ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]  (อ่าน 89949 ครั้ง)

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ดีที่ทัน

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
สงสารหนึ่งมาก เปราะบางและบอบช้ำ

ฉากที่ปกป้องไม่ยอมยกมือกอด เพราะปกป้องเอาไว้ไม่ได้ นี่บีบหัวใจค่ะ

จริงๆก็พอจะเดาทิศทางของตอนนี้ได้บ้าง  แต่ก็ยังเสียใจกับหนึ่งอยู่ดี อ่านไปก็ นึกว่า "ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม ไม่อยากให้หนึ่งเจออะไรแบบนี้เลย"

ไหนคือคลายปม ยางงงงงเลย เหมือนมาเติมถ่านเติมไฟให้อยากรู้เข้าไปอีก  ย้อนเรื่องในอดีตให้ฟังอีกสักนิดได้ไหมคะ แต่ก็ไม่อยากให้น้องหนึ่งโดนอะไรเลย เบาๆน้า ฮือ

#ห้ามเอ็นเอ็นโหดร้ายกับน้องหนึ่งนะ

เจอคำผิดค่ะ
ครับครัว แก้เป็น ครอบครัว
สอดใส แก้เป็น สอดใส่
โชคดีที่เลือกห้องเดี่ยวเลยลุกนั้นสะดวก  แก้เป็น ลุกนั่ง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สงสารหนึ่ง  :mew2: ปกป้องก็ช่วยหนึ่งที่สุดเต็มที่
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
พี่ปกป้องแมนมากขั้นสุดแล้วค่ะ ไม่โทษตัวเองนะคะ นี่ก็ดีที่สุดที่จะทำได้แล้ว

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 8
‘แผลในอดีต’



     ตอนเด็กๆ ผมเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น

     ผมมีพ่อมีแม่ที่พวกท่านมีเวลาให้ ตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งมากที่พวกเราไม่ได้ทานอาหารเช้าด้วยกัน แม้ว่าอาหารเย็นอาจจะมีสมาชิกในบ้านนั่งกันไม่ครบทุกคน แต่ทุกๆ เช้า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร หรือพ่อแม่ทำงานหนักแค่ไหน พวกท่านจะตื่นมาทานอาหารกับผมและพี่ลูกปลาเสมอ พอวันเสาร์พ่อแม่ก็จะพาเราสองพี่น้องไปเดินห้างเพื่อซื้อของสำหรับทำอาหารมื้อเย็น เป็นมื้อเดียวของสัปดาห์ที่แม่จะลงมือทำเองโดยมีพี่ลูกปลาเป็นลูกมือ ส่วนผมกับพ่อจะไปเล่นเทนนิสกันที่คอร์ดแถวๆ บ้าน ส่วนวันอาทิตย์ เป็นวันเดียวที่พวกเราจะตื่นสายหน่อย จากนั้นก็จะหาอะไรทำกันที่บ้าน อาจจะเป็นการดูหนัง ช่วยพ่อทำสวน หรือบางวันก็จะช่วยป้านก ป้าแม่บ้านทำขนมสูตรใหม่ที่แม่สนใจ

     พอมานั่งคิดดูแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองในวัยเด็กช่างวิเศษเสียนี่กระไร เงินทองก็มี ของเล่นก็มี พ่อแม่ก็มี วันไหนพวกท่านยุ่งๆ ผมก็ยังมีพี่ลูกปลากับป้านกอยู่ที่บ้าน

     ช่วงปิดเทอม แม่จะให้ผมกับพี่สาวผลัดกันเลือกว่าจะไปพักโรงแรมหรือรีสอร์ทในเครือสักอาทิตย์ เป็นอาทิตย์ที่พวกท่านจะลางานยาว

     ปิดเทอมตอนผมเก้าขวบ ครั้งนั้นเราไปรีสอร์ทแห่งเล็กที่สร้างเป็นที่แรกๆ ตั้งแต่สมัยคุณตา เพราะว่าค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว ล้อมรอบด้วยไร่สัปปะรดและไม่ใช่หน้าเทศกาล แถมยังมีบ้านเพียงห้าหกหลัง ครอบครัวเราเลยเหมือนได้ยึดครองที่นั่นเลยทีเดียว

     ผมรู้จักกับหนึ่งในสัปดาห์นั้น

     ที่รีสอร์ทนั่นมีบ้านคนงานทำไร่สัปปะรดอยู่ไม่กี่หลัง ไม่มีเด็ก หนึ่งเป็นเด็กรูปร่างแคระแกน เป็นลูกชายของน้ากานดาที่เป็นทั้งแม่ครัวและคนดูแลรีสอร์ทกับลุงวุฒิปกติมักจะอยู่ที่ไร่ แต่ผมไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่นัก

     วันแรกที่เจอหนึ่ง หนึ่งชะเง้อมองผมสองพี่น้องอยู่ที่ริมกำแพง แต่พอผมเดินเข้าไปหาหนึ่งกลับวิ่งหนี จนผมต้องไปจูงมือให้มาเล่นด้วยกัน

     ตอนนั้นพี่ลูกปลาอยู่มัธยมปลายแล้ว เขาไม่สนหรอกว่าพวกเด็กผู้ชายจะเล่นอะไรกัน และผมก็เบื่อๆ เรื่องที่ไม่มีเพื่อนเล่นพอดีเลยไปนั่งคุยกับเจ้าเด็กนั่น

     แรกๆ หนึ่งก็ดูขี้อาย แต่พอมีโอกาสได้พูด มันก็พูดไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย

     “ไปเล่นกับน้องก็ดีนะ ปิดเทอมน้องก็ไม่มีอะไรทำนั่นแหละ ก็เพื่อนที่โรงเรียนอยู่ที่เมืองหมด”

     แม่บอกกับผมแบบนั้น วันต่อมาผมก็เลยไปชวนหนึ่งเล่นอีก คราวนี้เราไปเล่นน้ำแถวๆ แม่น้ำแถวนั้น หนึ่งร้องงอแงบอกว่าให้ผมลงไปเล่นน้ำด้วย แต่ผมจำได้ว่าแม่เคยบอกว่าถ้าจะเล่นน้ำ ให้ชวนพี่ลูกปลาไปด้วย ผมเลยไปตามพี่ลูกปลามาเฝ้าพวกเราให้หน่อย

     พี่สาวผมก็เดินมาแต่โดยดี แต่พอเจ้าหนึ่งถอดเสื้อจะลงน้ำพร้อมกับผม ผมถึงเห็นรอยด่างพร้อยบนร่างกายผอมแห้งของมัน ทั้งเขียวช้ำ และมีรอยที่ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นรอยบุหรี่จี้ ตอนแรกผมไม่รู้อะไร... ไม่เข้าใจถึงความหมายของรอยเหล่านั้น

     หลังจากเล่นน้ำเสร็จ พี่ลูกปลาก็บอกว่าเราควรกลับไปกินข้าว

     “หนึ่งไม่อยากกลับบ้าน”

     ตอนนั้นผมเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมายของหนึ่ง แต่หนึ่งก็ว่าง่าย ไปรอน้ากานดาทำอาหารให้พวกเราในครัวโดยไม่บ่นอะไรอีกนอกจากคำนั้น

     หลังจากมื้อเย็นเสร็จ ผมเห็นพี่ลูกปลาคุยกับพ่อแม่หน้าตาเคร่งเครียด

     “ปลาเห็นจริงๆ นะแม่ น้องรอยช้ำเยอะมาก ดูก็รู้ว่าจงใจ มีรอยบุหรี่จี้ด้วย... น้องอาจจะโดนทารุณก็ได้”

     ผมไม่เข้าใจคำว่า ‘ทารุณ’ เท่าไหร่นัก

     จำได้ว่าหลังจากนั้น แม่ไปคุยอะไรสักอย่างกับน้ากานดาแล้วน้ากานดาร้องไห้ หนึ่งมานอนกับผมจนหมดสัปดาห์แสนสุขนั่น ลุงวุฒิเคยมารับหนึ่งที่บ้าน แต่โดนพ่อผมบอกว่าอยากให้เด็กๆ เล่นกัน ลุงวุฒิเลยกลับไปด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง

     หนึ่งยิ้มตลอดจนผมกลับกรุงเทพฯ แต่พอวันสุดท้ายมันก็ร้องไห้โฮ

     “เฮียไม่กลับได้ไหม” มันว่าแทบไม่ได้ศัพท์เพราะเอาแต่สะอึกสะอื้น

     แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่สามารถอยู่กับหนึ่งตลอดไปได้ แม่กับพ่อไปคุยอะไรสักอย่างกับน้ากานดาสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่จะขึ้นรถกลับบ้าน

     ผมจำได้ว่าหนึ่งแทบจะงอแงกลับบ้านไปกับผมจนลุงวุฒิตีมันต่อหน้าพวกเรา

     แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตอนเด็กๆ ผมร้องไห้ แม่ก็ตีผมต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน จนผมมารู้ทีหลังว่า อา... มันเป็นเรื่องแปลกสินะ เพราะหนึ่งโดนตีเป็นประจำ

     ปิดเทอมครั้งต่อจากนั้น พวกเราก็ไปกันที่เดิม เป็นครั้งแรกที่เราไปที่เดิมสองครั้งติดต่อกัน แถมคราวนี้ยังอยู่เป็นสิบวันอีกต่างหาก

     หนึ่งยังเป็นเด็กแคระแกน มีรอยฟกช้ำเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เราแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยเพราะพ่อของหนึ่งจะโกรธทุกครั้งเวลาหนึ่งมาเล่นกับผม

     น่าจะอีกสองสามวันก่อนวันที่เราตั้งใจจะกลับบ้าน ผมตื่นเช้าขึ้นมาไม่เจอใครนอกจากพี่ลูกปลา พี่บอกว่าพ่อกับแม่ออกไปทำธุระข้างนอก ผมรับรู้ดีว่ามันแปลก... ทุกครั้งที่เรามาเที่ยวกัน พ่อกับแม่ไม่เคยที่จะพลาดมื้ออาหารเช้าที่สำคัญสำหรับครอบครัวเราแม้แต่ครั้งเดียว วันนั้นผมออกไปเดินเล่นกับพี่ลูกปลา ผมไม่ได้เจอน้ากานดา ไม่ได้เจอลุงวุฒิ ไม่ได้เจอหนึ่ง เจอแต่คนไร่คนสวนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “เอาล่ะสิ แบบนี้จะทำยังไงดี ขาดคนงานเลยสินี่”

     “ตอนนี้ยังจะห่วงเรื่องงานอีก! พวกคุณนายไม่ด่าแกหรอกเพราะเขาก็วุ่นกับการจัดการเรื่องคุณกานดาทั้งนั้น!”

     “แต่ไม่คิดเลยนะว่าไอ้วุฒิจะถึงขั้นราดน้ำมันใส่เมียตัวเอง บรื๋อ”

     ผมไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ พอคนงานสองคนนั้นเห็นผมกับพี่สาวก็พากันเดินหนี พี่ลูกปลาเลยเดินชวนผมไปกินอะไรในบ้านและบอกว่าอย่าใส่ใจกับเรื่องนั้นเลย

     พอผมโตขึ้นมาหน่อยผมถึงได้รู้ว่า ลุงวุฒิคงทะเลาะกับน้ากานดาเรื่องที่น้ากานดาจะขอหย่า ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ร้อน หลังจากเอาเขียงปาใส่เมียตัวเองจนกระดูกขาซ้ายแตก แถมยังราดน้ำมันที่ตั้งไฟอยู่ใส่ซ้ำ ทุกวันนี้น้ากานดาเลยต้องใส่กระโปรงยาวและไม่สามารถเดินได้คล่องเหมือนกับปกติ โชคดีที่หนึ่งไม่ได้โดนอะไร

     หลังจากนั้นพ่อก็เรียกคนขับรถมารับพวกผมสองคนกลับบ้านไปก่อน ส่วนพวกท่านอยู่ต่ออีกอาทิตย์หนึ่งเพื่อช่วยจัดการเรื่องฟ้องหย่าของน้ากานดา ทั้งสิทธิ์เลี้ยงดู จัดการเอาผิดลุงวุฒิ ย้ายน้ากานดามาโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ และรับหนึ่งมาอยู่ที่บ้านชั่วคราว

     พ่อกับแม่ช่วยเหลือน้ากานดาทุกอย่าง คงเป็นเพราะน้ากานดาเป็นรุ่นน้องคนสนิทของแม่สมัยเรียน ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องงานในกรุงเทพฯ รวมไปจนถึงเรื่องโรงเรียนของหนึ่ง

     รอยช้ำของหนึ่งเจือจางลงไปในวันนั้น

     ...แต่มันก็ยังเหลือแผลเป็นที่หลังของหนึ่งไว้อยู่ดี



     หลังจากหนึ่งกับน้ากานดาพักอยู่ที่บ้านผมได้ราวเดือนเศษ สองแม่ลูกก็ย้ายไปอยู่ที่คอนโดที่ใกล้ๆ โรงแรมของแม่ในกรุงเทพฯ นับแต่นั้นผมไม่ค่อยได้เจอหนึ่งมากนัก เนื่องจากหนึ่งเรียนโรงเรียนประถมแถวนั้น จนหนึ่งอยู่ป. หก ผมก็ไปช่วยสอนมันสอบเข้าโรงเรียนเดียวกัน

     ตอนนั้นหนึ่งจะทำหน้าบูดบึ้งตอนผมตีมือที่กำลังวาดภาพเล่นบนโจทย์เลข

     “ดีๆ สิ เดี๋ยวก็สอบไม่ติดหรอก”

     “มันยากนี่นา...” หนึ่งบ่นอย่างอิดออด “หนึ่งเรียนที่ไหนก็ได้นะเฮีย”

     “หนึ่งไม่อยากมาอยู่กับเฮียเหรอ”

     หนึ่งสอบเข้าได้อย่างหืดขึ้นคอ ผมอยู่ม. สาม ส่วนมันอยู่ม. หนึ่ง

     “หนึ่งมีปัญหาที่โรงเรียนบ้างไหม”

     เป็นคำถามที่แม่ถามผมบ่อยๆ ผมรู้ดีว่าเพราะเหตุการณ์ในวัยเด็กทำให้แม่เอ็นดูหนึ่งเหมือนลูกในไส้

     ช่วงแรกๆ หนึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก จนพอผมขึ้นม. ปลาย หนึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักเพราะสนิทกับรุ่นพี่ม. ห้ากลุ่มหนึ่งจนผิดสังเกต และกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มหัวโจกที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกรงกลัว

     แต่สิ่งที่ผมได้ยินจากแม่ผิดไปจากที่ผมเห็น

     “ป้อง ช่วยดูหนึ่งให้ได้ไหมลูกว่าโดนแกล้งอะไรไหม”

     ผมถึงกับงุนงง “มีอะไรเหรอ?”

     “เห็นกานดาเขาบอกว่าลูกไม่ค่อยอยากไปโรงเรียนเท่าไหร่ อาจจะโดนแกล้งก็ได้”

     ผมคิดว่าน้ากานดาอาจจะเป็นห่วงลูกมากเกินไปเพราะเหตุการณ์ในอดีต และต้องยอมรับว่าผมไม่ได้ใส่ใจกับหนึ่งขนาดนั้น ทั้งเรียน ทั้งกิจกรรม และเพื่อนก็มากพอให้ผมเลิกใส่ใจกับสิ่งที่แม่บอก หนึ่งก็ดูไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถึงจะอยู่กับกลุ่มรุ่นพี่แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนโดนบังคับแต่อย่างใด

     กว่าผมจะรู้ตัว...มันก็สายไปเสียแล้ว

     เย็นวันนั้นน่าจะเทอมปลาย แม่โทรมาบอกว่าน้ากานดาชวนกินข้าว จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าในโอกาสอะไร บอกให้ผมเรียกหนึ่งมาด้วยเดี๋ยวแม่จะพาเราสองคนไปส่งที่ร้าน

     ผมโทรหาหนึ่งไม่ติดตั้งหลายรอบ อยู่ในช่วงเวลาที่เริ่มฉุนเฉียว จนตัดสินใจเดินดูที่ห้องเรียนของหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมเจอกลับทำให้ผมขาดสติ

     หนึ่งกำลังซุกหน้าอยู่ที่หว่างขาของไอ้เด็กหัวโจกคนหนึ่งที่เอามือจิกกลุ่มผมของเจ้าเด็กคนนั้น และมีอีกสามสี่คนล้อมรอบ มีเสียงขู่เบาๆ อีกต่างหาก

     ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป ตอนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อาจารย์เฝ้าเวรสองคนมาฉุดผมบอกให้หยุด ตรงหน้ามีหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นน้ำตานองหน้า ส่วนไอ้เวรที่ทำแบบนั้นนอนลงกับพื้นหัวแตก นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้ที่ขาหักอยู่ในมือของผมอีกต่างหาก ผมจึงรู้ตัวว่าตัวเองเอาเก้าอี้ทุ่มไอ้เวรนั่น

     เรื่องใหญ่จนถึงผู้บริหาร ผู้ปกครองของหัวโจกเหล่านั้นจะเอาเรื่องผมให้ได้ พร้อมกับไอ้พวกเวรเหล่านั้นที่บอกว่าหนึ่งเป็นคนร้องขอจะทำเช่นนั้นเอง ไม่ได้มีการบังคับอะไรทั้งนั้น

     แต่แล้วก็โป๊ะแตกเมื่อมีการค้นโทรศัพท์มือถือแล้วเจอคลิปที่พวกนั้นบังคับให้หนึ่งใช้ปากให้พวกมัน มีเสียงและชื่อ พร้อมคำข่มขู่ชัดเจน เจ้าพวกนั้นโดนไล่ออกพร้อมทั้งโดนพ่อของผมช่วยเพื่อที่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทีนี้พวกผู้ปกครองเหล่านั้นกลับเป็นฝ่ายกล่าวอ้อนวอน แต่พ่อของผมก็ไม่ได้ยอมแต่อย่างใด

     น้ากานดาร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดตอนรู้เรื่อง ร้องไห้เสียจนเป็นลมไปตรงนั้น

     นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่หนึ่งไม่ปรารถนาให้แม่ได้ยินเรื่องเลวร้ายจากมันอีก

     หนึ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์นั้น คงเป็นเพราะมันโดนผู้คนซุบซิบนินทาจนผมต้องยอมเลิกนั่งกินข้าวกับเพื่อนไปกินข้าวกับมัน ทำแบบนั้นอยู่ราวสองปี จนมันขึ้นม. ปลายและทุกอย่างเริ่มดีขึ้น หนึ่งมีเพื่อนกลุ่มใหม่แล้ว ผมเองก็เตรียมตัวกับการสอบม. หก

     ตอนแรกผมปรารถนาจะเรียนหมอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมมันมีดีแค่ขยัน ไม่ใช่คนหัวดี ถ้าเทียบระหว่างทันตะฯ กับสัตว์แพทย์ ผมคิดว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะกับผมมากกว่าเลยเลือกเช่นนั้น

     ในขณะที่หนึ่งเลือกเรียนสายวิทย์ – คณิต แต่ยังคงชื่นชอบในการวาดภาพ ผมมารู้เรื่องนั้นหลังจากกลับบ้านไปในช่วงปิดเทอมปีหนึ่งที่แม่เล่าให้ฟังว่าหนึ่งกับน้ากานดาทะเลาะกันใหญ่โต เรื่องที่หนึ่งอยากเรียนศิลปากรรมศาสตร์ ในขณะที่น้ากานดาอยากให้เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์

     “ป้องไปช่วยคุยกับน้องด้วยนะ”

     ผมรู้ดีว่าตัวเองช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ยอมโทรไปหาหนึ่งตามที่แม่พูดไว้... บางทีผมอาจจะพยายามหาข้ออ้างให้มีอะไรคุยกับมันก็เป็นได้

     “หนึ่งเหนื่อย” หนึ่งพูดออกมาอย่างอ่อนแรงจนผมใจหาย ฟังมันพูดเรื่องที่ทะเลาะกับแม่ทั้งที่ปกติดื้อแพ่ง แต่ยามนี้ก็พูดจาดีๆ ให้ผมฟัง “หนึ่งไม่เก่งวิทย์ ไม่เก่งเลข... แค่ชอบวาดรูปเท่านั้น”

     “ค่อยๆ คิดไปก็ได้ มีเวลาอีกตั้งปี” ผมบอกแบบนั้นเพราะว่ามันเรียนอยู่ม. ห้า “ถ้าเรียนสถาปัตย์ฯ อาจจะได้มาอยู่กับเฮียก็ได้นะ... มหา’ ลัยนี้ก็ดังอยู่”

     “อื้อ”

     จนตอนนี้ ผมก็คิดว่าเหตุใดจึงบอกมันไปแบบนั้น แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่สาเหตุที่หนึ่งยอมเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และมาเลือกสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยนี้ก็ตาม

     จะให้มันมาอยู่ข้างกายทำไม ถ้าหากสุดท้ายต้องเห็นมันบอบช้ำจากมือคนอื่น

     ผมจะให้มันมาอยู่ใกล้ๆ ทำไม ถ้าหากปกป้องมันไม่ได้

     ...แม้แต่รักษาแผลให้มัน... ผมยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป...




-------------------------------
เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ
ขออภัยที่ตอนนี้ค่อนข้างสั้น แต่เนื้อเน้นๆ เลยนะคะเนี่ย...

