-11-
-แม็กม่า-
ระหว่างที่ผมเดินตามคุณอิฐออกจากห้องนั่งเล่น ผมก็มองแผ่นหลังกว้างนั่นสลับกับปลายนิ้วของตัวเองถูกอีกฝ่ายยึดไว้แล้วจับจูงเดินต่อไปจนกระทั่งพบพี่ดวงที่ถือจานผลไม้มาทางนี้พอดีเขาจึงหยุดเดิน
“ขอบใจ” เขาเอ่ยสั้นๆ คว้าจานผลไม้นั่นแล้วจูงผมเดินออกไปนอกบ้าน
ในที่สุดเราสองคนก็ไปหยุดยังซุ้มศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนที่มีต้นไม้ร่มครึ้ม
“คุณพาผมมาที่นี่ทำไมเหรอครับ?” ผมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เราจะได้นั่งคุยกันโดยไม่มีใครมาสอดน่ะสิ” คำตอบของเขาทำให้ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่ถูกกุมไว้ไม่ยอมปล่อยจนเขาต้องก้มหน้ามองตาม แล้วก็รีบชักมือนั่นกลับไปทันทีเหมือนกับกลัวว่าผมจะเข้าใจผิดคิดว่าแกเป็นตาลุงโรคจิตที่ชอบแต๊ะอั๋งเด็กๆ (ถึงในความเป็นจริงจะใกล้เคียงกันก็เถอะ)
ผมเป็นฝ่ายก้าวเท้าขึ้นไปนั่งบนศาลานั่นก่อน ขณะที่ก้มหน้าก็เหลือบตาขึ้นมองคุณอิฐเดินตามขึ้นมานั่งในระยะห่างกันประมาณหนึ่งแล้ววางจานผลไม้ที่ผมเห็นชัดว่าเป็นมะม่วงเอาตอนนี้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมน้ำลายสอขึ้นมาทันที
“มะม่วงหน้าบริษัทรึเปล่าครับเนี่ย?” ผมถามขึ้นแล้วนึกไปถึงซูกัสที่ชอบหาเรื่องอยากกินของพวกนี้ให้ต้องซื้อไปฝากอยู่เรื่อยทุกที
“ใช่ ฉันตั้งใจซื้อมาฝากเธอ”
“ขอบคุณนะครับ ถ้ามีน้ำปลาหวานด้วยก็คงดี” ไม่ใช่ว่าไม่อยากกิน แต่คิดว่ามะม่วงจิ้มพริกเกลือดูยังไม่อร่อยเท่าน้ำปลาหวาน
“อ้าว... ฉันนึกว่าคนท้องจะอยากกินของเปรี้ยวๆ ซะอีก”
“ต่อไปก็ไม่แน่นะครับอาจจะชอบ แต่บังเอิญตอนนี้ผมยังไม่เริ่มแพ้ท้องเลยครับ”
“อ้อ...นั่นสินะ ก็เพิ่งเดือนนิดๆ เองนี่นา แล้วอย่างอื่นล่ะมีอะไรที่อยากกินไหม ไว้ฉันจะซื้อมาฝาก”
“ตอนนี้ผมไม่นึกอยากกินอะไรเลยครับนอกจากกาแฟ ไม่ได้กินมาสองอาทิตย์แล้วจะลงแดงตาย”
“เธอติดกาแฟด้วยเหรอ งั้นทำไมไม่กินล่ะ ฉันก็ติดนะ ถ้าไม่ได้กินจะปวดหัว ง่วงนอนทั้งวัน”
“ดื่มไม่ได้น่ะครับ ถึงหมอจะบอกดื่มได้แต่ต้องไม่มากก็เถอะ แต่ทางที่ดี ไม่ดื่มเลยจะดีกว่า”
“อ๋อ... คนท้องเลยดื่มกาแฟไม่ได้สินะ” เขารำพึงกับตัวเองเบาๆ “ถ้างั้น เธอยากจะได้ทีวีหรือว่าโน้ตบุ๊กสักเครื่องไหม? จะได้ไม่เบื่อเวลาอยู่บ้าน”
“ไม่ต้องหรอกครับ ลงไปดูกับแม่คุณก็ได้ ขืนขลุกตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาดูโลกภายนอก คงโดนแขวะจนแผลเหวอะกันพอดี” ถึงผมจะคิดว่าการหลบหน้าไปเลยน่าจะสบายหูมากกว่า แต่จะให้หลบกันไปอีกตั้งหลายเดือนก็คงไม่ได้ สู้เผชิญหน้าแล้วปรับตัวเข้าหากันไปแต่เนิ่นๆ น่าจะดีกว่า ถึงยังไงผมก็ยังมีลูกคุณอิฐคอยหนุนหลังอยู่ทั้งคนนี่!
“อืม... แต่ถ้าไม่มีอะไรทำจะเข้าไปเล่นคอมในห้องทำงานฉันก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่าคุณอิฐนี่ใจดีจัง เห็นผมร้องไห้ก็ตามมาปลอบ มาขอโทษแล้วยังซื้อของมาฝาก... เอ๊ะ!! หรือว่า...
“คุณอิฐ... ถ้าคุณคิดจะเอาใจผมล่ะก็ ไม่จำเป็นหรอกนะครับ เดี๋ยวผมจะเคยตัว”
“ฉันแค่อยากจะไถ่โทษน่ะ ที่พูดกับเธอแรงไปหน่อย แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอเสียใจหรอกนะ”
“อย่าคิดมากเลยครับ บอกแล้วไงว่าอารมณ์ผมแปรปรวนนิดหน่อย แต่ทิ้งไว้สักพักก็หายแล้ว อีกอย่างคุณก็เป็นเจ้านายด้วย จะดุจะด่าก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น”
“พ่อฉันเคยสอนน่ะ ว่าเป็นเจ้าคนนายคนจะใช้แต่พระเดชอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้พระคุณด้วยถึงจะดี”
“ท่านคงเป็นคนใจดีนะครับ” ผมนึกถึงรูปวาดใหญ่ๆ ที่ติดอยู่กลางบ้านตั้งอยู่คู่กับรูปแม่คุณอิฐก็ทำให้คิดไปเช่นนั้น
“ใช่ ใจดีมาก” เขาตอบรับ สายตาเหมือนกำลังระลึกถึงวันเวลาอันแสนสุข จึงมีรอยยิ้มบางๆ
“คุณคงนิสัยเหมือนคุณพ่อ”
“ก็เหมือนทั้งสองคนนั่นแหละ บางทีฉันก็ใจดี บางทีก็ฟอร์มจัด”
“คุณหมายถึงแม่คุณใช่ไหม?” ผมถามยิ้มๆ
“ตอนกลับมาจากคลินิกน่ะ เธอนั่งอยู่ข้างหน้าไม่รู้เห็นหรือเปล่าว่าคุณแม่นั่งดูรูปอัลตร้าซาวด์ตลอดทางเลย ถึงปากจะประชดประชันนั่นนี่ แต่จริงๆ แล้วแม่คงดีใจมากนะที่มีหลาน”
“คงไม่ใช่แค่แม่คุณคนเดียวหรอกครับ ถ้าใครมีลูกชายที่ชอบผู้ชาย พอรู้ว่ามีหลานได้ก็คงดีใจทั้งนั้นแหละ”
“นั่นสิ... ทนๆ เอาหน่อยแล้วกันนะ ฉันเชื่อว่าแม่ต้องชอบเธอ” ผมอยากจะรู้นักว่าลุงแกเอาอะไรมาคิดกันว่าเป็นอย่างนั้น เอาอะไรมาเป็นเครื่องยืนยัน...
“ทำไมครับ? คุณชอบผมแล้วเหรอ?”
“ฮึ...”
“ผมหมายถึงในฐานะลูกจ้างน่ะครับ ก็ถ้าขนาดคุณยังไม่ชอบผม ผมจะไปหวังให้แม่คุณชอบได้ยังไง”
“อ๋อ ชอบสิ เธอออกจะว่านอนสอนง่าย สั่งอะไรก็ทำ ติดอยู่แค่... มองยากไปหน่อย”
“มองยากยังไงเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ เวลาที่เธออยู่กับซูกัส เธอจะเหมือนมีพลังบางอย่าง ขี้บ่นแล้วก็จัดการเค้าจนอยู่หมัดจนบางทีฉันก็รู้สึกว่าเธอก็น่ากลัวเหมือนกัน แต่กับฉัน... เธอกลับไม่ค่อยต่อรอง ไม่สร้างปัญหา ดูไม่มีพิษมีภัย มันดูต่างกันน่ะ”
“ผมเป็นเพื่อนกับซูกัสมาตั้งหลายปีแล้ว รู้จุดอ่อนจุดแข็งนิสัยใจคอกันดี บางเรื่องผมก็จัดการเค้าได้ แต่บางเรื่องผมก็ต้องยอมเค้า แต่มนุษย์เราย่อมมีการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด ตอนอยู่กับเจ้านายจะให้เอาแต่ใจทำตัวเหมือนอยู่กับเพื่อนได้ยังไงล่ะครับ”
“นั่นสิ มันต่างกันขนาดนั้น บางทีฉันก็อยากรู้นะว่าความจริงแล้วเธอเป็นคนยังไง”
“ผมว่าไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน มันสั้นมาก มากจนคุณไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้”
คำพูดของผมทำให้เขาเงียบไป...
เขาคงเห็นด้วยกับผม มันคงจะดีกว่าจริงๆ ที่เราจะรู้จักกันเพียงผิวเผินและคงสถานะไว้แค่เพียงนายจ้างและลูกจ้าง... เมื่อต้องแยกย้ายกันไปจะได้ไม่อาลัยอาวรณ์
ไม่แน่เหมือนกันถ้าแฟนคุณอิฐรักและดูแลเจ้าตัวน้อยอย่างดีที่สุดแล้ว ผมคงวางใจปล่อยให้ครอบครัวนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยไม่โผล่หน้ามาเลยก็ได้ เพราะความรัก อาจจะไม่ลงเอยด้วยการอยู่ด้วยกันเสมอไป เราจะอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ และคอยคิดถึงเขาอยู่ไกลๆ ก็ได้ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นผมจะดูแลเค้าให้ดีที่สุด
เป็นมื้อเย็นครั้งแรกที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา และการมีคุณอิฐอยู่ด้วยทำให้บรรยากาศไม่เลวร้ายเท่าเมื่อวาน เพราะทั้งๆ ที่แม่คุณอิฐส่งคนมาบอกว่าอาหารค่ำหนึ่งทุ่มตรงก็ตาม แต่กว่าจะได้ตักข้าวก็ล่วงเลยไปถึงทุ่มสิบห้า คงเพราะท่านคาดว่าคุณอิฐจะกลับมาทานข้าวเย็นด้วยแต่แล้วก็คอยเก้อ
“คนมาครบแล้วก็ตักข้าวสิ รอใครอีกล่ะ” แม่คุณอิฐเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ถึงทุ่มตรงดีทำให้แม่ฟองคุณแม่บ้านรีบกุลีกุจอตักข้าวใส่จานทันที
“กลับมากินข้าวบ้านทุกวันก็ดีนะอิฐ ถึงไม่คิดถึงแม่ก็สงสารเมียบ้าง ปล่อยให้เป็นแม่สายบัวรอเก้อบ่อยๆ ก็น่าสมเพช” ระหว่างรอให้ตักข้าวจนครบคน ท่านก็เอ่ยขึ้นมา
“แม่ก็รู้ว่าผมงานยุ่ง” คำแก้ตัวคุณอิฐยังกับท่องอาขยาน!
“ถึงยุ่งก็ต้องกลับมาหลับมานอนบ้าง จะเสเพลค่ำไหนนอนนั่นเหมือนอย่างเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ไม่คิดถึงเมียก็คิดถึงลูกบ้าง” นั่น! จากแม่มาเมีย จากเมียมาลูก!
นี่ถ้าผมเป็นเมียตัวจริงของคุณอิฐนี่คงสะดุ้งสะเทือนพอตัวเลยล่ะ ท่านคงรู้อยู่เลาๆ ว่าคุณอิฐมีคนอื่นอีก เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เท่านั้น แต่มองในมุมกลับกัน ตัวผมเป็นคนอื่นแท้ๆ แต่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านนี่ถือว่าขี้โกงน่าดู และถ้าแฟนคุณอิฐเขารู้ขึ้นมาต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
“ครับแม่ ต่อไปผมจะพยายามนะครับ”
“เข้าใจก็ทานข้าวกันได้แล้ว”
เราทานอาหารร่วมกันตามปกติ แต่แปลกที่ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไรเลย ผมไม่รู้ว่าการที่เบื่ออาหารไม่อยากทานอะไรเป็นอาการของคนแพ้ท้องหรือเปล่า แต่เพื่อรักษามารยาทก็ต้องตักข้าวใส่ปากพอเป็นพิธี จนคุณอิฐขอเติมข้าวเพิ่มแล้วผมยังทานได้ไม่หมดจานเลย
“เป็นอะไร กินไม่ลง?” คำถามที่ลอยมาจากหัวโต๊ะทำให้ผมเงยหน้ามองท่านแล้วทำสีหน้าลำบากใจ บางทีก็กลัวท่านจะว่า “อาหารบ้านนี้ไม่ใส่ผงชูรสนะ ไม่เป็นอันตรายกับเด็กในท้อง แต่ถ้าไม่อยากกินเพราะเหม็นหรือไม่ชอบ แล้วอยากจะกินอย่างอื่นก็บอกฟองไป เดี๋ยวจะให้แม่ครัวทำให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทานได้ แค่รู้สึกไม่ค่อยหิวน่ะครับ”
“ถ้างั้นก็กินซะหน่อยแล้วกัน ถ้าไม่กินอะไรซะบ้าง ดึกๆ คงหิวโซแน่ๆ”
“ครับ” ผมยิ้มบาง เริ่มจะเชื่อคุณอิฐขึ้นมาแล้วล่ะว่าแม่เขาน่ะเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดีจริงๆ ถึงคำพูดจาจะดุเด็ดเผ็ดร้อนประชดประชันในที แต่ก็เหมือนแค่วางฟอร์มไปอย่างงั้นเอง ความจริงเป็นคนใจดีมากด้วยซ้ำ
คนท้องมีอภิสิทธิ์หลายอย่างเช่นได้อาบน้ำก่อน แต่ไม่สมควรล็อกห้องไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ทำให้ผมไม่กล้าอาบนานเพราะกลัวจะโดนคนข้างนอกเปิดประตูเข้ามาเช็ก! ผมนั่งเป่าผมให้แห้งหน้าโต๊ะกระจก ทาครีม ทาแป้งฝุ่นเหมือนตอนอยู่คนเดียว เมื่อวานผมนั่งดมขวดโคโลญจน์ของคุณอิฐจนหมดทุกขวด มีแต่หอมๆ และคาดว่าแพงๆ ทั้งนั้นจนผมนึกสมเพชตัวเองว่าถึงคนธรรมดาอย่างผมจะมีเงินขึ้นมาได้ก็จริง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือรสนิยมที่ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนสมัยก่อน ผมถึงติดแป้งกระปุกและไม่ใส่น้ำหอมจนถึงตอนนี้
ในที่สุดห้องอาบน้ำในห้องนอนก็เปิดออกมา คงเพราะในห้องไม่ได้มีเราแค่คนเดียว ต่างคนจึงหยิบเอาชุดนอนเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำด้วย ผมทึ่งชุดนอนคุณอิฐมาก เป็นชุดนอนผ้าไหมสีทองสวยหรูดูแพงมันวาวเด้งสะท้อนเข้าตา! มันโคตรจะแตกต่างกับชุดนอนบ้านๆ กางเกงขาสั้นชักรูดกับเสื้อกล้ามสีขาวที่ผมใส่อยู่เอามากๆ เลย จนผมก็นึกเสียดายที่ไม่ยอมเบิกเงินในธนาคารออกมาทำอะไรมีสาระเช่นซื้อชุดนอนงามๆ แบบนั้นบ้าง มันจะได้ดูสมกับห้องนอนกว้างขวางหรูหราที่กว้างมากกว่าห้องนอนที่บ้านเดี่ยวของผมสักสามห้องรวมกันนี่หน่อย!
“เอาล่ะ เธอนอนที่เตียงนะ ส่วนฉันจะไปนอนที่โซฟาเอง” ในขณะที่ผมกำลังอายชุดนอนตัวเอง คุณอิฐก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังดั่งกำลังจะตกลงธุระสำคัญ ผมรู้หรอกว่าคุณอิฐคงไม่ใจดำมากพอจะขับไล่ไสส่งคนท้องไปนอนโซฟาได้แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าลุงแกจะลงทุนขนาดนั้น!
“เตียงก็กว้างนะครับ นอนด้วยกันก็ได้ ผมไม่นอนดิ้นหรอก”
“แต่ฉันดิ้น...” คำตอบที่สวนมาทำเอาผมขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเรื่องจริงหรืออำ
“ถ้างั้นคุณคงนอนโซฟาไม่ได้หรอก ได้ตกลงมาคอหักพอดี ” ผมพูดติดตลก บางทีก็นึกขำกับท่าทีลำบากใจของเขา
ถึงเราสองคนจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาหลอกๆ เหมือนในละครหลายๆ เรื่อง แต่ผมกลับไม่นึกกลัวเขาจนต้องหาหมอน 38 ใบมากั้นกลางระหว่างกัน แหม... ก็เผื่อใครบางคนลืมไปแล้วว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือผมยอมรับการเป็นบ้านน้อยของเค้าด้วยซ้ำ เขาเองต่างหากที่เป็นคนบอกผมว่า “งานของผมไม่รวมเรื่องนั้น” นั่นคงเป็นเครื่องการันตีได้ดีว่าต่อให้ผมจะแก้ผ้ายั่วยวนเขามันก็เท่านั้นจริงไหม?
แต่เอาเถอะ! ถึงจะปฏิเสธกันไม่เหลือเยื่อใยก็ตามที แต่ช่วยอย่าทำเหมือนรังเกียจกันให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้ได้ไหม แค่ที่ต้องอ้างว้างโดดเดี่ยวไม่มีใครมาตั้งยี่สิบกว่าปีเนี่ยมันก็สลดพอแล้วลุง!! อย่ามาซ้ำเติมกันอีกเลย!
ผมเลิกผ้าห่มหนาแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงคิงส์ไซส์นั่นแล้วตะแคงหันหน้าไปข้างเตียงพยายามหลับตาลง ชั่วอึดใจหนึ่งก็ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นแสดงว่าเขายังยืนลังเลอยู่
ไม่รู้ลุงแกจะคิดอะไรกันนักกันหนา!!
ผมลอบถอนใจอย่างรำคาญนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า...
“มานอนบนเตียงเถอะครับ อย่ากลัวเลย ผมไม่ข่มขืนคุณหรอก”
+++++++++