CHAPTER 12
‘กรรไกร’ “เฮีย! เฮียป้อง!”
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อไม่ได้ได้ยินแค่เสียงตะโกน แต่มีร่างทั้งร่างทิ้งตัวลงมาบนผมที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ไอ้เด็กเวร ผมได้แต่กัดฟัดกรอดด่ามันในใจ ใบหน้าของหนึ่งอยู่ใกล้กว่าที่คิด อุณหภูมิในร่างกายมันร้อนกว่าปกติ หรือว่าเป็นผมเองที่ตัวเย็นก็ไม่รู้
“เฮียทำทั้งหมดนี่เหรอ!” มันโวยวายเสียงดัง “ทำไมไม่เรียกหนึ่งล่ะ”
ผมกระชากผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “กูจะนอน”
“เฮียยยย!” เรียกคำว่าเฮียเสียงสูงจนเสียงเพี้ยนอีกแล้ว
มันโวยวายอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลุกออกไปจากตัวผม เสียงเบาลงเรื่อยๆ และเงียบลงในที่สุดจนผมต้องเอามือควานหาโทรศัพท์และพบว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้า
“เจ็ดโมงครึ่งปลุกกูด้วย”
ได้ยินเสียงตอบรับดังออกมาจากปลายเตียงผมเลยชะโงกหน้าดู หนึ่งยังวุ่นวายกับงานโมเดลของมันเหมือนเดิม โชคดีที่ผมช่วยมันไปเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี
ผมมองมันที่บ่นงุบงิบตามประสาแล้วอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น
หนึ่งมองผมอย่างงุนงง “อ้าว ไม่นอนแล้วเหรอเฮีย”
“ไม่ล่ะ” ผมเดินลงไปนั่งตรงข้ามมัน มีกองกระดาษและเครื่องเขียนคั่นกลาง “ไหน มีอะไรให้กูทำบ้าง”
ผมยกคลาสตอนเช้า มีเรียนอีกทีก็ตอนบ่ายสอง แต่เป็นคาบที่มีสอบควิซด้วย เลยคิดว่าคงจะต้องไปช่วยติวให้เพื่อนๆ ก่อนสักชั่วโมง
“จริงๆ เฮียกลับเลยก็ได้นะ” หนึ่งบอกผมแบบนั้นหลังจากผมเดินแบกข้าวของมาให้ที่โรงอาหารบริเวณคณะสถาปัตยกรรมของมัน “เฮียเรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ”
“จะไปนั่งไหน”
“เฮียไม่ได้ฟังหนึ่งเลยใช่ไหม”
มันบ่นเบาๆ ก่อนที่จะกวาดสายตา น่าจะมองหาพี่รหัสของมันนั่นแหละ พอมันเจอแล้ว หนึ่งก็เดินตรงดิ่งไปทันที ไม่มีการเรียกอะไรผมทั้งนั้น
“พี่เต้ย ขอบคุณมากนะที่มาช่วย”
ผมจัดการวางของบนโต๊ะ แล้วจึงได้เห็นหน้าพี่รหัสมันชัดๆ
ฟังจากที่หนึ่งเรียกเมื่อกี้ พี่เต้ย หรือพี่รหัสของมันเป็นผู้ชายดูสะอาดสะอ้านกว่าเด็กคณะนี้ทั่วไปที่ผมคิดไว้ (หรือผมมองไอ้คนซกมกอย่างหนึ่งเป็นมาตรฐานอยู่ก็ไม่รู้) ผมยาวแต่รวบไว้ครึ่งหัว ใบหน้าขาวสะอาดตา ดูตี๋แบบที่รู้เลยว่ามีเชื้อจีนอยู่แน่ๆ
“ไม่เป็นไรเว้ย กูว่างๆ” พี่รหัสมันบอกแบบนั้น “แล้วนั่นใคร”
“อ๋อ เฮียป้อง” หนึ่งจัดการแนะนำผมเสร็จสรรพ “เป็นเมทผมน่ะ”
“ที่บอกว่าเป็นหมอหมาน่ะเหรอ หน้าให้นะเนี่ย ดูติ๋มๆ ดี” ผมย่นจมูก นึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหนึ่งไปเล่าเรื่องผมไปไว้ยังไงบ้าง แต่การพูดจาแบบนี้ใส่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย
หนึ่งเองก็คงรู้นิสัยผมดี เลยก้มลงไปบอกกับพี่รหัสมันเบาๆ “เฮียป้องปีสามนะ”
“อ้าวเหรอ โทษที” แต่ไอ้เต้ยนี่ก็ไม่ได้ดูสำนึกอะไรเท่าไหร่ “เดี๋ยวคนอื่นก็คงมาช่วยด้วยแหละ แต่ว่ามันคงมาสักเที่ยงมั้ง ตอนนี้กูเลยมาคนเดียวก่อน”
“ขอบคุณมากนะ”
“เดี๋ยวเลี้ยงเหล้ากูสักวันแล้วกัน”
“งานเสร็จแล้วจะเลี้ยงเลย”
ผมมองเด็กสองคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจ้าคนเจ้าปัญหาจะหันมาหาผม “เฮียจะนั่งนี่จริงๆ เหรอ”
เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยอย่างไร้สาเหตุ แต่สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงพยักหน้า และทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ หนึ่ง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน พร้อมๆ กับหูฟัง
ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะผมเปิดเพลงเสียงเบาเกิน หรือว่าหนึ่งคุยกับพี่รหัสมันด้วยเสียงดังเกินไปกันแน่ ผมได้ยินแต่พวกมันคุยกันด้วยคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และไม่เคยคิดว่าตัวเองควรจะเข้าใจด้วย เดี๋ยวเสียงดัง เดี๋ยวโวยวาย สักพักก็เงียบ เป็นแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจนกลางวันก็มีคนมาใช้โรงอาหารเยอะขึ้น ไอ้เต้ยเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินบ้าง
“เอาไรปะ” มันถามพวกผมสองคน
หนึ่งจัดการสั่งอาหารชุดใหญ่ในขณะที่ผมฝากแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวด คิดว่าเดี๋ยวคงจะไปซื้ออะไรกินทีหลัง
“เฮียกลับเลยก็ได้นะ” พอพี่รหัสมันเดินไป หนึ่งก็หันมาพูดกับผมเช่นนั้นทันที
ผมเลิกคิ้ว “ทำไมกูต้องไป”
“ก็... เสียงดัง?” มันทำท่าไม่มั่นใจนักตอนที่ตอบออกมา
“นึกว่าอยากอยู่มันสองคน”
“ตอนเฮียนั่งเงียบๆ ก็เหมือนอยู่สองคนนะ”
ผมหงุดหงิด...
อีกแล้ว “ช่างเถอะ” ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือการตอบปัด “แล้วมึงอาการดีขึ้นแล้วเหรอ เสียงยังแหบอยู่เลย”
“แต่ไม่คัดจมูกแล้วนะ”
แหงล่ะ... เมื่อวานก็เป็นผมเองที่แบกมันให้ไปนอนที่ที่แอร์ไม่ตก บอกให้ย้ายที่กับผมมาตั้งนานแล้วก็ไม่ฟังต้องจัดการตอนหลับ ดื้อเสียจริงๆ
หนึ่งจัดการทำนู่นทำนี่ต่อโดยที่ผมนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไอ้เต้ยกลับมาพร้อมกับข้าวปลาอาหาร พวกมันทั้งสองเลยหยุดทำงาน มากินข้าวกันชั่วคราว
ระหว่างนั้น เพื่อนที่นัดกันว่าจะติวก็ได้ไลน์มาหา ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปคณะของตัวเองสักที
“จะไปแล้วเหรอ”
“อืม” ผมพยักหน้าให้หนึ่ง “วันนี้กลับเย็นไหม”
มันกรุ่นคิดชั่วครู่ “คงจะกลับหอไปรอบแล้วค่อยออกมาทำงานกับพวกไอ้โอ๊ตมั้ง”
“โอเค กูเลิกคลาสสี่โมงครึ่ง มารอที่คณะแล้วกัน” ผมจัดการสรุปและเดินออกมา แต่เพราะฉุกคิดขึ้นได้เลยย้อนกลับไปทั้งๆ ที่เดินจากมาไม่ถึงสิบก้าว “อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ”
“รู้แล้วน่า!”
พอมันรับคำส่งๆ ผมจึงเดินออกมา แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาสงสัยจากพี่รหัสของหนึ่งเสีย
ครั้งนี้ผมรู้สึกดีนิดหน่อย ข้อสอบเป็นเรื่องที่เข้าปากผมพอดี แม้ว่าจะอ่านหนังสือน้อยกว่าครั้งอื่นๆ แต่ก็คงไม่ตกมาตรฐาน เพื่อนๆ ในเซคขอบคุณผมชนิดที่ว่าแทบกราบกราน เพราะว่าตอนที่จัดการไปติวให้มีคนถ่ายโน้ตย่อของผมลงกรุ๊ปไลน์ แล้วมีข้อสอบในนั้นเสียเยอะ
“มึงอยากกินอะไร พวกกูพร้อมเลี้ยงมึงเลยนะ”
“ขอบใจ” ผมว่าอย่างหน่ายๆ ตอนเดินลงมาพร้อมๆ กับทุกคนในเซค “แต่ไม่ดีกว่า”
“ไม่เอาจริงๆ เหรอวะ” ไอ้กันต์ทำหน้าเสียใจ “มึงจะทิ้งกูไปคนเดียวอีกแล้วเหรอ”
มึงทำอย่างกับกูไปกับมึงบ่อย ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยร่วมกิจกรรมเท่าไหร่นัก สนิทกับเพื่อนในเซคเฉพาะช่วงสอบเท่านั้น ยิ่งมิดเทอมนี่ยิ่งสนิทกันเลยด้วยซ้ำ เพราะว่ามักจะมีคนมาขอร้องให้ผมมาติวบ่อยๆ (บางครั้งไอ้กันต์ก็เป็นคนป่าวประกาศ) บ่อยครั้งพอสอบเสร็จก็จะมีของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ มาให้ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงข้าวสักมื้อ น้ำสักแก้ว แต่อะไรที่ผมไม่อยากไปก็คือไม่อยากไป ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องลำบากขนาดนั้นที่จะช่วยติวคนอื่น และมันก็เป็นความจริงที่ว่าพอสอบเสร็จผมมักจะอยากกลับไปนอนมากกว่า
“กูรู้แล้ว!” ไอ้กันต์โพล่งขึ้นมา “มึงจะไปรับน้องหนึ่งอีกล่ะสิ”
เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกว่าทุกสายตาจับจ้องมาทางผมอย่างไม่เชื่อสายตา
“จริงเหรอป้อง” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา สีหน้าตกใจไม่ใช่น้อย “นี่คิดว่าที่คนพูดๆ กันเขาพูดเล่นเสียอีก”
ผมจิ๊ปาก ไอ้กันต์แม่งปากสว่างเสมอ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรหยิบยกมาพูดเลยด้วยซ้ำ
“คนเขาพูดอะไรล่ะ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ก็เรื่องที่ป้องเป็นแฟนใหม่หนึ่งไง” ผมหันไปมองตัวปัญหา ไอ้กันต์น่าจะรู้แล้วว่าผมเริ่มไม่สบอารมณ์มันเลยเริ่มทำสีหน้าตื่นเพราะเพื่อนในเซคเปลี่ยนประเด็นมาเป็นเรื่องของผมกับหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว
“ไม่ใช่” ผมตอบ เสียงเริ่มขุ่นขึ้นเล็กน้อย
“งั้นก็ดีแล้วแหละ” เพื่อนผู้หญิงคนเดิมเอ่ยปากขึ้น ถือวิสาสะมาตบไหล่ผมเบาๆ อีกต่างหาก “คนดังแบบนั้น ข่าวเสียก็เยอะ เป็นแฟนของคนมีปัญหาก็คงจะไม่เบาเหมือนกันแหละ”
ผมได้ยินไอ้กันต์อุทานว่า
ไอ้เหี้ย เบาๆ
คำพูดของหล่อนดูไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมเอามือของเธอที่กำลังแตะบ่าผมลง ก่อนที่จะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“หนึ่งไม่ได้เป็นแฟนเรา” เจ้าหล่อนงง ราวกับจะถามว่าผมจะย้ำให้ฟังทำไมหลายหน “แต่หนึ่งก็ไม่ได้เป็นคนที่ ‘ไม่เบา’ แบบที่พูดหรอกนะ”
“...” ทั้งเซคหยุดเดิน มองผมอย่างเต็มตา
“ทำอะไร ก็หัดระวังคำพูดคำจาไว้บ้างดีกว่า” ผมปล่อยมือของอีกฝ่ายที่หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เดินลงบันไดออกไปจากกลุ่ม ได้ยินไอ้กันต์พูดอะไรสักอย่างจับศัพท์ไม่ได้แต่น่าจะเป็นการแก้ตัวให้ผม
พอเดินลงมาถึงชั้นหนึ่งที่มีม้านั่งให้คนนั่ง ผมก็เจอกับหนึ่งทันทีโดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์
หนึ่งดูดชานมไข่มุกเล่น มันไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าผมเข้ามาใกล้ จนผมยืนค้ำหัวมันนั่นแหละมันถึงเงยหน้าขึ้น “ไงเฮีย”
“กลับกัน” ผมเอ่ยสั้นๆ “แล้วของอยู่ไหน”
“อ๋อ เดี๋ยวออกมาอีกทีเลยฝากพวกแก้วตาไว้”
ผมครางในลำคอ รอมันลุกขึ้นยืน เก็บหูฟังและโทรศัพท์มือถือเสร็จสรรพ แต่ไม่ทันจะเดินไปไหน ก็มีคนมาตีไหล่เบาๆ พอหันไปก็เห็นว่าเป็นไอ้กันต์
“ไอ้ป้อง!” มันเรียกชื่อผมเสียงเขียว ผมมองเลยผ่านหัวไอ้กันต์ไปและพบว่าผู้หญิงคนที่พูดจาถึงหนึ่งกำลังร้องไห้โดยมีเพื่อนๆ ในเซคคอยปลอบอยู่ เล่นเอางุนงงไปนิดหน่อย “เกินไปปะวะ... หวานมันก็พูดไปเรื่อย ไม่รู้อะไรหรอก”
ผมขมวดคิ้วมุ่น “กูก็ไม่ได้พูดอะไรแรงนะ”
“กูเข้าใจๆ แต่แค่เขาพูดถึง...” ไอ้กันต์เหลือบตามองคนข้างกายผมแล้วหุบปากฉับ เฉไฉทันที “แค่เขาพูดถึง... น้องคนนั้นอ่ะ คือมึงก็ไม่ใช่คนพูดจาดีหรอก แต่แบบ เฮ้ย มันไม่ใช่ทุกคนเข้าใจมึงเหมือนกูอ่ะ”
ผมกลอกตา แอบคิดในใจว่าถ้ามึงเข้าใจกูจริงมึงจะไม่พูดถึงหนึ่งตรงนั้น แต่รู้ดีว่าถ้าพูดออกไปก็รั้งแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปขอโทษเขาแล้วกัน” ผมว่าพลางถอนหายใจ “บอกเขาไปด้วยล่ะว่ากูไม่ได้โกรธ แค่เตือนดีๆ เฉยๆ”
พอพูดจบผมก็จัดการหันไปหาหนึ่งที่ยังทำหน้างุนงงแล้วเดินออกมาเลย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงไอ้กันต์โวยวายไล่หลังมาไกลๆ
“เฮียทำพี่คนนั้นร้องไห้เหรอ” หนึ่งถามตอนที่ผมยื่นหมวกกันน็อกให้
ผมนิ่งไปชั่วครู่ พิจารณาก่อนที่จะพยักหน้า “เออ” ถึงจริงๆ ผมจะไม่ได้โกรธอะไรมากมายขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดว่าคำพูดแค่นั้นจะทำให้เจ้าหล่อนร้องไห้ก็เถอะ
“ละ แล้วเฮียไม่ไป...เคลียร์กับเขาก่อนเหรอ”
“ช่างเถอะ คนร้องไห้พูดตอนนี้ก็งอแงอยู่ดี รอให้เขาสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า”
ผมคิดว่าหนึ่งยังมีอะไรที่อยากถามอีกแต่มันก็ไม่เอ่ยปากออกมา ผมนึกขอบคุณที่มันเงียบจนเราถึงห้อง ผมจัดการโยนกระเป๋าไว้ที่พื้น เดินไปหยิบน้ำมาดื่มจนหมดขวดและไปทิ้งตัวลงบนเตียง
“เฮีย” หนึ่งเดินตามมานั่งข้างๆ ผม “หนึ่งถามได้ไหม”
“ถามอะไรล่ะ”
“ตอบก่อนว่าหนึ่งถามได้ไหม”
ผมตะแคงตัวเองหันไปมองหนึ่งเต็มๆ ตา สีหน้ามันดูเหมือนคิดอะไรอยู่ไม่น้อยจนผมต้องยอมตอบรับ “เออ”
“น้องคนนั้นที่ว่าเนี่ย... หนึ่งเหรอ” คิดอยู่แล้วว่ามันต้องมาแบบนี้ ยอมรับว่าผมไม่ได้นึกแปลกใจกับคำถามนั้น หนึ่งมองหน้าผมราวกับจะขอให้ผมตอบมันไปตามจริงทั้งที่สายตามันกำลังบอกผมว่าขอให้ไม่ใช่
สุดท้ายผมก็หลบตา “ใช่”
“พี่เขาพูดถึงหนึ่งว่ายังไง”
“มึงไม่อยากรู้หรอก”
“ไม่ หนึ่งอยากรู้” มันยังรั้น “บอกมาเถอะน่า”
ผมมองหน้ามัน ลังเลไปชั่วอึดใจว่าจะพูดดีไหม แต่พอมองตามันทีไรก็ต้องยอมแพ้ ผมก็พูดไปตามจริงว่าอีกฝ่ายพูดถึงว่าอะไร พอมันถามว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ ผมก็ยอมบอกไปว่าเพื่อนผมเป็นคนเปิดประเด็นเพราะว่ามันกำลังอยากเค้นผมเรื่องนี้อยู่
พอหนึ่งฟังจบมันก็นิ่งไปชั่วครู่จนผมต้องลุกขึ้นมานั่งประจันหน้ากับมันบนเตียง
“หนึ่งว่า...” สุดท้ายมันก็เอ่ยปาก
“เฮียไม่ต้องไปรับไปส่งหนึ่งแล้วก็ได้นะ” ผมถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “หนึ่ง มันไม่เกี่ยวปะวะ”
“เกี่ยวดิ ก็เพราะเฮียไปส่งหนึ่งนั่นแหละ คนเขาก็มองกันอย่างนั้น”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ ก็กูต้องทำไหม”
“แล้วทำไมเฮียถึงต้องทำ” พอโดนหนึ่งสวนคำพูดนั้นมา ผมก็ผงะไปชั่วครู่ หนึ่งมองตรงมาที่ผม ไม่ยอมหลบตาไปไหน มันมองเหมือนกับบอกให้ผมบอกความจริงมัน
“น้ากานดาให้กูดูแลมึง” “เหรอ” หนึ่งเม้มริมฝีปากแน่น “ถ้าแม่ไม่บอกเฮียจะดูแลหนึ่งไหม”
“หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันเสียงแผ่ว “ขอร้อง อย่าชวนกูทะเลาะได้ไหมฮะ”
“หนึ่งแค่...” มันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาเสียงเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน
“หนึ่งแค่ไม่อยากให้ใครมองเฮียไม่ดี” “...”
“หนึ่งไม่สนใจหรอกว่าคนจะมองหนึ่งยังไง แต่ว่า... หนึ่งไม่อยากให้คนมองเฮียไม่ดีเพราะหนึ่ง ไม่อยากให้คนมองเฮียเป็นเกย์ แล้วหนึ่งก็... ไม่ได้อยากให้เฮียดูแลหนึ่ง...ขนาดนี้ คนอื่นเขาคิดยังไงกับเฮีย เขามองว่าเฮียชอบผู้ชาย เขามองว่าเฮียลดตัวมาคลุกคลีกับหนึ่ง มัน...”
หนึ่งพูดมันออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับเขื่อนแตกก่อนที่จะเงียบไป เล่นเอาผมงุนงงไปหมด มันไม่รอให้ผมตอบอะไรแต่เดินไปหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ผมได้ยินเสียงฝักบัวอยู่พักหนึ่ง พอมันเดินออกมามันก็ตรงดิ่งไปหยิบนู่นหยิบนี่เข้ากระเป๋า
“หนึ่ง!” ผมตะโกนเรียก “กูไปส่ง!”
“ไม่ต้อง!” มันสวนกลับมาเสียงดังเหมือนกัน เล่นเอาผมเริ่มอารมณ์ขึ้นนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่ามัน “หนึ่งไปเองได้ เดี๋ยวคืนนี้หนึ่งค้างกับโอ๊ต”
“ไอ้หนึ่ง!” ปัง! มีเสียงกระแทกประตูดังขึ้นจนผมต้องลุก ตั้งใจจะเปิดประตูไปตะโกนด่ามันเสียหน่อยแต่พอเดินไปถึงหน้าประตู มีความคิดหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้ผมลังเล
หรือเป็นตัวผมเอง... ที่ทำให้มันรู้สึกอึดอัด...
...เป็นผมเองอย่างงั้นหรือ?------------------------------------------
แอบตื่นเต้นที่มีคนพูดถึง Father Figure แล้วค่ะ
แต่ขอยังไม่พูดอะไรแล้วกันเนอะ
อย่าไปว่าเฮียป้องเลย
ปล. ตอนหน้ามาคุยกับหนึ่งบ้างดีมั้ยคะ ฮาา
#ขอให้ไม่ใช่รัก