『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』  (อ่าน 17069 ครั้ง)

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ฟากฟ้าน่ารัก ใสๆซื่อๆ อยากอ่านต่อ คนเขียนสู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
น้องไม่รู้จักเดทก็ไม่เป็นไร อยู่เฉยๆให้ขุนเขาพาไปก็พอ

ออฟไลน์ mamedaz-s

  • Master Luck F
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ขอเปลี่ยนชื่อตอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาในตอนใหม่ค่ะ
 
ชวนเดท

***********


 
ผ่านมาสักพักแล้วกับการมีเพื่อน บอกตามตรงว่าฟากฟ้านอนไม่หลับเลยสักคืน เขาได้แต่ยิ้มให้กับความสำเร็จของตนเองภายในห้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนอะดรีนาลีนสูบฉีดตลอดเวลา มีแรงฮึดมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว   
 
กับเธอคนนั้นยังคงระยะห่างเท่าเดิม แต่ชุนกับพรรคพวกไม่มาตอแยเหมือนทุกที   
 
รู้สึกว่าโรงเรียนน่าไปมากขึ้น   
 
วันนี้ขุนเขาบอกว่าจะเริ่มต้นบทเรียนบทใหม่ให้หลังจากที่บทแรกประสบความสำเร็จ ที่จริงไม่อาจเรียกว่าประสบความสำเร็จได้เพราะขุนเขายื่นมือมาช่วยเอาในวินาทีสุดท้าย ผลลัพธ์แม้จะไม่ได้เรียกว่าสำเร็จได้อย่างสนิทใจแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้สถานะของเขาและมุมมองของเด็กชายกว้างขวางขึ้น เขาเริ่มยิ้มออกบ้างในบางครั้ง 
 
เพราะว่าเป็นเพื่อน ขุนเขาและฟากฟ้าจึงอยู่ด้วยกันมากกว่าแต่ก่อน   
 
"วันนี้ฉันจะโดดเรียนคาบสุดท้ายนะ" 
 
"ไม่ได้" 
 
"เฮ้ ปฏิเสธไวเชียว ใช้เวลาคิดหน่อยเซ่"   
 
ขุนเขาหน้ายู่อย่างเห็นได้ชัด ระยะหลังนี้เพราะฟากฟ้าคอยลากคอยจิกจึงทำให้ขุนเขาทำตัวดีขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ อีกสามสิบที่เหลือคือตอนที่เด็กชายจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะความต้วมเตี้ยมและเอื่อยเฉื่อย คนปราดเปรียวแบบขุนเขาจึงรอดไปได้อยู่บ่อยครั้ง   
 
"ทำไมต้องชอบโดดเรียนอยู่เรื่อยเลยล่ะขุน ขุนไม่ได้ทำอะไรไม่ใช่เหรอ ว่างก็มาเรียนสิ ระวังจะหมดสิทธิ์สอบเอานะ"   
 
เดี๋ยวนี้ฟากฟ้าพยายามเรียกชื่ออีกฝ่ายให้ติดปาก   
 
ที่จริงมีเรื่องสะกิดใจนิดหน่อย อยากมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย   
 
แต่... 
 
"ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย" 
 
เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมรับเขาเป็นเพื่อนด้วยใจจริงเสียที 
 
กลายเป็นฟากฟ้าที่หน้าจ๋อยลงไปถนัดใจ เมื่อเห็นเพื่อนใหม่ทำแบบนั้นแล้วขุนเขาพลันลุกลี้ลุกลนโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน   
 
"เฮ้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มันเป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องใส่ใจหรอกน่าว่าฉันจะเข้าสอบไม่ได้" พยายามจะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง แต่ฟากฟ้ากับส่ายศีรษะ 
 
"เพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ยังไง ถ้าขุนไม่อยากบอกไม่เป็นไร แต่ต้องเข้าเรียนนะ" 
 
"ทำไมชอบบังคับเนี่ย" 
 
"เพราะเราไม่อยากให้ขุนเรียนไม่จบยังไงล่ะ"   
 
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นแบบพาสชั้น ทว่าเดี๋ยวนี้โรงเรียนได้ออกกฎใหม่ว่าให้มีการซ้ำชั้นหากเด็กคนนั้นเรียนไม่จบหรือเวลาเรียนไม่ครบตามหลักสูตร สมัยนี้การเรียนค่อนข้างยากขึ้นโดยเฉพาะวัยมัธยม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จะดีจะร้ายขึ้นอยู่กับช่วงนี้ทั้งสิ้น และฟากฟ้าพยายามอย่างมากว่าตนต้องมีอนาคตที่สดใส และอยากให้ขุนเขาได้มีอนาคตนั้นไปกับตนด้วย 
 
ฟากฟ้าเล่าเรื่องของตนเองให้ขุนเขาฟังไปมากมาย ทว่าขุนเขายังไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักอย่าง 
 
ไม่อยากเคลือบแคลงสงสัยในความสัมพันธ์ ทว่านับวันฟากฟ้าคิดว่าขุนเขาอาจสมยอมรับเป็นเพื่อนเขาเพื่อให้เรื่องมันจบไปก็ได้   
 
โดยที่ไม่คิดยินดีที่จะแบ่งปันเรื่องราวของตนเองให้เพื่อนรู้ 
 
ทำไมขุนเขาถึงหนีออกจากบ้าน และตอนนี้กลับบ้านไปแล้วหรือยัง รองจากสองเรื่องหลังนี้นั้นก็คงเป็นเพื่อนของหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ชื่อว่าพลอย ไปคบกันได้ยังไง ทำไมถึงมารักกัน แต่จนแล้วจนรอดวันนี้เด็กชายยังไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากถาม 
 
ในความดีใจที่มีเพื่อนนั้นกลับมีความน่าอึดอัดอยู่พอสมควร ฟากฟ้าจึงรอมันอย่างใจเย็นและคอยคิดว่าสักวันขุนเขาคงยอมเปิดปากเล่า 
 
ทว่าเขาชักมั่นใจแล้วว่าตนคงคิดผิด   
 
ขุนเขาขีดเส้นไว้ให้ตนตั้งแต่แรกแล้ว 
 
"มันเรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง" ขุนเขาว่า "อนาคตของฉันกับอนาคตของนายไม่ใช่อันเดียวกันสักหน่อย นายเรียนจบแล้วไปสร้างอนาคตที่ดีไปเถอะ อย่าเอาฉันไปเป็นตัวถ่วงความเจริญเลย" 
 
"เพื่อนไม่มีคำว่าตัวถ่วงหรอกนะ !" ฟากฟ้าว่าพลางหน้าเบ้คล้ายจะร้องไห้ 
 
เห็นดังนั้นแล้วขุนเขาพลันดีดตัวนั่งตัวตรงหน้าเหวอ 
 
"เฮ้ เดี๋ยว ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งร้อง !" 
 
ดวงตาเริ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก ลมหายใจหอบฟึดฟัด อีกไม่กี่วินาทีคงปล่อยโฮ 
 
ขุนเขาทำตัวไม่ถูก เขามองซ้ายมองขวาหาอะไรช่วยเหลือ แต่บนดาดฟ้าโรงเรียนที่แดดส่องเปรี้ยงจะมีอะไรช่วยให้คนขี้แยสงบใจได้กัน คิดสิไอ้ขุน คิด   
 
ทันทีนั้นขุนเขาเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ 
 
"จริงสิ วันนี้เรามาเริ่มบทเรียนบทต่อไปนี่นะ" เด็กหนุ่มยิ้มยิงฟันเข้าสู้   
 
ฟากฟ้าหยุดหน้าเบ้เลิกคิ้วขึ้น 
 
"อ..อือ" แล้วพยักหน้า 
 
เท่ากับเบี่ยงเบนความสนใจได้ เด็กหนุ่มร้องเยสในใจเบา ๆ พลางกลอกตาไปมา 
 
"ง..งั้นวันนี้เลิกเรียนฉันจะพานายไป..." 
 
"เรียนพิเศษ" เด็กชายพึมพำ   
 
"อีกแล้วเรอะ นายเรียนวันไหนบ้างเนี่ย" ทำทีสนใจเรื่องของคนตรงหน้าเพื่อให้ลืมเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้   
 
ฟากฟ้าตอบอย่างไม่คิดว่า "ทุกวัน"   
 
อันที่จริงรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าอีกฝ่ายบ้าเรียนยังกับอะไรดี การที่เรียนพิเศษทุกวันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีวันหยุดสิที่จะน่าประหลาดกว่า   
 
ขุนเขารู้เรื่องของฟากฟ้ามากพอสมควร เพราะเจ้าตัวเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง อีกอย่างครอบครัวของฟากฟ้าใครต่างรู้จักดี เศรษฐีใหม่ประจำอำเภอที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง มีสวนเป็นของตัวเอง กำลังผลิตเป็นของตัวเอง สินค้าเป็นผลงานส่งออกนอกประเทศ รายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าสิบหลัก ลูกชายจึงได้รับความเอาใจใส่ ฟูมฟัก ทะนุถนอมราวกับไข่ในหินเพื่อหวังให้โตมาเพื่อรับช่วงกิจการต่อ ทว่าดูเหมือนฟากฟ้าไม่ค่อยชอบกิจการของครอบครัวเท่าไร แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะปฎิเสธ 
 
เพราะตอนประถมเรียนแบบโฮมสคูลจึงค่อนข้างมีปัญหากับการปรับตัวในสังคมเมื่อขึ้นมัธยม เลยถูกเป็นเป้าของการโดนกลั่นแกล้งได้ง่าย สาเหตุที่ชุนกับพรรคพวกรุมฟากฟ้าคงไม่ได้มีเพียงชอบผู้หญิงที่ชุนหมายตาเพียงอย่างเดียวแน่ ๆ   
 
แม้จะรู้ดังนั้นแต่ขุนเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ   
 
"ถ้าอย่างนั้นวันหยุดล่ะ"   
 
"เรียนครึ่งวันเช้า" 
 
"งั้นครึ่งวันบ่ายเอามาให้ฉัน" 
 
ฟากฟ้าเอียงศีรษะเป็นเชิงสงสัย   
 
ขุนเขาสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายนับแต่วินาทีแรกที่พบกันแล้วรู้สึกว่าฟากฟ้าสมกับเป็นเด็กบ้านคุณหนู ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ดูจิ้่มลิ้ม ผิวพรรณขาวนวลเหมือนผู้หญิง รูปร่างที่ดูเล็กกว่ามาตรฐานของเด็กผู้ชายวัยมัธยม ซ้ำเสียงยังคงแหลมเล็กเหมือนสัตว์จำพวกแมลงทำให้ไม่ว่ามองมุมไหนแล้วไม่มีความน่าพึ่งพาได้อยู่เลย   
 
ทว่าหากปรับแต่งสักนิดคงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้หญิงได้ไม่ยาก   
 
ฟากฟ้าแต่งกายด้วยเครื่องแบบถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว ผมตัดเกรียนสั้น ชอบสะพายเป้โรงเรียนใบใหญ่เวลาเดินจึงเหมือนชูชกแบกของ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีหวังได้เสียบุคลิกแน่ อีกอย่างวันหยุดคงแต่งตัวไม่เป็นเหมือนกัน ถึงแม้เวลาใส่แว่นเชย ๆ ตอนเรียนในชั้นจะดูน่ารักแบบเนิร์ด ๆ ดีก็เถอะ   
 
ขุนเขาลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา 
 
บทเรียนที่สองที่ควรทำต่อไปคือการสร้างความอิมเมจให้ดูดีนี่แหละ   
 
"ไปไหนเหรอ" เด็กชายถาม   
 
จู่ ๆ ขุนเขากลับปิ๊งไอเดียโดยไม่ได้คาดหมาย   
 
ไหน ๆ ไปกันสองคนแล้ว ซ้อมไว้เลยแล้วกัน 
 
"เดทไง" 
 
ทว่าคำตอบนั้นฟากฟ้ากลับไม่เข้าใจมันสักนิดเดียว 
 
"เดท ?" ซ้ำยังทวนคำกลับมาอีกด้วย 
 
นี่มันยุคไหนแล้ว ห่างจากยุคน้ำแข็งมากี่ล้านล้านปี ทำไมคำว่าเดทถึงไม่รู้จัก สมัยนี้ต่อให้เป็นเด็กประถมยังแก่แดดจนรู้ไปถึงคำว่าหย่าร้างกันแล้วด้วยซ้ำ   
 
