คาบที่ 8 - รอยยิ้ม
ถ้าอยากจะผ่านด่านนี้ได้ เขาต้องลองใส่คอนแทคเลนส์
ฟากฟ้านั่งอยู่บนฝาชักโครกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว วันนี้ไปเที่ยวมาสนุกก็จริง แต่กลับมาถึงบ้านเขาแทบไม่เอ่ยปากคุยกับใคร ความลำบากใจกำลังพุ่งถึงขีดสุด ของในมือคือกล่องคอนแทคเลนส์ที่เขาไม่กล้าบอกขุนเขาว่าใส่ไม่เป็น และรู้สึกกังวลมากเป็นพิเศษ
เด็กชายหันไปมองกระจกเงา ตรงสันจมูกเป็นรอยแว่น สภาพไม่ชินตา เขาชอบเวลาใส่แว่นมากกว่าอย่างน้อยแว่นตาก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกหลบอยู่หลังเลนส์ ซึ่งเป็นความคิดของคนขี้ขลาดระดับสูง
เด็กชายถอนหายใจออกมาเสียงเบา
พยายามถ่างตาก็แล้ว แม้กระทั่งยื่นนิ้วที่มีคอนแทคเลนส์เข้าไปใกล้ยังต้องหลับตาหลบ
จะทำยังไงล่ะทีนี้ ?
ฟากฟ้านึกหาหนทางไม่ออก มองไปรอบห้องน้ำก็ไม่มีตัวช่วยเลยสักอย่าง
สุดท้ายจึงวางมันไว้อย่างนั้นด้วยความคิดที่ว่าพรุ่งนี้ค่อยมาพยายามใหม่
แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น
เมื่อวันถัดมาเขาถูกขุนเขาทักด้วยสีหน้าดุดัน
"ทำไมยังใส่แว่นอยู่ ?"
น้ำเสียงที่แตกหนุ่มยามเมื่อกดมันลงกลับทุ้มต่ำจนน่ากลัว
ฟากฟ้าสะดุ้งโหยงก่อนหลุบตาลงต่ำ
"ล..ลืมน่ะ"
โกหกคำโต
ทว่ามันไม่หลุดรอดสายตาของขุนเขาไปได้เลย
"ลืมจริง ๆ น่ะเหรอ ?"
สายตาของขุนเขาเวลานี้ช่างคมกริบ เขาจ้องมองฟากฟ้าแทบทะลุไปด้านหลัง ส่วนเด็กชายได้แต่เลิ่กลั่กหันไปมองซ้ายมองขวาทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ไม่อยากบอก เพราะไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้
คนขี้ขลาดแบบเขามันน่าสมเพชที่สุด
ขุนเขาที่เห็นอากัปกริยาฟากฟ้าพลันสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก คงไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าใดนัก เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนขี้ลืม แล้วก็ไม่ใช่คนปฏิเสธคำพูดของคนอื่นด้วยการหน้ามึนไม่ยอมทำตามด้วย
ต้องมีอะไรสักอย่าง
ระหว่างเพ่งพิจารณาอาจารย์ประจำชั้นเริ่มโฮมรูมห้องพอดี ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องละสายตาจากเพื่อนหันไปสนใจหน้าชั้นแทน
อาจารย์สอดส่ายตาไปรอบห้อง เธอเป็นทั้งครูสังคมและประจำชั้นพวกเขา แถมสนิทกับอาจารย์แนะแนวอีก เลยทำให้ค่อนข้างเข้มงวดกับนักเรียนในห้องเรื่องการเรียนต่อ
แน่นอนว่าเช้านี้คงไม่ต่างกัน
"อาทิตย์หน้าโรงเรียนสาธิตมหาลัยประจำจังหวัดจะเข้ามาแนะแนว ครูไม่อยากให้พวกเธอโดด" สายตาของเธอพุ่งตรงมายังขุนเขาอย่างไม่เกรงใจ
เด็กหนุ่มพ่นลมอย่างหงุดหงิด น่าจะรู้ว่าช่วงนี้เขาทำตัวเป็นเด็กดีจะตาย
อย่างว่า คนมีประวัติมันย่อมไม่มีทางดีได้ภายในสองสามวัน
เพื่อนทั้งชั้นพอเห็นสายตาอาจารย์ก็พลันหันมาสนใจที่เขาโดยไม่ได้นัดหมาย
ยกเว้นชุนที่นั่งกลอกตาไปมาอย่างเซ็ง ๆ
ขุนเขาขมวดคิ้วจ้องมองอาจารย์กลับอย่างเปิดเผย
