[ยิม] ครึ่งหลัง
...Rrrrr...
“ อะไรวะ”
...Rrrrr...
“ เชี่ยเอ้ย”
...Rrrrr...
“ เหี้ย”
...โครม...
ผมผุดลุกขึ้นอย่างหัวเสียหลังจากใช้มาตรการสะกิดสมาร์ทโฟนสีดำที่หวีดเสียงร้องจนหนวกหูมาเกือบนาทีให้ไปนอนนิ่งอยู่ปลายเตียง จากนั้นจึงผุดลุกขึ้นแล้วเดินสะโหลสะเหลไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากระจกในห้องน้ำ ภาพตรงหน้าที่ปรากฏคือใบหน้าคมคายดูหมองคล้ำดวงตาลึกโหลราวกับคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเป็นสภาพที่ดูไม่จืดสักเท่าไหร่ ผมถอนหายใจกับสภาพของตัวเองก่อนจะเปิดน้ำเพื่อวักใส่หน้า
...Rrrrr...
แล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังก่อกวนตลอดเช้านี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง โทรศัพท์เจ้าปัญหานั่นไม่ใช่ของผมหรอกแต่เป็นของเพื่อนบ้านห้องข้างๆที่เพิ่งก่อสงครามกับผมมาสดๆร้อนๆเมื่อคืน หลังจากลงไปส่งสามสาวที่ถูกไอ้หมอนั่นส่งมาเล่นงานผมเสร็จ ผมเลยไม่มีกระจิตกระใจจะล้มตัวลงนอนต่อแล้วเลยนั่งแท็กซี่ไปคณะเพื่อช่วยรุ่นพี่ตัดต่อหนังสั้นซึ่งได้รับการขอร้องจากพวกพี่ๆให้ไปช่วยหน่อยเพราะเป็นงานคณะ
คงเห็นว่าผมมีประวัติว่าสมัยเรียนไฮสคูลเคยทำหนังสั้นเข้าประกวดจนชนะในระดับประเทศ กว่าจะไปถึงสตูฯของพวกพี่แกก็ปาไปเที่ยงคืนดังนั้นเมื่อคืนที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้นอนกว่างานจะเสร็จก็หกโมงเช้าโน่น หลังจากนั้นก็หอบสังขารพังๆกลับคอนโดพอหัวถึงหมอนไม่ถึงชั่วโมงเสียงโทรศัพท์บ้าๆนั่นก็ดังรบกวนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดหวีดร้องน่ารำคาญ
ผมยืนจ้องเครื่องมือสื่อสารสีดำสนิทนิ่งๆราวกับจะจ้องให้ทะลุไปถึงเจ้าของมันซึ่งทำกับผมไว้เจ็บแสบมาก หึ ก่อนหน้านี้กะว่าถ้าตัวเองอารมณ์เย็นกว่านี้จะเอาไปคืนมันซะหน่อย แต่เสียงเรียกเข้านี่แม่งโครตปั่นประสาทจากที่ไม่อยากจะเสือกเรื่องของมันสักเท่าไหร่ตอนนี้ผมชักอยากจะทำอะไรพิสดารซะแล้วสิ
ก่อนหน้านี้ผมลองรับสายไปครั้งนึงเพราะเข้าใจว่าเจ้าของมันคงโทรเข้าเครื่องตัวเองเพื่อขอคืนที่ไหนได้คนที่โทรมากลับเป็นผู้หญิงและถ้าเดาไม่ผิดผู้หญิงที่ว่านั่นคงจะเป็นคนเดียวกับที่มาหามันที่ห้องบ่อยๆ พอเจ้าหล่อนรู้ว่าใครไม่รู้รับโทรศัพท์ผู้ชายของตัว สาวเจ้าก็กระหน่ำโทรเรียกว่าสายตัดปุ๊บโทรใหม่ปั๊บจนต้องปิดเครื่องไป แต่อะไรไม่รู้ทำให้เครื่องที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาอีกครั้งนั่นอาจจะเป็นเพราะผมเผลอไปโดนปุ่มเปิดเข้าตอนนอน
“ ฮัลโหล”
“ ปายคะ”
“ ผมไม่ใช่...” ยังไม่ทันที่จะได้พูดอธิบายต่อเสียงแหลมก็หวีดร้องมาตามสาย
“ แกอีกแล้วเหรอ”
ผมกรอกตาใส่มือถือราวกับว่ามองเห็นสีหน้าฝ่ายนั้น
“ ครับ”
“ ปายไปไหน ทำไมไม่รับสายฉัน”
“.....” ผมถอนหายใจ
“ โทรไปเมื่อคืนก็ปิดเครื่อง เช้ามาก็มีใครที่ไหนไม่รู้มารับสาย”
“ คุณ”
“ แกเป็นใคร แล้วทำไมมือถือปายอยู่กับแก”
“ นี่คุณฟัง..”
