คุณคือความรัก บทที่ 47
ตลอดช่วงเวลาที่เดินผ่านโถงทางเดิน ขึ้นบันได จนถึงหน้าห้องประธานบริษัท I promise ณธิปรู้สึกเหมือนสติของตัวเองยังกลับเข้าร่างไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ เขากลายเป็นคนบื้อใบ้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะทำได้แค่ปล่อยให้คนตรงหน้าลากจูงไปตามใจ ก่อนพวกเขาทั้งคู่จะไปหยุดที่ประตูบานใหญ่ กมลจึงเปิดประตูออกว้างแล้วออกคำสั่ง
“เข้าไปสิครับ”
“...อืม”
หลังจากณธิปเดินเข้าไปในห้องนั้น อีกฝ่ายก็เดินตามเข้ามา แล้วปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้วหันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ
“คุณเล็ก”
“ครับ”
“ทำไมถึงบุกเข้าไปในห้องประชุมของผมแบบนั้นครับ”
“ผมบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอยากคุยกับคุณให้รู้เรื่อง”
“แต่เรื่องที่คุณอยากพูดมันเป็นเรื่องส่วนตัว และผมกำลังทำงาน”
“ผมขาดสติ เข้าใจผิด และไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี...ขอโทษนะครับ”
ครั้นได้ยินณธิปเอ่ยขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย ผนวกกับท่าทางเหมือนลูกหมาหางตกประกอบ คำตำหนิที่กมลตั้งใจจะเอ่ยออกไปก็ถูกกลืนเข้าไปจนหมดสิ้น ความรู้สึกหงุดหงิดที่ณธิปไม่ยอมฟังเขาพูดให้เข้าใจตั้งแต่แรกก็หายไปด้วยเช่นกัน
“...”
“...ไอ”
ณธิปถูกดวงตาคู่สวยจ้องมองเขม็งในตอนแรกดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ดูท่ากมลยังคงขุ่นเคืองเรื่องที่เขาทำลงไปเมื่อครู่ไม่น้อย แต่ถึงจะโกรธอย่างไร จะโมโหแค่ไหน ณธิปก็คิดว่าการตัดสินใจบ้าดีเดือดของตัวเองนั้นคุ้มค่า เพราะเวลานี้เขารู้แล้วว่า...
กมลแค่โกรธ แต่ไม่ได้เกลียดกัน
คำว่ารักที่ได้ยิน ไม่ได้หวานล้ำ ไม่ได้ซึ้งจนน้ำตาไหล แต่กลับมีค่าต่อผู้ชายที่เกือบจะสิ้นหวังอย่างณธิปมากมายนัก แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจพูดออกมาแต่แรกก็ตาม
บางทีอาการลอยๆ เหมือนคนไม่มีสติของเขาในยามนี้ อาจมาจากความรู้สึกโล่งใจที่อะไรๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่กลัว คล้ายว่ายกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก
เจ้าของดวงตาเรียวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนยกมือขึ้นแตะใบหน้าของกมล
เพราะอยู่ใกล้กันแค่นี้ ณธิปจึงเห็นได้ทันทีว่ากมลตกใจกับการกระทำของเขา ทว่าไม่ได้เบือนหน้าหนี ณธิปจึงทำใจกล้าใช้นิ้วเกลี่ยไล้ที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายแผ่วเบา
นี่คือคุณไอตัวจริงเสียงจริง...ณธิปคิด
วันคืนที่ทุกข์ทรมานกับความสับสนได้ผ่านพ้นไปแล้ว การได้สัมผัส ได้เล่นเกมจ้องตากันอยู่ตรงนี้โดยปราศจากคำพูด ถือเป็นเครื่องยืนยันชั้นดี