ชอบไม่ชอบ บอกกันได้จะดีใจมากค่ะ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2016 18:40:05 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
น่าสงสารหนึ่ง  ถูกกระทำตลอด :hao5
เฮียต้องใส่ใจหนึ่งอย่างเต็มที่ ต้องอยู่เคียงข้างหนึ่ง อย่าปล่อยมือจากหนึ่ง
ให้ความรัก ความเอื้ออาทร กับหนึ่ง  :กอด1:
ถ้าปล่อยมือจากหนึ่ง คราวนี้อาจเสียใจ เสียหนึ่งไปเลย
รอตอนใหม่   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ทารุณจริงๆ ไหวอยู่ไหมหนึ่ง ทำไมต้องโดนแบบนั้นตลอด เข้มแข็งนะหนึ่ง หลุดออกมาจากอดีตพวกนั้นให้ได้นะ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 9
‘หน้าที่’


     ผมตื่นขึ้นมาตอนที่พยาบาลและหมอเข้ามาตรวจดูอาการ ตอนนั้นหนึ่งยังไม่ตื่นดีเลยด้วยซ้ำ ผมเลยได้แต่หาววอด มองพยาบาลที่เอาม่านปิดรอบเตียงเพื่อตรวจหนึ่งให้สะดวก

     หมอมาบอกอาการกับผมว่าแม้จะมีความบอบช้ำมากแต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลนาน เพราะว่าเป็นอาการบอบช้ำที่ภายนอก จะรอดูจนกว่ามั่นใจว่าไม่มีเลือดตกภายในบริเวณใด หรือมีเลือดคั่งขึ้นมาภายในร่างกาย

     “เดี๋ยวผู้ปกครองคนไข้มา หมอจะมาแจงรายละเอียดอีกทีนะครับ”

     ผมโค้งศีรษะให้อีกฝ่าย “ขอบคุณมากครับ”

     หมอเดินจากไปแล้ว ส่วนพยาบาลบอกต้องรอสักพักกว่าจะถึงเวลากินข้าว ในห้องจึงเหลือแค่ผมกับหนึ่งเท่านั้น

     “จะเอายังไงเรื่องน้ากานดา” ผมเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านั้นลง

     หนึ่งแสดงความกังวลใจให้เห็นโดยการเม้มริมฝีปาก แต่สักพักก็ร้องออกมาเบาๆ เพราะว่าปากแตกอยู่ เห็นแล้วอยากจะตีปากมันจริงๆ เลย

     “หนึ่งไม่อยากบอกแม่”

     “หนึ่ง” ผมเรียกมันเสียงเข้ม “มึงต้องบอก”

     “...เรื่องมันจบไปแล้วนะ”

     “แล้วยังไง จะปิดน้ากานดาไปตลอดชีวิตเหรอว่ามึงโดน...” ผมกัดลิ้นตัวเอง

     คนที่สวมชุดคนไข้มองผมด้วยแววตาตัดพ้อ น้ำตาคลอหน่วยแต่ไม่ยักกะไหลลงมา หนึ่งเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนไปนอนตะแคงอีกทาง

     เด็ก

     แต่เวลาแบบนี้ หนึ่งจะทำตัวเด็กผมก็ด่ามันไม่ได้

     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง เสียงอ่อนลงกว่าแต่ก่อนหน่อย “ที่บ้านเฮียรู้แล้ว เขาก็จะช่วย... แต่จะปิดเรื่องนี้กับแม่ไปตลอดไม่ได้”

     มันเงียบไปพักใหญ่ จนผมจับสังเกตได้ว่าหัวไหล่มันสั่นเบาๆ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ และเดินไปอีกฝั่งเพื่อสบตากับมันตรงๆ หนึ่งน้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้สะอึกสะอื้นเท่าไหร่แต่แค่เห็นน้ำตามัน ก็ส่งผลให้หัวใจผมก็อ่อนยวบอีกหนจนได้

     ผมเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่ข้างเตียงคนป่วยยื่นให้มัน “เช็ดซะ”

     คนเด็กกว่าส่ายหน้า แต่ปล่อยให้หมอนซับน้ำตาไปเรื่อยๆ จนผมต้องถอนหายใจ เอื้อมมือไปดึงทิชชู่และซับน้ำตาให้มันอย่างเบามือ

     “น้ากานดาเขาเป็นห่วงนะ”

     “หนึ่งทำแม่ผิดหวัง”

     “...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอนที่มันเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและเสียงสั่นเครือเช่นนั้น

     “หนึ่งเสียใจ” มันพูดแบบนั้น ตัวงองุ้มเข้าหากัน ขดตัวให้เล็ก คว้าทั้งผ้าห่มและหมอขึ้นมาคลุมตัวเองราวกับจะหาเกราะกำบัง

     ผมดึงผ้าห่มของมันขึ้นมาให้สูงขึ้นอีกนิดก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปวาดวงแขนลงบนตัวของอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าร่างของคนข้างใต้นั้นสั่น นั่นยิ่งทำให้ผมเจ็บใจ

     ผมรู้ดี... ผมพลาดไปหมด

     ไม่รู้ว่ามันชอบผู้ชาย ไม่รู้ว่ามันมีแฟน ตอนที่มันแอบย้ายไปอยู่กับแฟนผมก็ไม่ได้ห้ามไว้ ไม่คิดกระทั่งตามหาว่าแฟนมันเป็นคนอย่างไร มาเอื้อมมือจับมันไว้ในตอนที่มันโดนกระทำไปเสียแล้ว

     ผมขบฟันกรอดยามที่ทุกอย่างตอกย้ำว่าผมมันเป็นคนห่วยแตกเพียงใด

     “เฮีย... หนึ่งเจ็บ...”

     เมื่อได้ยินเสียงบ่นอู้อี้เบาๆ จากคนใต้ผ้าห่มผมเลยปล่อยมือเสียไม่ได้ หนึ่งเอาผ้าห่มที่คลุมบริเวณศีรษะออก มองผมตาขวางแต่ดูก็รู้ว่าไม่จริงจังเท่าไหร่

     “เหม็น” มันบ่นพลางย่นจมูกใส่ผม “เฮียยังไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม”

     ไอ้เด็กปากเสีย ผมกลอกตาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ผมเพิ่งได้อาบน้ำหลังจากเรื่องยุ่งๆ เสร็จเมื่อคืน แต่มันก็เป็นการอาบน้ำลวกๆ ที่โรงพยาบาลเท่านั้นแหละ สุดท้ายผมก็เลยได้แต่เอื้อมมือไปดีดหน้าผากของมันเบาๆ แต่หนึ่งเล่นโอดโอยจนดูสำออย เล่นเอาผมรู้สึกหมั่นไส้ ยังมีหน้ามาทำตัวดีดดิ้นทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ ตายังไม่หายบวมจากเรื่องเมื่อคืนเลยด้วยซ้ำไป แป๊บเดียวก็กลับมาแดงอีกแล้ว

     ไม่นานพี่พยาบาลก็เอาอาหารมาให้ ตอนนั้นเองที่หนึ่งเงยหน้าขึ้นมองผม
   
     “เฮียไม่ไปเรียนเหรอ”

     “เออ”

     มันทำหน้าตกใจนิดหน่อย “โดดเรียนเป็นด้วยเหรอเฮียน่ะ”

     “ไม่ใช่โดดเรียนสักหน่อย” ผมเอ่ยปาก “ติดธุระต่างหาก”

     ก็ต้องยอมรับว่าผมไม่เคยโดดเรียนเลย เข้าเรียนประจำถ้าหากไม่ยกคลาส หนึ่งเองก็ชอบพูดแต่เด็กว่าผมเป็นเด็กเนิร์ดแค่ไม่ได้ใส่แว่น เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ วันๆ ก็ไปกลับแค่มหา’ ลัยกับที่คอนโด ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษเท่าไหร่นัก ผิดกับหนึ่งที่ชอบใช้ชีวิตกับเพื่อนฝูง เที่ยวนู่นเที่ยวนี่

     ผมปล่อยให้มันกินข้าวอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหิวนิดหน่อยเพราะข้าวเย็นเมื่อวานก็ไม่ได้กิน แต่ก็ไม่อยากทิ้งให้มันอยู่คนเดียวแม้จะจ้างพยาบาลพิเศษก็ตามที

     “เฮีย”

     ผมเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ หนึ่งก็ลดมือที่ถือช้อนลงทั้งที่ยังกินข้าวไปเพียงนิดเดียว “มีอะไร?”

     “...หนึ่งตามกริชไปเองแหละ” คำพูดของมันทำให้ผมนิ่งงัน รู้ดีว่ามันหมายถึงเรื่องเมื่อวาน พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร หนึ่งก็เค้นหัวเราะออกมาราวกับสมเพชตัวเองเต็มแก่ “หนึ่งโง่เนอะ...ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่”

     “แล้วมึงคิดอะไรอยู่ล่ะ”

     “หนึ่งบอกว่าหนึ่งไม่รู้” คำตอบของมันทำให้ผมรู้ดีว่าคำถามตัวเองดูงี่เง่าแค่ไหน “แต่... หนึ่ง...” มันเม้มริมฝีปากเข้าหากันราวกับชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่

     ความเงียบแทรกเข้ามาอีกแล้ว ผมได้ยินเสียงดังแกร๊งที่เกิดจากการวางช้อนลงบนจานเบาๆ    

     “จริงๆ หนึ่งไม่มั่นใจเลย... ว่าหนึ่งเคยรักมันไหม” มันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมไม่มั่นใจว่ามันพูดกับผมอยู่ หรือกำลังพยายามพูดกับตัวเอง “กริชจีบหนึ่งตั้งแต่ขึ้นปีหนึ่งเลย... แค่เดือนเดียวหนึ่งก็ยอมตกลงแล้ว”

     “...”

     “ตอนนั้นหนึ่งแค่คิดว่า อา ถ้าเป็นคนนี้ก็คงดีสินะ อะไรประมาณนั้น”

     “คนนี้มันดีตรงไหน” ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

     “เหมือนพ่อ”

     “...”

     “ตอนหนึ่งเห็นกริช...หนึ่งคิดถึงพ่อ”

     ผมไม่รู้จะพูดอะไร เคยอ่านมาบ้างว่าเด็กที่ปกติสนิทกับแม่มักจะมีโอกาสเบี่ยงเบนทางเพศสูง แต่ไม่ใช่แค่นั้น ในวัยเด็กหนึ่งไม่เคยได้รับความรักจากพ่อ หรือบางทีก็เป็นความสัมพันธ์ผีเข้าผีออก เดี๋ยวก็ใจดี เดี๋ยวก็โมโหร้าย ลึกๆ แล้ว มันเองก็คงปรารถนาความรักจากคนเป็นพ่อ

     ถ้าหากเจอคนที่ทำให้มันคิดถึงพ่อ... มันอาจจะ ‘โหยหา’ บ้าง โดยที่มันไม่รู้ตัว

     “แต่ก็นั่นแหละ... หนึ่งบ้าเอง ยังไงมันก็ไม่ใช่เสียหน่อย” มันเค้นยิ้ม “อีกอย่างนะเฮีย ถ้ามามองดูตอนนี้ หนึ่งแม่งก็ง่ายนี่นา ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย คบแป๊บเดียวก็ได้หนึ่งแล้ว แถมหนึ่งยังยอมย้ายไปอยู่กับมันตามที่มันขอด้วย”

     “...ผู้ชายตอนมันอยากได้มันก็ทำทุกอย่างนั่นแหละ”

     “เฮียไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”

     คำพูดของมันทำให้ผมบดกลีบปากเข้าหากัน หนึ่งพูดมันโดยไม่ได้มองหน้าผมเลยแม้แต่น้อย

     “เคยเห็นกูจีบใครหรือยังล่ะ” ผมอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ

     “นั่นสิ หนึ่งไม่เคยเห็นเฮียจีบใครเลยสักคน” มันทำท่ากรุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนที่จะหันมายิ้ม “แต่ถึงเฮียจะจีบใคร เฮียก็ไม่ทำแบบนี้หรอก”

     “ปัญญาอ่อน”

     “อืม...” มันไม่ได้เถียง ซึ่งผิดวิสัยมันมากโข “หนึ่งมันก็บ้าจริงๆ นั่นแหละนะ”

     “...”

     “หนึ่งขอโทษนะเฮีย”

     ผมเค้นยิ้มออกมาบางๆ ยามที่ได้ยินคำนั้น สรุปแล้วที่มันพูดมาทั้งหมดเพียงเพราะคำนี้อย่างนั้นหรือ

     พอคิดเช่นนั้นผมก็เบือนหน้าหนี “ไม่เป็นไร” กล่าวออกมาสั้นๆ เท่านั้น

     “เฮียเป็นฮีโร่ของหนึ่งตลอดเลย”

     ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะเอ่ยอะไรแบบนี้ออกมาทำไม คำพูดที่เหมือนเด็กทำให้ผมนึกขันแต่ยามนี้กลับหัวเราะไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
   
     ...ถ้าผมเป็นฮีโร่จริงๆ... ผมคงไม่ปล่อยให้มันเกิดครั้งที่สอง...

     ...ถ้าผมเป็นฮีโร่... หนึ่งคงไม่มีแผลมากมายขนาดนี้

     มันคงไม่ได้บอบช้ำทั้งกายและใจ

     โดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว



     นานทีเดียวกว่าโอ๊ตและผู้หญิงอีกสองคนที่เป็นกลุ่มของหนึ่งจะมา น่าจะสักสิบโมงได้ล่ะมั้ง มีทั้งของเยี่ยมที่ผมบอกให้เอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นในห้อง รวมไปถึงกระดานและอุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ ที่มักจะเห็นเด็กสถาปัตย์หิ้วไปไหนมาไหนด้วย ผมจึงถือจังหวะนั้นบอกพวกเด็กๆ ว่าจะไปกินข้าวและเอาของที่หอ

     “เฮียหยิบโน๊ตบุ๊คมาให้หนึ่งด้วย”

     ผมครางในลำคอรับคำ อีกฝ่ายเลยหันไปคุยกับเพื่อนต่อในขณะที่ผมคว้ากุญแจห้อง มือถือ กระเป๋าสตางค์และกุญแจสำหรับมอเตอร์ไซค์เดินออกไป

     แต่พอผมปิดประตูลง ไม่ทันได้เดินไปไหนก็มีคนเปิดประตูเดินตามออกมา

     “เฮีย ผมขอโทษ”

     “ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัด

     โอ๊ตทำหน้ารู้สึกแย่ราวกับจะร้องไห้ มันยกมือขึ้นไหว้ “ผมขอโทษจริงๆ นะเฮีย”

     “ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามันไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นกูก็คิดอย่างนั้น”

     ผมพูดตามที่คิด แม้เคืองแต่รู้ดีว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะเกิดเหตุขึ้นแค่จากเซเว่นจนถึงหอที่ห่างกันไม่ถึงสองร้อยเมตรด้วยซ้ำ แต่พอเห็นว่ามันยังทำหน้าไม่สู้ดีอยู่ผมเลยเอื้อมมือไปตบบ่ามันเบาๆ

     “ถ้ารู้สึกผิดนัก หลังจากนี้ก็ช่วยกรองคนที่มาจีบมันดีๆ แล้วกัน”

     ไอ้โอ๊ตก้มหน้าเจื่อนๆ ของตัวเองลง “ครับ”

     “แล้วก็...” ผมชั่งใจเล็กน้อยว่าควรพูดออกไปดีไหม แต่คิดว่าคงไม่เป็นไร “ถ้าหากมีอะไรท่าไม่ดี ไม่... ถ้ามีอะไรเกี่ยวกับมัน ก็บอกเฮียแล้วกัน”

     อีกฝ่ายทีหน้างุนงง แต่ก็พยักหน้ารับคำอย่างง่ายดาย

     ผมยกมือโบกลาอีกฝ่าย ถึงกระนั้นก็ได้ยินเด็กคนนั้นเอ่ยปากพึมพำเพราะว่าผมยังเดินออกมาไม่ไกล

     “พี่หรือพ่อวะนั่น”

     “ช่วยไม่ได้... เป็นหน้าที่ว่ะ”

     ผมหันกลับไปพูดกับมัน ไอ้โอ๊ตสะดุ้งนิดหน่อย ยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยปากขอโทษโดยฉับพลัน ก่อนที่จะรีบกลับเข้าไปหาเพื่อนมันในห้อง

     พอโอ๊ตกลับเข้าห้องไปผมก็เดินไปกดลิฟต์ ลงไปหาอะไรกินที่โรงอาหารของโรงพยาบาลคงจะสะดวกที่สุดแล้ว แต่พอคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกในเบอร์ล่าสุด

     ไม่นานนัก ปลายสายก็กดรับ

     “หนึ่งเป็นยังไงบ้าง” พี่ลูกปลากรอกเสียงมารวดเร็วเหลือเกิน

     ผมบอกอาการกับพี่สาวตามที่หมอบอกทุกคำ พร้อมกับบอกว่าจะต้องรอให้ผู้ปกครองมาเจอหมออีกทีจะได้บอกอาการละเอียดกว่านี้

     “แล้วก็... เรื่องน้ากานดา”

     “อ๋อ นั่นสิ หนึ่งว่ายังไงบ้างล่ะ”

     “มันก็ยังไม่อยากให้บอกน้าแกอยู่ดี” ผมได้ยินปลายสายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับพึมพำว่าก็คิดไว้แล้วล่ะนะ “ถ้ารบกวนให้พี่มาเป็นผู้ปกครอง หรืออาจจะพ่อแม่เรา...”

     “เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องนี้ให้แล้วกัน”

     “ขอบคุณครับ” ผมกำลังจะกดวางสาย แต่มือก็ต้องชะงักไปเมื่อพี่สาวเกิดเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน

     “ปกป้อง” พี่ลูกปลาเรียกชื่อจริงของผมอีกแล้ว “เราไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะ”

     ผมเงียบ ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดแต่รู้ดีว่ามือของตัวเองเผลอกำโทรศัพท์ด้วยแรงที่มากกว่าเดิมนิดหน่อย หัวใจเต้นระรัว ราวกับจะสูบฉีดเลือดในกายให้พุ่งพล่าน

     “มันไม่ใช่เรื่องของแกด้วยซ้ำที่จะต้องดูแลหนึ่ง”

     “ไม่ครับ” ผมตัดบท “มันเป็นเรื่องของผม”

     “ปกป้อง!”

     “ขอโทษด้วยนะพี่ เดี๋ยวผมไปกินข้าวแล้ว”

     ผมได้ยินเสียงโวยวายออกมาจากโทรศัพท์แต่แกล้งเมินเฉย กดตัดสายไปเสีย คิดออกเลยว่าเจ้าหล่อนจะต้องหัวเสียมากแน่ๆ ที่โดนผมตัดสายใส่

     ริมฝีปากบดเข้าหากันยามที่ขบคิดเรื่องบางอย่างที่ย้อนแย้งกันภายในตัวเองก่อนที่จะโยนมันทิ้ง และเดินไปหาโรงอาหารเพื่อหาอะไรให้ตกถึงท้องเสียที

     

     หลังจากกลับหอเพื่ออาบน้ำและหยิบหนังสือกับงานต่างๆ ไปเคลียร์ที่โรงพยาบาล รวมถึงโน๊ตบุ๊คที่หนึ่งเอ่ยปากให้ผมเอาไปด้วย ผมก็จัดการไลน์ไปบอกเพื่อนว่าวันนี้ไม่เข้าเรียน (ซึ่งมันอาจจะรู้แล้วตั้งแต่เช้า) หรืออาจจะเลยไปถึงพรุ่งนี้ด้วย จากนั้นก็ปิดโทรศัพท์ ไม่อ่านคำถามใดๆ ที่ไอ้ภีมกับไอ้กันต์ส่งมาทั้งนั้น

     ผมเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลหลังจากนั่งพักอยู่ที่หอราวชั่วโมงหนึ่งเผื่อว่ามันจะได้อยู่กับเพื่อนให้มากหน่อย และผมก็ไม่อยากหอบของเยอะๆ ไปนั่งที่อื่นในโรงพยาบาล

     ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนที่รอลิฟต์ หวังว่ามันคงจะอยู่กับเพื่อนจนพอแล้ว ผมจะได้เข้าไปแล้วไม่กระอักกระอ่วน

     พอเดินเข้ามาที่หน้าประตูห้องก็ไม่ได้ยินเสียงใด ทำให้ผมคิดว่าบางทีเพื่อนของหนึ่งอาจจะออกไปแล้วจริงๆ เลยจัดการเคาะประตูนิดหน่อยแล้วจึงพอเปิดประตูออกไป ผมกลับต้องตกใจเสียแทนเมื่อไม่คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะมาอยู่ในห้องแห่งนี้

     “น้ากานดา...”





------------------------------------------
เอาจริงๆ ก็ไม่รู้จะคุยอะไรน่ะนะ (ฮา) เราจะมาพูดถึงเรื่องของหนึ่งกับพ่อกันดีกว่าค่ะ จริงๆ แล้วแอบใส่ไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ตัว “พ่อ” เป็นตัวตนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลกับหนึ่ง
พอสมควร เด็กในวัยนั้นเด็กนะ อาจจะจำเรื่องราวไม่ค่อยได้ แต่แนวโน้มที่ทำให้หนึ่งสนใจเพศเดียวกันคือ

1. หนึ่งสนิทกับแม่
2. หนึ่งโหยหาความรักจากพ่อ (ผู้ชาย)

จริงๆ แล้วนิวพยายามใส่ใจในรายละเอียดมาก อย่างเช่น เรื่องที่หนึ่งต้องประคองน้ากานดาเวลาเดินตลอด ย้อนกลับไปตอนที่แล้วจะรู้ว่าน้ากานดาเคยได้รับการบาดเจ็บเรื่องขา หรือว่าเรื่องที่ตอนแรกหนึ่งก็ค่อนข้างรู้สึกโอเคกับเซ็กส์ที่เจ็บปวดนิดๆ ฯลฯ เดี๋ยวเอาไว้เรื่องจบแล้วจะเอาแหล่งอ้างอิงมาให้นะคะ

อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปอ่านได้ค่ะเผื่อมีอะไรฉุกใจอีก เอาไว้เดาเรื่องต่อ (ฮา)


เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ตอนนี้ก็ละเอียดขึ้นนะคะ มองเห็นภาพตามในเกือบทุกฉาก เช่นตำแหน่งของแขน และสีหน้าในอารมณ์ต่างๆ และพออ่านตอนนี้แล้ว เรารู้สึกว่า ปกป้องเว้นระยะห่าง แทนที่จะแสดงว่ารักออกมา ทำไมก็ไม่รู้ อ่านไปก็ลุ้นไป

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ปกป้อง รู้สึกไม่ดีที่ปกป้องหนึ่งไม่ได้
รอ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
สงสารเฮียคงรู้สึกผิดมาก

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
เฮียทำดีที่สุดแหล่ะ

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ทำไมน้ากานดารู้ พี่ปลาหรอ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 10
‘ขอขมา’



     ผมมองผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อได้สติก็รีบเบนสายตาไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียง หนึ่งนอนหลับตาพริ้ม หายใจสม่ำเสมอ คงอยู่ในห้วงนิทรา

     “ป้องไม่ไปเรียนหรือจ๊ะ” คำถามของน้ากานดาทำให้ผมหันกลับมามองท่านใหม่

     “ไม่...ไม่ไปครับ”

     “งั้นหรือ” ท่านพยักหน้า

     “น้ากานดามาได้ยังไงครับ ใครบอก”

     “พี่แม่เรานั่นแหละ แม่เราเองก็มาด้วยนะ แต่ไปซื้อขนมอยู่ เลยให้น้าขึ้นมาก่อน”

     ท่าทางของน้ากานดาที่ดูเหมือนปกติทำให้ผมเป็นกังวล รู้ตัวว่าฝ่ามือของตัวเองชื้นเหงื่อ ตอนนี้น้ากานดาคงยังไม่รู้เรื่องรู้รายละเอียดอะไรเพราะท่าทางสงบผิดวิสัย แม้รอบดวงตาจะแดงก่ำหน่อยก็ตาม   

     “หนึ่ง...” ผมเว้นจังหวะไปชั่วครู่ “หนึ่งรู้รึยังครับว่าน้ามา”

     “ยังเลยจ้ะ น้าขึ้นมาก็หลับอยู่เลยไม่อยากปลุก” แกว่าพลางเหลือบมองลูกชายตัวเองที่มีแผลเต็มตัว แววตาคลอหน่วยก่อนที่จะหันมามองผม “เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะป้อง”

     “...”

