หลงที่ 10 : สับสน [ยิม]
“ มึงเจ็บมากมั้ย”
สีหน้าแววตาของเนมแสดงออกว่าห่วงใยผมไม่น้อย ทำให้ผมอมยิ้มบางๆก่อนจะโยกศีรษะมันเบาๆด้วยความเอ็นดู เนมมันทำหน้ายู่แล้วคว้าข้อมือข้างที่ไม่เจ็บมากุมเอาไว้
“ กูไม่เป็นไรแล้วเห็นมั้ย” ผมชี้มือไปที่แขนข้างที่โดนใส่เผือก “ ไปหาหมอแล้ว”
“ อืม”
“ ไม่ต้องห่วงหรอก”
โยกศีรษะมันอีกครั้งจนอีกฝ่ายเริ่มยิ้มออก
“ บอกมันด้วยสิมึงกินยาตามหมอสั่ง เสร็จแล้วก็นอนห่มผ้าหลับสนิทจนถึงเช้า”
เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ที่จงใจพูดใส่เพื่อนตัวน้อยของผมดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของห้อง เนมชักสีหน้าทันทีขณะที่เจ้าของคำพูดอย่างไอ้โอ๊คแค่ยักไหล่กวนๆ เมื่อเช้าผมโทรไปหาบอกโอ๊คว่าวันนี้คงไปเรียนไม่ไหวเพราะกว่าจะกลับมาถึงห้องแล้วพักผ่อนก็ดึกดื่นค่อนคืนซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองมีไข้อ่อนๆอีกกะว่าจะให้มันลาอาจารย์ให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานห้องผมก็มีเหตุให้ต้องต้อนรับเพื่อนทั้งสองที่ดันโผล่มาเยี่ยมในตอนเช้า และที่เหนือความคาดหมายคือการที่เนมมากับไอ้โอ๊คด้วย แต่ถึงจะมาด้วยกันไหงกันแง่งๆใส่กันตั้งแต่มาถึงห้องผมก็ไม่รู้
ผมว่าพวกมันสองคนที่ชักแปลกๆ
“ กวนตีน”
เสียงเนมพึมพำเบาๆในลำคอแต่เพราะผมอยู่ใกล้ไงเลยบังเอิญได้ยิน แน่นอนว่าเนมมันไม่ได้หมายถึงผมแน่นอนเพราะตั้งแต่ที่มันมาถึงก็แสดงออกชัดเจนว่าห่วงใยผมนักหนาซ้ำยังหอบข้าวเช้าสำหรับคนป่วยและอีกสารพัดยามาฝากผมด้วย ดังนั้นมันคงไม่พึมพำด่าผมแน่ และแน่นอนว่าเป้าหมายคงจะหมายถึงไอ้โอ๊คที่นั่งกระดิกปลายเท้าๆอยู่ฝากโน้นชัวร์
“ ด่าอะไรกูเตี้ย”
เหมือนว่าฝ่ายนั้นจะจับสังเกตคำพูดของเนมได้ ไอ้นั่นถึงสวนกลับนิ่งๆ
“ ไม่ได้เตี้ย”
“ เหรออออ”
ไอ้โอ๊คลากเสียงยาวซ้ำยังยืดตัวขึ้นพร้อมกับมองสำรวจเนมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วผิวปากหวืว “ สูงมาก สูงกว่าตอหม้อนิดนึง”
“ ไอ้โอ๊ค”
หมอนอิงในมือเนมปลิวไปทางไอ้โอ๊คแทบจะทันทีดีว่าฝ่ายนั้นเบี่ยงหลบทันก่อนจะก้มลงไปคว้าหมอนดังกล่าวมาแกว่งไปมาท่าทางกวนไม่น้อย ยิ่งทำให้เพื่อนตัวน้อยของผมฮึดฮัดไปกันใหญ่
“ เฮ้ยเดี๋ยวๆ”
ผมซึ่งนั่งฟังอยู่นานยกมือห้ามก่อนที่ไอ้นีออนข้างตัวนี่จะกระโจนใส่ไอ้ตัวดีที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ฝั่งโน้น ไอ้ตัวเล็กข้างตัวที่ก็ไม่ดูตัวเองเลยตัวกระเปี๊ยกแค่นี้จะไปไฟว้กับตึกอย่างไอ้โอ๊ค
“ อะไรของพวกมึงเนี่ย มาถึงก็แง่งๆใส่กันเลย ตกลงนี่มาเยี่ยมกูหรือมาเปลี่ยนที่ทะเลาะกัน ฮึ”
เนมกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟาก่อนจะสะบัดหน้าพรืด หน้าขาวๆของมันงอเป็นจวัก
“ พวกมึงทะเลาะอะไรกัน”
“.......”
โอ๊คมันแค่ยักไหล่ไม่ตอบอะไร ผมเลยหันมาถามเนมซึ่งทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างๆ มันทำแก้มพองไม่พูดไม่จาเหมือนกันผมเลยโยกศีรษะมันอย่างเคยชิน เพราะเวลามันงอนหรือไม่พอใจถ้าง้อด้วยวิธีนี้มันจะหายโกรธแทบจะทันที
“ เป็นอะไรฮึ”
“ ก็..”
ผมขยับตัวตรงๆเหมือนตั้งใจฟังในสิ่งที่มันพูด ขณะที่ไอ้โอ๊คทำท่าแคะหูได้อย่างโครตกวน ผมส่ายหน้าขำๆมองคนโน้นทีคนนี้ที
“ ก็ป๊าอ่ะ”
ป๊าในที่นี้คือพ่อมันครับ ครอบครัวเนมมันมีเชื้อสายจีนตัวมันถึงออกมาขาวจั๊วได้ขนาดนี้
“ ก็ตั้งแต่ขับรถชนฟุตบาทตอนนั้นป๋าไม่ให้กูขับรถอีกเลยอ่ะ”
อ๋อ ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจเพราะรู้ดีว่าป๊าม๊ามันหวงมากยิ่งเป็นลูกคนเล็กซ้ำยังอ้อนแอ้นโอโมะขนาดนี้พ่อแม่ที่ไหนจะปล่อยให้ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ล่ะ
“ แล้วไงวะ”
“ ก็..” มันทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะมองเลยไปยังคู่กรณีที่นั่งเล่นมือถืออยู่ “ กูต้องไปไหนมาไหนกับไอ้หมอนั่นอ่ะดิ” ปากน้อยๆยื่นไปทางนั้นอย่างไม่ชอบใจ
“ ทำไมวะ”
อันนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้องไปไหนมาไหนกับไอ้โอ๊ค
“ บอกไปสิว่าวันที่กูไปส่งมึงที่บ้าน บังเอิญว่าคุยกันไปมาเลยรู้ว่าป๊ามึงรู้จักกับพ่อกู บังเอิญว่าบ้านเราอยู่ซอยเดียว บังเอิญป๊ามึงเกิดไว้ใจกูให้ช่วยรับส่งมึงตอนไปมหาลัยด้วย บังเอิญว่ามึงแม่งคุณหนูจะไปไหนทีต้องมีคนพาไป บังเอิญว่ามึงโดนยึดกุญแจรถ และบังเอิญว่ากูดันตบปากรับคำ”
คำอธิบายเหยียดยาวจากคนที่เล่นมือถืออยู่ดังขึ้น ทำเอาผมกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว รู้จักกันมาตั้งนานผมก็นึกขึ้นได้ว่าบ้านพวกมันอยู่ใกล้กัน ว่าแล้วทำไมไอ้นีออนนี่ถึงได้หัวเสียนัก คงเพราะประกาศิตของป๊ามันซึ่งยากจะทัดทานทำให้เจ้าตัวต้องจำใจปฏิบัติตามสินะ
“ เอาน่าเดี๋ยวผ่านไปสักพักป๊ามึงอาจใจอ่อนคืนกุญแจรถให้ก็ได้ ช่วงนี้ก็ไปไหนมาไหนกับไอ้โอ๊คมันก่อนให้ป๊ามึงสบายใจ”
“ทำไมไม่ให้คนขับรถที่บ้านไปส่งวะ ป๊าแม่งคิดอะไรก็ไม่รู้” เนมมันบ่นน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“ เค้ารู้ไงว่ามึงชอบหนีคนขับรถไปเอง แต่ถ้าไปกับกูมึงไม่รอดแน่”
โอ๊คมันสวนขึ้นอย่างรู้ทันทำเอาฝ่ายนี้หน้าตูมยิ่งกว่าเดิม
“ ก็กูไม่อยากไปกับกับมึงนี่”
นี่ก็งอแงแบบเด็กอีก
“ มึงก็ทำตัวให้คนอื่นเชื่อถือสิ ถ้าทำได้รับรองป๊ามึงปล่อยมึงแน่” โอ๊คมันพูดเสียงเรียบ “ ไม่ใช่ทำตัวง้องแง้งแบบนี้เมื่อไหร่เค้าถึงจะปล่อยมึง”
“ พูดมาก”
“ ก็ดีกว่าพูดไม่รู้เรื่องแบบมึง”
ผมชักเวียนหัวกับพวกมันแล้ว ผมคลึงขมับไปมาพอดีกับที่เสียงออดที่หน้าประตูดังขึ้น ผมเลยปล่อยให้พวกมันทะเลาะกันให้พอใจก่อนจะหันไปสนใจเสียงออดที่ดังอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่เปิดประตูออกก็เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของเพื่อนบ้านข้างห้องซึ่งตีสีหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้า ผมเปิดยิ้มกว้างทักทายขณะที่อีกฝ่ายแค่ยักไหล่ก่อนจะมองสำรวจแขนและหัวเข่าซึ่งได้รับบาดเจ็บ
“ ดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี่”
“ จะชมว่าผมหล่อก็พูดตรงๆก็ได้ครับ”
หมอปายพ่นลมหายใจแรงๆจนผมเผลอขำออกมา หมอทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วหันไปมองข้างหลังตัวเองบ่อยๆ
“ กูมาทำแผลให้ ขอเข้าไปหน่อย”
หมอหันไปมาข้างหลังอีกครั้ง คราวนี้ผมว่ามันชักจะแปลกๆเหมือนว่าหมอกำลังหนีอะไรบางอย่าง
“ มีอะไรครับหมอ”
“ ให้กูเข้าไปก่อนแล้วจะบอก”
ผมกระตุกยิ้มมุมปากเอาแขนข้างที่ไม่เจ็บของตัวเองยืนค้ำประตูเหมือนจะปิดทางเข้า หมอเหลือบตามองผมอย่างเซ็งๆ
“ หมอหนีอะไร”
“......”
ยังไม่ทันที่หมอจะได้ตอบเสียงเอ่ยเรียกชื่อหมอก็ดังมาแต่ไกล “ ปายคะ” หมอถอนหายใจแรงๆทั้งที่ยังไม่ปรากฎร่างเจ้าของเสียงผมก็พอเดาได้ว่าเสียงแบบนี้คงไม่พ้นแม่เลี้ยงวัยสาวของหมอปายเป็นแน่
ผมยิ้มมุมปากมองอีกฝ่ายล้อๆขณะที่หมอแค่ชักสีหน้า
“ หนีสาวนี่เอง”
“ ตกลงจะให้กูเข้ามั้ย”
เรายืนสบตากันนิ่งก่อนที่หมอจะก้าวถอยหลังแล้วเตรียมผละไปทางลิฟต์ แต่ผมคว้ามือหมอเอาไว้ทัน
“ เดี๋ยวสิหมอ”
“.......” หมอมองข้อมือที่ถูกผมกุมนิ่งๆ แต่ผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้กระตุกข้อมือนั้นให้เข้ามาในห้อง “ ขี้งอนเหมือนกันนะเนี่ย”
“ มึงพูดอะไร”
“ ผมจะบอกว่า...” ผมดันหมอจนแผ่นหลังหมอชนกับประตูที่ผมดึงปิดก่อนที่แม่เลี้ยงสาวจะทันเห็น หมอมองผมนิ่งตอนที่ผมโน้มใบหน้าไปกระซิบข้างหูหมอเบาๆ “ ทำไมหมอขี้งอนจังครับ”
“ โอ้ย”
ผมสะดุดโหยงตอนที่หมอสะกิดแผลที่หัวเข่าอย่างไม่เบามือนัก แต่ก็ทำให้ผมเจ็บจนน้ำตาแทบเล็ด หมอกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะหรี่ตามองผม
“ มึงนี่ก็ขี้สำออยเหมือนกันนะ”
พูดจบหมอก็เดินเข้าไปในห้องผมทันที โดยที่ไม่รู้เลยว่าทิ้งให้คนข้างหลังอย่างผมกุมแผลยิ้มเหมือนเป็นบ้า
“ อ้าวพี่หมอ”
เนมร้องทักทันที่เห็นเพื่อนข้างห้องของผมไปทรุดตัวนั่งลงที่โซฟา
“ ไงเนม”
“ นี่พี่หมอ...”
“ พี่มาล้างแผลให้เพื่อนเรา”
“ อ๋อ”
“ ไม่ยักกะรู้ว่าพี่หมอสนิทกับยิมด้วย” เนมถามพาซื่อ “ เห็นครั้งก่อนยังเหมือนจะทะเลาะกันอยู่เลย” ท้ายประโยคให้มามองผมกับหมอปายอย่างงงๆ
“ นั่นมันเมื่อก่อน” ผมขยี้หัวเนม “ ตอนนี้ซี้กันแล้วจริงป่ะหมอ”
“ เปล่า”
หมอปายตอบหน้าตายจนเนมกับไอ้โอ๊คที่เพิ่งเดินออกจากโซนครัวหัวเราะร่วน ผมทำหน้ายุ่งส่วนหมอปายก็หัวเราะน้อยๆ
เดี๋ยวนะรู้ว่าเมื่อกี้หมอจะหัวเราะเพราะผมรึเปล่า ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะจ้องเพื่อนข้างห้องที่ทำตัวเป็นกันเองกับเพื่อนทั้งสองข้างผมโดยเฉพาะกับไอ้โอ๊คที่เพิ่งรู้จักกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกถ้าไม่นับตอนเจอกันที่ร้านอาหารที่พี่หนึ่งพาไปเลี้ยง แต่ดันพูดคุยกันเป็นปกติต่างจากผมที่ใช้เวลาตั้งนานกว่าหมอจะยอมพูดดีๆด้วย
...หมอแม่ง...
“ ทำหน้าอะไรของมึง”
“ หืม”
ผมหันไปทำหน้างงกับไอ้โอ๊ค
“ กูว่าสายตามึงมองหมอปายแปลกๆว่ะ”
“ ยังไง”
“ ไม่รู้สิ มันเหมือนกับ...”
ไอ้โอ๊คสบตากับผมนิ่งก่อนที่มันจะตบบ่าผมเบาๆ “ มึงรู้แก่ใจดีไอ้ยิม อย่าให้กูพูด”
โอ๊คมันมองผมยิ้มๆ
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วโอ๊คก็มันลากเนมไปมหาวิทยาลัยทันที ดังนั้นตอนนี้จะเหลือแค่ผมกับหมอปาย ผมนั่งหมอหมอที่กำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อทำแผลให้ผม มือเรียวที่สวมถุงมือป้องกันหยิบจับโน่นนี่อย่างคล่องมือเสร็จแล้วจึงหันมาทางผม
“ ยื่นขามา”
“ ครับ”
“ เจ็บหน่อยนะ”
หมอเอาสำลีไปชุบแอลกอฮอลแล้วมาเช็ดรอบๆแผลอย่างเบามือ ใบหน้าคมคายดูตั้งใจจดจ่อกับงานตรงหน้ามากจนผมเผลอยิ้มออกมา เป็นจังหวะที่หมอเงยหน้าขึ้นมาเราจึงได้สบตากัน
“ อะไร” หมอถาม
“ ที่มาทำแผลให้เพราะหมอเป็นห่วงผมใช่มั้ย”
“.......”
หมอนิ่งไปก่อนจะลงล้างแผลต่อ
“ หมอ” ผมจ้องต้นคออีกฝ่ายที่ก้มๆเงยๆอยู่กับแผลผม “ ผมรู้สึกดีมากนะ”
หมอชะงักมือทันที
“ แปลกเนอะที่ผมดันรู้สึกดีกับใครสักคนทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน”
“ มึงมันคนใจง่ายไง”
หมอเปิดปากพูดกับผมเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบอยู่นาน
“ มีทางรักษามั้ย”
“ อะไร”
หมอเงยหน้าขึ้นมาถามผมอีกครั้ง
“ อาการใจง่ายทางการแพทย์มีทางรักษามั้ยหมอ แล้วต้องใช้ยาแบบไหนรักษาถึงจะหาย” คราวนี้หมอหยุดมือที่ล้างผมแล้วเงยหน้าที่มองสบตาผมนิ่ง ในความเรียบเฉยในแววตาคู่นั้นของหมอมีประกายประหลาดจนผมเผลอโน้มใบหน้าลงไปใกล้มากขึ้น
ใกล้จนระยะห่างระหว่างเราช่างบางเบา
ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจอีกฝ่าย
“ ไม่มีหรอกยาแบบนั้น” หมอถอนหายใจแรงๆก่อนจะเบือนหน้าหลบ
“ แต่ผมว่ามี..”
“......”
“ เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจก็ต้องใช้หัวใจรักษาสิ หมอว่ามั้ย” “ มึงมันเพ้อเจ้อ”
หมอสถบในลำคอก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้ผมต่อ
“ หมอ”
“ ถ้ามึงพูดมากระวังจะเจ็บแผลกว่าเดิม”
ผมอมยิ้มตอนที่หมอก้มหน้าหลบตาผม ไม่รู้สิผมว่าในอกผมมันอุ่นๆและอิ่มเอิบยังไงไม่รู้ มันรู้สึกดีมากดีจนถึงขนาดที่ผมลืมอะไรไปบางอย่าง
“ เสร็จแล้ว”
หลายนาทีที่ยาวนานมีเพียงความเงียบและเสียงอุปกรณ์ล้างแผลจนสิ้นสุด หมอเก็บของเมื่อการล้างแผลเสร็จสิ้นขณะที่มองได้แค่นั่งมองหมอนิ่งๆ
“ หมอ”
“ อะไร”
“ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาแค่หมอปายพยักหน้ารับ
“ เสร็จแล้วกูขอตัว”
“ ผมเดินไปส่ง”
“ อืม”
ผมเดินตามแผ่นหลังของหมอไปถึงหน้าประตู จังหวะที่หมอกำลังกำลูกบิดเปิดออกผมก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือหมอเอาไว้ หมอทำหน้าสงสัยก่อนจะพยายามบิดข้อมือออกจาการเกาะกุมของผม
“ อะไรของมึง”
ผมส่ายหน้าก่อนจะค่อยๆปล่อยข้อมือหมอปายจนฝ่ายนั้นเปิดประตูแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ หมอปาย” ผมพูดคนเดียว
“ ผมว่าผมแม่งเป็นโรคใจง่ายแล้วว่ะ”
ผมกระซิบกับตัวเองเหมือนว่าคำเหล่านั้นจะถึงส่งผ่านไปถึงหมอปาย
*********************************************
[ปาย]
“ ปาย”
“ หืม”
“วันนี้ดูเหม่อๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธสีหน้าห่วงใยของเพื่อนสนิท หยกทำหน้าแคลงใจก่อนจะหันไปสนใจหนังสือตรงหน้า ผมถอนหายใจมองไปรอบๆเพื่อหาเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งซึ่งตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่เห็นอั้มเลย ผมเหลือบตามองหยกที่ทำเหมือนสนใจหนังสือตรงหน้าเสียเต็มประดาทั้งที่ก่อนหน้านี้มันก็เหลียวมองหาอะไรอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาอั้มมันเป็นยังไงบ้างเพราะตั้งแต่มันโทรหาเมื่อคืนแล้วผมไม่รับสายมันก็ไม่โทรหาผมอีกเลย
ยอมรับว่าผมเองก็แคร์มันไม่น้อยอย่างที่เคยบอกว่ามันเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นทุกช่วงเวลาทุกข์สุขที่ผ่านมาผมมีอั้มเคียงข้างอยู่ตลอดและเพราะเราสนิทกันมากมันเลยทำให้ผมไม่เอะใจสักนิดว่ามันคิดกับผมเกินกว่าคำว่าเพื่อน จนวันที่หยกเข้ามาถึงทำให้เห็นการเปลี่ยน ทำให้มันกล้าแสดงอาการบ้างอย่างออกมาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีให้เห็น
ผมถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันตอนที่เห็นหยกหยิบมือถือขึ้นมามองแล้ววางไว้ดังเดิมเป็นเช่นนี้หลายรอบจนเจ้าตัวฟุบหน้าไปกับกองหนังสือ ท่าทางแบบนี้ทำให้ผมยิ่งเห็นใจเพื่อนตัวขาวคนนี้ ถ้าหากว่าเพื่อนผมใจตรงกันสักนิดทุกอย่างคงจะง่ายขึ้น
“ ปาย”
“ หืม”
หยกมันเรียกผมเสียงเบามือบางเอื้อมมากุมข้อมือผมเอาไว้ “ มึงไม่คิดจะเปลี่ยนใจบ้างเหรอ”
“ เรื่องอะไร”
แววตาสวยวาววับราวกับเคลือบไปด้วยหยดน้ำ แม้มันจะไม่เอ่ยออกมาทันทีแต่ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันหมายถึงอะไร
“ ถ้ากูจะขอร้อง”
“ หยก” ผมโยกศีรษะ “ เรื่องของหัวใจบังคับกันไม่ได้หรอก”
“ ต่อให้มึงขอร้องให้ตายยังไงกูก็เปลี่ยนใจไม่ได้ ถ้ากูจะรักอั้มกูคงรักมันไปนานแล้ว” มันยิ้มเจื่อนๆก่อนจะพยักหน้ารับอย่างยอมจำนน
“ อย่าขอร้องกูแบบนี้อีก อย่าทำร้ายหัวใจตัวเองแบบนี้ มึงความสุขจริงๆเหรอถ้าสุดท้ายความพยายามของมึงสำเร็จ อย่าโกหกตัวเองว่ามึงมีความสุขทั้งที่กำลังทำหน้าจะร้องไห้แบบนี้” หยกก้มหน้านิ่งแล้วมันก็ตัวสั่นผมจึงรวบมันมากอดเอาไว้
“ แค่ยอมรับความจริงและเผชิญหน้ากับมัน ถึงมันจะเจ็บปวดแต่พวกเราจะผ่านมันไปได้ดีกว่าต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แล้วผลลัพธ์สุดท้ายพวกเราก็เจ็บกันทุกฝ่าย” “ เห็นแก่ตัวบ้างเถอะหยก อย่าทำเพื่อคนอื่นนักเลย”
ผมกอดหยกอยู่นานจนเจ้าตัวผละออกแล้วฝืนยิ้มให้ถึงจะเป็นยิ้มที่ดูจืดจางแต่ยังแจ่มใส ในตอนนั้นเองที่ผมเห็นเงาของคนในหัวข้อสนทนามาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“ อั้ม”
หยกก้มมองเท้าตัวเองขณะที่ผมยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย
“ คุยกันหน่อยสิ”
อั้มมันพูดขึ้นหางตามันมองหยก ไม่ใช่แววตาที่ดุดันเหมือนเคย ผมฉุดมือหยกให้ลุกตามอั้มไปยังสวนหย่อมหน้าโรงพยาบาล หยกยังคงก้มหน้ามองเท้าเช่นเดิม ขณะที่ผมและอั้มยืนพิงขอบเสากันอยู่คนละมุม
เนิ่นนานที่พวกเราสบตากันก่อนที่อั้มมันจะเปิดปากพูดเป็นคนแรก
“ ขอโทษ”
ผมหันไปสบตากับหยกแล้วฝ่ายนั้นก็มองไปยังอั้มแวบนึงแล้วก้มมองปลายเท้า
“ ขอโทษที่ทำให้พวกมึงไม่สบายใจ” อั้มมันพ่นลมหายใจแรงๆ “ ขอโทษที่กูงี่เง่าและเผลอทำร้ายมึง” ท้ายประโยคมันผินใบหน้าไปทางหยก
เพื่อนตัวขาวของผมกุมมือตัวเองแน่น
“ หยก”
“.......”
อั้มไปทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆหยก “ กูเหมือนผู้ร้ายที่คอยจ้องแต่จะทำร้ายมึงสินะ”
หยกส่ายหน้าปฎิเสธแต่ใบหน้ายังก้มต่ำ
“ อย่าร้องไห้เพราะกูอีกเลย” น้ำเสียงของอั้มดูนุ่มขึ้นมันมองไปที่หยกแล้วลูบศีรษะฝ่ายนั้นเบาๆ “ กูทำมึงเจ็บขนาดนี้อย่ารู้สึกดีๆกับกูอีกเลย กูมันคนใจร้ายต่อให้มึงทำดีขนาดไหนกูก็ตอบแทนความรู้สึกของมึงไม่ได้”
อั้มมองมาที่ผมแล้วยิ้มจางๆให้เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าแปลกๆ
“ คนไม่รักทำดีให้ตายก็ได้แค่ทำ” ผมเบือนหน้าหนีเพราะคำๆนั้นเหมือนว่าอั้มมันกำลังพูดกับผม ความรู้สึกที่มันส่งมาให้มากมายเกินกว่าแค่คำว่าเพื่อน เป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ทั้งรักและเจ็บปวดในคราเดียวกัน
หยกมันร้องไห้เงียบๆเป็นครั้งแรกที่อั้มมันกอดหยก มือหนาของมันลูบไล้แผ่นหลังหยกอย่างแผ่วเบา “ กูใจร้ายใช่มั้ยหยก เอาความรู้สึกดีๆที่มีค่าของมึงเก็บไว้ให้คนที่คู่ควรเถอะ กูมันไม่คู่ควรหรอก”
เพื่อนตัวขาวของผมเริ่มสะอื้นมันกำชายเสื้อของอั้มแน่นก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้น
“ กูขอเวลาได้มั้ย”
หยกพูดแล้วสะอื้นเป็นห้วงๆ “ อย่าเพิ่งไล่กูไปไหน กูขอแค่ได้อยู่ข้างๆมึง ไม่นานหรอก ไม่นานกูสัญญา”
“ กู.... กูจะพยายามกลับไปรู้สึกกับมึงแค่...แค่เพื่อน”
อั้มมันพยักหน้ารับก่อนจะเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าหยกเบาๆ ผมมองภาพตรงหน้าแล้วอดน้ำตาคลอไม่ได้ ผมรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งคู่เจ็บปวดมากแค่ไหน เป็นครั้งแรกที่พวกมันเปิดอกคุยกัน
“ กินข้าวแล้วดูแลตัวเองบ้างหยก มึงผอมลงมากรู้ตัวมั้ย”
พอจบประโยคนั้นของอั้ม หยกซึ่งกลั้นสะอื้นอยู่นานก็ปล่อยโฮออกมาทันที ผมรู้ดีว่ามันทั้งเจ็บและน่ายินดีแค่ไหน
“ ขอโทษ”
อั้มบอกกับหยกอีกครั้ง
“ ขอโทษ”
อั้มมองมาที่ผม และผมเห็นความจริงใจที่มันถ่ายทอดออกมา ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆพวกมันแล้วโอบบ่าของคนทั้งสองไว้ ถึงจะเจ็บปวดแต่อย่างน้อยพวกเราก็ทำดีที่สุดแล้วที่พยายามประคับประคองความสัมพันธ์ของพวกเราให้ยาวนาน
ผมรู้ว่าผมได้เพื่อนรักทั้งสองคนกลับมาแล้ว และคาดหวังว่าอีกไม่นานมันจะดีกว่านี้
.
.
ผมเดินทอดน่องจากลิฟต์ของคอนโดมาเรื่อยๆวันนี้ผมเหนื่อยกับการเรียนและสอบทั้งวันถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าในใจมันอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ดีว่าการที่คนเราจะตัดใจมันต้องใช้เวลาไม่ใช่แค่วันสองวันเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่เมื่อเริ่มที่จะลงมือทำก็ไม่นานหรอกที่ผลลัพธ์มันจะสัมฤทธิ์ผล
แต่ความรู้สึกอิ่มเอมของผมมีอันต้องสะดุดลงเมื่อล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วไม่เจอกุญแจและคีย์การ์ดห้องพัก ผมคลึงขมับอย่างจนใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมเพิ่งเปลี่ยนกุญแจคอนโดใหม่หมดเพราะก่อนหน้านี้ไอลดาแอบเอากุญแจชุดเก่าไปปั๊มทำให้หล่อนสามารถเข้าออกคอนโดผมได้อย่างง่ายดาย แล้วเมื่อเช้าผมรีบไปหน่อยเลยลืมกุญแจคอนโดที่ทำมาใหญ่ไว้ข้างใน ครันไปขอนิติบุคคลข้างล่างให้ตามช่างมาช่วยเปิดป่านนี้คงกลับบ้านไปหมดแล้ว
ผมยืนพิงประตูห้องตัวเองแล้วครุ่นคิดหาทางออกก่อนจะมองเลยไปยังห้องข้างๆซึ่งปิดเงียบ คาดว่าคนป่วยคงพักผ่อนไปแล้วมั้ง ผมยืนพิจารณาหมายเลขห้องอยู่นานก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อรับรู้ถึงแรงสะกิดที่หัวไหล่
“ หมอมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ”
คนป่วยที่ผมคาดว่ามันน่าจะพักผ่อนยืนยิ้มเผล่อยู่เบื้องหลังซ้ำมันใช้มือข้างที่ไม่เจ็บหอบอะไรสักอย่างอยู่
“ แล้วมึงอ่ะไปไหนมา”
ผมถามกลับไม่พอใจนิดๆเมื่อรู้ว่าดึกป่านนี้มันยังไม่พักผ่อนอีก
“ อ๋อ ผมไปเอาของให้น้องสาวครับ ว่าแต่ผมแล้วหมออ่ะมายืนจ้องประตูห้องผมทำไมเนี่ย” มันหรี่ตามอง “ หรือว่าหมอคิดถึงเจ้าของห้อง”
ผมเบือนสายตามองบนเป็นสัญลักษณ์ว่าอืมระอามัน และแทนที่คนถูกว่าจะรู้สึกอะไรมันกลับหัวเราะขำซะได้
“ กูลืมกุญแจห้อง”
“ หืม”
มันทำหน้าสนใจ
“ งั้นคืนนี้หมอก็เข้าห้องตัวเองไม่ได้น่ะสิ”
“ เออ”
มันยิ้มกริ่มก่อนจะล้วงกุญแจและเสียบคีย์การ์ดเปิดประตูห้องตัวเองพร้อมกับผายมือไปในห้อง “ งั้นคืนนี้หมอนอนห้องผมแล้วกันนะครับ”
ผมเลิกคิ้วมองมันตรงๆกับท่าทางมัดมือชกของมัน
“ เข้ามาสิหมอ”
“ ใครบอกว่ากูนอนห้องมึง”
ผมถามกวนๆ
“ หมอกลัวผมเหรอครับ”
ใบหน้ายียวนของมันปรากฏขึ้นทันที แววตาคู่คมวิบวับเหมือนกำลังล้อเลียนผมอยู่ทำให้รู้สึกยอมแพ้ไม่ได้ยังไงยังงั้น
“ ใครกลัวมึง”
“ หมอไง”
เราจ้องตากันอยู่พักนึงก่อนที่ฝ่ายนั้นจะถอยหลังเปิดทางให้ผมก้าวตามมันเข้าไปในห้อง
“ มองอะไร”
มันเดินไปวางของที่กลางห้องก่อนจะใช้มือข้างที่ไม่เจ็บค้ำโซฟาแล้วมองผมนิ่งๆ
“หมอไม่กลัวผมจริงๆเหรอ”
“ทำไมกูต้องกลัวมึง”
“ ก็” มันพูดแค่นั้นก่อนจะเดินมาใกล้ผมแล้วดันให้แผ่นหลังผมชนกับกำแพง “ ก็กลัวจะเผลอใจให้ผมไง”
มันยิ้มกว้างแววตาเปล่งประกายเวลามองมา ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆก่อนจะยันแผ่นอกมันเอาไว้แล้วพลิกฝ่ายนั้นให้หลังพิงกำแพงแทนที่ผม
“ ใครกันแน่ที่จะเผลอ”
มันยิ้มน้อยแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ จนแววตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน
ในวินาทีผมดันนึกถึงภาพที่เผลอจูบกันตอนที่ผมเมา
จูบกันงั้นเหรอ แค่คิดก็รู้สึกหวิวๆในใจชอบกล
...Rrrrrr...
เสียงโทรศัพท์ของมันดังขึ้นในความเงียบในจังหวะที่แค่นิดเดียวริมฝีปากเราจะสัมผัสกัน เรามองหน้ากันนิ่งจนเสียงนั้นมันเงียบลง มันยิ้มกริ่มก่อนจะช้อนสายตามองผม
“ ต่อมั้ยหมอ”
ผมส่ายหน้าก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเมื่อเสียงโทรศัพท์นั่นดังขึ้นอีกครั้ง มันยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินไปรับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะวางของตอนนั้นเองที่เพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะนั้นมีรูปผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งตั้งเด่นหรา แปลกที่ผมเองก็ไม่เคยสังเกตเลย ผมถอนหายใจอย่างพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างยิ่งตอนที่มันจ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
มันหันมามองผมแล้วพยายามยิ้มให้ ทำไมตอนนั้นผมถึงนึกเปรียบเทียบตัวเองกับแม่เลี้ยงอย่างไอลดา
ทำไมผมรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก
ทำไมกัน
หายไปจัดการเรื่องทุนวิจัยค่ะ ตอนนี้เรียบร้อยแล้วน้า
จะพยายามมาอัพบ่อยๆแล้วน้า ตอนล่าสุดนี่มันอึมครึมแปลกๆเนอะ ฮ่าๆๆๆ
อ่านแล้วขอสักหนึ่งคอมเมนท์นะคะ ถือเป็นกำลังใจให้กับคนเขียนด้วยค้า:hao5:
เจอกันตอนหน้าค่ะ