(ครึ่งหลัง) [หมอปาย]
“ รถติดจัง”
เสียงมันบ่นขึ้นเมื่อมองไปถนนเบื้องหน้ารถหลากหลายยี่ห้อจอดติดไฟแดงยาวเป็นขบวน ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนหน้าปัดรถที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วไม่น่าจะใช่เวลาที่รถติดเท่าไหร่ แต่อย่างว่าวันนี้เป็นสุดสัปดาห์ที่พนักงานเงินเดือนทั้งหลายต่างพร้อมใจออกมาท่องราตรีหาความสำราญเลยทำให้รถติดกันยาวเหยียดทั้งสองเลนถนนซ้ำฝนยังลงเม็ดพร่ำๆยิ่งทำให้ศุกร์สุดสัปดาห์เช่นนี้รถไม่ขยับไปไหนได้ไกล
ผมเคาะนิ้วกับพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบาๆในรถ ไม่ต่างจากไอ้เด็กโข่งที่โยกศีรษะตามเนื้อเพลงอย่างไม่เจียมสังขารอาการบาดเจ็บของตัวเอง ต้องยอมรับว่ามันก็อดทนน่าดูเพราะดูจากอาการภายนอกแล้วมันคงจะเจ็บไม่น้อยยิ่งตอนที่พามันไปหาหมอรุ่นพี่ที่โรงพยาบาลนั่น ตอนเข้าเฝือกอ่อนก็หนักหนาพอควรแต่เจ้าตัวยังยิ้มเฉยซ้ำมันยังอุตส่าห์พูดจาให้กำลังใจเขาอีก ตกลงเลยไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเจ็บ
ไอ้ยิมมันเป็นคนประหลาดที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา คนบ้าอะไรกวนตีนได้ทุกสถานการณ์ก็เพราะความเกรียนของมันแบบนี้นี่แหละที่เป็นสาเหตุให้ต้องเจอเรื่องเจ็บตัวแบบนี้ ซ้ำยังไม่ซ่าเพราะปากนี่คอยหาเรื่องให้ผมอารมณ์ขึ้นตลอด ไอ้ผมนี่ก็แปลกรู้ว่ามันชอบแซวชอบแกล้งก็ยังบ้าประสาทเสียตามอย่างเช่นตอนนี้
“ วันที่ฝนตกไหลลงที่หน้าต่าง” ผมเหลือบตามองมันครางตามเสียงเพลงด้วยคีย์ที่เพี้ยนวายป่วง แต่ยังอุตส่าห์ดันทุรังร้องไปเรื่อย ร้องถูกเนื้อบ้างผิดเนื้อบ้างก็ดำน้ำไปเฉย ไม่ได้รู้สึกเกรงใจเจ้าของรถที่ต้องทนนั่งฟังเสียงมันเลยด้วยซ้ำ
“ ทำยังไงมึงถึงจะเงียบวะ”
มันหัวเราะร่วน
“ ก็ผมเห็นหมอนั่งเงียบกลัวจะหลับใน เลยร้องเพลงให้ฟังไงครับ”
ผมหรี่ตามองมันนิ่งๆแต่อีกฝ่ายแค่ยักไหล่ก่อนจะดำน้ำต่อไป “ เสียงอยากกะควายออกลูก”
“ หมอเคยฟังเหรอ”
“ อะไร”
“ เสียงควายออกลูกน่ะ เคยฟังเหรอถึงได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”
“ มึง”
“ ครับหมอปาย” มันยักคิ้ว
....Rrrrrrr....