     “เล่าให้น้าฟังได้ไหม”

     ริมฝีปากของผมบดเข้าหากัน คำพูดของหนึ่งที่ขอร้องอ้อนวอนบอกว่าอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ตนผสมปนเปกับคำพูดของพี่ปลาที่บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของผม

     ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจไม่ได้ ประตูที่ผมเพิ่งเปิดเข้ามาก็เปิดออก คราวนี้เป็นแม่ของผมเอง

     “อ้าว หนึ่งยังไม่ตื่นหรือ” ผมหันไปมองแม่ พยักหน้าให้เล็กน้อยแทนคำตอบ “หนึ่งก็คงจะเพลียล่ะนะ...”

     บทสนทนาของผมกับน้ากานดาจบลงแล้ว ผมนึกขอบคุณที่แม่เปิดประตูเข้ามาได้ถูกจังหวะเหลือเกิน ไม่เช่นนั้น ผมก็ไม่มั่นใจว่าผมจะทำอะไรต่อ

     น้ากานดาจัดการปอกฝรั่งที่ซื้อมา แช่ไว้ในตู้เย็น บอกว่าถ้าหนึ่งตื่นขึ้นมาจะได้กินของโปรดได้สะดวก

     หลังจากนั้นแม่กับน้ากานดาก็ไปหาหมอ คุยอาการของหนึ่งโดยที่ผมทำเพียงนั่งอ่านหนังสือในห้องพักที่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงแอร์และเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนไข้อย่างหนึ่งเท่านั้น

     เนื้อหาเหล่านั้นไม่เข้าหัวผมเท่าไหร่ ในหัวผมขบคิดเรื่องต่างๆ จนเวียนหัว ผมเข้าใจที่หนึ่งไม่อยากบอกแม่ตัวเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็เข้าใจว่าน้ากานดาต้องรับรู้ความจริง ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่มองหน้าหนึ่งที่นอนหลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว บางคราก็นึกอยากให้หนึ่งเป็นเด็กที่โชคร้ายน้อยกว่านี้ ผมจะได้ด่ามันได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเอาแต่สร้างปัญหาให้ผมปวดหัวไม่เว้นวัน

     สุดท้ายผมก็ปิดหนังสือตรงหน้า เดินไปยืดเส้นยืดสายรอบห้อง และทิ้งกายลงบนเก้าอี้ข้างๆ เตียง

     หนึ่งนอนหลับตาพริ้ม สภาพดูดีกว่าเมื่อคืนแต่ก็รู้ว่าหนึ่งไม่สามารถลืมฝันร้ายที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งในชีวิตได้ง่ายๆ เป็นแน่ พอนอนหลับ หนึ่งก็ชอบขดตัวงองุ้มเหมือนสัตว์เล็กๆ ที่ต้องรักษาความอบอุ่นในร่างกาย

     ผมถอนหายใจ หยิบผ้าห่มปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ถึงช่วงเอว พยายามจัดมันอย่างเบามือเมื่อเห็นหนึ่งครางออกมาเบาๆ คล้ายจะเจ็บปวด

     ไม่นานหลังจากนั้น ประตูห้องคนไข้ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง คุณแม่สองคนเดินเข้ามาโดยที่น้ากานดาตาแดงก่ำ เล่นเอาริมฝีปากของผมบดเข้าหากันแน่น

     หรือว่าน้ากานดาจะรู้ความจริงแล้ว

     “เดี๋ยว...” ผมแทบลืมหายใจตอนน้ากานดาเอ่ยออกมาเสียงสั่นๆ “น้าไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่านะจ๊ะ”

     ผมมองน้ากานดาที่พูดอย่างนั้น รีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปข้างนอก หันไปมองแม่ แม่ผมก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องตามไปจะเป็นทางที่ดีกว่า

     ผมมองให้แน่ใจว่าน้ากานดาไม่ได้แอบฟัง แล้วจึงพูดขึ้น

     “น้ากานดารู้เรื่องแล้วหรือครับ”

     “ก็โกหกไปนิดหน่อย” แม่ว่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ปลาบอกแม่แล้วว่าเราไม่อยากให้บอกแม่ แต่... ป้อง คนเป็นแม่น่ะ เห็นลูกเจ็บก็ใจจะขาดแล้วนะรู้ไหม”

     ผมเม้มปาก ก้มหน้า “ครับ”

     “แม่เข้าใจว่าหนึ่งก็ไม่อยากให้บอก เราเองก็ตามใจหนึ่ง ใช่ไหมล่ะ... แต่ยังไงก็ปิดไปตลอดไม่ได้หรอกนะ นี่ก็บอกแม่เขาไปว่าหนึ่งทะเลาะกับเพื่อนจนมีเรื่องมีราว” แม่เอามือกุมขมับ นวดเล็กน้อย ทำสีหน้าราวกับหัวกำลังจะระเบิด “จริงๆ เลย...”

     “ขอโทษครับ”

     “ขอโทษทำไม? แม่ไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดของเราสักนิด”

     “...”

     แม่มองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเบนสายตาไปทางคนที่นอนหลับบนเตียงแล้วก็เอามือปัดไปมา

     “ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รอจังหวะดีๆ แล้วค่อยบอกแม่เขาแล้วกัน”

     “ครับ” ผมได้แต่พูดคำนั้น

     “อ๋อ” แม่ทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวเย็นนี้ทางนั้นจะมาขอขมานะ แม่คงไม่อยู่ด้วย แต่ว่าพ่อหรือปลาคงจะมาแทน เรากลับไปก็ได้มั้ง”

     ผมนิ่งไป มือกำแน่นเมื่อได้ยินคำว่าทางนั้น

     ภาพในอดีตหวนกลับมา แม้จะใช้คำว่าขอขมา แต่จริงๆ แล้วมันก็คือการมาขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสมเพชให้พวกเราปล่อยปละละเลยเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนที่หนึ่งอยู่ม.ต้น พ่อแม่ของเด็กกลุ่มนั้นมาขอขมากับพ่อผมแทนที่จะเป็นน้ากานดา เพราะมันไม่ใช่การขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ แต่มันเป็นการขอให้คนมีอำนาจให้อภัย บางคนก็เอาเงินมาเป็นก้อนหวังจะฟาดหัวด้วยซ้ำไป

     ผมนึกขยะแขยง... ยามที่เห็นหนึ่งถูกทำเหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นสิ่งของ

     ราวกับมีเด็กๆ ทำของซื้อขายเสียหาย แล้วพ่อแม่ก็จ่ายค่าทดแทนให้โดยเด็กๆ ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด

     ...ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง



     หนึ่งตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นราวสองชั่วโมง พอมันเห็นน้ากานดาอยู่ตรงหน้ามันก็ร้องไห้โฮ ผมไม่มั่นใจว่านั่นเป็นเพราะหนึ่งคิดว่าแม่ของตนรู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือเปล่า แต่มันก็ทำเพียงสะอึกสะอื้นอย่างเดียว ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันร้องอยู่พักใหญ่ เหมือนเป็นเด็กน้อยในอ้อมกอดของน้ากานดา

     แม้ว่าหนึ่งจะโตแค่ไหน พยายามแสดงความเข้มแข็งมากมายเพียงใด ลึกๆ แล้วมันก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้นและเป็นเด็กที่แสนจะบอบช้ำเสียด้วย

     หลังจากนั้นหนึ่งก็นอนหลับไปใหม่ แม่ของผมกลับบ้าน ในขณะที่น้ากานดาบอกกับผมว่าจะอยู่จนทางนั้นมาขอขมา

     “ป้องจ๊ะ”

     “ครับ” ผมขานรับเบาๆ

     น้ากานดาเงียบไปชั่วครู่ เอื้อมมือที่ผอมบางไปลูบศีรษะของลูกชายตัวเองอย่างแผ่วเบา

     “หนึ่งไม่ได้โดนทำอะไรใช่ไหมจ๊ะ” คำพูดของน้ากานดาทำให้ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบากไม่ใช่น้อย “ไม่ได้อยู่คนเดียวแบบไม่มีเพื่อน หรือโดนใคร... แกล้ง...”

     “...” ผมได้แต่กำมือแน่น มองผู้หญิงตรงหน้าที่พูดถ้อยคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     “หนึ่ง...แค่ทะเลาะกับเพื่อนจริงๆ ใช่ไหมจ๊ะ”

     ผมพูดไม่ออก

     ตอนที่น้ากานดามองผมราวกับจะขอร้อง อ้อนวอน ราวกับจะบอกให้ผมช่วยยืนยันว่าสิ่งที่น้าแกได้รับรู้มาเป็นเรื่องจริง...ทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้น ผมรู้สึกเหมือนความจริงกำลังกระจุกอยู่ที่คอ แต่พอคิดถึงคนที่เพิ่งร้องไห้และนอนหลับ ผมก็กลืนทุกอย่างลงคอให้มันปั่นป่วนในท้องผมแทน

     “ครับ”

     “...”

     “แค่นั้นจริงๆ”
   
     พอได้ยินคำตอบเช่นนั้น น้ากานดาก็พยักหน้า “จ้ะ” เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่จะพูดถ้อยคำเดิมๆ ให้ผมได้ยินอีกครั้ง “ฝากป้องด้วยนะ”

     “...”

     “ดูแลน้องให้น้าทีนะจ๊ะ”

     ผมเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็พยักหน้า “ครับ”

     แม้ลึกๆ ภายในใจผมจะเผลอคิดว่า บางที... หากจะมีคนสักคนที่ต้องไปขอขมาน้ากานดาจริงๆ คนนั้นควรจะต้องเป็นผมเสียมากกว่าก็ตามที

     ผมกับน้ากานดาไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก ผมเริ่มกลับมาใจจดใจจ่อกับหนังสืออีกครั้ง ส่วนน้ากานดาก็จัดการนู่นนี่ไปเรื่อยๆ สักพักท่านก็บอกผมว่าอยากจะลงไปเดินข้างนอกเสียหน่อยตอนที่หมอเข้ามาตรวจอาการคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งหนึ่ง ผมเลยรับอาสาบอกว่าถ้าหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วผมจะโทรไปบอกเอง

     พอตรวจเสร็จหนึ่งก็นอนหลับต่อ คงเป็นเพราะเพลีย น่าจะสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงได้ ประตูถูกเปิดออก คราวนี้ไม่ใช่น้ากานดาแต่เป็นพ่อกับพี่สาวของผมเอง

     “น้ากานดายังไม่มาเหรอ” พี่ลูกปลาเอ่ยปากถาม

     “ลงไปเดินแถวๆ นี้ล่ะมั้ง เดี๋ยวก็คงมา” ผมตอบไปตามจริง “ทางนั้นจะมากันกี่โมงนะ”

     พ่อก้มมองนาฬิกา “อีกชั่วโมง โทรไปบอกเวลากานดาหน่อยก็ดี”

     “ครับ” ผมพยักหน้า ทำตามที่พ่อบอก

     คุยนิดหน่อยก็วาง ปลายสายตอบรับบอกว่าอีกสักพักจะขึ้นมา น้ากานดาไม่ได้ไปไหนไกลแต่ไปเดินแถวๆ นี้จริงตามที่ผมคาดไว้

     ผมกับครอบครัวคุยกันไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พยาบาลเอาอาหารเย็นมาให้หนึ่งทานพร้อมกับยา น้ากานดากลับขึ้นมาบนห้องตอนหนึ่งทานข้าวเสร็จพร้อมซื้ออาหารนู่นนี่มาให้พวกเราทานกันที่นี่เลย เมื่อมื้ออาหารจบลง ผมเป็นคนอาสาล้างจาน

     ขณะที่ผมอยู่ที่หน้าอ่าง ประตูก็เปิดพร้อมกับเสียงไม่คุ้นหู
   
     “สวัสดีครับ”

     ผมชะโงกหน้าออกไป รู้สึกเลือดในกายเดือดพล่านยามเห็นไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้หนึ่งมานอนโรงพยาบาลพร้อมๆ กับชายหญิงวัยกลางคน ซึ่งผมคิดเองว่าเป็นพ่อกับแม่ (หรืออาจจะแม่เลี้ยง) ของมัน

     ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีกระเช้าของเยี่ยมไข้นิดหน่อยในมือกริช โดยมันเอาวางไว้ให้หนึ่ง และก้มลงกราบเท้าคนที่มีตำแหน่งเป็นนายพล พ่อของผมเลยได้แต่บอกว่าคนที่ควรขอขมาจริงๆ แล้วคือน้ากานดาที่เป็นแม่ สังเกตได้เลยว่าสีหน้าสองพ่อลูกดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำตามที่บอก โดยเฉพาะกริชที่ก้มลงกราบแม่ของหนึ่ง บอกคำว่าขอโทษ

     ผมมองหนึ่งที่อยู่บนเตียง มันมองคนที่ก้มกราบแม่มันด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก แต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ

     ไม่นานครอบครัวนั้นก็ออกไป ทุกอย่างเงียบสงบจนน่าใจหายตอนที่น้ากานดาบอกว่าขอให้อโหสิกรรมให้กันและกัน โดยที่ตัวผมไม่มั่นใจว่า ถ้าน้ากานดารู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด น้ากานดาจะยังสามารถพูดเช่นนั้นได้อยู่ไหม   

     พอทุกอย่างเสร็จสิ้นพ่อกับพี่สาวของผมก็ชวนให้ผมกลับบ้าน แต่เพราะพรุ่งนี้ยังต้องมาเรียนผมเลยต้องปฏิเสธไป และบอกว่าจะไปนอนหอเอง

     “น้ากานดาละครับ”

     “จริงๆ แม่อยากจะค้าง...” หล่อนไม่ได้พูดกับผม แต่พูดกับลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง

     หนึ่งทำหน้ายุ่ง “ไม่เอาน่า หนึ่งไม่เป็นอะไรสักหน่อย กลับไปเถอะ พรุ่งนี้แม่ก็ต้องไปทำงานอีกไม่ใช่เหรอ”

     พอคนเป็นลูกเอ่ยปากแบบนั้น น้ากานดาก็ทำท่าทางลังเลอยู่พักหนึ่ง พ่อผมจึงบอกว่ากลับไปก็ได้เดี๋ยวทางนี้จะไปส่งที่บ้าน สุดท้ายน้ากานดาก็ยอมแพ้

     “ป้องจะกลับเลยไหมจ๊ะ”

     “ไม่ล่ะครับ คงอีกสักพักหนึ่ง” ผมตอบไปตามที่คิด

     พี่ลูกปลามองหน้าผมด้วยแววตาไม่สบายใจนัก แต่ผมแกล้งทำเป็นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     น้ากานดาคุยกับลูกชายอีกสองสามคำ ปล่อยให้ลูกชายกอดและหอมแก้ม ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมๆ กับพ่อและพี่ของผม

     พอประตูปิดลงผมก็รู้สึกถึงความเงียบที่น่าอึดอัดแทรกตัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่หนึ่งจะเป็นคนทำลายมันก่อน

     “เฮียจะไม่กลับเหรอ”

     “อีกสักพัก”

     หนึ่งส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ “จริงๆ เฮียกลับไปเลยก็ได้นะ”

     “ช่างกูเถอะน่า” ผมลุกจากโซฟาที่ติดผนัง เดินไปนั่งใกล้ๆ หนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงกลางห้องเพื่อให้คุยกันได้สะดวกมากขึ้น “กินยาหลังอาหารแล้วใช่ไหม”

     หนึ่งพยักหน้า “เฮียเหมือนพ่อเลยนะเนี่ย” พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ

     ผมได้แต่มองมัน ไม่ได้พูดอะไร สักพักเสียงหัวเราะที่แสนเจื่อนนั่นก็หยุดลง

     “เดี๋ยวมันก็ทำเรื่องลาออกแล้ว” ผมบอกไปตามจริง “อยู่โรงพยาบาลแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ไปเรียน แต่อย่าเพิ่งทิ้งล่ะ เดี๋ยวเรียนไม่จบเทอมนี้กันพอดี”

     “เฮียแม่ง” มันบ่น มองค้อนปะหลับปะเหลือก “รู้แล้วน่ะ ถึงได้บอกให้เอาโน้ตบุ๊กมาให้ไง”

     “แต่ช่วงนี้ก็นอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยทำงานก็ได้”

     “เอ้า เอายังไงวะเฮีย” มันพูดเช่นนั้นแต่ก็ยังยอมให้ผมปรับให้เตียงเอนลงโดยดี หนึ่งนอนเอียงตัวมาทางผมเล็กน้อย ขยับมากไม่ได้เพราะเจ็บแขนอยู่ “แม่ยังไม่รู้ใช่ไหมเฮีย”

     ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “เดี๋ยวผ่านไปสักพักค่อยบอก ให้เรื่องมันจบก่อน”

     “อื้อ” มันส่งเสียงตอบรับ “ขอบคุณนะ”

     ผมไม่รู้จะตอบอะไร เอื้อมมือไปสัมผัสผมเส้นเล็กของหนึ่งอย่างแผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วลงบนเส้นผมและมองหน้ามันตรงๆ หนึ่งเองก็มองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเบนสายตาไปทางอื่น มันเลียริมฝีปากที่ยังซีดและแห้งของตัวเองเบาๆ   

     “อย่าเลียสิ” ผมเลื่อนมืออีกข้างไปแตะปากมันตรงๆ

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็สะดุ้ง ย่นคอหนี “ฮะ เฮีย...” มันเรียกผมอย่างแผ่วเบา

     ผมมองหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา มันสบตาผมตรงๆ เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะผลุบตาลงต่ำ มือเปลี่ยนมาวางอยู่บนมือของผม ไม่ผลักออก แต่ก็ไม่ได้เกาะกุมไว้

     ริมฝีปากหนึ่งขยับอีกเบาๆ ผมคิดว่ามันน่าจะเรียกชื่อผมแบบไร้เสียง แต่ในวินาทีนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นของน้ากานดา และตามมาด้วยเสียงที่บอกให้ผมช่วยดูแลหนึ่งที่ได้ยินเป็นประจำ

     ผมเม้มปาก ชักมือกลับในทันที

     หนึ่งเองก็ดูงุนงงไม่น้อยเมื่อผมลุกขึ้นยืน จัดการเก็บข้าวของที่หยิบมาพร้อมกับเอา Power Bank และสายชาร์ตโทรศัพท์ให้มัน

     “ก่อนนอนอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ” ผมว่าเสียงเรียบ “พรุ่งนี้กูคงมาตอนบ่ายๆ นะ”

     “อะ อื้อ...” คนบนเตียงตอบรับเสียงเบา

     ผมคว้ากระเป๋าเดินออกมาจากห้องโดยไม่ได้เอ่ยคำลาใด ไม่ได้มองมันตอนประตูปิดลง พอออกมาก็เดินตรงไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว

     ระหว่างรอลิฟต์นั่นเองที่ผมได้แต่เอามือกุมขมับ นวดศีรษะเบาๆ อย่างเหนื่อยอ่อน

     ...เกือบไปแล้ว





-------------------------------------
หายหน้าไปนานขอโทษนะคะ
พอดีไปจัดการเรื่อง e-book มา (แต่ใช้อีกนามปากกาเนอะ)

นอกจากนี้แอบไปแต่งเรื่อง โคตร สั้นมาด้วยค่ะ
MIDSUMMER's ICE CREAM : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52997.0

ตอนนี้ชอบไม่ชอบยังไง คอมเม้นในนี้
หรือเจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ XD

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เรายังไม่เข้าใจ ความรู้สึกของป้อง ในท้ายตอนเท่าไหร่ เหตุผลของการยั้งหัวใจคืออะไรกันแน่  คำฝากฝังของน้ากานดา ไม่ใช่คำห้ามเสียหน่อย มีอะไรลึกๆกว่านั้นหรือเปล่า ยั้งทำไม ฮือ รักสิ รักได้แล้ว :katai1:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 11
‘ป่วย’



     หนึ่งออกโรงพยาบาลในหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น

     ผมเห็นหนึ่งหัวหมุนกับชีวิตที่มหาวิทยาลัยพอดู พอกลับมาไม่อยู่เย็นที่คณะก็ต้องแบกเอางานมาทำที่ห้อง แต่ผมเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งแลป ทั้งควิซ ประเดประดังเข้ามาหาในช่วงใกล้ไฟนอลเหมือนทุกครั้ง ถึงกระนั้น ผมก็ยังเคยชินกับการไปรับไปส่งหนึ่งที่คณะ

     ข่าวแว่วออกมาว่ากริช แฟนเก่าหนึ่งไม่มาเรียนอีกแล้ว มันจัดการลาออกไปเรียบร้อยซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ผมรู้สึกเบาใจขึ้น

     “จริงๆ เฮียเลิกมาส่งหนึ่งก็ได้นะ”

     ตอนมันออกจากโรงพยาบาลแรกๆ มันบอกกับผมอย่างนั้น

     “เพราะว่ากริชก็ออกไปแล้วใช่ไหมล่ะ แล้วท่านนายพลก็จัดการให้แล้วด้วย หนึ่งไม่เป็นอะไรหรอก”

     แต่ผมก็ปฏิเสธไป ไม่รู้คิดมากไปหรือเปล่า ผมคิดว่ามันยังวางใจไม่ได้เท่าไหร่นัก

     วันนี้ก็เหมือนปกติ ผมไปรอหนึ่งที่คณะจนฟ้าเปลี่ยนไปสีส้ม ซื้อข้าวปลาอาหารไปให้มันพร้อมกับเพื่อนๆ ที่นั่งหน้าตาเคร่งเครียด คนหนึ่งจับดินสอ คนหนึ่งถือยางลบ อีกคนถือไม้ที

     พอหนึ่งเห็นผมเดินมาพร้อมถุง 7-11 มันก็คว้าถุงไปทันที “ขอบคุณเฮีย”

     “วันนี้กลับกี่โมง” ผมเอ่ยปากถามเพื่อนของหนึ่ง ขนาดแก้วตาที่ดูเป็นคนชอบแต่งหน้าแต่งตัวยังดูโทรม ท่าทางงานจะหนักน่าดู

     “จริงๆ หนึ่งกลับไปก่อนก็ได้นะ” แป้งเป็นคนพูดขึ้น “ตอนกลางวันแป้งกับโอ๊ตก็ไม่อยู่ ทำกันอยู่สองคน เดี๋ยวพวกเราทำบ้างก็ได้”

     “ไม่เป็นไร ให้มันทำไปเถอะ”

     หนึ่งหันมามองตาขวางทั้งๆ ที่กำลังกินข้าวปั้นสามเหลี่ยมอยู่อย่างมูมมาม

     “ไอ้หนึ่ง มึงแบ่งคนอื่นกินด้วย”

     ผมเอาสันมือฟาดไปบนหน้าผากมันเบาๆ มันบ่นอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ออกจนผมต้องเปิดขวดน้ำยื่นให้มัน ทำท่าอย่างกับข้าวปั้นติดคอ

     เนื่องจากตกลงได้ว่าหนึ่งจะทำงานกับเพื่อนให้เสร็จส่วนที่กำลังทำอยู่นี่ก่อน ผมเลยหยิบเลกเชอร์ที่ตัวเองเขียนไว้ตอนกลางวันมาลอกใหม่ข้างๆ มันสำหรับสอบครั้งที่จะถึงนี้ เพื่อนของหนึ่งเองก็เคยชินกับผมมารอหนึ่งแบบนี้แล้ว อย่างไอ้โอ๊ตนี่แทบจะเรียกผมว่าไอ้เหี้ยเลยด้วยซ้ำ

     ราวๆ ครึ่งชั่วโมงงานทุกอย่างก็เสร็จ วันนี้หนึ่งไม่ได้แบกอะไรกลับห้องไปทำทั้งนั้น

     พอเรามาถึงคอนโด ผมก็ปล่อยให้หนึ่งอาบน้ำโดยนั่งลอกเลกเชอร์ต่อบนโต๊ะ

     “เฮียกินข้าวแล้วเหรอ” มันเอ่ยปากถามตอนอาบน้ำเสร็จแล้ว

     “อื้อ” ผมไม่หันไปมองหน้ามันด้วยซ้ำ “เสร็จก่อนไปคณะมึงอีก” ก็คิดดูแล้วกันว่าวันนี้ผมกลับมาดึกแค่ไหน

     หนึ่งส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนที่จะเดินเข้ามาชะโงกดูว่าผมทำอะไร “ขยันจัง”

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ยามกลิ่นแชมพูและสบู่ของหนึ่งโชยมาแตะจมูก แถมหยดน้ำจากเส้นผมของหนึ่งยังหยดลงมาโดนหน้าผมเสียอีก แต่ดูเหมือนมันจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลย

     “หนึ่ง”

     “หืม?”