สีหน้าของฟากฟ้านั้นไม่ได้เสแสร้ง 
 
ไม่ใช่เล่น ๆ นะเนี่ย ขุนเขาคิด จะไร้เดียงสาก็ควรหัดมีขอบเขตบ้าง   
 
"นี่นายไม่รู้จริง ๆ เรอะ"   
 
ฟากฟ้าส่ายศีรษะตอบว่า "ไม่รู้"   
 
ได้ยินดังนั้นขุนเขาพลันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่นอกจากจะต้องสอนเรื่องพวกนี้แล้วยังต้องให้อีกฝ่ายมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเรื่องที่ควรรู้ไว้เพิ่มอีกแล้วละมั้ง ถ้าจีบผู้หญิงแบบที่ไม่รู้อะไรเลยจะกลายเป็นตัวตลกเอาเปล่า ๆ อีกอย่างผู้หญิงเขามักคาดหวังให้ผู้ชายทำเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ด้วย   
 
ชุนเขาจึงอธิบาย 
 
"ผู้ชายกับผู้หญิงนัดกันไปเที่ยวเพื่อหยั่งเชิงความเป็นไปได้ว่าจะคบกันดีหรือเปล่าน่ะ บางคนคบกันแล้วก็ไปเดทกันนั่นคือกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น ง่าย ๆ ว่าไปเที่ยวกับแฟนหรือคนรู้ใจนั่นแหละ" พยายามรวบรัดให้เข้าใจง่ายที่สุด 
 
สีหน้าของฟากฟ้าพลันผ่อนคลายลงคล้ายเข้าใจ เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักตามสองสามที 
 
"แต่ผมกับขุนเป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นา" เหมือนจะไม่ควรเรียกว่าเดทด้วยซ้ำ ผู้ชายกับผู้ชายคงไม่ให้ประโยชน์อันใดนี่ 
 
ขุนเขากลอกตาแล้วตอบว่า 
 
"ฉันจะรับบทเป็นผู้หญิงให้เอง" 
 
"อะไรนะ" 
 
"ฉันหมายถึง" ขุนเขาเอ่ย "เราจะมาซ้อมเดทกันดู ให้นายเป็นนาย ส่วนฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น นายจะต้องปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่ฉันเหมือนฉันเป็นแฟนนายจริง ๆ ยังไงล่ะ เพื่อไม่ให้เวลานายออกเดทแล้วจะได้รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง" 
 
แค่จินตนาการว่าตนจะได้ออกเดทกับเธอคนนั้นใบหน้าฟากฟ้าพลันร้อนผ่าว เขาก้มหน้าหลุบลงต่ำ สายตามองพื้น 
 
"ม..ไม่ขนาดนั้นหรอก ด..เดท...ฉ..ฉันคงไม่ได้..." น้ำเสียงงุ้งงิ้งในลำคอ   
 
จนขุนเขาถอนหายใจคำรบสอง 
 
"ก็บอกว่าซ้อมเอาไว้เผื่อได้ใช้จริงยังไงล่ะ" เด็กหนุ่มยืดตัวตรง ขยับแขนขา "ยังไงแล้วถ้านายทำตามที่ฉันบอกวันนั้นต้องมาถึงแน่ มีประสบการณ์มันย่อมดีกว่าไม่ใช่เหรอ" ขุนเขาหันไปมองเด็กขี้แยที่กำลังทำหน้าครุ่นคิด ตอนนี้คงกำลังคิดอะไรปนกันมั่วซั่วอยู่แน่ ๆ   
 
"ใช่อยู่..." 
 
"ถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรล่ะ มันคือการฝึกซ้อม ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว บางทีอาจสามหรือสี่ตามมาก็ได้" 
 
ฟากฟ้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่สื่อในน้ำเสียงของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย 
 
ขุนเขายิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าอีกฝ่ายไว้ 
 
"จากนี้ไปขอเริ่มเข้าสู่บทเรียนที่สองของฉัน เอาเป็นว่าวันเสาร์ฉันจะไปรับนายที่โรงเรียนกวดวิชาตอนบ่ายโมง อย่าเพิ่งกินข้าวซะก่อนล่ะ" 
 
"เข้าใจแล้ว" 
 
"งั้นฉันไปล่ะ"   
 
"เดี๋ยวก่อนขุน ..." ฟากฟ้าดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างนึกขึ้นได้ 
 
ทว่าสีหน้าและแววตาของขุนเขาทำให้เด็กชายกลับพูดไม่ออก 
 
"เอ่อ .. ไม่มีอะไร" สิ่งที่อยากเอ่ยกลับถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ขุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนยักไหล่ 
 
ไม่มีก็ไม่มี 
 
เด็กชายปล่อยมือจากเด็กหนุ่ม   
 
"บาย" ขุนเขาโบกมือลาให้อีกฝ่ายแล้วเดินจากมา   
 
คิ้วฟากฟ้าค่อยขมวดขึ้นเป็นปม เพราะทิศที่ขุนเขาเดินไปนั้นไม่ใช่ทางไปห้องเรียน แต่เป็น .... 
 
ทันใดนั้นเด็กชายถึงกับร้องอ๊ะ ออกมาเสียงดัง เพราะนั่นตนกำลังนึกขึ้นได้ว่า 
 
ขุนเขากำลังโดดเรียนต่อหน้าต่อหน้าโดยที่เขายังไม่ยินยอมเห็นชอบเลยสักนิด ! 
 
นี่มันหลอกเบี่ยงเบนความสนใจแล้วชิ่งหนีกันนี่นา ! ฟากฟ้ารู้สึกโมโหให้กับความเผอเรอของตัวเองอย่างสุดจะทนจนต้องใช้กำปั้นทุบตักอย่างหงุดหงิด 
 
อีกแล้ว ! หนีไปได้อีกแล้ว !   
 
 
 
 
 
ส่วนขุนเขาที่แอบหนีมาได้นั้นพลันโล่งใจที่เหมือนฟากฟ้าจะไม่รู้สึกตัว จากที่จ้ำอ้าวหนีค่อยผ่อนฝีเท้าลงเป็นเดินเอื่อยเฉื่อย มองชมนกชมไม้ตามประสา โรงเรียนนี้ถือว่าสวยเพราะมีต้นไม้ล้อมรอบและสิ่งก่อสร้างสวยงาม ที่นี่มาจากพื้นที่บริจาค สมัยก่อนใช้เป็นพิธีอะไรสักอย่างทางศาสนาทำให้บางอย่างที่คงไว้ดูมีศิลปะ รวมทั้งอาคารที่เก่าแก่ร่ำลือถึงสิ่งลี้ลับนั่นอีก โรงเรียนในยามพลบค่ำไม่เหมาะที่จะเอาไว้นั่งเล่นอย่างแรง ขุนเขาคิดเช่นนั้น 
 
สถานที่ประจำของเด็กหนุ่มคือตึกเก่าที่ไม่มีใครใช้ ผู้อำนวยการรองบประมาณทุบทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นสมาคมผู้ปกครองที่รู้สึกผูกพันกับอาคารนั้นก็ไม่ค่อยยอมอนุมัติเท่าไหร่ มีเสียงบ่นอิดออดเป็นระยะว่าน่าจะรีโนเวทใช้ทำอย่างอื่น แต่เพราะวัสดุมันคือไม้ จะซ่อมแซมยังไงมันก็ย่อมผุพังไปตามกาลเวลา 
 
คราวก่อนเจอฟากฟ้ามานั่งร้องไห้ที่ห้องน้ำ อันที่จริงเขาสังเกตเห็นฟากฟ้ามาได้สักพักแล้ว   
 
ชีวิตช่วงมัธยมของขุนเขาเป็นอะไรที่จืดชืด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินของทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ครูบาอาจารย์ ทุกคนต่างเริ่มเมินเฉยในพฤติกรรมไม่เอาอ่าวของเขา แสร้งทำเป็นเหมือนกับว่าเขาคืออากาศธาตุ ไม่พูดคุย ไม่มีปฏิกริยา ได้แต่มองผ่านมาแล้วผ่านไป หากเขากระโดดตึกตายต่อหน้าพวกนั้นก็คงทำเป็นไม่รับรู้เช่นเดียวกัน 
 
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาต้องแปลกแยก เด็กหนุ่มยังหาคำตอบไม่เจอ อาจเป็นที่ตัวเขา หรืออาจเป็นที่คนรอบข้าง และเมื่อมันเป็นมากเข้าเขาจึงยอมที่จะถอยและถูกลอยคออย่างโดดเดี่ยว ใช้ชีวิตไม่แคร์ใครมาตลอดสองปีเต็ม   
 
จนกระทั่งวันที่เขาขึ้นมัธยมสามและได้อยู่ห้องเดียวกับเด็กขี้แยคนนั้น 
 
เพราะสายงานของทางบ้านทำให้รู้จักกับบ้านของชุน ทว่าขุนเขากลับไม่เคยคิดจะเอาชุนเป็นเพื่อนแม้แต่น้อย มองลักษณะภายนอกก็รู้แล้วว่าคงไปด้วยกันไม่ได้ เชุนคือคนที่มีความคิดความอ่านแต่ใช้ไปในทางที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ตรงข้ามกับเขาที่คิดจะทำก็ทำ ไม่คิดอะไรให้เยอะแยะ เพราะใช้สมองหนักไปพาลจะปวดหัวเปล่า ๆ   
 
แม้จะพอรู้ว่าชุนมีอำนาจบาตรใหญ่ในโรงเรียน ยิ่งขึ้นเป็นพี่ใหญ่สายม.ต้นด้วยแล้วยิ่งทำให้กร่างชนิดที่ว่าแทบเป็นมาเฟียเลยก็ว่าได้   
 
แต่ไม่คิดว่าคนที่เป็นเหยื่อคราวนี้จะเป็นลูกชายของโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องนั่น 
 
ฟากฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากคำว่าลูกคนรวยอย่างสิ้นเชิง   
 
ลักษณะภายนอกคือเด็กเนิร์ดที่อยู่ฝ่ายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ยอมถูกเป็นเบี้ยล่างชาวบ้านได้อย่างง่ายดาย แม้ใบหน้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรแต่เก็บความรู้สึกไว้ข้างในเพียบ ดูเหมือนคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก จนทำให้นึกสงสัยว่าแล้วชีวิตวัยประถมก่อนหน้านี้นั้นทำอะไรมา   
 
เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนเด็กโรงเรียนรัฐบาลทั่วไป บางทีคนรวยก็เดารสนิยมไม่ได้ ผมที่ตัดนั้นแอบสั้นยาวไม่เท่ากันเหมือนหนูแทะคาดว่าคงตัดเอง ชุดนักเรียนเป็นของที่ทางโรงเรียนจำหน่าย แต่สะอาดและเรียบร้อย พร้อมด้วยกระเป๋าเป้สีดำของโรงเรียนใบใหญ่ที่ตราอาร์มหายไปเกือบครึ่ง ทุกสิ่งอย่างนั้นถูกต้องตามระเบียบจนน่าหงุดหงิด   
 
ซ้ำความขี้แยนั่นเอง จะขัดใจสักครั้งยังต้องเกรงใจ 
 
ใช่ ขุนเขารู้สึกว่าไม่อยากให้เด็กคนนั้นร้องไห้ไปมากกว่านี้ เพราะเท่าที่เป็นก็บ่อน้ำตาตื้นง่ายอยู่แล้ว   
 
ลอบสังเกตพฤติกรรมของชุนและฟากฟ้ามาสักพักเขาจึงได้คำตอบ   
 
เพราะเด็กขี้แยไม่ยอมเจียมตัวดันแอบไปชอบกับเด็กผู้หญิงที่ชุนหมายตาไว้   
 
สายตาของฟากฟ้าที่มองเธอคนนั้นช่างไม่มีปิดบังเอาเสียเลย บางครั้งถึงกับลอบมองเด็กหญิงจากด้านข้างแล้วอมยิ้มให้กับตัวเองก็มี หรือจู่ ๆ หน้าแดงอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อเธอลุกขึ้นยืนแล้วชี้ให้เพื่อน ๆ ดูท้องฟ้า ยิ่งเวลาเธอยิ้มฟากฟ้าจะยิ่งทำตัวอะไรไม่ถูกเงอะงะ ซุ่มซ่าม ซึ่งคนช่างสังเกตอย่างชุนคงไม่ปล่อยไปแน่นอน 
 
การกลั่นแกล้งของชุนมีหลายระดับ อย่างแรกอาจจะแค่ล้อเลียน ฟากฟ้าโดนเพื่อนผู้ชายที่อยู่ในสังกัดชุนแฟมิลี่ล้อเรื่องส่วนสูงและความตัวแคระอย่างไม่ปราณี   
 
