แอบรัก ตอน18
(มิน)
ผมแต่งตัวเตรียมความพร้อมจะไปร้านเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มันกลับต่างออกไป เพราะความรู้สึกในใจของผมมันยังค้างคาอยู่กับเรื่องเดิมๆ ผู้ชายคนเดิมที่ไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ปีผมก็ยังยึดติดกับคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ผมทานอาหารเช้าด้วยความเร่งรีบ เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน แม้แต่ชามที่ผมใส่ข้าวต้ม ผมยังเอาไปวางไว้ในซิงค์อย่างไม่ใยดี ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ใบโปรดสะพายไว้ข้างหลัง เดินตรงไปยังหน้าบ้านด้วยความมั่นคง ตลอดทางเดินใจของผมเต้นแรงจนแทบทะลุ เพราะการตัดสินใจที่จะทำแบบนี้มันเป็นเหมือนอนาคตของผมเลยก็ว่าได้ ต่อไปข้างหน้าผมจะมีความสุขหรือความทุกข์ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำในวันนี้และวันต่อๆ ไปของผม
ผมเปิดประตูออกมาหน้าบ้านก่อนจะล็อคเอาไว้อย่างดี ขาเรียวเล็กก้าวเดินออกมายืนรอหน้าบ้านด้วยความหวังว่าจะเจอใครอีกคน พอได้ได้ยินเสียงรั้วของบ้านหลังใหญ่เปิดออก ผมหัวใจแทบวายเพราะความรู้สึกตื่นเต้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รถสปร์ตอตคันคุ้นเคยขับผ่านหน้าผมไปเพียงเสี้ยววินาที ทั้งๆ ที่ผมยืนรออยู่แทบตาย แต่อีกคนกลับขับผ่านไปเฉยเลย ผมได้แต่สบถอย่างหัวเสียกับการกระทำของคนที่ไม่รับรู้ว่ามีใครรออยู่ ผมได้แต่มองตามหลังรถคนเดิมที่ไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาดังๆ ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปที่หน้าปากซอยด้วยความหงุดหงิดเพื่อไปรอรถเมล์สายประจำ
"ไอ้พี่บ้าๆ รอตั้งนาน -_-! รู้อย่างนี้ไม่ยืนรอให้เสียเวลาหรอก ร้อนๆ ก็ร้อน ฮึ่ย" ผมเดินบ่นไปตามทางคนเดียว จนหลายๆ คนหันมามอง เขาคงคิดว่าผมบ้าแน่ๆ เลย ยิ่งเห็นคนมองแล้วกระซิบกระซาบกันก็ยิ่งหงุดหงิด
"เพราะพี่คนเดียวเลย ไอ้คนบ้าเฮงซวย-_-///" ผมบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง แต่คนที่ถูกผมด่าคงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว กว่าที่ผมจะหายหงุดหงิดก็ผ่านไปครึ่งวัน ก้มหน้าก้มตาทำงานให้ลืมๆ เรื่องเมื่อเช้าไปก็เท่านั้น
วันต่อมาผมยังใช้วิธีเดิมคือมาดักรออีกคนที่หน้าบ้าน แต่คราวนี้พอได้ยินเสียงประตูรั้วเปิดออก ผมจึงรีบเดินจ้ำอ้าวเพื่อเจ้าของให้รถที่กำลังแล่นตามหลังมาได้เห็น ผมค่อยเดินไปเรื่อยๆ รถสปอร์ตคันหรูก็ยังไม่มีท่าทีจะขับตามมาหรือแซงผ่านไปเหมือนอย่างที่ใจคิด อยากจะหันไปดูเหลือเกินว่าอีกคนมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่ตามมาสักที รถอะไรจะช้ากว่าคนเดินอีก
"ทำอะไรของเขาอยู่นะ" ผมแสร้งทำของหล่น ก่อนที่จะค่อยๆ ก้มลงเก็บ ตาตี่ๆ ของผมพยายามเพ่งมองไปข้างหลังว่ามีรถของเขารึเปล่า รถคันหรูยังคงจอดสนิทอยู่ด้านหลังของผมเพียงไม่กี่เมตร ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้คนเดียว ก่อนจะเดินต่อไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงหน้าปากซอยเขาจึงขับรถแซงไปอย่างช้าๆ
เขากำลังทำอะไรของเขาอยู่ ทำไมทำเหมือนขับรถตามผม ทั้งๆ ที่บอกว่าจะเลิกตอแย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น นี่จะเอายังไงกันแน่มันค้างคารู้รึเปล่า จะง้อหรืออะไรก็เข้ามาหาสิไม่ใช่ทำเหมือนไม่มีตัวตน คอยแอบตามอยู่แบบนี้ ผมโมโหมากขึ้นเป็นเท่าตัว วันที่สองแล้วนะสิ่งที่ผมทำยังไร้ประโยชน์ หรือว่าผมจะหาวิธีใหม่ ถ้าจะปรึกษาพี่ทิมอีกก็ดูจะรบกวนเกินไป ลองพยายามอีกสักสองสามวันก็แล้วกัน
จากที่ผมคิดว่าจะพยายามอีกสองสามวันก้กลับกลายมาเป็นสัปดาห์ ตลอดอาทิตย์ชีวิตของคนสองคนยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ผมออกมารอพี่ซองที่หน้าบ้าน ส่วนอีกคนก็ได้แต่ขับรถตามไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้น จนกลายเป็นผมซะเองที่เริ่มจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมบ้าๆ ของอีกคน ยังไงวันนี้ก็ต้องเข้าไปคุยให้รู้เรื่อง ผมพยายามรวบรวมความกล้าอยู่นาน
ก่อนที่จะตัดสินใจทำแบบนี้ นอนคิดมาทั้งคืน ทบทวนคำพูดของพี่ทิมที่บอกที่สอนผมหลายๆ อย่าง ถ้าผมไม่สู้เพื่อความรู้สึกของตนเองมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา รังแต่จะทำให้ผมเป็นทุกข์ก็เท่านั้น ผมจะลองสู้สักตั้งถ้าไม่ดีก็ค่อนถอย ถึงเวลานั้นก็คงแค่เสียใจซึ่งมันคงไม่เจ็บไปกว่าที่ผ่านมาหรอก
ผมยังทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนปกติ ออกมารออีกคนที่หน้าบ้าน พอประตูรั้วหลังใหญ่เปิดออก และรถที่แล่นออกมาเป็นของคนที่ผมรอคอย จึงเริ่มเดินไปข้างหน้าเหมือนไม่รับรู้ว่ามีคนตาม ผมลองเดินเร็วๆ เขาก็ขับเร็วขึ้น แต่เมื่อผมเดินช้าเขาก็ขับช้าลง หายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอด
คนในรถรีบแตะเบรกแทบจะทันที รถสปอร์ตคันหรูนิ่งสนิท ก่อนที่ผมจะค่อยๆ เดินกลับไปหาคนที่อยู่ในนั้นอย่างช้าๆ ผมตัดสินใจเคาะกระจกรถฝั่งคนขับเบาๆ สองสามที ก่อนที่กระจกรถจะค่อยๆ เลื่อนลงมาทำให้ผมเห็นหน้าเขาได้อย่างชัดเจน พี่ซองดูเหมือนจะซูบลงนิดหน่อย ขอบตาคล้ำราวกับคนไม่ได้นอน สีหน้าเขาตอนนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตกใจยิ่งนัก
"ขับตามผมทำไมทุกวัน ไหนบอกว่าจะเลิกยุ่งไง" ผมแสร้งตีหน้ายักษ์โมโหกับการกระทำของอีกคน จนพี่ซองหน้าเสียมากขึ้กว่าเดิม
"พี่ขอโทษที่สิ่งที่พี่ทำมันรบกวนมิน" น้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนไม่ใช่พี่ซองคนเดิมทำให้ผมถึงกับใจหายวูบไปชั่วขณะ พี่ซองคนเดิมหายไปไหนแล้ว ทำไมเหลือแต่คนขี้ขลาดไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับผมด้วยซ้ำ
"ใช่มันรบกวนผม แล้วก็ทำให้ผมหงิดหงิดเป็นบ้า ที่ตลอดสัปดาห์คุณเอาแต่ตามผมแบบนี้"
"พี่แค่เป็นห่วงมิน แต่ถ้ามินรำคาญพี่ขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว" สายตาแบบนี้มันคืออะไร ทำไมต้องทำท่าทางราวกับว่ารู้สึกผิดมากมายแบบนี้
"ใช่ครับรำคาญมาก ต่อไปห้ามทำแบบนี้อีก" ผมพยายามเก็บควาสงสารที่เกิดขึ้นในใจ เพราะไม่อยากจะกลับไปที่จุดเดิมอีกแล้ว ต่อไปนี้ผมจะเป็นผู้นำ พี่ซองมีหน้าที่เป็นผู้ตามเท่านั้น พี่จะได้รู้ว่ามินคนใหม่เป็นยังไง เตรียมรับมือให้ดีนะครับสุดที่รักของมิน
"พี่เข้าใจแล้ว ขอโทษอีกทีนะ" พี่ซองกำลังเลื่อนกระจกรถขึ้น ก่อนที่จะไม่ทันผมจึงรีบร้องเรียกในทันที
"ผมจะไปด้วย ไปส่งที่ร้านเดี๋ยวนี้" สมองอีกคนดูจะช้าไปร้อยล้านปีแสง นั่งนิ่งมองผมตาปริบๆ เหมือนต้องการคำตอบที่มันชัดเจนกว่านี้
"ไปส่งผมที่ร้านหน่อย หรือว่าคุณจะไม่ไปก็ไม่เป็นไร" ผมตั้งท่าจะเดินไป แต่อีกคนรีบเรียกไว้ก่อน
"พี่ไปส่งเองครับ มินขึ้นรถมาเลย" น้ำเสียงที่ดูกระตือรือร้นของพี่ซองทำให้ผมอดหมั่นใส้ไม่ได้ แต่ก็ยอมขึ้นไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดี
"รู้ไหมว่ามินโกรธ" ผมยังคงโชว์เหนือ เพราะยิ่งเห็นท่าทางเป็นหมาหงอยแบบนี้ผมก็ยิ่งอยากแกล้ง ถ้าวันหนึ่งเราสองคนมีโอกาสคบกันจริงๆ ผมจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างเด็ดขาด
"มินโกรธพี่เรื่องอะไรเหรอ ถ้าเรื่องที่พี่แอบตามมิน ต่อไปพี่จะไม่ทำอีกแล้ว"
"นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่มินโกรธพี่ซองมากเพราะพี่ขี้ขลาด"
"พี่งงไปหมดแล้ว มินช่วยพูดให้คนอย่างพี่เข้าใจทีเถอะ" พี่ซองที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถ หันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าที่ดูจะเก็บอาการไม่อยู่
"พี่มันซื่อบื้อ ทั้งๆ ที่มินมารอหน้าบ้านทุกวัน ทำไมไม่คิดจะชวนไปด้วยเลยสักครั้ง ไหนบอกว่ารักนักรักหนาทำไมใจดำแบบนี้" ผมโวยวายใส่สารถีรถหน้าโง่ที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถ แต่ก็พยายามหันมามองผมบ้างในบางครั้ง
"มินๆ หมายความว่ามินรอไปทำงานพร้อมพี่เหรอ"
"ก็เออนะสิไอ้พี่บ้า ทำไมโง่แบบนี้ แล้วต้องให้มินมานั่งอธิบายอะไรน่าอายแบบนี้ด้วยห๊ะ" ทั้งๆ ที่ผมอายแทบบ้า แต่ก็ต้องพูดเพราะอีกคนดูจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย เหมือนต่อมความฉลาดที่เคยมีในตัวหยุดทำงานกระทันหัน มันคงตายไปพร้อมกับพี่ซองคนเดิม เหลือเพียงพี่ซองคนโง่สมองไม่ทำงาน
"พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้" ผมเริ่มที่จะหงุดหงิดกับท่าทางหงอยๆ ของพี่ซองแล้ว จะพูดจะทำอะไรก็เอาแต่ขอโทษอยู่นั่นแหละ
"เมื่อไหร่จะเลิกขอโทษซะที มินโมโหแล้วนะ"
"พี่..ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว" เออให้มันได้อย่างนี้สิไม่รู้ว่าจะทำอะไรแล้วงั้นเหรอ แล้วที่ผ่านๆ มาที่ทำเสียเยอะแยะน่ะคืออะไร พอคนจะให้โอกาสกลับทำหน้ามึนใส่ตลอดเวลา ตกลงจะให้ผมจัดการทุกอย่างเองเลยใช่ไหม เดี๋ยวผมก็จับปล้ำซะหรอก
"ต่อไปนี้พี่ต้องทำตามคำสั่งมิน ห้ามเถียง หน้าที่มีอย่างเดียวคือคอยทำตามเข้าใจไหมครับ"
"พี่ไม่เข้าใจ มินหมายความว่ายังไง" พี่ซองหันมาถามก่อนจะทำหน้างงหนักกว่าเดิม
"โอ้ย! พี่บ้า ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเข้าใจ ทำตามที่มินบอกก็พอ" ผมไม่อธิบายอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่นี้ผมก็ดูหน้าด้านเกินจะทน ไม่รู้วว่าวันนี้ผมเอาปูนยี่ห้ออะไรมาฉาบหน้าไว้จึงหน้าด้าหน้าทนขนาดนี้ อายตัวเองจริงๆ เลยครับงานนี้
“พี่ห้ามพูด ขับรถไปเลย มินโมโหอยู่” ผมเอ่ยตัดบทคนที่กำลังอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่เขาจะหันไปขับรถด้วยท่าทางผ่อนคลายอารมณ์ลงมาบ้าง
ภายในรถเหลือเพียงความเงียบของทั้งผมแล้วก็พี่ซองไม่ได้พูดอะไรกันอีก ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกคนที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปอย่างใจเย็น
“ตอนเย็นอย่าลืมมารับมินนะครับ” หลังจากที่รถคันหรูจอดสนิทที่หน้าร้านผมจึงหันไปบอกสารถีรถหน้านิ่งทันที
“แล้วมินจะให้พี่รอที่ไหน”
“ถ้ามาเร็วก็ไปรอในร้านสิ ว่าแต่พี่มีธุระอะไรรึเปล่า” ผมลืมไปเลยว่าพี่ซองต้องไปทำงาน เป็นถึงระดับผู้บริหารอาจจะมีธุระ ไม่ว่างที่จะมารับผมก็ได้
“ไม่มีครับ แล้วจะให้บอกคนอื่นว่ายังไงถ้ามีคนถาม”
“แล้วแต่พี่สิ จะบอกว่าอะไรก็แล้วแต่” ผมอยากจะตะโกนดังๆ ใส่หูคนข้างๆ จริงเลยว่าทำไมโง่ขนาดนี้ ผมทำขนาดนี้แล้วยังจะถามอะไรมากมาย ที่มายืนอ่อยอยู่หน้าบ้านทุกวันนี่คืออะไร ยังไม่รู้หรือไงว่าผมคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“บอกว่าเป็นแฟนได้ไหม”
“ไม่อายคนอื่นรึไงที่จะมาเป็นแฟนคนอย่างมิน” ผมลองใจพี่ซองอีกครั้ง รู้ว่าตอนความรู้สึกเดิมๆ ที่เขาเคยว่าผมก่อนหน้านี้มันคงไม่มีแล้ว เพราะหลังจากวันนั้น เขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ดูเหมือนกับว่าจะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ๆ ไม่อายหรอก แค่มินยอมก็เท่านั้น” น้ำเสียงดูมีความหวังมากขึ้น ทำให้ผมแบจะใจอ่อนยอมยกโทษให้เขาหมดทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก พี่ต้องได้บทเรียนจากผมก่อน แม้ว่าผมจะยอมให้เรียกแฟน แต่ก็แค่ในนามเท่านั้นแหละ
“แล้วแต่สิ” ผมพูดเหมือนมันเป็นเรื่องลมฟ้าอากาสแต่ในใจกลับเต้นโครมครามเพราะคำว่าแฟน ที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รับมันจากผู้ชายตรงหน้า
“มินพูดจริงๆ ใช่ไหม”
“หน้าตามินเหมือคนพูดเล่นหรือไงครับ”
“พี่เป็นแฟนกับมินแล้วจริงๆ เหรอ”
“อย่าพึ่งดีใจไป มินแค่ให้โอกาสพี่ได้ทำหน้าที่แฟนดู แต่ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น มินก็จะถอยกลับไปอยู่ที่จุดเดิม”
“ได้ครับ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว” ท่าทางดีใจเหมือนกับเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ ทำให้ผมแทบจะกลั้นขำไม่อยู่ ทำไมตอนนี้พี่ซองถึงน่ารักขนาดนี้นะ
(ซอง)
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้เหมือนฝันเลยครับ ผมกับมินเราเป็นแฟนกัน แต่ผมยังต้องพิสูจน์หลายๆ อย่างให้น้องเชื่อใจ ที่ผมยอมน้องไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ผมก็บื้อขึ้นมาแบบที่นักอ่านหลายๆ คนกล่าวหาหรอกนะครับ ที่ผมยอมอ่อนให้มินเพราะผมรักน้อง ไม่ว่าน้องจะพูดจะทำอะไรผมยอมหมดเพื่อชดเชยสิ่งที่ผมเคยทำไม่ดีในอดีตที่ผ่านมา และผมก็อยากทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น ที่น้องมายืนรอผมตลอดหลายๆ วันที่ผ่านมาใช่ว่าผมจะไม่รู้ เพราะผมก็รอที่จะออกจากบ้านพร้อมน้องเหมือนกัน แรกๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาตั้งใจที่จะรอผมอยู่หน้าบ้าน แต่พอสังเกตุหลายๆ วันเข้าพอได้ยินเสียงรถผมทีไรเขาก็มักจะเดินออกมาทุกที มันจึงทำให้ผมพอที่จะเข้าใจทั้งหมด ผมไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่มจึงได้แค่คอยตามน้องทุกวัน เพราะครั้งก่อนน้องปฏิเสธผมๆ จึงอยากให้น้องเริ่มต้น หลังจากนั้นเราจะได้สานสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง
ในที่สุดความอดทนของผมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ผล เพราะน้องเป็นฝ่ายทนไม่ไหวแล้วเข้ามาหาผมซะเอง ผมได้แต่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ในรถ ก่อนที่จะตีหน้าเศร้าเมื่อน้องเดินเข้ามาหา ผมไม่ได้เจ้าเล่ห์หรอกนะ แต่ผมแค่ต้องการพิสูจน์ว่าน้องยังรู้สึกเหมือนผมอยู่รึเปล่า แต่ทุกอย่างมันเร็วเกินกว่าที่ผมคิดไว้จริงๆ เลย
วันนี้ต้องเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดหลังจากที่ผมกลับมาอยู่เมืองไทย ผมกลับไปทำงานด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม มันมีความสุขมากจนกลัวว่ามันจะอยู่กับผมได้ไม่นาน แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่มีวันปล่อยน้องไปจากผมเด็ดขาด
ผมทำงานไม่รู้เรื่องเลย เอกสารที่รอเซนต์อนุมัติอยู่ตรงหน้าเป็นตั้ง แต่ผมยังไม่ได้จับมาดูเลยเลยสักนิด เพราะมัวแต่นั่งคิดถึงใครอีกคนที่ทำให้หัวใจผมเต้นแทบจะระเบิด ผมอยากจะโดดงานไปหาน้องจริงๆ แต่ก็กลัวเขาจะโกรธที่ผมไม่มีความรับผิดชอบ
“ตั้งใจทำงานๆ จะได้รีบไปหามิน” ผมเตือนตัวเองรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่พอเอางานมาวางตรงหน้ากับอ่านมันไม่รู้เรื่อง ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้งานผมต้องไม่เสร็จแน่เลย อยากจะเห็น้องหน้าใจจะขาด ผมตัดสินใจโทรศัพท์หาอีกคนไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือเปล่าแต่ก็ต้องลองเสี่ยง ดีกว่าผมจะมานั่งอยู่ห้องทำงานทั้งวันแล้วไม่ได้อะไรเลย
“สวัสดีครับ” เสียงใสๆ รับโทรศัพท์ทันทีหลังจากที่เสียงรอสายดังอยู่สองสามครั้ง
“มิน.....” ผมไม่รู้จะพูดอะไร พอได้ยินเสียงน้องแล้วมันพูดไม่ออก
“ใครครับ...ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะครับ” เสียงมินเริ่มจะแข็งขึ้นมานิดหนึ่งคงเพราะผมเรียกเขาแล้วแต่ไม่พูด
“พี่เองครับมิน”
“พี่ไหนผมไม่รู้จัก” ผมมั่นใจว่าน้องจำผมได้ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เมมเบอร์ผมไว้ก็ตาม
“พี่ซอง...”
“โทรมาทำไมครับ”
“พี่...คิดถึงมิน อยากได้ยินเสียง”
“บ้ารึเปล่าครับ พึ่งเจอกันมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง”
“รู้ครับ”
“ได้ยินเสียงแล้วก็วางได้แล้วครับ มินจะทำงาน”
“เจอกันตอนเย็นนะครับ” ผมไม่รู้จะพูดกบน้องยังไงจริงๆ เพราะคนที่ไม่เคยพูดดีๆ กันเลยสักครั้ง พอทุกอย่างเปลี่ยนไปผมกับทำตัวไม่ถูก อยากจะพูดเพราะๆ แต่ปากมันก็ไม่ขยับ
ผมก้มหน้าก้มตาทำงานอีกครั้งรอเวลาที่จะได้ไปหาน้อง รู้สึกคิดถึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะทำอะไรก็นึกถึงแต่อีกคน ในที่สุดผมก็เคลียร์งานเสร็จสักที ผมเดินออกไปสั่งงานเลขาอีกนิดหน่อยก่อนที่จะตรงไปที่ลานจอดรถ มุ่งหน้าไปหาอีกคนทันที
“พี่ซองมาทำไมอ่ะ” น้องชายคนเล็กของผมถามขึ้นทันทีที่เห็นผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน
“พี่มาหามิน” ผมตอบน้องออกไปทันที ทำเอาน้องบราวอ้าปากค้างไปไม่เป็นส่วนน้องคนรองอย่างพายที่นั่งทำบัญชีอยู่รีบเดินมาหาผมทันที
“มาหามินทำไมฮะ พี่มีธุระอะไรกับมินรึเปล่า” คนที่ดูจะตั้งสติได้เร็วที่สุดก็คงจะเป็นน้องพาย ส่วนน้องบราวนี่แมลงวันบินเข้าปากไปหลายตัวแล้วมั้ง
“พี่นัดกับมินไว้”
“ห๊ะ..นัดกับหมูน้อยเหรอ” พอเริ่มตั้งสติได้คราวนี้ตะโกนเสียงดังทันที ไม่เคยคิดจะอายใครเลยน้องชายผม
“ใช่ครับงงอะไร”
“พี่ซองบอกน้องบราวมาเดี๋ยวนี้นะมีอะไรปิดบังอยู่ใช่ไหม” น้องบราวคะยั้นคะยอให้ผมตอบเขาให้ได้ ไม่ต้องบังคับขนาดนั้นผมก็ตอบอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังแล้วนี่นา
“พี่กับมินเป็นแฟนกัน”
“ห๊ะ/ห๊ะ” น้องชายทั้งสองของมประสานเสียงกันดีเหลือเกิน มองผมอย่างอึ้งๆ ใครจะไปเชื่อใช่ไหมล่ะครับ คนที่ทะเลาะกันมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตจะมาคบกันได้
“ตกใจอะไรนักหนาทั้งสองคน”
“พี่เล่ามาให้หมดเลยนะ ไม่อย่างนั้นน้องบราวไม่ยกหมูน้อยให้หรอก” ผมตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้น้องทั้งสองคนฟังโดยละเอียด แต่เรื่องที่ร้ายแรงมากๆ ก็ไม่ได้เล่า เพราะกลัวว่ามันจะทำร้ายจิตใจทั้งสองคนมากเกินไป
“ทั้งสองคนห้ามเอาไปบอกคุณย่ากับน้าดาวนะ”
“ทำไมล่ะ หรือพี่ซองไม่จริงจังกับหมูน้อย” บราวนี่มองผมเคืองๆ คงจะโกรธแทนเพื่อนรัก เพราะขณะที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดยังด่าผมสารพัด
“ไม่ใช่อย่างนั้น ช่วงนี้พี่กับมินพึ่งเริ่มต้น อยากจะพิสูจน์หลายๆ อย่าง แล้วให้มินเชื่อใจพี่มากกว่านี้แล้วพี่จะบอกคุณย่ากับน้าดาวเอง”
“พี่ซองห้ามทำเพื่อนบราวเสียใจอีกนะ ไม่งั้นน้องบราวจะเอาหมูน้อยคืน” คำขู่ของน้องชายตัวน้อยไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลยสักนิด เพราะผมไม่มีทางที่จะเดินซ้ำรอยเดิมที่เคยผิดพลาดมาแล้วหรอก
“เชื่อใจพี่ได้เลยครับน้องชาย แล้วนี่มินไปไหน”
“ไปซื้อของเข้าร้านกับน้องที่ร้านเดี๋ยวก็คงกลับ” ผมนั่งรอมินอยู่สักพัก ร่างเล็กก็ถือของพะรุงพะรังเข้ามาเต็มมือทั้งสองข้าง จนผมต้องรีบดินไปรับทันที ตัวเล็กแค่นี้หิ้วอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้
“ขอบคุณครับ มานานแล้วเหรอ”
“สักพักแล้ว” ผมตอบยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินตามน้องเข้าไปในครัว
“เย็นนี้ไปทานข้าวกับพี่นะ”
“ตามใจสิครับ” คำตอบสั้นๆ ได้ใจความที่สุด หลังจากนั้นน้องก็ง่วนอยู่กับการจัดของเข้าตู้ไม่หันมาสนใจผมเลย
ผมได้แต่ยืนมองตาละห้อยเพราะท่าทางที่ดูจะเปลี่ยนเป็นคนละคนของน้อง คราวนี้ผมคงต้องเป็นผู้ตามแล้วล่ะครับ ปล่อยให้น้องได้เป็นผู้นำน่ะดีแล้ว เพื่อความสงบสุขของครอบครัวในอนาคต
“มินมีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับ”
“ไม่มี พี่ซองออกไปรอข้างนอกเถอะครับ เดี๋ยวมินจัดของเสร็จจะได้กลับกันเลย”
“พี่รออยู่ตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ” เสียงผมจะอ่อยไปไหนเนี่ย เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของไอ้คิณเวลาที่น้องผมดุมันแล้วล่ะครับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งรอตรงเก้าอี้นู่นครับ อย่ามายืนเกะกะตรงนี้” ดูน้องพูดกับผมสิครับ ไม่แคร์ความรู้สึกกันเลย กรรมมันติดจรวดจริงๆ เลย จะมีเมียกับเขาทั้งทีก็ต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้โขกสับตามอำเภอใจแล้วครับงานนี้ ตามรอยไอ้คิณไปติดๆเลยกู
*********************
จบตอนแล้วอีเฮียซองเปลี่ยนไป จะเข้าสมาคมเกลียมัวตามคุณคิณไปติดๆ งานนี้ไม่ว่าน้องมินจะสั่งอะไรก็ต้องยอมทำตามล่ะ
TBC.