“ ไปตามปายคุยกันฉัน ไปตามมาเดี๋ยวนี้”
“ คุณ”
“ ไปตามมาฉันจะคุยกับปาย”
ผมเอียงหูหนีตอนที่เสียงแหลมตะโกนอย่างฉุนเฉียว เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนซ้ำตื่นมายังมาเจอกับเรื่องปวดหัวแบบนี้อีก ผมคลึงขมับตัวเองพยายามให้ผ่อนคลายแต่ยิ่งทำยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นมัว
“ ไว้ค่อยโทรมาใหม่นะคุณ”
“ แก”
ว่าแล้วสาวเจ้าก็กรี๊ดใส่มือถือจนขี้หูผมเต้นระรัว ผมมองวัตถุสีดำในมืออย่างมีอารมณ์
...อะไรกันนักหันหนาวะ...
“ ผู้ชายของคุณยังไม่ตื่น มันเหนื่อยมากเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ส่วนผมเนี่ยโครตสบายตัวเลยเพราะเอาน้ำออกทั้งคืนเหมือนกัน” พูดจบผมก็ตัดสายทิ้งทันที
หึ สะใจเป็นบ้า....ในใจก็นึกขอโทษเพศแม่ที่ผมดันไปกวนตีนใส่ แต่จะให้ทนยังไงไหวเล่นมากรี๊ดใส่หูแบบนี้จากที่ไม่ตื่นดีเลยตื่นเต็มตาเลยให้ตายเถอะ
ดีนะว่าตัดสายทันไม่งั้นแก้วหูคงดับสนิทแน่ ผมส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันเมายาสลบรึไงถึงได้ทนคบกับผุ้หญิงประเภทนี้ได้ คิดแล้วก็เหนื่อยแทนมัน ผมมองมือถือเจ้าปัญหาที่เงียบเสียงไปหลายนาทีสงสัยว่าปลายสายคงช็อคไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น
ทีใครทีมันละกันนะมึงไอ้หมอปาย
ผมแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะนั่งพิจารณามือถือเจ้าปัญหาที่สงสัยว่าคงจะต้องเอาไปคืนไอ้หมอนั่นซะแล้วก่อนที่เขาจะประสาทเสียไปมากกว่านี้
...Rrrrr...
สงสัยจะไม่เข็ด ผมกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเสียงโทรศัพท์ที่มีท่าทีว่าจะเงียบไปแล้วดังขึ้นอีกครั้ง สายตาผมมองของในมือนิ่ง ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอทิ้งทวนให้มันซะหน่อยแล้วกันนะ...หมอปาย...
“ อะไรอีกครับคุณ”
“.....”
ปลายสายเงียบสนิทจนแอบนึกขำ
“ เลิกโทรมาก่อกวนพวกผมสักที” ผมทำเสียงเหนื่อยๆ
“ปายมันเป็นเกย์” “......”
เสียงลมหายใจจากปลายเสียงดังฟืดฟาดราวคนขึงโกรธ
“มันไม่ชอบผู้หญิงหรอกเลิกตามตื้อมันซะที”
“ แค่นี้นะปายแม่งสะกิดผมอีกแล้ว ไม่ไหวว่ะอึดชิบหาย” พูดจบแล้วก็ตัดสายเช่นเดิม แต่ตอนวางดันเห็นปลายสายไม่ใช่เบอร์เดียวกับเจ้าของหมายเลขที่กระหน่ำโทรมาตั้งแต่เช้า ผมเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจแต่ก็ช่างเถอะผู้หญิงคนนั้นอาจจะใช้มือถืออีกเครื่องโทรเข้ามาก็ได้ ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะกดปิดเครื่องทันที
หลังจากนั้นผมก็ลืมเรื่องโทรศัพท์เจ้าปัญหานี้ไปเสียสนิท
.
.
.
“ แดกข้าวกัน”
ไอ้โอ๊คสะกิดบ่าผมแรงๆตอนที่หมดคาบเรียนช่วงเช้า ผมทำหน้าง่วงๆโงหัวจากโต๊ะเรียนที่ฟุบหลับตั้งแต่ก้าวเข้ามาดีว่าวันนี้ไม่มีควิชไม่งั้นคงได้เรื่อง ผมสะบัดหัวไปมาไล่ความง่วงซึ่งไม่ใคร่จะได้ผลเท่าไหร่นัก
“ เป็นอะไรวะ ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอน”
“ อืม”
“ ไปทำไรมาอ่ะ”
“ ไปช่วยพี่หนึ่งที่สตูเมื่อคืน”
“ อ๋อ”
มันทำพยักหน้ารับแบบยิ้มๆ จริงๆแล้วเมื่อคืนมันก็ถูกเรียกตัวมาช่วยเหมือนกันเสียแต่ไอ้ห่านี่ดอดหนีไปกกหญิงทั้งคืนตามตัวก็ไม่ได้โผล่มาอีกทีก็หน้าบานมาเชียว เห็นแล้วโครตหมั่นไส้ไอ้โอ๊คมัน ไอ้นี่ทำตัวสมกับเป็นคนโสดที่ใช้ชีวิตเสรีอย่างไม่มีกั๊กตั้งแต่เรียนอยู่ไฮสคูลแล้วยิ่งบวกดีกรีเป็นลูกเจ้าสัวคนดังสาวๆยิ่งติดกันเป็นพรวน
แต่มันก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษซ้ำยังทำตัวเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ถึงมันจะเที่ยวหนักเล่นหนักแต่มันก็ไม่เคยให้กระทบเรื่องการเรียนเพราะเห็นมันเรื่อยๆเปื่อยๆไม่สนใจอะไรแต่เรื่องผลการเรียนนี่ไม่ได้ด้อยกว่าผมนะ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แน่กว่ามันอยู่ อันหลังนี้เป็นการอวยตัวเองครับ
“ เย็นนี้ซ้อมบอลเสร็จมึงโผล่หัวไปให้พี่หนึ่งเห็นหน้าด้วย”
‘พี่หนึ่ง’ ที่ว่าเป็นนายกสโมฯของคณะเป็นผู้ชายที่สาวๆนิยมชมชอบพอควรติดแต่พี่แกปากหมาไปหน่อยหญิงเลยไม่ค่อยกล้าจะเสี่ยงสักเท่าไหร่
“ เออ” โอ๊ครับคำ
“ ไปลุก แดกข้าว”
“ เชี่ยง่วงชิบหาย”
.
.
.
“ ยิม”
“ อ้าวเนม”
เสียงเรียกผมไม่เบานักดังขึ้นที่หน้าคณะพอดีกับที่ร่างขาวแบบนีออนของเนมมันยืนโบกมือหยอยๆอยู่ไม่ไกล
“ มาทำไรแถวนี้อ่ะ”
“ เรียนเจนเอด”
‘วิชาเจนเอด’ หรือ General Education เป็นวิชาเลือกเสรีที่บังคับให้นิสิตต้องเรียนให้ครบภายในสี่ปีมีทั้งหมดสี่หมวดวิชา ได้ยินว่าพวกเด็กแพทย์ฯต้องเก็บให้ครบตั้งแต่ปีหนึ่งเพราะพอขึ้นปีสองก็ไม่มีโอกาสได้มาเรียนนอกคณะแล้วเพราะตารางเรียนแน่นเอี๊ยดจนไม่มีเวลาว่าง
“ คนเดียวเนี่ยนะ”
“ มากับเพื่อนที่คณะ”
“ อ้าว” ผมทำหน้างงมองไปรอบๆเห็นมันยืนอยู่คนเดียว “ แล้วไปไหนกันหมดวะ”
“ พวกนั้นไปกินข้าวที่สยาม” เนมมันตอบ “แต่กูอยากมาเปลี่ยนบรรยากาศลองกินข้าวที่นิเทศฯดู”
เนมมันทำหน้ายิ้มๆมองไปรอบๆอย่างนึกสนุก
“ ผู้หญิงคณะมึงนี่น่ารักจัง”
ผมส่ายหัวท่าทางมันมองผู้หญิงเห็นแล้วขัดตาแปลกๆ มันจะรู้ตัวมั้ยว่าโครตไม่เข้ากับบุคลิกฝ่ายรุกเลย “ สรุปจะมากินข้าวหรือมาส่องหญิง”
“ ทั้งสอง” มันยิ้มเผล่
“ พุดจาไม่ดูสภาพตัวเองเลยไอ้นี่” ประโยคนี้ผมไม่ได้พูดครับแต่เป็นไอ้โอ๊คที่ยืนนิ่งเป็นตัวประกอบอยู่นาน เนมมันเบ้ปากก่อนจะค้อนให้อีกทีนึง เออเอาสิผมยิ้มขำคนที่บอกจะมาส่องสาว
“ เออๆไปแดกข้าว”
“ นำไปดิ”
เนมมันบุ้ยปากก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่โอ๊คตอนที่เพื่อนผมมันเดินกระแทกไหล่เนมนำไปแบบขำๆ
“ โอ้ย” เนมมันเบ้หน้าทำท่ากระฟึดกระฟัด
“ คนนะไม่ใช่เสาจะได้กระแทกได้”
“ อ้าวคนเหรอ” ไอ้โอ๊คมันทำหน้ายิ้มๆมองไอ้นีออนเดินได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “ นึกว่าหลักกิโล”
พูดแล้วมันก็หัวเราะอย่างดังจนผมขำตามแต่เนมแม่งทำตาเขียวปั๊ดตรงเข้าไปเตะตัดขาอีกฝ่ายแรงๆทีนึงก่อนจะวิ่งมาหลบหลังผม
“ หายกัน”
นั่นๆสู้เค้าไม่ได้แล้วยังจะมาทำท่าเป็นลิงหลบซ้ายหลบขวาอยู่หลังผมอีก
“ ตัวเล็กๆทำไมเตะแรงจังวะ” โอ๊คมันบ่นมือก็ลูบขาที่โดดเตะสีหน้าขำๆ “ ฤทธ์เยอะนะเตี้ย”
“ ไม่ได้เตี้ย” เนมมันเถียงสีหน้าสีตาดูไม่สบอารมณ์
“ โอ้โห้สั้นลงกว่านี้สักนิดกูนึกว่าคนแคระแล้ว”
“ ไอ้โอ๊ค”
เนมมันแหวะใส่สีหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะสะบัดหน้าหนีพรึด
“ โกรธเหรอ”
“.......”
“ เตี้ยแล้วยังจะขี้ใจน้อยเหรอวะ” ไม่พูดป่าวมันดึงแก้มเนมให้ยืดจนฝ่ายนั้นร้องโวยวายฟาดใส่มือผู้ร้ายเสียงดังตุบตับ
“ มือมึงสกปรกอย่ามาจับแก้มกู”
“ จะจับ”
“ ไม่ให้จับ”
“ จับแล้วนี่ไง” โอ๊คมันจิ้มแก้มอีกข้างของเนมสีหน้าดูสนุก
“ นี่”
เนมแยกเขี้ยวเตรียมจะงับมืออีกฝ่ายดีว่ามันหลบทัน ทั้งคู่เลยฟาดงวงฟาดงาใส่กันอย่างไม่จริงจังนักอยู่สักพัก เมื่อนั้นมันคงรู้ตัวว่าผมยืนหัวเราะพวกมันเงียบๆอยู่มันจึงเลิกรากันไป แต่นอกจากสายตาผมแล้วยังมีผู้ร่วมเหตุการณ์อีกกว่าสิบชีวิตที่ยืนมองอย่างสนใจบางคนถือกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือซะด้วย ที่สำคัญหนึ่งในนั้นมีพี่ส้มโอที่ตามติดชีวิตพวกผมยืนอยู่ด้วย
ผมกรอกตาขำๆ งานนี้ไอ้โอ๊คไม่น่ารอด เหมือนมันจะรู้ตัวเหมือนกันถึงได้ทำหน้าเซ็งๆก่อนจะยักไหล่เหมือนไม่แคร์เท่าไหร่นัก ส่วนเนมมันยังคงเอ๋อเหมือนเดิม มองคนโน้นที คนนี้ทีอย่างงงๆ ผมเลยรุนหลังมันให้ออกเดินไปยังโรงอาหาร จังหวะนั้นไอ้โอ๊คมันนึกห่าอะไรไม่รู้ตรงมาโอบบ่าเนมแล้วออกแรงให้เดินไปพร้อมกัน
“ ไม่ต้องมาจับ กูเดินเองได้” เนมมันบ่นงุ้งงิ้งอะไรไม่รู้
“ กลัวมึงหลงไง”
“ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะ”
“ แต่ขนาดตัวมึงใกล้เคียงเนม”
“ ไอ้เชี่ยโอ๊ค”
ผมซึ่งเดินปิดท้ายได้แต่ส่ายหัวขำๆในสิ่งที่พวกมันทะเลาะกัน ถึงอย่างนั้นก็ได้ยินคำพูดบางประโยคลอยเข้ามากระทบหูอย่างจัง
“ โอ๊คเนมโครตฟิน”
“ ซัมติงรองกันชัวร์”
นั่นไง
ประโยคนี้คุ้นๆว่าเคยได้ยินจากน้องสาวเวลาที่เจ้าหล่อยอ่านนิยายวายแล้วเขินจนบิดไปมา หึ สาวๆพวกนี้ทำให้ผมนึกถึงยัยเด็กแสบขึ้นมาทันทีเลยให้ตายเถอะ
.
.
.
“ เจอกันพรุ่งนี้พวกมึง”
รุ่นพี่ที่คุมทีมฟุตบอลเฟรชชี่ตระโกนบอกพวกเราเสร็จสับแล้วต่างก็แยกย้ายกันออกไป ผมกับไอ้โอ๊คซึ่งเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวต่างก็วักน้ำใส่หน้าก่อนจะเดินเสื้อเบียกๆตัวโทรมๆกันออกไปแบบนั้นจนเพื่อนในทีมต่างร้องถาม
“ ไม่อาบน้ำที่โรงยิมก่อนเหรอวะ”
ผมส่ายหน้าก่อนจะก้มดมที่จั๊กแร้ซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วได้แต่เบ้หน้า กลิ่นดีใช้ได้แต่ผมก็ขี้เกียจเกินกว่าจะห่วงหล่อ ท่าทางของผมเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนที่ส่ายหน้ารับไม่ได้
“ ถ้าเหม็นขนาดนั้นก็ไปอาบเถอะไอ้ห่า เมื่อกี้มึงเบ้หน้าได้โครตทุเรศ”
“ อาบน้ำแต่งตัวหล่อๆไปเรียกคะแนนนิยมให้ทีมบอลนิเทศฯหน่อยดิ”
“ เรื่องไร หาเรื่องให้กูอีกแล้ว”
“ ไอ้ห่าสาวๆเค้ารอมึงเต็มอยู่ข้างนอกขืนเอากลิ่นตัวแรงๆไปให้เค้าดมเดี๋ยวก็หนีหายหมดหรอก”
ผมยักไหล่ไม่สนใจ “ กูมีแฟนแล้ว”
เสียงโห่แซวผมรอบทิศน้ำเสียงแต่ละดูไม่เชื่อในคำพูดผมเท่าไหร่ “ โอ้โหรักเดียวใจเดียวซะด้วย”
“ ให้มันจริง”
“ ยิมคนจริงโว้ย”
“ รักเดียวใจเดียว รักจริงหวังฟัน” เสียงลูกคู่ดังขึ้นทันที
“ ประโยคหลังไม่ใช่กูละ” ผมยิ้มขำๆ
“ กูไปนะ”
โบกมือลาพวกมันก่อนจะเดินไปสมทบกับไอ้โอ๊คซึ่งมีสาวมาส่งเสบียงให้ถึงที่ตรงหน้าสนามบอล มันหันมายักคิ้วให้ผมทีนึง ก่อนจะหันไปสนหญิงตัวเองต่อ ผมเลยเดินออกมาเงียบๆเลี่ยงไปทางหลังคณะเพื่อพบปะผู้คนให้น้อยที่สุด อย่างที่เพื่อนผมพูดนั่นแหละทุกๆเย็นหลังซ้อมบอลเสร็จก็มีพวกหญิงจำนวนนึง เอ่อ รวมเพศทางเลือกอีกพอสมควรซึ่งคนเหล่านั้นเรียกตัวเองแฟนคลับตามมาให้กำลัง บางทีก็มีน้ำมีขนมมาฝากจนผมเกรงใจแต่ผมก็ไม่สามารถตอบแทนอะไรคนเหล่านั้นได้นอกจากคำขอบคุณ ซึ่งรวมไปถึงยอมให้พวกเขาถ่ายรูปคู่ด้วย
คิดแล้วก็ได้แต่นึงปลงเพราะไม่อยากสร้างความลำบากให้คนเหล่านั้นผมเลยพยายามมาซ้อมในเวลานัดพบดิบพอดีพอซ้อมเสร็จก็เนียนกลับไปเงียบๆ โดยหวังว่าสักวันนึงคนเหล่านั้นคงจะเลือกใส่ใจผมไปเอง ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดพราะเมื่อวานก่อนยัยแสบยังแคปหน้าจอภาพที่ผมลงในเพจอะไรนั่นมาให้ผมดู น้องสาวผมกรี๊ดกร๊าดใหญ่ต่างจากเจ้าของอย่างผมที่ได้แต่นึกปลงๆ
ผมไม่ชอบเป็นที่สนใจ ไม่ชอบการเป็นจุดเด่น
ดังนั้นผมจึงค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงจนเพื่อนสนิททุกคนเข้าใจ ถึงแม้ผมจะชอบมีมุมสงบๆอยู่บ้างแต่เรื่องกินเที่ยวตามประสาวัยรุ่นก็เป็นปกติเพราะผมเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะมาตั้งแต่เด็กๆ
“ รถใครวะ”
ผมทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นรถแปลกตาจอดสนิทอยู่ลานจอดรถใต้คอนโด จะไม่ให้แปลกยังไงไหวในเมื่อไอ้รถที่ว่ามันเป็นรถยุโรปหรูติดอันดับหนึ่งในสิบที่แพงหูฉี่ ตัวรถออกแบบคล้ายๆกับรถสปอร์ตสีเงินล้อแม็กซ์สีดำสนิทดูเรียบหรูและคงแพงเอาการ ว่าแต่มันมาจอดอยู่ตรงได้ยังไงในเมื่อคลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไม่เคยพบเห็นไอ้รถที่ว่านี่เลย ก็พอจะรู้ว่าคอนโดที่นี่คงจะมีเจ้าของที่พอมีระดับแต่ไม่นึกว่าจะมีระดับขนาดที่ว่าขับรถราคาหลายสิบล้าน ทำเอาลูกทูตแบบผมดูกระจอกไปเลย
แต่ผมไม่ได้นึกอิจฉาอะไรหรอกเพราะก่อนหน้านี้บิดาเคยออกปากว่าถ้ามีธุระจะใช้รถให้ไปเอารถของสถานทูตมาใช้ก่อนได้แต่ผมก็เกรงใจซ้ำยังไม่มีความคิดจะไปไหน ความคิดที่จะใช้บริการรถสถานทูตจึงพับเก็บไปและอีกอย่างกะว่าถ้าอยู่ตัวสักเดือนสองเดือนจะใช้เงินเก็บซื้อรถใช้เอง
“ อะไรวะ”
“......”
ผมเดินหลบบีเอ็มรุ่นอันลิมิตเต็ดคันสีดำที่จอดอยู่หน้าคอนโดก่อนที่ผู้โดยสารในชุดสูทเต็มตัวจะก้าวออกมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก เจ้าของชุดสูทหรูนั่นคือชายวันกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำลังก้าวฉับๆเข้าไปโดยมีผู้ติดตามอีกคนเดินประกบไม่ห่าง บุคลิกท่าทางราวกับคนมียศศักดิ์เพราะพอไปถึงที่ล็อบบี้พนักงานเหล่านั้นต่างก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม
ผมเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนจะเผลอก้าวตามบุคคลเหล่านั้นไป
บริเวณคอนโดชั้นหนึ่งมีห้องรับรองกว้างขวางสำหรับพักผ่อนหย่อนใจแต่ ณ ตอนนี้ผู้ชายวัยกลางคนนั่นกำลังนั่งกอดอกพิงพนังตัวตรงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ผู้ติดตามในชุดซาฟารีเนื้อดียืนก้มศีรษะเงียบๆราวกับรอรับคำสั่ง และไม่นานหลังจากนั้นผมเห็นร่างคุ้นตาใส่ชุดนิสิตแขนยาวแต่พับชายเสื้อสูงขึ้นจนถึงศอกก้าวย่างเข้ามาอย่างช้าๆ
นาทีที่ร่างคุ้นตามาถึงชายวัยกลางคนนั้นก็ผุดลุกขึ้นทันที
“ มีธุระอะไรกับผม”
ณ จุดที่ผมยืนอยู่สามารถได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนดีว่าต้นไม้ใหญ่ในกระถางที่ตั้งโชว์ความสวยงามมันสามารถบดบังร่างกายของผมไม่ให้ผู้ใดสังเกต
“ นี่เป็นคำทักทายที่ลูกอย่างแกพูดกับคนเป็นพ่อเหรอ”
‘พ่อ’ งั้นเหรอ
ผมพิจารณาใบหน้าของชายวัยกลางที่แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมานานแล้วยังมีร่องรอยถึงความหล่อเหลาในวัยเยาว์ไม่ต่างจากคนเป็นลูก ผมมองใบหน้านั้นสลับกับใบหน้าของเพื่อนข้างห้องแล้วก็ความคล้ายคลึงกันบางอย่างที่บอกได้ว่าไอ้หมอปายกับผู้ชายคนนั้นมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันแน่นอน
พ่อกับลูกชายงั้นเหรอ...ถ้าอย่างนั้นที่ว่าพ่อลูกไม่ลงรอยกันก็เป็นจริงสินะ
ผมทวนคำพูดในหัวเมื่อนึกถึงสิ่งที่ไอ้โอ๊คเคยเล่าให้ฟังครั้งก่อนว่าพ่อลูกคู่นี้มีปัญหาไม่ลงรอยอะไรกันบ้างอย่าง
“ มีอะไรกับผมครับคุณศิววงศ์”
“ ไอ้ปาย”
ชายวัยกลางคนตวาดมันเสียงดังลั่นแต่ไอ้หมอนั่นก็สติยังดีมันถึงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย
“ ถ้าไม่ธุระอะไรฉันจะมาหาแกวันนี้เหรอ”
“ แล้วมันเรื่องอะไรล่ะครับ” น้ำเสียงหมอปายมีความเบื่อหน่าย
“ แกมันวิปริต” พ่อไอ้หมอนั่นชี้นิ่วใส่หน้าลูกชาย “ สัปดนจะรักชอบผู้ชาย”
“.......”
หา
ผมอ้าปากค้างไม่ต่างจากเจ้าตัวที่ทำหน้ามึนงง
“ คุณพูดอะไร”
“ วันนี้ฉันโทรหาแกแล้วไอ้คู่ขานั่นมันก็พูดจาระยำใส่หูฉัน ว่าแกกับมัน...” ท้ายประโยคมีแต่เสียงอึกอักอยู่ในลำคอ สีหน้าคนพูดบ่งบอกว่าชิงชังเกินกว่าจะพูดออกมา
โทรมางั้นเหรอ...โทรศัพท์มันอยู่ที่ผม
แล้วถ้าโทรมาตอนที่ผมรับก็แสดงว่า
“ปายมันเป็นเกย์” ชิบหายแล้วถ้าสายสุดท้ายนั่นที่โทรมาคือพ่อของมันแล้วคำพูดเหล่านั้นที่ผมพูดไปตามสาย ผมยืนอึ้งกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกแห้งผากในลำคอ
“ ผมทำไม”
“ แกมันวิปริตไง”
“ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ แกจะทำให้ฉันอับอายขายหน้าไปถึงเมื่อไหร่ จะทำเรื่องขัดใจฉันไปหมดให้ได้ใช่มั้ย”
“......”
“ สรุปคือคุณไม่พอใจที่ผมเป็นเกย์”
“ หยุด” พ่อมันตวาด “ หยุดพูดคำโสโครกพวกนั้น ฉันไม่อยากได้ยิน”
“ แกขัดคำสั่งฉันอยากเรียนหมอบ้าบอนี่แทนเรียนบริหารฉันก็พอทำใจได้ แต่ถ้าแกเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ฉับรับไม่ได้ ต้นตระกูลฉันไม่มีใครวิปริตผิดเพศอย่างแก”
“ อายเหรอครับ” มันยิ้มขื่นให้พ่อมัน “ อายเหรอที่มีลูกอย่างผม”
“ อย่ามายอกย้อนฉัน”
“ คุณไม่เคยพอใจทุกสิ่งที่ผมทำอยู่แล้วนี่” มันพูดไปยิ้มไปแต่เป็นยิ้มที่คนเห็นแล้วรู้สึกเจ็บแทน “ และถ้าจะอายที่ผมเป็นเกย์เพิ่มอีกสักเรื่องคนไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
...เพี๊ยะ... ผมยืนอึ้งตัวชาตอนที่มันโดนฝ่ามือใหญ่ของพ่อมันตบเข้าให้ ใบหน้าคมคายหน้าหันจนแทบจะเซล้มลงไปผู้ติดตามของพ่อมันผวาเข้ามาคว้าตัวมันไว้ ผมเห็นเลือดค่อยๆไหลซึมออกจากมุมปากมันอย่างช้าๆ สีหน้าแววตามันเรียบเฉยและดูนิ่งจนเกินไป ในเสี้ยววินาทีนั้นผมเห็นความเสียใจในแววตาคู่นั้น
“ น้ำหนักมือคุณยังแรงเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“ แก” พ่อมันถลาใส่มันอีกครั้งดีว่าผู้ติดตามห้ามไว้ก่อน
“ อย่าครับคุณท่านอย่าทำโทษคุณชายแบบนี้อีกเลย”
“ ปล่อยฉันไอ้หาญปล่อย ฉันจะเอาเลือดปากมันออกอีก มันจะได้จำให้ขึ้นใจสักทีว่าคนที่มันเถียงคำไม่ตบฟากตรงหน้านี่คือพ่อของมัน”
“ อย่าครับแค่นี้คุณชายก็เจ็บแล้ว”
“ เหรอ” น้ำเสียงพ่อมันยังเกรี้ยวกราดไม่เปลี่ยน “ แต่คุณชายของแกมันยังอุตส่าห์ปากดีกับฉัน”
“ จำใส่สมองของแกไว้ด้วยไอ้ลูกนอกคอก ถ้าไม่มีเงินแม่แกที่คอยคุ้มกะลาหัวแกอยู่ อย่าหวังว่าคนอย่างแกที่ประกาศปาวๆว่าจะออกมาใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวและยอมละทิ้งทุกอย่างของวงษ์วรกาญจน์แล้วออกมาแต่ตัว จะมีที่ซุกหัวนอนแบบวันนี้”
“.......”
“ อย่าปากดีให้มาก แกมันก็แค่เด็กมีปัญหาที่เรียกร้องความสนใจแบบผิดๆ” ฝ่ายพ่อยังคงใส่อารมณ์ “ สักวันนึงที่เงินแม่แกหมดเมื่อไหร่วันนั้นฉันจะคอยดูแกซมซานกลับมาหาฉัน”
“ มันจะไม่มีวันนั้น” มุมปากบวมช้ำยังมีเลือดไหลซึมขยับเบาๆแต่คำพูดนั้นกระทบใจบิดาซึ่งโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ ไอ้ปายไอ้ลูกนอกคอก”
พ่อมันกระชากคอเสื้อมันแล้วเขย่าแรงๆ
...Rrrrr...
เสียงโทรศัพท์มือถือของพ่อมันดังขึ้นเป็นการยุติบรรยากาศที่ตึงเครียด พ่อมันก้มมองมือถือก่อนจะปรับอารมณ์ให้เข้าที่แต่ถึงอย่างนั้นท่าทางก็ดูหัวเสียไม่น้อย
“ เย่อหยิ่งเข้าไปเถอะ อวดดีเข้าไป”
“.......”
“ เด็กมีปัญหาแบบแกจะทำอะไรได้นอกจากเรียกร้องความสนใจแบบโง่ๆ” พ่อมันชี้นิ้วใส่ “ สักวันหนึ่งแกก็ต้องกลับมาตายรัง...รังที่แกเผยออยากจะออกมาโดยไม่คิด”
“ แล้วอย่าให้ฉันรู้ว่าแกเป็นพวกผิดเพศ เพราะถ้าแกเป็นจริงๆ ฉันเอาแกตายแน่” ไอ้หมอปายยังยืนนิ่งไม่ขยับจนเมื่อพ่อมันเดินหัวเสียออกไป คนติดตามนั่นเดินมาลูบบ่ามันเบาๆอย่างให้กำลังใจก่อนจะตัดใจเดินตามเจ้านายตัวเองออกไป ในวินาทีนั้นผมเห็นไหล่กว้างที่ตั้งตรงดูทระนงกลับลู่ลงไร้เรี่ยวแรง แววตาคู่สวยที่เคยเด็ดเดี่ยวดูอ่อนล้า
ผมเห็นหยาดน้ำใสๆรอบขอบตาสีแดงก่ำแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ไหลออกมาให้เห็นแม้แต่หยดเดียว มือข้างหนึ่งกำแน่นคล้ายกับพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง มันดูอดทนอดกลั้นไม่ให้ความอ่อนแอหลุดออกจากสีหน้าที่ดูเรียบเฉยแต่ทำไมผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทรมานของมัน
ผมจุกในอกที่เห็นความเจ็บปวดที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
มันต้องถูกเข้าใจผิดเพราะผม
มันต้องถูกทำร้ายก็เพราะผม
ผมคิดว่าผมควรมีส่วนรับผิดชอบกับความเข้าใจผิดครั้งใหญ่หลวงนี้ด้วย ผมเดินตามแผ่นหลังที่ทระนงองอาจซึ่งให้ทั้งความรู้สึกยิ่งใหญ่และหนักหนา มันต้องแบกรับเรื่องเลวร้ายอะไรมากมายขนาดนั้นเชียวเหรอ ผมมองเห็นแผ่นหลังกว้างค่อยๆหุบเล็กลงเรื่อยๆกลายเป็นแค่แผ่นหลังบางๆของคนๆนึง
...เป็นแผ่นหลังที่ชวนให้รู้สึกอยากโอบกอดและปลอบประโลมที่สุด...่อ่อยๆๆๆ #ทีมโอ๊คเนมก็มา งานดราม่าก็มี ไงล่ะอิยิมปากพาพี่หมอซวบเลยดูซิ พี่หมอของน้อง 
ตอนหน้าสปอยว่ามีเสียจูบ อุ้ย เอาล่ะสิ ใครจะจูบใครจะเริ่มอะไรยัง #ทีมยิมปาย #ทีมปายยิม
#หนึ่งคอมเม้นท์คือหนึ่งกำลังใจนะจ๊ะ เปิดรีปริ้นท์รักข้างเดียววันนี้ - 2 พ.ค. 59