เลเวลต่อมาคือการแฉความลับที่เจ้าตัวไม่อยากให้ใครรู้ ที่ฟากฟ้าถึงกับมาร้องไห้ในห้องน้ำอาคารเก่านั้นมาจากการที่พวกชุนแอบขโมยสมุดของฟากฟ้าที่เขียนเพ้อถึงเธอคนนั้นลงไปแล้วอ่านออกเสียงให้พวกผู้หญิงในห้องฟัง สร้างความอับอายไม่พอ ซ้ำยังทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นมองฟากฟ้าด้วยสายตาแปลก ๆ   
 
และขั้นสูงคือการใช้กำลัง ช่วงนี้ชุนได้ลูกน้องเป็นยักษ์วัดแจ้งสองคนขนาบซ้ายขวา ทำให้ยิ่งเหลิงอำนาจไปทุกที มัธยมต้นเข้าสู่ยุคมืดอย่างแท้จริง 
 
เพราะฉะนั้นขุนเขาจึงอยากเป็นกำลังให้ฟากฟ้าได้ตอกหน้าท้าทายอำนาจของชุนดูสักครั้ง เผื่อขั้วอำนาจที่มีอาจเปลี่ยน และเขาจะได้เลิกอึดอัดกับสถานการณ์ที่ทุกคนมองว่าคนที่จะล้มชุนได้คือเขาเท่านั้น 
 
"เลิกโยนภาระที่ไม่ต้องการมาให้สักทีเถอะว้า" ขุนเขาเอ่ยอยู่คนเดียว โดยที่ไม่มีใครได้ยิน 
 
...ซะที่ไหนล่ะ   
 
"การเรียนไม่ใช่ภาระสักหน่อย"   
 
สิ้นเสียงขุนเขาร้องเหวอออกมาเสียงดัง เขาสะดุ้งตัวโหยงแล้วหันไปมองต้นเสียง 
 
ฟากฟ้ายืนหอบแฮ่ก ลิ้นห้อย หน้าแดง   
 
"เฮ้ย ! มาได้ไง" จากสภาพดูก็รู้ว่าวิ่งตามมา 
 
"แฮ่ก .. แฮ่ก...." ฟากฟ้าไม่ตอบทันที เขาเอื้อมมือมาคว้าแขนขุนเขาไว้ข้างหนึ่ง 
 
เพราะยังไงคงตกใจที่ตนถูกตามเจอเลยยังนิ่งไม่ไหวติง 
 
"ป...ไป..แฮ่ก...เรียนกัน..." เด็กชายพยายามเค้นเสียงเอ่ยกับอีกฝ่ายอยากยากลำบากเต็มที ริมฝีปากอ้าพะงาบสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทว่าไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไหร่นัก 
 
สุดท้ายจึงต้านร่างกายตัวเองไม่ไหวจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น 
 
"เฮ้ !?"   
 
ขุนเขาให้เวลาฟากฟ้าเกือบสามนาทีในการรวบรวมเรี่ยวแรงและสติสตังให้กลับคืน   
 
จากนั้นคนขี้แยจึงเอ่ยว่า 
 
"ไปเรียนกัน เลยเวลามามากแล้วนะ" 
 
คำพูดนั้นทำให้ขุนเขาเลิกคิ้วสูง จริงอยู่ที่เสียงออดดังขึ้นไปสักพักแล้ว และน่าแปลกใจมากว่าคนที่บ้าเรียนสุด ๆ อย่างฟากฟ้าจะเสียสละอันมีค่านั้นมาตามตนถึงที่นี่   
 
แต่นั่นยังคงไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ 
 
"ไม่ละ นายไปเรียนเถอะ ถ้าไปสายกว่านี้อาจารย์จะดุเอา" กับเขาน่ะไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่ถ้ากับเด็กเรียนแบบอีกฝ่ายจะถูกหาว่าไม่เลือกคบเพื่อนเอาก็ได้ 
 
ในช่วงนั้นเองที่ขุนเขาคิดว่าบางทีตนอาจจะเป็นภาระให้กับอีกคนมากว่าหรือเปล่า 
 
ทว่าฟากฟ้าส่ายศีรษะ 
 
"ถ้าขุนไม่ไป ผมก็ไม่ไป" 
 
"เฮ้ ไหงงั้น" 
 
"เพื่อนกันต้องทำอะไรด้วยกัน" 
 
เพื่อนอีกแล้วเรอะ .. ทำไมคำนี้ถูกหยิบยืมมาใช้บ่อยจริง แถมเขายังไม่กล้าปฏิเสธอีกต่างหาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอกหน้าหงายไปแล้ว แต่อย่างว่า เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องหน้าเบ้จะร้องไห้อีกแล้ว 
 
เพื่อน ...   
 
เพื่อนเรอะ ?   
 
"นี่นายอาจจะเข้าใจคำว่าเพื่อนผิดไปก็ได้มั้ง"   
 
"ยังไง ?" 
 
"เพื่อนกันเขาไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเหมือนตังเมหรอกน่า ไม่ใช่ฝาแฝดกันสักหน่อย แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตต่างกันรู้ไหม และการที่นายมาลากฉันไปเรียนด้วยเนี่ยมันทำให้ตัวนายเสียเวลา และถ้านายเกิดเรียนไม่รู้เรื่องขึ้นมากลายเป็นฉันที่จะรู้สึกแย่นะ" 
 
ทว่าเหตุผลนี้สำหรับฟากฟ้าแล้วมันเหมือนข้อแก้ตัว 
 
แววตาเด็กขี้แยพลันเปลี่ยนกลายเป็นจริงจัง ดวงตาหรี่ลง ริมฝีปากเป็นเส้นตรงบางเฉียบ สีหน้าแบบนี้บ่งบอกเลยว่ากำลังจะโมโห 
 
"เพื่อนคือคนที่คอยช่วยเหลือเวลาที่ใครอีกคนกำลังแย่ต่างหาก เพื่อนคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันในวันที่ทุกข์ สุข เศร้า ผมเคยอ่านเจอหรอกนะ ขุนเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อน ถ้าขุนจะโดดผมก็ต้องโดดด้วย ถ้าขุนจะเรียนไม่จบผมก็ต้องเรียนไม่จบด้วย เพื่อนเขามีไว้ทำแบบนั้นล่ะ"   
 
ขุนเขารู้สึกเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ แววตาของฟากฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าจนนึกไม่อยากขัด ยอมรับว่าเหตุผลตนมีช่องโหว่ แต่ใช่ว่าเหตุผลอีกฝ่ายจะสมบูรณ์ไร้ที่ติ อย่างน้อยไอ้ที่บอกว่าจะพากันดิ่งลงเหวนั้นคงไม่ใช่แน่ ๆ   
 
ทว่ามาขนาดนี้ฟากฟ้าคงไม่ยอมเขาตามคาด   
 
เพิ่งรู้ว่าเป็นคนหัวดื้อใช้ได้ 
 
"นี่นายน่ะ ไม่เคยมีเพื่อนใช่ไหม"   
 
"ขุนเองก็เหมือนกัน" 
 
"เออ ฉันก็ไม่เคยมีหรอกคนที่บอกปาว ๆ ว่าตัวเองเป็นเพื่อนแล้วมาตามจิกคนที่บอกว่าเพื่อนให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเนี่ย" 
 
ฟากฟ้าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง 
 
ขุนเขาเพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงเข้าให้แล้ว แน่นอนว่าเด็กขี้แยหน้าจ๋อยสนิท มือที่จับแขนขุนเขาไว้พลันคลาย   
 
"ขอโทษ" แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 
 
ทว่าใบหน้านั้นไม่บ่งบอกว่าจะแหกปากร้องไห้โฮภายในหนึ่งวินาที ตรงกันข้ามฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยกแขนขยี้หน้าตัวเอง 
 
"เอ่อ..." 
 
"ขอโทษ" ฟากฟ้าเอ่ยอีกครั้งก่อนลุกขึ้นยืน แล้วก็ ...   
 
"ขอโทษจริง ๆ" 
 
วิ่งออกจากอาคารเก่าไปอย่างรวดเร็วจนขุนเขาต้องอ้าปากค้าง 
 
เอาจริงเรอะ !?   
 
ไม่ร้องไห้แล้วก็จริง แต่ทำแบบนี้มันปวดใจมากกว่าเป็นเท่าตัว เด็กหนุ่มไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายวิ่งหนีไปทั้ง ๆ อย่างนี้ เขาลุกขึ้นแล้วรีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าร่างกายของคนมันต่างกันไม่กี่ก้าวเด็กหนุ่มพลันคว้าแขนอีกฝ่ายไว้หมับ 
 
"แค่ไปเรียนใช่ไหม ?" 
 
เด็กหนุ่มถาม   
 
"อื้อ" ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก   
 
"เออ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ" 
 
"ไม่ได้" 
 
"อะไรวะ นี่็ยอมให้สุด ๆ แล้ว" ทว่าฟากฟ้ากลับไม่ตอบ 
 
แต่เปลี่ยนเรื่องแทน 
 
"ผมต้องแต่งตัวยังไง วันเสาร์น่ะ" เมื่อจู่ ๆ ถูกเปลี่ยนเรื่องขุนเขาแทบตั้งตัวไม่ทัน ผ่านไปเกือบหน้าวินาทีเพิ่งนึกได้ว่าตนเคยบอกอะไรไว้ 
 
"ยังไงก็ได้ที่คิดว่าหล่อที่สุดแล้ว" 
 
ทว่าโจทย์นั้นเด็กชายกลับคิดไม่ออก เสื้อผ้าที่มีก็เป็นชุดธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น   
 
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วแบบนั้นขุนเขาจึงอธิบายเสริม 
 
"ใส่อะไรก็ได้ที่เป็นตัวนายที่สุด" บอกแค่นั้นก่อนที่ทั้งสองจะเดินถึงอาคารเรียน 
 
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ขุนเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ถูกเด็กขี้แยเอาคืน 
 
กว่าจะวันเสาร์ก็มะรืน ทว่าน่าแปลกที่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกปวดในมวนท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ   
 
แต่ก่อนหน้านั้นขุนเขาถึงกับสำลักน้ำลายเมื่อถูกถามว่า 
 
"แล้วขุนจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือเปล่า" ด้วยสีหน้าใสซื่อของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาจะรับบทเป็นผู้หญิงให้จริง ๆ   
 
เล่นทำเอาพูดไม่ออกเลยทีเดียว 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2016 15:20:48 โดย mamedaz-s »

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฟ้าน่ารักกก เอาขุนอยู่หมัดเลย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทั้งขุนเขาและฟากฟ้าต้องก็กำลังเรียนรู้คำว่าเพื่อนกันอยู่สินะ
อยากรู้ปัญหาที่บ้านของขุนเขาบ้าง อะไรทำให้เด็กอายุแค่นั้นรู้สึกเป็นส่วนเกินตลอดเวลากันนะ
รอตอนต่อไปค่ะ (ซ้อม)เดทครั้งแรกของฟากฟ้าจะเป็นยังไงบ้างนะ

ออฟไลน์ fangkao

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ทั้งฟากฟ้าและขุนเขาต่างก็เป็นเด็กมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นเลยนะเนี่ย การที่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินนี่น่ากลัวนะ (เหมือนละครวัยแสบ สาแหรกขาด) รอตอนเดทแล้วกัน ว่าขุนจะพาน้องไปเดทที่ไหน อิอิ คนเขียนก็สู้ๆด้วยนะ รอตอนต่อไปเน้อ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ฟากฟ้าก็ยังคงความน่ารักใสซื่ออยู่ รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ mamedaz-s

  • Master Luck F
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
บ้านขุนเขา


ขุนเขาจอดมอเตอร์ไซค์ใต้ถุนบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน 
 
เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าต้องไปส่งเจ้าเด็กขี้แยไปโรงเรียนกวดวิชาทุกเย็นเพราะอดทนเห็นหมอนั่นเดินเพียงลำพังไม่ได้ สีหน้าที่ดูสลดหดหู่นั่นคืออะไร เหมือนโลกจะแตกฟ้าจะถล่มอย่างนั้นแหละ เอาเถอะ ไหน ๆ เลิกเรียนก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เข้าบ้านเวลาไหนคงเหมือนกัน 
 
ทันทีที่ดับเครื่องเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น   
 
"มาพอดีเลย" ขุนเขาหันไปมองต้นเสียง "ไปส่งกูที่ตลาดหน่อยสิ คุณนายจะเอาพวงมาลัย"   
 
เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีในชุดนักเรียนมัธยมปลาย เค้าโครงหน้าไม่ต่างจากขุนเขามากนัก ติดตรงแววตาเต็มไปด้วยความร่าเริงสดใสไร้ความคิดต่างจากขุนเขาโดยสิ้นเชิง   
 
กิฟต์ พี่ชายคนโตนั่นเอง   
 
คุณนายที่ว่าคือมารดาของทั้งคู่   
 
ขุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่จักรยาน แต่กิฟต์โอดครวญ 
 
"ขอเถอะ ยางแบนขนาดนั้นใครจะไปขับ อีกอย่าง ...." 
 
"มึงก็แค่ขี้เกียจ กิฟต์"   
 
"ต้องเรียกพี่กิฟต์สิครับไอ้ขุน" 
 
คนน้องกลับไม่ตอบพลางหันไปทางอื่นแล้วถอนหายใจให้ได้ยิน แต่พี่ชายกลับเบะปากไม่สนใจก่อนจะเดินลงมาหาแล้วขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้เสียเฉย   
 
"เฮ้"   
 
"ไปส่งบัดนาว"   
 
"มึงก็ขับไปเองดิ"   
 
"ขับเป็นที่ไหน"   
 
"จักรยานไง"   
 
"ก็บอกแล้วไงว่าขี้เกียจ" หลุดเหตุผลที่แท้จริงมาเป็นคำเบ้อเริ่ม   
 
จุดนี้ไม่ปิดบังแล้ว คนพี่ลอยหน้าลอยหน้าอย่างไม่สนใจ น้องชายจ้องมองกลับอย่างไม่ละสายตา ทั้งคู่จ้องมองกันราวกับกำลังก่อสงครามประสาทโดยคนที่คนเครียดน่าจะเป็นฝ่ายน้องมากกว่า 
 
ลืมไปว่าหนังหน้ายิ่งกว่าปูน ขุนเขาคิดในใจอย่างเผ็ดร้อน   
 
"ไปซื้อแค่พวงมาลัยอย่างเดียว ?" เมื่อหยั่งเชิงถามคนพี่กลับยิ้มกว้างออกมา เพราะรู้แน่นอนว่าขุนเขาคงไม่ปฏิเสธ 
 
กิฟต์ยักไหล่แล้วบอกว่า "เงินเหลือ ซื้อหนม" 
 
ขุนเขาตอบด้วยการแทรกตัวคร่อมมอเตอร์ไซค์ด้านหน้า ค่อย ๆ ถอยตัวรถออกจากใต้ถุน เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของพี่ชายดังหึ ๆ นึกระอาอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าทำไมถึงโตมากลายเป็นคนแบบนี้ ทั้งที่วิธีการเลี้ยงดูแทบไม่ต่างกัน 
 
เด็กหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ทันใดนั้นเสียงวิ่งตึกตักจากตัวบ้านดึงเข้ามาใกล้ วินาทีที่จะบิดคันเร่งเสียงตะโกนดังมาจากด้านบน   
 
"พี่กิฟต์ พี่ขุนนน ! ขอไปด้วยยย !"   
 
น้องชายคนสุดท้องที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกหลง เพราะในขณะที่พี่ชายทั้งสองขึ้นมัธยมแล้วแต่ตัวน้องคนเล็กเพิ่งจะได้อายุเพียงห้าขวบเท่านั้น   
 
พี่ชายทั้งสองต่างหันไปตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า   
 
"ไม่ !"   
 
ซ้อนสามคนมันอันตราย อีกอย่างมีเด็กเล็กไปด้วยมันน่ารำคาญ   
 
สีหน้าน้องคนเล็กจ๋อยไปถนัดใจ   
 
ถ้านับเรื่องหน้าตาแล้ว น้องคนเล็กจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงมากที่สุด และด้วยการเลี้ยงดูที่ติดโอ๋จากพ่อแม่ทำให้กลายเป็นเด็กขี้แยเอามาก ๆ พลันทำให้ขุนนึกถึงหมอนั่นอย่างช่วยไม่ได้   
 
สามพี่น้องที่ต่างนิสัยทำให้ครอบครัวมีสีสัน   
 
แต่ทว่า.. มันกลับทำให้ขุนเขารู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก   
 
 
 
 
 
ตลาดที่สองพี่น้องไปคือตลาดที่อยู่ถัดไปอีกหนึ่งอำเภอ แม้ไม่ค่อยไกลนักแต่สำหรับคนขับรถอย่างขุนเขาแล้วถือเป็นเรื่องน่าเบื่อ ยิ่งคนซ้อนท้ายเป็นพี่ชายจอมอยู่ไม่สุขด้วยแล้วเลยน่าหงุดหงิดเป็นเท่าตัว   
 
"หัดอยู่เฉย ๆ บ้างได้ไหม"   
 
"ห๊ะ ว่าไรนะ" 
 
ไม่รู้จงใจหรือไม่ได้ยินจริง ๆ   
 
กิฟต์เป็นพี่ชายที่ดูไม่ค่อยสมเป็นพี่ชายนัก เพราะเป็นคนรักอิสระมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้จึงทำให้ความคิดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ ยกตัวอย่างตอนเลือกโรงเรียนมัธยมปลายเมื่อสองปีที่แล้วที่คิดเรียนต่อมัธยมประจำตำบลที่ไกลออกไป พร้อมทั้งลากเพื่อนและแฟนเพื่อนให้ไปด้วยกัน ซึ่งใคร ๆ ต่างรู้ดีว่าเพื่อนกิฟต์นั้นไม่ใช่เด็กทื่ตั้งเป้าเข้ามหาวิทยาลัยเท่าไหร่ เผลอ ๆ เลือกเรียนอาชีวะด้วยซ้ำถ้าไม่ติดโดนลาก   
 
ทีแรกพ่อแม่คัดค้านเพราะมีโรงเรียนที่ตั้งใจจะให้เข้าอยู่แล้ว แต่สุดท้ายทนความหน้ามึนของลูกชายตัวเองไม่ไหวจึงต้องตามใจจนถึงทุกวันนี้   
 
และเพราะสาเหตุนั้นจึงทำให้ความกดดันกลับมาอยู่ที่ขุนเขาในวันที่เลือกโรงเรียนต่อในระดับมัธยมต้น   
 
ขุนเขาเป็นเด็กที่มีทักษะทางกีฬาเป็นเลิศ เขาเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าแข่งขันฟุตบอลรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี โครงการหนึ่ง จากวันนั้นความฝันเขาค่อยเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จึงขอร้องอาจารย์ส่งเรื่องขอโควตากับโรงเรียนกีฬาประจำจังหวัด ทุกอย่างมันดำเนินไปได้ด้วยดี ทางอาจารย์เองก็คิดว่าเขาต้องได้แน่นอน   
 
ทว่าสุดท้ายเขากลับสอบโควตาไม่ผ่าน   
 
เหล่าอาจารย์เกิดข้อกังขามากมาย พยายามสอบถามกับทางโรงเรียนกีฬา แต่ทางนั้นกลับปฏิเสธที่จะให้คำตอบใด ๆ สุดท้ายเขาจึงชวดมันไปด้วยความรู้สึกเบาโหวง 
 
และในขณะนั้นเองที่พ่อเข้ามายื่นใบสมัครเข้าเรียนโรงเรียนประจำอำเภอที่มีชื่อเสียง 
 
ขุนเขาสมัครเข้าสอบอย่างล่องลอย เมื่อเป้าหมายอันดับหนึ่งพลาดไป จึงคิดว่าบางทีที่นี่อาจจะทำให้เขามีที่ยืนได้บ้าง   
 
ทว่าความจริงกลับปรากฏหลังจากเปิดเทอมไปแล้วหนึ่งเดือน   
 
สมัยที่ชุนยังไม่กร่าง สมัยที่เขาไม่ถนัดกับการหาเรื่องใคร สมัยที่เขายังคงมองโลกอย่างสวยงามและเริ่มปรับตัวกับเพื่อนในห้อง 
 
เย็นวันนั้นมีคนมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน แม่บอกว่าเป็นคนใหญ่คนโตให้รักษากริยาสำรวมและคอยเอาใจใส่แขกอย่างดี วันนั้นกิฟต์โม้กับแขกด้วยเรื่องความประพฤติของเพื่อนที่เป็นเด็กเกเร และแคลมัวแต่ร้องอ้อแอ้พูดไม่ชัด ส่วนเขานั่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษในความยุ่งเหยิง 
 
สามพี่น้องถูกไล่ให้กลับไปห้องนอนของตัวเอง ทว่าขุนเขากลับลืมของไว้ที่ห้องรับแขก ความบังเอิญนี้ช่างเหมือนในละครภาคค่ำทว่ามันกลับเป็นเรื่องจริงจนไม่น่าเชื่อ   
 
เด็กหนุ่มได้ยินเรื่องที่ทำให้ต้องตกตะลึง เขาจำได้ว่าตนกระโจนเข้าไปกลางบทสนทนานั้นด้วยความโมโห ตะโกนต่อว่าพ่อแม่พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ความช็อคนั้นทำให้ชาไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดิ่งลงเหว ชวนผิดหวังทั้งสิ้นหวัง   
 
ตั้งแต่วันนั้นขุนเขาจึงเลิกที่จะศรัทธาในตัวบุพการี เกิดการต่อต้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน และทำมันมาตลอดสองปีเต็ม 
 
"มัวเหม่ออะไรวะ" กิฟต์ว่าพลางตบบ่าน้องชายเบา ๆ ขุนเขาส่ายศีรษะแทนคำตอบ   
 
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าพี่ชายคือต้นเหตุ ที่พ่อแม่อยากให้ลูกชายเข้าโรงเรียนมีชื่อคงเป็นเพราะค่านิยมที่ติดมาจากการงานที่ทำ การอวดลููก อวดตำแหน่ง อวดฐานะ อวดทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเป็นเรื่องปกติของพ่อแม่ไปแล้ว ในเมื่อพี่คนโตถูกตามใจ แล้วลูกคนกลางจะต้องทำอย่างไร เป็นเรื่องที่แทบไม่ต้องเดา   
 
บางทีมันอาจเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาและพี่ชายเกิดความต่าง แทนที่จะโยนความผิดเขากลับอิจฉาอยู่ในใจลึก ๆ   
 
ทั้งสองจอดมอเตอร์ไซค์ข้างตลาด ขุนเขาหันมองซ้ายขวา 
 
จะว่าไปแถวนี้มันใกล้กับบ้านของหมอนั่นเลยนี่นะ   
 
จู่ ๆ ใบหน้าและชื่อของเพื่อนคนแรกของเขาพลันแวบเข้ามาในหัว   
 
"มองหาอะไรวะ"   
 
"ป..เปล่า" เด็กหนุ่มตอบ   
 
กิฟต์มองน้องชายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก่อนยักไหล่   
 
นี่มันตลาด เด็กเรียนจะมาทำอะไรที่ตลาดล่ะเนี่ยยกเว้นที่จะโดนแม่มาใช้ซื้อของ อีกอย่างบ้านหมอนั่นรวยแล้วคงมีคนใช้ออกมาทำให้เองแหละ อยู่บ้านเรียนให้เก่งก็พอแล้ว   
 
ทว่าในขณะนั้นสายตาของขุนเขาพลันไปพบกับร่างใครบางคนคุ้นตา 
 
ไม่ใช่หมอนั่นหรอก แต่เป็น ... 
 
"นั่นใช่เพื่อนมึงปะขุน" กิฟต์ชี้ไปที่คนนั้นอย่างไม่ปิดบัง ไม่คิดจะลดเสียงด้วย   
 
ขุนเขาพยักหน้าแบบส่ง ๆ ไม่ใส่ใจ 
 
คนนั้นคือ ชุน ที่มาพร้อมกับแม่ ภรรยานายตำรวจใหญ่ด้วยสีหน้าไม่พอใจสุด ๆ   
 
เสียงกิฟต์ทำให้ทั้งแม่ลูกหันมาพร้อมกัน   
 
"นั่นเพื่อนลูกนี่ชุน"   
 
มารดาชี้ชวนมาทางขุนเขาและกิฟต์ และทันทีที่ทั้งคู่สบตากันต่างพลางทำหน้าเบ้   
 
เจอใครไม่เจอ ดันมาเจอตัวปัญหา   
 
สำหรับขุนเขาแล้วชุนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย อันที่จริงอยากให้ต่างคนต่างอยู่ ทว่าชุนมักหาบททดสอบเพื่อแสดงศักยภาพและอำนาจในกองกำลังของตัวเองจึงส่งคนมาหาเรื่องกับเขาอยู่บ่อยครั้ง บางทีตอนมัธยมหนึ่งชุนคงเห็นเขาเป็นเหยื่อเหมือนฟากฟ้าเลยคิดจะกลั่นแกล้ง และผลอย่างที่เห็น เขากลายเป็นสิ่งที่ชุนไม่อยากยุ่ง 
 
เมื่อถูกระบุตัวมาแบบนั้นขุนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือไหว้ทักทาย มารดาของชุนรับไหว้อย่างยิ้มแย้ม หล่อนแต่งหน้าจัดจ้าน ผมถูกเปิดเป็นกระบังลมนั้นมองยังไงก็เป็นพวกคุณหญิงคุณนาย   
 
"สวัสดีครับ"   
 
"ไหว้พระเถอะจ้ะ" การพูดยังจีบปากจีบคอไม่เคยเปลี่ยน 
 
พ่อของขุนเขาและพ่อของชุนมักพบปะกันเรื่องงาน จึงทำให้ทั้งสองครอบครัวรู้จักกันบ้างแม้เพียงผิวเผิน   
 
"มาทำอะไรกันจ้ะ" หล่อนถาม 
 
"ซื้อพวงมาลัยให้แม่ครับ" กิฟต์ตอบอย่างฉะฉาน 
 
ขุนเขายกหน้าที่การคุยกับหญิงสาววัยกลางคนให้กิฟต์ในขณะที่ชุนเองก็ไม่เปิดปากคุยด้วยสักแอะ   
 
เด็กหนุ่มทั้งสองสบตากัน 
 
ราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่านดังเปรี๊ยะ   
 
"...แล้วชุนอยู่ที่โรงเรียนเป็นไงบ้างจ้ะ"   
 
จู่ ๆ คำถามกลับถูกโยนมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว ขุนเขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกกิฟต์กระทุ้งศอก เด็กหนุ่มมองคนนั้นทีคนนี้ที มารดาของชุนจึงถามย้ำอีกครั้ง เล่นทำเอาขุนเขาหันไปมองชุนพลางเลิกคิ้ว 
 
หากให้ถามว่าชุนอยู่โรงเรียนเป็นอย่างไร .. ขุนเขาสามารถตอบได้ไม่ยากเย็น 
 
ทว่า..   
 
ชุนยังคงมีสายตาแน่วนิ่วแล้วส่ายศีรษะเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ 
 
ขุนเขาหรี่ตาอย่างพิจารณา 
 
จริงสิ เรื่องที่ชุนเกเรคนที่บ้านไม่มีทางรู้ ไม่สิ บางทีอาจจะรู้แต่คงอยากได้คำตอบที่ชัดเจนจากเพื่อนร่วมชั้นมากกว่า   
 
ขุนเขาแสร้งยิ้มแล้วตอบว่า 
 
"มีความเป็นผู้นำดีครับ"   
 
คำตอบนั้นทำให้ชุนถึงกับหน้าเบ้ กิฟต์กลั้นขำเพราะรู้ว่าในคำพูดของน้องชายนั้นมันเต็มไปด้วยความประชดประชัน   
 
ทว่ามารดาของชุนกลับยิ้มกว้างจนน่าขนลุก หล่อนหันไปมองลูกชาย   
 
ชุนยิ้มแห้งแล้วบอกมารดาว่า 
 
"ขุนเขาพูดเกินไปหน่อยน่ะครับ ผมหิวแล้ว กลับกันดีกว่าไหมเอ่ย" น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ขุนเขานึกอยากให้ฟากฟ้ามาเห็นชุนในอริยาบถนี้เสียจริง คงจะขันน่าดู 
 
นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชุนไม่นึกอยากยุ่งกับขุนเขามากนัก เพราะอีกฝ่ายรู้ว่าขุนเขากำความลับที่เป็นไพ่เหนือกว่ามาก การที่ชุนยอมแพ้ต่อขุนเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะมีเหตุจำเป็น แม้จะรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ใช่คนปากโป้งแต่คนรอบคอบแบบชุนยังไม่ไว้วางใจ ในหลาย ๆ ความหมาย ถึงอย่างนั้นชุนก็ยังคงวนเวียนและสร้างความน่ารำคาญอยู่ไม่ขาด แถมยังเชื่อมั่นว่าสักวันจะล้มขุนเขาให้ได้ 
 
เมื่อแม่ลูกจากไปแล้ว กิฟต์ที่กลั้นอยู่นานพลันระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น 
 
"เชี่ย ! ยังไม่เคยเห็นใครที่เป็นลูกแหง่ขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ !"   
 
คงจี้น่าดู   
 
ขุนเขาไม่ตอบพี่ชาย ได้แต่เดินเลยไปปล่อยให้ยืนหัวเราะอยู่อย่างนั้น   
 
ไม่ต้องปิดบังแล้วมั้ง   
 
เพราะเสียงกิฟต์น่ะ มันดังไปทั่วตลาดเลยล่ะ   
 

 

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พ่อแม่พูดอะไรถึงทำให้ขุน ฟิวส์ขาด

ออฟไลน์ littlegift

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เพราะพ่อแม่ขุนหรือเปล่าที่ทำให้ขุนไม่ได้เรียนที่ตัวเองตั้งใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชอบประโยคที่ขุนเขาตอบแม่ของชุนอ่ะ... ฟังดูเหมือนจะดี
ว่าแต่ตอนนั้นขุนเขาได้ยินอะไรกันนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกดีค่ะ อยากเห็นตอนโตเลยเนี่ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :katai2-1:   สนุก  ชอบบบ รอมาต่ออีกน้าาาา  :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :z3:

สองบ้านนี้ผู้ใหญ่ใส่หน้ากากกัน เหอะๆ

ผู้ปกครองนี่เป็นอะไรนะ มีลูกแล้วชอบอวดนี่นุ่นนั่น

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ชุนนี่อยู่กับแม่คืออีกเรื่องเลย จะเป็นยังไงต่อน้า

ออฟไลน์ mamedaz-s

  • Master Luck F
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คู่มือ 



 
ฟากฟ้าเปิดกูเกิ้ลมองหาคู่มือการเดท   
 
เบื้องต้นคือการเตรียมตัว เด็กชายขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางไล่สายตาอ่าน ยิ่งอ่านเหมือนยิ่งหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งที่ไม่รู้จัก 
 
เขาหันไปมองตู้เสื้อผ้าอย่างยุ่งยากใจ วันหยุดปกติต้องใส่ชุดไปรเวท เขาไม่ใช่คนบ้าที่จะใส่ชุดนักเรียนไปเรียนพิเศษเสียหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนแต่งตัวเป็น เสื้อผ้าที่บ้านแม่เป็นคนจัดการให้ มีแต่แบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เพราะคิดว่าเรื่องแต่งตัวเป็นเรื่องรอง 
 
ทว่าเขาต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่   
 
ถ้ามันคือการซ้อมเดทเขาก็อยากทำให้มันออกมาดูดี 
 
เด็กชายลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า   
 
ว่าแล้วเชียว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสักนิด   
 
เพราะแม่เป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้ตั้งแต่เกิด ในตู้ของเขาจึงมีเพียงแต่เสื้อโปโลหลายหลากสี เสื้อยืดสีเรียบ และกางเกงยีนส์เก่า ๆ  แม่เน้นการใช้งานทนมากกว่าความสวยงาม เขาถูกสอนให้คิดแต่เรื่องเรียนมากกว่าเรื่องแฟชั่น เรื่องที่ไม่มีความจำเป็นต่อการเรียนต่อมหาวิทยาลัยให้ตัดทิ้งไป 
 
ฟากฟ้าไล่สายตาดูเผื่อว่าจะมีอะไรใช้ได้บ้าง   
 
หรือว่าการเตรียมตัวจะไม่เกี่ยวกับเสื้อผ้า ?   
 
ในขณะที่ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยเสียงเคาะประตูห้องพลันดังขึ้น   
 
"ครับ ?" เด็กชายขานรับ   
 
วินาทีถัดมาประตูถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของพี่เลี้ยงที่คุ้นเคย 
 
"โทรศัพท์ค่ะคุณฟ้า เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียน" 
 
โทรศัพท์บ้านที่เป็นระบบไร้สายทำให้เคลื่อนย้ายสะดวก พี่เลี้ยงคนนี้เพิ่งมาอยู่ด้วยเมื่อสองเดือนก่อนทำให้ไม่ค่อยมีความสนิทสนมกันเท่าใด คำพูดจายังฟังดูเคอะเขิน และด้วยวัยแบบเขาด้วยแล้วทำให้การพูดคุยกับหญิงสาวแปลกหน้าเป็นเรื่องยาก เด็กชายจึงเว้นระยะห่างกับเธอพอสมควร บรรยากาศจึงดูเหมือนในหนังในละครอย่างที่เห็น 
 
ฟากฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย 
 
เพื่อนที่โรงเรียน ? คงมีอยู่แค่คนเดียว แต่ ... 
 
เด็กชายยื่นมือรับโทรศัพท์มาอย่างงุนงงก่อนกรอกเสียงตามสาย 
 
"ครับ ?" 
 
"ไง กำลังลำบากใจเลือกเสื้อผ้าอยู่ล่ะสิ"   
 
เสียงปลายสายนั้นฟังแวบเดียวก็รู้ว่าใคร ความอบอุ่นค่อยซึมปลาบตามสายโทรศัพท์ เด็กชายหันไปมองพี่เลี้ยงเป็นเชิงขอตัวแล้วเปิดประตูห้องกลับมานั่งที่โต๊ะ   
 
เหมือนมีตาทิพย์ หยั่งรู้ได้ถึงขนาดนั้น   
 
ฟากฟ้าส่ายศีรษะแล้วบอกว่า   
 
"ม..ไม่ใช่หรอก ผมกำลัง..เอ่อ .. ทำการบ้านอยู่น่ะ" โกหกคำโต 
 
ในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้เขาเป็นตัวของตัวเองแล้วมันก็คือจบ แต่การที่เขามากังวลเองภายหลังนั่นก็คือปัญหาของเขาแล้ว ไม่เกี่ยวกับอีกฝ่าย   
 
ได้ยินเสียงลมหายใจดังตามมา 
 
"รู้เบอร์ที่บ้านฉันได้ยังไงเหรอ" เลยหาทางเปลี่ยนเรื่อง 
 
"บ้านนายไม่รู้จักก็แย่แล้ว โทรไปที่โรงงานสิ แล้วขอสายลูกชายเจ้าของหน่อย ตอนแรกก็โดนสงสัยอยู่หรอกแต่พอชักแม่น้ำทั้งห้าให้พวกเขาฟังเลยยอมโอนสายให้น่ะ คราวหลังบอกเบอร์โทรศัพท์มือถือของนายให้ฉันด้วย" 
 
"ผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ..." 
 
แม่บอกว่าไม่จำเป็น และเขายังเป็นเด็กอยู่ มือถือมีไว้เพื่อติดต่อธุระผู้ใหญ่เท่านั้น 
 
ได้ยินเสียงขุนเขาร้องหืมเบา ๆ ยุคสมัยนี้คนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือคงเป็นอะไรที่แปลกมาก ทั้งที่บ้านเขาเป็นเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่   
 
"ไม่เป็นไร" ขุนเขาว่า "ฉันโทรเข้าบ้านนายก็ได้ บอกเบอร์ต่อตรงให้ด้วยละกัน" 
 
"อ..อื้ม เข้าใจแล้ว" 
 
แม้จะบอกแบบนั้นแต่ฟากฟ้ายังไม่รู้ว่าขุนเขาโทรมาหาตนทำไม   
 
ครั้นจะเอ่นปากถามกลับถูกอีกฝ่ายชิงพูดก่อนว่า 
 
"พรุ่งนี้พกเงินไปด้วยล่ะ"   
 
"เอ๋ ? เงิน ?" 
 
"ใช่ เงิน ถ้าไม่มีเงินเราก็จะทำอะไรไม่ได้" 
 
จริงอยู่ แต่การเดทจำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดไหนกันนะ เขาไม่เคยเดท และไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยตนเอง ไม่เคยควักเงินจ่ายเอง มีแต่พ่อแม่หรือคนที่บ้านจัดการให้ 
 
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่เลยทีเดียว 
 
"แล้วผมต้องพกไปเท่าไหร่" 
 
"เอาเท่าที่นายจะพกได้ เยอะ ๆ ยิ่งดีนั่นแหละ" 
 
เมื่อจะอ้าปากถามถึงเหตุผลว่าเงินเยอะที่ว่านี่ต้องประมาณไหนขุนเขาพลันวางสายไปเสียก่อน ปล่อยให้ฟากฟ้ายืนถือโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น พยายามเรียกปลายสายสองสามครั้งให้แน่ใจว่าไม่อยู่แล้ว 
 
เด็กชายเลิกคิ้วดึงโทรศัพท์ออกจากหูแล้วมอง 
 
อะไรของเขา ..   
 
ทว่าในวินาทีนั้นเด็กชายกลับคิดเรื่องเลวร้ายสุด ๆ ออกมาเสียได้ 
 
ร..หรือว่า .... 
 
ขุนเขามีแผนจะยักยอกเงินเขาอย่างนั้นหรือ !?   
 
เหมือนที่เห็นในทีวีนั่นไง ที่มาตีสนิทโดยหยิบยื่นความเป็นเพื่อนให้แล้วหลอกไถเงินเพราะเห็นว่าเป็นลูกคนรวย แล้วสุดท้ายเขาก็จะหมดตัว โดนพ่อแม่ตัดออกจากกองมรดกเพราะเอาเงินไปให้เพื่อนถลุงเล่นมากเกินไป ! 
 
คิดได้ดังนั้นเด็กชายจึงตบแก้มตัวเองอย่างแรงไปทีหนึ่ง   
 
"โอย.." 
 
จินตนาการไม่เข้าเรื่อง ขุนเขาไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย   
 
แต่มันอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะขนาดนั้น ?   
 
สุดท้ายฟากฟ้าจึงเลิกที่จะอาศัยคู่มือการเดทในกูเกิ้ล เขาเลือกเสื้อผ้าสีฉูดฉาดที่สุดมาหนึ่งชุดก่อนจะส่งให้พี่เลี้ยงเอาไปรีดมาเก็บไว้ เพราะคิดว่าใจความสำคัญของวันเดทคือเงิน ไม่ใช่การเตรียมตัวอะไรทั้งนั้น   
 
".. เงินนี่คือทุกอย่างจริง ๆ เลยนะ" 
 
เด็กชายพึมพำออกมาเบา ๆ ในขณะที่ปิดคอมพิวเตอร์เตรียมตัวเข้านอน 
 
 
 
 
 
 
เช้าวันเสาร์เขาตาโหลลึกเหมือนคนไม่ได้นอน อันที่จริงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นวันนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ ซ้ำยังเป็นบทเรียนของหลักสูตรที่ขุนเขาฟันธงว่าจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ 
 
เสื้อโปโลสีแดง กางเกงยีนส์สีเข้ม เป้โรงเรียนพร้อมหนังสือของกวดวิชา รองเท้าผ้าใบสีตุ่นที่ผ่านการซักล้างมาหลายสิบครั้ง และนาฬิกาข้อมือสีดำอันใหญ่ไว้ใช้เฉพาะตอนออกไปข้างนอก 
 
หากจะบอกสิ่งที่ฟากฟ้าสนใจคงเป็นนาฬิกา เขามักสะสมมันด้วยเงินเก็บที่มี ตอนนี้มีอยู่สี่เรือนด้วยกัน แพงสุดราคาประมาณห้าหมื่น และที่เขาใช้อยู่ทุกวันนี้ราคาประมาณห้าพัน เพราะนาฬิกาบางเรือนก็ไม่เหมาะจะให้เด็กใส่เดินไปไหนต่อไหน ถามว่าความตั้งใจเกี่ยวกับของสะสมนี้คืออะไร คำตอบบนั้นเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กชายตั้งใจอยากมีห้องส่วนตัวเอาไว้เก็บนาฬิกาหายาก   
 
การแต่งกายเด็กชายไม่มั่นใจเลยสักนิด ทว่าทันทีที่สวมนาฬิกาแล้วเหมือนความกังวลดังกล่าวหลายเป็นปลิดทิ้ง เขายิ้มให้กับตัวเองก่อนกระชับสายสะพานเดินเข้าโรงเรียนกวดวิชา 
 
โรงเรียนกวดวิชาที่นี่เป็นโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด นักเรียนเกือบทุกโรงเรียนต้องมาที่นี่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ บางคนมาเพื่อตามเทรนด์ บางคนมาเพื่อสอดส่องหาเพื่อนใหม่ และบางคนก็ตั้งใจมาเก็บเกี่ยวเอาความรู้แบบเขา 
 
วันเสาร์และอาทิตย์จะมีนักเรียนมากกว่าปกติ เปิดสอนเต็มทุกห้อง นักเรียนมีประมาณยี่สิบกว่าคนต่อคาบ วันนี้ฟากฟ้าลงเลือกเฉพาะวิชาเลขและฟิสิกส์ อ่านไม่ผิดหรอก ฟิสิกส์ แม้เป็นเด็กมัธยมต้น แต่สำหรับที่นี่เขาเรียนรู้กระบวนวิชาของมัธยมปลายแล้ว และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาอาจารย์เลขเพิ่งสอนพรีแคลคูลัส ส่วนบทเรียนที่กำลังศึกษาในโรงเรียนเป็นหลักสูตรที่เรียนไปเมื่อปีก่อน   
 
เพราะทุกนักเรียนจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัว นั่นเท่ากับว่าเพื่อนร่วมห้องของฟากฟ้าเกินครึ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย   
 
รวมถึงเธอคนนั้น 
 
เด็กชายมาถึงโรงเรียนตามเวลาปกติ ตรงดิ่งไปยังที่นั่งประจำ เธอคนนั้นรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนคุยกันหัวเราะคิกคัก สายตาของฟากฟ้าเหลือบมองเธอเป็นระยะ   
 
ความห่างไกลระหว่างเธอและเขาทำให้ไม่กล้าที่จะสบตาด้วย ไม่กล้าเอื้อมถึง และไม่กล้าฝันถึง   
 
ทว่าขุนเขากลับจุดประกายความหวังให้เขา แม้จะน้อยนิดก็ตาม 
 
นักเรียนเริ่มทยอยเข้ามาจนเต็มห้อง ชุนมาเป็นคนสุดท้าย ยามปกติชุนมักมีลูกน้องห้อยตามหลัง เว้นเสียแต่เวลาเรียนกวดวิชาเพราะพวกที่ใช้แต่กำลังมักไม่ชอบใช้สมองจึงไม่มีใครมาเรียนกวดวิชาอันน่าเบื่อกับชุนเลย ดังนั้นฟากฟ้าถึงได้วางใจเพราะอยู่ที่นี่ชุนจะไม่มาวุ่นวายกับตนแน่นอน 
 
ทว่าวันนี้แปลกออกไป ชุนเดินตรงดิ่งมายังทางเขา ทุกคนมองมาที่ชุนเป็นสายตาเดียว   
 
อีกฝ่ายวางกระเป๋าแล้วทรุดตัวลงนั่ง สายตาจ้องไปยังกระดานหน้าชั้น ไม่สนใจฟากฟ้าแม้แต่น้อย 
 
เด็กชายไม่รู้จะเอ่ยอะไรได้แต่ก้มหน้าเตรียมของเริ่มคาบ 
 
จนกระทั่งอาจารย์เข้ามาในห้อง ฟากฟ้ามั่นใจแล้วว่าชุนคงแค่หาที่นั่งว่างเท่านั้น   
 
แต่ปกติชุนไม่ใช่เด็กหน้าห้อง ต่างจากเขาเมื่อเรียนกวดวิชามักเสนอหน้าอยู่ติดกระดานเสมอ เพราะนอกจากเรื่องสายตาแล้วเขาต้องพยายามมีสมาธิไม่ให้วอกแวกแอบดูเธอคนนั้น เพราะจากประสบการณ์มันทำให้รู้แล้วว่าการเหล่หญิงทั้งคาบสิ่งที่ได้มาคือกระดาษเปล่า 
 
ดังนั้นการที่ชุนมานั่งกับเขาหน้าห้องนี่มันยังไงอยู่ทั้งที่ที่นั่งประจำของชุนยังว่าง   
 
ฟากฟ้าทำตัวให้เป็นปกติแต่กลับสลัดความสงสัยออกไปไม่ได้เลย 
 
ไม่นานนักเมื่ออาจารย์เริ่มสอนชุนจึงเอ่ยกับเขาว่า 
 
"วางแผนจะทำอะไรกับขุนมันอีกล่ะ"   
 
คำถามถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงราบเรียบ เหมือนเอ่ยลอย ๆ แต่กลับจี้จุดมากกว่าจะให้ปล่อยผ่าน 
 
ฟากฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อยจนชุนต้องถามย้ำ 
 
"ว่าไงล่ะ"   
 
"เอ่อ ... เปล่า ไม่ได้วางแผนอะไร" เรื่องหลักสูตรคงเรียกว่าแผนไม่ได้ อีกอย่างเรื่องแบบนี้บอกให้คนอื่นรู้มีหวังถูกหัวเราะเยาะตาย   
 
ชุนยักไหล่เมื่อได้ยินคำตอบ สายตาจับจ้องกระดาน มือจดบันทึกลงยิก 
 
"ม..มีอะไรหรือเปล่า" เด็กชายลดเสียงกระซิบลงถามกลับ   
 
แต่ชุนกลับหยุดชะงักแล้วหันมามองเขาพลางขมวดคิ้ว 
 
"ใครอนุญาตให้นายตั้งคำถามกับฉัน ?"   
 
เสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ไม่มากพอที่จะกลบเสียงอาจารย์ผู้สอนได้ 
 
ฟากฟ้าสะดุ้งโหยงเขาลนลานส่ายศีรษะรัว 
 
"ขอโทษ.." 
 
ชุนสะบัดหน้าหนีพร้อมลมหายใจฟึดฟัด แสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง 
 
ฟากฟ้าไม่รู้ว่าตนไปสะกิดต่อมอะไรเข้าให้ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้   
 
ว่าแต่ .. ทำไมชุนถึงรู้ว่าเขามีนัดกับขุนเขาล่ะ ?   
 
ครั้นจะเปิดปากเอ่ยถามก็กลัวตะคอกกลับมาอีก ดังนั้นจึงเลือกปิดปากเงียบสนิท 
 
ปล่อยให้เวลามันผ่านไป ด้วยเครื่องหมายคำถามที่อัดแน่นรอบตัว 
 
 
 
 
 
 
เลิกเรียนฟากฟ้ารีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว สายตาเหลือบมองเธอคนนั้นแวบหนึ่งแล้วจ้ำอ้าวออกไป   
 
และยังไม่ทันไรเขากลับซุ่มซ่ามชนคนข้างหน้าดังพลั่ก 
 
"โอย... ขอโทษครับ" 
 
เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับชุนที่ก้มมองลงมาด้วยสายตาเอาเรื่อง 
 
ชุนยามไม่พูดไม่จาดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งกว่าตอนมีลูกน้องขนาบกาย ยิ่งกว่าตอนตะโกนบอกให้ทุกคนในห้องรวมหัวกันแกล้งเขาเสียอีก เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ไม่สบอารมณ์ 
 
"ซุ่มซ่าม" 
 
น้ำเสียงนั้นช่างดูแคลน   
 
หากเป็นยามปกติเขาคงถูกลากไปซ้อมแล้ว ทว่าชุนกลับเดินเลยไปอย่างไม่สนใจ 
 
บอกตามตรงวันนี้ชุนทำตัวแปลกมาก ในหลาย ๆ ความหมาย   
 
หรือเป็นเพราะขุนเขากันนะ ? เด็กชายตั้งคำถาม   
 
พวกเขาสองคนยืนมองหน้ากันสักพัก จนชุนเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี 
 
"เลิกเรียนก็รีบไปซะสิ จะยืนเกะกะให้รกโลกทำไม" คำพูดเผ็ดร้อนทำให้ฟากฟ้ารู้สึกตัว เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเบี่ยงทางหนีจากชุน และเมื่อพ้นขีดอันตรายสองขาสั้น ๆ พลันรีบวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดพร้อมกับความแปลกใจ 
 
ชุนไม่เหมือนเดิมจริง ๆ นั่นแหละ   
 
 
 
 
 
 
 
ฟากฟ้าออกมาจากโรงเรียนกวดวิชาแล้วหันซ้ายมองขวา   
 
รถมอเตอร์ไซค์คุ้นตาจอดอยู่ไม่ไกลออกไป 
 
โรงเรียนเป็นตึกแถวห้าชั้นสามคูหาติดกัน ค่อนข้างใหญ่พอสมควร ฝั่งตรงข้ามเป็นคูน้ำขนาดยาว ห่างจากตัวอาคารประมาณสามเลน การจราจรบางตาสมกับเป็นต่างจังหวัด   
 
ขุนเขาจอดรถไว้ที่คูน้ำ แผ่นหลังสะท้อนกับไอแดด 
 
"ไม่ร้อนหรือไงกันนะ" ต้นไม้ก็ไม่มี ร่มก็ไม่กาง แถมอากาศร้อนขนาดนี้ยังทนไปได้ 
 
ฟากฟ้าข้ามถนนไปแตะบ่าขุนเขาเบา ๆ   
 
"เสร็จแล้ว" 
 
อีกฝ่ายดูไม่ตกใจ ขุนเขาหันมามองด้วยใบหน้านิ่งก่อนจะพยักหน้า 
 
เด็กหนุ่มลุกขึ้นหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูใบเดิมยื่นให้ 
 
"เอ้า"   
 
ฟากฟ้ารับมาใส่อย่างคุ้นเคย รู้สึกว่าตนค่อนข้างชินกับสีของหมวกกันน็อคแล้ว 
 
"ว่าแต่จะไปไหนเหรอ" อดที่จะถามไม่ได้ 
 
ขุนเขากลอกตาก่อนตอบว่า "เดี๋ยวก็รู้เอง" 
 
ทันใดนั้นขุนเขาพลันขมวดคิ้ว 
 
สายตาของเด็กหนุ่มมองเลยหลังของเขาออกไป สีหน้าดูตึงเครียดเล็กน้อย 
 
"มีอะไรหรือเปล่า"   
 
แต่ขุนเขาไม่ตอบจนฟากฟ้าต้องหันตาม ปรากฎว่าตรงนั้นมีชุนกำลังยืนมองมาทางพวกเขาเช่นเดียวกัน 
 
กำลังทำสงครามเย็นข้ามเลนกันอยู่นั่นเอง   
 
ฟากฟ้าโบกมือตรงหน้าขุนเขาให้รู้สึกตัว แต่เหมือนจะไม่ได้ผล 
 
เกิดความเงียบอยู่หลายอึดใจ ฟากฟ้าพยายามใส่หมวกกันน็อคที่ได้มา วันนี้เหมือนเฟืองมันจะเข้ายาก เด็กชายพยายามยัดเข้าไปให้ลงล็อคแต่ทำไม่ได้สักที 
 
"ฮึบ ฮึบ..." 
 
ขุนเขายังคงนิ่งมองชุน เด็กชายไม่รู้หรอกว่าสองคนนี้ไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมา ตัวชุนนั้นพอเข้าใจ แต่ขุนเขาที่บ้าจี้ไปด้วยนี่มันยังไงอยู่ 
 
ยิ่งพยายามใส่มือยิ่งเจ็บ มันไม่ขยับจากที่จับไว้แม้แต่นิดเดียว ใช่ว่าใส่ไม่เป็นแต่วันนี้มันติดขัดหนักกว่าทุกที เด็กชายหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้ หรือว่าทำของคนอื่นพังไปแล้ว ?   
 
สุดท้ายจึงตัดสินใจจับแขนเสื้อขุนเขากระตุกให้รู้สึกตัว 
 
เมื่อเห็นใบหน้าฟากฟ้าแล้วก็ต้องตกใจ 
 
"เฮ้ ! เป็นอะไร" 
 
"ม..มันติด"   
 
เด็กชายบอกเสียงขึ้นจมูก คาดว่าหากเด็กหนุ่มไม่รู้สึกตัวเร็วกว่านี้ได้มีดราม่า 
 
"ไหน ให้ฉันดูหน่อย"   
 
ขุนเขาจับมือฟากฟ้าออกจากหมวกกันน็อคแล้วละสายตาจากชุน เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่สองสามครั้งปรับโฟกัส แล้วก็พบว่าตัวล็อกที่อยู่ใต้คางมันเลื่อนสลักเบี้ยวไปหนึ่งขั้น 
 
"ยืนนิ่ง ๆ นะ"   
 
เด็กหนุ่มออกแรงดึงให้สลักมันกลับมาอยู่ที่เดิม ฟากฟ้าหลับตาแน่น ขุนเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นจนได้ยินเสียงลมหายใจกระทบคาง 
 
แก๊ก
 
เรียบร้อย 
 
ขุนเขาพ่นลมออกมาอย่างโล่งใจเขาเงยหน้าหมายจะบอกอีกฝ่าย 
 
ทว่าวินาทีที่เงยขึ้นมานั้น .. 
 
จมูกของทั้งคู่กลับชนกันเข้าพอดี 
 
"อะ.." 
 
"อุ.." 
 
วินาทีนั้นเหมือนเวลามันหยุดนิ่ง ใบหน้าเด็กทั้งสองห่างกันไม่ถึงหนึ่งเซ็นต์ ฟากฟ้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ในขณะที่ขุนเขากำลังประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นในสมอง   
 
เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เพราะฟากฟ้าเองก็รับมือกับสถานการณ์นี้ไม่เป็น 
 
ปกติเพื่อนจมูกชนกันต้องทำยังไงนะ 
 
ระหว่างที่คิดนั่นนี่สาระตะคนที่ไหวตัวก่อนคือขุนเขา 
 
"..โทษที เจ็บหรือเปล่า" 
 
ฟากฟ้าพลันส่ายหน้าหวือ   
 
"ไม่เป็นไร" 
 
"ตรงล็อกมันน่าจะเสียไว้ฉันจะเปลี่ยนให้ใหม่ เอาเป็นว่าเราไปกันเถอะ" 
 
ขุนเขาบอกแค่นั้นแล้วเดินไปยังมอเตอร์ไซค์ 
 
ส่วนฟากฟ้ายืนนิ่งประมาณหนึ่งวินาทีก่อนที่สมองจะสั่งการให้ขยับตาม   
 
ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้มันอะไรกัน   
 
ฟากฟ้าอธิบายไม่ถูกเลย 
 
 



TO BE CONTINUED.................

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
อย่างน้อยจมูกก็ชนกันเอ้า อยากอ่านต่อ เมื่อไหร่จะเดทกันสักที~

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เรื่องนี้เกิดตอนมัธยม... เลยดูใส ๆ

ปล.สงสัยนิดหน่อยเรื่องการตั้งชื่อของบ้านขุนเขา ทำไมพี่น้องชื่อไม่ไปทางเดียวกันเลยอ่ะ (แอบไร้สาระ)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ daadaadaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทั้งขุนเขาและฟากฟ้าน่ารักทั้งคู่เลย
 
เรื่องขุนเขากับที่บ้านนี่เป็นเพราะโควต้ารึเปล่า
พ่อแม่เป็นคนทำให้ไม่ได้โควต้า

ชอบการดำเนินเรื่องมากๆเลย
แต่จมูกชนกันก็รู้สึกว่าเขินแล้ว
รอตอนไปเดท
 :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Disthaporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เขาจะไปเดตกันยังไงน้า~~
รอตอนต่อไปค่ะ :hao7:

ออฟไลน์ Misakiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ mamedaz-s

  • Master Luck F
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คาบที่ 5 – เด็กเนิร์ด




ฟากฟ้ามีความไหววูบประหลาดอยู่ในอก

เขาซ้อนท้ายขุนเขาพลางกำชายเสื้ออีกฝ่ายแน่นไม่ยอมขยับ ทำตัวแข็งเกร็งอยู่บนมอเตอร์ไซค์

ทางเป็นเส้นตรง วิวข้างหน้าคือแผ่นหลังของคนขับ กลิ่นอายของอีกฝ่ายโชยมาตามแรงลม ทำให้สงบใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาใช้บริการขุนเขามาสักพักแล้วกลับรู้สึกว่ากลิ่นของขุนเขานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะ

บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเฉพาะแบบไหน แต่เขาชอบกลิ่นแบบนี้

เด็กชายสงบใจได้ในที่สุด ครั้นจะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่างขุนเขาพลันหักแฮนด์มอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง

ห้างสรรพสินค้าประจำจังหวัดนั่นเอง

แม้จะเป็นเมืองที่มีชื่อเป็นอันดับสองของประเทศแต่กลับมีห้างสรรพสินค้าไม่กี่แห่ง และที่นี่คือที่ใหญ่ที่สุด

ฟากฟ้ามองรอบตัวด้วยความสงสัย

บทเรียนต่อไปคือมาที่นี่อย่างนั้นหรือ ?

“ขุน..?”

แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ

เสียงอู้อี้ลอยหายไปกับลม ขุนเขาพาไปจอดรถชั้นหนึ่งสำหรับจักรยานยนต์โดยเฉพาะ พวกเขาเก็บหมวกกันน็อค ล็อกล้อและเก็บมอเตอร์ไซค์อย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครปริปาก จากนั้นขุนเขาจึงโยนโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กมาให้เขาหนึ่งเครื่อง

เด็กชายเกือบรับไม่ทัน

“เอาไว้ตอนพลัดหลงฉันจะได้โทรหานายได้ คงรู้วิธีใช้ใช่ไหม”

มันไม่น่าต่างจากโทรศัพท์บ้านไร้สายของเขามากนัก ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก

“ให้ยืมเท่านั้นนะ เพราะเครื่องนี้ฉันแอบเอาของพี่ชายมา”

ฟากฟ้าก้มดูโทรศัพท์มือถือในมือของตนอย่างว่างเปล่า ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะซื้อให้หรอก แต่การที่หยิบของคนอื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้มัน ..

“รู้ว่าจะบ่นอะไร เอาไว้ทำธุระเสร็จแล้วค่อยบ่น ตกลงไหม”

ขุนเขาว่าตัดบท แค่สีหน้าของอีกฝ่ายที่เผยออกมาแสดงถึงความคิดอย่างชัดเจน

ฟากฟ้าไม่ตอบอะไร ได้แต่ทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจก่อนเดินเข้าห้างไปโดยไม่สนใจขุนเขา






แม้จะเคยมาที่นี่บ่อยครั้งแต่ฟากฟ้ามักมากับที่บ้าน พามาทานอาหาร ดูหนัง ซื้อของแล้วกลับ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปไหนตามอำเภอใจ ทว่าหากมีสิ่งเดียวที่เขาสามารถไปได้อย่างอิสระนั้นคงมีแต่...

“อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันจะพามาซื้อหนังสือน่ะ”

ขุนเขาเอ่ยออกมาอย่างเซ็ง ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งหน้าตั้งไปร้านหนังสือ

ฟากฟ้าหันหน้าเป็นเชิงถามว่า แล้วไม่ใช่หรือ ?

เด็กหนุ่มถอนหายใจ

“เอาเรื่องมีสาระทิ้งไปซะ วันนี้ฉันกับนายจะมาทำตัวไร้สาระกัน”

แต่เหมือนฟากฟ้ายังไม่เข้าใจ

“เอาอย่างนี้” ขุนเขาบอก “ฉันจะพานายมาช็อปปิ้ง ที่ให้พกเงินมาเพราะฉันคงไม่มีปัญญาซื้อให้ นายต้องจ่ายเงินให้กับของที่ตัวเองซื้อ ส่วนฉันมีหน้าที่เลือกของที่เหมาะกับนายเท่านั้น เข้าใจไหม”

คำว่าช็อปปิ้งตั้งแต่เกิดมาฟากฟ้าไม่เคยสัมผัส ของไร้สาระไม่เคยอยู่ในสารบบ

พอเห็นเด็กขี้แยยืนงงขุนเขาพลันถอนหายใจ อธิบายด้วยคำพูดไปคงป่วยการ จึงคว้าแขนอีกฝ่ายออกเดิน ความสูงที่แตกต่างกันทำให้ฟากฟ้าต้องออกสเต็ปก้าวเร็วมากขึ้น

“บทเรียนต่อไปคือการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์” ขุนเขาอธิบาย “ฉันรู้ว่านายกับเธอคนนั้นเรียนพิเศษที่เดียวกัน นายจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง อย่าเป็นเด็กเนิร์ด ไม่งั้นนายจะถูกมองข้ามไปชนิดที่ว่ายังอายปรสิต”

ฟากฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรสิตนี่มันควรน่าขยะแขยงมากกว่ามองข้าม

แต่เด็กชายไม่ตอบอะไร ยอมให้อีกฝ่ายจูงแขนไปเรื่อย จากจังหวะฝีเท้าเร่งรีบค่อยผ่อนลงจนเขาก้าวตามทันและเดินเคียงคู่

นี่สินะที่เรียกว่าเพื่อนกัน

“คิก.”

ขุนเขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“ขำอะไรของนาย”

ฟากฟ้าส่ายหัวแล้วตอบว่า

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ขุนเขามองคนตัวเตี้ยกว่าอย่างไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายคงไม่คิดเอ่ยอะไรอีกแล้วจึงช่างมัน

ห้างสรรพสินค้าในวันหยุดช่วงหลังเที่ยงคนเดินกันมากมาย มากันแบบครอบครัว มากันแบบเพื่อนฝูง หรือมากันแบบแฟน แต่ส่วนใหญ่อย่างหลังจะมีเยอะ ขึ้นชื่อว่าศูนย์การค้าย่อมเป็นที่รวมตัวของวัยรุ่นมาเฮฮากัน เพราะแบบนี้ละมั้งที่ทำให้ฟากฟ้าชอบใจ

ขุนเขาพาฟากฟ้ามายังร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง

ชื่อยี่ห้อเสื้อผ้าไม่คุ้น ฟากฟ้าหรี่ตาลงมองอย่างพิจารณาพลางหันไปหาเพื่อนที่อยู่ข้างกัน

“เข้าไปสิ” ขุนเขาว่าพลางดุนหลังอีกคนเข้าไป

ร้านไม่ใหญ่มาก มันขนาดกะทัดรัด จัดแต่งด้วยแสงสีฉูดฉาด ให้ความรู้สึกเหมือนขายเสื้อผ้าฮิพฮอพ แต่พอเข้าไปข้างในแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้น

ที่นี่ขายเสื้อผ้าวัยรุ่นชายหญิง ดูมีเอกลักษณ์ ทุกตัวมักมีโลโก้ของร้านติดไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งของชุด

ฟากฟ้ามองรอบร้านอย่างตื่นตะลึง

“อ้าวขุน พาเพื่อนมาเหรอวันนี้”

น้ำเสียงที่ฟังเหมือนเคยได้ยินที่ไหนพลันดังขึ้น

เมื่อหันไปก็พบกับ ..

“พี่พลอย ?”

หญิงสาวเจ้าของห้องที่ขุนเขาเคยพาเข้าไป

เธอเป็นแฟนของขุนเขานั่นเอง

วันนี้พลอยไม่ได้อยู่ในชุดนิสิตเหมือนเคย ชุดไปรเวททำให้เธอดูน่ารักขึ้นมากกว่าเดิมจนฟากฟ้ารู้สึกเสียมารยาทเมื่อต้องจ้องเธอนานเกินไป เธออมยิ้มบางให้

“จำพี่ได้ด้วย”

ฟากฟ้าเกาศีรษะอย่างเคอะเขินก่อนหันไปหาขุนเขา

“วันนี้พาเด็กเนิร์ดมาเปลี่ยนลุค” เด็กหนุ่มบอก

ฟากฟ้ายิ่งเขินมากยิ่งขึ้นเมื่อโดนหญิงสาวจ้องมอง เธอมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างพิจารณา

“มีงบมาเท่าไหร่”

ขุนเขาจ้องฟากฟ้าก่อนพยัดเพยิดหน้าไปทางพลอย

“เอ่อ..” เด็กชายหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนขึ้นมา

แทนที่จะหยิบธนบัตร แต่กลับเป็นบัตรเครดิตสีดำเสียนี่

เมื่อเห็นสายตาของคนทั้งคู่เจ้าของบัตรเครดิตจึงรีบเอ่ยถาม

“ม..ไม่รับบัตรเครดิตเหรอครับ?”

“ปัญหาไม่ใช่ตรงนั้น” ขุนเขาว่า “ที่บ้านนายเขารับรู้ไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่าไปแอบเอามาหรอกนะ”

เมื่อถูกกล่าวหาฟากฟ้าถึงกับน้ำตาคลอ

“ไม่ใช่นะ” .. ปฏิเสธด้วยเสียงแผ่วเบา “บ้านผมเขาไม่นิยมใช้เงินสดกัน แม่บอกว่าคนปล้นง่ายและไม่ปลอดภัย” พอเข้าใจถึงเหตุผล แต่การที่ให้เด็กมัธยมต้นพกบัตรเครดิตระดับนั้นไม่ดูเหมือนสิ้นคิดไปหน่อยหรือ ?

ฟากฟ้ามาจากครอบครัวมีอันจะกิน เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีแม้กระทั่งตัวขุนเขา

แต่ ...

“ไม่ได้เหรอ ?”

เด็กชายช้อนตามองเพื่อนสนิท

เมื่อถูกสายตาเหมือนลูกหมาแบบนั้นจ้องเข้าไป แม้แต่ขุนเขายังไม่อาจต้านทาน

เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไม่จำกัดวงเงินใช่ไหม”

“อืม แม่บอกแบบนั้น”

ขุนเขาสังหรณ์ว่านิสัยเสียส่วนตัวของลูกคนรวยจะติดฟากฟ้ามาด้วย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่แสดงให้เห็นก็เถอะ มันต้องเป็นปัญหาภายหลังแน่

ดีที่อีกฝ่ายค่อนข้างขี้กลัว คงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดซะแล้วสิ

“งั้นใช้เสร็จแล้วต้องรวบรวมใบเสร็จทุกใบไปแสดงให้ท่านเห็นด้วยนะ”

ขุนเขาบอก ฟากฟ้าพยักหน้าหงึก

จนพลอยอดแซวไม่ได้

“สรุปเพื่อนหรือน้องชายกันแน่จ้ะ”

“ยุ่งน่า” ขุนเขาตอบอู้อี้






ร้านที่พลอยดูแลนั้นเป็นของลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกัน เธอมาทำงานพิเศษในช่วงวันหยุดเพื่อหารายได้เสริม เพราะมีความรู้เรื่องแฟชั่นและเซ้นส์การแต่งตัวให้ดูดีขุนเขาจึงเลือกให้เธอช่วยดูแลฟากฟ้าให้พร้อมทั้งบอกเหตุผลว่าทำไมเด็กเนิร์ดจึงอยากเป็นหนุ่มเนื้อหอม

“น่ารักจัง ปกติมีแต่เด็กผู้หญิงเปลี่ยนตัวเองเพื่อเด็กผู้ชายที่ชอบ แต่นี่เด็กผู้ชายอยากทำมันเพื่อดึงดูดคนที่ชอบเสียเอง ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยด้วยอีกแรง ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าหรอกนะ”

พลอยบอกแค่นั้นก่อนจะช่วยฟากฟ้าลองชุด

ขุนเขามองว่าเดิมทีฟากฟ้าเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว เสียแต่ความสูงที่อาจจะยังพัฒนาการไม่ถึงจึงทำให้อาจเลือกเสื้อผ้าที่เข้ากับตัวเองยาก ทุกชุดที่พลอยให้ฟากฟ้าลองจำต้องบอกว่าเดี๋ยวเอาเข้าหน่อย หรือต้องตัดออกอยู่ร่ำไป

เด็กขี้แยรู้สึกว่าตนเป็นเหมือนตุ๊กตาที่ถูกจับแต่งนู่นแต่งนี่ วัดตัวบ้าง ต้องแก้ไซส์บ้าง

กลับกลายเป็นว่าไม่มีชุดที่พอดีสักชุด

“เดี๋ยวพี่ส่งเสื้อผ้าพวกนี้ไปแก้ไซส์ให้ขนาดพอดีตัว ไม่ต้องห่วง มันเป็นบริการสำหรับร้านเรา ประมาณอาทิตย์หน้าถึงจะเสร็จนะ แวะมารับด้วยแล้วกัน”

พลอยพูดพลางเขียนใบนัดรับของแล้วส่งยื่นให้พร้อมใบเสร็จ

ฟากฟ้ารับพลางก้มหัวลงต่ำ

“ขอบคุณมากครับ”

“ทางพี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ อุตส่าห์อุดหนุนไปเยอะขนาดนี้รับรองเธอคนนั้นเห็นแล้วต้องตกตะลึงแน่นอนเลยล่ะ” เธอว่าพลางยิ้มกว้าง

พลอยออกมาส่งพวกเขาหน้าร้านโดยบอกว่าเธอเลิกงานหกโมงเย็น

“พี่จะไปช่วยฟ้าเลือกคอนแทคเลนส์ ร้านอยู่ชั้นใต้ดินนี่แหละ แต่ถ้าไปกับพี่จะได้ส่วนลด ระหว่างนี้พวกเราไปหาอะไรทำกันก่อน กินข้าวมาหรือยังล่ะ ?”

ฟากฟ้าพลิกนาฬิกาข้อมือ ปรากฏว่าเขาอยู่ที่ร้านนี้เกือบสองชั่วโมง

“ยังน่ะ” ขุนเขาตอบ “งั้นพวกเราไปหาไรทำก่อนละกัน เดี๋ยวมารับ”

“อื้ม งั้นตกลงตามนี้”

พลอยโบกมือส่งพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถูกลูกค้าอีกกลุ่มยืนขวางไว้

เธอต้อนรับพวกเขาและพาเข้าไปข้างใน เหลือเพียงฟากฟ้าและขุนเขาที่เดินอยู่ด้วยกัน

“ใจดีจังเลยเนอะ” เด็กชายว่า

ขุนเขาพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น

“ใช่ ใจดีมากเลยล่ะ”

“ขุนโชคดีจัง”

“ฉันก็คิดแบบนั้น”

“..ที่ได้พี่พลอยเป็นแฟน”

ขุนเขาหยุดฝีเท้ากึก ฟากฟ้าเลิกคิ้วสูง

“มีอะไร...”

“นายคิดแบบนั้นจริงหรือ ?”

แบบนั้น ?

ฟากฟ้าคิดไปถึงตอนที่พลอยดุขุนเขาเมื่อคราวก่อนที่พาคนอื่นไปห้องนอนของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังหนีออกจากบ้านมาทั้งที่รับปากว่าจะกลับไป

คงดูเหมือนเธอไม่ใจดีเท่าไหร่ละมั้ง

พอสรุปได้แบบนั้นฟากฟ้าจึงยิ้มรับ

“คิดแบบบนั้นจริงสิ ถึงได้บอกว่าขุนโชคดีไง”

ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาสดใสไร้สิ่งใดเจือปน

ขุนเขามองฟากฟ้าด้วยความอึดอัดเป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มอ้าปากจะอธิบาย ทว่าคำพูดนั้นกลับเข้าไปในลำคอ

แก้ตัวให้ได้อะไร ?

ไม่สิ ...เขาจะแก้ตัวไปทำไม ถ้าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าเขามีแฟนแล้วมันก็ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะขนาดที่บ้านยังคิดว่าเขาเป็นแฟนกับพลอยด้วยซ้ำ

แต่ความรู้สึกลึก ๆ ของขุนเขามันกลับตะโกนบอกอะไรบางอย่างที่เขาไม่นึกอยากได้ยิน

“ขุน ?”

ฟากฟ้าเอียงคอมองเพื่อนอย่างสงสัย

สุดท้ายขุนเขาจึงฉุดตัวเองออกมาจากภวังค์

“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ”

เขาบอกแค่นั้นก่อนออกเดินนำด้วยความรู้สึกที่เบาโหวง

แม้เพียงเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่กำลังตามหลังมาก็รู้สึกไม่อยากได้ยิน

อะไรกันนะ ความรู้สึกที่ไม่ชอบมาพากลแบบนี้ ?



TO BE CONTINUED..............


สำหรับคำถามที่ว่าทำไมพี่น้องบ้านนี้ถึงชื่อไปคนละทางนั้น คำตอบมีอยู่ที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/CROONs.H/posts/259486367722984
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2016 15:48:11 โดย mamedaz-s »

ออฟไลน์ Misakiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบค่ะ เราอยากเห็นฟากฟ้าเปลี่ยนลุคไวๆจัง   :o8: :o8:

ออฟไลน์ littlegift

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอดูว่าจะทำให้ตื่นตะลึงได้ขนาดไหน

ออฟไลน์ Thuaphu.H

  • MASTER LUCK F
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +436/-2
    • https://www.facebook.com/Thua.TheSeries/?ref=bookmarks

ออฟไลน์ fangkao

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
น้องฟ้ามองโลกในแง่ดี หวังว่า อีพี่พลอยนี่จะ ไม่แอบคิดมิดีมิร้ายกับน้องฟ้านะ. 555. มโนไปไกล

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
อยากเห็นลุคที่ฟากฟ้าจะเปลี่ยน ต้องน่ารักแน่เลย ส่วนุนเขาก็ใจดีสุดๆ และเหมือนรู้สึกอะไรแล้วใช่ไหม อยากอ่านต่อมากเลย คนเขียนสู้ๆน้า

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
คนช่วยมักได้เองนะขุน :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด