจากร่างกายคนอื่นแต่ก็โดนคว้ามือไว้

            “เลิกอ่านข้อความของผมกับเนเถอะ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย”

            ไม่…

            ผมทำไม่ได้

            เมื่อก่อนผมอาจจะอ่านข้อความของเนเพราะคิดถึงเน แต่ไม่รู้เมื่อไรที่ผมอ่านข้อความของเน

            เพราะดันอยากรู้เรื่องของคนตรงหน้ามากขึ้น

            “ตอนนี้คนที่ผมรัก ไม่ใช่เน เนเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ดีของผมไปแล้ว”

            ผมเม้มริมฝีปากของตัวเองจนกลายเป็นเส้นตรง ปกติก็ไม่ใช่คนชอบพูดอะไรเจื้อยแจ้วอยู่แล้ว พอมาเจอคนอย่างไอ้ตุล ยิ่งทำให้ผมกลายเป็นใบ้ไปได้ง่ายๆเลย

            “ตอนนี้ … ผมรักผู้ชายที่ชื่อนิติ”

            ทำไม…

            ทำไมล่ะ

            “ทั้งๆที่กูไม่เคยคิดจะสนใจมึงเลย ทำไมถึงรักกูล่ะ” ผมยกแขนขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง ไอ้ตุลจับแขนผมพยายามจะดึงออกแต่ผมฝืนเอาไว้

            “การรักใครสักคน มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องรอเขามาสนใจนี่ครับ”

            “กูไม่เคยคิดจะรักมึงเลยนะ กูเกลียดมึงตั้งแต่เห็นหน้าด้วยซ้ำ”

            “ผมรอได้”

            “กูเคยสัญญาว่าจะไม่สนใจมึง เพราะมึงเป็นแฟนของเน แต่ทำไมมึงต้องทำแบบนี้วะ”

            “นิ…”

            “มันไม่ยุติธรรมเลย ทำไมมึงต้องคอยเอาแต่ไล่ตาม ไปไหนก็เรียก นิ นิ นิ ทั้งๆที่กูด่าว่ารำคาญ มึงก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้เลย”

            “นิครับ”

            “จากที่รำคาญ ตอนนี้ในหัว ดันมีแต่มึง”

            มืออุ่นๆของคนที่คร่อมร่างของผมอยู่แตะลงบนใบหน้าของผม เพียงแค่คำกระซิบเบาๆข้างหู มันก็ทำให้สติของผมหลุดลอยไปหมด จากที่เคยสัญญาว่าจะไม่แตะต้องผู้ชายตรงหน้า จากที่เคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยุ่งกับแฟนของน้องชาย

            ผมทำไม่ได้อีกแล้ว

            “ผมรักนินะ”

            “มึงมันนิสัยไม่ดี”

            “ผมรักนิมากๆ”

            “ไอ้ขี้โกง”

            “ขอบคุณ ที่เข้ามาตอนที่ผมไม่เหลือใคร”

            “มึงมันแย่ที่สุด”

            “ขอบคุณนะครับ”

            ผมไม่เคยแพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร

            แต่วันนี้ ผมกลับแพ้คนตรงหน้า ผมแพ้ผู้ชายที่ชื่อตุลาการอย่างราบคาบเลย

 

 

            ‘ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ’

            เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากเตียงพลางปรายตามองเจ้าของกลุ่มผมสีดำสนิทเหมือนขนแมวที่ซุกหน้าอยู่ที่เอวผม สายตาค่อยๆปรับให้ชินกับความมืดภายในห้อง ผ้าม่านที่ถูกปิดอยู่กันแสงได้ดีถึงขนาดที่ว่านี่แปดโมงกว่าแล้วยังไม่มีแสงเล็ดลอดเข้ามา

            ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ช่วงล่างกับสะโพกทำให้ผมต้องหยีตาแล้วค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น ผมมองไอ้ตุลที่หลับสนิทเหมือนกับว่าเป็นครั้งแรกที่มันหลับสนิทขนาดนี้พลางถอนหายใจแล้ววางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่มนั่น

            คอที่แห้งผากทำให้ผมต้องควานหาขวดน้ำที่หัวเตียงแต่กลับไม่พบซักขวด ผมเลยจับหัวของไอ้ตุลไปนอนที่หมอนดีๆพลางลุกจากเตียง เข้าห้องน้ำจัดการตัวเองแล้วสวมกางเกงเดินไปหาน้ำกินที่ห้องครัว

            สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวทำให้ผมต้องยืนกำขอบอ่างล้างจานจนแทบจะบีบมันให้แตก

            เมื่อคืนผมพลาดท่าให้ไอ้ตุลไปจริงๆ แต่เพราะความกากของไอ้ตุล ผมต้องคอยบอกมันทุกอย่าง แถมไอ้ตุลที่ทำตัวเหมือนสัตว์ยังล่อซะจนเอวผมแทบเคล็ด คอผมถึงได้แห้งขนาดนี้ไง แถมอีกอย่าง ระหว่างที่ทำเรื่องแบบนั้นกันอยู่ ไอ้ตุลก็ร่ายสาธยายเรื่องชีวิตของมันให้ผมฟังทั้งหมด ตั้งแต่ว่ามันเกิดวันไหน เลือดกรุ๊ปอะไร ชื่อจริงนามสกุลอะไร ชอบกินอะไร ไม่ชอบอะไร ชอบสัตว์อะไร พ่อแม่อยู่ไหน พี่ชายชื่ออะไร ชอบทำอะไร มันบอกผมหมด แต่ทุกอย่างนั่นกลับเลือนไปเพราะสติของผมมันขาวโพลนไปหมด ... แย่ แย่มากๆเลย

            บ้าฉิบ

            มึงมันไอ้คนเห็นแก่ตัว

            ผมเดินกระเผลกกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งเพราะร่างกายล้าจนแทบจะล้ม แต่กลับชะงักไปเมื่อคนที่นอนอยู่บนเตียงพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

            “อือ เน …”

            ไอ้ตุลนอนละเมออีกแล้ว แล้วก็พูดชื่อของเนเหมือนทุกครั้ง ผมรู้ว่ามันเป็นฝันร้ายที่ต้องสูญเสียคนรักไป เนยังอยู่ในความทรงจำของไอ้ตุลลึกๆ แต่ผมเองก็เป็นคนอนุญาตให้ไอ้ตุลเข้าใกล้จนความสัมพันธ์เปลี่ยนจากคนรู้จัก เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

            ผมเป็นคนอนุญาตให้มันเข้ามาทำให้หัวใจผมปั่นป่วนเอง ทั้งๆที่เพียงแค่ดีดนิ้วผมก็สามารถดีดมันปลิวไปได้แล้วถ้าใจผมไม่ได้ต้องการจริงๆ

            ผมไม่ควรจะมาน้อยใจเพราะเรื่องแค่นี้เลยจริงๆในเมื่อผมเองที่ไม่ยอมผลักไสมันออกไป

            ขาสองข้างของผมเปลี่ยนจากการที่จะเดินไปซุกตัวลงบนที่นอน ไปหยิบเสื้อที่กองอยู่ที่พื้นขึ้นมาแทน ผมสวมเสื้อและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะคว้าโทรศัพท์ทั้งของเนและของผมออกจากห้องไอ้ตุลไป

            ตอนนี้ผมแค่อยากปรึกษาใครสักคน

            คนที่ปรึกษาแล้วจะไม่โวยวายจนบ้านพัง หรือด่าว่าผมโง่มากที่ยอมมีอะไรกับไอ้ตุล

            สุดท้ายผมเลยมาหยุดลงที่หน้าบ้านไอ้ธาม

            ผมโทรเข้ามือถือไอ้ธาม เจ้าตัวรับโดยไม่ต้องรอเลยด้วยซ้ำ ไอ้ธามวิ่งออกมาจากบ้านแล้วเดินเข้ามาหาผมที่มีท่าทีไม่ค่อยสู้ดีนัก ก็โดนจัดหนักมาจนแทบจะไม่ได้นอน ทำให้สภาพผมสโลสเลเหมือนคนใกล้ล้มอยู่ตลอดเวลา

            “ปกติมึงจะไปหาไอ้เจลไม่ใช่เหรอ หรือเพราะกลัวน้องมันจะยุ่มย่ามถึงได้มาหากู” ไอ้ธามตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยใจพลางวางแก้วน้ำลงตรงหน้าผม

            ก็จริงที่ปกติผมเลือกจะไปหาเจล เพราะไอ้เจลมันพึ่งพาได้ทุกเรื่องแถมยังไม่เคยโกรธผมจริงจังสักครั้ง แล้วก็จริงที่ผมไม่ชอบน้องไอ้เจลเพราะน้องไอ้เจลมันเป็นไบ ที่สำคัญมันเจ้าเล่ห์ ดูยังไงก็เป็นเพลย์บอย แต่ที่น่าขนลุกที่สุดคือ

            ไอ้ไนเจลเคยบอกผมว่า ผมอ่ะเป็นสเปคไอ้เดล

            จริงๆผมไม่ค่อยแคร์หรอก แต่ถ้าคุณได้เจอไอ้เดล ผมว่าจากไม่แคร์มันก็ต้องแคร์บ้างล่ะ

            ถ้าไอ้เจลไม่อยู่บ้านแล้วปล่อยผมอยู่กับไอ้เดลสองต่อสองปุ๊บ อย่างแรกที่มันจะทำคือมอมยาแล้วลากผมขึ้นเตียง พอผมตื่นขึ้นมามันก็ยิ้มใส่แล้วบอกว่า พี่เป็นของผมแล้วนะ แต่ขอโทษที ผมไม่คิดจะจริงจังอะไรกับพี่เลยสักนิด

            “อือ คงงั้น” ผมตอบไปตามตรง

            ไอ้ธามนั่งลงตรงหน้าผม มันใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นเหมือนเพิ่งจะตื่นนอนเพราะนี่เพิ่งจะแปดโมงกว่าๆ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กนอกอย่างไอ้ธามก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมบุกมาที่บ้านมันแต่เช้า

             “ว่าไง อะไรทำให้มึงตาบวมฉึ่งขนาดนี้” ไอ้ธามถาม ผมหลบตามันนิดๆแค่นั้นก็พอให้คนตรงหน้าจับพิรุธได้

            “ไอ้ตุลทำอะไรมึงงั้นเหรอ”

            นั่นแหละ ที่อยากจะบอก

            ผมพยักหน้านิดๆ ไอ้ธามเริ่มจะขมวดคิ้ว

            หวังว่าการที่ผมมาหาธาม จะไม่ได้คิดผิดหรอกนะ…

            “กูมีอะไรกับมันแล้ว”

            ‘พรวด’

            ไอ้ธามพ่นน้ำที่กำลังกินใส่หน้าผมเต็มๆจนผมต้องหลับตาแล้วทำหน้าเอือมใส่มัน ไอ้ธามรีบปราดเข้ามาใช้ชายเสื้อของมันเช็ดหน้าของผมให้ ผมได้แต่นั่งหน้านิ่งอยู่เฉยๆ

            บางทีผมอาจจะคิดผิดก็ได้

            “ได้ไงวะ มันขืนใจมึงเหรอ มันปล้ำมึงหรือเปล่า!” ไอ้ธามขึ้นเสียง ผมฟาดกบาลมันไปฉาดใหญ่ เจ้าตัวกุมหัวพลางร้องโอดโอย

            “ที่กูมาหามึง ไม่ใช่ให้มึงมาโวยวายเหมือนไอ้เจลนะ” ผมว่า ไอ้ธามทำหน้าสำนึกผิด

            “เปล่ากูแค่สงสัย ปกติมึงไม่ใช่คนที่แบบป้องกันตัวเองไม่ได้ … หรือว่า …” คนตรงหน้าทำหน้าเหมือนคิดอะไรออก และดูเหมือนความคิดนั่นจะถูกซะด้วย

            “อือ กูยอมมัน”

            “นิ…”

            “กูแค่จะมาคุยกับมึง กูแค่ … อึดอัดเฉยๆ” ไอ้ธามนั่งลงข้างๆผมแล้วตั้งใจฟัง

            “ไอ้ตุลมันเพ้อเรียกชื่อเนตลอดเวลานอน พอเวลากูได้ยิน มันไม่ใช่ว่ากูโกรธ แต่กูดันไปอิจฉาน้องชายตัวเองที่ทำให้ไอ้ตุลเพ้อถึงได้ทั้งๆที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

            ผมบ่นอุบ ตอนนี้ทุกอย่างผมไปลงที่เนมันหมดแล้ว มึงมันผิดที่สุด ไอ้ธามทำหน้าอึ้งๆ ก่อนจะอมยิ้มออกมานิดๆ

            “ยิ้มทำซากอะไร”

            “กูเพิ่งเคยเห็นมึงพูดมากก็วันนี้แหละ”

            “อยากตายหรือไง” ไอ้ธามยกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้ มันขยี้หัวผมเหมือนทุกครั้ง

            “น้อยใจแบบนี้ แสดงว่าชอบไอ้นั่นขั้นสุดละดิ”

            “กูเปล่า!!!”

            “ปากแข็ง” พอโดนตอกกลับเท่านั้นแหละ ผมไปไม่ถูกเลยได้แต่นั่งบ่นอุบอิบเงียบๆคนเดียว

            “ถ้ามึงชอบไอ้ตุล เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ประเด็นหรอก ไอ้ตุลน่ะดูยังไงก็ไม่เหมือนคนอย่างกู หรือไอ้เจล มันเป็นคนที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าซื่อตรงขนาดไหน”

            ผมมองไอ้ธามแล้วคิดตาม

            มันก็จริง

            เป็นคนที่ อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากพูดอะไรก็พูด อยากถามอะไรก็ถาม ไม่เคยคิดจะสนใจกาลเทศะ

            “มันละเมอนี่ ไม่ได้เรียกชื่อเนตอนมีอะไรกับมึงไม่ใช่เหรอ” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้ธาม มันหัวเราะ

            “กูขอถามข้อนึงนะนิ ตอบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่เก็บเอาไว้คนเดียว” ไอ้ธามมีสีหน้าจริงจัง เพราะแบบนี้แหละผมจึงเลือกที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับไอ้ธาม

            มันมีความเป็นผู้ใหญ่สูงกว่าไอ้เจลอยู่

            “มึงทนได้เหรอวะที่ต้องนั่งฟังคนที่รักคอยพูดชื่อของอีกคนตลอดเวลาน่ะ”

            ทนเหรอ กูมันถึกอยู่แล้ว

            ถ้าไม่ทนจะให้กูทำไง

            ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้วนี่

            รักอย่างนั้นเหรอ…

            ผมรักตุลจริงๆอย่างนั้นเหรอ…

            “ถ้ามึงทนไม่ไหว ก็ไม่ต้องทนเพราะยังไงไอ้ตุลก็คงจะต้องละเมอเรียกเนต่อไปเรื่อยๆ มึงห้ามอะไรไม่ได้ แต่ถ้าทนไหว กูก็มีอีกทางเลือกให้มึง”

            ผมมองไอ้ธามด้วยความตั้งใจ มันยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนทุกครั้งเวลาคิดแผนอะไรออก

            “ก็ทำให้มันละเมอเรียกชื่อมึงแทนสิ”

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 18-11-2016 16:34:53
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน
หลงรักคนปากแข็งอย่างนิเข้าแล้ว
เห็นด้วยกับธามค่ะ ถ้าทนไม่ได้ที่ตุลเรียกชื่อเน ก็ต้องให้เปลี่ยนมาเรียกนิแทนเนอะ 555
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-11-2016 16:53:24
แนะนำได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 18-11-2016 17:59:09
เป็นคำแนะนำที่ตรงกับใจจิงๆ 555555
(แต่เค้าได้กันแล้วอ่ะ กรี๊ด!!!!)
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-11-2016 18:45:19
เพิ่งเจอเรื่องนี้ สนุกอะ ชอบมากกกกกกกกกก
ของคุณที่อัพให้อ่านนะค่ะ

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 18-11-2016 19:46:04
ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไอ้พี่ตุลย์ เอาจนได้สินะ แต่ทำอะไรไม่เป็นจนต้องน้องบอกเนี่ยะ เอิ่ม :ruready :ruready

คนนึงก็ซื่อ คนนึงก็คิดมากแต่ปากแข็ง เฮ้อออออ ความรัก

นิติอุดปากพี่ตุลย์ตอนนอนเอาไว้เลย ถ้าเป็นเรา เราก็น้อยใจนะ ละเมอชื่อคนอื่น แม้จะเป็นน้องแต่ก็ถือว่าเป็นคนอื่นในความสัมพันธ์อยุ่ดี
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-11-2016 22:25:16
เป็นเราก็น้อยใจนะ นอนอยู่กับเราแต่ละเมอถึงคนอื่น :katai1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-11-2016 02:18:35
ดีต่อใจ >< เขินเเทนนิ เเต่ก็หน่วงเเทนนิเช่นกัน
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 19-11-2016 12:05:09
ติดตามอ่านต่อไปค่ะ เพิ่งมาอ่านครั้งแรก

ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 19-11-2016 17:52:50
สงสารนิแฮะ เข้าใจตุลนะมันเป็นอะไรที่แสดงให้เห็นว่า ลึกๆก็มีเนอยู่ในใจมากกว่านิ ฮืออ เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 19-11-2016 19:07:50
แนะนำได้ดี แต่ว่ามันบังคับกันได้ด้วยเรอะ 55+
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 21-11-2016 18:22:19
Chapter
20


 

            แล้วจะทำวิธีไหนวะ!?

            นั่นคือคำถามที่ผมถามไอ้ธามไป แต่คำตอบที่ได้กลับมา ล้วนเป็นคำตอบที่ทำให้ผมคันไม้คันมืออยากจะเดินไปหยิบน้ำมันมาราดใส่บ้านแล้วจุดไฟเผาบ้านไอ้ธามซะ

            ผมคงคิดผิดจริงๆที่มาถามไอ้ผู้ชายบ้ากามเจนโลกแบบมัน

            น่าขยะแขยงเป็นบ้าแต่ละวิธี

            ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ผมดันมานั่งกุมขมับอยู่ที่บันไดหน้าตึกคณะอักษรสรรหาวิธีที่จะให้ไอ้ตุลเรียกชื่อผมแทนเรียกชื่อเน

            ฝันเหรอไอ้นิ ตุลมันคบกับเนมากี่ปี มึงเพิ่งเข้ามาในชีวิตมันไม่กี่วันจะให้มันเรียกชื่อมึงน่ะเหรอ

            อย่ามโนเลย

            “หือ อ้าวพี่นิ” เสียงทุ้มๆที่ดังขึ้นด้านหน้าทำให้ผมเงยหน้าจากเท้าของตัวเองไปสบตากับเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อน พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นแหละ ผมก็โกยอ้าวชนิดที่เรียกว่าไฟลนตูด

            นี่ขนาดไม่ไปที่บ้าน ยังมาเจอมันที่มหา’ลัย ไม่ต้องเดาก็รู้ มันมารอไอ้เจล แล้วถ้าถามว่ามันมาได้ไง ไอ้เด็กม.ปลาย นานาชาติตัวแสบที่มาพักร้อนที่บ้านไอ้เจลจะตอบว่า

            แหม บังเอิญน่ะ

            แต่จริงๆแล้วมันตั้งใจมาหาผมแน่นอน

            คนตรงหน้าผมชื่อ เดล ญาติห่างๆของไอ้ไนเจล มีฉายาว่าเด็กนรก

            “เฮ้ยๆ! อะไรวะ เห็นหน้าก็หนีกันซะงั้น” มือซุกซนของไอ้เดลคว้าคอเสื้อของผมเอาไว้ เป็นแค่เด็กม.ปลายแท้ๆ แต่เพราะตัวสูงโย่งเหมือนเสาไฟฟ้าพอๆกับญาติของมัน เลยทำให้พอมายืนข้างไอ้เดลผมนั่นแหละที่กลายเป็นเด็กม.ปลาย

            “กูมีธุระ” ผมว่า ไอ้เจ้าของหัวทองๆแถมยังเจาะหูสามสี่รูยิ้มร่าใส่ผม นิ้วเรียวๆของไอ้เดลสัมผัสลงบนคอของผมก่อนจะทำหน้าเหมือนกับตื่นตูม

            “อะไรเนี่ย”

            ไอ้เดลกระชากผมเข้าไปหามัน ก่อนจะดึงคอเสื้อผมเปิดออก

            “ถ้ามึงไม่หยุดลวนลามกู กูจะบอกไอ้เจลจริงๆนะ” ผมขู่ ไอ้เดลไม่สะทกสะท้านสักนิด

            “ก็บอกไปดิ แต่ตอนนี้ผมสนใจพี่มากกว่า ใครทำคิสมาร์คกับพี่เนี่ย แอบมีกิ๊กแล้วไม่บอกผมเหรอ”

            “ห้ะ”

            “ก็นี่ไง คิสมาร์ค แหม กลับจากปารีสก็เร่าร้อนเชียวนะพี่นิ”

            ‘ผั่วะ’

            ผมฟาดกบาลไอ้เดลจนมันหัวทิ่มก่อนจะเดินไปหยุดที่กระจกบานใหญ่ใต้ตึกเรียนแล้วมองดูคอตัวเองในกระจก ผมขมวดคิ้วแล้วมองรอยบนคอที่ช้ำจนเกือบจะกลายเป็นสีม่วงพลางลูบมันเบาๆ

            อะไรวะเนี่ย

            ก่อนภาพๆหนึ่งจะแวบขึ้นมาในหัว

            ‘โอ้ยไอ้หมาบ้า กัดทำซากอะไรวะ’

            ‘ก็มันหมั่นเขี้ยว’

            ‘ก็ไปกัดอย่างอื่น อย่ามากัดคนอื่นซี้ซั๊วะ’

            ‘ไม่ใช่คนอื่นซะหน่อย คนรักต่างหาก’

            ฉ่า…

            เหมือนมีเสียงผัดผักบุ้งไฟแดงดังขึ้นข้างหู ไอ้ตุลมันกัดผมแรงขนาดนี้เลยเหรอวะ รอยชัดขนาดนี้ ดีนะที่ไม่ได้ปลดกระดุมคอเสื้อตั้งแต่แรก ไม่งั้นล่ะมึงไอ้นิ โดนมองเป็นเพนกวินในตู้กระจกแน่

            “จะบอกได้ยัง ว่าใครทำ” ไอ้เดลกอดอกยืนทำหน้าบึ้งอยู่ด้านหลัง ผมมองมันผ่านกระจกพลางแลบลิ้นใส่

            “เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านดิ”

            “อยากยุ่ง แล้วอีกอย่าง พี่นิของผมคนเดียว ห้ามใครแตะ”

            ผมกำลังจะเดินเข้าไปสั่งสอนไอ้เด็กปากเสีย แต่เพราะใครอีกคนที่ไม่รู้ว่ามายืนด้านหลังไอ้เดลตั้งแต่เมื่อไรยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่

            ตุลมันนิ่งอยู่แบบนั้น สีหน้าบึ้งตึงแบบนั้นคงได้ยินที่ไอ้เดลพูดเข้าไปเต็มสองรูหู

            จู่ๆไอ้ตุลก็ก้มหน้าแล้วเดินหันหลังกลับไป ผมถลึงตาใส่คนที่เดินจ้ำอ้าวกลับไปก่อนจะรีบเดินตามไป รู้อยู่ว่ามันเป็นคนคิดมาก ขืนปล่อยไว้ไอ้ตุลต้อง…

            ผมชะงักอยู่กับที่เมื่อไอ้เดลคว้าแขนผมเอาไว้ ต่อให้มันไม่คว้า ผมก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่กับที่

            นี่ผม … แคร์ความรู้สึกของตุลาการขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

            ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่ผม … เดินตามคนอื่น

            “จะไปไหน ยังไม่ได้สะสางเรื่องที่ค้างคาเลยนะ” ไอ้เดลว่า ผมสะบัดมือมันแล้วมองมันนิ่งๆ

            ผมเริ่มจะหงุดหงิดมากๆแล้วจริงๆ

            “พี่นิ…” เมื่อไอ้เดลเห็นว่าผมไม่เล่น มันเลยปล่อยแขนผมเป็นอิสระ

            ผมหันกลับหลังแล้ววิ่งตามไอ้ตุลออกไป ทั้งๆที่ฝนเริ่มจะซาลงมาแต่ผมก็ไม่ได้หาที่หลบฝน หันซ้ายหันขวาอยู่นานสองนานผมก็ไม่เห็นไอ้ตุลแล้ว มันเดินไปไหนของมันวะ

            ไอ้บ้าขี้แยนั่น ป่านนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้

            ฝนที่ตกลงมาเหมือนพระเจ้าลงโทษทำให้โทรศัพท์ของผมสองเครื่องที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงพังไม่เป็นท่า แถมกระเป๋าก็ยังเปียกแฉะไปหมด รถเมล์หรือแท็กซี่ก็ไม่โผล่หัวมาสักคัน สองแถวก็ไม่มี ทีตอนเวลาไม่อยากเรียกล่ะมากันจังเลย สุดท้ายผมก็ต้องเข้าไปหลบฝนที่ตู้โทรศัพท์ด้านหลังมหา’ลัย

            ตกอะไรขนาดนี้วะ แบบนี้จากที่จะเดินหาไอ้ตุลต่อ กลายเป็นว่าผมต้องมาง่อยอยู่กับที่

            สภาพแบบนี้ ไอ้ตุลคงเปียกพอๆกับผมแน่นอน

            มันจะกลับห้องไปแล้วหรือยังนะ หรือว่าไปมุดอยู่ที่ไหนในมหา’ลัย

            ร้องไห้หรือเปล่า

            เป็นอะไรไหม

            คิดมากหรือเปล่า

            ผมทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วคุยกับเนทางโทรจิต

            สั่งให้เทวดาหยุดฉี่แตกเป็นเขื่อนซะที ไอ้น้องบ้า!