เสียงโทรศัพท์เหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิตมัน เพราะไม่งั้นผมคงได้พามันไปโรงพยาบาลอีกรอบแน่ มันยิ้มกว้างแล้วชี้นิ้วใส่มือถือเครื่องเล็กที่แผดเสียงดังลั่น รถติดอย่างนี้ผมเลยถือโอกาสชะโงกไปดูหมายเลขที่โทรเข้าได้ง่ายหน่อย แต่พอเห็นภาพหน้าจอเจ้าของเสียงเรียกเข้าก็ได้แต่ชะงักแล้วนิ่งไป
“ ไม่รับล่ะหมอ”
“......” ผมถอนหายใจก่อนจะปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น และไม่นานปลายสายก็เงียบไปผมจึงได้มีโอกาสจ้องมองวัตถุสีดำสนิทที่นอนนิ่งอยู่บนคอนโซลหน้ารถเช่นเดิม
ไม่ใช่ว่าไม่อยากรับหรอกแต่ผมไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรตอนนี้ และปลายสายมันคงรู้ถึงโทรมาแค่ครั้งเดียวแล้วก็เงียบไปแบบนี้ ผมไม่อยากทำแบบนี้กับเพื่อน ไม่อยากทำเลยแต่ผมใจไม่แข็งพอหากรับสายอั้มแล้วหากมันกำลังแย่อยู่ ผมเองคงทนไม่ได้ที่จะรีบไปหามัน หากเป็นอย่างงั้นความสัมพันธ์แบบนี้คงไม่จบสิ้น
ผมยอมรับว่าแคร์ทั้งมันและหยกไม่ต่างกันเลย อย่างที่บอกตั้งแต่เล็กจนโตอั้มเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม ผมถือว่ามันเป็นคนสำคัญในชีวิตของผมไม่ต่างจากครอบครัว หยกเองก็เช่นกันถึงแม้จะมาสนิทกันตอนม.ปลายแต่หยกทำให้ผมรู้ว่าแม้จะรู้จักกันไม่นานแต่มันเป็นเพื่อนที่ดีมากสำหรับผม
‘ถ้าเปรียบอั้มเป็นเพื่อนรัก...หยกคงเป็นเพื่อนแท้ของผม’ ผมจึงทิ้งใจคนหนึ่งเพื่อรักษาอีกคนหนึ่งไม่ได้จริงๆ
ดังนั้นต่อให้ผมรู้สึกกับอั้มมากกว่าคำว่าเพื่อนผมก็ไม่มีทางทำให้หยกต้องเสียใจเด็ดขาด ผมอยากจะรักษาความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเราตลอดไป แต่ในความเป็นจริงความรู้สึกของคนเราเปลี่ยนไปได้ทุกวัน มันไม่มีอะไรแน่นอนต่อให้เป็นคนรักกันสักวันคงถึงเวลาที่ต้องแยกจากกันไป
ถ้าหากว่าอั้มมันหันกลับมามองคนที่เฝ้ารอมันอย่างหยกได้แม้เพียงสักนิด หรือหยกมันยอมหันหลังให้กับหัวใจมันสักครั้งทุกอย่างคงจะดีขึ้น แต่บังเอิญว่าทั้งอั้มและหยกมันต่างเป็นคนที่เหมือนกันคือความรักของพวกมันมีให้แค่คนๆเดียวและต่อให้คนๆนั้นไม่รับไป มันก็จะมั่นคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ความรู้สึกที่อั้มมีต่อผมเหมือนกระจกสะท้อนความรู้สึกที่หยกมีต่ออั้ม สุดท้ายก็ไม่มีใครสมหวัง ท้ายสุดทุกคนก็ได้รับความเจ็บปวดและเจ็บช้ำกันไปถ้วนหน้า
...คนหนึ่งรักมากมายจนอยากแสดงออกทุกความรู้สึกออกไป...
...คนหนึ่งรักไปช้ำไปแต่ถึงยังไงก็ยังรักมั่นคง...
...ส่วนอีกคนอึดอัดอยู่ตรงกลางทนมองความผิดหวังอย่างไม่มีทางเลือก... ทุกความรู้สึกเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งๆที่รู้แต่ทำไมคนเราถึงไม่หยุดเลือกทางใดสักทางจะได้ออกไปจากวงวนแบบนี้ แต่ใครจะรู้ว่าถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้เราจะทำยังไง
ไม่มีใครอยากเจ็บปวดกับความรัก ถ้ารู้แต่แรกคงไม่รัก แล้วเมื่อนั้นคงไม่มีใครผิดหวัง
“ หมอ”
“ หมอโอเครึเปล่า”
มันถามผมสีหน้าแววตาที่จ้องมองมาทำให้ความรู้สึกอึดอัดในใจค่อยมลายหายไป มันแปลกใช่มั้ยที่เป็นแบบนี้ ผมไม่เคยมีความรู้สึกชื่นชอบผู้ชายด้วยกัน ความคิดนั้นไม่มีอยู่ในหัวเพราะตั้งแต่โตมาผมมีแฟนแค่คนเดียว เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักแต่เสียดายที่เธอจากผมไปนานแล้ว ถึงแม้จะนานแล้วแต่ผมไม่มีวันลืมความรู้สึกในครั้งนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าคงจะรู้สึกแบบนั้นคงเกิดกับใครไม่ได้อีกแล้ว
ผมบอกตัวเองอย่างนั้นจนกระทั่งอุบัติเหตุเมื่อหัวค่ำ สาเหตุที่ทำให้มันต้องเข้าเฝือกอ่อนตรงแขน ตั้งแต่วันที่ผมต้องสูญเสียผู้หญิงที่รักผมที่สุดอย่างแม่ไปตลอดกาลผมไม่เคยรู้สึกห่วงหาและใจหายแบบนี้อีกแล้ว แปลกใช่มั้ยที่มันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น แปลกถึงขนาดยอมให้มันจับมืออยู่ได้ตั้งนานสองนาน
ผมว่ามันทำตัวแปลกๆกับผม ทั้งคำพูด แววตาและท่าทาง มันไม่เหมือนวันแรกที่เราทะเลาะกันเลย ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างในความรู้สึกที่ต่างออกไป มันไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรแต่มันเหมือนเส้นใยเล็กๆที่ดึงรั้งให้ผมกับมันได้เข้ามาใกล้กันแบบนี้
“ ถ้ากูไม่โอเคล่ะ”
“ ผมก็จะได้ทำให้หมอโอเคไง”
“ มึงจะทำอะไร”
มันส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปข้างนอก
“ ฝนตกหนักๆก็เหมือนความรักที่ไม่ลงตัว มันตกไม่นานเดี๋ยวก็จางหายทิ้งไว้แต่รอยร่องความเปียกชื้น พอมันหยุดตกท้องฟ้ามักจะสดใสเสมอ เหมือนความรักถ้าไม่สมหวังก็เหลือไว้แต่หยดน้ำตาและสุดท้ายมันก็จะผ่านไปและดีขึ้นในที่สุด” “ เข้าใจเปรียบเทียบนะ ถ้าเป็นมึงล่ะมึงจะเลือกใครระหว่างคนที่ยืนกางร่มคอยอยู่ข้างหน้าแต่กว่ามึงจะฝ่าฝนไปหาได้ก็คงต้องเปียกและซ้ำอาจจะต้องทิ้งใครบางคนให้ร้องไห้อยู่ข้างหลัง กับอีกคนที่มึงไม่รู้จักไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำมึงต้องฝ่าฝนจนตัวเปียกไปหาเค้าเอง” “ ผมเหรอ”
มันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ ผมคงเลือกคนที่ใช่” มันสบตาผมนิ่ง “ เพราะถ้าเป็นคนที่ใช่ถ้าให้ต้องฝ่าฝนเปียกปอนขนาดไหนผมก็จะไปให้ถึง”
“ แต่มึงจะเปียกมากนะ”
“ ก็แค่เปียก ดีกว่าตัวแห้งแล้วไม่ทำอะไรเลยปล่อยให้ความบังเอิญผ่านไป”
“ อื้ม”
ผมรับคำรู้สึกถึงฝ่ามือของมันที่เลื่อนมากุมทับไว้
“ หมอเคยหนีแม่ออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางสายฝนรึเปล่า”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธมันเลยทำตาโตประหลาดใจ
“ อะไรกันหมอปาย ตอนเด็กๆมันต้องมีโม้เม้นท์มาวิ่งกลางสายฝนบ้างดิ ผมนี่ทำประจำจนถูกแม่ตีเพราะดันพาใยบัวไปวิ่งเล่นด้วย” มันเล่าไปยิ้มไปบ่งบอกว่ารู้สึกดีมากแค่ไหนที่พูดถึงคนในครอบครัว
ท่าทางของมันทำให้ผมเสียววูบในใจเพราะไม่เคยรู้สึกดีๆแบบนี้มาก่อนเลย ผมไม่เคยมีช่วงเวลาที่สนุกสนานและน่าจดจำกับครอบครัวตั้งแต่จำความได้
“ กูไม่เคย”
“ หืม”
“ แม่กูเจ็บออดๆแอดๆตั้งแต่กูยังเด็ก กูไม่เคยออกไปเที่ยวไหนเพราะต้องกลับมาดูแลแม่ ไม่มีหรอกช่วงเวลาที่ไปเที่ยวเล่น แต่กูไม่เคยเสียใจเลยที่เอาแต่อยู่กับแม่ เพราะเค้าเป็นผู้หญิงที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตกู”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวางใจพูดเรื่องครอบครัวกับเพื่อนบ้านข้างห้องที่เริ่มแรกเราก็ไม่ได้ญาติดีกันนักแต่เหมือนว่ามันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
“ จอดรถสิหมอ”
“ มึงจะทำอะไร”
ผมไม่เข้าใจแต่ก็ค่อยๆชะลอลงแถวๆสวนสาธณารณะแห่งหนึ่งซึ่งคนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่เพราะสายฝนที่ร่วงหล่นมาไม่ขาดสาย ทันทีที่ผมหยุดรถมันก็ปลดล็อกแล้วหมายจะเดินออกจากรถทันที ผมร้องโวยวายแล้วควานหาถุงพลาสติกใส่แขนข้างที่เจ็บของมันก่อนที่ไอ้เด็กบ้านี่จะถลาลงไปทำตัวร่าเริงท่ามกลางสายฝน
“ เฮ้ยมึงทำจะอะไรวะ”
มันกวักมือเรียกผมสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“ ไอ้เหี้ย อย่าให้แผลโดนน้ำ”
“ เล่นน้ำฝนกันหมอ”
“ แผลมึงโดนน้ำไม่ได้ไอ้ห่า”
“ ช่างแม่งก่อนเหอะหมอ”
“ มึง”
“ ไปเร็ว”
“ ไอ้เชี่ย”
มันหัวเราะร่วนทั้งๆที่เนื้อตัวเริ่มเปียกปอนไม่ต่างจากผมที่วิ่งไล่จับมันเข้ารถก็เปียกเช่นกัน มันวิ่งหนีไปเรื่อยไม่สนว่าฝนจะลงเม็ดหนักขึ้น ผมวิ่งตามมันจนหนีก่อนจะเผลอหัวเราะออกมา
หัวเราะงั้นเหรอ...ใช่ผมหัวเราะจริงๆ หัวเราะเพราะมัน
บางทีการวิ่งเล่นกลางสายฝนแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
“ ลองทำอะไรนอกกรอบบ้าง ลองกลับไปเป็นเด็กบ้าง มันก็ไม่เลวนะ” มันพูดยิ้มๆ
“.....”
หึ ลองกลับเป็นเด็กงั้นเหรอ ผมคิดตามก่อนจะออกวิ่งไล่จับอีกฝ่ายที่โยนอะไรไม่รู้ใส่ตัว ผมสนุกจนลืมไปว่าพวกเราวิ่งเล่นกันเป็นเด็กๆแบบนี้ทั้งๆที่ฝนกำลังโหมกระหน่ำ เปียกไปถึงเนื้อในแต่สุขใจอย่างประหลาด
“ ทำอะไรตามใจตัวเองซะบ้าง ชีวิตแม่งมีอะไรให้ทำเยอะแยะเชื่อผมหมอปาย”
“ อื้ม”
มันหันมายิ้มให้ผม ไม่ต่างจากผมที่เผลอหัวเราะออกมา
.
.
.
“ เชี่ยโครตหนาวเลย”
ผมทำหน้าสมเพชมันหลังจากพวกเราวิ่งเล่นท่ามกลางสายฝนอยู่พักใหญ่จนมันหยุด และพวกเราก็เปียกไปถึงเนื้อในสมใจไอ้คนชวนแล้วจึงมาทรุดตัวนั่งบนม้านั่งริมน้ำใกล้ๆสวนสาธารณนั่นแหละ ไอ้เด็กโข่งหน้าซีดตัวสั่นแต่สีหน้าแววตายังสดใสร่าเริงไม่เข้ากับสังขารมันเลย
“ ไข้แดกแน่”
ผมมองสภาพมันแล้วถอนหายใจปลงๆอักเสบจากแผลไม่พอยังเสือกตากฝนอีกไม่ไข้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมถอนหายใจก่อนจะเปิดกระเป๋ากล่องปฐมพยาบาลที่ผมเอาใส่ติดรถไว้เสมอแล้วโยนเสื้อกาวน์ที่หยิบติดมือมาโยนใส่ตัวมัน
“ อะไรอ่ะหมอ”
มันคว้าเสื้อกาวน์เอาไว้แล้วทำหน้างงๆ
ผมปรายตามอง “ รองเท้ามั้ง”
“ หมอแม่งกวนตีนว่ะ”
“ แล้วมึงถามคำถามโง่ๆทำไม”
“ โหดจังวะ” มันบ่นๆก่อนจะเอาเสื้อกาวน์ผมไปคลุมตัวไว้ “ เอามาให้ผมใส่กันหนาวก็บอกดีๆก็ได้”
“ ขอบคุณนะหมอ” มันยิ้มกว้างเสื้อกำชายเสื้อสีขาวแน่น ผมถอนหายใจแรงๆก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ผมไม่ตอบอะไรเสหน้าไปค้นหาอุปกรณ์ทำแผล ดีว่าแขนข้างที่ใส่เผือกของมันผมหาถุงพลาสติกใส่กันน้ำให้เป็นโชคดีที่น้ำมันไม่ไหลเข้าไม่งั้นคงต้องบากหน้าพามันไปหมอที่โรงพยาบาลอีกแน่ แต่หัวเข่าที่ถลอกดันเปียกชุ่มจนต้องล้างทำแผลใหม่ ผมจึงคุ้ยหาอุปกรณ์ในกล่องปฐมพยาบาลแล้วลงมือทำแผลให้มันเงียบๆ
ผมก้มหน้าแล้วคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามันจึงไม่ทันเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองผมอยู่เงียบๆ
“ หมอ”
“ อะไร”
“ หมอแม่งเย็นชามากเลยรู้ป่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นสบตามันตรงๆทันเห็นแววตาพราวระยับตรงหน้า
“ แต่เป็นคนเย็นชาที่โครตเอาใจใส่คนอื่นเลย” “ พูดอะไร”
“ พูดเรื่องจริง”
“ อะไรของมึง”
“ ผมรู้จักหมอคนนึง เค้าเป็นคนที่ชอบทำหน้าบึ้งตึงโกรธคนทั้งโลก แต่มีน้ำใจเอาเสื้อกาวน์มาให้ผมใส่กันหนาวและยังทำแผลให้โครตมือเบาเลย”
“ หมอคนนั้นแม่ง”
“.......”