     มันก้มหน้าลงมา ในจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นไป ตอนเราสบตากัน ใบหน้าเราใกล้กันเกินกว่าที่ผมคิดอีก จมูกของผมแทบจะเฉียดแก้มของมันแล้วด้วยซ้ำ

     ผมนับหนึ่ง...สอง...สาม

     “ถอยไป”

     “อะ อื้อ” หนึ่งผละไปง่ายดายแต่ไม่วายเสียงสั่น

     ผมหันไปมองมันเกาศีรษะเล็กน้อยก่อนที่จะไปทิ้งตัวบนเตียงจนผมต้องเอ่ยปากบ่น “รอผมแห้งก่อนแล้วค่อยนอนสิวะ เดี๋ยวหัวก็ขึ้นราหรอก”

     “ขี้บ่น!” มันตอกกลับมาเสียงงอแง ไม่สนอกสนใจเลยด้วยซ้ำ

     “ไปใส่เสื้อก่อนด้วย” ผมว่าพลางลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำไปบ้าง ไม่ลืมที่จะตีแขนมันเบาๆ ตอนเดินผ่านเตียง

     พอจัดการอาบน้ำเสร็จ ผมก็เห็นว่าหนึ่งยังนอนที่เดิม ไม่ใส่เสื้อเหมือนเดิม แถมผมก็ยังเปียก เดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่ามันผล็อยหลับไปเสียแล้ว เล่นเอาผมต้องถอนหายใจออกมา

     “หนึ่ง” ผมเดินเข้าไปสะกิดมันเล็กน้อย

     ได้ผล หนึ่งสะดุ้งตัวขึ้นมาแทบจะในทันที มันมองผมด้วยความตกใจ ผมไม่มั่นใจว่ามันตกใจที่มันเผลอหลับไปและรู้ดีว่าผมจะด่า หรือว่ามันเป็นเพราะสาเหตุอื่น

     บางทีหนึ่งก็สะดุ้งขึ้นมากลางดึก ผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นสาเหตุเดียวกับครั้งนี้ไหม

     ผมเลยได้แต่เอามือเกาท้ายทอยขณะขบคิด และรู้ตัวว่ามันเงียบเกินไปแล้วตอนที่หนึ่งเอ่ยปากถามออกมา

     “มีอะไรเฮีย”

     “ไปใส่เสื้อ” ผมชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า “แล้วเป่าผมด้วย”

     “เดี๋ยวมันก็แห้งน่า” มันบ่นงุบงิบแต่คราวนี้ยอมเดินไปหยิบเสื้อยืดตัวเก่ามาใส่อย่างที่บอก ผมเห็นมันจามเล็กน้อยจนผมอดบ่นต่อไม่ได้

     “ก็รู้ว่าตรงนี้แอร์ตกยังจะมานอนอีก”

     “รู้แล้ว บ่นจังเลย ใครจะเป็นเมียเฮียนี่ต้องทนน่าดูเลยนะ”

     ผมถอนหายใจ “ระวังเถอะ เป็นหวัดแล้วกูจะสมน้ำหน้าให้”



     ผมมันปากพระร่วง

     ตกเย็นของวันถัดมา หนึ่งจามแถมเริ่มมีเสียงแหบ เช้าวันใหม่ก็หมดสภาพ

     “ไข้ขึ้น” ผมว่าพลางถอนมือออกจากหน้าผากของมัน “เป็นไงล่ะมึง”

     “ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย...”

     มันไม่วายปากเก่งแต่เสียงแหบแห้ง ท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอผมถามว่ามันจะไปเรียนไหมหนึ่งก็ยืนยันว่าวันนี้ต้องไปเรียน ปกติมันไม่ค่อยขยันเท่าไหร่ ครั้งนี้คงจะมีส่งงาน

     “คลาสแรกกี่โมง”

     “เก้า” หนึ่งตอบเสียงอู้อี้

     ผมมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้เจ็ดโมงครึ่ง เลยบอกให้หนึ่งนอนอีกสักพักก่อนที่จะไปเรียน โชคดีที่วันนี้ผมมีเรียนตอนเก้าโมงครึ่ง ไปส่งมันได้สบายมาก
   
     หนึ่งนอนไปอีกเกือบชั่วโมงผมถึงปลุกมันมากินข้าว กินโจ๊กสำเร็จรูปที่มีอยู่กับไข่ลวก พร้อมกับยาลดไข้ที่ผมมีติดกระเป๋าไว้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนนอนไปก็ไม่ได้อาการดีขึ้นเท่าไหร่นัก
   
     “อย่าลืมกินยาแล้วกัน”

     “อื้อ” หนึ่งตอบพลางรับถุงยาที่ผมส่งให้

     พอมันป่วยแบบนี้ก็เหมือนหมาหงอย ไม่ค่อยดื้ออะไรเท่าไหร่นัก ผมไปส่งมันที่คณะ รออยู่ที่นั่นจนเจอแป้งกับแก้วตาผมจึงเดินออกมา ไม่ลืมที่จะบอกว่ามันป่วยอยู่

     “เดี๋ยววันนี้มึงไปแค่พรีเซ้นต์ก็พอมั้ง” แก้วตาเอ่ยปาก “มีพรีเซ้นต์คาบเช้าคาบเดียวค่ะเฮีย เดี๋ยวให้มันกลับเลยก็ได้”

     “เลิกกี่โมง”

     “เที่ยงครึ่งค่ะ”

     ผมลังเล นั่นเป็นเวลาที่ผมเริ่มทำแลปพอดี จะปลีกตัวมาส่งมันก็คงไม่ได้ ผมเลยต้องจำใจขอให้สองสาวช่วยไปส่งมันที่คอนโดด้วย

     “เดี๋ยวดิ” มันดึงแขนเสื้อผมตอนที่ผมบอกลากับเพื่อนมันแล้ว “หนึ่งกลับเองได้นะ”

     “ให้เพื่อนไปส่งน่ะดีแล้ว”

     “แต่...” มันทำท่าจะเถียง แต่สุดท้ายก็กัดริมฝีปากตัวเอง “เฮียไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้สักหน่อย เรื่องมันก็จบไปแล้วนี่นา”

     “กูระแวงเอง พอใจรึยัง ไปเรียน” ผมชี้นิ้วไปทางบันได “แล้วอย่าลืมกินยาด้วยนะ”

     หนึ่งหน้าง้ำงอแต่ก็ยอมเดินไปหาสองสาวอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ผมมองมันจนเดินขึ้นบันไดไปแล้วจึงเดินออกมาจากคณะสถาปัตยกรรมของมันเพื่อไปถึงคณะตัวเองให้ทันเวลา



     “มึงไปส่งน้องหนึ่งมาอีกแล้วสินะ”

     ผมแกล้งทำหูทวนลม ไม่ยินคำพูดใดๆ จากไอ้กันต์ที่ดูพยายามจะให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษตั้งแต่ผมหายหน้าไปหนึ่งวันเพื่อเฝ้าหนึ่งที่โรงพยาบาล

     “มึงยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอวะกันต์” ไอ้ภีมเป็นคนเอ่ยปากแทนผม “มึงก็รู้ว่าไอ้ป้องมันคงจะยอมบอกมึงง่ายๆ หรอก”

     “คนเขาพูดกันให้แซ่ด”

     ผมถอนหายใจ อะไรทำให้หลวมตัวไปคบกับผู้ชายขี้นินทาวะ

     “แต่กูก็อยากรู้นะ”

     “กูนึกว่ามึงเข้าข้างกูนะ” ผมอดไม่ได้ที่จะฟาดมือไปบนหัวไอ้ภีมด้วยความหมั่นไส้ ทำมาพูด สรุปก็สู่รู้พอกัน

     ยอมรับว่ายิ่งหนึ่งหายหน้าไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมาพร้อมกับเรื่องว่าไอ้กริชลาออกไปแล้ว แถมผมยังต้องคอยไปรับไปส่งหนึ่งจนคนในคณะมันแทบจะจำหน้าผมได้อยู่แล้ว คนก็ยิ่งพูดไปเรื่อย ใช่ว่าไม่รู้เรื่อง แต่ผมเองที่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้อะไรสักอย่างเดียว

     ไอ้กันต์นี่ตัวดี แสดงทักษะการเสือกอย่างไม่ปิดบังตลอดมา พอตอนเช้าก็บอกว่าไปส่งหนึ่ง พอตอนเย็นก็บอกว่าไปรับหนึ่ง

     “มึงน่าจะทำอะไรให้ชัดเจน” ไอ้กันต์พูดต่อไม่หยุดปาก “มีคนต่อคิวรอจีบหนึ่งเป็นแถว”

     ผมเลิกคิ้ว นั่นถือเป็นข้อมูลใหม่ “ขนาดนั้นเชียว?”

     “ก็นะ... น้องเขาหน้าตาดีนี่นา แถมไม่ปิดบังด้วยว่าไม่เป็นเกย์ แล้วก็ไม่ออกสาว”

     คำพูดของไอ้กันต์ที่ดูรู้ลึกรู้จริงทำให้ผมกลอกตา “มึงแอบชอบมันใช่ไหมวะ”

     “เปล่า แม้กูจะหวั่นไหวเป็นครั้งคราว อั๊ยย่ะ!”

     อั๊ยย่ะพ่อง ผมด่ามันในใจ แต่ไอ้กันต์ก็ไม่หยุดปากบอกว่าหนึ่งเป็นคนที่มีใครหลายคนเล็งไว้แม้ว่าไม่โสด แต่ส่วนมากไม่กล้าประกาศตัวเพราะก่อนหน้านี้คบกับไฮโซหัวนักเลง พอตอนนี้ที่มีคนพูดว่าเลิกกันเลยมีคนอยากเข้าเสียบแทน แต่มีผม

     “ถ้ามึงไม่ชอบน้องเขามึงก็เลิกตามยุ่ง เชื่อกู” ไอ้กันต์ตบบ่าผมเบาๆ “เพราะตอนนี้มีหลายคนหมั่นไส้มึงอยู่”

     “อื้อหือ” ผมย่นจมูกอย่างขัดใจ “กูเกี่ยวอะไร”

     “ก็ลองคิดสิ คนที่ใครกำลังเล็งอยู่มีไอ้เนิร์ดจากไหนก็ไม่รู้มาคาบไป”

     “ขอบคุณที่ให้กูเป็นไอ้เนิร์ด” ผมกลอกตาอย่างหงุดหงิด

     “แต่จริงๆ แล้ว...” ไอ้ภีมที่เงียบมานานเอ่ยปากบ้าง “กูก็คิดนะว่าสรุปมึงเป็นเกย์จริงๆ แล้วยอมรับไม่ได้รึเปล่า หรือว่ามึงไม่คิดอะไรกับน้องเขาจริงๆ”

     “ถ้ากูเป็นเกย์กูก็ยอมรับได้ง่ายๆ นะ” ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเล

     แต่... มีคำหนึ่งที่ลึกๆ ในใจของผมร้องขึ้นมา ไม่ใช่ผมยอมรับไม่ได้ถ้าตัวเองจะเป็นเกย์

     ผมแค่ยอมไม่ได้ที่จะชอบมัน

     แค่มันเท่านั้นจริงๆที่ผมไม่อยากจะ...รัก



     หนึ่งไม่หายจากอาการป่วยง่ายๆ แต่ไม่ยอมหยุดเรียนเสียที ผมเลยบอกว่าในเมื่อวันเสาร์นี้มันต้องไปหาหมอเพื่อตรวจเช็กอาการเพิ่มเติม มันก็คงจะต้องไปแบบนี้อีกสักสองอาทิตย์

     แต่พอคืนวันพฤหัส มันกลับแบกข้าวของมาเยอะเสียจนผมตกใจทั้งที่สภาพตัวเองอิดโรยเต็มแก่

     “อะไรเนี่ย?”

     “ทำโม” มันเอ่ยปาก คงเห็นผมทำหน้างงเลยเสริมต่อ “โมเดล”

     “ต้องทำตอนนี้เลยเหรอวะ” ผมมองข้าวของตรงหน้า ตอนผมอยู่กับมันก่อนมันย้ายไปหากริชยังไม่เห็นต้องมีข้าวของมากมายขนาดนี้เลย ท่าทางปีหน้าก็คงมีของเยอะขึ้นอีกแน่ๆ

     “ทำตอนนี้แหละ”

     ผมเออๆ ออๆ ไป พอกลับมาถึงคอนโด หนึ่งก็จัดการตัดกระดาษนู่นนี่เยอะแยะไปหมดหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเองก็ต้องใส่ใจกับเท็กซ์บุ๊กและเลกเชอร์ของตัวเอง จนสักห้าทุ่มได้ผมถึงหันมาสนใจกับมัน

     มือหนึ่งของหนึ่งจับกรรไกร อีกมือจับกระดาษ ท่าทางทะมัดทะแมง

     “มีอะไรให้ช่วยบ้าง”

     หนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “เฮียจะช่วยหนึ่งเหรอ”

     “เออสิวะ มึงจะเสร็จไหมเนี่ยคืนเนี้ย”

     “มันทำคืนเดียวไม่เสร็จหรอกเฮีย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องเอาไปให้คนอื่นช่วยอีก คงทำนานหน่อย” มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วเฮียไม่อ่านหนังสือแล้วเหรอ”

     “กูอ่านจบแล้ว”

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็ตาลุกวาว ดูมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อมีคนช่วย

     หนึ่งรีบบอกให้ผมนั่ง จัดการบอกผมว่าผมทำอะไรบ้าง ส่วนมากก็ตัดกระดาษตามที่มันวาดไว้แล้ว พวกเรานั่งทำงานของมันกันอยู่อย่างนั้นจนถึงเกือบตีสอง หนึ่งถึงได้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย

     “หนึ่ง” เจ้าของชื่อหันหน้ามาเลิกคิ้ว “มานี่สิ” มันก็ทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย

     ผมวางหลังมือลงบนหน้าผากของหนึ่ง จริงๆ หนึ่งหายไข้ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่มีอาการเจ็บคอและมีน้ำมูก แต่เหมือนวันนี้หนึ่งจะกลับมามีไข้ใหม่ น่าจะเป็นเพราะว่ามันทำงานจนดึกมาหลายวันจนร่างกายอ่อนแอ

     “ไปนอนพักก่อนไป”

     หนึ่งทำหน้าลังเล ผมเลยพูดต่อ “นอนสักชั่วโมงก็ได้ เดี๋ยวเฮียปลุก พรุ่งนี้มีเรียนเช้ารึเปล่า”

     “ไม่ ยกคลาส แต่หนึ่งไปให้รุ่นพี่ช่วยแต่เช้าเลย”

     ผมเลิกคิ้ว “รุ่นพี่?”

     “พี่รหัส ไม่ต้องเป็นห่วงน่า”    

     พอมันพูดแบบนั้นผมก็เลยไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม บอกแค่ให้หนึ่งไปนอนเสียก่อนแล้วเดี๋ยวผมค่อยปลุก เพราะว่าพรุ่งนี้คณะผมมีงานอะไรสักอย่างเลยยกคลาสตอนเช้าเหมือนกัน

     หนึ่งยอมแพ้ ท่าทางจะไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยไปนอนบนเตียง สักพักก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่ามันเข้าสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว

     ผมนั่งตัดนู่นตัดนี่ไปตามที่หนึ่งฝากฝังไว้ สักพักหนึ่งผมถึงลุกขึ้น เดินตรงไปหามันและตัดสินใจอุ้มมันไปนอนเตียงผม ตัวมันเบาถ้าเทียบกับส่วนสูง ผมคิดเอาเองว่าน่าจะน้ำหนักลดหลังเข้าโรงพยาบาล แต่ครั้งนี้คงจะหนักจริงๆ เพราะผมอุ้มไป หนึ่งก็ไม่รู้สึกตัว ผมแตะหน้าผากพร้อมทั้งซอกคออยู่พักหนึ่งเพื่อเช็กอุณหภูมิร่างกาย แล้วจึงตัดสินใจห่มผ้าให้อีกฝ่ายจนถึงอก ถ้าอีกชั่วโมงไข้ยังไม่ลดอาจจะต้องเช็ดตัว

     ผมถอนหายใจ มองเศษกระดาษ กรรไกร คัตเตอร์ ต่างๆ ของมันก่อนที่จะนั่งลงและจัดการหยิบกรรไกรขึ้นมาทำงานของมันต่อไป






------------------------------------------
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ
ใครอยู่บ้านขอให้มีความสุข
ใครไปเที่ยวขอให้มีความสุข
ระวังตัวด้วยนะคะ

#ขอให้ไม่ใช่รัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2016 21:18:43 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ทำไมถึงไม่อยากรัก ล่ะ :katai1: ตอนนี้มีเซอร์วิสคนอ่านนิดหน่อยนะคะ มีอุ้ม มีห่วงตอนเป็นไข้ ช่วยตัดโมฯ ด้วย ค่อยยังชั่ว ไม่งั้นคนอ่านจะหมั่นไส้ ปกป้องแล้ว

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ป้องจะรักได้ยังไงถ้าหากว่ายังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะปกป้องหนึ่งได้แบบนี้
รากฐานของความรู้สึกผิดของป้องนี่มันฝังรากลึกมากๆเลยทีเดียว
เราชอบนะตัวละครที่มีปม มีข้อแม้ให้ตัวเอง
ปกป้องพยายามมากๆ   มันดูบริสุทธิ์ค่ะ 
ตราบใดที่ปกป้องยังสามารถที่จะหักห้ามใจตัวเองไว้
เป็น Father figure กลายๆให้กับหนึ่งเลยทีเดียว
พี่สาวป้องก็น่าจะพอมองออกแล้วบ้าง
แต่ก็น่าจะก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกผิดกับความสนใจฉันแฟน

ตอนแรกที่อ่านเราคิดว่าน้ากานดานี่เหมือนแม่ที่มีฐานะอยุ่ไกลลูกอะไรแบบนี้
หักมุมแคแร็คเตอร์ได้น่าสนใจดีค่ะ
ชอบจุดเล็กๆน้อยๆที่คุณนำเสนอ
ปกป้องที่ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ แต่ก็พยายาม
กริช พ่อ แม่  ที่มาขอขมาคนมีอำนาจไม่ใช่ผู้เสียหาย
ที่จริงเราลืมชื่อเรื่องไปเลยนะนี่ ถึงได้ข้ามไปตอนที่มาอัพตอนที่แล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2016 03:38:33 โดย Freja »

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 12
‘กรรไกร’



     “เฮีย! เฮียป้อง!”

     ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อไม่ได้ได้ยินแค่เสียงตะโกน แต่มีร่างทั้งร่างทิ้งตัวลงมาบนผมที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ไอ้เด็กเวร ผมได้แต่กัดฟัดกรอดด่ามันในใจ ใบหน้าของหนึ่งอยู่ใกล้กว่าที่คิด อุณหภูมิในร่างกายมันร้อนกว่าปกติ หรือว่าเป็นผมเองที่ตัวเย็นก็ไม่รู้

     “เฮียทำทั้งหมดนี่เหรอ!” มันโวยวายเสียงดัง “ทำไมไม่เรียกหนึ่งล่ะ”

     ผมกระชากผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “กูจะนอน”

     “เฮียยยย!” เรียกคำว่าเฮียเสียงสูงจนเสียงเพี้ยนอีกแล้ว

     มันโวยวายอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลุกออกไปจากตัวผม เสียงเบาลงเรื่อยๆ และเงียบลงในที่สุดจนผมต้องเอามือควานหาโทรศัพท์และพบว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้า

     “เจ็ดโมงครึ่งปลุกกูด้วย”

     ได้ยินเสียงตอบรับดังออกมาจากปลายเตียงผมเลยชะโงกหน้าดู หนึ่งยังวุ่นวายกับงานโมเดลของมันเหมือนเดิม โชคดีที่ผมช่วยมันไปเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี

     ผมมองมันที่บ่นงุบงิบตามประสาแล้วอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น

     หนึ่งมองผมอย่างงุนงง “อ้าว ไม่นอนแล้วเหรอเฮีย”

     “ไม่ล่ะ” ผมเดินลงไปนั่งตรงข้ามมัน มีกองกระดาษและเครื่องเขียนคั่นกลาง “ไหน มีอะไรให้กูทำบ้าง”



     ผมยกคลาสตอนเช้า มีเรียนอีกทีก็ตอนบ่ายสอง แต่เป็นคาบที่มีสอบควิซด้วย เลยคิดว่าคงจะต้องไปช่วยติวให้เพื่อนๆ ก่อนสักชั่วโมง

     “จริงๆ เฮียกลับเลยก็ได้นะ” หนึ่งบอกผมแบบนั้นหลังจากผมเดินแบกข้าวของมาให้ที่โรงอาหารบริเวณคณะสถาปัตยกรรมของมัน “เฮียเรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ”

     “จะไปนั่งไหน”

     “เฮียไม่ได้ฟังหนึ่งเลยใช่ไหม”

     มันบ่นเบาๆ ก่อนที่จะกวาดสายตา น่าจะมองหาพี่รหัสของมันนั่นแหละ พอมันเจอแล้ว หนึ่งก็เดินตรงดิ่งไปทันที ไม่มีการเรียกอะไรผมทั้งนั้น

     “พี่เต้ย ขอบคุณมากนะที่มาช่วย”

     ผมจัดการวางของบนโต๊ะ แล้วจึงได้เห็นหน้าพี่รหัสมันชัดๆ

     ฟังจากที่หนึ่งเรียกเมื่อกี้ พี่เต้ย หรือพี่รหัสของมันเป็นผู้ชายดูสะอาดสะอ้านกว่าเด็กคณะนี้ทั่วไปที่ผมคิดไว้ (หรือผมมองไอ้คนซกมกอย่างหนึ่งเป็นมาตรฐานอยู่ก็ไม่รู้) ผมยาวแต่รวบไว้ครึ่งหัว ใบหน้าขาวสะอาดตา ดูตี๋แบบที่รู้เลยว่ามีเชื้อจีนอยู่แน่ๆ

     “ไม่เป็นไรเว้ย กูว่างๆ” พี่รหัสมันบอกแบบนั้น “แล้วนั่นใคร”

     “อ๋อ เฮียป้อง” หนึ่งจัดการแนะนำผมเสร็จสรรพ “เป็นเมทผมน่ะ”

     “ที่บอกว่าเป็นหมอหมาน่ะเหรอ หน้าให้นะเนี่ย ดูติ๋มๆ ดี” ผมย่นจมูก นึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหนึ่งไปเล่าเรื่องผมไปไว้ยังไงบ้าง แต่การพูดจาแบบนี้ใส่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย

     หนึ่งเองก็คงรู้นิสัยผมดี เลยก้มลงไปบอกกับพี่รหัสมันเบาๆ “เฮียป้องปีสามนะ”

     “อ้าวเหรอ โทษที” แต่ไอ้เต้ยนี่ก็ไม่ได้ดูสำนึกอะไรเท่าไหร่ “เดี๋ยวคนอื่นก็คงมาช่วยด้วยแหละ แต่ว่ามันคงมาสักเที่ยงมั้ง ตอนนี้กูเลยมาคนเดียวก่อน”

     “ขอบคุณมากนะ”

     “เดี๋ยวเลี้ยงเหล้ากูสักวันแล้วกัน”

     “งานเสร็จแล้วจะเลี้ยงเลย”

     ผมมองเด็กสองคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจ้าคนเจ้าปัญหาจะหันมาหาผม “เฮียจะนั่งนี่จริงๆ เหรอ”

     เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยอย่างไร้สาเหตุ แต่สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงพยักหน้า และทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ หนึ่ง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน พร้อมๆ กับหูฟัง

     ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะผมเปิดเพลงเสียงเบาเกิน หรือว่าหนึ่งคุยกับพี่รหัสมันด้วยเสียงดังเกินไปกันแน่ ผมได้ยินแต่พวกมันคุยกันด้วยคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และไม่เคยคิดว่าตัวเองควรจะเข้าใจด้วย เดี๋ยวเสียงดัง เดี๋ยวโวยวาย สักพักก็เงียบ เป็นแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจนกลางวันก็มีคนมาใช้โรงอาหารเยอะขึ้น ไอ้เต้ยเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินบ้าง

     “เอาไรปะ” มันถามพวกผมสองคน

     หนึ่งจัดการสั่งอาหารชุดใหญ่ในขณะที่ผมฝากแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวด คิดว่าเดี๋ยวคงจะไปซื้ออะไรกินทีหลัง

     “เฮียกลับเลยก็ได้นะ” พอพี่รหัสมันเดินไป หนึ่งก็หันมาพูดกับผมเช่นนั้นทันที

     ผมเลิกคิ้ว “ทำไมกูต้องไป”

     “ก็... เสียงดัง?” มันทำท่าไม่มั่นใจนักตอนที่ตอบออกมา

     “นึกว่าอยากอยู่มันสองคน”

     “ตอนเฮียนั่งเงียบๆ ก็เหมือนอยู่สองคนนะ”

     ผมหงุดหงิด...อีกแล้ว

     “ช่างเถอะ” ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือการตอบปัด “แล้วมึงอาการดีขึ้นแล้วเหรอ เสียงยังแหบอยู่เลย”

     “แต่ไม่คัดจมูกแล้วนะ”

     แหงล่ะ... เมื่อวานก็เป็นผมเองที่แบกมันให้ไปนอนที่ที่แอร์ไม่ตก บอกให้ย้ายที่กับผมมาตั้งนานแล้วก็ไม่ฟังต้องจัดการตอนหลับ ดื้อเสียจริงๆ

     หนึ่งจัดการทำนู่นทำนี่ต่อโดยที่ผมนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไอ้เต้ยกลับมาพร้อมกับข้าวปลาอาหาร พวกมันทั้งสองเลยหยุดทำงาน มากินข้าวกันชั่วคราว

     ระหว่างนั้น เพื่อนที่นัดกันว่าจะติวก็ได้ไลน์มาหา ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปคณะของตัวเองสักที

     “จะไปแล้วเหรอ”

     “อืม” ผมพยักหน้าให้หนึ่ง “วันนี้กลับเย็นไหม”

     มันกรุ่นคิดชั่วครู่ “คงจะกลับหอไปรอบแล้วค่อยออกมาทำงานกับพวกไอ้โอ๊ตมั้ง”

     “โอเค กูเลิกคลาสสี่โมงครึ่ง มารอที่คณะแล้วกัน” ผมจัดการสรุปและเดินออกมา แต่เพราะฉุกคิดขึ้นได้เลยย้อนกลับไปทั้งๆ ที่เดินจากมาไม่ถึงสิบก้าว “อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ”

     “รู้แล้วน่า!”

     พอมันรับคำส่งๆ ผมจึงเดินออกมา แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาสงสัยจากพี่รหัสของหนึ่งเสีย



     ครั้งนี้ผมรู้สึกดีนิดหน่อย ข้อสอบเป็นเรื่องที่เข้าปากผมพอดี แม้ว่าจะอ่านหนังสือน้อยกว่าครั้งอื่นๆ แต่ก็คงไม่ตกมาตรฐาน เพื่อนๆ ในเซคขอบคุณผมชนิดที่ว่าแทบกราบกราน เพราะว่าตอนที่จัดการไปติวให้มีคนถ่ายโน้ตย่อของผมลงกรุ๊ปไลน์ แล้วมีข้อสอบในนั้นเสียเยอะ

     “มึงอยากกินอะไร พวกกูพร้อมเลี้ยงมึงเลยนะ”

     “ขอบใจ” ผมว่าอย่างหน่ายๆ ตอนเดินลงมาพร้อมๆ กับทุกคนในเซค “แต่ไม่ดีกว่า”

     “ไม่เอาจริงๆ เหรอวะ” ไอ้กันต์ทำหน้าเสียใจ “มึงจะทิ้งกูไปคนเดียวอีกแล้วเหรอ”

     มึงทำอย่างกับกูไปกับมึงบ่อย

     ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยร่วมกิจกรรมเท่าไหร่นัก สนิทกับเพื่อนในเซคเฉพาะช่วงสอบเท่านั้น ยิ่งมิดเทอมนี่ยิ่งสนิทกันเลยด้วยซ้ำ เพราะว่ามักจะมีคนมาขอร้องให้ผมมาติวบ่อยๆ (บางครั้งไอ้กันต์ก็เป็นคนป่าวประกาศ) บ่อยครั้งพอสอบเสร็จก็จะมีของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ มาให้ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงข้าวสักมื้อ น้ำสักแก้ว แต่อะไรที่ผมไม่อยากไปก็คือไม่อยากไป ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องลำบากขนาดนั้นที่จะช่วยติวคนอื่น และมันก็เป็นความจริงที่ว่าพอสอบเสร็จผมมักจะอยากกลับไปนอนมากกว่า

     “กูรู้แล้ว!” ไอ้กันต์โพล่งขึ้นมา “มึงจะไปรับน้องหนึ่งอีกล่ะสิ”

     เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกว่าทุกสายตาจับจ้องมาทางผมอย่างไม่เชื่อสายตา

     “จริงเหรอป้อง” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา สีหน้าตกใจไม่ใช่น้อย “นี่คิดว่าที่คนพูดๆ กันเขาพูดเล่นเสียอีก”

     ผมจิ๊ปาก ไอ้กันต์แม่งปากสว่างเสมอ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรหยิบยกมาพูดเลยด้วยซ้ำ

     “คนเขาพูดอะไรล่ะ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

     “ก็เรื่องที่ป้องเป็นแฟนใหม่หนึ่งไง”

     ผมหันไปมองตัวปัญหา ไอ้กันต์น่าจะรู้แล้วว่าผมเริ่มไม่สบอารมณ์มันเลยเริ่มทำสีหน้าตื่นเพราะเพื่อนในเซคเปลี่ยนประเด็นมาเป็นเรื่องของผมกับหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว

     “ไม่ใช่” ผมตอบ เสียงเริ่มขุ่นขึ้นเล็กน้อย

     “งั้นก็ดีแล้วแหละ” เพื่อนผู้หญิงคนเดิมเอ่ยปากขึ้น ถือวิสาสะมาตบไหล่ผมเบาๆ อีกต่างหาก “คนดังแบบนั้น ข่าวเสียก็เยอะ เป็นแฟนของคนมีปัญหาก็คงจะไม่เบาเหมือนกันแหละ”

     ผมได้ยินไอ้กันต์อุทานว่า ไอ้เหี้ย เบาๆ

     คำพูดของหล่อนดูไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมเอามือของเธอที่กำลังแตะบ่าผมลง ก่อนที่จะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

     “หนึ่งไม่ได้เป็นแฟนเรา” เจ้าหล่อนงง ราวกับจะถามว่าผมจะย้ำให้ฟังทำไมหลายหน “แต่หนึ่งก็ไม่ได้เป็นคนที่ ‘ไม่เบา’ แบบที่พูดหรอกนะ”

     “...” ทั้งเซคหยุดเดิน มองผมอย่างเต็มตา

     “ทำอะไร ก็หัดระวังคำพูดคำจาไว้บ้างดีกว่า”

     ผมปล่อยมือของอีกฝ่ายที่หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เดินลงบันไดออกไปจากกลุ่ม ได้ยินไอ้กันต์พูดอะไรสักอย่างจับศัพท์ไม่ได้แต่น่าจะเป็นการแก้ตัวให้ผม

     พอเดินลงมาถึงชั้นหนึ่งที่มีม้านั่งให้คนนั่ง ผมก็เจอกับหนึ่งทันทีโดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์

     หนึ่งดูดชานมไข่มุกเล่น มันไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าผมเข้ามาใกล้ จนผมยืนค้ำหัวมันนั่นแหละมันถึงเงยหน้าขึ้น “ไงเฮีย”

     “กลับกัน” ผมเอ่ยสั้นๆ “แล้วของอยู่ไหน”

     “อ๋อ เดี๋ยวออกมาอีกทีเลยฝากพวกแก้วตาไว้”

     ผมครางในลำคอ รอมันลุกขึ้นยืน เก็บหูฟังและโทรศัพท์มือถือเสร็จสรรพ แต่ไม่ทันจะเดินไปไหน ก็มีคนมาตีไหล่เบาๆ พอหันไปก็เห็นว่าเป็นไอ้กันต์

     “ไอ้ป้อง!” มันเรียกชื่อผมเสียงเขียว ผมมองเลยผ่านหัวไอ้กันต์ไปและพบว่าผู้หญิงคนที่พูดจาถึงหนึ่งกำลังร้องไห้โดยมีเพื่อนๆ ในเซคคอยปลอบอยู่ เล่นเอางุนงงไปนิดหน่อย “เกินไปปะวะ... หวานมันก็พูดไปเรื่อย ไม่รู้อะไรหรอก”

     ผมขมวดคิ้วมุ่น “กูก็ไม่ได้พูดอะไรแรงนะ”

     “กูเข้าใจๆ แต่แค่เขาพูดถึง...” ไอ้กันต์เหลือบตามองคนข้างกายผมแล้วหุบปากฉับ เฉไฉทันที “แค่เขาพูดถึง... น้องคนนั้นอ่ะ คือมึงก็ไม่ใช่คนพูดจาดีหรอก แต่แบบ เฮ้ย มันไม่ใช่ทุกคนเข้าใจมึงเหมือนกูอ่ะ”

     ผมกลอกตา แอบคิดในใจว่าถ้ามึงเข้าใจกูจริงมึงจะไม่พูดถึงหนึ่งตรงนั้น แต่รู้ดีว่าถ้าพูดออกไปก็รั้งแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง

     “เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปขอโทษเขาแล้วกัน” ผมว่าพลางถอนหายใจ “บอกเขาไปด้วยล่ะว่ากูไม่ได้โกรธ แค่เตือนดีๆ เฉยๆ”

     พอพูดจบผมก็จัดการหันไปหาหนึ่งที่ยังทำหน้างุนงงแล้วเดินออกมาเลย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงไอ้กันต์โวยวายไล่หลังมาไกลๆ

     “เฮียทำพี่คนนั้นร้องไห้เหรอ” หนึ่งถามตอนที่ผมยื่นหมวกกันน็อกให้

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ พิจารณาก่อนที่จะพยักหน้า “เออ” ถึงจริงๆ ผมจะไม่ได้โกรธอะไรมากมายขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดว่าคำพูดแค่นั้นจะทำให้เจ้าหล่อนร้องไห้ก็เถอะ

     “ละ แล้วเฮียไม่ไป...เคลียร์กับเขาก่อนเหรอ”

     “ช่างเถอะ คนร้องไห้พูดตอนนี้ก็งอแงอยู่ดี รอให้เขาสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า”

     ผมคิดว่าหนึ่งยังมีอะไรที่อยากถามอีกแต่มันก็ไม่เอ่ยปากออกมา ผมนึกขอบคุณที่มันเงียบจนเราถึงห้อง ผมจัดการโยนกระเป๋าไว้ที่พื้น เดินไปหยิบน้ำมาดื่มจนหมดขวดและไปทิ้งตัวลงบนเตียง

     “เฮีย” หนึ่งเดินตามมานั่งข้างๆ ผม “หนึ่งถามได้ไหม”

     “ถามอะไรล่ะ”

     “ตอบก่อนว่าหนึ่งถามได้ไหม”

     ผมตะแคงตัวเองหันไปมองหนึ่งเต็มๆ ตา สีหน้ามันดูเหมือนคิดอะไรอยู่ไม่น้อยจนผมต้องยอมตอบรับ “เออ”

     “น้องคนนั้นที่ว่าเนี่ย... หนึ่งเหรอ”

     คิดอยู่แล้วว่ามันต้องมาแบบนี้

     ยอมรับว่าผมไม่ได้นึกแปลกใจกับคำถามนั้น หนึ่งมองหน้าผมราวกับจะขอให้ผมตอบมันไปตามจริงทั้งที่สายตามันกำลังบอกผมว่าขอให้ไม่ใช่

     สุดท้ายผมก็หลบตา “ใช่”

     “พี่เขาพูดถึงหนึ่งว่ายังไง”

     “มึงไม่อยากรู้หรอก”

     “ไม่ หนึ่งอยากรู้” มันยังรั้น “บอกมาเถอะน่า”

     ผมมองหน้ามัน ลังเลไปชั่วอึดใจว่าจะพูดดีไหม แต่พอมองตามันทีไรก็ต้องยอมแพ้ ผมก็พูดไปตามจริงว่าอีกฝ่ายพูดถึงว่าอะไร พอมันถามว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ ผมก็ยอมบอกไปว่าเพื่อนผมเป็นคนเปิดประเด็นเพราะว่ามันกำลังอยากเค้นผมเรื่องนี้อยู่

     พอหนึ่งฟังจบมันก็นิ่งไปชั่วครู่จนผมต้องลุกขึ้นมานั่งประจันหน้ากับมันบนเตียง

     “หนึ่งว่า...” สุดท้ายมันก็เอ่ยปาก “เฮียไม่ต้องไปรับไปส่งหนึ่งแล้วก็ได้นะ”

     ผมถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “หนึ่ง มันไม่เกี่ยวปะวะ”

     “เกี่ยวดิ ก็เพราะเฮียไปส่งหนึ่งนั่นแหละ คนเขาก็มองกันอย่างนั้น”

     “แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ ก็กูต้องทำไหม”

     “แล้วทำไมเฮียถึงต้องทำ” พอโดนหนึ่งสวนคำพูดนั้นมา ผมก็ผงะไปชั่วครู่ หนึ่งมองตรงมาที่ผม ไม่ยอมหลบตาไปไหน มันมองเหมือนกับบอกให้ผมบอกความจริงมัน

     “น้ากานดาให้กูดูแลมึง”

     “เหรอ” หนึ่งเม้มริมฝีปากแน่น “ถ้าแม่ไม่บอกเฮียจะดูแลหนึ่งไหม”

     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันเสียงแผ่ว “ขอร้อง อย่าชวนกูทะเลาะได้ไหมฮะ”

     “หนึ่งแค่...” มันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาเสียงเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน “หนึ่งแค่ไม่อยากให้ใครมองเฮียไม่ดี”

     “...”

     “หนึ่งไม่สนใจหรอกว่าคนจะมองหนึ่งยังไง แต่ว่า... หนึ่งไม่อยากให้คนมองเฮียไม่ดีเพราะหนึ่ง ไม่อยากให้คนมองเฮียเป็นเกย์ แล้วหนึ่งก็... ไม่ได้อยากให้เฮียดูแลหนึ่ง...ขนาดนี้ คนอื่นเขาคิดยังไงกับเฮีย เขามองว่าเฮียชอบผู้ชาย เขามองว่าเฮียลดตัวมาคลุกคลีกับหนึ่ง มัน...”

     หนึ่งพูดมันออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับเขื่อนแตกก่อนที่จะเงียบไป เล่นเอาผมงุนงงไปหมด มันไม่รอให้ผมตอบอะไรแต่เดินไปหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ

     ผมได้ยินเสียงฝักบัวอยู่พักหนึ่ง พอมันเดินออกมามันก็ตรงดิ่งไปหยิบนู่นหยิบนี่เข้ากระเป๋า

     “หนึ่ง!” ผมตะโกนเรียก “กูไปส่ง!”

     “ไม่ต้อง!” มันสวนกลับมาเสียงดังเหมือนกัน เล่นเอาผมเริ่มอารมณ์ขึ้นนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่ามัน “หนึ่งไปเองได้ เดี๋ยวคืนนี้หนึ่งค้างกับโอ๊ต”

     “ไอ้หนึ่ง!”

     ปัง!

     มีเสียงกระแทกประตูดังขึ้นจนผมต้องลุก ตั้งใจจะเปิดประตูไปตะโกนด่ามันเสียหน่อยแต่พอเดินไปถึงหน้าประตู มีความคิดหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้ผมลังเล

     หรือเป็นตัวผมเอง... ที่ทำให้มันรู้สึกอึดอัด...

     ...เป็นผมเองอย่างงั้นหรือ?






------------------------------------------
แอบตื่นเต้นที่มีคนพูดถึง Father Figure แล้วค่ะ
แต่ขอยังไม่พูดอะไรแล้วกันเนอะ
อย่าไปว่าเฮียป้องเลย

ปล. ตอนหน้ามาคุยกับหนึ่งบ้างดีมั้ยคะ ฮาา

#ขอให้ไม่ใช่รัก


ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เรารู้สึกว่าตอนนี้มันมีน้ำหนักขึ้น เหมือนเราเข้าใจที่มาของพฤติกรรมหลายๆอย่างในตอนนี้น่ะค่ะ  (แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมไม่รักนะ) เราชอบฉากที่หนึ่งพูดว่า "เฮีย...หนึ่งถามได้ไหม" มันดูอ้อนๆ และก็เป็นธรรมชาติดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
อืม ต่างคนต่างไม่เปิดใจกันเหมือนตอนเด็กๆ
เรื่องเลยไปกันใหญ่ เพราะมัวแต่เดาใจกัน คิดไปคนละทาง

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มีปมทั้งคู่เลย   ปกป้องก็มี issue ของตัวเองอยู่
มีปัญหากับเพื่อนๆในเซ็คท์ของตัวเองเหมือนกัน
เราก็ว่ารู้สึกแปลกๆที่กันต์ติดต่อกลับมาทำนองต่อว่า
ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าที่ป้องว่าเพื่อนนั้นแรงขนาดที่เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากมาย
เพื่อนร่วมเรียนของปกป้องนั้นรู้จักหนึ่งขนาดไหน?
ได้ยินมา เขาเล่ามา มโนมาทั้งนั้น แล้วก็เอามาตัดสินคนอื่น
เอามา classify จัดลำดับฐานะทางสังคมให้คนอื่น
แล้วพอโดนว่าก็ทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งกระทำคนอื่นมา
ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของคนอื่น 2 คนเชียวนะ
ปกป้องอาจจะแรงและตรงเกิน
แต่ก็ไม่ได้รุนแรงขนาดที่จะร้องไห้ลำใยอะไรปานนั้น

เราก็ไม่ได้คิดเข้าข้างหนึ่งนะ
เข้าใจว่ารู้สึกไม่ดีที่เป็นฝ่ายได้รับจากคนอื่นมากมายแบบนี้
แต่บางครั้งก็สมควรแสดงออกมาในแบบที่ดีกว่านี้หน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2016 20:18:30 โดย Freja »

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 13
‘เฮียปกป้อง’



(NUENG’s Part)   

     ตอนเด็กๆ ผมรู้สึกว่าแม่คือโลกทั้งใบของผม

     ผมในวัยเด็กนั้น มีแม่มักที่จะทำงาน ส่วนพ่อก็มักจะทำไร่ ทั้งสองค่อนข้างจะปล่อยให้ผมเล่นนู่นนี่ตามมีตามเกิด บอกตามตรงว่าผมจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนย้ายมากรุงเทพฯ ได้ไม่มาก รู้แค่ว่าผมมักจะกลัวตอนพ่อทำเสียงดัง กลัวเสียงร้องไห้ของแม่ และรับรู้ว่าผมไม่ได้ชอบอยู่บ้านเท่าไหร่นัก

     จนเฮียป้องเข้ามาในชีวิต

     ผมไม่มั่นใจว่าผมรู้จักเฮียได้อย่างไร เท่าที่จำได้คือผมติดเฮียมาก ตามเฮียต้อยๆ เพียงเพราะวันไม่กี่วันที่ได้นอนค้างกับเฮีย ครอบครัวของเฮียอบอุ่นมากจนผมไม่อยากจะกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองอีก ผมร้องไห้งอแงช่วงที่ไม่ได้เจอเฮียป้องบ่อยๆ และทุกครั้งก็จะโดนพ่อตี หรือไม่ก็ขว้างปาข้าวของกลับมาเพื่อให้ผมเงียบ นั่นทำให้ผมเรียนรู้ว่าผมไม่ควรร้องไห้ต่อหน้าพ่อและแม่ แต่ถ้าอยากจะร้องไห้ให้ร้องไห้ต่อหน้าเฮียป้อง

     ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่วันหนึ่งพ่อก็หายไป แม่ของผมบอกว่า ป้าเกด แม่ของเฮียกับท่านนายพลเป็นคนให้โลกของผมสดใส นอกจากนี้จะพร่ำบอกเสมอว่าให้ขอบคุณพวกท่านมากๆ

     ตอนเด็กผมรู้สึกว่าบ้านของเฮียเป็นเหมือนกับภาพวาด สวยงามเหมือนในหนังหรือละคร เป็นสัมผัสที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน พวกเขาทำให้สังคมของผมเปลี่ยนไปมากโข ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ผมก็ติดเฮียมากขึ้นอย่างกับตังเม พี่ลูกปลาชอบแซวว่าน้องชายตัวเองมีสองเงาบ่อยๆ

     ช่วงไปโรงเรียนประถม ผมไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก คงเป็นเพราะว่าย้ายเข้ามากลางเทอมที่ทุกคนมีกลุ่มกันหมดแล้ว แถมผมยังตัวเล็กกว่าคนอื่นอีกต่างหากเลยมักจะโดนหัวโจกแกล้งประจำ แต่ถ้าเทียบกับในตอนที่โดนพ่อทำแล้วผมรู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นมันเบาไปเลย ผมเลยไม่ค่อยได้ตอบโต้อะไร พวกนั้นก็เลยรามือ

     สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ ปล่อยให้เขาทำจนพอใจแล้วเขาก็จะปล่อยเราไปเอง

     ช่วงเวลาที่มีความสุขของผมคือเวลาที่กลับบ้านวันศุกร์ หรือบางทีอาจจะเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ นอกจากได้อยู่กับแม่ที่ทำงานจนมืดค่ำทุกวันแล้ว เฮียจะมาติวหนังสือให้ผมบ่อยๆ

     ผมไม่มีเป้าหมาย จริงๆ แล้วโรงเรียนเก่าก็มีชั้นมัธยมต้นให้ต่อ แต่ไม่มีชั้นมัธยมปลาย แม่ผมบอกว่าเรียนไปจนถึงตอนนั้นค่อยคิดก็ได้ว่าอยากทำอะไร แต่ผมดื้อแพ่งบอกแม่ว่าอยากจะเรียนโรงเรียนเดียวกับเฮียป้องแม้ว่าระดับหัวสมองผมจะไม่ถึงก็ตาม

     ตอนสอบเข้าผมพยายามจนหืดขึ้นคอ สอบติดอันดับรั้งท้ายเพื่อไปรับรู้ว่าโลกทั้งใบของเฮียป้องไม่ได้มีแค่ผมเหมือนที่โลกของผมมีแค่เฮีย

     จริงๆ มันก็น่าจะเป็นแบบนั้น เฮียป้องไม่ใช่เด็กโดดเด่นมากชนิดที่ใครต่อใครก็ต้องรู้จัก เฮียไม่ทำกิจกรรม ไม่ได้เป็นเด็กที่เก่งในด้านวิชาการจนไปประกวดนู่นนี่ ด้านหน้าตาเฮียอาจจะผิวขาวตามประสาลูกผู้ดี (และไม่ชอบเล่นกีฬา) ถึงกระนั้น เฮียก็ไม่ได้หล่อถึงขนาดมีสาวๆ มาตามกรี๊ดเสียหน่อย แต่เฮียเด่นมากสำหรับผม ชนิดที่ว่าผมอยู่ในตึกเรียนชั้นสี่ ผมมองลงไปที่สนามผมก็ยังเห็นเฮียป้องที่นั่งเฝ้าของให้เพื่อนเล่นบอลได้โดยไม่ต้องพยายามอะไร

     ช่วงมัธยมต้นผมก็ไม่ได้โดนคนรังเกียจ แต่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกัน ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร ผมเข้าหาคนไม่เก่งนักและก็ไม่ได้มีเพื่อนอยากเข้าหาผมมากมายขนาดนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะผมมักจะคอยตามเฮียต้อยๆ ด้วยก็เป็นได้

     จนพอขึ้นมัธยมสอง

     ผมไม่มั่นใจว่าผมไปสนิทกับกลุ่มรุ่นพี่ได้อย่างไร แต่ทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่ทำให้ผมพะอืดพะอมทุกครั้งที่นึกถึง ผมจำชื่อของคนพวกนั้นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ที่จำได้คือชีวิตคนพวกนั้นไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นโลกใบใหม่ของผม

     ผมไม่ได้ลองสูบบุหรี่ แต่เห็นคนพวกนั้นสูบบุหรี่บ่อยๆ ที่ห้องน้ำโรงเรียน

     ผมไม่ได้รีดไถรุ่นน้อง แต่ก็ปล่อยคนพวกนั้นทำโดยไม่ทักท้วงอะไร

     ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นสังคมจริงๆ ของผมก็ได้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมยังอยู่กับพ่อต่อไปผมจะเป็นอย่างไร ถ้าเฮียป้องกับครอบครัวไม่ได้ช่วยเหลือผมมาจากตรงนั้น ผมคงกลายเป็นเด็กนิสัยเสีย ครอบครัวแตกแยก เป็นปัญหาสังคม

     แม้ว่าพื้นฐานครอบครัวของผมกับคนพวกนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เจ้าพวกนั้นไม่ได้โดนทำร้ายหากแต่ถูกปล่อยปละละเลย ในขณะที่ผมโดนจำกัดทุกอย่างมากเกินไปโดยพ่อโมโหร้ายและแม่ที่ไม่มีเวลาที่จะใส่ใจลูกด้วยซ้ำ แต่การกระทำกลับออกมาไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

     แต่ทุกอย่างมันก็พลิกผันไปหมด ผมเคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนพวกนั้นแท้ๆ จนวันหนึ่งผมกลับโดนกระทำไม่ต่างจากคนพวกนั้น

     มันช่างน่าขยะแขยง น่าพะอืดพะอม ผมคิดแบบนั้นตลอด มีหลายครั้งที่อยากจะบอกแม่หรือใครสักคน แต่ในหัวกลับหวาดกลัวไปหมด ผมกลัวว่ากระทั่งแม่จะยังรังเกียจผม ผมกลัวว่าผู้คนจะมองว่าผมเป็นบุคคลที่ต่ำตม ผมหวาดกลัวเหลือเกิน

     ทุกอย่างเป็นไปเพราะผมไม่กล้าบอกใคร มันน่าขยะแขยงเหลือเกินทั้งกลิ่นคาว ทั้งสัมผัสที่โดนที่จิกทึ้งหัวของผม หรือบางทีก็ปัดป่ายมาที่หน้าอก ผมพยายามจะหาโอกาสป่วยทุกครั้งที่ทำได้ และแม่ก็จะปล่อยให้ผมอยู่ที่ห้อง เมื่ออยู่คนเดียวผมยิ่งรู้สึกสกปรก บ่อยครั้งที่ผมจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย เรื่องมันปนเปกันไปหมด ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดผมจึงเอาเรื่องแบบนี้มาปะปนกับเรื่องที่ถูกพ่อทุบตีในวัยเด็ก แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

     ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่แย่มาก ผมคิดว่าถ้าผมโดนกระทำแบบนั้นต่อไปสักอาทิตย์ ผมอาจจะคิดฆ่าตัวตายขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

     แต่เฮียก็มาช่วยผมไว้

     ตอนที่ถูกเฮียช่วยผมรู้สึกอับอายไปหมด จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ผมรู้สึกถึงความสกปรก ด้อยค่า และต่ำต้อยของตัวเอง ผมคิดว่าเฮียต้องมองผมเป็นเชื้อโรค แม้ว่าผมจะคิดอย่างนั้น แต่เฮียก็ไม่ได้ทำ

     ผมจำไม่ได้ว่าทุกคนจัดการเรื่องกันยังไง ท่านนายพลกับป้าเกดยื่นมือมาช่วยผมอีกครั้งส่วนแม่ร้องไห้จนเป็นลมไปเลยในตอนแรก หลังจากนั้นแม่ก็จะร้องไห้ กอดผมไว้และบอกว่า

     “แม่ผิดเอง”

     “ความผิดแม่เอง”


     ผมฟังถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา หลังจากนั้นแม่ก็จะประคบประหงมผมมากจากที่เคยละเลยให้ผมอยู่คนเดียวบ่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นมาทั้งไปรับไปส่งทั้งที่ยังมีปัญหาเรื่องข้อเท้าอยู่ ท่านแทบไม่ยอมให้ผมห่างกาย จะเดินทางไปไหนคนเดียวหรือไปกับเพื่อนก็ไม่ได้ทั้งนั้น

     แม่ไม่ไว้ใจใครเลย...นอกจากครอบครัวเฮียป้อง

     เวลามีปัญหาอะไร ก็เป็นบ้านนั้นตลอดที่มาเป็นธุระให้ ทั้งช่วยติดต่อนักจิตวิทยาให้ผมไปหาอาทิตย์ละครั้งในช่วงเกิดเรื่องแรกๆ วันไหนแม่ผมไม่สะดวกมารับก็จะให้ผมกลับบ้านกับเฮียป้อง

     ตอนแรกนักจิตวิทยาบอกผมว่าจะเป็นการดีถ้าผมเปลี่ยนสถานที่เรียน มันอาจจะเป็นการกระทำที่คล้ายจะหนีปัญหาแต่สภาพแวดล้อมเดิมๆ จะตอกย้ำเรื่องในอดีต และมีแนวโน้มที่จะชักนำให้ผมกลับไปอยู่ในสถานะ ‘เหยื่อ’ ได้อีกครั้ง แต่ผมดื้อเอง ผมบอกแม่ว่าผมไม่อยากไปไหน ไม่อยากย้ายโรงเรียน ผมไม่อยากจะจากเฮียป้องไปไหนอีกแล้ว...ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

     และผมมารู้ทีหลังว่ามันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน

     “ป้องช่วยน้าดูแลหนึ่งหน่อยนะ”

     “ป้องดูให้หน่อยนะว่าหนึ่งมีปัญหาอะไรไหม”

     “ป้องจ๊ะ น้าไว้ใจป้องนะ”


     ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดเหล่านั้นที่แม่พูดกับเฮียหรือเปล่า เฮียเปลี่ยนมานั่งกินข้าวกับผมตลอดจนผมขึ้นม. ปลาย ผมคิดว่านั่นทำให้เฮียมีปัญหากับเพื่อนนิดหน่อย

     ผมรู้สึกดีใจที่โลกทั้งใบของเฮียมีแต่ผม...แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกผิดไปด้วย พอผ่านไประยะหนึ่ง ผมเริ่มทำใจได้แล้ว และรับรู้ว่าเฮียต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย

     “ไม่เป็นไรแล้วนะเฮีย หนึ่งมีเพื่อน ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

     ผมพูดเรื่องนี้กับเฮียนานทีเดียวกว่าเฮียจะยอมปล่อยให้ผมอยู่กับเพื่อนๆ ที่รู้จักกันตอนมัธยมปลาย
เฮียก็มีโลกของเฮีย ผมก็ต้องมีโลกของผม นั่นคือสิ่งที่ผมคิด ช่วงแรกมันก็ทุลักทุเลไม่ใช่น้อย ผมนึกดีใจที่เพื่อนๆ เหล่านั้นเป็นเด็กที่ย้ายมาใหม่ตอนม. ปลาย เขาอาจจะไม่รู้เรื่องของผม หรืออาจจะรู้แต่เขาแกล้งทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้ผมใช้ชีวิตได้เป็นปกติ

     แม้แม่จะค่อยๆ ปล่อยผมไปแต่ผมก็รู้ดีว่าลึกๆ แล้วแม่ก็ยังกังวล ผมยอมแพ้ เลือกที่จะทำให้แม่สบายใจโดยการที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนนัก พยายามมาเล่าเรื่องให้แม่ฟังบ่อยๆ ว่าที่โรงเรียนผมปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไร

     จนผมขึ้นมัธยมหก ผมกับแม่ทะเลาะกันครั้งใหญ่เพราะผมอยากจะเรียนคณะศิลปกรรม แต่แม่อยากจะให้เรียนคณะทางสายวิทย์อย่างพวกวิศวกรรมศาสตร์ทั้งๆ ที่หัวสมองของผมไปกับพวกนั้นไม่รอด สุดท้ายแม่ก็ยอมลดลงโดยการบอกว่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ก็ได้ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยโอเค

     ไม่รู้อะไรทำให้เฮียป้องโทรมาหาผม เราคุยกันไม่นาน แต่แค่นั้นผมรู้สึกเหมือนปลดภาระจากบ่า ผมตัดสินใจว่า โอเค สถาปัตยกรรมศาสตร์ก็ได้

     และผมก็ทะเลาะกับแม่อีกครั้งเพราะมหาวิทยาลัยของเฮียป้องที่ผมอยากจะเข้าเป็นมหาวิทยาลัยที่ไกลบ้าน แม่ไม่อยากให้ผมไปอยู่หอ ผมเลยโทรไปหาเฮียป้องอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเฮียไปคุยอะไรกับแม่ หรืออาจจะไปคุยกับป้าเกดให้มาคุยกับแม่ แม่ก็เลยบอกว่า

     “เรียนที่นู่นก็ได้ แต่ไปอยู่กับป้องแล้วกันนะ”

     เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามสุดชีวิต ผมพยายามจนเกือบเลิกหวังไปแล้วแต่สุดท้ายผมก็เข้าไปได้ในรอบ Admission และมีคะแนนต่ำที่สุดในรอบนั้นเสียด้วย (แต่นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีใคร)

     ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีหนึ่ง ผมมีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่ผับแบบที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม่จะยอม แต่มันผิดคาดไปหน่อยที่เพื่อนเห็นว่าผมยังบริสุทธิ์ เลยถือโอกาสเชียร์ให้ผมไปนอนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เจอกันตรงนั้น

     ทุกอย่างเป็นไปได้สวย ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชายธรรมดาก็ตอนที่ได้คุยกับเธอ จริงๆ ผมก็ชอบคุยกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยแต่พอเรากำลังจะขึ้นเตียงผมก็รู้สึกว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ เธอพยายามปลุกเร้าอารมณ์ผมอยู่นานจนผมบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ และร้องไห้ออกมา

     จนตอนนี้ผมจำหน้าเจ้าหล่อนไม่ได้แล้วแต่ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่อยู่กับผมและช่วยปลอบผมในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรบ้างตอนที่ร้องไห้ มันปนเปกันมั่วไปหมด เท่าที่จำได้คือผมคิดถึงแม่

     และผมรู้ในวันนั้นเองว่าผมคงจะมองผู้หญิงทุกคนในสถานะเดียวกับแม่ไปแล้ว ผมเลยไม่สามารถมีอารมณ์ทางเพศกับพวกหล่อนได้เลยแม้แต่น้อย

     แต่ผมเองก็เป็นเด็กวัยรุ่น ผมเลยไปลองเปิดคลิปโป๊เกย์ดู และพบว่า... ผมมีอารมณ์

     เป็นอีกครั้งที่ผมรังเกียจตัวเอง ผมไม่ได้มีอคติใดๆ กับเกย์ แต่ผมนึกรังเกียจตัวเองที่ครั้งหนึ่งผมเคยโดนทำร้ายจากผู้ชายหลายคน หากแต่ยังมีอารมณ์กับรูปร่างของบุรุษเพศ ตอนนั้นผมนึกแบบนั้นจริงๆ

     จนช่วยขึ้นมหาวิทยาลัย ผมมีผู้ชายเข้ามาบ้างประปราย มีคนหนึ่งที่ไม่ยอมไปไหนเสียที

     กริช

     ช่วงก่อนที่ผมจะคบกับมันเป็นช่วงเวลาที่ทุลักทุเลในชีวิตผมบ้าง ผมดื่มเหล้าจนเมามายบ่อยครั้ง ผมต้องปิดบังเรื่องที่เป็นเกย์ไม่ให้เพื่อนร่วมห้องตัวเอง หรือก็คือเฮียป้อง เพราะผมกลัวว่าเฮียจะเอาไปบอกแม่

     จริงๆ ตอนนั้นผมไม่สมควรต้องกังวลด้วยซ้ำ เฮียป้องคงไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยว่าผมสนใจเพศไหน เฮียก็มีสังคมของเฮีย เวลาเราอยู่ในห้องเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะเฮียเอาแต่อ่านหนังสือ

     ผมคิดว่าเป็นเพราะระยะห่างที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา โลกของเฮียถึงไม่มีผมแล้ว... และโลกของผมก็เหมือนจะไม่มีเฮียด้วยเหมือนกัน

     ผมใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมความกล้า ตัดสินใจลองคบกับกริชดู มันเป็นแฟนคนแรก ทุกอย่างก็ไปได้สวยแต่กริชไม่ปิดบังเรื่องความปรารถนาในร่างกายผมเลย เราคบกันได้ไม่นานเท่าไหร่ผมก็ยอมทอดกายให้มัน ในเช้าวันถัดมา ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกที่วูบโหวง

     ผมรู้สึกเหมือนตัวเองสูญเสียสิ่งสำคัญไป

     ...และผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า อา เราไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา จะมีอะไรต้องเสียล่ะ

     นั่นทำให้ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะย้ายมาอยู่กับแฟนตอนที่มันเอ่ยปากชวน ผมใช้จังหวะที่เฮียไปเที่ยวกับครอบครัวช่วงวันหยุดยาวย้ายของที่มีเล็กน้อยในคอนโดของเฮียเพื่อที่จะไปอยู่กับกริช แต่พอเฮียกลับมาและบังเอิญเจอผมกอดรัดกับกริชอยู่หน้าโซฟา แววตาของเฮียทำให้ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกกระจายอยู่ในหัว

     ผมคิดว่ามันเป็นเสียงของ ‘ความผิดหวัง’ ของเฮีย...แม้ผมจะไม่รู้ว่าเฮียคาดหวังอะไรจากผมก็ตามที

     จนผมย้ายไปอยู่กับกริช กริชเริ่มไม่เหมือนเก่า มันไม่ได้ถนอมผมเหมือนเดิม มันรุนแรงจนบางครั้งไม่ฟังเสียงทัดทานของผมที่ตะเกียกตะกายอยู่ใต้ร่าง และมันเริ่มลามมานอกกิจกรรมบนเตียง กริชเป็นลูกคุณหนู เอาแต่ใจและอารมณ์ร้าย

     พอถึงวันที่ผมรู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ ผมจึงเอ่ยปากขอเลิก และก็ถูกกริชทุบตีอย่างหนักกว่าทุกครั้งจนผมต้องกระเสือกกระสนออกมา

     เฮียป้องเป็นคนแรกที่ผมคิดถึง ไม่ใช่เพื่อนหรือแม่ แต่เป็นเฮีย

     ผมไปนั่งรอเฮียตั้งแต่บ่ายจนเย็นเพราะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แค่เห็นหน้าเฮียเท่านั้น ผมก็รู้สึกว่า ผมไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว

     เฮียช่วยผมได้เสมอแม้ว่าเฮียจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แค่ผมเจอหน้า ได้ยินเสียง จะเป็นหน้าที่ขมวดคิ้ว แสดงอารมณ์หงุดหงิด หรือจะได้ยินเสียงที่ดุด่าว่ากล่าวผม แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

     และผมรู้ในวันนั้น ที่ผมคิดมาตลอดว่าผมออกจากมุมมืดมาอยู่ในที่สว่างแล้ว...มันไม่ใช่เลย

     ตราบใดที่ผมยังโหยหาความอบอุ่นจากแสงสว่าง มันก็แปลว่าผมยังอยู่ในที่มืดเช่นเคย

     และเฮียป้องเป็นแสงสว่างของผม






-----------------------------------
จริงๆ มีอะไรอยากจะพูดมากมายเลยค่ะ
แต่ว่า ถ้าหากทำให้คนเข้าใจเรื่องนี้โดยไม่ต้องอธิบาย
คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเนอะ XD

เจอกันที่ #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ


ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ปมของหนึ่งไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา แต่มันก็ทำให้อึ้งอยู่ดี
การรู้สึกว่าป้องเป็นแสงสว่าง  เป็นการผลักตัวเองลงต่ำแบบหนึ่งหรือเปล่านะ และมันแปลว่ารักหรือไม่รักคะ หรือแค่เป็นต้นแบบของความสุขที่อยากจะมี อ่านถึงตอนนี้แล้วเลยเริ่มคิดว่า อาจไม่ใช่รักจริงๆก็ได้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ่านเรื่องของหนึ่ง แล้วสะท้อนใจ   :เฮ้อ:
อดีต การเลี้ยงดู พ่อที่อารมณ์ร้าย การปกป้องของแม่ที่มากเกินไป
ปกป้องเป็นไอดอลของหนึ่งทุกอย่าง ครอบครัวที่มีความสุข
ไม่แปลกถ้าปกป้องไม่ใช่แค่แสงสว่างของหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นความรักที่หนึ่งไม่กล้ายอมรับว่ารักเกินพี่ชาย
ปกป้องเองก็หวั่นไหว สับสนกับหนึ่ง กับตัวเอง
ไร้ท ถ่ายทอดเรื่องของหนึ่งได้สละสลวย นุ่มนวลมาก
ชอบ รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ลิงน้อยสุดเอ๋อ

  • ถึงจะเหงา แต่ไม่ได้ง่าย
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-2
    • Fanpage
เราว่าหนึ่งยึดติดกับป้องมากเกิน ทำอะไรไม่ได้ก็วิ่งมาหาป้อง ไม่พยายามแก้ไขหรือห้ามใจตัวเอง ที่จะยอมคนอื่นไปเรื่อยๆ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 14
‘รับผิดชอบ’


     หนึ่งไปนอนข้างนอกคืนหนึ่งอย่างที่มันบอกไว้ เพราะวันรุ่งขึ้นคือวันเสาร์ มันจึงมาเจอผมที่คอนโดด้วยใบหน้าง้ำงอ มีเพื่อนมันเป็นคนขับรถมาส่ง

     “ขอบใจมากโอ๊ต” ผมตบบ่าอีกฝ่าย ปล่อยให้หนึ่งที่กลับมาด้วยชุดเดิมกับชุดที่ออกไปเดินเข้าห้องน้ำทำเสียงตึงตังจนเพื่อนมันก็หน้าเหวอ

     “ไม่เป็นไรเฮีย” โอ๊ตทำหน้าแหยง “เฮียทะเลาะกับมันเหรอ”

     “เปล่า มันทะเลาะกับเฮีย”

     ผมอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายเห็นคำว่า ‘แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ’ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสีย ใช้คำว่ามันทะเลาะกับผมน่ะถูกแล้ว...เพราะมันเป็นคนทะเลาะคนเดียวเสียด้วยซ้ำ

