8.การค้างคืนวันแรกระหว่างผมกับบิ๊กผ่านไปด้วยดี ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไรกับการที่มีน้องมันมาใช้ห้องนอนร่วมกับผม บิ๊กเป็นคนมีมารยาท มันรู้ว่าเวลาไหนควรอยู่เฉพาะในเขตของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจมาก
“ตื่นนานแล้วเหรอครับ” ผมพยักหน้าให้คนที่กำลังเมาขี้ตา “ทำไมไม่ปลุกผมอะ”
“เห็นมึงนอนสบาย”
“เวลานอนผมน่ารักใช่ไหมละ”
ผมส่ายหัวไปมาอย่างระอาใจ “เอาที่มึงสบายใจเลย”
“...”
“ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ตามลงไปกินข้าวข้างล่าง”
“ครับ ๆ”
ผมไม่ได้สนใจอะไรน้องมันอีกทำแค่เดินนำลงมาก่อน ป่านนี้พ่อคงไปทำงานแล้ว ส่วนแม่ก็คงไปขลุกอยู่บ้านนู้นตามเคย ผมเดินยกจานกับข้าวที่แม่ทำทิ้งไว้ให้ไปเรียงที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะเดินวนมาหาน้ำส้มคั้นในตู้เย็นดื่มรอน้องมันไปก่อน
เช้า ๆ ผมชอบดื่มน้ำผลไม้ เพราะแม่หัดให้ผมดื่มมันจนเป็นนิสัย และนิสัยข้อนี้มีนรู้ดี ตอนเราอยู่ด้วยกันเขาถึงได้เตรียมไว้ให้ผมเสมอทุกเช้า แต่พอเราเลิกกันทำให้ไม่มีคนเตรียมให้ ผมเลยต้องเลิกกินไปด้วยโดยปริยาย
“มาแล้วครับ”
เสียงมาก่อนตัวเหมือนอย่างเคย ได้ยินแล้วผมเลยวางแก้วเปล่าที่เพิ่งดื่มหมดลงบนโต๊ะหน้าตู้เย็น ก่อนจะถามน้องมันด้วยเมื่อตั้งใจจะรินแก้วที่สองไว้ดื่ม “เอาน้ำส้มไหม หรือจะเอาน้ำฝรั่ง”
“เอาเหมือนพี่เบลล์ก็ได้ครับ”
ผมพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจ ก่อนจะหยิบแก้วมาเพิ่มอีกใบแล้วรินน้ำส้มลงไป “มายกไปหน่อย เดี๋ยวกูจะไปตักข้าว”
“ครับ”
เราลงมือกินข้าวกันทันทีที่ผมวางจานข้าวลง เริ่มแรกเหมือนเราจะไม่มีบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร คงเพราะอร่อยกับมื้อเช้าฝีมือแม่มาก แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าแกงจืดถ้วยนี้จะเป็นฝีมือคนอื่นมากกว่า และผมคิดว่าตัวเองไม่น่าจะเดาพลาด เพราะฝีมือทำอาหารของคน ๆ นี้ผมเองก็กินมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ เช่นเดียวกับฝีมือแม่ตัวเอง
ก็นี่มันแกงจืดสูตรของเพื่อนสนิทแม่นี่นา
“ผมชอบผัดผักจัง” น้องมันพูดทั้งที่ยังเคี้ยวเต็มปาก “ต้มจืดก็อร่อยนะ แต่ผัดผักรสชาติถูกใจสุด”
ผมหัวเราะออกมา ก่อนจะเอื้อมไปตักข้าวโพดอ่อนในผัดผักใส่จานข้าวให้น้องมัน “ชอบก็กินเยอะ ๆ”
“พี่เบลล์ใจดีจัง”
“...”
“ขอมาบ้านพี่ทุกปิดเทอมแบบนี้เลยได้ปะ” น้ำเสียงอ้อน ๆ นี่ผมยังพอทน แต่ไอ้สายตาแปลก ๆ ที่น้องมันส่งมาให้ด้วยนี่ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไร “นะพี่เบลล์”
“กูยังไม่รู้ว่าจะทนคบมึงให้พ้นปีได้หรือเปล่าเลย”
“โหย..ใจร้ายอะ”
เห็นมันบ่นงุ้งงิ้ง ๆ แล้วก็อดขำไม่ได้ “เมื่อกี้มึงยังบอกว่ากูใจดีอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้ใจร้ายแล้วอะ”
ผมผมส่ายหัวกับความปัญญาอ่อนของมัน ก่อนจะกลับมาตั้งหน้าตั้งตากินข้าวจานตัวเองต่อ
“กินเสร็จแล้วพาผมเที่ยวหน่อยดิ” ผมเงยหน้าขึ้นมามองน้องมัน “ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง”
ผมนิ่งคิดไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบไปว่า “ไม่รู้สิ”
“อ้าว..”
“ก็ไม่ค่อยได้เที่ยว”
จริงที่ผมแทบจะไม่ได้ไปไหนเลย เพราะทุกเวลาของผมก็ทุ่มเทให้เขา..มีแค่เขาตลอด และพอทุก ๆ เวลาของเขามันเต็มไปด้วยหนังสือ ผมเลยหันมาสนใจหนังสือบ้าง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็สอบติดแพทย์ ในขณะที่ผมสอบติดด้านกฎหมายแล้ว
“งั้นเราไปท่องโลกด้วยกัน”
“หืม ?”
“ก็แบบไปผจญภัยไง” พอเห็นผมทำหน้าไม่สนใจ น้องมันก็ใช้เท้าเตะขาผมเบา ๆ ใต้โต๊ะ
“ลามปามนะมึง” ผมบ่นไป
“ก็พี่เบลล์ไม่สนใจผมอะ”
“...”
“ไปเที่ยวกันนะ”
“...”
“นะ ๆ” มันยังคงอ้อน “นะครับ”
“เออ”
ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วผมยอมไปเพราะแพ้ลูกอ้อน หรือรำคาญความเซ้าซี้ของมันกันแน่
เราขับรถตะเวนหาที่เที่ยวกันเกือบ ๆ สองชั่วโมง สุดท้ายก็ตกลงไปเที่ยวตลาดน้ำแบบโบราณที่ตอนนี้ไม่ว่าจะจังหวัดไหนในประเทศก็แทบจะมีกันหมดแล้ว แต่เราก็เหนื่อยและขี้เกียจเกินว่าจะมานั่งคิดแล้วว่าควรไปที่ไหน
อีกอย่างน้องมันก็ดูตื่นเต้นดีที่ได้เจอของกินหน้าตาแปลก ๆ อย่างที่มันว่า ทั้งที่หลายอย่างผมเห็นมาจนจะเบื่อแล้ว
“ซื้อนี่ไปฝากแม่ดีไหมครับ”
ผมมองขนมช่อม่วงสีสวยในถาดที่รองด้วยใบตอง ก่อนจะพยักหน้าตอบน้องมันไป “เอาดิ”
“แม่พี่น่าจะชอบ ผมควรซื้อไปเอาใจ”
“เพื่อ ?”
“ยังไม่ถึงเวลาที่พี่ต้องรู้”
ผมพยักหน้าส่ง ๆ ไป ทั้งที่ในใจก็รู้ดีว่ามันเป็นมุกเสี่ยวเอาใจเพื่อหวังจะจีบลูกเขา “แล้วแต่มึงเลย”
ว่าแล้วก็เดินนำออกมา ก่อนจะใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปร้านค้าอะไรไป จนสะดุดตาเข้ากับร้านสร้อยข้อมือเชือกถักแบบที่ผมเคยอยากได้ ผมเดินตรงเข้าไปที่ร้านแล้วหยิบขึ้นมาดูทีละเส้น เมื่อพี่เจ้าของร้านเอ่ยปากว่าให้เลือกดูได้ตามสบาย
ผมชอบสร้อยข้อมือที่มีจี้รูปเต่า กับอีกเส้นที่เป็นจี้รูปหอยทาก ยืนลังเลอยู่นานสุดท้ายก็เหมือนจะยังเลือกไม่ได้ จนกระทั่งพี่เจ้าของร้านถามว่าอยากให้เขาช่วยรวมมันไว้ในเส้นเดียวกันไหมนั่นแหละ ผมถึงได้ยิ้มออกมาได้
“งั้นรอแปบนะ หรือจะไปเดินเล่นก่อนค่อยกลับมาเอาก็ได้”
ผมยิ้มให้พี่เขา ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูพี่เขาถัก “ขอนั่งดูได้ไหมครับ”
“เอาดิ” พี่เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะก้มหน้าถักให้ผม
ผมนั่งจ้องนิ้วเรียวยาวที่กำลังบรรจงถักสร้อยนั่นให้ผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าร้านเมื่อรู้สึกว่ามีคนมอง “บิ๊ก”
“อยู่นี่เอง ผมหาตั้งนาน” ว่าแล้วก็เดินเข้ามานั่งลงบนพื้นข้าง ๆ ผม “ขอดูด้วยคนนะครับ”
“ตามสบายเลย”
พี่เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย ผมยาวฟูตามแบบฉบับสาวที่ชื่นชอบศิลปะ และหลงรักในอิสระ ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตั้งใจนั่น ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา
“ชอบหรือไง” ผมหันไปมองหน้าคนกระซิบ ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าคืออะไร “ก็พี่เขาไง ชอบคนสวยสินะ”
ผมหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยักไหล่ตอบน้องมันไป “ไม่รู้สิ”
อันที่จริงตั้งแต่เกิดจนโตมา ผมยังไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย อาจจะเป็นเพราะว่าในสายตาผมเคยมองแค่คน ๆ เดียวมาตลอด หรืออาจจะเป็นเพราะผมเกิดมาเพื่อเป็นเกย์อย่างเดียวเลยก็ได้
ซึ่งผมคิดว่าคงจะทั้งสองเหตุผล..
“ทำไมชอบเต่ากับหอยทาก” จู่ ๆ พี่เจ้าของร้านก็ถามขึ้นมา “ปกติสองลายนี้ขายไม่ค่อยดี ไม่สิ เพราะเต่ายังพอขายได้ แต่หอยทาก..”
“ผมชอบความเชื่องช้าของมัน” ทั้งพี่เขาและบิ๊กหันมาจ้องหน้าผมพร้อมกัน “มันช้าจนสมควรอยู่ด้วยกัน”
“...”
“ความรักก็เช่นกัน..”
ผมตอบท้ายด้วยมุกฝืดยอดนิยมออกไป แต่ก็ยังเรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้
“ความรักที่เชื่องช้างั้นเหรอ” พี่เขาทวนคำพูดผม ก่อนจะยักคิ้วมาให้เพียงข้างเดียว “คือรักกันช้า ๆ จนแก่ตายไปข้างปะ”
ผมหัวเราะออกมา ก่อนจะตอบกลับไป “รักที่ค่อยเป็นค่อยไป..”
“...”
“ความรักที่ค่อย ๆ พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า แต่หนักแน่นยาวนาน” ผมมองผู้ฟังทั้งสองคน “บางทีผมคิดว่า..”
“...”
“ถ้าตัวเองเป็นเต่า ก็อยากจะเจอหอยทากสักตัวที่เข้าใจกัน”
“...”
“พอเถอะ ผมเขิน”
เราหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน ก่อนจะกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง พี่เขาใช้เวลาทำหลังจากนั้นอีกไม่นานก็จัดใส่ถุงให้ผม ก่อนจะใจดีลดราคาให้ เพื่อแลกกับนิยามความรักของ
เต่ากับหอยทาก ที่ผมให้ไว้เป็นไอเดียขายของให้ลูกค้า
“ไว้แวะมาใหม่ละ”
“ครับ”
ก่อนออกจากร้าน ผมก็เห็นว่าบิ๊กเลือกซื้อสร้อยข้อมือถักรูปเต่ากับหอยทากไปเหมือนกัน แต่เป็นสองเส้นที่ผมลังเลจะเลือกในตอนแรกที่มาถึงนั่นแหละ ผมไม่ได้คิดจะถามอะไรที่เห็นน้องมันซื้อ กระทั่งน้องมันหันมาบอกกับผมเอาตอนกำลังจะขึ้นรถกลับ
“เผื่อผมจะได้เป็นเต่าหรือหอยทากของใครสักคนบ้าง”
ก็เอาที่มึงสบายใจเลย..
Ma-NuD_LaW
หวานอีกตอนก็ได้ 
คนอ่าน