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะไล้ใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นจนพอใจ มือข้างหนึ่งของกมลก็ปัดมันตกไม่แรงนัก แล้วเจ้าตัวจึงเอื้อนเอ่ย
“พอได้แล้วครับ”
“ไม่อยากพอเลย ทำยังไงดีล่ะ”
“คุณเล็ก!” กมลเอ่ยลอดไรฟัน ท่าทางเหมือนกำลังโกรธ แต่ใบหน้ากลับไม่อาจซ่อนสีแดงระเรื่อได้เลย
ณธิปจำได้ เมื่อครั้งที่ค้างคืนด้วยกันในบ้านป่างาม เขาได้พรมจูบอีกฝ่ายผ่านผ้าห่มทั่วใบหน้า และเขาจำได้ว่าตนเองเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ของกมล ซึ่งมันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายโกรธ แต่เป็นเพราะกมลกำลังสะท้านอายจนแทบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้มากกว่า
ไม่น่าเชื่อว่าหลังผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในรถวันนั้น เขาจะยังได้เห็นกมลในมุมนี้อีก
“...เหมือนฝัน” เจ้าของดวงตาเรียวเผลอหลุดปากออกมา คนตรงหน้าจึงขมวดคิ้วถาม
“คุณว่าอะไรนะครับ”
“ผมว่าอะไรงั้นหรือ”
“นี่! คุณเล็ก ไม่รู้ตัวเลยหรือครับว่าคุณพูดอะไรออกมา”
“เหมือนจะรู้ แต่ก็...ไม่รู้เหมือนกัน” ที่พูด ณธิปไม่คิดจะก่อกวนกันสักนิด แต่เขาแค่บอกอาการจริงๆ ของตัวเองเท่านั้น
“คุณเป็นอะไรกันแน่ เหม่ออะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว จะพูดอะไรก็พูดดีๆ สิ อ้อ...แล้วก็ปล่อยผมด้วยครับ จะจับมือแบบนี้อีกนานไหม”
เพราะมัวแต่เหม่อลอย ก่อนหน้านี้ณธิปจึงไม่ได้สนใจว่าตนเองครอบครองเรียวมือนุ่มนิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก้มมองอุ้มมือของตน ก่อนจะยิ้ม แล้วว่า
“ผมไม่ปล่อยหรอกนะไอ...จะไม่ปล่อยคุณไปอีกแล้ว”
หลังพูดจบ จากตอนแรกแค่จับมือ ร่างสูงก็ขยับเข้าไปกอดกมลแน่น คนถูกกอดคิดจะหนีก็ยังทำไม่ได้ เพราะเวลานี้ถูกต้อนจนหลังชนประตูแล้ว
“...!”
“จะกอดคุณให้แน่นๆ เลย ห้ามหนีด้วย”
แม้ไม่คิดดิ้นขัดขืน แต่คนหน้าหวานก็อดถามไม่ได้
“คุณเป็นใครถึงกล้ามาสั่งผม”
“เป็นคนที่รักคุณ”
“หึ” เสียงแค่นหัวเราะในลำคอทำเอาณธิปสะดุด
“หัวเราะหึๆ แบบนั้นทำไม ขนาดนี้แล้วคุณยังไม่เชื่อในความรู้สึกของผมอีกหรือ”
“...” กมลไม่ยอมตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เขาเว้นช่องว่างตรงนั้นเอาไว้นานจนคนถามร้อนใจ สุดท้ายจึงรีบยืนยันความรู้สึกตัวเอง
“ผมรักคุณจริงๆ นะ”
“...”
คำรักที่เอ่ยออกมาฟังดูหนักแน่น ทว่าไม่มั่นคงจนคนฟังนึกสงสัย แต่คนพูดไม่มีทางเฉลยหรอกว่า ผู้ชายที่เคยมั่นใจในตัวเองอย่างเขา เวลานี้กลับรู้สึกไม่มั่นใจว่ายังควรพูดความรู้สึกออกไปให้ชัดๆ ดีหรือไม่
เพราะเขากลัวว่าจะผิดหวังอีก
กลัวว่าคำรักของกมลจะเป็นแค่เรื่องที่เขาฝันไปเอง...
ณธิปกลับไปจมจ่ออยู่กับตัวเองอีกครั้ง หากคราวนี้สีหน้ากลับเศร้าหมองจนคนมองเปลี่ยนมาเป็นห่วง ดังนั้นจากที่เคยบอกให้ปล่อยมือ บัดนี้กมลกลับเป็นฝ่ายกระชับอุ้งมือใหญ่นั้นเอาไว้แทน
“...คุณเล็ก”
สัญญาณเพียงเล็กน้อยจากกมลทำให้ต้นไม้ที่ใกล้ตายฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ความมั่นใจที่เคยติดลบเองก็เพิ่มพูนขึ้นดังเดิมเช่นกัน หรือไม่บางที ณธิปคิดว่ามันอาจมากขึ้นเป็นเท่าตัวก็ได้ เพียงเพราะแค่สัมผัสได้ว่ากมลเป็นห่วงตน
“เฮ้อ...” ณธิปปรับอารมณ์หลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้วยรู้ว่าโอกาสดีอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ไม่ได้เวียนมาบ่อยๆ คนเจ้าเล่ห์กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นจึงกระชับมือกมลกลับ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างน่าหมั่นไส้ “แต่เอาเถอะ ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมเป็นคนที่คุณรักก็ได้”
“หา!? พูดอะไรน่ะ” พออยู่ๆ ณธิปคนหงอยเปลี่ยนเป็นคนเดิมรวดเร็วราวสับสวิตช์ ซ้ำยังพูดถึงเรื่องน่าอายได้หน้าตาเฉย กมลเองก็ถึงกับไปไม่เป็น จะคืนฟอร์มที่วางไว้แต่แรกก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเมื่อครู่เพิ่งเผลอใจอ่อนกับอีกฝ่ายไป ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำเฉไฉอย่างตะกุกตุกัก ”พูดจากหละ...เหลวไหล”
“เหลวไหลที่ไหน คุณเป็นคนบอกผมเองแท้ๆ พยานรู้เห็นก็มีหมด จะให้ผมไปเรียกมาถามรายบุคคลยังได้”
“พอเลย” กมลร้องห้าม
แค่เรื่องอุกอาจที่อีกฝ่ายให้เขาหลุดในห้องประชุม นั่นก็ทำเขาอายแทบแทรกแผ่นดินอยู่แล้ว นี่ยังมีหน้าจะเรียกคนมาเป็นพยานตอกย้ำกันอีกหรือ...กมลได้แต่คิดในใจ
“งั้นแสดงว่าคุณยอมรับแล้วใช่ไหม” คนเจ้าเล่ห์รุกไล่เมื่อเห็นว่ากำลังได้เปรียบ ทว่าคนสวยของณธิปยังคงทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง
“ใครบอก”
“อ้าว! แล้วยังไงกันครับ คุณจะบอกว่าไม่ได้รักผมหรือ ทั้งๆ ที่คุณพูดออกจากปากเองนะ”
“ผม...ไม่ได้...” กมลอึกอัก จะปฏิเสธก็พูดไม่ได้ เพราะเป็นฝ่ายเผยความนัยออกไปเอง
ระหว่างที่หนุ่มหน้าสวยกำลังทำท่าคิดหนัก หมาป่าเจ้าเล่ห์ก็ใช้โอกาสนี้รวบเอวกมลเข้ามากอดไว้ทั้งตัวด้วยแขนข้างเดียว ก่อนโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วใช้สันจมูกโด่งไล้ที่ข้างแก้มสีเรื่อ
“คุณจะปฏิเสธจริงหรือ”
“อย่ารุ่มร่ามนะ”
“ก็คุณไม่ยอมรับความจริง”
“ผะ...ผมเปล่า” กมลเสียงสั่น สัมผัสที่แนบชิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นอุปสรรค์ต่อการลำดับความคิดและหาคำพูดอื่นใดมาปฏิเสธ
“ถ้าคุณบอกว่าเปล่า อย่างนั้นก็ยอมรับตรงๆ สิครับว่ารักผม” ลมหายใจร้อนที่เป่ารดกกหูพร้อมเสียงกระซิบของณธิปคล้ายคำล่อลวงของซาตานร้ายก็ไม่ปาน
“ผมไม่---“
“อย่าปฏิเสธความรู้สึกตัวเองอีกเลยนะไอ” ณธิปเว้นช่วง ก่อนพรมจูบเบาๆ ลงบนแก้มเนียน พานให้คนฟังตัวสั่นสะท้าน ด้วยความรู้สึกที่เก็บงำกำลังทลายกำแพงออกมา
“...”