     ไอ้โอ๊ตพูดคุยกับผมอีกสองสามคำก็เดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมนั่งรอหนึ่ง เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยที่โซฟา ก่อนที่โทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวจะแผดเสียงร้องออกมา

     ผมชะโงกหน้า พอเห็นว่าเบอร์ที่เครื่องของหนึ่งเมมไว้ว่า ‘แม่’ ก็ตัดสินใจกดรับสาย “หนึ่งอาบน้ำอยู่ครับ”

     “งั้นเหรอจ๊ะ” ปลายสายตอบกลับมาเสียงหวานเหมือนเคย “นี่เตรียมตัวกันใกล้เสร็จหรือยัง ใกล้เวลานัดแล้วนะจ๊ะ วันนี้ปลามาส่งน้าด้วย”

     “อ๋อ...” ผมส่งเสียงครางในลำคอ จำได้ว่าวันนี้หนึ่งนัดกับน้ากานดา แต่ไม่ยักกะรู้ว่าพี่สาวของผมจะเป็นคนมาส่งน้ากานดาเอง สงสัยจะชวนกินข้าวหรือไปเที่ยวไหนต่อด้วยแน่ๆ “อีกไม่นานก็เสร็จแล้วครับ น้ากานดาอยู่ไหนแล้ว”

     อีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสถานที่ซึ่งไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก เกรงว่าคนอื่นคงจะไปถึงก่อนผู้ป่วยเสียแล้ว ขณะที่ผมกำลังจะวางสายหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี มันทำหน้าตื่นถามว่ายุ่งอะไรกับโทรศัพท์มันผมเลยบอกว่าแม่ของมันนั่นแหละเป็นคนโทรมา

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือ เดินไปคุยกับแม่ในอีกห้อง ไม่วายได้ยินเสียงน้ากานดาเอ่ยปรามว่าให้มีสัมมาคารวะกับผมเสียบ้าง

     หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีดีพวกเราก็ออกจากห้อง ไปโรงพยาบาลด้วยมอเตอร์ไซค์คันเดิมของผม ระหว่างเราไม่มีบทสนทนาใดๆ เห็นหนึ่งหน้าง้ำงอกับผมตลอดแล้วอยากจะด่าแต่รู้ว่าถ้ามันไม่ฟัง จะด่าจนปากเปียกปากแฉะมันก็ไม่ฟังอยู่ดี อีกอย่าง ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะด่ามันดีไหม

     จากคำพูดของหนึ่งเมื่อวาน การจ้ำจี้จำไชมันคงสร้างความรำคาญให้มันน่าดู

     “วันนี้แม่ไม่มาเหรอ” ผมทักทายพี่สาวตัวเองทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้น้ากานดา ก่อนที่จะปล่อยให้สองแม่ลูกเดินไป

     “แม่ไปนวดหน้ากับเพื่อนน่ะ”

     ผมครางรับในลำคอ อีกฝ่ายหรี่ตา ชวนผมพูดคุยเรื่องทั่วไปจำพวกว่าสอบเป็นยังไง การเรียนโอเคไหม แล้วจึงวกมาคำถามที่ผม (คิดว่า) เธออยากจะถามจริงๆ เสียที

     “แล้วอยู่กับหนึ่งเป็นยังไงบ้าง”

     สิ้นคำผมก็เลิกคิ้ว “ก็ปกติดี”

     “ป้อง” พี่สาวเรียกชื่อผมเสียงเข้มกว่าเดิม พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร หล่อนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ที่บ้านก็รู้หมดนั่นแหละว่าพอมีเรื่องแบบนี้ แกก็ประคบประหงมหนึ่งทุกที”

     บางทีผมก็คิดว่าพี่สาวตัวเองแอบตั้งกล้องวงจรปิดไว้ที่ห้องหรือเปล่า

     แค่แปลกใจนิดหน่อยที่จังหวะที่เธอโผล่หน้ามาพูดเรื่องนี้มันพอดีกับคำพูดของหนึ่งเมื่อวาน ภาพตอนที่มันตาแดงก่ำ พูดความอัดอั้นใจมาให้ผมฟังอย่างกับปืนกลฉายขึ้นมาในหัวอีกรอบเล่นเอาผมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง

     “ทั้งบ้านนั่นแหละ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ “มันก็เหมือนกันทั้งบ้าน เจอเรื่องแบบนี้ใครก็ต้องดูแลมันทั้งนั้น”

     “แต่แกน่ะ เป็นมากกว่าคนอื่น” เธอเอานิ้วที่ทาเล็บสีแดงฉูดฉาดมาดันหน้าผากผมอย่างแรง “คิดว่าฉันจะไม่รู้หรือยังไงฮะ”

     ผมสิ้นคำพูด โดนพี่ลูกปลาเอ่ยใส่อย่างรู้ทันแล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวไปทำไม

     “ป้อง ฟังฉันนะ” หล่อนพูดต่อ “การที่คนสักคนเจอเรื่องเลวร้ายมา เขาพยายามที่จะเข้มแข็งด้วยตัวเอง คนรอบข้างก็ต้องคอยประคับประคอง ไม่ใช่ดูแลทุกอย่างให้จนยืนด้วยตัวเองไม่ได้”

     “...”

     พี่ลูกปลาเหลือบสายตาไปข้างนอก “อย่างน้ากานดา... มันก็ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีนักหรอก แต่ฉันก็เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่นะ” เธอนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “แต่แกก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบแบบนั้นเสียหน่อย ไม่ต้องโอ๋ให้มาก ดูห่างๆ ก็พอแล้ว”

     “ผม...” คำพูดต่างๆ จุกอยู่ที่ลำคอ ผมนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงรวบรวมสติพูดสิ่งที่คิดออกมา “ผมไม่ได้กำลังแสดงความรับผิดชอบ”

     “ไม่ แกกำลังทำ”

     “ไม่ใช่!”

     “ปกป้อง!”

     พวกเรามองหน้ากัน ตระหนักได้ว่ากำลังอารมณ์ขึ้นกันทั้งคู่และเสียงที่พูดใส่กันเมื่อกี้มันดังเกินไปหน่อย หล่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง และผมก็ทำได้แค่ก้มมองมือตัวเองอย่างเงียบๆ เท่านั้น เป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่งก่อนที่เจ้าหล่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สงบกว่าก่อนหน้านี้

     “แกเป็นแบบนี้มาตลอด ฉันก็รู้ พ่อแม่ก็รู้ เราก็รู้กันทั้งนั้นแหละ” พอหล่อนเห็นว่าผมไม่พูดอะไรเธอก็พูดต่อ “แกต้องเข้าใจว่าการที่หนึ่งเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดแก เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดแก แกไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ”

     “แล้ว...” น้ำเสียงผมแหบพร่ากว่าที่คิด “แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ”

     ผมกำมือแน่น มองแขนตัวเองที่ไม่รั้งมันไม่ให้เจอเรื่องเหล่านี้ มองเท้าของตัวเองที่ไปช่วยมันไม่ทัน ทุกอย่างทำให้ผมนึกแค้นในใจ มันเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแรกผมก็ไม่เคยรับรู้สัญญาณที่มันส่งมาให้ว่ามันต้องการความช่วยเหลือ พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็ไม่เคยรับรู้ว่ามันเจออะไรบ้างในมัธยม และจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่สามารถปกป้องมันจากเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับมันได้ ซ้ำยังทำให้มันรู้สึกอึดอัดใจ

     ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากหญิงสาวข้างกาย หล่อนเอื้อมมือมาจับหัวของผมให้ทิ้งลงบนบ่าของเธอ “พี่บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่ความผิดแกหรอก เลิกคิดมากได้แล้ว”

     ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความผิดของผม

     แต่ยามที่ย้อนมองตัวเองทีไร...ก็นึกชิงชังตัวเอง

     ผมโกรธตัวผมเหลือเกิน ที่ถึงพยายามจะเติบโตพอให้ปกป้องมันได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่เคยโตพอที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ เลยเสียที




     หลังจากที่หนึ่งได้รับการตรวจและนัดวันมาเจอหมอใหม่ในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า พวกเราก็ไปทานอาหารกัน โดยเลือกอาหารหนึ่งซึ่งยังไม่หายจากหวัดดีทานได้สะดวก จากนั้นพวกคู่พี่น้องอย่างผม ก็แยกเดินกับคู่แม่ลูก ผมปล่อยให้พี่สาวไปเลือกเครื่องสำอางต่างๆ นานาจนเธอพอใจ ปล่อยให้สองแม่ลูกไปซื้อข้าวของ ทั้งของกินของใช้เข้าห้อง แล้วผมจึงไปเจอกับหนึ่งเพื่อกลับคอนโด

     “กลับดีๆ นะจ๊ะ”

     “ครับ” ผมรับคำน้ากานดา

     หญิงสาวตรงหน้ายิ้ม “ฝากดูแลหนึ่งด้วยนะ”

     สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงสูดหายใจลึกและพยักหน้า แม้ฟังคำนี้จากคนที่มีสถานะเป็นแม่ของหนึ่งกี่ครั้ง ผมก็ยังรู้สึกผิดที่ยังทำได้ไม่ดีพออยู่ร่ำไป

     พอเห็นผมรับคำน้ากานดาก็ยิ้มกว้างกว่าเก่า พึมพำคำว่าขอบคุณที่แผ่วเบาก่อนที่จะขึ้นรถไป ปล่อยให้ผมอยู่กับลูกชายตัวเองเพื่อจะเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์

     “เอามานี่” ผมเอื้อมมือไปหยิบข้าวของที่หนึ่งถือไว้ในมือมาส่วนหนึ่ง “ซื้อซะเยอะเชียว”

     “แม่เป็นคนซื้อต่างหาก” มันว่าหน้างอ

     ผมไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยเลยเดินนำไปที่มอเตอร์ไซค์ก่อน ตลอดวันที่ผ่านมา หนึ่งยังไม่ยอมพูดกับผมดีๆ เลย มีแต่ถามคำตอบคำเท่านั้น

     เราไปถึงคอนโดโดยปราศจากคำพูดใด พอเดินเข้าไปในห้อง มันก็วางของต่างๆ ที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะกินข้าว และเดินไปทิ้งตัวบนเตียงนอนแทบจะทันที ปล่อยให้ผมจัดการข้าวของเหล่านั้นเข้าตู้เย็น เข้าที่เข้าทางด้วยตัวเอง พอเสร็จแล้วผมจึงเข้าไปในห้องนอนเพราะจะไปอาบน้ำ

     หนึ่งนอนหลับ คงจะเป็นการหลับจริงๆ ซึ่งผิดวิสัยมันมากโขที่จะนอนตั้งแต่กลางวัน แต่ช่วงนี้มันยุ่งๆ นอนน้อย แถมยังไม่ฟื้นตัวจากไข้เต็มที่ ก็คงไม่แปลกอะไร

     ผมเดินเข้าไปใกล้ แตะหน้าผากมันเล็กน้อยและพบว่าไม่มีไข้อีกแล้ว เลยเดินเข้าไปอาบน้ำจัดการตัวเองเสีย พอเดินออกมาก็เห็นว่ามันยังนอนอยู่เช่นนั้น

     ผมปล่อยให้หนึ่งนอนไปเงียบๆ และจัดการไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง

     พอหนึ่งเงียบแบบนี้แล้วผมนึกถึงช่วงเวลาที่มันย้ายไปอยู่กับแฟนเจ้าปัญหานั่นเสียจริง เพราะผมหันข้างให้เตียงอยู่ บางทีพอหนึ่งขยับตัวจนได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีก็เผลอสะดุ้งและหันไปมองว่ามันยังนอนปกติดีใช่หรือไม่

     เผลอแป๊บเดียวฟ้านอกหน้าต่างก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมจึงต้องลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟ หยิบข้าวกับเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่มีในตู้เย็นและไข่มาสองฟองเพื่อทำข้าวผัด ชะโงกหน้าไปมองก็พบว่าหนึ่งยังไม่ตื่นเลยแม้แต่น้อย

     ผมจัดการทำอาหารให้เสร็จ วางไว้บนโต๊ะกินข้าวและเดินไปสะกิดหนึ่ง

     “หนึ่ง!” เอื้อมมือไปเขย่าตัวมันเบาๆ

     เจ้าของชื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมามองผม ก่อนที่จะพลิกตัวไปอีกทาง ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ใช่น้อย ผมเลยดึงหมอนออกมาจากหัวมันเสีย

     “นอนตอนเวลาแบบนี้เดี๋ยวตะวันทับตาหรอก”

     “เฮียแม่ง...” มันบ่นงึมงำ “เหมือนคนแก่เลยว่ะ”

     ผมกลอกตา คว้าตัวที่ผอมบางของมันขึ้นมานั่งดีๆ สั่งให้มันไปอาบน้ำและล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมากินข้าว ส่วนผมก็ลงมือกินข้าวผัดง่อยๆ ของตัวเองไปก่อน

     หนึ่งเดินออกมาตอนที่ข้าวผมหมดจานพอดี มันมองข้าวผัดตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วจึงทิ้งตัวนั่งกินข้าวเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร แต่ทางทางเฉยชาจนผมสังเกตเห็น

     “เป็นอะไร”

     หนึ่งเงยหน้าเลิกคิ้วให้ผม ก่อนที่จะส่ายหน้า “เปล่า”

     “เออ” ผมไม่คาดคั้นอะไร เดินกลับไปนอนที่เตียง เล่นนู่นเล่นนี้ไปเรื่อยในโทรศัพท์

     สักพักหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องด้วย คงจะกินข้าวเสร็จแล้ว มันหยิบงานของมันที่กองอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นมาหยิบจับ เป็นแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจนผมต้องลดโทรศัพท์ในมือลง

     “ให้ช่วยไหม”

     “ไม่ต้อง” มันตอบเสียงห้วน

     ผมเลิกคิ้ว ก่อนหน้านี้เห็นถ้าผมจะช่วยทีแทบจะกราบอ้อนวอน ผมเลยใส่ใจกับโทรศัพท์ตัวเองต่อ ไม่ลืมที่จะมองมันเป็นครั้งคราวและพบว่าหนึ่งสีหน้าไม่ดีนัก สักพักมันก็เดินขึ้นมานอนบนเตียง

     ผมมองมันที่ทิ้งตัวบนเตียง เอาหน้าซุกกับหมอนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปากถาม

     “ปวดหัว?”

     มันเงียบไป ถึงไม่หันหน้ามาผมก็รู้ว่าผมคิดถูกแน่ๆ

     ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบกล่องยาที่น้ากานดาเป็นคนเอามาให้โดยเขียนไว้ว่ายาแต่ละอย่างใช้ทำอะไร ค้นไปไม่นานก็เจอพารา เลยหยิบมาให้มันหนึ่งเม็ดพร้อมกับน้ำอีกขวด

     “ลุกขึ้น” ผมเอ่ยเสียงเข้ม เจ้าเด็กมากปัญหาเลยลุกขึ้นด้วยใบหน้างอ “อะไร ยังไม่หายโกรธกูรึยังไงฮะ”

     เพียงเท่านั้นมันก็เบือนหน้าหนี หนึ่งบ่นงึมงำอะไรสักอย่างที่ผมจับศัพท์ไม่ได้ แต่ก็ยังรับยากับน้ำเปล่าไปกินดีๆ

     พอมันกินเสร็จผมก็จัดการเอาทุกอย่างไปเก็บ พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองจ้ำจี้จ้ำไชกับมันมากเกินไปจริงๆ สมัยผมป่วย ไม่มีหรอกนะที่พี่ลูกปลาจะมาทำอะไรอย่างนี้ให้

     ผมเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่ทันไรหนึ่งก็พลิกกายมามองหน้าผม

     “เฮียทำเหมือนหนึ่งงี่เง่าไปเองเลย” ผมเลิกคิ้ว เหมือนมันจะรู้ว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูดมันเลยอธิบายต่อ “เมื่อวานที่หนึ่งพูดแบบนั้น...”

     “...”

     “ขอโทษนะ” ผมมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่ทันจะพูดอะไรหนึ่งก็แหวออกมาพร้อมทั้งถลึงตาใส่ผมเสียก่อน “ไม่ต้องมองแบบนั้นได้ไหมล่ะ!”

     “โทษที” ผมกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “กูแค่แปลกใจ”

     “แต่หนึ่งก็ไม่อยากให้เฮียทะเลาะกับคนอื่นเพราะหนึ่งนะ” มันพูดต่อ เสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเฮียทำแบบนั้นเพราะว่าแม่ฝากมา...”

     “...”

     “...เฮียไม่ต้องทำก็ได้”

     คำพูดของมันทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียง วางโทรศัพท์ไว้บนนั้น ข้ามไปที่เตียงมันโดยที่หนึ่งถอยกายเสียจนแทบจะแนบไปกับผนัง

     “ฮะ เฮีย” หนึ่งเรียกผมเสียงแผ่วตอนที่เตียงยวบลงเพราะน้ำหนักของตัวผมเอง

     “กูทำเพราะกูอยากทำ” ผมพูดเสียงเรียบ “ไม่เกี่ยวกับน้ากานดา ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”

     อีกฝ่ายมองหน้าผมจนผมเห็นความวูบไหวในแววตาของมันแต่ไม่ยักกะหลบตาไปไหน ผมไม่รู้ทำไมมือของผมถึงเอื้อมไปสัมผัสบริเวณแก้มมัน หนึ่งสะดุ้งตัวเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นก่อนที่จะหลับตาปี๋

     ผมมองคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ชัดเจนว่าลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัด

     หยุด

     เสียงหนึ่งบอกผมแบบนั้น ทำให้การเคลื่อนไหวของผมชะงัก พอหนึ่งเห็นว่าผมไม่ได้ทำอะไร มันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นในขณะที่ใบหน้าของเรายังคงอยู่ใกล้กัน อย่างกับว่าเราเล่นเกมว่าจ้องตา ใครหลบตาก่อนเป็นคนแพ้

     และหนึ่งแพ้ มันเบือนหน้าหนีหลังจากที่เรามองหน้ากันแบบนั้น

     “ทะ ทำอะไรของเฮียเนี่ย!” โวยวายเสียงดังพร้อมทั้งเอาหมอนมาแทรกระหว่างใบหน้าของพวกเราสองคน แถมยังดันหมอนเข้ามาเต็มแรงจนผมต้องเอามือปัดป่ายบนร่างของมันเข้าให้ “เฮียป้อง!”

     หนึ่งตะโกนตอนที่ผมออกแรงกระชากหมอนออกมา โยนไปอีกทาง คล้ายว่าจังหวะมันผิดพลาดไปเสียหน่อย พวกเราเลยประจันหน้ากันอีกครั้งโดยที่ตัวหนึ่งอยู่ข้างใต้ผมโดยสมบูรณ์

     มันย่นคอ หลับตาปี๋เพราะใบหน้าของผมไปจ่ออยู่บริเวณซอกคอของมัน

     ผมสูดลมหายใจ เอามือยันกายขึ้นให้มานั่งดีๆ คนที่เพิ่งจะอยู่ใต้ร่างผมเมื่อกี้ชันเป็นนั่งพิงผนัง ผมอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปดีดหน้าผากมันอย่างแรง

     “เฮีย!” หนึ่งโวยวายตามท้ายผมที่เดินออกมา

     ผมทิ้งตัวลงโซฟา เสียงโวยวายไล่หลังเงียบไปแล้วหากแต่ผมยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวและดังราวกับเสียงกลองอึกทึก ผมได้แต่มองประตูที่ผมเพิ่งเดินออกมาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันแน่นยามก้มมองมือตัวเองที่เมื่อกี้ไม่เชื่อฟังสมองเสียเท่าไหร่ เข้าใกล้มันทีไร คล้ายว่าผมจะแหกกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้เพื่อห้ามใจอยู่ร่ำไป

     ...สัมผัสไม่ได้ แตะต้องไม่ได้...

     ...ผมจะยอมรับความรู้สึกนี้ไม่ได้... ตราบใดที่ผมยังไม่ดีพอที่จะปกป้องมันไว้...






-----------------------------------------------
อ่านตอนนี้แล้ว คิดยังไงกับเฮียคะ
คอมเม้นบอกหรือบอกในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ก็ได้นะคะ
อยากรู้มากจริงๆ XD

#ขอให้ไม่ใช่รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2016 22:36:33 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
สรุปว่าตอนนี้ป้องน่ะรักหนึ่งไปแล้ว แต่ยับยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ก้าวเข้าไปใกล้คำว่าคนรัก เพราะคิดว่ายังไม่สามารถปกป้องหนึ่งได้ เลยต้องถามว่า
ป้องคิดว่าสักวันหนึ่งป้องจะดีพอจนสามารถคุ้มภัยให้หนึ่งได้ใช่ไหม
ถ้าใช่ คือเมื่อไหร่ ความดีและคุณค่าของป้องโตพร้อมอายุที่มากขึ้นหรือคะ คือต้องใช้เวลาในการเพิ่มมันขึ้น แบบที่เราพัฒนาทักษะอื่นๆหรือคะ(นี่ไม่ได้กวนนะ) ซึ่งเราว่าไม่น่าจะใช่ ถ้างั้นป้องอาจรอไปตลอดชีวิตแล้วไม่ได้รักกันก็ได้นะ เพราะไม่เปลี่ยนวิธีคิดเสียที

การมีความรักสำหรับป้องคือการคุ้มครองป้องภัยใช่ไหม เราว่าป้องเข้าใจความรักในฟังก์ชั่นเดียว รักยังมีอีกหลายมุมเลยนะ

ป้าจะไม่เชียร์ป้องแล้วนะ แกก็อยู่เป็นพ่อไปเล้ย เชอะ

เจอคำผิดคะ ทางทางเฉยชา แก้เป็น ท่าทาง

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 15
‘คนเมา’



     ผมกับหนึ่งแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยนับตั้งแต่วันนั้น

     วันๆ หนึ่งเอาแต่หมกตัวอยู่ที่คณะและพวกโอ๊ต งานชิ้นนั้นคงไม่เสร็จสักที พอมันกลับมาที่ห้อง ก็เพื่อแค่นอนกับเอาเสื้อผ้าไปนอนกับโอ๊ตบ้างหรือนอนที่คณะบ้าง สักสองสามวันครั้งจึงจะโผล่หน้ามาและมักจะหายไปก่อนผมตื่น สีหน้าอิดโรยกว่าผมเสียอีก

     ผมไปส่งมันบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ไปรับมันเพราะคณะเองก็มีงานเยอะถาโถมเข้ามา ทั้งต้องอ่านหนังสือ ต้องทำงาน ทุกๆ อย่างวุ่นวายไปหมด

     ที่คณะของผมปกติดี ไม่มีปัญหาใดๆ แม้ว่าผมจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ เดิมทีบุคลิกของผมก็ไม่น่าเข้าใกล้อยู่แล้ว และดูเหมือนผมจะเป็นที่นินทาของผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงในเซค แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากขนาดนั้น บอกตรงๆ ว่าผมมีหลายอย่างที่ต้องใส่ใจมากกว่าขี้ปากชาวบ้าน

     ไอ้กันต์ไอ้ภีมไม่กล้าพูดเรื่องหนึ่งกับผมอีกเลย คงเป็นเพราะมีใครสักคนบอกว่าผมเลิกกับหนึ่งแล้ว (แท้จริงเราไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ) ส่วนที่มาของความคิดนั้นคงเป็นเพราะผมไม่ได้ไปส่งเท่าไหร่แล้ว และผมไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจเหล่านั้นเพราะมันทำให้ชีวิตผมสงบขึ้นเยอะ

     ผมคิดว่าข่าวพวกนั้นไม่ใช่ปัญหา... อย่างน้อยก็ไม่ใช่การหลบหน้า แต่เป็นเพราะจำเป็นจริงๆ มากกว่าที่ผมกับหนึ่งไม่ค่อยคุยกันอีก

     เราเจอกันอีกครั้งตอนหนึ่งกลับจากโรงพยาบาล หมอบอกว่าไม่ต้องไปตรวจอะไรแล้วแต่ถ้ามีอะไรท่าไม่ดีให้บอก ขณะที่ผมนั่งอ่านหนังสือสำหรับสอบไฟนอลในอาทิตย์หน้า หนึ่งก็เดินไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ ทำให้ผมรู้ทันทีว่ามันจะไม่อยู่ห้องแน่ๆ

     “จะไปไหน”

     หนึ่งไม่ตอบ ยกมือกระดกนิดหน่อยทำให้ผมรู้ว่ามันจะไปกินเหล้า

     “กับใคร”

     “พี่เต้ย” ในหัวย้อนคิดชั่วครู่ก่อนที่หน้าพี่รหัสปากมอมของมันจะผุดขึ้นมา นึกขัดใจเล็กๆ แต่ไม่อยากจะแย้งอะไรให้มากความ “เดี๋ยวกลับมาน่า ไม่ต้องห่วงนะเฮีย”

     “อย่าเมาให้มากล่ะ กูไม่อยากเช็ดอ้วกมึงแล้ว”

     หนึ่งทำท่าทางฮึดฮัดนิดหน่อย “งั้นหนึ่งนอนกับพี่เต้ย”

     “มึงจะไปนอนกับมันทำไม”

     “เอ้า ก็ไม่อยากเช็ดอ้วกหนึ่งไม่ใช่หรือไง” มันเถียง “หนึ่งทำงานเสร็จปะวะ มันก็อยากเมาจนหัวทิ่มบ้าง”

     “กูบอกว่ากูไม่อยากเช็ดอ้วกหมายถึงมึงต้องกินให้น้อยหน่อยอย่าให้เมาเยอะ ไม่ใช่ให้มึงใจแตกหนีไปนอนนอกห้อง” ผมว่าเสียงขุ่นขึ้น “มึงชักเอาใหญ่แล้วนะ”

     “หนึ่งอยู่ในโอวาทเฮียตั้งนาน!”

