28.
ผมกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ทันทีหลังจากนั้น น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมไม่ได้เจ็บปวดหรือรู้สึกแย่อะไรมากมายอย่างที่เคยเป็น ถึงแม้ในบางขณะผมจะยังได้ยินคำว่ารักที่เขาบอกเอาไว้ดังแว่วมาในหัวบ้าง แต่มันก็แค่นั้น..แค่เพียงไม่ให้ความใส่ใจ มันก็จะหายไปเหมือนสายลมพัดผ่าน
“ถ้าไม่ติดว่าไอ้บิ๊กมันจีบเบลล์ เราจะนึกว่าคบกับจุ๊แล้วนะ”
ผมเหลือบมองเพื่อร่วมรุ่นคนหนึ่งที่จำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อเล่น ก่อนจะหันมามองจุ๊ที่ตอนนี้กำลังเจาะน้ำผลไม้ดื่มแบบไม่ใส่ใจใคร “ทำไมเหรอ”
“ก็เล่นส่งน้ำส่งขนมให้กันทุกเช้า ดูแลกันเหมือนแฟนเลยอะ”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะหยิบหนังสือเรียนในกระเป๋าออกมาเปิดอ่านรอเวลาไป เลิกสนใจเสียงพูดเสียงแซวเรื่องที่ผมคอยดูแลจุ๊ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ทุกคนรู้แล้วว่าบิ๊กกำลังตามจีบผม อันที่จริงที่ผ่านมาทุก ๆ คนก็แค่รู้สึกสงสัยในความสนิทสนมระหว่างผมกับน้องมัน แต่เรื่องมันมาดังก็ตอนที่จุ๊โพสต์ภาพที่ผมโดนน้องมันกอดตอนวันเกิดน้องมันลงโซเชี่ยวนั่นแหละ
“แซนวิชทูน่า อาทิตย์นี้หนที่สามแล้วนะ”
ผมหันไปมองจุ๊ ก่อนจะยักไหล่แล้วบอกไป “กิน ๆ ไปเถอะ”
ช่วงนี้ก็ใกล้จะสอบเต็มทีแล้ว ขนาดตัวผมยังอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้ทำอะไร เด็กคณะแพทย์เองก็คงจะไม่ต่างกัน แต่เขาก็ยังอุตส่าห์หาเวลาแอบเอาน้ำเอาขนมพวกนี้มาแขวนไว้ที่หน้าประตูห้องผมได้ทุกเช้า
“วันนี้บิ๊กมันนัดติวกับเพื่อน มันฝากมาบอกเพราะเบลล์ไม่รับโทรศัพท์มันอะ”
ผมพยักหน้าเบา ๆ ให้จุ๊ ก่อนจะก้มลงค้นกระเป๋า แล้วก็ไม่เจอโทรศัพท์มือถือในนั้นจริง ๆ “สงสัยเราลืม..”
“อืม ๆ” จุ๊ตอบงึมงำในลำคอ ขณะที่มือก็กดจิ้มโทรศัพท์ไป “มันบอกว่าเย็น ๆ จะโทรหา”
“รายงานตัวกันตลอดเลยเนอะ”
เสียงแซวดังขึ้นอีกระลอก แต่ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร ทำแค่ก้มลงมาอ่านหนังสือตรงหน้าตัวเองต่ออีกครั้ง ปล่อยความคิดความรู้สึกทุกอย่างให้จมลงไปกับเนื้อหาในหนังสือ เทอมนี้ผมตั้งใจมาก และคิดว่าเกรดมันต้องออกมาดีกว่าเทอมที่ผ่านมาแน่นอน
“เจอกันพรุ่งนี้”
ผมส่งยิ้มตอบกลับไปให้จุ๊ ก่อนจะเดินแยกออกมา ในหัวก็นึก ๆ เมนูที่จะกินเป็นมื้อเที่ยงและเย็นของวันนี้ คิดแล้วก็เกิดนึกเบื่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในห้องของตัวเองขึ้นมา เลยตัดสินใจโบกแท็กซี่เพื่อไปหาอะไรกินง่าย ๆ ที่ห้างสรรพสินค้าก่อนจะกลับเข้าคอนโดแทน
ผมเข้าไปกินไก่ทอดยี่ห้อดังเงียบ ๆ ก่อนจะสั่งเบอเกอร์กลับบ้านเพื่อเอาไว้อุ่นเป็นมื้อเย็น แล้ววนอยู่ในโซนซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อขนมขบเคี้ยวเอาไว้กินตอนอ่านหนังสือดึก ๆ
“น้อง..” ผมหันไปมอง ก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งยืนยิ้มให้อยู่ “จำพี่ได้ไหม”
ผมหันกลับไปจ่ายเงินให้พนักงานเมื่อได้ยินเสียงบอกราคา ก่อนจะเดินออกมายืนรอผู้หญิงคนเดิมจ่ายเงินค่าบุหรี่สองสามซองในมือ แล้วก็ห้ามสายตาไม่ให้เหลือบมองท้องใหญ่ ๆ ของเธอไม่ได้
หวังว่าคงไม่ใช่ตัวเธอเองหรอกนะที่จะสูบมัน
“สูบเองหรือเปล่าครับ” ผมถามขณะพากันเดินออกมา “เหมือนพี่จะท้องอยู่..”
“ใกล้คลอดแล้วล่ะ” เธอว่าแล้วเจาะซองบุหรี่ในมือ “สองสามวันมานี้ เริ่มเจ็บถี่ขึ้น”
“...”
“ว่าแต่เราจำพี่ได้แล้วเหรอ” ผมขมวดคิ้ว พยายามนึกว่าเคยเจอคน ๆ นี้ที่ไหน “ตลาดน้ำไง..”
“...”
“ที่ขายสร้อยข้อมือถักนี่ให้เรา” เธอว่าแล้วชี้มาที่ข้อมือผม “จำได้หรือเปล่า”
“อ๋อ..”
“ไม่นึกว่าจะเจอเราที่นี่นะ”
เห็นรอยยิ้มส่งมาให้ ผมก็เลยส่งยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะเดินตามเธอไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดจะถามอะไร กระทั่งมาถึงสวนสาธารณะเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เธอก็เดินตรงเข้าไป จับจองที่นั่งบนพื้นหญ้าแถวริมน้ำ ก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมเดินตามไป
“พอก่อนดีไหมครับ นี่มันมวนที่สองแล้วนะ”
“อย่าห้ามพี่เลย”
แล้วผมก็ได้แต่นั่งเงียบ มองควันสีขาวที่ทยอยลอยขึ้น ก่อนจะจางหายไป มีบางทีที่เธอนึกสนุกปล่อยควันสีขาวให้ออกมาเป็นรูปวง ๆ คล้ายกับโดนัท แล้วหันมาหัวเราะให้กับท่าทางตื่นเต้นของผม
“ไม่เคยสูบล่ะสิ” พอผมพยักหน้า เธอก็ก้มหน้าลงดีดขี้บุหรี่ลงพื้น “ดีแล้ว..”
“...”
“อย่าคิดจะลองมันเลย”
“แล้วพี่สูบทำไมครับ” ผมถามทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น “แถมยังสูบทั้งที่ท้อง”
“ไม่ต้องห่วงเด็กนี่หรอก” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วจิ้ม ๆ ลงไปที่ท้องตัวเอง “มันอึดกว่าที่เราคิด”
“...”
“ขนาดกินยาขับยังไม่หลุดออกมาเลย” เธอหัวเราะในลำคอ “หรือแม่งเป็นยาปลอมก็ไม่รู้”
“...”
“เพื่อนมันหามาให้”
ผมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดพวกนั้น ก่อนจะกลับมาได้สติเมื่อเธอหันมามอง “เอ่อ..แล้วพ่อเด็ก”
“มันไม่รู้หรอก” เธอว่าแล้วเอนตัวลงนอนไปบนพื้นหญ้า “ไม่ได้อยากให้มันรู้ด้วย”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะพี่ไม่ได้รักมันไงล่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นมาหลังจากประโยคนั้น ก่อนที่ผมจะต้องทั้งพยุงทั้งอุ้มเธอออกมาโบกแท็กซี่เพื่อไปโรงพยาบาล กลิ่นน้ำคล่ำหรือน้ำอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จักคาวคลุ้งไปทั่วรถแท็กซี่ จนผมต้องยื่นแบงค์พันในกระเป๋าตัวเองให้คนขับรถไปหลายใบเพื่อชดใช้ ก่อนจะรีบวิ่งตามรถเข็นที่ตอนนี้เข้าไปในห้องคลอดแล้ว
“ญาติรอข้างนอกนะคะ”
ได้ยินอย่างนั้นผมเลยทำได้แค่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้หน้าประตูไปเงียบ ๆ กระทั่งเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว ก่อนที่ผมจะถูกเรียกไปซักถามเรื่องประวัติ แต่ก็ตอบอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายเลยต้องรอให้เธอฟื้นขึ้นมาก่อน ผมเดินไปนั่งรออยู่ข้าง ๆ เตียงคนไข้หลังจากเข้าไปล้างเนื้อล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ซื้อได้ที่หน้าโรงพยาบาลแล้วจึงหยิบหนังสือออกมารออ่านเงียบ ๆ รอเธอฟื้น
เธอหลับไปกว่าค่อนคืน ก่อนจะตื่นมาตอนราว ๆ เกือบห้าทุ่ม ผมวางหนังสือในมือลงกำลังจะถามอะไรเธอหลายเรื่อง แต่ก็ถูกขัดขึ้นมาซะก่อน “พี่ไม่อยากเห็นหน้าเด็ก”
เห็นสีหน้ามึนงงของผม เธอก็พูดต่อ “พี่ไม่ได้รักพ่อของเด็กคนนั้น”
“...”
“ก็แค่คิดว่าอาจจะรักได้ เลยยอมย้ายไปอยู่ด้วย ถึงได้เจอเราที่ตลาดน้ำนั่นแหละ” เธอว่าแล้วหลับตาลง “นานวันก็รู้ดีว่าคงรักมันไม่ได้แล้ว”
“...”
“เลยหนีมา แต่ดันมีเด็กนี่”
“...”
“พาพี่หนีไปทีได้ไหม”
“แล้ว..แล้วพี่จะทิ้งลูก”
“พูดเล่น” เธอว่าแล้วหัวเราะเฝื่อน ๆ “หิวอะ ช่วยไปหาซื้ออะไรให้กินหน่อยได้ไหม”
ผมพยักหน้า ก่อนจะรีบเดินลงมาหาซื้ออะไรข้างล่าง เห็นข้าวต้มหรือโจ๊กอะไรผมก็ซื้อมาให้ทั้งหมด เผื่อเธออยากกินอะไรก็จะได้เลือก แต่พอกลับขึ้นมาก็ไม่เจอเธอที่เตียงแล้ว ผมวางถุงกับข้าวในมือ ตั้งท่าจะวิ่งออกไปถามพยาบาล แต่ก็เห็นกระดาษที่วางสอดไว้ใต้หมอนเสียก่อน
ขอโทษที่ทำให้ลำบาก แต่พี่รับเด็กนั่นไม่ได้จริง ๆ
พี่อยากกลับไป..
ไปหารักแรก..และเพียงครั้งเดียวของตัวเองผมมึนไปกับข้อความสั้น ๆ ที่หาใจความไม่ได้ในกระดาษนั่น ก่อนจะรีบวิ่งออกไปบอกพยาบาลให้ช่วยกันตามหา ทางโรงพยาบาลให้เจ้าหน้าช่วยกันหาทั้งคืนแต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไรเลย ผมถอนหายใจทันทีที่รู้..เหลือบมองเด็กที่นอนหลับนิ่ง ๆ อยู่ในห้องเด็กอ่อน
ไม่ได้รู้สึกสงสารอะไร..แค่รู้สึกไม่เข้าใจโชคชะตาชีวิตก็เท่านั้น
ผมรับผิดชอบจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ก่อนจะโทรไปบอกพ่อกับแม่ให้มาช่วยจัดการเรื่องเด็กคนนี้ ขณะรอก็นั่งรวบรวมสติตัวเอง คิดทบทวนว่าควรจะบอกกับพ่อแม่หรือเปล่าว่านั่นไม่ใช่ลูกของผม แต่เป็นลูกของใครก็ไม่รู้ที่ผมเองเพิ่งเคยเจอแค่ไม่กี่ครั้ง
พ่อกับแม่ไม่ได้พูดอะไรเลยตอนจัดการเรื่องทางกฎหมายให้กับผม เด็กคนนี้จะถูกรับมาเลี้ยงในฐานะลูกบุญธรรมของพ่อกับแม่ โดยมีเงื่อนไขว่าผมต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบเด็กคนนี้ ไม่ว่าจะที่อยู่ที่เรียน กระทั่งการดูแลทั่วไป พ่อสั่งให้ผมกลับไปดูแลเขาทุกเวลาที่ว่าง เฉกเช่นที่พ่อคนหนึ่งควรจะทำให้ลูก
“สอบเสร็จก็รีบกลับ ไม่ต้องรอให้ใครไปส่ง” พ่อบอกกับผมอย่างนั้น หลังจากมาส่งผมที่หน้าคอนโดแล้ว “แล้วเทอมหน้าอนุญาตให้เอารถมาใช้ได้ จะได้ไปกลับบ้านได้สะดวก”
ผมยกมือขึ้นไหว้พ่อ ก่อนจะเหลือบมองแม่ที่ตอนนี้นั่งนิ่งอยู่ในรถไม่ยอมลงมาส่งผม “แล้วผมจะโทรหานะครับแม่”
แม่ไม่ตอบอะไรเลย ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผมด้วยซ้ำ พ่อเลยยกมือขึ้นมาตบบ่าผมเบา ๆ เหมือนปลอบ ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อย ๆ ในหัวก็นึกแปลกใจตัวเองที่แบกเอาเรื่องยุ่งยากอย่างนี้เข้ามาในชีวิตทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมทำอย่างนี้..
“ทำไมหนีกลับบ้านไปไม่ยอมบอกผม”
“กูมีธุระ” ผมถอนหายใจ มองบิ๊กที่ตอนนี้ทำหน้างอง้ำ แสดงความไม่พอใจให้ผมเห็นผ่านโปรแกรมสนทนา “สอบเสร็จค่อยตาม
มาก็ได้”
“ลืมแล้วหรือไงว่าผมต้องบินไปหาแม่”
“เออว่ะ” ผมร้องบอกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าปิดเทอมนี้น้องมันจะต้องไปหาแม่ เนื่องจากตรงกับวันเกิดของท่านพอดี “โทษที กูลืม..”
“ช่วงสอบก็ยุ่งซะจนแทบไม่ได้เจอหน้า พอสอบเสร็จก็ดันหนีผมกลับไปก่อนอย่างนี้อีก” มันทำหน้ามุ่ย “พี่แม่งนิสัยแย่ ไม่เคยใส่ใจผมเลย”
“แล้วที่กูมานั่งเปิดกล้องคุยกับมึงอยู่นี่ ยังไม่เรียกว่าใส่ใจอีกเหรอ”
บางทีผมก็หงุดหงิด ที่ต้องมานั่งทำอะไรไร้สาระแบบนี้ แต่เป็นเพราะว่ามันเคยขอเอาไว้ ว่าอยากคุยกับผมแบบเห็นหน้ากันบ้าง ผมถึงยอมทำให้อย่างนี้
“ขอโทษครับ..” น้องมันหน้าจ๋อยลงไป “ผมแค่คิดถึงพี่”
“ช่างเหอะ ตอนนี้มึงรีบไปอ่านหนังสือดีกว่า พรุ่งนี้สอบตัวสุดท้ายแล้ว”
“...”
“ไว้สอบเสร็จค่อยคุยกัน”
“ถ้าผมไปหาแม่แล้ว ขอคุยกับพี่อย่างนี้ทุกวันได้ไหม” ผมเลิกคิ้วขึ้น เป็นเชิงบอกว่าไม่ค่อยเข้าใจที่มันพูด “หมายถึงคุยกันแบบเห็นหน้าอย่างนี้”
“ถ้ากูว่างนะ”
“ครับ”
เห็นสีหน้าแสดงความดีใจของมันแล้วก็ด่าไม่ลง “ไปอ่านหนังสือได้แล้ว ไว้สอบเสร็จค่อยคุยกัน”
“ครับ คิดถึงพี่เบลล์นะครับ”
ผมกดวางสายจากน้องมัน ก่อนจะเดินออกจากห้องมาดูแม่ที่ตอนนี้กำลังกล่อมเด็กอยู่ในห้องตรงข้าม แม่พยักหน้าให้ผมเข้าไปดูวิธีกล่อมนอน บอกนิสัยส่วนตัวคร่าว ๆ ของน้องให้ผมฟังจบก็เดินออกจากห้องไป เพื่อปล่อยให้ผมได้อยู่กับน้องตามลำพัง ผมก้มมองเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังหลับสนิทอยู่ในเปล ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยลงไปเบา ๆ บนแก้มนั่น
“หนูบัว..” ชื่อนี้แม่เป็นคนตั้งให้ เพราะเห็นว่ามันเพราะและมีพยัญชนะเดียวกันกับชื่อของผม “ฝันดีนะคะ”
“นี่เหรอเด็กที่แม่บีพูดถึง..”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูด ก่อนจะเอ่ยปากทักทายไป “มีน”
“อืม..”
“กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อกี้..” เขาว่าแล้วเดินเข้ามายืนอีกฟากของเปล “แม่บอกว่านี่คือลูกของเบลล์”
“ก็อย่างที่เห็น..”
“แน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้”
“ถามแบบนี้หมายความว่ายังไง” ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “แล้วถ้าเราจะไม่ตอบบ้าง เหมือนอย่างที่มีนเคยทำ จะเป็นยังไงเหรอ”
“เบลล์”
“อย่ายุ่งเรื่องของเรานักเลย”
ผมเลิกให้ความใส่ใจกับเขา แล้วเดินลงมาหาอะไรอย่างอื่นทำ พอลงมาชั้นล่างก็เจอกับแม่และแม่มลที่กำลังจะออกไปซื้อของข้างนอก แม่สั่งให้ผมคอยดูแลน้องบัวให้ดี ก่อนจะพากันขับรถออกไปข้างนอก ผมเลยต้องเดินกลับขึ้นมาข้างบนอีกครั้ง เพื่อนั่งเฝ้าเด็กที่กำลังนอนหลับสนิทแบบไม่รู้จะทำอะไร
มีนนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง เปิดหนังสือนิทานเด็กที่พ่อกับแม่ซื้อมาเตรียมเอาไว้อ่านเล่นไป มีบ้างที่เขาจะเหลือบมามองว่าผมกำลังทำอะไร ก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ
“แอ้..”
ผมลุกขึ้น เกาะขอบเปลทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง ก่อนจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อไม่รู้ว่าเด็กร้องไห้ออกมาด้วยสาเหตุอะไรและก็เป็นเขาที่ได้สติก่อน จึงลุกเดินมาเปิดผ้าอ้อมดูถึงรู้ว่าน้องร้องไห้ทำไม ผมได้แต่มองตอนที่เขาผลัดเปลี่ยนผ้าอ้อมให้จนเด็กสบายตัวแล้วผล่อยหลับไปอีกครั้ง
“เด็กร้องไห้มีไม่กี่สาเหตุหรอก” เขาบอกขณะห่มผ้ากลับให้น้อง “หิว ง่วง ไม่สบายตัว”
“...”
“ค่อย ๆ สังเกตไปแล้วกัน”
ผมมองตามเขาที่ตอนนี้เดินเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ก่อนจะหันกลับมามองเด็กที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ในเปล “นั่นสินะ”
บางทีการสื่อสารกับคนที่ยังพูดไม่ได้อย่างน้องบัว หรือแม้แต่กับคนที่พูดได้แต่ไม่เคยยอมพูดอย่างเขา ก็ทำง่าย ๆ เพียงแค่การสังเกต
แล้วทำไมที่ผ่านมาผมถึงได้ลืมไป ว่าตลอดเวลาสิบกว่าที่ผ่านมา ผมสื่อสารกับเขาด้วยวิธีไหน..
Ma-NuD_LaW
เหมือนจะไม่สำคัญ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเขียนอะ
ดูเวิ้นเว้อผิดวิสัยผมไปหน่อย แต่ก็หยวนๆ เนอะ