“ถ้ารัก...ก็แค่บอกว่ารัก ไม่ยากหรอก”
“ไม่ยากที่ไหน...” กมลพูดอ้อมแอ้ม
“ถ้าอย่างนั้นผมจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างดีไหม”
“ยังไง”
“ผมรักคุณนะไอ รักคุณ รักคุณ ผมรักคุ---“
กมลยกข้างที่ว่างขึ้นปิดปากคนตรงหน้า หวังจะหยุดประโยคที่ทำให้เขารู้สึกอายจนทนไม่ไหว
“พอแล้ว”
ทว่าณธิปก็คือณธิป ผู้ชายเอาแต่ใจที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้กมลปฏิเสธได้อีก เขาพยายามจับมือกมลออก และพูดว่ารักอีกครั้ง
“ผมรักคุณ และคุณก็หยุดผมไม่ให้พูดไม่ได้หรอก ผม---“
แต่ระหว่างที่ณธิปกำลังจะเอ่ยคำรักอีกคำ กมลที่ถูกรวบมือไปกอบกุมไว้ทั้งสองข้างก็ทำเรื่องไม่คาดฝัน โดยการเป็นฝ่ายเบียดตัวเข้าไปใกล้ และเงยหน้าขึ้นจุมพิตบนริมฝีปากบางเฉียบ หมายจะแสดงให้เห็นว่าเขาหยุดณธิปได้
และรอยจูบนี้ก็หยุดคำรักของณธิปได้จริงๆ
ทว่าจูบของกมลไม่อาจหยุดอย่างอื่นได้ ซ้ำยังเติมเชื้อไฟของความรู้สึกให้ลุกโชนมากกว่าเดิม คล้ายกับเส้นความอดทนและการควบคุมตัวเองที่มีมาตลอดถูกตัดให้ขาดสะบั้น
ในทีแรกณธิปแค่ถูกกมลจูบปิดปาก แต่เพียงเสี้ยววินาทีหลังเครื่องติด เขาก็เป็นฝ่ายครอบครองริมฝีปากของกมลเสียงเอง
ไม่เพียงแค่นั้น เพราะณธิปยังครองครองลมหายใจ และหัวใจที่เต้นรัวเร็วของกมลด้วย
พวกเขาจูบกันหลังประตูห้องของประธาน I promise อยู่นาน จนมารู้ตัวอีกที กมลก็ถูกพาเดินไปอยู่ที่โซฟารับแขกตัวยาวทำงานราวกับเต้นรำ ก่อนณธิปจะจับเขาเอนหลังลงกับโซฟาตัวนั้น ทั้งที่ริมฝีปากยังพัวพันกันไม่ห่าง
เสียงลมหายใจหอบๆ กับเสียงเนื้อผ้าหลุดลุ่ยเสียดสีเป็นเครื่องกระตุ้นชั้นดีให้ความรู้สึกที่มียิ่งปะทุ
“ดะ...เดี๋ยว”
กระนั้น ก่อนที่อะไรต่ออะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ กมลก็ดันอกณธิปเบาๆ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายหยุด ซึ่งณธิปก็ผละออกไปเล็กน้อยตามคำขอ แต่ไม่วายตั้งคำถาม
“คุณอยากหยุดหรือ”
“...ที่นี่...ไมได้” คนหน้าหวานเอ่ยกระท่อนกระแท่น
“อา...นั่นสินะ”
แม้จะเสียงดายแค่ไหน แต่ณธิปก็เข้าใจว่ากมลคงกระดากอายที่ต้องทำอะไรๆ ในที่ทำงานซึ่งไม่รู้จะจะมีใครโผล่ข้ามาตอนไหน อีกอย่างเขาก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นลวกๆ เพราะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ซ้ำเวลานี้ควรเป็นเวลาแห่งการพูดคุยและปรับความเข้าใจกัน
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ณธิปอยากให้ครั้งแรกระหว่างกมลค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
“งั้นพวกเรา ลุกขึ้นมานั่งตกลงกันดีๆ เถอะ”
กมลถูกฉุดให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนณธิปจะค่อยๆ บรรจงขยับเนคไทและติดกระดุมคอเสื้อที่กมลไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแกะออกไปเมื่อไหร่ให้เรียบร้อย
จากนั้นเกมจ้องตาก็เวียนกลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงหัวใจของใครสักคนที่ยังคงเต้นไม่เป็นระส่ำ
“ตกลงว่า คนที่จะแต่งงานกับพี่ภัทรไม่ใช่คุณจริงๆ ใช่ไหม” ณธิปเป็นคนเริ่มต้นประโยคแรกหลังจากเห็นว่ากมลคงไม่ยอมเอ่ยปากก่อน
“ก็จริงน่ะสิ” คนหน้าหวานว่า “คุณไปเอาข่าวนี้มาจากไหน”
“คุณแม่”
“หืม? คุณหญิงประภัสสรเนี่ยนะ” กมลทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ใช่” ณธิปยังคงพยักหน้ายืนยัน “พอคุณแม่โทรมาบอกข่าวเรื่องงานแต่งงาน ผมก็รีบบึ่งมาที่นี่ทันที คุณรู้ไหม ผมร้อนใจจะแย่ ถึงคุณจะพูดตัดขาดในวันนั้น แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ ผมให้เวลาคุณคิดทบทวนคำที่ปฏิเสธผม ให้เวลาคุณได้อยู่กับตัวเองสักพัก คิดไว้แล้วว่ายังไงผมก็จะหาวิธีปรับความเข้าใจกับคุณให้ได้ แค่เรื่องแต่งงานนั่นทำให้ผมสติแตกเสียก่อน”
“ผมว่าคุณคงฟังไม่ดีแล้วเข้าใจผิดไปเอง ท่านจะบอกว่าเป็นผมกับคุณภัทรได้ยังไง ในเมื่อยายอ้ายก็เคยไปพบท่านมาแล้ว อีกอย่าง คุณหญิงจะไม่รู้เชียวหรือว่าใครกันที่แต่งกับคุณภัทร”
“ไม่รู้สิ” ณธิปขมวดคิ้วน้อยๆ พยายามนึกถึงคำพูดของแม่ “ผมคงฟังผิดไปจริงๆ ช่วงนี้ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ แต่ยังไงซะ มันก็ดีแล้วที่ผมเข้าใจผิด”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ถ้าผมไม่เข้าใจผิดแล้วบุกมาที่นี่ ผมกับคุณคงไม่มีทางได้มานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันง่ายๆ เพราะคุณเล่นไม่ยอมรับการติดต่อจากผมเลย”
“...ผมไม่พร้อมคุย” เป็นอีกครั้งที่กมลตอบเสียงเบา แต่ณธิปกลับไม่ปรานี เพราะพอเห็นว่าตนเองกำลังได้ที เขาก็รีบตัดพ้อไปอีกประโยค
“รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันใจร้ายมาก”
“ผม...” คนหน้าหวานก้มหน้างุดๆ ไปครู่หนึ่งอย่างสำนึกผิด ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคล้ายออดอ้อนในที “ผมขอโทษได้ไหมครับ”
“ถ้าคุณยอมให้โอกาสผมอีกครั้ง ยอมที่จะคุยกันด้วยความเข้าใจอีกรอบ บอกผมว่าจริงๆ แล้วคุณรู้สึกยังไงกับความสัมพันธ์ของเรากันแน่ ผมก็จะไม่โกรธที่ถูกคุณใจร้ายใส่”
ความจริงณธิปยอมทุกอย่าง ยอมแพ้ตั้งแต่เห็นหน้ากมล เพราะเขาแค่ต้องการกลับไปดีกันเหมือนเดิม และทำเรื่องของพวกเขาให้ชัดเจนขึ้น ด้วยชายหนุ่มไม่เข้าใจว่ากมลมีปัญหาอะไรกันแน่ อีกฝ่ายจึงได้พูดทำร้ายจิตใจเขาในวันนั้น
ที่สำคัญ...แค่ณธิปรู้ว่าจริงๆ แล้วกมลก็รักเขาเหมือนกัน แค่นั้นเขาก็พอใจที่สุดแล้ว
“ไอ”
“ครับ”
“ให้โอกาสผมได้ไหม...”
“ผม...”
“ให้โอกาสตัวคุณเอง และรักของเราด้วยนะ...”
กมลมองเรียวนิ่ง เพราะนอกจากคำพูดแล้ว ณธิปยังส่งความรู้สึกผ่านทางสายตาให้กมลอย่างจริงใจที่สุด จริงใจจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
“ก็ได้ครับ...เรามาลองดูสักครั้ง”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่ะ^O^
ที่เคยบอกว่าเรื่องนี้เป็นโค้งสุดท้าย คือโค้งสุดท้ายจริงๆ แล้ว
ตอนนี้เหลือไม่ถึงสิบตอนก็จะจบ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้จนจบด้วยนะคะ
ละอองฝน.