"มีอะไรหรือเปล่านายขุนเขา" อาจารย์ถามเสียงเย็น
ความกดดันค่อยกระจายไปทั่วห้อง ฟากฟ้าพยายามเรียกสติให้ขุนเขากลับมาเหมือนเดิม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ในสายตาคนอื่นขุนเขาไม่ใช่เด็กที่ดีนัก เผลอ ๆ ดูก้าวร้าวด้วยซ้ำ การที่อยู่กับฟากฟ้าจึงต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลกมาก บางทีฟากฟ้าอาจถูกมองว่าเป็นเบ้ หรือลูกน้องไปแล้วก็ได้
ภาพลักษณ์ติดตามมาตลอดสองปีกว่ามันยากที่จะลบ
"เปล่าครับ แค่สงสัยว่าเมื่อไหร่อาจารย์จะพูดต่อน่ะ" เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง อย่างไร้อารมณ์
แต่อาจารย์กลับต่อความยาวสาวความยืด
"เพราะครูต้องการเน้นย้ำเรื่องการโดดเรียน การแนะแนวเรียนต่อนั้นสำคัญมาก ต่อให้เป็นเธอก็ตาม"
"ก็จริงครับ แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนม.สามของที่นี่จะอยากเข้าสาธิตกันหมดนี่ครับ พวกอยากเรียนสายอาชีพก็มี หรือพวกที่อยากไปเรียนที่อื่นก็มี ผมว่าการแนะแนวควรเป็นเรื่องความสมัครใจของคนเรียนไม่ดีกว่าหรือครับ ยังไงแล้วคนที่เรียนคือพวกผมไม่ใช่อาจารย์"
ประโยคที่ยาวเหยียดยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ นั้นไม่ได้ทำให้อาจารย์สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แต่ความก้าวร้าวต่อครูบาอาจารย์ในสายตาเพื่อนกลับทำให้ตัวขุนเขาดูแย่ลง
เธอแสยะยิ้มแล้วบอกว่า
"เหมือนเธอจะเข้าใจอะไรผิดไปเยอะเลยนะขุนเขา" อาจารย์ว่า "การแนะแนวจากโรงเรียนสาธิตไม่ได้มีแค่การแนะนำสถานที่เรียนให้เท่านั้นหรอกนะ อันที่จริงโรงเรียนสาธิตจะไม่มาแนะแนวก็มีคนอยากสอบเข้าเยอะแยะอยู่แล้วถูกไหม แต่ที่ไม่อยากให้พวกเธอพลาดเพราะมันเป็นการแนะแนวจากโรงเรียนมัธยมปลายที่มุ่งเน้นการเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัย นี่แหละที่ครูอยากให้พวกเธอได้เรียนรู้แล้วลองเอาไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นที่พวกเธอจะเข้า การรู้ตัวเลือกเพิ่มมาสักหนึ่งตัวเลือกมันจะทำให้ชีวิตของเธอมีโอกาสหลากหลายขึ้น ไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือ ?"
คำพูดของเด็กหนุ่มหมดความหมายทันทีเมื่อเจอประโยคที่ยาวกว่า
แต่ขุนเขากลับบอกว่า
"แล้วเราจะเสียเวลาไปกับตัวเลือกที่ไม่ใช่ทำไมล่ะครับ ในเมื่อเรามองเห็นอนาคตของตัวเองแล้ว"
"แล้วเธอเห็นอนาคตของตัวเองหรือยังล่ะขุนเขา ? "
คำถามนั้นกลับแทงใจดำเด็กหนุ่มเข้าเต็ม ๆ ขุนเขาพลันสะอึกเล็กน้อย เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วห้อง
โจทย์ไม่ได้ยาก แต่คาดว่าทุกคนคงอยากรู้เส้นทางที่เขาอยากเดิน
เด็กเกแบบนี้จะมีตัวเลือกสักกี่ตัวเลือกกัน
ขุนเขาเงียบ ไม่ตอบโต้อะไร เขาเหลือบไปเห็นฟากฟ้าที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาว่างเปล่า
ฟากฟ้าตอบเขาด้วยการทำท่ารูดซิบปิดปากไม่ให้พูดต่อ สีหน้าจริงจัง จริงจังจน.....
ใช่ มันตลกมาก
จนอดไม่ได้ที่จะ ...
"พรืดดดดดด" ขำออกมา
ท่ามกลางความตึงเครียดถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของขุนเขาซะอย่างนั้น
ฟากฟ้าทำหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกริยาจากอีกฝ่าย ทั้งที่พยายามบอกให้หยุดเถียงอาจารย์กลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องน่าขันไปซะนี่
อาจารย์หน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแหยถามว่า
"มันน่าตลกตรงไหน"
ขุนเขาโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธแล้วตอบว่า
"เปล่าเลยครับ มันไม่เกี่ยวกับอาจารย์เลย ใช่ครับ ผมจะมองเห็นอนาคตของตัวเองหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับอาจารย์เลยไม่ใช่หรือครับ"
สิ้นเสียงกลายเป็นว่าขุนเขาเปิดศึกสงครามประสาทกับอาจารย์เต็มรูปแบบไปเสียแล้ว
ครั้นพออาจารย์จะเปิดปากให้เหตุผลต่อ มือของใครคนหนึ่งพลันชูหราขึ้น
แขนนั้นถูกยืดสุดตัวจากโต๊ะกลางห้อง คนที่ไม่มีใครคิดว่าจะออกตัวในสถานการณ์เช่นนี้
ชุนทำสีหน้าเบื่อหน่ายสุด ๆ
เขาเอ่ยด้วยเสียงยานคาง
"หมดเวลาโฮมรูมแล้วคร้าบบบบ"
ศึกศิษย์อาจารย์จึงจบลงแค่นั้น อาจารย์ประจำชั้นฮึดฮัดเดินจากห้องไป คงค้างคาใจที่กำราบนักเรียนลงไม่ได้อย่างที่ใจนึก
ขุนเขาจ้องมองชุนจากด้านหลังด้วยความสงสัย ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แถมสีหน้าแบบนั้นดูไม่เต็มใจสุด ๆ อีกด้วย จะบอกว่าทำด้วยความตั้งใจของตัวเองนั้นคงใช่ แต่ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝงนั้นดูเหลือเชื่อไปสักหน่อย
ทว่าชุนกลับไม่หันมามองทางเขาเลยสักนิด ซ้ำยังเตรียมตัวเรียนคาบต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฟากฟ้าเลิกมองเขาไปแล้ว เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์ ดูจะวิตกกังวลมากกว่าคนที่มีเรื่องอย่างเขา
สุดท้ายจึงเลิกคิด หากว่าชุนตั้งใจช่วยจริง พวกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีแบบนั้นคงไม่อยากได้คำขอบคุณ หรือไม่คงเป็นเรื่องบังเอิญเพราะหมดเวลาโฮมรูมแล้ว แต่คนอย่างชุนไม่ใช่คนตั้งใจเรียนถึงขนาดต้องขัดอาจารย์เวลาที่เขาตกที่นั่งลำบาก งานของชุนคือต้องการให้เขาเป็นตัวประหลาดที่สุดในสายตาทุกคนไม่ใช่หรือ ?
เพราะชั่วโมงโฮมรูมเกิดเรื่องแบบนั้น เลยทำให้ฟากฟ้าแทบสติแตกทันทีเมื่อถึงเวลาพัก เด็กชายรีบตรงไปหาเพื่อนด้วยสีหน้าถมึงทึง แต่มันไม่ดูน่ากลัวสักนิด ตรงกันข้าม มันดูเหมือนสัตว์เล็ก ๆ ที่กำลังพยายามโมโห
“โอเค ถ้าจะบ่นค่อยหลังเลิกเรียน”
ขุนเขารีบว่าตัดบทแล้วลุกขึ้นหมายเดินหนี
แต่ฟากฟ้ากลับดึงแขนเสื้อเอาไว้
“ไม่ได้”
“เฮ้...”
คิดอยากจะเถียง แต่พอหันไปพบกับสีหน้าที่แปรเปลี่ยนขุนเขาถึงกับพูดไม่ออก
ริมฝีปากเบะเหมือนจะร้องไห้ ดวงตาแดงรื้นนิดหน่อย เหมือนเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้เต็มที่ ฟากฟ้ายกแขกที่ว่างปาดน้ำตาออกแล้วบอกด้วยเสียงสั่นว่า
“อ..อาจารย์คนนี้ชอบกดคะแนนคนที่ชอบต่อต้านแกนี่นา ผมกลัวว่าขุนจะโดนกดจนทำให้เรียนไม่จบเอาน่ะสิ ป..เป็นห่วงแทบแย่”
แค่เห็นสีหน้าก็แทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว ยิ่งประโยคที่พูดออกมานั้นยิ่งทำให้ขัดใจไม่ได้ใหญ่
คำว่า
เป็นห่วงนั้นน่ะ
มาจากใจจริงเลยไม่ใช่หรือไง
ขุนเขาหันไปมองรอบห้องสังเกตคนรอบข้าง โชคดีที่ไม่มีใครสนใจ ทุกคนล้วนแต่หันไปคุยกับเพื่อนฝูง การที่พวกเขาอยู่ด้วยกันกลายเป็นเรื่องชินตาแล้ว
...ซะที่ไหนล่ะ
สายตาของเด็กหนุ่มไปสบตากับคนที่อยู่กลางห้อง
แววตาภายใต้เลนส์ใสนั้นดูว่างเปล่า แต่กลับสะกดให้ขุนเขานิ่งงัน
ชุนมองมาทางพวกเขาชนิดที่จ้องตาไม่กระพริบ
รอบข้างชุนคือลูกน้องที่นั่งกินขนม หยอกล้อตามประสาเด็กมัธยมต้น มีเพียงชุนที่ดูแปลกแยกกว่าคนอื่น ราวกับว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้ไม่จำเป็น เหมือนเป็นกุนซือประจำกลุ่มที่มักคิดอะไรไม่รู้ตลอดเวลา บางทีท่ามกลางความโหวกเหวกโวยวายของเหล่ากอริล่า จ่าฝูงอย่างชุนก็นั่งอ่านหนังสือเข้าใจยากซะอย่างนั้น
หากให้เทียบอันดับเรื่องการเรียน ชุนกับฟากฟ้าคู่คี่กันมาตลอด แต่ความเนิร์ดของฟากฟ้ามีมากกว่าหลายเท่า แน่นอนว่าความขี้แยไม่ต้องพูดถึง แต่เพราะชุนอยู่ท่ามกลางพวกใช้แรงงานมากกว่าสมองเลยทำให้ความเนิร์ดของชุนติดลบ
ขุนเขาจัดระเบียบความคิดของตัวเองไม่ทัน เมื่อถูกจ้องมองแบบนี้เขาไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงจ้องกลับไปเป็นเชิงถาม
แต่ชุนกลับแสร้งมองไปทางอื่นราวกับไม่เคยมองมาทางพวกเขาอยู่เลย
ยังไงกันแน่ ?
จะให้เดินเข้าไปถามคงดูหาเรื่องไปหน่อย เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งขมวดคิ้วอย่างหาคำตอบ
วินาทีนั้นเองที่ชุนขยับปากมาหนึ่งคำแบบไร้เสียง
ริมฝีปากห่อขึ้นเป็นรูปวงรี และพ่นลมก่อนเม้มริมฝีปากห่อเป็นรูปวงรีอีกครั้ง
จับใจความได้ว่า
โฮโม สิ่งที่ชุนเคยกล่าวหาว่าเขาเป็น สิ่งที่เคยสงสัย สิ่งที่เขาเคยปฏิเสธ
ขุนเขารู้สึกจุกอยู่ในลำคอ ไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร ได้แต่มองชุนที่หันไปคุยกับลูกน้องคนสนิทราวกับเสแสร้ง
เด็กหนุ่มหันไปมองฟากฟ้าที่พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก ฮึบ ฮึบ อยู่อย่างนั้น
ขุนเขาจับมือของฟากฟ้าออกจากเสื้อของตน และหาทางเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อน
“คอนแทคเลนส์น่ะ ใส่ไม่เป็นใช่ไหม”
ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างเล็กน้อย สีหน้าเหรอหราประหนึ่งว่าเขาเป็นพวกเอสเปอร์อ่านใจ ทั้งที่คนอย่างฟากฟ้าเดาได้ไม่กี่อย่าง
ขุนเขามองอีกฝ่ายให้ชัดเต็มสองตา เพื่อขจัดความกังวลที่อยู่ข้างในค่อยก่อตัวทีละน้อย
สายตาของชุนมีความกดดันมากกว่าที่คิด
และที่พูดไม่ออกกว่านั้นคือความคิดที่ว่าตนไม่ควรถลำลึกลงไป
เพราะตนคือติวเตอร์ผู้ช่วยเหลือ ..
จะมารู้สึกอะไรกับลูกศิษย์ไม่ได้
มันคือจรรยาบรรณไม่ใช่หรือไง
ระหว่างที่คิดสะระตะพันกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทุกอย่างทุกพังครืนด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่แตกดีของฟากฟ้า
“..ขอโทษนะ”
เขาสิที่ต้องขอโทษ
ขุนเขาก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ความไม่บริสุทธิ์ใจก่อตัวเป็นรูปร่าง ยิ่งนึกถึงสายตาของชุนความรู้สึกมันชักเริ่มเด่นชัด
“ไม่เป็นไร ไว้เย็นนี้ฉันจะช่วยนายอีกแรง”
เหมือนอาศัยความดีใจของอีกฝ่ายเพื่อเติมเต็ม ฟากฟ้าเผยรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า ดีที่แว่นตากรอบดำทรงสี่เหลี่ยมบดบังความน่ารักนั้นไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงต้องกลายเป็นคนประหลาดหนักกว่านี้
อัตราการเต้นของหัวใจที่สูบฉีดหนักกว่าปกติ
ขุนเขาเบือนหน้าหนีอย่างไม่ยอมรับมัน
หลังเลิกเรียนพิเศษขุนเขามารับฟากฟ้ากลับ บ้านของฟากฟ้าเป็นบ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรร ดูจากการตกแต่งแล้วราคาคงไม่ต่ำกว่าสิบล้าน ขุนเขารู้สึกแปลกเล็กน้อยเมื่อต้องกระเตงมอเตอร์ไซค์ธรรมดาเข้าไปในขณะที่ยานพาหนะเข้าออกมีแต่รถยนต์ราคาแพงทั้งนั้น
ยามในป้อมหน้าหมู่บ้านเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี
“วันนี้มีเพื่อนมาเที่ยวด้วยเหรอเรา”
ฟากฟ้ายิ้มและตอบรับอย่างแข็งขัน
“ครับ”
อย่างที่บอกว่าฟากฟ้าไม่ได้มีปัญหาเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ออกจะเป็นเด็กปกติด้วยซ้ำ แต่เพราะในโรงเรียนชุนบีบให้เด็กชายต้องการเป็นคนไร้เพื่อน เมื่อเห็นว่าฟากฟ้าเป็นเป้าหมายในการกลั่นแกล้งของชุนจึงไม่มีใครอยากเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะไม่อยากโดนลูกหลง
เป็นครั้งแรกที่ฟากฟ้าจะมีเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน ตื่นเต้นมากเลยบอกให้พี่เลี้ยงที่ออกมาเปิดประตูบ้านให้เตรียมขนมนมเนยต้อนรับขับสู้แขกของตัวเอง
เด็กชายหันมายิ้มให้กับแขกของตนจนแทบลืมจุดประสงค์เดิม
จนโดนขุนเขาทักท้วง
“ตอนใส่คอนแทคเลนส์ยิ้มให้ได้แบบนี้แล้วกัน”
ทำยังไงดี
เขาไม่อยากเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว
TO BE CONTINUED........
ปล.เหมือนเป็นตอนสั้นไปเลยนะฮะ ฮ่าๆๆๆ