ผมนิ่งไปจนรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองมันเต้นแปลกๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ทำไมถึงได้รู้สึกประหลาดใจกับแววตาที่ทอดมองมาตรงหน้านี้
“ โครตน่ารักว่ะ” “ พูดเชี่ยอะไร”
“ โอ้ย”
ผมเผลอลงน้ำหนักมือกับแผลมันแรงไปหน่อยจนอีกฝ่ายทำหน้าเหยเก “ กูไม่ขอโทษหรอกนะเพราะมึงทำตัวเอง”
“ ครับ”
มันยิ้มเผล่เท้าแขนข้างที่ไม่เจ็บไปข้างหลัง สีหน้าแววตาเหมือนคนไม่เจ็บไม่ปวดใดๆจนน่าหมั่นไส้ แววตาวาวๆของมันที่จ้องใบหน้าผมความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาทำให้ต้องหลุบสายตามองไปทางอื่น
“ เขินเหรอหมอ”
“ ถ้ามึงพูดไม่คิดอีกมึงเจอตีนกูแน่”
“ โหดจังว้า”
“ ไอ้ยิม”
“ ครับหมอปาย”
มันเอื้อมมือมาคว้าข้อมือผมที่เตรียมจะประทุษร้ายมันทันที
“ หมอ”
“ หมอรู้ป่ะว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง” ผมชักใจไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าแววตาแบบนี้ของมัน
“ ผมอยากจูบหมอว่ะ” “ ไอ้เชี่ย”
ผมสถบเสียงดังลั่นก่อนจะออกวิ่งไล่เตะมัน แต่ไอ้ยิมมันเสือกไหวตัวทันวิ่งหนีไปแล้ว มันวิ่งไปหัวเราะไปสีหน้าแววตามีความสุข ไม่ต่างจากผมเลยที่เผลอยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ หมอแม่งน่ารักจริงๆว่ะ”กลับมาแล้วค่ะ อย่างที่ทราบว่าเค้าหายไปจัดการกับThesis ซึ่งตอนนี้เล่มเสร็จสมบรูณ์เหลือก็แต่บทความซึ่งรอลุ้นอยู่นะ หายไปนานไม่รู้ว่าลืมกันไปรึยังน้อ เค้ากลับมาแล้วนะจะพยายามอัพให้บ่อยขึ้น หวังว่าจะถูกใจคนที่รอคอยกันน้า

ปล.1 ขอบคุณทุกความคิดเห็นและทุกกำลังใจที่มีให้กันมาตลอดน้า ขอบคุณค่ะ
ปล.2 อยากจะถามว่าเนื้อเรื่องสนุกมั้ยคะ อ่านแล้วเม้นท์บอกกันบ้างนะ ทุกความคิดเห็นคือกำลังใจของนักเขียนค่ะ บางทีลงไปไม่มีเม้นท์อะไรเลยก็แอบนอยนะ มีแวบนึงนึกอยากจะลบเรื่องนี้ทิ้งแล้วเขียนเรื่องใหม่ เพราะไม่รู้ว่าที่มีคนอ่านรึเปล่า มันนอยมากค่ะ แต่ได้สติว่ายังมีนักอ่านจำนวนนึงที่รออ่านอยู่ความคิดที่จะลบทิ้งเลยไม่มีแล้ว แต่ยังอยากทราบว่ามันเป็นยังไง สนุกไม่สนุกยังไงบอกได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ..KARNSAII..