            ไม่รู้หรือไงว่ากูเป็นห่วงแฟนมึงเนี่ย

            …

            ห่วงงั้นเหรอ

            นั่นสินะ

            อือ ผมเป็นห่วงไอ้หมาบ้านั่น ผมเป็นห่วงไอ้ตุลจริงๆ

            ผมควักเหรียญห้าบาทในกระเป๋าก่อนจะยืนนิ่งอยู่ที่หน้าโทรศัพท์ในตู้ โทรศัพท์มือถือสองเครื่องดับอนาถไปแล้ว สาบานได้ว่ากลับจากปารีสผมเปลี่ยนโทรศัพท์มากกว่าเปลี่ยนกางเกงใน แล้วตอนนี้ที่น่าหนักใจที่สุดคือ

            ดันจำเบอร์ไอ้ตุลไม่ได้

            โถ่เว้ย แล้วแบบนี้น่ะเหรอจะมีปัญญาทำให้ตุลเรียกชื่อมึงตอนมันหลับได้

            ฝันเหอะไอ้นิติ

            ยืนอยู่เกือบสองชั่วโมง ฝนก็ยังไม่หยุดตกแถมยังตกหนักกว่าเดิมอีก ผมได้แต่นั่งกอดตัวเองอยู่ในตู้กระจกที่ถูกเกาะด้วยคราบน้ำฝนจนมองไม่เห็นอะไรด้านนอก ไปไหนก็ไปไม่ได้เพราะมองไม่เห็นทาง ในใจก็เป็นห่วงคนที่ชอบคิดมาก อยากจะอธิบาย อยากจะบอกว่าไม่มีอะไร

            แต่ทิฐิในตัวเองกลับสูงลิ่วยิ่งกว่าอะไร

            ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ไอ้ตุลคงไม่คิดมากหรอก ผมไม่ได้เล่นด้วยกับไอ้เดลนี่

            ไอ้ตุลคงรู้แหละ มันคงไม่โง่มั้ง

            “โอ้ย” สุดท้ายก็ทำได้แค่แหกปากออกมาแล้วกอดเข่าเอาไว้พลางซุกหน้าลงบนเข่า

            ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้จริงๆ

            กว่าฝนจะหยุดตกก็มืดพอดี ผมเดินย่ำน้ำแฉะๆที่ท่วมเกือบถึงฟุตบาทถนนไปขึ้นรถสองแถวก่อนจะไปลงที่คอนโดของไอ้ตุล ผมเดินลากตัวที่หนักมวลน้ำของตัวเองไปยืนอยู่หน้าห้องของตุลาการพลางแตะคีย์การ์ดลงบนประตูแล้วผลักเข้าไป

            ไฟที่ปิดมืดบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง แถมรองเท้าไอ้ตุลก็ไม่มี

            มันยังไม่กลับ…

            ผมลากสังขารของตัวเองเข้าไปในห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ริมกำแพงข้างห้องน้ำ

            มันโกรธผมเหรอ

            มีเพียงคำนี้คำเดียวที่ดังชัดในหัว ผมนั่งอยู่กับที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน ทั้งหนาวทั้งเปียกแต่ก็ไม่มีแรงจะลุกยืนเลยสักนิด

            ทั้งๆที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด

            ทำไมวะ ทำไมมันถึงไม่กลับห้อง

            ผิดเหรอที่กูจำเบอร์โทรศัพท์มึงไม่ได้ ผิดเหรอที่กูไม่วิ่งไปคว้ามึงให้เร็วกว่านี้

            … มึงโกรธกูเหรอ ตุล …

            ผมนั่งรอจนนาฬิกาบ่งบอกเวลาตีสองครึ่ง นั่งอยู่นิ่งๆแบบนั้นจนตัวเกือบแห้งแต่ก็ยังชื้นอยู่ ประตูห้องที่ปิดสนิทมานานถูกเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างด้านนอกนั่นที่สาดเข้ามา ผู้ชายที่ผมตามหามาตั้งแต่ตอนเย็นยืนเบิกตากว้างอยู่หน้าห้องราวกับตกใจ

            ไอ้ตุลเปียกก็จริง แต่ไม่เปียกโชกแบบผม

            มันไม่ได้ไปกระโดดน้ำตายที่ไหน มันยังยืนอยู่ตรงนี้

            โล่งอกจัง

            “นิ…”

             เจ้าของห้องเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าผม ฝ่ามืออุ่นๆของไอ้ตุลที่แตะลงบนใบหน้าของผมทำให้จากที่หนาวๆกลับอบอุ่น เจ้าตัวมีสีหน้าตกใจที่ผมเปียกแฉะขนาดนี้

            “ทำไมไม่อาบน้ำ เดี๋ยวก็เป็นหวะ…!”

            ผมกระชากคอเสื้อของผู้ชายตรงหน้าเข้ามาก่อนจะกดริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากของอีกคน คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับร้องเหวอในลำคอ ผมไม่รอให้ไอ้ตุลได้หายใจก็ผลักมันลงไปนอนที่พื้น ก่อนที่ผมจะนั่งคร่อมร่างของผู้ชายที่ทำให้ผมเป็นบ้าอยู่ตอนนี้

            พอริมฝีปากของไอ้ตุลเป็นอิสระ มันก็คว้าแขนของผมทั้งสองข้างเอาไว้ ไอ้ตุลทำหน้าตกใจนิดๆก่อนมันจะยื่นมือมาแตะที่แก้มของผม

            “ร้องไห้ทำไม” ผมชะงักไป ฝ่ามืออุ่นๆที่สัมผัสและไล่ไปตามใบหน้าของผมทำให้ผมร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

            ทั้งๆที่ผมไม่เคยร้องไห้ให้ใคร

            ทำไม… ทำไมต้องเป็นมันวะ

            ทำไมต้องเอาหินมาถ่วงหัวใจกูไว้ด้วย

            “นิครับ” ไอ้ตุลพยายามดันตัวขึ้นมานั่ง แต่ผมใช้มือกดร่างมันเอาไว้

            “มึงมันไม่ยุติธรรม มึงมันนิสัยไม่ดี”

            “นิ…”

            “กูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมกูถึงต้องกลัวมึงโกรธ กูไม่ได้สนใจไอ้เดลด้วยซ้ำ แล้วทำไมกูต้องวิ่งตามหามึง ทำไมกูต้องตามมึงด้วย มึงมีดีอะไรงั้นเหรอ!!” ผมตะคอกเสียงดัง

            “…”
           
            “มึงมันแย่ จะให้กูพูดกี่ครั้งว่ามึงมันแย่”

            “…”

            “ทำไมกูต้องชอบมึงขนาดนี้ด้วยวะ” ผมสะอื้นเสียงแผ่ว ไอ้ตุลคว้าผมลงไปกอดเอาไว้

            ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของผู้ชายที่ผมบอกชอบออกไป มีเพียงแค่อ้อมกอดที่อุ่นซะจนทำให้ผมลืมไปสนิทว่าตัวผมเปียกแฉะอยู่ ฝ่ามืออุ่นๆ กลุ่มผมนุ่มๆ อ้อมกอดกว้างๆของมัน

            “อย่าโกรธกูนะ” ผมกระซิบข้างหูไอ้ตุล มันหัวเราะในลำคอนิดๆ

            “โกรธลงที่ไหนล่ะ”

            ไอ้ตุลพาผมมาแช่น้ำอุ่นหลังจากที่ผมกอดมันซะจนตัวมันเปียกไปด้วย เจ้าของห้องนั่งหย่อนขาอยู่ที่อ่างอาบน้ำให้ผมพิงขามัน ส่วนผมนอนแช่ฟองสบู่อยู่ ไอ้ตุลสระผมให้ผมเหมือนเด็กๆ

            “ทำไมนิถึงกลัวว่าผมจะโกรธล่ะ” คนขี้สงสัยถามขึ้น ผมเงยหน้ามองผู้ชายที่เคยกุมหัวใจน้องชายฝาแฝดของผมเอาไว้ แล้วตอนนี้มันก็กุมหัวใจของผมด้วยอีกคน

            “ก็มึงชอบคิดมาก”
           
            “ก็จริงที่ผมเป็นคนคิดมาก แต่ผมไม่เคยโกรธนินะครับ ถึงบางครั้งนิจะทำตัวไม่มีเหตุผลไปบ้าง” ผมถลึงตาใส่ไอ้ตุล มันยกมือสองข้างขึ้นขอสงบศึกเหมือนทุกครั้ง

            อยากตายมากนักหรือไง

            “แล้วทำไมมึงต้องเดินหนีด้วยล่ะ”

            “ก็ … คนมันหวง” ไอ้ตุลเบือนหน้าหนี ผมที่กำลังเงยหน้ามองมันเลยแอบเห็นว่าหูมันแดงๆ

            ห่ะๆ เขินเป็นกับเขาด้วยหรือไง

            “กลัวว่าถ้าเข้าไปตอนนั้น ผมจะทำตัวให้นิไม่ชอบเอาได้ เลยคิดว่าเดินหนีดีกว่า”

            “อ๋อ งั้นเองเหรอ”

            ผมมองไปที่ฟองสบู่ในอ่างน้ำพลางมองเป็ดยางที่ลอยผ่านหน้าไป บางที คนที่คิดมากไม่ใช่ไอ้ตุลหรอก แต่เป็นผมเนี่ยแหละ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตุลาการอีกครั้ง พลางขยับปากพูดในสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือเปล่า

            “กูเรียกมึงว่าพ่อเป็ดได้มั้ย”

            ไอ้ตุลหันกลับมาสบตากับผม พลางจ้องหน้าผม ผมหลบตามัน

            นั่นสินะ เนเรียกได้คนเดียวอยู่แล้ว

            “เลิกเปิดอ่านข้อความของผมกับเนเถอะครับ แล้วพ่อเป็ดนั่นน่ะเนก็เป็นคนตั้ง”

            ผมได้แต่นั่งหุบปากเงียบๆ ก่อนแขนหนักๆของไอ้ตุลจะโอบรอบคอของผมเอาไว้ มันก้มลงมาวางคางของมันไว้ที่ไหล่ของผม

            “ถ้านิอยากเรียก ก็ตั้งชื่อผมเองซะเลยสิครับ”

            “!!!”

            ตอนแรกผมก็ว่าน้ำมันออกจะเย็นอยู่หรอก แต่พอไอ้ตุลพูดแบบนั้นออกมา ผมว่าน้ำนี่มันชักจะร้อนเกินไปแล้ว ผมทำได้แค่นั่งนิ่งๆพลางเหลือบตามองคนที่ถูไถอยู่ข้างๆแก้ม

            “แน่ใจนะ” ผมถามไอ้ตุล มันร้องฮืมในลำคอเหมือนกับตกลงให้ผมตั้งชื่อมัน

            ในใจจริงๆตัวผมแทบจะลอยติดเพดานห้องแล้ว แต่เพราะต้องรักษาฟอร์ม ผมเลยทำได้เพียงแค่กระเถิบตัวลงไปในน้ำจนน้ำถึงคาง ซ่อนความเขินอายเอาไว้ใต้ฟองสบู่

            ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร ผมไม่ใช่คนแบบเนที่ชอบตั้งชื่อของๆตัวเองไปซะหมดทุกอย่าง

            แต่ว่าไอ้ตุล มันเหมาะกับชื่อนี้ที่สุดแล้ว

            “มึงมัน ไอ้ลูกหมาชัดๆ”

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-11-2016 18:48:49
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-11-2016 20:42:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 21-11-2016 20:48:45
ว้ายๆๆๆๆ ไอ้ลูกหมา เค้ามีชื่อพิเศษกันแล้วว

แต่ทำไมเรารู้สึกหวานปนหน่วง อ่านไประแวงไปว่านิติจะหันหลังให้ความรัก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 21-11-2016 21:09:29
เขินนนน
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 21-11-2016 22:27:15
ทำน้องนิคิดมากได้นี้สุดยอดดดดอิอิ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-11-2016 23:21:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Care (21-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-11-2016 18:05:37
 o13
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 19 Love is Trying (18-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 27-11-2016 21:17:46
หึหึหึ รอความแซ่บค่ะ 5655
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 21 Love is Trust (28-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 28-11-2016 22:14:50
Chapter
21



            “ไอ้แห้ง!!!”

            เสียงดังๆที่ตะโกนมาก่อนจะเห็นตัวไม่ได้ทำให้ผมหยุดเดินไปตามทาง ช่วงนี้มันช่วงสอบ ผมกับไอ้ตุลต่างคนต่างก็อ่านหนังสือกันเป็นบ้าเป็นหลัง ไอ้ตุลใกล้จะเรียนจบแล้ว ซึ่งผมไม่ได้ถามว่าหลังจากเรียนจบแล้วมันจะทำอะไร จะไปสอบทนาย หรือเรียนต่อมั้ย

            ผมแค่พยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด

            นั่นคือสิ่งที่ผมเริ่มต้นจะคิดได้

            “กูเรียกทำเมินนะ!!!”

            ไอ้เจลเดินมากางแขนกางขากั้นผมไม่ให้เดินหนีมัน ผมเหลือบตามองมันนิดๆก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไอ้เจลรีบเดินตามผมต้อยๆ

            “เมื่อวานกูกลับจากค่าย ไอ้เดลมาเล่าให้ฟังว่าพี่นินอกใจมัน มีคิสมาร์คที่คอด้วย” พอได้ยินแบบนั้น ผมก็รีบสาวเท้าไวขึ้นไปอีก จากเดินธรรมดา กลายเป็นว่าตอนนี้ผมวิ่งหนีไอ้จรัส บราวน์ ไปเรียบร้อย

            “มึงมีอะไรกับมันแล้วจริงๆใช่ม้ายยยย!!!”

            “จะตะโกนทำซากอะไรวะหา!!!”

            “ฮือ แห้งของกู ของๆกูทะนุถนอมมาตั้งนาน ไอ้หน้าปลาบู่นั่นมันต้องชดใช้!!!”

            นี่แหละคือสาเหตุที่ผมเลือกปรึกษาไอ้ธาม เพราะผมมั่นใจว่ามันจะไม่โวยวายเหมือนไอ้เจลไง

            ผมบอกธาม ก็รู้กันแค่ผมกับธาม แต่ถ้าไอ้เจลรู้ คนทั้งโลกก็รู้!

            “เลิกหนีกูนะ หยุดเดินเลยนะแห้ง!”

            “ไม่!!!”

            “แห้งของกูหัดเดินหนีกูแล้ว”

            ถ้ามีผ้าเช็ดหน้า ไอ้เจลคงยืนกัดผ้าเช็ดหน้าร้องไห้ทำหน้าตาน่าสงสารไปแล้ว

            ผมเดินก้าวฉับๆไปที่ห้องสมุด เพราะรู้ว่าเป็นที่เดียวที่ไอ้เจลไม่สามารถแหกปากได้ ผมเดินฉับๆเข้าไปที่ด้านหลังชั้นหนังสือรอให้ไอ้คนที่มีคำถามเต็มสมองไปหมดเดินตามเข้ามา

            “กูจะคุยกับมึง ก็ต่อเมื่อมึงเลิกแหกปากโวยวาย”

            ไอ้เจลทำหน้าเหมือนหมาโดนดุ มันยอมเดินเข้ามาหาผมดีๆแล้วนั่งลงที่พื้นข้างๆชั้นหนังสือ ผมนั่งลงข้างๆมันพลางมองหน้าคนที่ทำท่าเหมือนจะงอนไม่เข้าท่า

            “กูไม่ง้อหรอกนะ”

            “อ๋อ เดี๋ยวนี้มีคนที่ชอบแล้ว เพื่อนเพิ่นก็ไม่ง้อแล้ว”

            ผมมองหน้าไอ้เจลเอือมๆ พลางยื่นมือไปขยี้หัวมัน

            “ขี้งอนว่ะ”

            “ก็มึง…” ไอ้เจลหันมามองผมพลางนิ่งไปนิดๆ มันเข้ามาใกล้ๆผมก่อนจะทำท่าสูดจมูกฟุดฟิด

            “ไม่มีกลิ่นบุหรี่” ผมเลิกคิ้วใส่สมหมาย

            “แล้วไง?”

            “ปกติอยู่กับมึงกลิ่นบุหรี่นี่ติดตัวอย่างกับกลิ่นธูป”

            “แล้วกูต้องสูบตลอดหรือไง”

            “มึงเปลี่ยนไปจริงๆนะนิ” ไอ้เจลจับคางผมแล้วบิดซ้ายบิดขวาเหมือนจะสำรวจ ผมทำหน้าแหยงๆการกระทำนั่นพลางพ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นหมากฝรั่งรสมิ้นต์ใส่หน้ามัน

            “เลิกทำหน้าเหมือนกูเป็นตัวประหลาดสักที กูยังเป็นไอ้นิคนเดิมที่มึงรู้จัก” ผมว่า ไอ้เจลส่ายหน้า

            “กูไม่ได้บอกว่าที่มึงเปลี่ยนไปไม่ดี กูชอบมึงตอนนี้มากกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ”

            “…”

            “มึงดูมีความสุขขึ้น ดูน่าเข้าหาขึ้น ดูไม่ใช่ไอ้นิที่มีกำแพงสามชั้นกั้นเอาไว้”

            ผมนิ่งไปนิดๆ ไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผมลดกำแพงของตัวเองลงขนาดนั้น แต่ไอ้เจลคนที่เป็นเพื่อนสนิทของผมมานานมันสังเกตเห็น แสดงว่ามันก็คงเป็นอย่างที่มันพูด

            แต่ทำไมล่ะ…

            “คนมีความรักล่ะม้าง” ไอ้เจลแซว ผมตบกบาลมันไปฉาดใหญ่

            “อยู่ดีๆไม่ชอบ ชอบยืนๆอยู่แล้ววูบ”

            “แหม แซวแค่นี้เอง”

            “ว่าแต่ไปค่ายมาเป็นไงมั่ง” ไอ้เจลมันไปค่ายอาสามา เพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน ช่วงนี้ที่เห็นมันผลุบๆโผล่ๆก็เป็นเพราะว่ามันต้องไปติวแถมยังทำกิจกรรมไปด้วย ผมล่ะทึ่งในความสามารถของไอ้เจลที่ดูมีพลังเต็มเปี่ยมไปกับทุกๆอย่าง

            “ก็ดี เหมือนทุกครั้ง” จรัส บราวน์ทำหน้าหงอย ผมยีหัวมันอีกครั้ง

            นอกจากไอ้ตุลที่ดูน่าหมั่นเขี้ยวตลอดเวลาแล้ว ก็มีไอ้เจลเนี่ยแหละที่ผมชอบแกล้งมันบ่อยๆ

            “เอ้อ กูลืมไปเลยว่ามีเรื่องจะบอกมึง” จู่ๆไอ้เจลก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก ผมหันไปมองมันนิ่งๆ

            “เมื่อตอนไปค่ายอาสา กูดันไปบังเอิญรู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่จะจบปีนี้ เขาบอกเขารู้จักกับไอ้ตุลว่ะ” ผมพยักหน้าแบบขอไปที

            “แล้วไง”

            “เขาบอกว่าเขารู้จักพี่ชายของตุลมันด้วย”

            จากที่ไม่ค่อยอยากจะสนใจ กลายเป็นว่าผมดันรู้สึกสนใจขึ้นมานิดๆ ไอ้เจลมีสีหน้าจริงจังแบบที่เรียกว่านานๆจะเห็นที ปกติมันไม่ค่อยจะจริงจังอะไรน่ะนะ

            จริงๆผมก็เพิ่งรู้ว่าตุลมันมีพี่ชาย ก็ตอนที่มันบอกผมนั่นแหละ พี่มันชื่อ อัยการ อายุมากกว่ามันสี่ปีเห็นจะได้ เห็นว่าทำงานสายการบินเลยไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตากันเท่าไร อีกอย่างไอ้ตุลก็ไม่ค่อยสนิทกับพี่ อาจจะเป็นเพราะช่องว่างอายุ แต่ถึงอย่างนั้นเวลามันเล่าถึงพี่ชาย แววตาของมันก็ดูมีความภูมิใจอยู่ไม่น้อย

            “เขาบอกว่าพี่ชายของไอ้ตุลไม่ชอบเนว่ะ”

            “!!!” ผมชะงักไป ไอ้เจลเกาหัวเหมือนจริงๆแล้วมันไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง

            “คือตอนแรกกูคิดว่าจะบอกมึงดีมั้ยเพราะมึงกับตุลก็เพิ่งจะแบบเข้าใจกัน แต่กูก็อยากบอกมึงไว้เผื่อว่า… เฮ้ยนิ!!”

            ไม่รอให้ไอ้เจลได้พูดจบผมก็รีบตรงออกไปจากห้องสมุดแล้วกดโทรศัพท์หาคนที่อาจจะกำลังสอบอยู่ แต่ปรากฏว่าไม่นานนักไอ้ตุลก็รับสาย

            (โทรมาได้จังหวะพอดีเลย ผมเพิ่งสอบเสร็จ…)

            “ทำไมมึงไม่บอกว่าพี่มึงไม่ชอบเน” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์โดยไม่รอให้ตุลได้พูดอะไรก่อน เจ้าตัวเงียบเหมือนตกใจว่าผมไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน

            (นิ…)

            “มีเรื่องอะไรที่ยังไม่บอกกูอีก”

            (นิอย่าทำแบบนี้สิครับ ถ้าให้ผมบอกทั้งหมดดีไม่ดีต้องใช้เวลาทั้งวันเลยมั้ง)

            “งั้นก็ใช้ซะสิ อีกครึ่งชั่วโมงกูจะไปรอที่ร้านกาแฟหน้ามหา’ลัย มาเล่าให้ฟังทั้งหมด”

             

            ผมไม่รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อตุลาการยังมีอะไรปิดบังผมอยู่อีกมั้ย หรือการคบกับเน ไอ้ตุลมีอุปสรรคอะไรหรือเปล่า ทุกอย่างมันจะเป็นเรื่องง่ายถ้าไม่ใช่ผมดันเป็นพี่ชายฝาแฝดของเน ทำไมมันถึงไม่เคยบอกว่าพี่ชายมันไม่ชอบน้องชายของผม เพราะอะไรล่ะ ก็ไหนมันเคยบอกว่าแม่ของมันรับได้ที่เนคบกับมัน

            เรื่องครอบครัวฝั่งผม มันไม่มีอะไรมากด้วยซ้ำ พ่อเองก็รู้ว่าเนคบกับไอ้ตุล แม่เองก็ชอบไอ้ตุลมาก แต่ที่ผมไม่รู้คือครอบครัวฝั่งตุล เขาอคติอะไรกับเนมั้ย แล้วถ้าเขารู้ว่าลูกชายของเขาดันมาคบพี่ชายฝาแฝดของแฟนที่ตายไปแล้วล่ะ

            เขาจะรับได้อย่างนั้นเหรอ

            บางทีเรื่องนี้ผมควรจะต้องคุยกับมันให้เข้าใจ

            ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้ ก่อนที่ผมจะไม่สามารถปล่อยไอ้ตุลไปได้จริงๆ

            ‘กริ๊ง’

            เสียงกระดิ่งหน้าร้านกาแฟดังขึ้น เจ้าของร่างสูงโย่งเดินมานั่งตรงหน้าผม ตุลาการมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ก่อนมันจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

            “นิอยากรู้อะไรมั่งครับ”

            “ทุกอย่าง เรื่องครอบครัวของมึง” ผมกอดอกแล้วมองหน้าผู้ชายตรงหน้า ตุลมันหลบตาผมเหมือนกับว่าซ่อนอะไรบางอย่าง เจ้าตัวถอนหายใจพลางเริ่มเล่าเรื่อง

            “เฮียอัยไม่ชอบเนมาตั้งแต่ตอนที่ผมคบกับเนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยมายุ่งเกี่ยว ส่วนเรื่องแม่ แม่รู้เรื่องว่าคบกับเนตั้งนานแล้วเหมือนกันและไม่คัดค้าน แต่พ่อนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไร”

            “แล้วมึงไม่คิดเหรอว่าพี่มึงจะเกลียดกูเหมือนที่เกลียดเน”

            “เฮียไม่ได้เกลียดเน แต่เพราะเฮียอคติกับพวกที่ชอบเพศเดียวกัน”

            “ถ้าพ่อมึงรู้ พ่อจะให้กูกับมึงเลิกกันหรือเปล่า” คำถามของผมสับสวิตซ์ของตุลให้ดับลง คนข้างหน้าหลุบตาต่ำแล้วมองไปที่อื่นโดยไม่คิดจะมองหน้าผม

            “จะไปรอดเหรอ”

            “…”

            “ตุล”

            “นี่มันไม่แฟร์เลย” เสียงทุ้มๆของคนตรงหน้าฟังดูสั่นเครือ ผมไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดหรือเปล่า แต่ไอ้ตุลเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา

            ผมทำอะไรผิดไป … งั้นหรอกเหรอ

            แค่กังวล ว่าเราจะไปรอดกันมั้ย

            ผมจะได้…

            หยุด

            หยุดงั้นเหรอ … นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่

            “มันไม่แฟร์เลยสักนิด นิเอาแต่คั้นว่าอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผม เพราะนิอยากจะเชื่อใจว่าผมจะไม่ทำให้นิเสียใจ แต่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด” น้ำเสียงของตุลเหมือนกำลังตัดพ้อผม ผมไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะพูดอะไร ผมแค่… ยังไม่มั่นใจ

            “นิรู้เรื่องของผมทั้งหมดแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้เรื่องของนิเลย”

            “…” ทุกอย่างรอบตัวเงียบไปยกเว้นก็แต่เสียงวิ้งในหู ผมมองไอ้ตุลที่เงยหน้าพยายามไล่น้ำตากลับเข้าไปในดวงตา มันซื่อสัตย์ขนาดไหน มันเสียใจมันก็บอกว่ามันเสียใจ มันดีใจมันก็ทำหูตั้งหางตั้ง

            แต่ผม มีแต่ทำให้มันเสียใจอยู่ตลอด

            “ผมไม่รู้ว่าพ่อจะว่ายังไง ผมไม่รู้ว่าแม่จะรู้สึกยังไงถ้าได้เจอนิที่หน้าเหมือนเน ผมไม่รู้ว่าเฮียจะรู้สึกยังไงถ้าได้เจอนิที่เป็นพี่ชายฝาแฝดของเน … ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะไปรอดกันมั้ย”

            “ตุล…”

            “แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะไม่รอด ผมไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะปล่อยมือจากนิ”

            ความรู้สึกผิดมันก่อตัวขึ้นลึกๆในใจผม กำแพงที่พังลงมาเพราะตุล มันกำลังก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่การที่ตุลยื่นมือมาจับมือผมแล้วบีบเอาไว้ ทำให้กำแพงมันร่วงกราวลงมาอีกรอบ

            “ถ้านิไม่เชื่อมั่น หรืออยากจะปล่อยมือเพราะว่ากลัวความผิดหวัง ผมจะไม่ห้าม”

            “…”     

            “แต่ขอล่ะ แค่เชื่อมั่นในตัวผมบ้างสักนิดก็ยังดี”

            ไอ้ตุลพูดจบก็เดินออกจากร้านกาแฟไปโดยไม่หันมามองผมสักนิด ผมมองแผ่นหลังของผู้ชายที่ผมรักเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะห้าม

            นั่นสินะ ผมคิดถึงแต่ความพอใจของตัวเองฝ่ายเดียว กลัวว่าจะต้องรับกับความผิดหวัง กลัวว่าจะต้องเจ็บ กลัวว่าจะต้องอ่อนแอ แต่ผมไม่เคยคิดเลย ว่ามีใครอีกคนที่พยายามแทบตายเพื่อปกป้องผม

            ผมวางเงินเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะวิ่งตามไอ้ตุลออกไป คนตัวสูงเดินคอตกไวๆไปตามถนน

            ก็แค่คิดว่าถ้าปล่อยไป มันอาจจะร้องไห้อีกแน่ๆ

            ขายาวๆของผมวิ่งตามแผ่นหลังของไอ้ตุลไป วิ่งจนแทบจะหกล้มหัวทิ่มไปตามฟุตบาท โชคดีที่ว่าเด็กมหา’ลัยยังไม่เลิกเรียนกันเลยไม่มีใครมาสนใจผม ผมวิ่งจนกระทั่งฝ่ามือเอื้อมไปคว้าชายเสื้อนักศึกษาสีขาวของไอ้ตุลเอาไว้ได้ คนถูกดึงโดนกระชากกลับมาจนหัวแทบทิ่มแต่โชคดีผมคว้ามันเอาไว้ ตุลาการมีสีหน้าประหลาดใจที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้

            ผมยืนหอบแฮ่กๆเหมือนวิ่งรอบสนามมา ก่อนจะคว้ามือของคนตรงหน้ามาจับเอาไว้ มืออุ่นๆของมัน อุ่นและพึ่งพาได้เหมือนอย่างที่เนบอก

            “ขะ…” เสียงที่เปล่งออกไปดันชะงักอยู่แบบนั้น ผมกับไอ้ตุลมองตากันกระพริบตาปริบๆ แถมยังมีซาวด์รถบรรทุกข้างหลังดังกระหึ่มจนกลบเสียงของผมหมด

            มาวิ่งอะไรตอนนี้วะ!!

            “นิ” ตุลเรียกชื่อผมเหมือนกับสงสัยว่าผมจะพูดอะไร พอผมจะพูดขอโทษอีกที

            “ขะ…”

            ‘บรื้นนนน!!!’

เสียงมอเตอร์ไซค์ติดท่อขนาดยักษ์ก็วิ่งผ่านไป…

            ไอ้…

            เวรนี่

            พอเจอคนตรงหน้าจ้องมากๆเข้า จากที่อยากขอโทษกลายเป็นว่าผมพูดไม่ออกไปซะอย่างนั้น สุดท้ายผมเลยวิ่งหนีไอ้ตุลแทน

            ผมไม่ค่อยได้พูดคำขอโทษออกจากปากสักเท่าไร ส่วนมากเวลาผมทำผิดผมก็มักจะติ๊ต่างไปเองว่าผมไม่ได้ผิดแล้วก็เอาแต่กร่นด่าว่าไอ้ตุลนั่นแหละที่ทำตัวไม่แฟร์ทั้งๆที่เป็นผมเองที่เอาแต่ใจจนไม่สนใจว่ามันจะรู้ยังไง

            มันคงอึดอัดมากๆที่ครอบครัวไม่ชอบเน มันคงอึดอัดที่พ่อของมันอาจจะสั่งให้มันเลิกกับเน แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้ก็ยังยืนยันที่จะคบกับน้องชายของผม จนกระทั่งเนจากไป พอมันได้เจอผม ความจริงจังบวกกับความเข้มแข็งของมัน มันก็ยืนยัน ว่าทุกอย่างจะต้องไปได้ดี

            ‘หมับ’

            มือของตุลคว้าแขนของผมเอาไว้พลางกระชากไปด้านหลัง ผมตัวลอยเข้าไปหาไอ้ตุลง่ายๆเพราะไม่ได้ตั้งหลัก โชคดีที่ว่าไม่ได้อยู่ริมถนน ผมวิ่งเข้ามาในซอยที่แยกเป็นซอยเล็กๆ

            “อะไร!!!”

            ริมฝีปากเย็นๆของตุลแตะลงบนริมฝีปากของผมเบาๆแล้วถอนออก ผมมองไอ้ตุลอึ้งๆด้วยความตกใจ เจ้าตัวคลี่ยิ้มออกมานิดๆพลางกอดผมเอาไว้

            ซอยที่ไม่มีคนผ่านไปผ่านมาเงียบซะจนได้ยินเสียงลมหายใจของไอ้ตุลดังข้างๆหู

            “เชื่อใจเถอะ ผมบอกแล้วไง ต่อให้เกิดอะไรขึ้น ผมก็จะไม่ปล่อยนิไปอีก”

            ผมขยำเสื้อบนแผ่นหลังของไอ้ตุลแน่น พลางซบหน้าลงบนไหล่กว้างๆของมัน

            นั่นสินะ

            มึงมันเก่งจะตาย ไอ้ลูกหมาบ้า

            “ขอโทษ…”

            อย่าคิดจะปล่อยมือกูก็แล้วกัน ตุลาการ ไม่อย่างนั้นกูไม่เอามึงไว้แน่

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 20 Love is Trust (28-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 28-11-2016 22:28:58
ทำไมเรารุ้สึกว่าพี่ตุลย์เจ้ามารยาจัง หรือคิดไปเอง :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 21 Love is Trust (28-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-11-2016 23:26:24
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 21 Love is Trust (28-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-11-2016 02:27:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 21 Love is Trust (28-11-59)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 29-11-2016 22:58:55
ตุลมีความเล่นใหญ่หนักมาก 55555555
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 22 Love Irresistible (12-12-59)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 12-12-2016 11:17:04
Chapter
22



            การสอบผ่านพ้นไปด้วยดีเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ผมปล่อยให้ตุลมันอ่านหนังสือใช้สมาธิไปกับหนังสือหนึ่งอาทิตย์เต็มๆโดยไม่เข้าไปยุ่งจุ้นจ้าน จะมีก็โทรคุยกันบ้าง ตอนนี้ผมย้ายมานอนบ้านไอ้เจลแทน ส่วนไอ้เดลน้องชายไอ้เจลน่ะเหรอ โดนเด้งกลับไปอยู่หอนู่นเพราะไอ้เจลมันไม่ชอบให้ไอ้เดลมาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวมันเท่าไร

            พ่อของผมกลับจากญี่ปุ่นก็โทรชวนผมไปกินข้าวกับน้าเบลและไอ้สาม เพื่อนของพ่อและลูกชายของเธอที่ผมเคยเจอกันเมื่อตอนเด็กๆ แต่ผมปฏิเสธไปเพราะว่าผมยังไม่พร้อมตอบคำถามอะไรเกี่ยวกับเนและแม่ทั้งสิ้น พ่อชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยๆเพราะชอบอากาศและบ้านเมือง ผิดกับผมที่ชอบขลุกอยู่ที่เมืองโรแมนติคอย่างปารีส

            ผมว่าจะเริ่มคุยกับไอ้ตุลเรื่องที่ว่ามันจะไปเรียนต่อหรือจะสอบเป็นทนายเลยในเร็วๆนี้ รอให้มันผ่านการสอบและโปรเจคมากมายก่ายกองนั่นไปซะก่อน ที่ตุลมันต้องอ่านหนังสือหนักขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าเนดันมาจากไปซะก่อน

            น่าแปลกที่หลังจากอะไรๆลงตัวผมก็ไม่ได้กันไปสนใจข้อความของเนอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ทิ้งโทรศัพท์ของเนไปเพราะยังมีข้อความที่ผมเคยคุยกับเนเอาไว้ บางที การอยู่เงียบๆไม่หาอะไรเข้ามาให้ปวดหัวก็ดีไปอีกแบบ

            “ซ้าย … เอ้ย น่าจะขวา เบอร์สี่ต้องอยู่นี่” ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนตัวเองที่กำลังจริงจังกับการวางแผนแข่งบาสเกตบอลที่จะมีตอนปิดเทอม ไอ้ตุลเองก็อยากจะลงแข่ง แต่เพราะมันเรียนจบแล้ว เลยต้องสนใจอนาคตมากกว่า

            ไอ้เจลช่วงนี้ก็ดูอารมณ์ดีผิดปกติ สอบถามจากไอ้ธามมาถึงได้รู้ว่ามันแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ดี ผมไม่อยากให้ไอ้เจลอยู่คนเดียว บางทีการมีใครอีกคนอยู่ข้างๆมันก็ไม่ได้แย่

            ห่ะๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงด่าไปแล้วว่าเรื่องแบบนี้มันไร้สาระ

            แต่ก็นะ … การมีไอ้ตุลตามไปไหนมาไหนคอยถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ ถึงจะน่ารำคาญ แต่มันก็ไม่ได้แย่

            “ว่าแต่มึงกับตุลคบกันเป็นแฟนยังวะ” จู่ๆไอ้เจลก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมเลิกคิ้วมองมัน

            “ยัง”

            ผมไม่ได้สนใจสถานะ แค่รู้ว่าเป็นคนพิเศษแค่นั้นก็พอ ทำไมต้องสนใจว่าจะเป็นแฟนหรือเป็นอะไร ยังไงซะถ้าคนมันจะพิเศษ มันก็พิเศษไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไร บางทีคนที่เรียกตัวเองว่าแฟนๆ ยังรักกันไม่เท่าคนที่รักกันแบบไร้สถานะ

            “เอ้า ไอ้ตุลไม่เคยขอเหรอวะ”

            “ไม่ กูไม่ชอบด้วย” ผมก้มหน้าอ่านหนังสือการ์ตูนต่อ ไอ้เจลที่ง่วนอยู่กับการวางแผนแข่งบาสก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากนัก

            นั่นสิ เป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องรีบสักหน่อย

 

            หลังจากไอ้ตุลสอบเสร็จ มันก็นัดผมออกไปดูหนังคลายเครียด ดีที่ไอ้ตุลไม่ได้เป็นคนชอบดูหนังรักโรแมนติคอะไรเทือกนั้นเพราะผมเองก็ไม่ชอบ เราสองคนเลยมาดูหนังไซไฟยิงๆกันแทน ที่ตลกที่สุดคือ คนที่บอกว่าอยากจะดูหนัง แค่เดินเข้าโรง หนังฉายไม่ถึงยี่สิบนาที ไอ้ตุลก็หลับหัวทิ่มหัวตำ

            ผมเห็นไอ้ตุลผงกหัวจนแทบจะทิ่มไปด้านหน้า เลยต้องจำใจจับหัวมันมาวางที่ไหล่

            อ่านหนังสือหนักจนแทบไม่ได้นอนสินะ

            ผมนั่งดูหนังไปเรื่อยๆด้วยความตั้งใจ จนกระทั่งหนังจบ ไอ้คนข้างๆก็ตื่นขึ้นมาพอดีเหมือนกับว่าตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ ตุลหันมามองหน้าผมงงๆก่อนจะอ้าปากหาว

            “ขอโทษ เผลอหลับซะงั้น”

            “วันหลังง่วงก็ไม่ต้องออกมาเจอก็ได้ นอนพักให้เต็มอิ่มก่อนดิ” ผมดุมันเหมือนพ่อ แต่ไอ้ตุลส่ายหน้ายิกๆขณะที่เราสองคนค่อยๆลุกออกจากที่นั่งในโรงหนังแล้วเดินไปที่ประตูทางออก

            ผมกับตุลเดินออกเป็นสองคนสุดท้าย จู่ๆมือของไอ้ตุลก็ยื่นมาจับมือผมไว้ เจ้าตัวยิ้มโชว์ลักยิ้มจนแก้มบุ๋ม

            “ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งอาทิตย์ ผมก็คิดถึงนินี่”

            ตาผมแทบถลนออกจากเบ้าเมื่อคนตรงหน้าพูดอะไรไม่เกรงใจเจ้าที่เจ้าทางเลยสักนิด

            “ตลก!!!”

            ผมสะบัดมือไอ้ตุลออกแล้วเดินไวๆออกจากโรงหนัง คนที่เหมือนจะปั่นหัวผมสำเร็จเดินยิ้มร่าตามมาไม่ติด เราสองคนไปหยุดอยู่ที่ร้านข้าวร้านหนึ่งก่อนจะสั่งอาหารมาคนละที่

            พอกินข้าวเสร็จ ผมกับตุลก็ใช้เวลาทั้งวันไปนั่งเล่นที่สนามบาสของมหา’ลัยที่ไม่มีใครใช้เนื่องจากปิดเทอม ไอ้ตุลโยนลูกบาสลงห่วงแทบจะทุกลูก ผมได้แต่นั่งเท้าคางมองคนที่โยนลูกบาสลงห่วงเหมือนกับคิดถึงมันเสียเต็มประดา

            ตุลมันดูดีจริงๆเวลาเล่นบาส ไม่แปลกที่เนมันมักจะชอบมาอวยให้ผมฟังประจำว่าแฟนมันหล่ออย่างนั้น เท่อย่างนี้ ดูดีอย่างนั้น เก่งอย่างนี้

            ยอมรับว่าบางทีก็น่าหมั่นไส้

            “นิ เล่นมั้ย” คนตรงหน้าถามขึ้น ผมส่ายหน้า แต่ไอ้ตุลเหมือนจะไม่ฟัง มันลากผมลงไปในสนามแล้วแข่งกันสิบแต้ม ใครชนะสามารถสั่งอะไรคนแพ้ก็ได้

            พอเห็นแบบนั้น เกมมันก็ชักจะน่าสนุก

            ถ้าไม่ติดที่ว่า ผมเตี้ยกว่าไอ้ตุล ถึงจะไม่มาก แต่ผมก็ยังเตี้ยกว่ามันอยู่ดี อีกอย่าง ไอ้ตุลเป็นนักบาส

            “มึงโคตรขี้โกง!!!” ผมด่าไอ้ตุลที่โยนนำแต้มผมไปหกลูกได้ คนถูกด่าหันมาทำหน้างงๆใส่

            “โกงไงวะ”

            “มึงเป็นนักบาส แน่จริงมาแข่งเทควันโดกับกูสิ!!!”

            “อ้าว ผมก็แพ้สิ นิเป็นนักเทควันโดไม่ใช่เหรอ!!”

            “ไม่รู้ล่ะมึงขี้โกง!!! กูไม่ทำตามคำสั่งมึงแน่!!!” เมื่อแพ้ผมก็เริ่มจะพาลใส่ไอ้ตุล เจ้าตัวหัวเราะเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรน่าเป็นห่วง

            ผมหันหลังจะเดินออกจากสนาม แต่ไอ้ตุลกลับคว้าแขนผมเอาไว้แล้วดึงเข้าไปใกล้ คนตัวสูงมันยืนซ้อนหลังผมแล้วจับลูกบาสยัดใส่มือผม มือสองข้างของตุลจับมือสองข้างของผมเอาไว้

            “ทำอะไรของมึงหา!!!”

            “ก็จะทำให้นิชนะไง” ไอ้ตุลว่า ผมขมวดคิ้ววุ่นแล้วจะหันไปตวาดใส่มัน จมูกโด่งๆของคนด้านหลังกดลงบนแก้มของผมแล้วถอนออกไวๆจนไม่ทันได้ตั้งตัว
           
            “ไอ้วิปริตนี่!!!”

            “ถ้านิชนะ นิจะได้สั่งอะไรผมก็ได้ไง ไม่ดีเหรอครับ”

            ดี!!!

            สุดท้ายผมก็ปล่อยให้ไอ้ตุลจับแขนผมแล้วโยนลูกบาสลงห่วงไปจนครบสิบลูก แม้มันจะทุลักทุเลและขี้โกงแต่ผมก็ชนะ ตุลาการยืนจำใจรับคำสั่งของผมแต่โดยดี แต่ผมเพียงแค่กระชากเสื้อมันลงมาแล้วจ้องหน้าไอ้ตุลเขม็ง คนตรงหน้ากระพริบตาปริบๆเหมือนหมาเชื่องๆ

            “กูขอสั่งห้าม ห้ามมึงเลิกรักกู”

            มันเป็นคำสั่งที่ผมทำใจอยู่นานแต่ก็ผลก็ออกมาดี

            “คำสั่งมีผลตลอดชีวิตใช่มั้ย” ไอ้ตุลถาม ผมแค่หันหลังหนีมันแล้วเดาะลูกบาสเล่น

            “เออ”

            “งั้นมาแข่งเทควันโดกัน ถ้าผมชนะ นิต้องยอมทำตามคำสั่งผมบ้าง”

            คำขอของไอ้ตุลทำให้ผมถึงกับแสยะยิ้ม ผมเป็นแชมป์เทควันโดหลายสมัยนะไม่อยากจะบอก อีกอย่างก็เล่นเทควันโดมาตั้งแต่เด็กๆ คราวนี้แหละไอ้ตุลแพ้แน่ๆ ไม่รอด!!!

            …

            หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

            “โอ้ยเจ็บๆๆๆ!!!!” ผมตะโกนแหกปากเมื่อไอ้ตุลนั่งทับตัวของผมอยู่ ถึงจะพูดว่าจะไม่ออมแรงให้แต่ผมก็ทำได้แค่เตะต่อยไอ้ตุลเบาๆ ไม่กล้าจับมันทุ่ม พอมันได้ใจว่าผมจะไม่ทำอะไรมันแรงๆเท่านั้นแหละ ไอ้คนขี้โกงก็ขัดขาผมแล้วดันร่วงตามลงมา แล้วร่วงลงมาดีๆไม่ได้

            ก้นกบแม่งทับท้องผมเข้าจังๆ

            “โอะ ขอโทษๆ” ไอ้ตุลขอโทษขอโพย แต่สุดท้ายก็ยิ้มเผล่ออกมา ผมมองหน้าคนเจ้าเล่ห์ด้วยความไม่พอใจ เหงื่อแตกจนเป็นน้ำตกเพราะสู้กับมันเนี่ยแหละ แม่งเป็นต้นไม้หรือไงวะ ล้มไม่ลงเลย!

            “คราวนี้ตาผมสั่งมั่ง” ผมมองคนที่มีสีหน้าจริงจัง หวังว่ามันคงไม่สั่งอะไรแผลงๆหรอกนะ จู่ๆคนที่นั่งทับผมอยู่ก็ก้มลงมาใกล้ๆก่อนจะกัดหูผมทำท่าเหมือนตัวเองเป็นหมา

            พอเห็นว่าจะเสียเปรียบผมเลยต่อยท้องไอ้ตุลไปแล้วเป็นฝ่ายพลิกตัวมานั่งทับมันแทน มือสองข้างของตุลาการจับแขนสองข้างของผมเอาไว้แล้วยิ้มโชว์ลักยิ้มแบบที่ชอบทำ

            “ผมขอสั่งให้นิรักผมซักที”

            “!!!”     

            ผมนั่งใบ้กินพลางเบือนหน้าหนีไอ้ตุล นี่มันเกินกว่าที่ผมคาดไว้ ตอนแรกผมนึกว่ามันจะเล่นอะไรแผลงๆซะอีก แต่นี่มัน … นี่มันอันตรายสุดๆ!!!

            ผมพยายามจะลุกหนีผู้ชายที่ทำให้ใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมากลิ้งที่พื้น แต่เพราะไอ้ตุลยังจับมือผมไว้แน่น สุดท้ายผมเลยทำเนียนด่ามันไป

            “ปล่อยดิวะ ร้อน!!!”

            “ออกจะหนาว ดูดินิหน้าแดงมือเย็นไปหมดเลย” ไอ้ตุลเริ่มจะกวนประสาทผม ผมยกมือจะฟาดหัวมันแต่เจ้าตัวกลับคว้ามือผมเข้าไปกดจูบเบาๆเล่นเอาหน้าร้อนผ่าว

            “แต่ต่อให้นิไม่รักผม ผมก็รักนิมากๆนะครับ”

            ‘ปัง’

            เสียงเหมือนใครเอาปืนมายิงจนสมองไหล ระบบควบคุมตนเองของผมถูกไอ้คนตรงหน้าพังทลายย่อยยับไม่เหลือซาก

            “ปล่อย!!”

            “ไม่”

            “บอกให้ปล่อยไง!!!”

            “โน”

            “ไอ้หมาบ้าปล่อย!!!”

            ไอ้ตุลดึงผมเข้าไปกอดแล้วขยี้หัวผมเบาๆ พอเจอแบบนั้น สติผมก็หลุดไปแทบจะทั้งหมด

            คนตรงหน้าทำให้ผมไม่มีแรงต้านทานเลยสักนิด

 

             “ผมว่าจะไปเรียนต่อ” คำพูดของตุลที่พูดขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินกลับคอนโดทำให้ผมชะงักไปพลางมองหน้ามัน เจ้าตัวยิ้มนิดๆก่อนจะบีบมือผมแน่น

            งั้นเหรอ ตัดสินใจแล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ

            “ผมล้อเล่นน่ะ”

            “ห้ะ!!!” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้ตุลด้วยความโมโห เจ้าตัวทำหน้าเหรอหราเหมือนสนุกที่ได้แกล้งผมแต่ผมไม่สนุกด้วย ผมใช้เท้าถีบขาคนตรงหน้าจนไอ้ตุลร่วงลงไปนั่งกุมขาร้องโอดโอย

            “เจ็บนะนิติ”

            “ก็ใครใช้ให้ล้อเล่นเล่า!”

            ถ้าเกิดมันไปเรียนต่อจริงๆ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว

            ไอ้ตุลเดินตามผมแล้วกอดคอผมเอาไว้ก่อนจะใช้มือของมันยีหัวผม

            “ไม่ไปหรอก เดี๋ยวคนแถวนี้คิดถึงอกแตกตาย”

            ตายกับผีแกเถอะ

            “ผมว่าจะทำสิ่งที่อยากทำก่อนน่ะครับ ก่อนจะเรียนต่อแล้วก็สอบทนาย เพราะว่าถ้าสอบทนายไปแล้ว คงไม่มีเวลามานั่งทำสิ่งที่อยากทำแน่ๆ” ไอ้ตุลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววตลกเหมือนเมื่อตะกี้ ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงจะพูดว่ายังไงก็จะเรียนต่อ แต่แค่เลื่อนระยะเวลาออกไปแค่นั้นก็พอแล้ว

            “แล้วมึงอยากทำอะไร”

            “อยากเป็นติวเตอร์ให้เด็กอักษรศาสตร์แถวนี้น่ะครับ”

            ผมหันไปมองไอ้ตุลแล้วเลิกคิ้วถามว่านี่เล่นตลกอีกหรือเปล่า แต่เจ้าตัวมีสีหน้าจริงจังไม่ล้อเล่น

            “ใครวะ”

            “เอ้า กระรอกบนเสาไฟฟ้ามั้ง”

            ‘ผั่วะ’

            ไอ้ตุลร้องโอยแล้วนั่งกุมหัวตัวเองที่โดนผมเอากระเป๋าฟาดไปเมื่อกี้ ผมรีบเดินไวๆขึ้นคอนโดไปโดยไม่สนใจไอ้คนที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมา

            ติวเตอร์เด็กอักษรศาสตร์อย่างนั้นเหรอ ผมมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกในลิฟต์ หน้าของผมแดงเหมือนไปวิ่งรอบสนามมาสามรอบ

            กูไม่ได้อยากได้ติวเตอร์สักหน่อย ไอ้บ้า

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 22 Love Irresistible (12-12-59)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-12-2016 11:53:59
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 22 Love Irresistible (12-12-59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-12-2016 01:41:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 22 Love Irresistible (12-12-59)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 14-12-2016 04:58:48
น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 22 Love Irresistible (12-12-59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 14-12-2016 15:11:04
 ขำนิติ ภายในช่างสวนทางกับภายนอกสุดๆ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 22 Love Irresistible (12-12-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B u T t e R ที่ 25-12-2016 23:24:32
งื้ออออ น่ารักกกกกก
กำลังแฮปปี้
เดี๋ยวต้องเตรียมรอระเบิดจากทางบ้านตุลใช่มั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 23 Love is Trouble (06-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 06-01-2017 21:56:37
Chapter
23

 

            “นิ แล้วคำตอบล่ะครับ”

            ตุลาการวิ่งตามผมมาไวๆพร้อมกับขอคำตอบว่าผมจะยอมเป็นนักเรียนให้มันไหม แต่ยิ่งมันทำแบบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกอยากจะหนีมันไปให้ไกลๆ ไม่ใช่เพราะโมโหหรือโกรธ แต่เป็นเพราะดีใจ

            เคยรู้สึกดีใจตัวจะแตกไหม เวลาที่ใครคนหนึ่งอยากทำอะไรเพื่อเราขนาดนี้

            มันคงรู้ว่าถ้ามันไปเรียนต่อตอนนี้เลย ผมคงทำใจไม่ได้ ทั้งๆที่มันยืนยันว่าจะเรียนต่อก็เถอะ

            ถ้าเป็นตัวผม ผมคงไม่ลังเลที่จะไปเรียนต่อเลย แต่เพราะนี่คือไอ้ตุล เพราะแบบนี้ไง ทำไมเนถึงรักผู้ชายคนนี้ และทำไม ผมถึงละสายตาจากผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้

            “ติดไว้ก่อนแล้วกัน!”

            ผมตะโกนบอกไอ้ตุลที่วิ่งตามมาด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะแตะคีย์การ์ดลงที่หน้าประตูแล้วผลักประตูห้องเข้าไป ขาสองข้างที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องชะงักกึกอยู่กับที่ สายตาผมไปสบกับแววตาดุๆของผู้ชายตัวสูงที่อยู่ในห้อง เขามองมาที่ผมด้วยความตกใจ ผู้ชายที่สวมชุดยูนิฟอร์มของนักบินสายการบินชื่อดัง ใบหน้าที่เหมือนกับเจ้าของห้องแค่เห็นก็เดาออกว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร

            พี่ชายไอ้ตุลแน่ๆ … อัยการ

            “หนีไปไหนไม่รอดหรอก!!” ตุลาการโผล่มาด้านหลังผมแล้วพุ่งเข้ามากอดเอวผม ผมพยายามสะบัดมันออกเพราะสายตาของพี่ชายมันจ้องมาตรงนี้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

            จู่ๆไอ้ตุลก็นิ่งไป มันคงเห็นแล้วว่าพี่ชายของมันยืนอยู่ในห้อง มือของมันคว้าแขนของผมแล้วลากผมไปยืนอยู่ด้านหลัง แผ่นหลังกว้างๆของตุลบังสายตาของผู้ชายอีกคนมิด

            “เฮียอัย…” เสียงของตุลาการอ่อนลง ผมรู้ว่าตุลมันเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไร แต่จากการที่ฝ่ามือของมันที่จับแขนผมอยู่เหงื่อชื้นขึ้นขนาดนั้น แสดงว่าผู้ชายที่ชื่อ อัยการ มีอิทธิพลต่อน้องชายจริงๆ

            “นั่นมัน … เน” ว่าแล้ว … พี่ชายของไอ้ตุลคงนึกว่าผมเป็นผีเนจริงๆด้วย

            “ไม่ใช่ นี่พี่ชายเน ชื่อนิติ” ไอ้ตุลว่า ยังไม่ทันไรพี่ชายของมันก็ปราดเข้ามากระชากเสื้อน้องชายอย่างแรงจนผมต้องหลบไปยืนอยู่ด้านหลัง ผมมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตุลถึงกลัวพี่มัน

            “นี่มันเรื่องตลกอะไรห้ะตุล!!!”

            “ผู้ชายคนนี้เป็นแฝดพี่ของเน”

            “แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องแก”

            “ผมรักเขา”

            คำพูดของไอ้ตุลทำเอาทั้งห้องเงียบไป อัยการหันมามองผมด้วยสายตาแบบอธิบายไม่ถูก เขาคงไม่อยากจะเชื่อล่ะมั้งว่าน้องชายจะมารักคนที่หน้าตาเหมือนแฟนเก่าที่ตายไป

            “ตั้งแต่เมื่อไร?” อัยการทำหน้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่น้องชายพูด ผู้ชายที่มีการงานทำเป็นถึงนักบินดูมีความรับผิดชอบมองผมกับตุลสลับกันไปมา

            “หลายเดือนแล้ว หลังจากเนตายได้สักพัก” ไอ้ตุลก้มหน้ามองพื้นแถมยังกำหมัดแน่น ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความอึดอัด

            รู้ว่าวันหนึ่งต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ แค่ไม่นึกว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้

            “นี่แกทำบ้าอะไร! ไม่มียางอายเลยหรือไง แกไปรักคนที่หน้าเหมือนแฟนแกที่ตายไปแล้วเนี่ยนะ!!?” อัยการตะคอกใส่น้องชายของเขา ผมกัดริมฝีปากแน่น

            “มันคนละคนกัน”

            “แต่เขาเป็นฝาแฝดกัน!!”

            “ถ้าไม่ใช่เขา ป่านนี้ผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

            “แกคิดจะฆ่าตัวตายหรือไง”

            “ก็แค่เคย”

            “นี่มันจะบ้าไปกันใหญ่ ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้จะว่ายังไง”

            อัยการถามคำถามที่ทำให้ตุลถึงกับเงียบเป็นใบ้ไป ผมเดินเข้าไปหาไอ้ตุลแล้วจับไหล่มันบีบเบาๆพลางหันไปมองหน้าพี่ชายของตุล

            ผมรู้ว่าตุลมันกดดัน ผมรู้ว่ามันคิดมาก ผมก็เป็น ไม่ใช่ผมไม่เคยคิดว่าสักวันมันจะต้องเป็นแบบนี้ ผมคิดมาตลอด คิดมากกว่ามันด้วยมั้ง ผมถึงได้ว่ามันตอนที่มันไม่ยอมบอกว่าพี่ชายมันแอนตี้น้องชายผม

            “ไม่ว่าคุณจะอคติอะไรกับน้องชายของผม หรือคุณจะอคติที่ผมหน้าตาเหมือนน้องชายผมคนที่คุณไม่ชอบ แต่ผมเป็นคนละคนกับเน”

            อัยการกุมขมับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “แล้วนายไม่คิดหรือไงว่ามันแปลก ครอบครัวนายไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไงที่ลูกมีผู้ชายคนเดียวกัน”

            ‘เพี้ยะ!!!’

            ผมฟาดหลังฝ่ามือลงบนใบหน้าของอัยการจนเขาหน้าหัน ไอ้ตุลถึงกับคว้ามือผมไว้ด้วยความตกใจที่ผมตบพี่ชายของมัน แต่การพูดจาแบบนั้น มันน่าเกลียดน่าขยะแขยงชิบ

            “แม่ผมตายไปแล้ว พ่อผมอนุญาตให้ทำอะไรตามใจก็ได้ แล้วอีกอย่าง ผมก็มาดูแลน้องชายของคุณตามที่น้องชายผมขอ”

            “นิ…” ไอ้ตุลเขย่าแขนผมเพราะไม่อยากจะให้ไปต่อกรอะไรกับพี่ชายของมัน แต่ยิ่งเห็นผู้ชายตรงหน้า มันก็ยิ่งทำให้ผมขยะแขยง ผู้ชายคนเดียวกับน้องชายเหรอ เหอะ

            ดูถูกกันชัดๆ

            อัยการมองหน้าผมด้วยความตกใจ ตาเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ผมชี้หน้าผู้ชายตรงแบบไม่คิดจะเกรงใจอะไร เพราะเขาไม่คิดจะเกรงใจผมตั้งแต่แรก

            “ผมไม่ได้อยากจะมีผู้ชายคนเดียวกับน้องชายหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะตอนที่ไอ้ตุลมันจะตาย พี่ชายมันดันหายหัวไปเสวยสุขที่ไหนไม่รู้ ผมจะไม่พูดถึงพ่อกับแม่เพราะไม่อยากล่วงเกิน”

            “ถ้าไม่ได้ผม ป่านนี้น้องชายคุณกรีดข้อมือ กินเหล้าหัวทิ่มตายห่า เรียนไม่จบไปแล้ว”

            ผมพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง ไม่ตะคอกไม่โวยวายอะไรทั้งนั้น

            แต่ถ้าคิดว่าคำพูดแค่นั้นจะทำให้คนอย่างพี่ชายของไอ้ตุลยอมลงได้ มันก็ไม่ใช่

            อัยการคว้ากระเป๋าของเขาแล้วเดินชนไหล่ผมออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมทิ้งท้ายคำพูดไว้ให้กับน้องชาย ที่บ่งบอกว่าต่อจากนี้ มันคงยากและวุ่นวายกว่านี้ขึ้นเป็นอีกเท่าตัว

            “ยังไงพี่ก็จะบอกพ่อ”

            ประตูห้องปิดลงพร้อมกับบรรยากาศที่เงียบราวกับป่าช้า ผมยืนกลอกตาด้วยความหงุดหงิดพลางกอดอกแล้วถอนหายใจหลายรอบๆเพื่อระบายความโกรธ

            “นิ” ตุลเขย่าแขนผมเบาๆ ส่วนผมก็ทำได้แค่ยืนมองพื้นพรมสีเทาอ่อนนิ่งๆ

            หลังจากนี้ อะไรๆมันจะต้องแย่ลงแน่ๆ

            ผมกุมฝ่ามือของคนที่ยืนอยู่ข้างๆแน่น

            แล้วแบบนี้ ผมจะมั่นใจได้ยังไง ว่าจะจับมือของตุลแน่นพอ

            จู่ๆไอ้ตุลก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายกุมฝ่ามือของผมเอาไว้ มืออีกข้างของมันดึงร่างผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอด อ้อมกอดหลวมๆแต่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเข้มแข็งที่ตุลาการมี มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย

            “ทุกอย่างต้องผ่านไปด้วยดี ผมสัญญา”

            อือ ทุกอย่างมันต้องผ่านไปด้วยดี

            นั่นสินะ ต่อให้ผมจับมือมันไม่แน่น แต่มันก็สัญญาแล้วนี่ ว่าจะไม่มีวันปล่อยผมไป

 

            ตกกลางคืน ผมนอนไม่หลับ แต่ไอ้ตุลที่เหนื่อยจากการอ่านหนังสือสอบยังคงหลับเป็นตายเหมือนเดิม ผมมองผู้ชายที่นอนหลับตาพริ้ม ถึงอย่างนั้นคิ้วของมันก็ยังขมวดวุ่น คงเพราะเรื่องพี่ชายแหละมั้ง เพราะผมเองก็นอนไม่หลับเพราะเรื่องนั้น

            ผมควานมือสะเปะสะปะหากระเป๋าสะพายพลางพยายามควานหามือถือของเนในกระเป๋าแต่ก็พบว่ามันว่างเปล่า มาคิดได้อีกที ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าน้องชายของผมเคยนอนอยู่ข้างๆผู้ชายคนนี้ น้องชายของผมเคยครอบครองทุกอย่างที่เป็นตุลาการ เคยครอบครองริมฝีปาก จมูก กลุ่มผม และฝ่ามือหยาบๆนี่

            นั่นสินะ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ผมหยุดอ่านข้อความของเน

            ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่ผมลืมไปว่า ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับตุลาการ

            จะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าเกิดว่าพ่อของไอ้ตุลสั่งให้มันเลิกยุ่งกับผม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าครอบครัวของมันรู้เข้าว่าตุลมีแฟนที่หน้าตาเหมือนเน เนที่ตายไปแล้ว

            ฝ่ามือของตุลคว้ามือของผมเอาไว้ เจ้าตัวสะลึมสะลือตื่นขึ้น

            “นิ … ไม่ง่วงเหรอครับ?” ไอ้ตุลถาม ผมส่ายหน้า

            “นอนไม่หลับ”

            “กังวลเหรอ” อือ กังวล

            “ผมบอกแล้วไง ว่าทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ด้วยดี”

            คนที่นอนอยู่ดึงฝ่ามือผมไปกดจูบเบาๆแล้วหลับตาต่อ ริมฝีปากของไอ้ตุลขยับพึมพำเสียงเบา

            “ผมเสียเนไปคน ผมจะไม่มีวันเสียนิไป”

            ผมเม้มริมฝีปากแน่นแล้วล้มตัวนอนข้างๆผู้ชายที่ทำให้ผมใจเต้นอยู่บ่อยๆ

            ขอโทษที่กูเป็นคนไม่เอาไหน ต้องคอยให้มึงจับมืออยู่ฝ่ายดี แต่สัญญานะ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กูจะยืนอยู่ข้างๆมึงให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

            ผมเผลอหลับไปอีกครั้ง ก่อนจะสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมโน้มตัวไปคว้าโทรศัพท์ที่วางนอนอยู่ในกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างเตียง พลางกดรับแล้วเพิ่งสังเกตได้ว่าตุลาการไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ

            อาบน้ำเหรอ หรือทำอาหารเช้า

            (แห้ง มึงอยู่ไหนเนี่ย) เสียงไนเจลดังลอดมาตามสาย ผมขมวดคิ้วงงๆ

            “คอนโดไอ้ตุล”

            (กูเพิ่งเห็นตุลมันขึ้นรถบีเอ็มไปเมื่อตะกี้ ก็นึกว่ามึงไปกับมัน)

            “!!” ห้ะ

            ผมลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำ พลางออกไปที่ห้องครัว ไม่มีวี่แววของไอ้ตุลเลย ผมวิ่งกลับเข้ามาในห้องนอนก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นกระดาษโน้ตสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง มีแก้วน้ำทับเอาไว้

            ‘ผมจะกลับบ้านไปคุยกับพี่และพ่อ ถ้าได้เรื่องยังไงจะโทรไปหานะครับ อย่าคิดมากนะ รัก –ตุล’

            (แห้ง ยังอยู่ป่ะวะ) ไอ้เจลย้ำเมื่อเห็นผมเงียบไป ผมพยักหน้าแม้จะรู้ว่ามันคงไม่เห็น

            “ตุลกลับบ้านว่ะ”

            (อ้าวเฮ้ย มีเรื่องไรป่ะวะ)

            “ไม่รู้ว่ะเจล จู่ๆ กูก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเฉยเลย”

            ทำไมลางสังหรณ์ของผม มันรู้สึกเหมือนกับวันที่เนตาย…

            ทำไมจู่ๆผมก็ดันรู้สึกราวกับว่า ผมจะไม่ได้เจอไอ้ตุลอีกแล้ว


            TBC

หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 23 Love is Trouble (06-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 06-01-2017 23:26:33
กลัวดราม่าครอบครัว :hao5:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 23 Love is Trouble (06-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-01-2017 00:15:15
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 23 Love is Trouble (06-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-01-2017 00:45:58
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 19-01-2017 18:14:55
Chapter
24

 

            นี่ก็สามวันแล้วที่ผมโทรหาไอ้ตุลไม่ติด มันเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะแม่น หลังจากที่ตุลกลับบ้านไป มันโทรมาหาผมแค่ครั้งเดียวบอกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ให้ผมไปเที่ยวกับพวกไอ้เจลไปพลางๆก่อน ถ้ามันกลับมาปุ๊ป ทุกอย่างจะโอเค

            แต่คุยกันต้องคุยกันถึงสามวันเลยเหรอ ต้องหายเงียบขนาดนี้เลยหรือไง

            (จะออกมาเที่ยวกับพวกกูมั้ย มัวแต่หมกตัวอยู่ในห้องมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก) ไอ้ธามคุยกับผมผ่านทางโทรศัพท์ ผมนั่งสูบบุหรี่พิงระเบียงอยู่ที่ห้องของตุล รอมันกลับมา

            แต่ก็ไม่มีวี่แววแม้แต่จะโทรมาด้วยซ้ำ

            ผมต้องมั่นใจ ว่ามันจะต้องกลับมา

            ใช่ มันเป็นคนบอกเอง ว่าทุกอย่างต้องไปด้วยดี

            “ไม่ล่ะ ว่าจะกลับบ้านไปหาป๊า”

            (ให้ไปรับมั้ย?) ไอ้ธามถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง พอๆกับไอ้เจลที่ดึงดันจะมาหาผมให้ได้แต่ตอนนี้มันดันโดนเอาไปลอยคออยู่ที่เกาะพีพี

            “ไม่ต้อง เดี๋ยวไปเอง”

            ผมวางสายจากธามแล้วเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากห้องของไอ้ตุล สายตาของผมไปหยุดอยู่ที่เสื้อแขนยาวของเจ้าของห้องที่พาดไว้ที่ปลายเตียง ไม่ได้ขยับไปไหนตั้งแต่วันที่ตุลหายไป

            มือของผมจับเสื้อของไอ้ตุลขึ้นมาแล้วขยำมันแน่น

            อย่าหายไปแบบนี้ได้ไหม

            กลับมาไวๆได้ไหม

            มันเหงารู้ไหม…

            ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ผมรู้สึกขาดผู้ชายที่ชื่อตุลาการไม่ได้

            ผมนั่งรถแท็กซี่กลับมาที่บ้าน พลางเปิดประตูรั้วเข้าไป สายตาเหลือบไปเห็นรถของพ่อที่จอดอยู่ ผมรีบตรงดิ่งเข้าไปในบ้านแล้วตรงเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ เปิดประตูเข้าไปก็เจอพ่อยืนอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ผมมองผู้ชายวัยกลางคนที่ดูเปลี่ยนไปมากหลังจากล่าสุดที่ผมได้เจอ

            ตั้งแต่กลับจากปารีส ผมก็ไม่ได้มาหาพ่อ ไม่คิดจะมาเจอหน้า ขนาดพ่อชวนไปเที่ยว ผมก็ไม่เคยคิดจะไปด้วย ผมไม่ใช่ลูกอกตัญญู แต่การที่ผมไม่ได้อยู่กับพ่อ ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักพ่อสักหน่อย

            ผมแค่ต้องการเวลา ถึงแม้พ่อจะให้อภัยที่ผมเคยทำตัวเกเร แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิด ที่ผมรักษาทั้งชีวิตแม่และชีวิตเนไม่ได้

            “นิ…” พ่อหันหน้ามาเจอผม เจ้าตัวดูมีท่าทีตกใจ ผมยิ้มออกมานิดๆ

            “ไง ไม่เจอกันนาน ดูไม่แก่เลยนะ” ผมแซว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกเมื่อป๊าก้าวไวๆเข้ามาหาผมแล้วกอดผมแน่น แผ่นหลังของป๊าสั่นนิดๆ ผมวางมือลงบนหลังของป๊าแล้วตบเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดแน่น ผมซุกหน้าลงบนไหล่ของพ่อแท้ๆแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ

            “ป๊า ผมขอโทษ”

            ขอโทษที่ไม่ค่อยติดต่อมา ขอโทษที่ไม่กลับมาเยี่ยม ขอโทษที่รักษาชีวิตเนกับแม่ไว้ไม่ได้

            ผมขอโทษ

 

            หลังจากร้องไห้จนพอใจผมก็มานั่งอยู่บนโซฟาโดยมีถุงน้ำแข็งประคบตาอันแดงก่ำ ผมกับพ่อปรับความเข้าใจกัน พ่อพยายามพูดว่าผมไม่ใช่คนผิดสำหรับเรื่องแม่และเน พ่อดีใจที่ผมปลอดภัยและอยู่กับพ่อ แค่นั้นก็เกือบจะทำให้คนที่ไม่เคยร้องไห้อย่างผมน้ำตาตกอีกรอบ ป๊าเองยังรู้สึกตกใจที่จู่ๆไอ้เด็กหัวแข็งที่ตกบันไดบ้านสิบขั้นไม่ร้องซักแอะจู่ๆก็ร้องงอแงเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่น

            สุดท้ายผมก็เลยยกเรื่องตุลมาเล่าให้ป๊าฟัง ผู้ชายตรงหน้า คนที่ทำให้ผมเกิดมาจับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆราวกับต้องการปลอบโยน

            “คนจะอคติ ยังไงมันก็อคติ เราไม่ต้องไปเก็บความคิดของเขามาใส่สมองเราให้รก”

            ผมนั่งฟังผู้ใหญ่สอนเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งเดียวที่ผมไม่ต่อต้าน

            “ถ้าเราเชื่อใจเจ้าตุล ยังไงสักวันเจ้าตุลก็ต้องกลับมา”

            มันก็จริง ผมเชื่อมั่นว่ายังไงตุลมันต้องกลับมา แต่เมื่อไร? ผมต้องรอไปอีกนานขนาดไหน?

            ผมที่ไม่เคยคิดจะรอใคร ไม่เคยคิดจะตามใคร จะทนได้ถึงเมื่อไร…

            “ฟังป๊านะนิติ … ไม่ว่าอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เราทำได้สองอย่าง คือแก้ไข กับปล่อยมันไป ถ้าตอนนี้ลูกยังเชื่อมั่นว่าทุกอย่างต้องดีขึ้น ป๊าก็อยากให้เชื่อมั่น แต่ถ้าเมื่อไรลูกไม่สามารถยื้อมันไว้ได้ ก็ให้ปล่อยมันไปซะ ยิ่งยื้อ ครั้นก็ยิ่งจะทรมาน”

            “แล้วถ้าเกิด… มันไม่กลับมาล่ะป๊า” ผมพึมพำเสียงแผ่ว ป๊าตบไหล่ผมเบาๆอีกครั้ง

            “ลูกชายป๊าที่ชื่อนิติเนี่ย เข้มแข็งกว่าใครทั้งนั้น นิต้องผ่านมันไปได้ ป๊าเชื่อแบบนั้น เรื่องยากกว่านี้นิยังผ่านมาได้เลย ทั้งแม่ ทั้งเน กับตุล … ถ้ามันไม่ใช่ ก็อย่าไปยึดติด”

            “งั้นเหรอป๊า…”

            “ลดทิฐิของเราลงบ้าง ลดความดื้อ ความรั้นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปดั่งใจ เราไม่สมหวังไปซะทุกอย่างหรอก”

            นั่นสินะ

            ถ้าไม่ไหวจริงๆก็แค่ปล่อยไป

            แต่ตอนนี้ สิ่งที่ทำได้ ก็คงทำได้เพียงแค่เชื่อในตัวของตุลาการอย่างเดียว

 

            ตั้งแต่ผมกลับมาอยู่ที่บ้าน พ่อก็เอางานหอบมาทำที่บ้านหมดเหมือนกับกลัวว่าผมจะคิดสั้นอะไรทำนองนั้น ขอบอกเลยว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น จะมีก็แค่ซึมๆหงอยๆไปบ้าง แต่ผมก็พยายามทำตัวไม่ให้ว่าง ทั้งออกไปเที่ยวกับพวกไอ้ธาม โทรไปกวนไอ้เจล หรือไปเล่นเทควันโดกับไอ้สามเพื่อนสนิทสมัยเด็กๆ ลูกชายของเพื่อนพ่อที่ห่างจากกันไปนาน

            ผมยังคอยติดต่อหาตุลอยู่เรื่อยๆ แต่ไร้การตอบกลับ มือถือก็ปิดเครื่อง ไปตามหาที่มหา’ลัยเพื่อนของมันก็บอกว่าตุลขาดการติดต่อกับเพื่อนๆไปหมด พอถามหาว่าบ้านตุลอยู่ไหน ก็ไม่มีใครรู้สักคนเพราะชีวิตสี่ปีที่ผ่านมา ตุลมันใช้เวลาขลุกอยู่แต่ที่คอนโดกับเน

            เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ ผมที่เคยเชื่อมั่นว่าตุลต้องกลับมาก็ยังไม่ทิ้งความเชื่อมั่นนั้น ผมยังคงกลับไปคอนโดของตุลอยู่บ่อยๆ ไปดูว่ามันแวะมามั้ย มันอาจจะแวะมาเอาของบ้างก็ได้ แต่ไม่มีวี่แววเลยสักนิด ของที่ตั้งกองไว้ แบบไหนก็แบบนั้น นานๆทีจะมีคนขึ้นมาเก็บห้องให้เพราะเป็นบริการของทางคอนโด

            ผมใช้ชีวิตยุ่งๆของผมก็จริง แต่พอตกเย็น ความคิดถึงมันก็มักจะทำให้ผมกลายเป็นคนซึมเศร้าขึ้นมาซะเฉยๆ พ่อเองก็คอยหาเพื่อนมาให้ผม ไม่ให้เหงาหรืออยู่คนเดียว

            แต่ไม่ว่าจะกี่คน ผมก็ไม่เคยลืมผู้ชายที่ชื่อตุลาการ

            หนึ่งเดือนผ่านไป สองเดือนผ่านไป สาม สี่ ห้า หก เดือนผ่านไป

            ผมกลับไปเรียนที่มหา’ลัยเหมือนเดิม ทำตัวเหมือนเดิม กลับไปนอนที่คอนโดไอ้ตุลเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิมแค่ไม่มีคนเดิมอยู่ข้างๆ

            ไอ้เจลเองก็ห่วงที่ผมซึมๆไป มันก็ชวนผมไปตีแบดกับพวกไอ้สิทไอ้ป้องบ่อยๆ แต่ก็แค่นั้น ความสนุกมันอยู่ได้แปปเดียว พอกลับมาอยู่คนเดียวก็เหมือนเดิม

            “กินซะ แล้วก็เลิกเหม่อเหมือนคนไร้วิญญาณซะที” สาม ลูกชายน้าเบลเพื่อนสนิทของพ่อผมยื่นกระป๋องน้ำอัดลมมาให้ผม

            ตอนแรกผมไม่อยากจะเจอน้าเบลกับไอ้สามด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากจะตอบคำถามเรื่องแม่และเน แต่กลับกัน ทั้งน้าเบล และสาม ต่างก็ไม่เคยถามอะไรเรื่องแม่และเนเลยสักคำ นั่นทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัดและเข้ากับไอ้สามได้ดี

            ผมกับสามเดินไปตามถนนคนเดินที่ไม่ค่อยมีคนเพราะนี่มันก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว ไอ้สามมักจะชวนผมคุยนู่นคุยนี่ไม่ต่างจากไอ้เจล แต่มันดีตรงที่มันไม่งอแงเหมือนไอ้เจลนี่แหละ เวลามันเห็นผมนั่งเงียบๆคนเดียว มันก็จะเงียบตามแล้วก็ปล่อยให้ความเงียบคุยกัน

            หลังจากเที่ยวจนเกือบโต้รุ่งผมก็กลับมาอยู่ที่คอนโดของไอ้ตุลอีกครั้ง ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงของตุลาการ เตียงที่มักจะมีกลิ่นเหงื่อปนน้ำหอมอ่อนๆของเจ้าของห้อง แต่ตอนนี้มันหายเกลี้ยงไปหมด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ดมแล้วคันจมูกเป็นบ้า

            มึงหายไปไหนวะตุล … มึงจะคิดถึงกูบ้างมั้ย

            คำพูดของไอ้ตุลที่เคยพูดไว้กับผมมักจะย้ำซ้ำๆอยู่ในหัว

            ‘คนๆหนึ่งเข้ามาในชีวิตเรา แล้วจู่ๆก็หายไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย มันทรมานยิ่งกว่ารู้ว่าเขาตายไปแล้วอีกนะครับ’

            นั่นสินะ สงสัยมันคงเป็นกรรมที่ผมเคยทำกับไอ้ตุลไว้

            คราวนี้ มันเลยมาตามสนองผมแทน

            ‘กึก’

            เสียงกึกกักดังขึ้นที่ประตูหน้าห้อง ผมเบิกตากว้างก่อนจะลุกพรวดจากที่นอน ในใจโลดแล่นด้วยความดีใจ ปนหวาดกลัวเต็มไปหมด ผมหวังว่าเป็นตุล แต่ภาพที่เห็นตรงหน้านั่นไม่ใช่

            ผู้ชายสองคนที่ใส่เสื้อวอร์มสีส้ม ด้านหลังมีโลโก้ของบริษัทรับขนของทำให้ผมหน้าชา

            “อ้าว มีคนอยู่ในห้องเหรอครับ” ผู้ชายคนหนึ่งหันมาหาผมแล้วยิ้มให้ ผมก้มหัวให้เขาเล็กน้อย

            “พี่มาทำอะไรเหรอครับ?”

            “พอดีพ่อของคุณตุลาการให้มาขนของที่จำเป็นกลับน่ะครับ เห็นว่าลูกชายไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ คงจะไม่ได้กลับห้อง กลัวว่าของมีค่าจะหาย”

            “…”

            เหมือนโดนฝ่ามือฟาดลงบนหน้าแรงๆจนชาไปหมด ร่างกายของผมชาไปทั้งร่าง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วถามคำถามออกไปอีกครั้ง

            “พี่พอจะรู้มั้ยครับ ว่าบ้านของเจ้าของห้องอยู่ที่ไหน”

            “อ่อ คุณวุฒิให้ไปส่งที่บริษัทน่ะครับ ไม่ได้ระบุบ้านมา”

            “น้องเป็นเพื่อนลูกชายคุณวุฒิเหรอ” พี่ผู้ชายดูมีอายุอีกคนถามขึ้นขณะที่ค่อยๆเก็บพวกโทรทัศน์ใส่กล่อง ผมพยักหน้านิดๆ เขาดูเหมือนจะรู้จักไอ้ตุลแฮะ

            “แย่หน่อยนะ เห็นเลขาที่บริษัทบอกว่าลูกชายเขาคงไม่ได้กลับบ้านยาวเลย เห็นว่าไม่ได้บอกใครสักคน นี่น้าแอบไปถามมา เพราะปกติน้องตุลก็ใช้บริการพวกน้าให้ขนของมาลงห้องนี้รอบที่แล้ว”

            “…”

            “ถ้าจะไปก็น่าจะให้ลูกชายโทรหาเพื่อนๆหน่อย นี่เพื่อนๆเข้าไปตามหาที่บริษัท นึกว่าเจ้าตุลเป็นอะไรไป น้ามาบอกก็เพราะไม่อยากให้ตีโพยตีพาย เจ้าตุลไปเรียนต่อน่ะ”

            ผมเงียบไปแล้วมองภาพผู้ชายสองคนที่ค่อยๆขนของแต่ละอย่างใส่ลงกล่อง ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ยัดของทุกอย่างที่เป็นของผมลงกระเป๋าสะพายก่อนจะเดินออกไปห้องไปด้วยความว่างเปล่า

            ไปเรียนต่อ… งั้นเหรอ

            งั้นที่ไม่ติดต่อมา ก็เพราะไปอยู่นิวซีแลนด์งั้นเหรอ

            เป็นเพราะพ่อไม่ให้ติดต่อมาหรือเปล่า เหมือนพวกเพื่อนๆของมึงที่ไม่รู้ว่ามึงหายไปไหน

            แล้วเมื่อไรจะกลับ…

            ในหัวผมมีแต่คำถาม มากมายเต็มไปหมดและไม่รู้จะเริ่มที่ไหนต่อ

            รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านไอ้เจล

            แล้วแบบนี้…

            ผมยังต้องรอมันอีกมั้ย ในเมื่อผมไม่รู้เลย ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน

            TBC
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 19-01-2017 22:24:17
สนุกอ่ะ มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-01-2017 22:47:45
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 20-01-2017 22:04:50
มาม่าแตกเลยงานนี้ ตุลรีบมาเคลียร์ โลกโซเชียลก็มี จัดไป
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-01-2017 12:30:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 31-01-2017 11:27:18
มาต่อเร็วๆนะ เรารอนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 24 Love is Distance (19-01-60)
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 09-02-2017 04:45:15
มาแปะป้ายว่าสนุกมากกก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 25 Love is Taking Time (10-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 10-02-2017 20:20:15
Chapter
25



            ถ้าขึ้นชื่อว่าสิ่งไหนที่ทำให้คนเราทรมานมากที่สุด

            ก็คงจะเป็นความรัก

            ผมรู้แล้วว่าความรักมันทรมานแบบนี้นี่เอง มันคิดถึง มันโหยหา อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ แต่ท้ายที่สุด ก็ทำได้เพียงแค่ต้องปล่อยมันไป ไม่ใช่เพราะว่าหมดรัก แต่เพราะว่า รักต่อไปไม่ได้

            ผมใช้เวลาเยียวยาชีวิตของตัวเองให้กลับมาอยู่ในวงเวียนชีวิตปกติอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งเวลามันผ่านเลยไป ชีวิตคนมันก็ต้องเปลี่ยนไป

            ตอนแรกก็ปีกว่าๆที่ผมใช้ชีวิตไปกับความเศร้า รอคอย มีความหวัง

            จนกระทั่งสองปี ทุกคนต่างก็เตือนสติว่าผมควรจะรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

            และในที่สุด สามปี … ทุกอย่างเริ่มเลือนราง

            ไม่มีข่าวคราวอะไรจากผู้ชายที่ชื่อตุลาการ ไม่มีวี่แวว ไม่มีการโทรมาหา หรือไม่มีช่องทางไหนที่จะติดต่อได้ จากที่เคยรัก เคยผูกพัน มันกลับกลายเป็นเพียงรู้จักกัน จะมีที่หลงเหลือก็คือความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้

            นี่สินะ ที่เขาบอกว่า บอกลากัน ยังไม่เจ็บเท่ากับหายไปซะเฉยๆ

            สุดท้าย … สี่ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก

            ผมทุ่มเทให้กับการเรียนจนกระทั่งเรียนจบ พวกไอ้เจล ไอ้ธาม ไอ้สิท ไอ้ป้อง ก็จบตามกันมาติดๆ ตอนนี้ผมทำงานเป็นอาจารย์สอนพิเศษอยู่ที่มหา’ลัยในตัวเมือง พ่อเองก็ขายบ้านเก่าทิ้ง แล้วมาลงทุนทำคอนโด ชีวิตตอนนี้ผมเลยเข้าขั้นชีวิตคนกรุงเต็มที่ เช้านั่งรถไฟฟ้า เย็นนั่งรถไฟฟ้า กลับห้องคอนโดนอนหลับเป็นตาย กินอาหารกล่อง เดิมๆซ้ำๆไม่มีอะไรแปลกใหม่

            ส่วนไอ้เจลน่ะเหรอ ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ พ่อแม่กลับมาดีกัน แม่ออกจากคุก เลิกติดยาแล้ว ส่วนไอ้เจลก็ไอ้ลัลล้าอยู่ที่ออสเตรเลีย ตอนนี้เห็นบอกว่ากำลังจะได้เข้าคัดตัวนักบาสโปรแกรมดัง

            ส่วนธาม มันก็เรียนต่อโทที่ไทย ไอ้ป้องทำงานที่โรงงานกล่องกระดาษของพ่อ ส่วนไอ้สิททำงานกับแม่มันที่ภูเก็ต เห็นว่าทำโรงแรม มันชวนพวกผมไปเที่ยวบ่อยๆ แต่สุดท้ายพวกเราตัดสินใจว่าจะรอไอ้เจลกลับจากนอกก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวพร้อมกัน

            ผมกลับไปเยี่ยมหลุมศพแม่กับเนปีละครั้ง ชีวิตก็เหมือนเดิมๆ ตอนนี้พ่อเองก็กำลังไปได้สวยกับน้าเบล ทั้งสองคนเข้ากันได้ง่ายเพราะว่าน้าเบลเองก็โดนสามีทิ้งไป ส่วนพ่อผมเองก็ต้องการใครสักคนมาดูแล และผมเองก็คงจะมีพี่ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเพิ่มมาอีกคนนั่นก็คือไอ้สาม ป้าอรเองก็หายไปจากสาระบบชีวิตของผมและพ่อหลังจากขายบ้านทิ้ง

            ทุกอย่างลงตัวไปหมด

            ผมนั่งหลับตาฟังเพลงในรถไฟฟ้าที่เหลือคนเพียงแค่นิดเดียวระหว่างทางกลับคอนโด ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งลงตรงข้ามกับผม พร้อมกับลูกชายตัวเล็กที่อุ้มตุ๊กตาลูกหมาอยู่

            ‘ถ้านิอยากเรียก ก็ตั้งชื่อผมเองเลยสิครับ’

            ‘มึงมันไอ้ลูกหมาชัดๆ’

            น่าแปลกที่ถึงแม้คนๆนั้นจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ผมกลับยังรู้สึกคิดถึงอยู่

            แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้น มันกลับหายไปทั้งหมดแล้ว

            รถไฟฟ้าจอดลงที่สถานีที่คอนโดที่พ่อผมลงทุนสร้างร่วมกับน้าเบล ผมเลยได้สิทธิพิเศษนอนห้องชั้นบนสุดติดริมแม่น้ำเห็นวิวของกรุงเทพฯตอนกลางคืนชัดแจ๋ว

            ถึงอย่างนั้นอยู่ห้องใหญ่ๆไป มันก็ไม่มีประโยชน์ถ้าอยู่คนเดียว

            ผมเดินจากชั้นสองลงมานั่งที่โซฟาพลางเตรียมการสอนพรุ่งนี้ ผมสอนวิชาภาษาอังกฤษ ถึงจะเรียนเอกฝรั่งเศสมา แต่ก็มีเพียงแค่วิชานี้เท่านั้นที่อาจารย์ดันลาออกกะทันหัน ผมเลยเข้าเสียบทันที มหา’ลัยเองก็ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไร ขึ้นรถไฟฟ้าประมาณสี่สถานีได้

            Rrrr Rrrr

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมคว้าขึ้นมาแนบหูพลางกดปากกาเล่น
           
            “ครับ นิติพูดครับ”

            (วอซซ้าบดู้ด) เสียงลอยมาพร้อมกับหน้าลูกครึ่งผีครึ่งคน ไอ้จรัส บราวน์

            “ดู้ดหน้าดิ โทรมาไม มีไร”

            (เอ้า คิดถึงแห้งทำไหมจะโทรมาไม่ได้ ได้ข่าวยังว่าไอ้ธามโดนผู้ชายตามจีบ)

            “ห้ะ” ผมถึงกับหลุดขำ ไอ้เจลนี่ข่าวไวตลอด ขนาดมันไปมุดหัวอยู่ออสเตรเลีย ยังรู้เรื่องก่อนผมที่อยู่ประเทศเดียวกับไอ้ธาม

            (เออดิ ตลกชิบ แล้วนึกว่าจะเป็นแบบ ผู้ชายน่ารักๆสเปคไอ้ธาม ที่ไหนได้…)

            “อย่าบอกนะว่าชนิดเดียวกัน…”

            (แม่นหล้ายหลาย) ผมล่ะเกลียดไอ้คนชอบมั่วเอาภาษากลางกับภาษาถิ่นมาผสมกันอย่างไอ้เจลจริงๆ กระแดะมากนักหรือไง ต้องพูดปนกันสี่ห้าภาษา

            “ว่าแต่มึงเหอะ เมื่อไรจะกลับไทย เพื่อนๆเขารอนัดกันไปถล่มโรงแรมไอ้สิทอยู่”

            (สิ้นปีก็กลับแล้วจ้าที่ร้าก)

            … กูกดวางสายมึงตอนนี้ทันมะ

            “ทำไมไวจังวะ” ผมเอาไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้กับหูแล้วค่อยๆขีดเขียนแผนการสอนในวันพรุ่งนี้ ปล่อยให้ไอ้เจลพล่ามของมันไป

            (เอ้าไอ้ห่านี่ ไวก็สงสัย กลับช้าก็บ่น กูเก็บครบแล้วเถอะ ไนเจลคนเทพก็แบบนี้แล)

            “ไปอยู่นู่นพูดภาษาคนไม่ได้เลยเหรอ”

            (นิติ อย่ามาทำตัวบิช เดี๋ยวพี่เจลจะตบให้)

            “แรด”

            (ไอ้ตุลติดต่อมาบ้างมั้ย…) น้ำเสียงของไอ้เจลที่เปลี่ยนไป แฝงความเป็นห่วงมาให้ผม ผมวางปากกากับกระดาษลงที่ข้างตัวพลางเหม่อมองไปยังระเบียงชั้นสองภายในห้องคอนโดที่สามารถมองลงมาเห็นห้องนั่งเล่นได้

            (ลืมได้หรือยัง ยังงอแงอยู่เปล่า)

            “กูใคร นิติคนถึก”

            (โถ่ถัง ใครก็ไม่รู้ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่ง)

            “ไปนอนดูดนมหมาไปถ้าปากมึงว่างนักอ่ะ”

            ผมกำลังจะวางหูใส่ไอ้เจล พลางหันไปเจอกับของที่เผลอหยิบติดมือออกจากห้องของไอ้ตุลมาด้วยเมื่อสี่ปีที่แล้ว เสื้อเชิ้ตสีดำของมัน เสื้อที่มันชอบใส่นอน

            ถึงจะไม่มีกลิ่นของตุลติดอยู่แล้ว แต่เวลามอง มันก็ทำให้หายคิดถึงได้บ้าง

            (ถ้าเกิดวันนึงไอ้ตุลกลับมาขอมึงคบ มึงจะว่าไงวะนิ)

            ว่าไงงั้นเหรอ

            “ไม่รู้ว่ะ ถ้ามันกลับมา ก็อยากจะชกหน้ามันซักหมัดสองหมัดเหมือนกัน”

            (นี่สิเพื่อนโผมมมมม)

            ผมหัวเราะนิดๆแล้ววางหูโทรศัพท์พลางล้มตัวลงนอนที่โซฟา ก่อนจะคว้าเสื้อเชิ้ตของตุลมากอดเอาไว้ ผมว่าผมคงจะบ้าที่ถ้าเกิดว่าตุลมันกลับมา ผมเองก็คงไม่เกี่ยงที่จะกลับไปคบกับมันเพราะความรู้สึกทั้งหมดมันไม่ได้จางหายไป ถึงบางทีผมอาจจะรู้สึกโกรธที่มันหายไปเงียบๆ แต่มันคงจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น ตุลาการไม่ใช่คนที่ทำอะไรอยู่บนพื้นฐานของความไม่เอาใจใส่

            กลิ่นที่อยู่บนเสื้อเชิ้ตสีดำของตุล คือกลิ่นน้ำหอมที่ผมไปนั่งไล่หาว่าคือกลิ่นไหน ถึงมันอาจจะไม่เป้ะ แต่ก็พอทำให้เหมือนว่ามันยังอยู่ตรงนี้

            ว่าแต่ ทำไมผมต้องคอยให้ความหวังตัวเอง ว่าสักวันมันต้องกลับมา

            นี่มันสี่ปีแล้วนะนิ มันคงไม่กลับมาแล้วล่ะ

            ผมนอนกอดเสื้อเชิ้ตของตุลอยู่แบบนั้น พลางเผลอหลับไป

 

            “งานส่งสุดท้ายสิ้นเดือนนี้ มีคำถามอะไรถามผมได้ตลอด แค่นี้แหละครับ เลิกคลาสได้”

            ผมบอกเลิกคลาสแล้วหันมาสนใจกับงานที่นักศึกษาส่งมา ถึงแม้ว่าในอดีตผมจะเคยคิดว่าตัวเองไม่มีทางเป็นอาจารย์ได้แน่นอนเพราะทัศนคติผมแคบยิ่งกว่าอะไร แต่พอมาทำจริงๆ มันก็ไม่ได้แย่ ยิ่งเป็นเรื่องภาษาเรื่องที่ผมชอบแล้ว ก็สนุกไปอีกแบบ

            “พี่นิ ผมไม่เข้าใจตรงนี้อ่ะ” นักศึกษาที่นี่เรียกผมว่าพี่นิ ไม่เคยเรียกผมว่าครูหรืออาจารย์เพราะว่าผมเพิ่งจบใหม่ๆ อายุก็ไม่ต่างกับพวกเขาเท่าไร ตอนนี้ผมเลยว่าจะเรียนทางไกลเอา เรียนของทางฝรั่งเศส จะได้ดูน่าเชื่อถือจนใครๆสามารถเรียกว่าอาจารย์ได้เต็มปากกับเขาซะบ้าง

            พอสอนเสร็จ ผมก็มานั่งทำงานต่อในออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมรู้เลยว่าหายนะกำลังคืบคลาน ต้องเป็นหนึ่งในไอ้สี่ตัวนั่นแน่ๆ

            “ฮัลโหล นิติพูดครับ”

            (นิ ไอ้เสี่ยธนนแม่งจะฟ้องกูกับแม่ว่าทำโรงแรมเลียนแบบมันว่ะ)

            เสียงแบบนี้ ไอ้สิท

            “อ้าวทำไมวะ นี่นึกว่าเรื่องจบไปแล้วนี่” ผมว่า ก็ไอ้เสี่ยธนนเนี่ย มันรวยมาก แล้วไอ้สิทเองก็รวย แต่ประเด็นคือดันเปิดโรงแรมคล้ายกัน แต่ไอ้สิทน่ะมันเปิดก่อน เนื่องจากคนรวยอย่างเสี่ยธนนย่อมทำอะไรก็ได้ ด้วยความหมั่นไส้มันเลยฟ้องไอ้สิทข้อหาทำโรงแรมเลียนแบบมันทั้งๆที่ผมว่ามันไม่เห็นจะเหมือนเลยสักนิด

            (ไม่จบนี่ดิ มึงรู้จักทนายเก่งๆป่ะวะ? อยากจะฟ้องกลับให้หน้าหงายเลยแม่ง) ไอ้สิทถึงกับโทรมาถามผม แสดงว่ามันคงจะเดือดร้อนเข้าขั้น

            “ไม่ว่ะ แต่ป๊าคงรู้จักบ้าง”

            (ถ้ามึงได้ทนายเก่งๆยังไงบอกทีนะเว้ย นี่แม่กูก็กำลังหาทนายอยู่ แต่ไม่ค่อยจะเก่งเท่าไร)

            “โอเค ไว้ยังไงจะโทรไปบอก”

            ผมวางสายจากไอ้สิทแล้วตรงดิ่งกลับคอนโดไปหาพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่พ่อจะร่ายชื่อทนายที่พ่อรู้จักออกมามากมายก่ายกองจนกระทั่งผมไปสะดุดกับทนายคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนผู้ชายที่จู่ๆก็หายไปจากสาระบบชีวิตของผม

            ‘ตุลาการ สิรฉัตร’

            “ป๊า ทนายที่ชื่อตุลาการนี่ป๊ารู้จักหรือเปล่า” พ่อของผมที่กำลังสนใจการพัตกอล์ฟตอบแบบขอไปที

            “ไม่รู้สิ ป๊าได้นามบัตรมาจากตอนที่ไปงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าน่ะ”

            อื้อหือ รุ่นพ่อเลยเหรอวะ

            จะไหวมั้ยเนี่ย

            ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมกดเบอร์โทรศัพท์ไปยังทนายที่ชื่อตุลาการ อาจจะเป็นเพราะว่าถูกชะตาเพราะชื่อเหมือนกับคนที่ผมคิดถึงก็ได้มั้ง หวังว่ามันจะเก่งจนช่วยให้เพื่อนผมชนะคดี ถ้าเป็นไอ้ตุลล่ะก็ มันต้องชนะแน่ๆ

            (ตุลาการรับสายครับ) ปลายสายออกเสียงทุ้มๆคุ้นหู แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวแต่สนใจการตรวจงานของนักศึกษาในมือมากกว่า

            “พรุ่งนี้พอจะว่างไหมครับ พอดีผมอยากจะคุยเรื่องเคสของเพื่อนที่จะโดนฟ้องเรื่องลิขสิทธิ์โรงแรมที่ภูเก็ต”

            (ว่างครับ ซักกี่โมงดีครับ)

            “ประมาณเที่ยงแล้วกันครับ เจอกันที่ร้านอาหารแถวๆคอนโด Niran ได้มั้ยครับ”

            (ครับผม)

            “เห็นบนนามบัตรบอกว่าจบจากนอก ผมเชื่อใจคุณได้มั้ยเพราะว่าพ่อผมได้นามบัตรมาจากงานเลี้ยงรุ่น บอกตามตรงว่าผมอยากให้เพื่อนผมชนะคดีเพราะอีกฝ่ายเป็นไอ้เสี่ยงี่เง่าคนหนึ่ง” เผลอพ่นสันดานดิบออกไปกะทันหัน ผมรีบแก้คำให้สุภาพ
 
            “เอ่อ เสี่ยที่คิดไม่ค่อยเป็นน่ะครับ”

            (ถ้าฝั่งคุณได้เปรียบ ผมชนะคดีมาแล้วเกินครึ่งร้อยครับที่ต่างประเทศ)

            “ถ้าอย่างนั้นก็โอเคครับ เจอกันที่ร้าน XXX ตอนเที่ยง นี่เบอร์ติดต่อผม ผมจะจองโต๊ะรอไว้”

            (ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ ผมจะได้ถามหาถูก)

            “นิติครับ”

            ผมว่าแค่นั้นพลางวางสายไปแบบชุ่ยๆเพราะกำลังวุ่นวายกับการทำงานตรงหน้า จะว่าไปทนายก็ไม่ได้เสียงแก่หงำเหงือกขนาดนั้น อาจจะเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อล่ะมั้ง

            พอทำงานเสร็จผมก็เผลอหลับคาโซฟา พร้อมกับเสื้อเชิ้ตตัวเดิมที่กอดเอาไว้เป็นเสมือนของแทนตัวของผู้ชายที่ผมเคยรัก และยังรักอยู่

            ถ้าได้กอดมึงจริงๆ ก็คงดี

            TBC


มาต่อแล้วววววว โอ้ยยยเกือบลืมไปแล้วจริงๆว่ายังลงไม่จบ ขอโทษน้าา
ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายนะคะ รัก.
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 25 Love is Taking Time (10-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-02-2017 21:19:51
ค้างเลยยยยยยย   :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 25 Love is Taking Time (10-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-02-2017 01:52:59
ถ้าเจอกันจริงๆเราไม่อยากให้นิติใจอ่อนกับตุลย์เลย งอนยาวๆเลยได้มั้ย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 25 Love is Taking Time (10-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 12-02-2017 10:53:05
โกรธตุลอะ :ling1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 25 Love is Taking Time (10-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 12-02-2017 11:25:34
อ้าวววว
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 25 Love is Taking Time (10-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 12-02-2017 14:26:49
เหตุผลอันใดก็ไม่เพียงพอที่ทำให้คนๆหนึ่งต้องรอมานานขนาดนี้หรอก พิสูจน์รักแท้งี่เง่าห่าเหวเหรอ ถ้าเราเป็นนิติต่อให้ไม่เหลือใครก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้ชายที่ชื่อตุลาการ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 13-02-2017 15:17:29
Chapter
26

 

            หลังจากเคลียร์งานเสร็จแต่หัววันผมก็รีบบึ่งกลับไปที่ร้านอาหารข้างๆคอนโดของพ่อ ผมจองชื่อโต๊ะอาหารในร้านโดยใช้ชื่อนิติก่อนจะออกมายืนคุยโทรศัพท์

            “ไฟล์ที่ส่งไปให้อยู่ในเมลแล้วพี่ตา ครับ แต่ผมส่งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ … อ้าว ทำไงล่ะทีนี้ ผมไม่ได้เอางานติดตัวมานี่สิ … ครับๆ เดี๋ยวจะรีบส่งให้ก็ได้ครับ”

            บ้าชิบ

            ผมดูนาฬิกาที่บอกเวลาสิบเอ็ดโมง ยังมีเวลาอีกชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานัด ผมรีบตรงดิ่งกลับไปที่คอนโดเพื่อไปส่งเอกสารผ่านทางเมลอีกครั้งเพราะที่ส่งไปเมื่อวานมันดันหายไปไหนไม่รู้ พอมาถึงคอนโด ไฟก็ดันดับ ดับไม่พอ เหมือนฟ้ากำลังกลั่นแกล้งผม แบตโน้ตบุ๊คก็ดันมาหมดตอนนี้อีก

            โว้ยยย อะไรนักหนาวะเนี่ย

            ผมรีบย้ายก้นไปที่ร้านกาแฟข้างๆคอนโดที่ห่างจากร้านอาหารเกือบสองช่วงตึกพลางส่งไฟล์งานให้กับพี่ตา มันคือไฟล์ข้อสอบมิดเทอมของวิชาที่ผมสอน กว่าจะส่งงานเสร็จก็ล่อไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมนั่งรถแท็กซี่เพื่อตรงไปร้านอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก

            (นิ สามลืมเอกสารไว้ที่ล็อบบี้คอนโดอ่ะ ฝากเอาให้หน่อยได้มั้ย ตอนนี้อยู่บนสถานีรถไฟฟ้าอ่ะ)

            ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า

            “ให้พี่ที่คอนโดเอาไปให้ดิ”

            (พี่เขาไม่ว่างเลยอ่ะ รีบใช้ด้วยดิ รถจะมาแล้ว)

            “เออๆ แปปๆ”

            สุดท้ายผมเลยต้องวิ่งกลับไปที่คอนโดเพื่อไปเอาเอกสารที่ไอ้สามต้องใช้พลางปีนเอาขึ้นไปให้มันที่สถานีรถไฟฟ้า วิ่งไปวิ่งมาผมงี้ลิ้นแทบห้อย ตอนนี้เวลาเที่ยงตรงพอดี

            Rrrr Rrrr

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตรงเวลาเป้ะ ผมรีบกดรับพลางกรอกเสียงลงไป

            “ขอโทษที่สายครับ พอดีมีเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย”

            (อะไรของมึงเตี้ย กูกำลังจะลงหน้าคอนโดมึง รอรับแล้วมาช่วยถือของหน่อย) เสียงไอ้ธามแหกปากมาตามสายเล่นเอาผมตาขวาง

            “แล้วทำไมไม่โทรมานัดกูก่อน”

            (เพิ่งนึกได้ว่าลงหน้าคอนโดมึงพอดี)

            “ไอ้…”

            (ลงแล้ว รอรับด้วย) ไอ้ธามมัดมือชกผมจนปฏิเสธไปไม่ได้ แล้วอะไรมันต้องมาประเดประดังเข้ามาพร้อมกันวันที่ผมนัดคุยธุระกับทนายด้วยวะเฮ้ย

            สุดท้ายผมก็ต้องโทรไปเลื่อนนัดทนายตุลาการนั่น เลื่อนออกไปเป็นห้าโมงครึ่ง แล้วมาช่วยไอ้ธามถือของที่มันจะย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดของพ่อผมเพราะว่าขี้เกียจไปเช่าหอที่มีป้าขี้บ่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเวลาที่ไอ้ธามซื้อของขึ้นไปกินบนห้อง

            ผมวางลังใส่หนังสือลงบนพื้นห้องคอนโดของไอ้ธามพลางทรุดตัวลงนั่งหอบแฮ่กที่พื้น

            “กูกำลังจะไปคุยกับทนายที่ไอ้สิทมันขอมา มึงนี่น้า”

            “อ้าวเหรอ ไมมึงไม่บอก” ไอ้ธามทำหน้าเหรอหราเหมือนจะสำนึกผิด ผมเตะขามันจนมันทรุดลงที่พื้นแล้วนอนแผ่ข้างๆผม

            “มึงไม่ได้เบื่อที่ป้าที่หอบ่นหรอก หนีใครมาอ่ะดิ” ผมถามเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกัน ไอ้ธามยื่นมือมาขยี้หัวผมแล้วเลื่อนตัวมานอนบนตักผม

            “อือ แม่งตามรังควานชีวิตกูมาก”

            “แล้วมึงหายไปแบบนี้ เขาไม่เสียใจเหรอวะ” ไอ้ธามเงยหน้ามองผมแล้วเอามือแตะหน้าผมเบาๆเหมือนมันจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร

            ตุลหายไปแบบนี้ ผมไม่เสียใจเหรอ

            เสียใจดิวะ คนนะไม่ใช่ผักปลาจะไม่มีความรู้สึก

            แต่สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้

            “ก็ถ้าไม่จำเป็น กูก็ไม่ทำหรอก”

            จากคำพูดของไอ้ธาม ดูเหมือนว่าไอ้ผู้ชายที่ตามตื้อมันจะดูมีความสำคัญกับมันพอสมควร เพราะไม่งั้นอย่างไอ้ธามน่ะเหรอโดนผู้ชายตามตื้อ ป่านนี้ไอ้ผู้ชายนั่นได้ลงไปนอนห้อยโตงเตงหยอดน้ำข้าวต้มไปแล้ว

            อยู่กับไอ้ธามได้ไม่นานผมก็ต้องรีบไปสอนที่มหา’ลัย พอเลิกเสร็จก็ดันโดนขอร้องให้อยู่ฟังบรรยายของอาจารย์ที่มาจากมหา’ลัยต่างประเทศ สุดท้าย ผมก็เลยต้องโทรไปขอโทษขอโพยทนายตุลาการนั่น แล้วเลื่อนนัดเป็นวันพรุ่งนี้แทน

            อะไรมันจะมาวุ่นวายในวันที่ผมมีนัด วันธรรมดาล่ะไม่เห็นจะวุ่น

            บ้าตาย

            ผมขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อจะกลับคอนโด เลยเลือกที่นั่งที่ไม่ค่อยมีคน ด้วยความล้าเลยทำให้เผลอเอาหัวพิงกระจก ผมมองออกไปข้างนอก มองวิวของกรุงเทพตอนกลางคืน คนแล้วคนเล่าผลัดกันเข้าออกรถไฟฟ้าจนกระทั่งคนน้อยลงเรื่อยๆ

ผมถอนหายใจแล้วมองกระจกไปเรื่อยเปื่อย พลางเงาสะท้อนที่กระจกก็ทำให้ผมหันขวับไปมองผู้ชายตัวสูงที่ใส่ชุดสูทที่ยืนอยู่ใกล้ประตู กลุ่มผมสีดำสนิทที่ดูคุ้นตานั่น ผู้ชายคนนั้นยืนหันหน้าหาประตูเลยทำให้ผมเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเขา แผ่นหลังกว้างๆนั่น…

            คุ้นมาก

            คุ้นเหมือนเคยเจอที่ไหน…

          ‘หลังพี่ตุลกว้างมากเลยรู้มั้ย’

          !!!

            สถานีต่อไป XXX

            เสียงประกาศสถานีต่อไปดังขึ้นพร้อมกับรถไฟฟ้าที่จอดลง ผู้ชายตัวสูงคนนั้นก้าวออกจากรถไฟฟ้าไป ไม่รู้ว่าทำไมขาของผมจู่ๆก็ก้าวตามเขาไปแต่ไม่ทัน ประตูปิดลงพร้อมกับรถที่ค่อยๆเคลื่อนออกช้าๆ สายตาของผมจับจ้องไปยังคนที่เหมือนจะรู้ตัวว่าโดนมองอยู่ ผู้ชายเจ้าของผมสีดำใส่สูทสีเทาค่อยๆหันหน้ามาพลางเบิกตากว้างเมื่อเห็นผมที่ยืนอยู่ในรถไฟฟ้า เจ้าตัวยืนนิ่งอยู่แบบนั้นด้วยอารามตกใจ ผมแนบฝ่ามือลงบนกระจกอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาแต่ยังไม่ทันจะทำอะไร รถไฟฟ้าก็เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา…

            ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในรถไฟฟ้าพลางกุมขมับด้วยความรู้สึกมึนงงไปหมด

            ไม่ผิดแน่ ใบหน้านั่น เจ้าของดวงตาเรียวๆนั่น จมูกโด่งๆ ริมฝีปากสีซีดออกคล้ำ กลุ่มผมสีดำสนิท ใบหน้าหล่อๆและลักยิ้มที่ผมชอบมอง

            ตุล…

 

            (ห้ะ!? มึงเจอไอ้ตุลเนี่ยนะ?) เสียงไอ้เจลตะโกนดังออกมาจากโทรศัพท์หลังจากที่ผมสอนเสร็จแล้วมานั่งพักที่ออฟฟิศหรือเรียกง่ายๆว่าห้องพักอาจารย์พร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้ว

            เมื่อคืนหลังจากเจอหน้าตุล ผมก็นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่การที่ได้เห็นหน้ามัน มันเหมือนความหวังลมๆแล้งๆที่ผมฝันเฟื่องเอาไว้ทั้งหมดมันกำลังจะกลายเป็นจริง

            (แล้วจะทำไงวะ)

            “ไม่รู้ว่ะเจล ไม่รู้เลย”

            ไอ้ตุลเมื่อก่อนกับตอนนี้ดูราวกับเป็นคนละคน ตอนนี้มันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูเป็นคนที่ยิ่งกว่าพึ่งพาได้และดูเป็นคนสุขุมกว่าแต่ก่อน

            จะให้พูดยังไงดี

            ถ้าเจอกันอีก หรือไม่รู้จะได้เจอมั้ย

            ผมอยากถาม ว่ามันสบายดีไหม… เป็นไงบ้าง…

            คิดถึงมึงนะ…

            เวรเอ้ย ผมคิดบ้าอะไรอยู่วะ

            ใช่ไอ้ตุลจริงๆหรือเปล่าผมยังไม่รู้เลย

            ผมทำงานจนถึงดึกก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับคอนโดเหมือนอย่างเคย ผมนั่งที่เดิมแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอกเหมือนทุกครั้ง แค่หวังว่าจะได้เจอมันอีก จะได้เจอไอ้ตุลอีก

            แค่ได้เห็นหน้าก็ยังดี

            แต่ไม่มีวี่แววของไอ้ตุลเลยสักนิด

            ผมอาจจะคิดถึงมันจนตาฝาด …

            แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เลือกที่จะลงที่สถานีที่ไอ้ตุลลงเมื่อวานเพื่อจะดูว่าแถวนั้นมีคอนโดที่ตรงกับรสนิยมของมันอยู่มั้ย ผมยืนรอหน้าประตูขณะที่ประกาศสถานีต่อไปด้วยอารมณ์มึนๆกับชีวิต

‘ถ้าเกิดวันนึงไอ้ตุลกลับมาขอมึงคบ มึงจะว่าไงวะนิ’

            เสียงไอ้เจลหลอกหลอนอยู่ในหูผม ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก ผมก้าวขาออกไปยืนข้างนอกตรงสถานีที่แทบจะไม่มีคนเหลืออยู่แล้วเพราะมันดึกพอสมควร ผมยกมือปิดหน้าพลางหัวเราะสมเพชตัวเอง

            นี่มึงกำลังทำอะไรของมึงวะนิ

            ฝันลมๆแล้งๆหรือไง

            มันจำมึงได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย

            ผมถอนหายใจพลางเดินให้ห่างจากระยะของรถไฟฟ้า ก่อนจะหันไปมองผู้ชายที่เดินออกพร้อมกันทางประตูของอีกโบกี้หนึ่ง

            สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า ทำให้ใจผมเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก

            ผู้ชายตัวสูงคนที่ผมอยากจะเจอมาตลอดสี่ปี เจ้าของลักยิ้มที่มีเสน่ห์ อ้อมกอดที่เคยกอดผมเอาไว้ ริมฝีปากที่เคยคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ลมหายใจอุ่นๆ กับแผ่นหลังกว้างๆ

            ผู้ชายคนนั้นยืนห่างจากผมหนึ่งช่วงโบกี้ พร้อมกับหันมามองผมด้วยสายตาเหมือนเมื่อวาน สายตาที่บ่งบอกถึงความตกใจ ปนความสับสนเต็มไปหมด

            เจอแล้ว … ผมเจอมันแล้ว

            รถไฟฟ้าเคลื่อนออกไปปล่อยให้ผมกับตุลยืนจ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น คนเริ่มจางหายไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงแค่ผมกับตุลที่ยืนหันหน้าเข้าหากัน

            ไม่รู้ว่าควรทำไง ผมอยากถามมันว่ามันเป็นยังไงบ้าง ไปอยู่ที่นู่นลำบากมั้ย คิดมากอะไรหรือเปล่า สบายดีมั้ย คิดถึงกูบ้างมั้ย ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง ไหนบอกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นไง

            แต่สิ่งที่ผมทำ กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

            ‘ผั่วะ!!!’

            ผมวิ่งเข้าไปชกหน้าไอ้ตุลจนมันร่วงไปกองที่พื้น ก่อนที่ผมจะหันหลังแล้ววิ่งหนีมันออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัดจนแทบจะระเบิด เสียงทุ้มๆที่มักจะเรียกชื่อผมสมัยก่อน มันน่ารำคาญ

            “นิ!!!”

            แต่ตอนนี้ มันทำให้ผมอยากจะวิ่งกลับไปกอดมัน

            “นิ เดี๋ยวก่อน!!”

            “มึงมันงี่เง่า เลวเอ้ย!!” ผมกร่นด่าไอ้ตุลแล้ววิ่งลงบันไดจากสถานีเพื่อตรงกลับไปที่คอนโด ฟุตบาทด้านล่างแทบจะไม่เหลือคนเดินผ่านแล้ว รถก็แทบจะไม่มีวิ่ง

            “นิ!!! นิติ!!! รอผมก่อน ให้ผมอธิบาย…”

            “เงียบไป!!! หุบปากเห็นแก่ตัวของมึงไปซะ!!!” ผมหันกลับไปด่าไอ้ตุลจนหน้าเน่อแดงไปหมด เราสองคนยืนจ้องหน้ากันเหมือนจะฆ่ากันให้ตาย สุดท้ายผมเป็นฝ่ายเข้าไปกระชากเสื้อมันแล้วเขย่ามันเหมือนมันเป็นกระป๋องน้ำอัดลม

            “กูเกลียดมึงไอ้เวร เกลียดมึงไอ้คนเห็นแก่ตัว มึงกล้าดียังไงหายหัวไปสี่ปีปล่อยให้กะ…”

            ริมฝีปากที่ผมคิดถึงบดเบียดลงบนริมฝีปากของผม ความโหยหาที่ผมฝันลมแล้งๆมันกำลังเป็นรูปเป็นร่าง แต่ถึงอย่างนั้น ความโมโหมันก็มีมากกว่า

            ผมผลักไอ้ตุลออกแล้วเดินดุ่มๆกลับไปที่คอนโด ต่อให้เดินจนขาลากทิฐิผมก็ยังสูงลิ่วยิ่งกว่าอะไร ไอ้ตุลยังคงเดินตามผมต้อยๆแล้วพยายามจะคว้าแขนผมไว้ คนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่มีท่าทีโวยวายแบบเมื่อก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไอ้ตุลมันต้องคอยเรียกนิ นิ นิ นิ ไปตลอดทางจนกว่าผมจะยอมยกโทษให้มัน

            มึงยังรักกูอยู่ไหม

            มึงจะเปลี่ยนไปไหม

            นี่คือคำถามที่ผมพูดออกไปไม่ได้

            ผมเดินดุ่มๆเข้าไปในคอนโดโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พอไอ้ตุลตามเข้ามาในลิฟต์เท่านั้นแหละ มันก็ปราดเข้ามาจูบผม ผมพยายามถอยหนีแล้วโกยอากาศเข้าปอดก่อนจะผลักไอ้ตุลออกไป

            “กูเกลียดมึง ตุลาการ”

            ลิฟต์เปิดออก ผมก้าวขาฉับๆตรงไปที่ห้องด้วยความโมโห ก่อนจะกระชากประตูห้องเปิดแล้วปิดฟาดใส่หน้าไอ้ตุล ไอ้คนที่ไวยิ่งกว่าจรวดพุ่งเข้ามาในห้อง ใช่ ผมพามันมาที่ห้อง จะได้ซ้อมได้ถนัดๆ

            “ตายซะ” ผมชกไอ้ตุลอีกครั้ง เจ้าตัวกอดผมเอาไว้ แต่ผมก็ทั้งทุบ ทั้งตี ทั้งข่วนมันยิ่งกว่าแมว แต่ไอ้ตุลไม่ตอบโต้เลยสักนิด ผมใช้กำลังจนกระทั่งสะใจ ตุลาการเลยถอนกอดออกแล้วลากผมไปนั่งที่โซฟาเพื่อคุยกันดีๆ

            “นิจะด่า จะฆ่า จะชกผมยังไงก็ได้ แต่ให้ผมอธิบาย…”       

            “อธิบายบ้าไร มึงหายหัวไปสี่ปีมึงยังจะมีหน้ามาอธิบายอีกเหรอ!!!”

            “นิครับ ขอล่ะ ผมคิดถึงนิมากนะ” ฝ่ามืออุ่นๆของไอ้ตุลแตะลงบนหน้าผม มันอุ่นเหมือนเคย แต่ผมทำเพียงแค่ปัดมันออกไป

            “บอกได้มั้ย กูต้องทำตัวยังไง ในเมื่อจู่ๆมึงก็หายไป” ผมตัดพ้อไอ้ตุล คนข้างๆดึงผมเข้าไปกอดแล้วกดจมูกลงบนกลุ่มผมของผม

            ทำไมผมต้องคิดถึงมันด้วย

            ทำไมกูต้องคิดถึงมึงขนาดนี้ด้วย ไอ้คนน่ารำคาญ

            TBC

อยากให้คนอ่านใจเย็นๆ5555555555555555555555 หัวใจเถอะ
แต่เดี๋ยวก่อน สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องใหม่ของ jiwinil ตอนนี้มีที่กำลังแต่งและอัพลงอยู่ 2 เรื่องด้วยกันนะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
He is my...เนื้อคู่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56691.msg3522415#msg3522415)
ตะวัน จันทร์ ฉันและเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58127.msg3575824#msg3575824)
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 13-02-2017 15:38:24
ตุลาการ  อธิบายมาเลยนะ  หายไปไหนมา 4 ปีเชียวนะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-02-2017 16:59:25
อย่ายอมกลับไปง่ายๆนะนิติ :m16:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-02-2017 20:32:44
โอ้ยๆ......เขาเจอกันแล้ว
ตุลาการ นิติ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แหมๆ ตุลาการ ทำงานด้านกฎหมาย เป็นทนายซะด้วย
แต่นิติ นี่สิ อยากเจ้อ อยากเจอตุล หายไปสี่ปี
พอเจอกันจริงดันชกหน้าซะนี่
ปรับความเข้าใจกันดีๆ เลย ฮึ
คนอ่าน รอฉากหวานๆ นานละนะ NC ยิ่งดี /เขิน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-02-2017 21:01:28
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 13-02-2017 21:26:57
กลับมาแล้ว
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 26 Love is Hope (13-02-60)
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 18-03-2017 22:20:20
มารอเหตุผล :katai1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 27 Love is Permanent (07-04-60)
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 07-04-2017 11:35:17
Chapter
27

 

            “ฟังผมอธิบายก่อนนะ ขอร้องล่ะครับ”

            เสียงทุ้มๆของผู้ชายที่ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ตอนนี้มันกลับมีอิทธิพลต่อหัวใจของผมมากกว่าใคร จากที่โวยวายเมื่อกี้ ผมนั่งเงียบๆแล้วรอฟังไอ้ตุลอธิบาย

            “วันนั้นที่ผมไปหาพ่อ พ่อผมรับไม่ได้เรื่องที่เราจะคบกัน”

            ผมเงยหน้ามองไอ้ตุล มันไม่ยอมปล่อยผมจากอ้อมกอดเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป

            คนที่กลัว ต้องเป็นผมมากกว่า ผมกลัวว่ามันจะหายไปอีกครั้ง

            “พ่อกักบริเวณผม ขังผมไว้ในห้อง ไม่ยอมให้ผมติดต่อนิ หรือเพื่อนคนอื่น ผมเลยประท้วงพ่อด้วยการไม่กินข้าวกินน้ำ” ไอ้ตุลอธิบายด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ได้โกหก

            “ทำไมมึงต้องทำถึงขนาดนั้นวะ” ผมถาม ตุลยิ้มมุมปากโชว์ลักยิ้มบนแก้มของมัน

            “ถ้าไม่ทำแบบนั้น เขาคงไม่รู้ว่าผมรักนิจริงๆ”

            เหอะ พูดง่ายนี่ไอ้หมา

            “พอเห็นแบบนั้น พ่อเลยยอมลงแล้วก็มีข้อแลกเปลี่ยนกับผม ว่าถ้าผมยอมไปเรียนต่อแล้วได้เป็นทนาย หลังจากนั้นพ่อจะไม่ยุ่งกับชีวิตผมอีก”

            “แต่มึงไม่ติดต่อมา…”

            “ผมรู้ ขอโทษ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำขอโทษคงไม่พอ” ไอ้ตุลกอดผมแน่นขึ้นไปอีก มันซุกหน้าลงมาบนไหล่ผมพลางถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา

            “ดีใจจังที่ได้เจอนิอีก ดีใจมากๆเลยรู้มั้ยครับ”

            ใจที่ไม่ได้เต้นรัวกับใครสักคนมาสี่ปี ตอนนี้มันกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง ผมพยายามปัดไอ้ตุลออกไป ทั้งๆที่พยายามจะทำใจแข็งเพราะอยากสั่งสอนที่มันหายไปแบบไม่บอกบ้าอะไร ทิ้งให้ผมเป็นห่วง เหงา รู้สึกแย่อยู่คนเดียว แต่พอเจออ้อมกอดอุ่นๆของมันแล้ว ผมดันพ่ายแพ้มันราบคาบ

            “กูโกรธมึงอยู่นะ” ผมเมินสายตาออกไปมองที่อื่น ไอ้ตุลพยักหน้ากับไหล่ผม

            “ครับ ผมบอกกับนิว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี ผมต้องอดทนเพื่อที่จะเรียนให้จบ สอบทนายให้ผ่าน แต่พอกลับมาที่ไทย นิก็เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ แถมบ้านนิผมก็ยังไม่เคยไปเหยียบ”

            “…”

            “ถ้าเกิดว่าผมติดต่อนิช่วงที่ผมเรียนอยู่ ผมคงทนคิดถึงไม่ไหว และถ้าผมเรียนไม่จบ พ่อก็จะไม่ให้เราคบกัน”

            ผมหันไปขมวดคิ้วหน้าบึ้งใส่ไอ้ตุลพลางผลักมันออก

            “มึงมันเห็นแก่ตัวชิบ แล้วอีกอย่าง เราก็ยังไม่ได้คบกันว่ะ” พอผมจะลุกเดินหนี ไอ้ตุลก็กระชากแขนผมลงไปนั่งตักมัน พฤติกรรมเดิมๆที่หายไปจากชีวิตค่อยๆกลับมาเติมเต็มช่องโหว่ในชีวิตของผม

            “จะให้ผมทำอะไรก็ยอม จะโกรธผมก็ได้ แต่อย่าเกลียดผม อย่าไล่ผม”

            “…”

            “นิเป็นคนสุดท้ายของผมนะ ถ้านิไล่ผมไป ผมก็ไม่รู้จะไปไหนอีกแล้ว”

            “งี่เง่า” ผมผลักหัวไอ้ตุลแรงๆ

            ถึงมันจะดูโตกว่าแต่เก่า ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่นิสัยก็ยังเหมือนเด็ก

            “ต้องทำยังไงถึงจะหายโกรธ”

            “…” ไม่รู้ว่ะ ต้องทำยังไงน่ะเหรอ ไม่รู้จริงๆ

            เพราะแค่ได้เจอหน้า ได้กอด ได้อยู่ข้างๆ ก็หายโกรธแล้ว

            “สี่ปีที่ผ่านมา กูเคยสงสัยว่ามึงหายไปไหน กูยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำกับการที่จะได้เจอมึง” ผมพึมพำเสียงแผ่ว มันนานเท่าไรไม่รู้ที่ผมรอว่าเมื่อไรตุลจะกลับมา

            นานเท่าไรไม่รู้ รู้แค่ว่าผมเกือบจะลืมมันไปแล้ว

            “นิครับ…” ตุลจับมือผมแน่น แน่นพอที่จะทำให้รู้ว่ามันคงไม่หายไปไหนอีก

            “กูจะแน่ใจได้ยังไง ว่ามึงจะไม่หายไปอีก”

            จะแน่ใจได้ยังไง ว่าจะไม่เจ็บอีก

            “ถ้าอย่างนั้น …” ผมเห็นไอ้ตุลนิ่งไป เหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง มันจ้องตาผมเหมือนกับจะสื่อว่ามันจริงจังกับสิ่งที่กำลังจะพูดออกมา

            “คบกับผมนะ”

            “!!”

            เหมือนทุกอย่างรอบตัวมันนิ่งไปหมด ภาพตรงหน้ามีเพียงแค่ผู้ชายตาหยีๆ คนหนึ่งที่จริงจังกับคำพูด คนที่ซื่อสัตย์แม้กระทั่งสายตาที่แสดงออก

            ผมกับตุลอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไร้สถานะมาเกือบปี และตามด้วยสถานะที่คลุมเครือ ไม่ได้คบกัน ไม่ได้บอกรักกันทุกวัน จู่ๆมันหายไป ความสัมพันธ์นั้นก็เหมือนจะสิ้นสุดลง แต่ตอนนี้ผู้ชายตรงหน้ากำลังขอผมคบ สถานะที่แน่ชัด สถานะที่บ่งบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ มันไม่ใช่ผมตัวคนเดียวอีกแล้ว

            เมื่อเห็นผมนิ่งไป ตุลมันเลยย้ำอีกครั้ง

            “เป็นแฟนกันนะ นิติ”

            ความร้อนที่พุ่งขึ้นมาบนใบหน้าทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี บรรยากาศรอบตัวมันร้อนอบอ้าวไปหมดจนเหงื่อชื้นเต็มหลังและฝ่ามือ

            ทำไมมึงอ่อนแบบนี้วะไอ้นิ ไหนเมื่อก่อนเป็นไอ้ขาโจ๋ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่สะท้านไง

            นี่มัน…

            จะละลายแล้วเว้ย

            อันตรายชิบ… โคตรอันตราย!

            ไอ้ผู้ชายที่ชื่อตุลาการนี่มันตัวอันตรายชัดๆ!!

            “นิ… ยังโกรธอยู่เหรอ” ไอ้ตุลถาม แล้วพยายามลากแขนผมเข้าไปหามัน ผมเบือนหน้ามองไปที่อื่นทั้งๆที่รู้ตัวเองว่าหูเหอคงแดงเถือกไปหมดแล้ว

            ความรัก มันทั้งเจ็บปวด ทั้งรู้สึกดี แบบนี้สินะ

            “นิ … เขินเหรอครับ” ผมหันขวับไปมองหน้าไอ้ตุลแล้วจะตวาดใส่ แต่พอเห็นสีหน้าหงอยเหมือนหมาจ๋อยของมัน ผมก็ทำได้แค่เบี่ยงสายตาไปมองที่อื่น

            “เขินบ้าไร มั่วแล้วมึงอ่ะ”

            “…” ไอ้ตุลเงียบไป ทุกอย่างรอบตัวผมเงียบไป รับรู้ว่าเราสองคนยังอยู่ข้างกัน ไม่มีใครคิดจะลุกหนีไปไหน เวลาเกือบสี่ปี มันเหมือนเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผ่านไปเมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

            นี่น่ะเหรอความรัก

            ถึงแม้จะห่างกันขนาดไหน ถ้ายังรัก สุดท้ายมันก็ยังคงทนอยู่ไม่จางหายไป

            “เชี่ย” ตุลาการสบถแล้วเอามือกุมขมับ “โคตรน่ารักเลยว่ะ”

            ช่า…

            ขออภัย ขณะนี้นิติได้ทำการระเบิดตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

            “ไปตายไปไอ้หมาโง่” ผมทั้งถีบทั้งผลักไอ้ตุล เจ้าตัวหัวเราะอย่างสะใจแล้วกดจูบลงบนหน้าผากของผม ไล่ไปที่ตา จมูก ก่อนจะจูบริมฝีปากเบาๆแล้วถอนออก

            “ผมหวังอยู่ทุกวัน ว่าจะต้องได้เจอนิอีกครั้ง”

            “แล้วไง”

            “พอมาเจอกันจริงๆ ผมอยากจะหนีไปอีกรอบแล้วอ่ะ” คำพูดของไอ้ตุลเล่นเอาฝ่ามือผมกระตุก เหมือนไอ้ตุลจะรู้ว่ามันจะต้องโดนฟาดแน่ๆมันเลยล็อคแขนผมไว้

            “เออ ไปไหนก็ไป เชิญเลย ไปไกลๆส้นตีน ไปตายเลยไป”

            “ไล่ผมไปตายไม่เหงาเหรอ…”

            “ไม่”

            “นิ…”   

            “ไรของมึงนักหนาวะ” ผมหันไปแหกปากใส่ไอ้ตุล ริมฝีปากสีออกคล้ำของมันบดเบียดลงมาบนริมฝีปากของผม บดเบียด คิดถึง โหยหา อ่อนโยน แทบจะดึงสติผมไป

            ตุลค่อยๆถอนริมฝีปากออก ผมยกแขนขึ้นมาบังหน้าที่ร้อนผ่าวของตัวเอง

            เพราะแบบนี้ใช่มั้ยวะเน ทำให้มึงถึงรักผู้ชายคนนี้มากขนาดนั้น

            กูเข้าใจแล้ว ถ้าเป็นกู

            กูก็คงให้มึงสัญญาว่าจะดูแลตุลเหมือนอย่างที่มึงทำ

            “เชี่ยเอ้ยย ทำไมต้องทำตัวน่ารักวะ” ไอ้ตุลกระโจนใส่ผมจนแทบจุก

            “ไอ้หมาบ้านี่ ออกไปนะเว้ย”

            “ทนไม่ไหวแล้ว ผมไม่ได้กอดนิมาตั้งสี่ปี”

            “บอกให้ปล่อยไงล่ะโว้ย”

            “ไม่ครับ ผมแนะนำว่าพรุ่งนี้นิควรจะโทรไปลางานดีกว่า” ผมถลึงตาใส่ไอ้ตุลที่เริ่มทำมากกว่ากอด ก่อนจะแหกปากใส่มันจนห้องแทบระเบิด

            “ไอ้นรก!!!!!”

            แต่ถึงอย่างนั้น มันก็กลับมาหาผมแล้ว

            ผู้ชายที่ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่รัก

            ตอนนี้ผมดันรักจนถอนตัวไม่ขึ้น

            บ้าชิบ…

 

            ลางานน่ะเหรอ ลากับผีสิ

            ผมมีนัดกับทนายที่จะไปช่วยไอ้สิทว่าความเรื่องโรงแรมตอนบ่ายโมง แต่นี่เที่ยงแล้วผมยังสภาพล่อแล่อยู่ในห้องน้ำ ยืนอาบน้ำแทบจะไม่ไหว อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นครั้งที่สองที่ผมกับไอ้ตุลมีอะไรกัน ไอ้ตุลมีความสุข แต่กูนี่ทุกข์เต็มๆ

            กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ล่อไปเที่ยงครึ่ง โชคดีที่ร้านอาหารที่นัดไว้อยู่ใกล้คอนโด นั่งแท็กซี่ไปสิบนาทีก็ถึงถ้ารถไม่ติด ผมแต่งตัวเสร็จสรรพพลางหันไปมองผู้ชายที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียง

            ตุลาการมันกลับมาหาผมแล้วจริงๆ

            ผมนั่งยองๆลงข้างเตียง พลางจับกลุ่มผมสีดำสนิทของตุลเล่น แล้วเขียนโน้ตวางไว้ข้างเตียงก่อนจะรีบออกไปยังร้านอาหาร

            แต่พอมาถึงร้าน ไอ้ทนายนั่นก็ไม่มีวี่แววที่จะโผล่หัวมา

            ผมเลยต่อสายไปยังทนายตุลาการ ที่ดันชื่อไปเหมือนกับไอ้ตุลาการที่ทำหลังผมแทบเดาะเมื่อคืน

            (ครับคุณนิติ ขอโทษทีครับ พอดีผมนอนเพลินไปหน่อย!!) น้ำเสียงของไอ้ทนายนั่นดูเร่งรีบเหมือนคนกำลังวิ่ง นี่ถ้าไอ้ตุลไม่ได้นอนแผ่อยู่ที่ห้องผม ผมคงจะนึกว่าไอ้ทนายตุลาการนี่เป็นคนเดียวกับผู้ชายที่ขอผมคบเมื่อคืนหลังจากที่หายต๋อมไปสี่ปี

            มันก็พอมีเหตุผลที่พอจะรับฟังได้ เพราะเรื่องครอบครัวไอ้ตุลผมเองก็ไม่อยากมีปัญหา

            “ครับ ผมจองโต๊ะไว้แล้วนะ”

            (ขอโทษจริงๆครับ ใกล้ถึงแล้ว ไว้เจอกันครับ ตี๊ดๆ) ปลายสายตัดไป ผมนั่งมองแก้วกาแฟในมือพลางถอนหายใจ

            ผมยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะคบกับไอ้ตุลมั้ย เอาจริงๆก็คือผมไม่เคยมีเรื่องรักๆใคร่ๆอะไรพวกนี้เข้ามาในชีวิต ดังนั้นการตอบตกลงคบใครนั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไม่ธรรมดาสักเท่าไร ถึงใครๆจะบอกว่าไอ้นิมันไม่เคยกลัวอะไรหรอก ขนาดโดนชกหน้าเละยังไม่ร้องไห้สักแอะ

            แต่เรื่องชกกับความรักนี่มันคนละเรื่องเลยว่ะ

            โดนชกมันก็แค่เจ็บ

            แต่โดนรุกนี่มันเสียหายทั้งกายและใจนะเว้ย…

            “ได้จองที่ไว้หรือเปล่าคะ”

            “ครับ ชื่อคุณนิติ” เสียงทุ้มๆดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ที่จองโต๊ะ ก่อนจะขมวดคิ้ว คนตัวสูงๆผมดำฟูๆเหมือนแมว แผ่นหลังที่ดูคุ้นตานั่น ดูคล้ายกับไอ้ตุลจังวะ

            “ทางนู้นเลยค่ะ”

            พนักงานสาวผายมือมายังโต๊ะที่ผมนั่ง ก่อนที่ไอ้ผู้ชายตัวสูงนั่นมันจะหันหน้ามา ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าไอ้ผู้ชายที่เหมือนรีบวิ่งมาเสื้อผ้ายังใส่ไม่เข้าที่ชายเสื้อยังหลุดออกมาจากกางเกง เน็คไทก็เบี้ยวนึกว่าไปรบกับใครมา คือไอ้คนเดียวกับที่ควรจะนอนกางแข้งกางขาอยู่บนเตียงของผม…

            เฮ้ย

            ไอ้ตุลเดินดุ่มๆเข้ามาหาผมพลางยัดชายเสื้อเข้าไปในกางเกง เราต่างคนต่างขมวดคิ้วมองหน้ากันเหมือนกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตา

            อย่าบอกนะว่า…

            “ทนายตุลาการ?” ผมเลิกคิ้วถามไอ้ตุลที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่ผมนั่ง ไอ้คนหน้าซื่อๆตาหยีๆทำตาโตที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ

            “นิติ…”

            ไอ้ตุลหัวเราะแล้วนั่งลงตรงกันข้ามกับผมพลางถอนหายใจ

            “นี่มันเกินความคาดหมายของผมจริงๆนะ”

            เออ เหมือนกัน

            สรุปว่าไอ้ชื่อที่อยู่บนนามบัตรนั่น ตุลาการ สิรฉัตร คือชื่อของไอ้ผู้ชายที่หายหน้าไปสี่ปีจริงๆ ไอ้ทนายที่ตอนแรกผมเอะใจว่าชื่อมันคล้ายกับผู้ชายที่ผมรักเหลือเกิน

            มันคือความบังเอิญ หรืออะไรกัน

            ถ้าผมไม่เจอนามบัตรที่พ่อเก็บไว้ หรือถ้าพ่อไม่เผอิญเก็บมันเอาไว้เพราะนามบัตรนั่นพ่อดันได้มาจากเพื่อนของพ่อ ผมกับตุลคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

            ไอ้ตุลยิ้มเผล่อย่างชอบใจ ส่วนผมก็ทำได้แค่นั่งจิบกาแฟเงียบๆ

            ยอมรับ ว่าบางเรื่อง ผมก็เชื่อว่าโชคช่วยมีจริง

            “กูอยากจะฟ้องมึงจริงๆ ข้อหาหลอกลวงประชาชน” ผมบ่นอุบ ไอ้ตุลหัวเราะ

            “งั้นผมฟ้องกลับบ้างนะ”

            “ข้อหาอะไร”

            “ข้อหาทำให้ผมตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้น”

            “…”

            ผู้ชายตรงหน้ายิ้มโชว์ลักยิ้มจนแก้มบุ๋ม ผมนี่อยากจะหยิบส้อมแทงหน้ามันถ้าไม่ติดที่ว่าคนเต็มร้านอาหารยิ่งกว่ารังมด

            มึงนั่นแหละที่จะโดนฟ้อง

            ข้อหาทำให้คนอื่นเขินเรี่ยราด

            “เหอะ แล้วจะเรียกเงินเท่าไรดีล่ะ” ผมเออออเล่นกับไอ้ตุล มันยื่นมือมาจับมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

            “เอาเป็นทั้งตัวและหัวใจของคุณได้ไหมครับ คุณนิติ นิรันดร์กร”



            TBC

หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 27 Love is Permanent (07-04-60)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-04-2017 14:08:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 27 Love is Permanent (07-04-60)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-04-2017 19:12:33
อรี๊ยยยยยยยยยยย เขินมากกกกกกกก   :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 27 Love is Permanent (07-04-60)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-04-2017 20:17:28
 :3123: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 27 Love is Permanent (07-04-60)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-04-2017 20:42:14
เจอกันแล้ว นิ ต่อยตุลาการไปด้วย
จูบกันแล้ว คบกันแล้ว เอ่อ......มีอะไรกันด้วย  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 27 Love is Permanent (07-04-60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-04-2017 20:44:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 05-07-2017 21:06:17
Chapter
28



            การว่าความของไอ้สิททำให้ผมรู้ว่าไอ้ผู้ชายที่ผมเคยด่าว่ามันเป็นไอ้ขี้แพ้ เป็นคนที่โคตรเก่งและดูมีอำนาจเมื่อจริงจังกับการทำงาน ไอ้สิทขอบคุณไอ้ตุลจนแทบจะถวายตัวให้ สุดท้ายมันเลยให้บัตรกำนัลพักโรงแรมมันฟรีตลอดชีวิตให้กับไอ้ตุล แต่พอผมขอบ้าง ไอ้สิทดันตอบว่า

            “ก็ให้ผัวเลี้ยงไปสิ!!!”

            ไอ้ห่า… นี่เพื่อนไงจำไม่ได้เหรอ

            สุดท้ายผมเลยด่าไอ้สิทไป เพื่อนกันทำแบบนี้มึงก็ไปคุยกับขี้ไป สุดท้ายแล้วผมก็ได้กิ๊ฟเซทของที่ระลึกชุดใหญ่จากคุณแม่ของไอ้สิทจนได้ ถึงผมจะเงียบๆแต่ความชั่วร้ายผมเพียบและไม่เป็นรองใคร

            ทุกอย่างกลับมาลงตัวเหมือนกับว่าสี่ปีที่แล้วมันเป็นเพียงแค่วันเดียวที่หายใจทิ้งก็ผ่านไป ผมยังคงทำงานเป็นอาจารย์ วุ่นวายกับการสอน ส่วนไอ้ตุลก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่เดียวกันกับผม มันเองก็วุ่นกับงาน เราสองคนเลยนัดกันว่าสงกรานต์ว่าจะหาที่ไปเที่ยว แต่ก็ยังไม่ได้คุยกันสักที

            ผมไปถามพ่อว่าทำไมถึงได้นามบัตรของไอ้ตุลมา ที่น่าตกใจคือพ่อของผมดันเป็นรุ่นพี่ของพ่อของไอ้ตุลที่เคยเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน

            เอาจริงๆผมก็ชักจะเชื่อแล้วล่ะว่าเรื่องโชคอะไรนั่นอาจจะมีจริง เพราะพ่อผมบากหน้าไปคุยกับพ่อของตุลที่บ้าน ได้เรื่องได้ราวมาว่าเขายังคงไม่ยอมรับที่ลูกชายไปคบกับผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับลูก ในเมื่อตุลรักษาสัญญา ดังนั้นเขาก็จะไม่ยุ่งกับตุลอีก แต่ไม่ได้ถึงกับตัดพ่อตัดลูกนะ แค่ผมคงไม่สามารถโผล่หน้าไปไหว้พ่อของไอ้ตุลที่บ้านได้นั่นแหละ

            ช่วงนี้คนที่เห็นว่าชีวิตดูไม่ค่อยสงบเท่าไรก็คงจะเป็นไอ้ธาม ผมมักจะไปนั่งเล่นห้องมันเพราะอยู่คอนโดเดียวกัน อย่างที่ไอ้เจลสายลับหน้าหมาบอก ไอ้ธามโดนผู้ชายตามจีบจริงๆ วันนั้นผมเผลอเปิดห้องเข้าไปตอนที่มันกำลังทะเลาะกับรุ่นพี่ที่ตามจีบมัน ไอ้ธามไล่ตะเพิดไอ้ผู้ชายคนนั้นออกมา พอมันเห็นผมมันก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

            ปกติแล้วไอ้ธามเป็นคนที่มีเสน่ห์ไม่ว่าจะกับผู้หญิงและผู้ชาย แต่เพราะนานๆทีไม่ค่อยมีใครรุกใส่มันมาก่อนมันเลยคงรู้สึกเหมือนกับถูกเหยียบหน้าแล้วเอาตีนติดขี้หมามาขยี้ๆ ไอ้ธามบอกว่าไม่ช้าก็เร็วมันอาจจะต้องย้ายไปที่ใหม่ ผมเลยเสนอว่าถ้าจะย้ายอีกก็ให้ไปอยู่ในรูหนูเหอะ

            ส่วนไอ้เจลจะกลับไทยก็สิ้นปี ผมจะไม่พูดถึงเรื่องมัน เอาเป็นว่าช่วงนี้พ่อจรัส บราวน์กำลังมีความรัก ไม่ว่าจะโซเชียลกี่ช่องทางมันก็ดูจะเฮฮาลัลล้ากับชีวิตไปซะหมด แต่ประเด็นคือผมไม่เคยเห็นหน้าคนที่ไอ้เจลกำลังจู๋จี๋ดู๋ดี๋ด้วย เอาเป็นว่าถ้ามันยังไม่พาคนนั้นไปไหว้พ่อแม่ล่ะก็แสดงว่ามันยังไม่ชัวร์ว่าจะไปรอดมั้ย

            ไอ้ป้องรายนั้นก็หายหัว เหมือนว่าโรงงานกล่องกระดาษของพ่อมันทำกำไรมาได้ตลอด พอไอ้ป้องเข้าไปบริหาร กำไรดันหดหายเหมือนไอ้ป้องเป็นตัวซวย ตอนนี้ไอ้ป้องเลยโดนส่งไปทำงานกับน้าที่ไร่ชาที่เชียงใหม่ พอไอ้ป้องออกไป โรงงานกล่องกระดาษก็กลับมาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง ตลกชิบ

            ส่วนผมกับตุล วันนี้เราสองคนตัดสินใจจะไปเยี่ยมเน

            ผมนั่งฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อยระหว่างที่ไอ้ตุลขับรถเพื่อตรงไปที่หลุมศพของเน

            ถึงสี่ปีจะเป็นช่องว่างที่ผมกับตุลห่างกัน แต่เพียงไม่นานเราก็ใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันได้ใหม่ ไอ้ตุลเล่าเรื่องมากมายก่ายกองที่มันเจอช่วงที่มันไปเรียนต่อ ส่วนผมก็เล่าเรื่องที่มหา’ลัยให้มันฟังไปเรื่อยเปื่อย

            แปลกที่ถึงแม้จะห่างกันไปนาน แต่มันเหมือนกับว่ามีอะไรดึงดูดให้ผมกับตุลยังคงพูดคุยกันได้เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

            จนกระทั่งมาถึงหลุมศพ

            ผมวางตุ๊กตาเป็ดลงบนหลุมศพของเนพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเนที่ผมไม่คิดจะชาร์จมันขึ้นมาใหม่อีก แล้วเหม่อมองไปยังป้ายชื่อหลุมศพเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีใครอีกคนยืนอยู่ข้างๆผม

            มันอาจจะไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมกับตุลรักกัน เหตุผลมันอาจจะไม่มากพอด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันเหมือนกับว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของชีวิตผม

            การจากไปของเนและแม่ มันคือการสูญเสียมากเกินกว่าจะทนไหว ทั้งผมและตุลต่างก็เหมือนเสียสมดุลในชีวิต แต่เนก็รู้ ว่าถ้าเนไม่อยู่ คนสองคนที่จะเสียใจที่สุดกับการจากไปของมันคือผมและตุล และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เนขอเอาไว้ว่าถ้าเนตาย … เนอยากให้ผมสัญญาว่าผมจะดูแลผู้ชายที่มันรัก

            แต่มันไม่ได้บอกเอาไว้ว่า ผมกับตุลาการ จะได้รักกันในอนาคต

            ผมจับมือของตุล มันเองก็กระชับมือตอบกลับและเราสองคนจะจับมือกันแบบนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ กูสัญญานะเนติ ว่ากูจะไม่ปล่อยมันไป กูจะดูแลตุลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

            ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำให้กู ขอบคุณที่ถึงแม้กูจะสร้างปัญหาให้มึงมากมาย แต่มึงก็ไม่เคยลืมเลยว่ายังมีฝาแฝดคนนี้

            ‘ถ้าเราคนใดคนหนึ่งเกิดตายขึ้นมา มึงอยากให้กูทำไรสานต่อให้มั้ย’

            ‘ถ้ากูตาย ดูแลพี่ตุลให้หน่อยได้มั้ย’


            ได้ดิ

            กูเป็นพี่ชายมึงนะ กูทำให้มึงได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว

            แล้วตอนนี้ กูก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมึงได้แล้วนะเน …

            ดังนั้น หลับให้สบายนะ … น้องชาย

            ไม่มีเรื่องอะไรที่มึงต้องห่วงแล้ว

                       

            ผมกับตุลใช้เวลาหลังจากเยี่ยมหลุมศพเน แวะไปหลุมศพแม่ ก่อนจะตรงไปเที่ยวทะเลแล้วค่อยจองโรงแรมนอนตอนดึกๆ พอถึงโรงแรมไอ้คนขับรถจำเป็นก็หลับเป็นตายด้วยความเหนื่อยล้า ผมใช้เวลาอาบน้ำสักพักก่อนจะเดินออกมานั่งมองคนที่หลับไม่รู้เรื่อง

            เมื่อตอนเจอกันแรกๆ มันเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยในความคิดของผม เป็นไอ้ขี้เมา เป็นไอ้ขี้แพ้อ่อนแอยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตทุกตัวบนโลก ผมไม่เคยคิดจะสนใจสิ่งมีชีวิตแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง อ่อนโยน และไม่ยอมแพ้กับเรื่องไหนๆ

            ผมเองก็เป็นคนที่ปิดกั้นตัวเอง ไม่เคยพูดอะไรที่อยู่ในใจออกไปให้ใครได้ฟัง แต่มันเป็นคนแรกที่เหมือนกับว่าพอโดนจ้องตาแล้วความลับทุกอย่างในใจของผมก็รั่วไหลออกไป ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นคนที่ดูมีอำนาจ แต่ตุลเป็นเพียงผู้ชายซื่อๆ ที่พร้อมจะรักษาสัญญาได้ทุกเรื่องและพูดทุกเรื่องที่อยู่ในใจของมันทำให้เราสองคนไม่ค่อยมีเรื่องตะขิดตะขวงใจสักเท่าไร ตุลเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ดูน่ากลัว แต่กลับเป็นได้ทั้งเพื่อน น้องชาย และพี่ชายในเวลาเดียวกัน

            ผมอยากจะขอบคุณไอ้ตุลหลายๆเรื่อง ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตผมไม่รู้สึกเงียบ ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตมีสีสันตลอดแม้มันจะน่ารำคาญบ้างบางครั้ง แต่พอไม่มีมัน ผมก็เหมือนเคว้งคว้างอยู่คนเดียว

            นี่สินะความรักที่ใครๆหลายคนมักจะบอกว่ามันมีความสุขและทุกข์ไปพร้อมกัน

            ผมเกลี่ยปรอยผมที่ปรกหน้าของตุลไปทัดหูพลางมองมันนิ่งๆ ก่อนจะลุกเดินไปหาน้ำกินแถวตู้เย็นๆเล็กๆ คนที่หลับสนิทขยับตัวเหมือนละเมอ ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา

            แต่ผมกลับได้ยินชัดเต็มสองรูหู

            “นิ…”

            ไอ้ตุล ละเมอเรียกชื่อผม…

            ผมลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อหูเลยด้วยซ้ำแต่ก็แอบดีใจที่มันละเมอชื่อผมออกมา ถึงอยากจะให้เรียกมาตลอดก็เถอะแต่พอมาเจอเข้าจริงๆมันกลับขนลุกแปลกๆ ผมเดินกลับไปนั่งลงข้างเตียงแล้วกดจูบลงบนหน้าผากมันเบาๆ

            ขอบคุณที่มารักคนเอาแต่ใจแบบกู ถึงกูจะไม่เก่งเรื่องแสดงความรัก

            แต่กูเก่งเรื่องดูแลมึงนะ

            ผมฟุบหน้าลงบนเตียงข้างๆตุลาการพลางหลับตาลง มืออีกข้างผมจับมือของผู้ชายที่น้องชายผมรักและตัวผมเองก็รักเอาไว้

            ผมกับตุลไม่ได้ลืมเน ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันจะเป็นเหตุการณ์ที่อยากจะลืมลงไป ถึงแม้เนจะจากไป แต่เนยังคงอยู่ในใจของผมและตุลตลอดไป

            ขอบคุณนะเน

            ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ของมึง กูจะดูแลอย่างดี

            เพราะของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ มันคือความรักครั้งแรก

            และครั้งสุดท้าย

            ของผู้ชายที่ชื่อนิติ นิรันดร์กร

 

 


END





ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น
ขอบคุณที่ติดตามกันแม้จะหายไปนาน
รักคนอ่านนะ จุ้บๆ

หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-07-2017 23:21:22
จบแล้ว จบจริงๆ
ตุล นิ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์ ให้คนอ่านมีความสุข
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-07-2017 01:50:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-07-2017 08:51:48
 :pig4: :pig4: :3123: :3123: :กอด1: :กอด1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 06-07-2017 23:40:12
เราชอบผลงานของคนเขียนทุกเรื่องเลค่ะ และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่จะไม่พลาด :o8:
เรื่องนี้ช่วงแรกมันออกจะหน่วงในใจอยู่หน่อยๆแต่ก็สนุกมากจนต้องอ่านรวดเดียวให้จบ เนื้อเรื่องดี ภาษาก็สวยเหมือนเดิม
ชอบความรักของตุลจัง รักก็คือรัก คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เนถึงรู้ไงว่าคนที่เหมาะสมที่จะอยู่ดูแลนิได้คือพี่ตุลคนเดียว
แลเชื่อว่าเนคงมองลงมาจากสวรรค์แล้วก็อวยพรให้สองคนนี้มีความสุขอยู่แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 10-07-2017 05:16:47
นี่จะเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกไม่เข้าใจในการกระทำของอีพี่ตุลเลยคือแกสี่ปีนะเว้ยไม่ใช่สี่วินาทีแบบไม่ติดต่อนิเลยแม้แต่ครั้งเดียวคนรอที่ไม่รู้รออะไรเลยนี่ก็ยังอ่านไม่เจอประโยคไหนที่พ่อตุลห้ามติดต่อไหมแค่บอกให้เป็นทนายให้ได้ถ้าเหตุผลว่าทนไม่ได้นี่มันแมวมากเลยนะแกงั้นคนที่คลกันระยะทางไกลก็คงทนไมไ่ด้กันหมดแล้วไหมอย่างน้อยติดต่อกันบอกว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ได้ไหมอันนี้คือนิไม่รู้อะไรเลย แล้วพอเป็นทนายกลับมาไทยถ้านิไม่เจอที่สถานีรถไฟจะได้เจอกันไหมหรือถ้ารอเจอตอนนัดพบทนายก็ดูยังไม่ใช่ความพยายามของตุลเลยนะเหมือนนิพยายามตามหาอีกฝ่ายอยู่ข้างเดียวเจ็บแบบไม่รู้อะไรสักอย่างที่บอกตามหาตุลพยายามแล้วเหรอถ้าพยายามแค่เปลี่ยนเบอร์ยังไงก็เจออ่ะทำไมเราไม่อินในความรักหรือความพยายามตุลเลย เราอินมากคนเขียนเขียนดีมากเลยแต่ถ้าได้อ่านฝั่งของตุลบ้างคงดีเพราะอ่านจบเรากลับไม่เห็นถึงความพยายามของตุลในการตามหานิเลยมีแต่พ่อขอโทษหนูนิก็ยกโทษให้ไวเกิ๊นนนนนนนนเราหมั่นไส้ตุลอ่ะเอาตรงๆ 5555555 ป.ล.นิยายดีมากจริงๆนะนี่อินมากสนุกมาก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: khunchoq ที่ 10-07-2017 10:27:37
ถ้าเราเป็นนิ อาจจะโกรธ จนถึงขั้นสุดเลยก็ได้เล่นหายแบบนี้ แต่เพราะเราไม่ใช่นิ ตุลน่าตีมากๆเลย แต่เรื่องดีมากๆ ชอบบ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-07-2017 14:31:15
เรื่องสนุกมากครับ
แต่ติดใจเรื่องระยะเวลาที่ตุลหายไปเหมือนความเห็นข้างบน
ดูไม่มีความพยายามในการติดต่อตามหานิจริงๆ นิไม่ได้เปลี่ยนชื่อหนีหายไปไหน ตุลเองก็อยู่ในวงการทนายความ จะจ้างนักสืบให้ช่วยก็คงไม่ยากอะไร
ติดใจแค่ประเด็นนี้เท่านั้น ส่วนพล๊อตเรื่อง ตัวละคร การเดินเรื่อง ชอบหมด
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 11-07-2017 07:08:02
สนุกครับ แต่ถ้าชีวิตจริงต้องไปอยู่ตรงนั้นก็คงจะลำบากใจอยู่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 12-07-2017 14:25:54
เป็นอีกเรื่องที่สนุกมาก
เนื้อเรื่องแปลก แต่น่าติดตามมาก
สำนวนการเขียนก็ดี อ่านสนุก
เป็นเรื่องที่ดีมากๆอีกเรื่องเลยครับ
สำหรับใครที่ยังลังเล ขอเชียร์เลย อ่านเหอะ สนุกจริงๆ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณผู้แต่งมากครับ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 12-07-2017 21:33:11
 :hao5:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: nantarat ที่ 19-08-2017 21:49:54
 :hao5: ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 30-09-2017 17:44:01
สนุก กระชับดีค่ะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ 01-10-2017 09:36:22
งื้ออออออออ จบแล้ว รู้สึกแบบไม่อยากให้จบ มันน่ารัก มันซึ้ง มันละมุน มัน....... อื้อออออออออ

  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: jumpza ที่ 30-12-2017 00:08:47
สุดยอดมากครับ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 30-12-2017 11:50:50
ฮืออออออ ชอบพล็อตแบบนี้มากเลยค่ะ หน่วง แต่แบบหน่วงดี
ดีงามมากเลยยย.
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ออกมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: isuloveU Soly ที่ 04-02-2018 17:51:06
เข้ามาอ่านรวดเดียวสนุกกกก แบบอ่านไปนี่สงสารนิ แต่ก็ดีใจที่นิมีพ่อ มีเพื่อนอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ชอบพี่ตุลย์ด้วย 55555
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 21-02-2018 12:14:16
น่ทรักมากๆๆๆเลยคะ นิติ น่าสงสารอ่า
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 23-02-2018 14:56:17
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 24-02-2018 12:48:54
สวัสดีค่ะเราเคยอ่านงานของคุณที่dek-dมาก่อนไม่คิดว่าจะมาได้อ่านงานของคุณที่นี่ดีใจมากเลยค่ะ  เรายังคิดถึงพี่กันน้องกอดอยู่เสมอนะ  สำหรับเรื่องนี้ยังสนุกเหมือนเดิมเหมือนเรื่องอื่นๆของคุณ  ถึงเราจะคิดว่านิสัยของนิติบางตอนจะเยอะไปหน่อยแต่ก็พอเข้าใจได้กับเหตุผลที่คุณใส่มารองรับกับเนื้อเรื่องแล้วก็ค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆก็โอเคค่ะ  สนุกดีค่ะและก็หวังว่าจะมีตอนพิเศษมาลงต่อนะคะ 

ขอบคุณนะคะแล้วก็จะติดตามเรื่องต่อๆไปของคุณแน่นอนค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 26-02-2018 22:41:05
ดีอ่ะ มีครบทุกรสชาดเลย ชอบนิที่เป็นคนตรงไปตรงมากับตัวเอง ตุลก็น่ารักชัดเจนดีมาก
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 17-04-2018 13:00:58
สนุกมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบ เคลียร์ทุกเรื่อง มีทุกรส ภาษาดี ชอบมากกก :mew1:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 18-11-2018 23:30:14
อ่านรวดเดียวจบ วางไม่ได้เลย ชอบความตรงไปตรงมาของตุลย์ ชอบความเจ็บปวดที่สวยงาม มันดีมาก
ขอบคุณนักเขียน  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 13-01-2019 21:58:43
 :mew3:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ellemm ที่ 06-02-2019 13:08:18
 :z13:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-02-2019 17:21:02
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 07-02-2019 10:00:41
เป็นเรื่องที่หน่วงใจแต่ก็ดีงามไม่แพ้กัน คิดว่านิติกับ ตุลาการเจอกับอะไรที่หนักหนามากๆอะ ยิ่งนิติเราคิดว่าน่าเจ็บปวดสุด ฝาแฝดที่เหมือนเป็นอีกครึ่งนึงของตัวเองต้องมาจากไป แล้วยังแม่อีก แล้วสุดท้ายตุลาการยังมาหายไปสี่ปีอีก เราเข้าใจเรื่องเงื่อนไขของพ่อของตุลาการ แต่อย่างน้อยตุลก็น่าจะส่งข่าวมาให้นิติที่ยังรอหน่อยก็น่าจะดี อยากบอกว่าเสียน้ำตากับช่วงนี้หนักมาก :sad4:  นิติเป็นนายเอกอีกคนที่เราอยากกอดและลูบหัวมากอีกคนนึง ตุลาการและก็พ่อนิติด้วย  ทุกคนแบบเข้มแข็งมากที่ก้าวผ่านความเสียใจนี้ไปได้
อยากบอกว่าอ่านเรื่องนี้เพลินมาก แทบไม่มีตรงไหนสะดุดเลย เป็นนิยายดีงามอีกเรื่องเลยค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 04-11-2019 11:19:27
สนุกมากค่ะ พลอตเรื้อวดีไหลลื่นมาตลอด ตะหงิดใจอยู่นิดเดียวคอนตุลเรียนจบกลับมา ทำไมไม่รีบตามหานิ ถึงจะย้ายที่อยู่เบอร์โทรอะไรก็ตาม ถ้าสืบจริง ๆ มันก็ได้อยู่นะ ตอนนี้แค่นั้นที่ติดใจ แต่ก็ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 05-11-2019 15:27:30
อ่านช่วงแรกๆเขียนได้ดีอ่านไหลลื่น แต่พอช่วงหลังกลับตรงกันข้ามเลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: (___Last love__) by Jiwinil ตอนที่ 28 Love is Last (05-07-60) [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Mrfoxx ที่ 30-07-2020 20:47:11
ตัดจบได้ เสียความรู้สึกมาก
คนที่รักหายไป4ปี  เจอแล้วจบเลย
พระเอกกระจอกมากไม่เคยสู้เพื่อความรักเลย
ไม่เคยทำอะไรใก้นิติ ภูมิใจในฐานแฟน