     “หนึ่ง!”

     เจ้าของชื่อสะดุ้ง หน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยยามผมเรียกมันเสียงเขียว คงรู้แล้วว่าผมก็ไม่พอใจกับการกระทำแบบนี้ของมัน เวลามันเอาแต่ใจทีไร พาลให้หัวร้อนทุกที

     “มะ ไม่รู้ล่ะ วันนี้หนึ่งจะกิน” มันเถียงเสียงอ่อนลงนิดหน่อย

     ผมถอนหายใจ “ก็กินไป แต่อย่าให้เมากลับมา เข้าใจไหม”

     มันหน้างอ เงียบสนิทจนผมต้องถามซ้ำ

     “กูถามว่าเข้าใจไหม”

     “รู้แล้ว...รู้แล้ว!” หนึ่งยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “พอใจแล้วใช่ไหม หนึ่งไปแล้วนะ”

     ผมไม่เข้าใจว่ามันจะถามทำไมในเมื่อสุดท้ายมันก็เดินออกไปโดยไม่รอให้ผมพูดอะไรสักคำ ลืมถามไปเลยว่าไปที่ร้านหรือไปที่หอ ถ้าไปที่ร้านก็ต้องเตือนเรื่องจะไปมีเรื่องกับชาวบ้านเขาอีก

     พอคิดเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ผมคิดถึงคำพูดของพี่สาวตัวเองว่าอย่าไปโอ๋มันให้มาก แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ผมพยายามปัดความคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวหนึ่งมันทิ้งก่อนที่จะเพ่งความสนใจกับหนังสือตรงหน้า




     ผมลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นตอนเกือบสี่ทุ่มและพบว่าแทบไม่มีอะไรเหลือสำหรับมือค่ำแล้ว เลยตัดสินใจเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 พร้อมกับซื้อของมาตุนไว้

     แถวนี้เป็นคอนโด แต่เพราะเป็นคืนวันเสาร์เลยเงียบกว่าปกติเสียหน่อย ร้านเหล้าไม่ได้อยู่แถวนี้แต่จะไปอยู่แถวมหาวิทยาลัย ถ้าหนึ่งไปแถวนั้นมันไปยังไง พอคิดแล้วก็นึกเป็นห่วงจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ เปิดแชตของผมกับมันที่แทบไม่ได้คุยกัน วันสุดท้ายที่คุยกันคือเมื่อสองสามวันก่อน แถมปกติแล้ว เราก็คุยกันไม่กี่ประโยคเท่านั้น ส่วนมากที่ติดต่อคือหนึ่งจะให้ผมไปรับที่ไหน หรือผมจะให้มันมาที่คณะ ในเมื่อผมไม่จำเป็นต้องไปส่งมันแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องคุยกันเสียหน่อย

     ผมกลับบ้านไปต้มมาม่ากิน จากนั้นก็นั่งๆ นอนๆ ดูซีรี่ส์ของอังกฤษที่ดูค้างไว้ต่อจนจบไปสองตอนและพบว่าตอนนี้เกือบจะตีหนึ่งแล้ว แต่หนึ่งยังไม่กลับมาเสียที

     นึกลังเลอยู่พักหนึ่งสุดท้ายผมก็ยอมแพ้ คว้าโทรศัพท์มาโทรหามัน

     “หมายเลขที่ท่านเรียก...”

     ผมถอนหายใจ บอกตัวเองว่าช่างแม่ง ยังไงมันก็ยังมีกุญแจ เข้าห้องได้ไม่ลำบากอะไร ถ้ามันกลับมาได้น่ะนะ

     ทั้งที่บอกตัวเองเช่นนั้น แต่ดูเหมือนผมปล่อยวางไม่ได้ ไม่ดีเลย ผมทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งและกดส่งไลน์ไปบอกมันว่าถ้าจะนอนค้างที่อื่นก็บอกด้วย

     ผมโยนโทรศัพท์ทิ้ง สนใจหน้าจอโน้ตบุ๊กที่กำลังเปิดซีรี่ส์ตอนถัดไปมาดูอีกสักตอน ยังไงพรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์ และผมไม่มีนัดอะไรกับใครด้วย จะนอนดึกอย่างไรก็ได้

     ถึงกระนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน หน้าจอโน้ตบุ๊กดับไปแล้วแปลว่าผมคงหลับไปพักใหญ่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะปกติผมไม่ค่อยนอนเกินเที่ยงคืนหรือว่ามันล้าเสียจนผมถึงเผลอหลับ ที่รู้ๆ คือซีรี่ส์ก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร

     เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาดูพบว่าผมกลับไปราวๆ ชั่วโมงเศษ ผมเปิดไลน์ดูแชตล่าสุด และพบว่าหนึ่งไม่ได้ตอบผมเช่นเคย อันที่จริงมันไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ

     ว่ากันตามจริงแล้ว ผมไม่มีโซเชี่ยลอื่นๆ ของหนึ่ง เพราะผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรมากนัก นอกจากไลน์ที่ใช้ประจำแล้วผมก็มีอย่างอื่นไว้แต่ไม่เคยเล่นอะไรเลย

     ผมออกมาเปิดแชตของโอ๊ต น่าจะเป็นเพื่อนหนึ่งที่ติดต่อได้ง่ายที่สุด

     ‘โอ๊ต หนึ่งไปกับมึงรึเปล่า’

     ผมรออยู่พักหนึ่ง ถอนหายใจและคิดว่ามันคงนอนไปแล้ว แต่ไม่นานมันก็ตอบกลับมา

     ‘ใช่ ผมมาด้วย’

     พอได้รับคำตอบเช่นนั้น ผมก็รู้สึกว่าเบาใจขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยไอ้โอ๊ตมันก็มีสติพอที่จะตอบผมและไม่ได้พิมพ์อะไรผิด ที่สำคัญ ปกติแล้วเวลามันดื่ม ก็มักจะเป็นไอ้โอ๊ตที่หามมันกลับมา

     ‘มันจะกลับหอไหม ถามมันดิ’

     ตัวอักษรคำว่า Read ขึ้นในทันที ก่อนที่จะเงียบไป ไม่นานก็เป็นสายเรียกเข้า เบอร์ขึ้นมาคือเบอร์ที่ผมเมมไว้ด้วยตัวเลข 1

     พอกดรับก็ได้ยินเสียงดังเจื้อยแจ้วตามประสาร้านเหล้าที่ชอบเปิดจนถึงรุ่งเช้าในคืนวันหยุดเช่นนี้ เสียงอื้ออึงจนฟังต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างหู

     พวกเราไม่มีคนพูดก่อน หรือมันอาจจะพูดแล้วผมไม่ได้ยินก็ได้ จนปลายสายเอ่ยเสียงอ้อแอ้แบบกึ่งตะเบ็งเสียง

     “เฮี่ยยยย ได้ยินปะวะ”

     “เรียกกูดีๆ หน่อย” ผมว่า กัดฟันกรอดด้วยความโมโห เข้าใจว่ามันเมา แต่เข้าใจมากกว่าว่าคนเมามักจะพูดในสิ่งที่คิด หรือบางทีมันอาจจะชอบเรียกผมแบบนี้ในใจก็ได้

     “ว่าอะไรนะ”

     “บอกว่าเรียกกูดีๆ หน่อย” แม้ผมจะพูดเช่นนั้น หนึ่งก็ถามคำเดิมซ้ำจนผมตอบปัด “ช่างมัน”

     “เฮี่ยยยยยยยยย” มันแหกปากอีกครั้ง เสียงยานคางกว่าเก่าเสียอีก “มีอะรายยยยยยยยยย”

     “หนึ่ง คุยกันดีๆ มึงเมาแล้วใช่ไหม”

     มันตอบเสียงอ้อแอ้ “ม่าย เปล่าเลย ใครเมา ไม่มี๊”

     ผมเพิ่งเคยคุยโทรศัพท์กับมันตอนเมาหนักๆ ก่อนหน้าที่มันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น หนึ่งเมาแล้วโดนหามกลับมาในสภาพไร้สติแล้ว และผมตระหนักได้ตอนนี้ว่าผมไม่ควรปล่อยมันไปจริงๆ ยิ่งอยู่ร้านด้วย เชื่อเลยว่าปากแบบนี้มันจะต้องโดนตีนเข้าสักวันแน่ๆ

     “หนึ่ง คุยกับใครวะ” ผมได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนแทรกขึ้นมา เจ้าของชื่อคงตอบอะไรไปด้วยน้ำเสียงที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดิมบอกเสียงดัง “ดื่มอีก ดีมอีก!”

     “ไอ้หนึ่ง”

     “หืม” ปลายสายตอบรับด้วยเสียงครางในลำคอ “อะไรเหรอ”

     “มึงเมาแล้ว จะกลับมาหรือเปล่า หรือจะไปนอนกับโอ๊ต”

     “เดี๋ยว...กลับบ” เสียงหนึ่งยานคางมากเสียจนฟังแทบไม่เป็นศัพท์ จากนั้นสายก็ถูกตัดไป ไม่ให้โอกาสผมถามมันต่อด้วยซ้ำว่าจะกลับมาอย่างไร

     ผมกดกลับเข้าไปในไลน์ ยังไงพิมพ์ไปหาหนึ่งมันก็คงไม่สนใจ เลยตัดสินใจพิมพ์ไปหาเพื่อนมันแทนบอกให้แชร์โลเกชั่นมา พร้อมกับบอกว่า

     ‘บอกหนึ่งว่ากูจะไปรับ เดี๋ยวนี้’

     ผมจัดการเปลี่ยนชุด หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกมาจากคอนโด ตัดสินใจไม่ใช้มอเตอร์ไซค์เพราะคิดว่าคงจะทุลักทุเลไม่ใช่น้อยในการแบกคนเมากลับห้อง เลยเรียกแท็กซี่แทนเสีย
     
     ไม่ถึงสิบนาทีก็ไปถึงแล้ว เวลาเดินทางจริงๆ น้อยกว่านั้นอีก แต่เสียเวลารอรถไปนิดหน่อย ผมบอกให้รถแท็กซี่จอดรอ โชคดีแถวๆ นั้นมีร้านเดียวที่ยังเปิดอยู่เลยหาไม่ลำบาก

     ตรงหน้าร้านเหล้ามีกลุ่มคนเมาเหมือนหมา มีกองอ้วกตรงเสาไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องน่าดูชมเท่าไหร่ เป็นร้านแบบตึกแถว มองลอดเข้าไปก็เห็นหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะหน้าๆ ชูแก้วเหล้า มองข้างโต๊ะที่มีคนนั่งสักห้าหกคน เป็นกลุ่มชายล้วน แต่ขวดดูมากกว่าจำนวนคนเสียอีก มีทั้งเหล้าทั้งเบียร์

     พอผมเดินเข้าไป โอ๊ตที่ดูสภาพดีที่สุดในกลุ่ม (แต่หัวก็เอียงไม่ใช่น้อย) ยกมือทักทายผมเป็นคนแรก

     “พอ” ผมว่าเสียงเรียบ คว้าแก้วของหนึ่งจากมือก่อนที่มันจะกระดก

     หนึ่งหันมอง หน้าแดง หูแดงไปหมด สายตาหยาดเยิ้มหรี่ลง “เฮี่ย เอาแก้วมา” มันพยายามจะเอื้อมมือมาคว้าไว้ แต่ประคองตัวให้ลุกขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ

     “มึงเมาแล้ว”

     “อะไรวะ ไม่ขนาดนั้นหรอกกก” ผมหันไปมองต้นเสียง พี่รหัสมันโบกมือไปมาน้ำเสียงยานคางไม่ใช่น้อย มองสภาพแล้วคงไม่ต่างกันนัก “กินไปหนึ่ง”

     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันเสียงเขียว แต่ดูแล้วคนตรงหน้าจะคุยไม่รู้เรื่อง

     มันเอามือทุบช่วงอกผมสองสามที ด่าอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ออก ก่อนที่มันจะยอมแพ้ด้วยการหันไปยกแก้วของใครสักคนที่วางอยู่มาซด และหันมายักคิ้วให้ผมราวกับเป็นผู้ที่เหนือกว่า

     ผมเห็นได้โอ๊ตเอามือตบหน้าผากเบาๆ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่สนใจ พี่รหัสของไอ้หนึ่งยุให้มันดื่มอีก จนผมต้องวางแก้วที่ยึดจากหนึ่งมาบนโต๊ะ คว้าแก้วของไอ้เต้ยที่ทำท่าจะยัดเยียดให้หนึ่งมาดื่มเอง

     ความร้อนไหลลงลำคอ ใช่ว่าไม่เคยกิน ผมฝึกกินของมึนเมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมแต่ส่วนมากก็ไม่ได้กินบ่อย แถมรสชาติบาดคอแบบนี้ผมก็ไม่ชื่นชอบนักหรอก ผมกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ ดูคนทั้งโต๊ะจะงุนงงไปนิดหน่อย ผมถือจังหวะนั้นดึงแขนหนึ่งให้ลุกขึ้นไปที่แท็กซี่

     หนึ่งตอนเมาตัวเบาอย่างกับปุยนุ่น คงเป็นเพราะว่ามันแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว แค่ผมออกแรงนิดหน่อยหนึ่งก็จำต้องเดินตามอย่างจำยอม

     ผมยัดมันเข้าหลังรถ แทรกตัวเข้าและปิดประตู บอกให้แท็กซี่ไปคอนโดผมทันที

     “ใจร้ายยยยย ไม่เมาไม่กลับไม่ใช่เหรอ” มันว่าเสียงอ้อแอ้ ทุบอกทุบตัวผมอย่างแรงจนผมต้องรวบมือสองข้างของมันมาไว้นิ่ง

     “มึงเมาแล้ว”

     “ไม่เมาสักหน่อยยยย” มันลากเสียงยาวจนคนขับแท็กซี่ยังขำไปด้วย “ไม่เชื่อจอด จอดเลย! จะลงไปเดินให้ดู ตรงเป๊ะ!”

     “เงียบๆ ได้ไหมฮะ เมื่อกี้เดินมามึงจะไปกองที่พื้นแล้วยังไม่เจียมอีก”

     มือก็ประทุษร้าย ปากก็พล่ามไม่หยุดแถมยังเสียงดังลั่น นึกขอบคุณที่ลุงคนขับแท็กซี่ยังไม่ปล่อยพวกเราไว้กลางทาง และดีที่หนึ่งไม่อ้วกออกมาในรถ

     พอมาถึงคอนโดแล้ว กว่าจะประคองมันขึ้นถึงห้องก็ทุลักทุเลไม่น้อยเพราะผมบอกยามว่าไม่ต้องช่วย พอเข้าลิฟต์มาแล้วถึงอยากกลับไปเรียกยามให้มาช่วยจัดการไอ้ตัวดื้อนี่หน่อย ถ้าปล่อยมือก็ทุบ แต่ถ้าปล่อยให้มันเปิดปากมันก็จะตะโกน เดี๋ยวแหกปากร้องเพลง เดี๋ยวด่าผม

     เข้าห้องปุ๊บ หนึ่งก็ล้มไปทันที ไม่ใช่ที่เตียงแต่ที่หน้าประตูห้องนั่นแหละ ผมถอนหายใจ เห็นทีต้องคาดโทษให้หนักทีเดียว พี่รหัสช่างยุมันก็เหมือนกัน ผมจัดการถอนรองเท้า ถุงเท้าให้มันตรงนี้ โยนของพวกนั้นไปอีกทางและช้อนตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่ออุ้มไปที่เตียงในขณะที่มันหัวเราะร่า

     ถึงเตียงแล้วหนึ่งก็หรี่ตามองหน้าผมตาเยิ้ม เหมือนมันจะเมาเพิ่มว่าที่ร้านนิดหน่อย บางทีอาจจะเมาอากาศก็ได้

     “คอยดูเถอะ เดี๋ยวกูจะบอกแม่มึง” ผมว่าเสียงขุ่น มองเจ้าตัวปัญหาที่ดูมีปัญหาเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าตอนเมาแล้วนึกหงุดหงิดในใจเหลือเกิน พี่รหัสก็ช่างยุ เพื่อนก็ไม่เตือน หรือบางทีอาจจะเตือนไม่ได้ก็ไม่รู้

     “เฮีย”

     “อะไร”

     “เฮียป้อง”

     “อะไรวะ”

     “เฮียป้องงงงงงงงง”

     “โว้ย อะไรของมึงเนี่ย”

     พอเห็นผมโวยวายมันก็หัวเราะ รั้งตัวผมเข้าไปใกล้จนกลายเป็นเราตะแคงข้างมองหน้ากัน หนึ่งกะพริบตา จังหวะนั้นความใกล้ของเรามากพอเสียจนผมเห็นขนตายาวๆ ของมัน

     “หนึ่ง” ผมว่าเสียงเข้ม “ปล่อย”

     “ใจร้าย” คนตรงหน้าว่าแบบนั้น จากนั้นก็หัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่คนเดียว “ปากเสีย ดุ นิสัยคนแก่ หน้านิ้วคิ้วขมวด จู้จี้เหมือนผู้หญิงวัยทอง”

     “มึงเมาปะวะทำไมตอนด่ากูพูดชัดนัก”

     อดไม่ได้ที่จะสงสัย แต่หนึ่งก็หัวเราะตอบกลับมาเสียงดังจนผมต้องเอื้อมมือไปผลักหัวมันหนึ่งที กำลังจะหยัดกายให้ลุกขึ้น หากแต่ต้องชะงักไปกับคำพูดถัดมา

     “...แต่เฮียก็รักหนึ่ง” ผมหันไปมองมัน หรี่ตาเล็กน้อย หนึ่งพูดโดยที่สบตาผมไปด้วย แววตาของมันฉ่ำนิดหน่อยจากฤทธิ์เหล้า “เฮียปากเสียแต่ก็ใจดี ขี้บ่นแต่ก็ช่วยหนึ่งตลอด”

     “...”

     “เฮียไม่เคยไปไหน”

     “มึงเมามากแล้ว”

     เสียงที่ตอบมาเป็นเสียงครางในลำคอเท่านั้น

     ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ทิ้งตัวลงในตำแหน่งเดิม หนึ่งมองผม ไม่ละสายตาไปไหนแบบที่ผิดวิสัยของมันมาก จนผมต้องย้ำความคิดตัวเองอีกครั้งว่ามันเมา แต่ลมหายใจสม่ำเสมอของมัน ทำให้ผมหายใจลำบากนิดหน่อย

     “เฮีย”

     ผมเงียบ รอให้อีกฝ่ายที่เรียกชื่อผมพูดออกมา

     หนึ่งขยับปากเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา หนึ่งมองหน้าผมอยู่นานและผมก็ไม่ขยับไปไหน สักพักลมหายใจของหนึ่งก็สม่ำเสมอ หนึ่งหลับไปแล้ว ในขณะที่มันทำให้ผมหลับไม่ลง สิ่งที่รู้คือการที่ผมนอนเบียดมันในเตียงแคบๆ นั่น พินิจใบหน้าของมันตลอดจนพระอาทิตย์ขึ้น

     คนเมา...มักจะพูดในสิ่งที่คิด

     และผมปรารถนาให้หนึ่งคิดเช่นนั้นจริงๆ

     ผมอยากให้มันรู้ว่า...ผมจะไม่ไปไหน





-----------------------------------------------
ขอโทษที่มาช้าค่ะ
อาหารเป็นพิษ แบบงงๆ ยังไม่หายสนิทแต่ดีขึ้นแล้ว

ปล. คอมเม้นเรื่องเฮียป้องตอนที่แล้ว เปลี่ยนทีมกันเยอะเลย ฮา

ปล.2 ตอนนี้กำลัง Pre-Order นิยายเรื่องรักหลังเลนส์ค่ะ
เป็นนิยายรักชาย-หญิง เขียนในนามปากกา Ni_นิว
>> http://goo.gl/forms/QUKmtsSWFi
ลองไปอ่านรายละเอียดกันได้นะคะ  :mew1:

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รอ ทั้งคู่กล้าๆ หน่อย  :เฮ้อ:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด