CHAPTER 6
‘เล่นไม่ซื่อ’ ‘กฤติเดช มหาฆนรุจ’
ลูกเมียเก็บของเจ้าของธุรกิจอาหารแห้ง ยังไม่ถือว่าเป็นรายใหญ่มากแต่ก็ถือว่าพอคุ้นหูกับนามสกุลนี้ ปัจจุบันลูกชายคนโต หรือพี่ชายของกริชกำลังเปิดไลน์เครื่องดื่มกระป๋องด้วยแต่ยังไม่ติดตลาดมากนัก กริชไม่ออกหน้าออกตา คาดว่าเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรมเพราะมีปัญหาเยอะเลยทีเดียว เคยมีคดีเมาแล้วขับ จับได้ว่ามีสารเสพติดไว้ในครอบครองและต้องเข้ารับการบำบัด น่าจะเป็นเด็กมีปัญหาพอดู นอกจากนี้พี่ลูกปลายังอุตส่าห์เขียนเพิ่มเติมไว้ให้ด้วยว่ากำลังเป็นเป้าหมายของสังคมไฮโซเพราะข่าวลือเรื่องการหนีภาษี อีกอย่างคือแม่ของผมรู้จักกับพ่อเขาเสียด้วย... น่าจะจัดการได้ไม่ยาก
“เฮีย” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหนึ่งเรียกชื่อผม รีบวางกระดาษเอสี่ที่ถืออยู่ให้ปะปนกับกองชีทที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ และทับด้วยชีทอีกชุดหนึ่ง “ไม่อาบน้ำเหรอ?”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เหลือบสายตามองแผลของหนึ่งที่อยู่บนแผ่นหลังและรอยสักรูปนกเล็กๆ เหล่านั้น หนึ่งสักจนผมเห็นแล้วเหนื่อยใจแทนน้ากานดา แม้ไม่ได้มีลายพร้อยเต็มตัวแต่ก็มีมากพอดี จนผมนึกสงสัยว่ารอยแผลเป็นจากวัยเด็กบนแผ่นหลังนั้นยังไม่มากพอที่ทำให้หลังดูไม่สะอาดอีกหรือ
“อะไร?” คนถูกจ้องเลิกคิ้ว นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอามือขึ้นปิดหน้าอก “มองนมหนึ่งทำไม!”
ผมทำหน้าแหยงเมื่อมันจงใจทำให้ดูสะดีดสะดิ้ง มันเลยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงขาสั้นขึ้นมาใส่ และทิ้งตัวลงนอน
“ใส่เสื้อด้วยสิ” ผมท้วง
“ช่างมันเถอะน่า”
มันยู่ปากพลางก้มลงกดโทรศัพท์มือถือที่จอแตกหลังจากเมื่อวานผมจัดการบล็อกเบอร์แฟนเก่ามันเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะเปลี่ยนซิมด้วย แต่กลัวว่าน้ากานดาจะผิดสังเกต
ผมเดินไปหยิบเสื้อกล้ามตัวหนึ่งและปาใส่หน้ามันอย่างแรงจนหนึ่งลุกขึ้นมา
“เฮียเลิกทำตัวเป็นพ่อสักที!” มันโวยวาย “แม่ก็เหมือนกัน... เอาแต่ฝากหนึ่งกับเฮียอยู่นั่นแหละ หนึ่งไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย”
ผมมองคนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กๆ ใช่สิ... ตอนมันเด็กเคยปากเก่งแบบนี้ที่ไหน สมัยก่อนเรียกผมว่า ‘เฮียปกป้องๆ’ แล้วก็เอาแต่เดินตามต้อยๆ ไม่มีปากเสียงใดๆ จะว่าไปแล้ว ตอนเด็กๆ ก็งงเหมือนกันว่าเหตุใดไอ้หนึ่งมันถึงเรียกผมว่าเฮียทั้งๆ ที่บ้านผมก็ไทยแท้ มีเชื้อจีนมาปนแค่นิดหน่อย เวลาผมเรียกพ่อแม่ก็เรียกว่าพ่อแม่ ไม่ใช่ป๊า – ม้า แบบที่คนจีนชอบเรียก
ไอ้หนึ่งตอนนั้นที่น่าจะแค่ห้าหกขวบยิ้มร่า
“หนึ่งว่ามันดูเท่!” …ไอ้เด็กน่ารักคนนั้นหายไปไหนแล้วหนอ
ผมเหลือบสายตามองมัน แต่อีกคนกลับเลิกคิ้วทำหน้าหาเรื่อง “มองไร”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย” ผมเอานิ้วจิ้มหน้าผากมันด้วยความหงุดหงิด “ไปเที่ยวแล้วไปพูดแบบนี้กับชาวบ้านเขา มึงเนี่ยแหละจะโดนต่อยเอา”
“ขี้บ่น” มันย่นจมูก เล่นเอาผมต้องบีบจมูกมันด้วยความหมั่นไส้อีกที
“ก็หัดทำตัวดีๆ สักที”
“สมัยก่อนเฮียไม่เห็นประคบประหงมหนึ่งเท่านี้เลย”
“ก็ก่อนหน้านั้นมึงไม่ได้โดน...”
ผมกลืนคำพูดที่จะพูดลงแทบจะไม่ทันจนต้องกัดลิ้นตัวเอง เกือบไปแล้ว... ถ้าเมื่อกี้ผมพูดมันออกมาต้อง
พังแน่ๆ
หนึ่งมองหน้าผม แววตาสั่นไปเล็กน้อยทั้งๆ ที่ผมยังพูดมันไม่จบ ผมรู้ดี แม้ไม่จบประโยค... แต่มันเป็นการกวนตะกอนก้นแก้วให้ลอยขึ้นมาอีกครั้ง
ความเงียบก่อตัวขึ้น แทรกซึมมาอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับความอึดอัด ผมคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่หนึ่งเป็นฝ่ายทำมันก่อน
“ไปอาบน้ำไป๊” มันแกล้งไล่ผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ผมขยับปาก จะเอ่ยเอื้อนคำขอโทษแต่มันตัดบทเสียก่อน
“ช่างเถอะ...ไม่ใช่ความผิดเฮียหรอก” พอเจอมันพูดอย่างนั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ จนหนึ่งสวมเสื้อที่ผมโยนให้และย้ำว่าให้ผมรีบไปอาบน้ำเสียทีผมจึงพาร่างตัวเองเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้
เมื่อประตูปิดลงผมก็นึกอยากจะทำร้ายตัวเองสักที แต่จะทำให้หนึ่งได้ยินก็ไม่ได้ เลยได้แค่การกำมือจนข้อขาวเท่านั้นเอง ผมอยากจะสบถ อยากจะด่าตัวเอง อยากจะชกตัวเองสักร้อยครั้ง กับสิ่งที่ทำลงไป แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่พอ...และไม่มีวันพอ ถ้าหากผมพูดมันออกมาจนจบ
...ยามนี้แหละ ที่รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกิน ไอ้กริชสงบลงไปเยอะตลอดสัปดาห์นี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่ลูกปลาทำอะไรไปรึเปล่า แต่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องไอ้หนึ่งกับเธอตรงๆ เพราะกลัวว่าจะถึงหูน้ากานดาเลยบอกไปว่ามีปัญหากัน และไอ้เด็กนั่นทำตัวนักเลงหัวไม้เป็นบ้า หล่อนเลยบอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้รีบติดต่อทันที และย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง
ช่วงนี้ผมเริ่มเคยชินกับการที่ต้องไปส่งหนึ่ง หรือให้หนึ่งไปรอผมเข้าเรียน ขากลับก็ต้องไปรับมัน หรือมีมันมานั่งที่คณะ ผมคุ้นกับหน้าเพื่อนมันทุกคนแล้วและบางครั้งยังซื้อน้ำซื้ออะไรเลี้ยงด้วยซ้ำไป ตัวผมไม่ได้เล่าว่าเหตุใดจะต้องมาตามติดหนึ่งเป็นแฝดสยามเช่นนี้ แต่ดูเพื่อนๆ มันก็เข้าใจ ผมเลยคิดเอาเองว่าหนึ่งอาจจะบอกเพื่อนเรื่องแฟนมากปัญหาของมันไม่มากก็น้อย
กลับกัน
เพื่อนผมนี่แหละที่ทำตัวสู่รู้ไม่เลือกเวลา “มึงจะไม่เล่าจริงๆ ใช่ไหม”
ผมขยับปากโดยไร้เสียง ด่ามันว่าเสือก แต่ดูมันจะไม่ยอมแพ้ในการเสนอหน้าเพื่อเค้นความลับ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับ แต่ไม่อยากจะบอกเรื่องหนึ่งกับคนปากสว่างของมัน
“มีคนพูดกันให้แซ่ด” ภีมเอ่ยปากบ้าง ไอ้นี่ก็ดูดีกว่าไอ้กันต์นิดหน่อยถ้าจะเล่าให้ฟัง...แต่ยังไงก็ไม่อยากเล่าอยู่ดี “ว่ามึงไปแย่งแฟน น้องหนึ่งมาจากไอ้กริชมัน ก็เพิ่งรู้นะป้อง ว่ามึงเป็นเกย์”
“กูไม่ได้แย่ง” เพื่อนสองคนทำหน้าแปลกใจ ผมเลยพูดต่อ “แล้วกูก็ไม่ได้เป็นชอบผู้ชายด้วย”
ไอ้กันต์ทำเสียงฟึดฟัด “แล้วมันจะมีข่าวแบบนี้ได้ยังไงวะ”
ผมไม่ตอบ แกล้งทำเป็นให้ความสนใจกับอาจารย์ตรงหน้าและมองนาฬิกา เมื่อไหร่จะจบคาบเสียทีผมจะได้ออกห่างจากเจ้าพวกนี้
“เดี๋ยวนี้ล่ะไม่อยู่กับเพื่อนกับฝูง” กันต์พูดต่อ คงสกิลความปากมอมได้อย่างคงเส้นคงวาจนนึกสงสัยว่าผมทนคบกับมันจนถึงปีสามได้อย่างไร “สนใจแต่อยู่กับน้องกับนุ่ง... เทียวส่งเช้าเย็น”
“กูไม่ได้อยากไปส่งมันขนาดนั้นหรอกนะ” ผมหันไปพูดกับมันบ้าง
“เอ้า แล้วจะไปส่งทำไม”
“ไม่เกี่ยวกับมึง”
“ช่างมันเถอะไอ้กันต์ ป้องมันไม่อยากเล่าก็ปล่อยมันไป”
ขอบคุณมากที่ช่วยทำตัวเป็นผู้เป็นคน ผมอดไม่ได้ที่จะขอบคุณไอ้ภีมในใจ ก่อนที่จะก้มลงจดเลกเชอร์ต่อ
ช่วงนี้เริ่มรู้สึกหัวตันๆ อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีคนมาอยู่ร่วมกันในห้องอีกครั้ง และเป็นตัวปัญหาที่ต้องปิดไฟนอนจนมืดสนิทในขณะที่ผมต้องอ่านหนังสือในเวลาดึกด้วยหรือเปล่า ผมเลยจำต้องนอนเร็ว และตื่นมาสักตีสี่เพื่อมาอ่านหนังสือชดเชยแทน โดยที่ไอ้เด็กเจ้าปัญหานั้นไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว
ประเด็นเรื่องนี้จบไปได้สักพัก จนจบคาบนั้น และพวกเราลงมากินข้าว โดยที่ผมสัมผัสได้ว่าผมเองก็เป็นเป้าสายตาเป็นพิเศษตลอดอาทิตย์นี้
“เหมือนจู่ๆ ก็ได้เป็นคนดัง” ผมบ่นออกมานิดหน่อย
“ใช่สิ ปกติมึงก็เบ้าหน้าไม่แย่ แต่ก็ดูจืด”
ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร ใช่ว่าไม่เคยมีคนมาสนใจบ้าง แต่ตัวเองก็ไม่มีอะไรมากนอกจากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยและกลับหอ ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมอะไรเยอะ มันเลยดูจืดเช่นที่ไอ้ภีมว่า
“แต่ตอนนี้มึงไม่ได้ดังเพราะหน้ามึงนะจ๊ะ” ไอ้กันต์สวนกลับ “นี่เพราะวันนั้นไอ้กริชมันมีปัญหากับมึงกลางโรงอาหารนั่นแหละ แถมคู่นั้น... ใครๆ ก็รู้กันอยู่”
ผมปล่อยให้คำพูดของไอ้กันต์ที่เหมาะกับการเป็นสำนักกรองข่าวแห่งชาติมากกว่าเป็นสัตวแพทย์ไหลผ่านหูไปเรื่อยขณะที่สายตาสอดส่องหาที่นั่ง และสอดส่องให้มั่นใจว่าผัวเจ้าปัญหาของหนึ่งไม่ได้อยู่แถวนี้
“ดังเหรอวะ”
“ก็ระดับนึงนะ... แต่ไม่ใช่แง่ดีเท่าไหร่” ไอ้กันต์พล่ามต่อ “ไอ้กริชมันมากปัญหาจะตาย ส่วนหนึ่งก็มีแฟนคลับอยู่บ้าง หน้าตาดีนี่นา”
“ดีตรงไหน” ผมสวนกลับด้วยความหงุดหงิดใจ “แล้วมึงจะกินไหมข้าวน่ะ เลิกไปยุ่งเรื่องชาวบ้านสักทีเว้ย หาที่ๆ”
ผมเห็นเพื่อนสองคนมองกันด้วยความงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ จังหวะนั้นเองที่มีกลุ่มหนึ่งลุกออกไป พวกผมเลยไปจับจองที่นั่งและเดินกันแยกย้ายออกไปหาอะไรกิน
ดีที่พอกลับมานั่งกินข้าวด้วยกันมันเปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องแฟนของไอ้ภีมที่เป็นสาวรุ่นพี่โทรมากลางวงบอกว่าไอ้ภีมจำได้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร แล้วไอ้ภีมจำไม่ได้ เท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงด่าดังออกมาจากโทรศัพท์ทั้งๆ ที่โรงอาหารเสียงดังขนาดนี้ แล้วไอ้ภีมก็ต้องมานั่งคิดอีกว่าวันนี้คือวันอะไรของแฟนมัน เห็นแล้วรู้สึกสงสารระคนละเหี่ยใจยังไงชอบกล
จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือผมสั่น จนผมต้องมองหน้าจอว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
‘หนึ่ง’ ผมกดรับสาย “ว่าไง”
“วันนี้หนึ่งมีงานคณะอ่ะเฮีย ไม่ต้องมารับก็ได้นะ เดี๋ยวหนึ่งอยู่กับพวกโอ๊ตมัน”
ผมผงะไปชั่วครู่ก่อนที่จะเอามือป้องโทรศัพท์เพื่อถามเพื่อนตรงหน้า “วันนี้เรามีแลปใช่หรือเปล่าวะ” และพวกมันพยักหน้าเป็นคำตอบ ผมเลยเอ่ยกับปลายสาย
“รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวไปรับ”
“หนึ่งกลัวงานไม่เสร็จแล้วเฮียต้องรอนะ”
“เฮียมีแลป... ถ้าเสร็จก่อนก็กลับห้องไปเลยแล้วกัน แต่ให้ใครสักคนไปส่งด้วยล่ะ”
“อ๋อ โอเคๆ”
พอเห็นมันว่าง่ายแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย จากนั้นเราก็วางสายโดยไม่มีการล่ำลา ส่วนเพื่อนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันแทบจะชะโงกหน้ามาดูที่หน้าจอด้วยซ้ำ ไอ้กันต์ทำหน้าสนอกสนใจอย่างปิดไม่มิด
“น้องหนึ่งเหรอวะ”
ผมไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องพยักหน้าอยู่ดี ที่มันพูดแบบนี้ก็คงเห็นชื่อที่เมมไว้ในมือถือแล้วด้วยซ้ำ
“โอ้โห... มีเรียกฮงเรียกเฮีย”
อยากจับหัวมันลงบนชามราดหน้าจริงๆ “สรุปนี่มันยังไง”
“นั่นสิ มันถึงขนาดต้องไปรับไปส่งเลยเหรอวะ” ไอ้ภีมเองก็ดูสนอกสนใจเหมือนกัน “เพราะแบบนี้ไงถึงโดนคนคิดว่าไปแย่งเขามา”
ผมไม่ตอบอะไร... ถ้ามันเป็นอย่างที่ไอ้กันต์บอกว่าหนึ่งกับกริชเป็นคู่ที่ใครหลายคนรู้จักก็คงไม่แปลก เพื่อนสนิทมันก็คงรู้ลึกตื้นหนาบางว่าผมไม่ได้ไปแย่งมาจากไอ้กริชแต่กำลังให้ความช่วยเหลือ แต่พวกผู้คนที่ขี้เสือกก็คงไม่ได้รู้อะไรหรอก ยิ่งผมคอยไปรอมันที่คณะ ไปส่งตอนเช้า ไปรับตอนเย็น มันก็คงน่าสงสัยเหมือนกับผมกำลังเทียวเลี้ยวเทียวจีบมันอยู่จริงๆ
“ลูกคนรู้จักแม่” ผมหาคำอธิบาย และนั่นเป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมา
ไอ้กันต์ทำหน้าปูเลี่ยน “เฮ้ย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้ชายนะเว้ย หนึ่งเป็นเกย์ด้วยนะ มันก็ไม่จำเป็น...”
“ตอนนี้น่ะจำเป็น”
ผมกล่าวเสียงเรียบ เหมือนเพื่อนจะจับสัมผัสได้ว่าผมไม่ต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้ ไอ้กันต์เลยหัวเราะแห้งๆ และมีไอ้ภีมช่วยบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น เป็นอันจบประเด็นเรื่องนี้ไปอีกครั้ง
แลปเลิกดึกกว่าที่คิด นักศึกษาบ่นเรื่องหิวกันระนาวเพราะตอนนี้ก็ล่อไปสองทุ่มแล้ว พอโทรไปหาหนึ่งมันก็ไม่รับ ผมจึงบอกลาเพื่อนและขับมอเตอร์ไซค์ไปที่คณะ ไม่เจอเด็กๆ ทำงานกันเท่าไหร่และไม่เห็นคนรู้จักของหนึ่ง เลยตัดสินใจโทรไปหาไอ้โอ๊ตแทน ไม่นานปลายสายก็กดรับ
“โอ๊ต นี่พี่ป้องนะ”
เหมือนปลายสายจะตกใจนิดหน่อย “ครับ มีอะไรเหรอ”
“ทำงานกันอยู่ที่ไหนน่ะ โทรหาไอ้หนึ่งมันไม่รับ”
“อ๋อ เสร็จตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วพี่” มันว่าแบบนั้น “ผมไปส่งมันที่คอนโดให้แล้ว ตอนนี้ผมอยู่บ้านแล้วอ่ะ”
พอได้ยินเช่นนั้นผมก็รู้สึกวางใจขึ้นมา กล่าวขอบคุณโอ๊ตและวางสาย บิดมอเตอร์ไซค์ไปที่คอนโดโดยไม่ลืมที่จะซื้อน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยกลับไปสองถุง ยังดีที่อาหารเย็นมีมาม่ากับไข่อยู่ในตู้เย็น... ถ้าไอ้หนึ่งไม่กินเข้าไปแล้วน่ะนะ
แต่พอขึ้นมาถึงห้อง ผมกลับต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นใครอยู่ในห้องเลยแม้แต่คนเดียว
“หนึ่ง!” ผมเดินไปเคาะห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พอเปิดไปก็พบว่าห้องน้ำยังไม่ได้ถูกใช้ด้วยซ้ำ
ผิดปกติ นั่นเป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัว ผมเดินย้อนกลับมาและสังเกตได้ว่าไม่มีแม้แต่กระเป๋าเป้หรือกระดานไม้ที่หนึ่งพกไปไหนมาไหนด้วย หรือนั่นอาจจะแปลว่า หนึ่งยังไม่ได้กลับมาที่ห้องด้วยซ้ำ
ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ กุญแจรถ และกระเป๋าสตางค์ตัวเอง เดินลงไปข้างล่าง เอ่ยปากทักยามด้วยความร้อนรน
“ลุงครับ เห็นน้องผมไหม ที่ไปมาด้วยกันบ่อยๆ”
อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่ “วันนี้เหรอ?”
“ครับ ที่เตี้ยกว่าผมหน่อยแล้วก็ผอมๆ” ผมพยายามบรรยายลักษณะของหนึ่งให้ได้มากที่สุด
ลุงยามส่ายหน้า “ไม่นะ หลังจากออกไปกับน้องลุงก็ไม่เห็นแล้ว ยังไม่กลับมาเลยมั้ง”
คำตอบนั้นทำเอาผมแทบจะสบถคำผรุสวาทออกมาต่อหน้า แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเอ่ยปากขอบคุณ โทรหาเบอร์ที่โทรครั้งล่าสุดอีกครั้ง
“โอ๊ต เรามาส่งหนึ่งที่คอนโดเหรอ”
“ก็ที่...” ปลายสายนิ่งไปชั่วครู่ “พะ พี่ป้อง... ผมไปถึงเซเว่นข้างหน้าแล้ว แล้วไอ้หนึ่งมันบอกให้กลับไปได้เลย...”
ผมหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้ระเบิดออกมากับคำตอบนั้น ผมเข้าใจโอ๊ต มันก็คงคิดว่าหนึ่งเป็นผู้ชายและเซเว่นข้างหน้านี้เดินอีกสิบก้าวก็เป็นคอนโดผมแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหนึ่งพูดแบบนั้นแล้วมันกลับก็ไม่แปลก แต่... ให้ตายเถอะ ผมกัดฟันแน่น เอ่ยปากเสียงต่ำแต่ให้ชัดเจนที่สุด
“ถามเพื่อนคนอื่นดูว่าเห็นหนึ่งไหม แล้วก็ถามด้วย มีใครเห็นไอ้กริชบ้าง มันอยู่ไหน” ออกคำสั่งเสร็จผมรีบตัดสาย กดโทรหาเบอร์ที่เมมไว้แต่ไม่คิดจะโทรอย่างของไอ้กริชมัน แต่ก็เท่านั้น... โทรศัพท์มีเสียงสัญญาณให้รอสายอยู่ไม่กี่วินาทีก็ถูกตัด พอผมกดโทรไปอีกรอบ ก็พบว่ามันคงปิดสัญญาณไปแล้ว
ผมสบถออกมา เปลี่ยนมาโทรหาเบอร์พี่สาวตัวเอง โชคดีเหลือเกินที่หล่อนรับสายอย่างรวดเร็ว
“ว่าไงป้อง”
“เตรียมจัดการเรื่องไอ้กริชได้เลยพี่” ผมได้ยินปลายสายอุทานอย่างร้อนรนว่าเกิดอะไรขึ้น “ทางที่ดี เรียกอะไรสักอย่างมาที่คอนโดมันด้วย ผมจะไปดูที่นั่นก่อน เดี๋ยวผมส่งที่อยู่ไปให้...”
“เรียกอะไรเล่า!” หล่อนเอ่ยปากอย่างร้อนรน
“ไม่รถตำรวจก็ รถพยาบาลแล้วกัน”
“ป้อง! ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”
“หนึ่งหายตัวไป ถ้าป้องไปที่นั่นแล้วไม่เจอ... ให้พ่อช่วยจัดการตามหาให้หน่อย”----------------------------
ชอบไม่ชอบบอกได้นะคะ 
เจอกันในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ ปล. ขอบคุณ คุณ treenature มากที่บอกเรื่องคำผิดนะคะ