พิมพ์หน้านี้ - ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NINEWNN ที่ 16-01-2016 19:42:12

หัวข้อ: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-01-2016 19:42:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


(http://upic.me/i/z5/irso5.png)


ผลงานที่ผ่านมา
✽ SINGLE PAPA คุณพ่อยังโสด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39650.0) (จบแล้ว)
✽ TIME TICKET อยากให้เรารักกันอีกครั้ง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45267.0) (จบแล้ว)
✽ [เรื่องสั้น] ช่องว่างระหว่างชอบกับรัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48969.0) (จบแล้ว)
✽ [เรื่องสั้น] MIDSUMMER's ICE CREAM  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52997.0) (จบแล้ว)
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทนำ (16.01.2015)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-01-2016 19:59:50
บทนำ



     วันนั้นผมกลับมาคอนโดที่แม่ซื้อให้หลังจากไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวสี่วันสามคืน แต่พอเปิดประตูห้องไปกลับเห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหลายอย่าง

     เดิมทีห้องนั้นก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วนด้วยเทปที่แปะไว้กลางห้องอยู่แล้ว แต่คราวนี้ เทปนั่นถูกดึงออก อีกครึ่งหนึ่งในห้องกลับไปสู่ช่วงเวลาที่ผมอาศัยอยู่คนเดียวหลังจากมีข้าวของระเกะระกะมาวางไว้ร่วมปี นอกจากนั้น เจ้าของพื้นที่ส่วนนั้นยังนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ที่ผมให้มันใช้เป็นที่นอน

     ผมอาจจะพูดผิด...เขาไม่ได้นั่งบนโซฟาตัวใหญ่ เขานั่งบนตักของผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟานั่นต่างหาก
     
     เด็กนั่นหันหลังโชว์แผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ผอมจนเห็นกระดูกสะบักหลังชัดเจน รวมไปจนถึงรอยสักรูปนกตัวเล็กๆ สองสามตัวบนแผ่นหลังแห้งๆ

     ผมคิดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าตัวเองปิดประตูห้องเสียงดังกว่าทุกครั้งแต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

     “...หืม กลับมาแล้วเหรอ” เจ้าเด็กนั่นหันมามองผมด้วยสายตาไม่รู้จักอายเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายที่เป็นเบาะนั่งให้มันดูตระหนกกว่าเสียอีก “ว่าจะออกไปก่อนเฮียกลับสักหน่อย”
   
     “ไปไหน” ผมถามกลับเสียงเข้ม
   
     “ย้ายออก”

     มันลุกขึ้น หันมาประจันหน้ากันชัดๆ และนั่นทำให้ผมเห็นรอยสีสดบริเวณหน้าอกมัน สีสดเสียจนมั่นใจว่าไอ้คนทำรอยคือไอ้ผู้ชายที่ยังทำหน้าไม่ถูกนั่นแน่ๆ

     “ไปอยู่ไหน”

     “หอแฟน” อีกฝ่ายว่าแบบนั้น “ของอันอื่นเอาไปแล้ว แต่อันนี้มาเอาของชุดสุดท้าย” มันว่าพร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางที่อยู่มุมห้อง ก่อนที่จะคว้าเสื้อบอลที่มันชอบใส่ออกมาจากใต้โซฟาและสวมทันที

     “น้ากานดารู้รึยัง”

     ผมถามเสียงเข้ม เดินเข้าประชิดตัวก่อนที่จะมองคนที่ยังนั่งนิ่งบนโซฟาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ดี มันรีบกุลีกุจอรูดซิปกางเกงและยืนขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อม

     “เฮียก็อย่าให้แม่รู้สิ” มันตบไหล่ผมปุๆ

     คิ้วขมวดมุ่น มือผมคว้ามือมันมาดึงไว้เร็วกว่าความคิดเสียอีก “หนึ่ง”

     เจ้าของชื่อสะบัดมือออก หันหน้าไปพูดกับชายอีกคนในห้อง “ไปกันเถอะ”

     มันว่าแค่แบบนั้น เดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางและถุงอีกสองสามใบเดินออกจากห้อง ปล่อยให้ผู้ชายที่มันนัวเนียด้วยตอนแรกทำหน้างุนงง ไม่นานนักไอ้นั่นก็ตั้งสติได้และเดินตามแฟนมันออกไปอย่างรวดเร็ว และห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้งหนึ่ง

     ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาที่สองคนนั้นเกือบใช้เป็นสถานที่เมคเลิฟก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

     วันนั้นเป็นวันที่ผมตอบข้อสงสัยของตนเองได้เสียที

     เจ้าเด็กเปรตที่อยู่ร่วมกันมาหนึ่งเทอม...เป็นเกย์






---------------------------------------
ไม่ได้เปิดเรื่องใหม่มานานแล้วค่ะ (ฮา)

ฝากเด็กแสบคนนี้ด้วยนะคะ  :mew1:[\center]
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทนำ (16.01.2015)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 24-01-2016 20:28:09
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทนำ (16.01.2015)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-02-2016 20:50:34
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทนำ (16.01.2015)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 12-02-2016 22:29:04
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 1
‘เจ้าเด็กนั่น’




     “กูว่านะ... น้องหมิวต้องคบกับไอ้ต้นแน่ๆ แต่กูก็งงว่า เขาไม่ได้คุยกับไอ้คิวอยู่เหรอวะ”

     เสียงผู้คนพูดคุยกันในโรงอาหารดังเสมอ ไอ้กันต์เองก็เหมือนพูดแข่งกับคนพวกนั้น มีสองเวลาที่ทำให้มันเงียบได้ คือตอนที่มันกินข้าว กับตอนที่มันนอน แถมเรื่องที่ชอบก็มักจะเป็นเรื่องชาวบ้าน ผู้หญิงคนไหนบอกว่าผู้ชายไม่ขี้นินทาวะ มันนั่นแหละตัวอย่างข้อขัดแย้งของทฤษฎีนี้ มันรู้เรื่องของคนทั้งมหา’ ลัยประหนึ่งเป็นสำนักข่าวกรอง ขนาดคณะอื่นมันยังรู้ได้เลย คิดดู

     หลังจากได้ที่นั่งสบายๆ พร้อมกับเพื่อนคนอื่นในคณะที่ไม่ได้เรียนเซคเดียวกันแล้ว ผมจึงวางของทุกอย่างไว้บนโต๊ะและเดินออกมาซื้อข้าวด้วยความรู้สึกเบื่อๆ กินอาหารเดิมมาจะสี่ปีแล้ว ผมไม่ค่อยได้ไปโรงอาหารคณะอื่นนัก วันๆ ก็เอาแต่ฝากท้องไว้ที่โรงอาหารที่คณะสัตว์แพทย์ของผม กับคณะบริหารฯ ยิ่งขึ้นพอปีสามปีสี่ แค่มีเวลาปลีกตัวมากินข้าวก็ดีใจน้ำตาแทบไหลแล้ว

     ผมมาสั่งอาหารที่ร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยเมนูโง่ๆ เดิมๆ ขณะที่รอคิวอยู่นั่นเอง สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน

     หนึ่งเดินผ่านสายตาผมไปด้วยแก้วเก๊กฮวย ปกติผมไม่ค่อยเจอมันที่มหาวิทยาลัยนัก เนื่องจากวันๆ ผมวนเวียนแถวคณะตัวเอง ส่วนมันเรียนคณะสถาปัตยกรรม เป็นเฟรชชี่ในปีการศึกษานี้ วงจรชีวิตเราไม่ได้เฉียดเข้ามาหากันบ่อย นอกจากเจอกันที่คอนโด

     และเมื่อมันก็ย้ายออกไปเมื่อกลางเทอม เราก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันอีก

     “ได้แล้วค่ะน้อง”

     “ครับๆ” ผมหันกลับมายื่นเงินให้ป้าคนขายเมื่อโดนเรียกเสียงขุ่น

     พอได้รับเงินทอนแล้วผมจึงเดินกลับมาที่นั่ง ปรากฏว่าผมเดินสวนกับเจ้าเด็กนั่นอีกรอบ รอบนี้มันเองก็มองเห็นผมและเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนที่จะมองผ่านไป

     ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่หนึ่งไร้มารยาท วันไหนมันมามีมารยาทกับผมสิผมคงคิดว่ามันป่วย ตอนเป็นรูมเมทมันพวกเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเท่าไหร่ ช่วงแรกๆ มันก็เป็นเด็กดีอยู่บ้าง พอผ่านไปสักเดือนมันก็เริ่มไม่กลับห้อง ผ่านไปอีกสองเดือนก็เริ่มกลับห้องมาพร้อมสภาพเมาหัวราน้ำให้ผมเช็ดอ้วกให้จนต้องเอ่ยเด็ดขาดไปเลยว่าถ้ามันจะกลับมาแบบเมามายขนาดนั้น ให้ไปข้างหอเพื่อนเสียดีกว่า

     หนึ่งกับผมมีความสัมพันธ์กันหลายอย่าง เป็นลูกชายของลูกน้องแม่ เป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมัธยม ตอนประถมเราก็เคยเจอหน้ากันบ้างแต่ไม่ได้บ่อยจนสนิทอะไรกัน มันเป็นบุคคลที่แม่ผมเอ็นดูเสียจนเสนอกับน้ากานดาเองตอนทราบข่าวว่ามันติดมหาวิทยาลัยเดียวกับผมว่าให้มาอยู่ด้วยกันที่คอนโด แถมยังกำชับให้ผมดูแลมันเสียด้วย

     แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หนึ่งย้ายออกจากคอนโดผมเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าน้ากานดารู้หรือยังเรื่องที่มันเป็นเกย์...แถมยังย้ายไปอยู่กับแฟนมันอีกต่างหาก

     ผมปัดความสงสัยนั้นทิ้งเมื่อเดินมาถึงโต๊ะของตัวเอง สิ่งที่ผมทำมีเพียงหย่อนตูดนั่ง ลงมือกิน และได้ยินเสียงของไอ้กันต์กับไอ้ภีมนินทาคนที่ได้ตำแหน่งดาวเฟรชชี่ปีนี้เสียสนุกปาก

     พอก้มหน้ากินไปได้สักพัก จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจึงได้รู้ว่าหนึ่งนั่งถัดจากเราไปสองสามโต๊ะโดยหันหลังให้ผม ส่วนแฟนของมันก็นั่งตรงข้ามกัน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าแฟนของมันเรียนบริหารธุรกิจ

     ที่มากินโรงอาหารนี้เป็นเพราะมาหาแฟนนี่เอง

     ผมคิดแบบนั้น...กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็คือตอนที่กินอาหารในชามเสร็จโดยมองมันตลอดระยะเวลานั้น



     หลังจากเรียนคลาสบ่าย (ที่ทำแล็ปต่อจนถึงเย็น) เสร็จ ผมก็จัดการซื้อข้าวต้มแถวๆ หน้าคอนโดกลับขึ้นมาบนห้องพร้อมกับเอ็มร้อยห้าสิบอีกสองขวดไว้เป็นเสบียง เนื่องจากพรุ่งนี้มีสอบย่อยในตอนเช้า ไม่มั่นใจว่าคืนนี้จะต้องโต้รุ่งหรือเปล่าเสียด้วยสิ

     ผมขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่มีห้องของผม ก่อนที่จะหรี่ตาลงเมื่อพบคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่นั่งยองๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องของผม

     “มาทำอะไร” ผมถามเสียงห้วน

     “...แม่บอกจะมาหา”

     หนึ่งว่าพลางลุกขึ้น ปัดกางเกงที่เปื้อนฝุ่นไปมา มันยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมารออยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว
   
     ผมถอนหายใจ “ยังไม่ได้บอกน้ากานดาอีกเหรอว่าย้ายไปอยู่กับแฟน” อดไม่ได้ที่จะกัดมันเสียเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตู
   
     “จะบอกได้ยังไงล่ะ” หนึ่งบ่นอุบ

     “บอกไปสิ ยังไงก็ไม่ท้องอยู่แล้วนี่”

     “เฮียเป็นผู้หญิงหรือไง ขี้แซะจริง!” อีกฝ่ายโวยเสียงดัง จนผมต้องหันไปเลิกคิ้วใส่ มันเงียบปากโดยฉับพลันแล้วจึงพ่นคำผรุสวาทออกมาเบาๆ

     “แล้วมันใช่เรื่องไหมที่กูต้องมาทำบาปโกหกน้ากานดาให้เนี่ย”

     “หนึ่งบอกให้เฮียโกหกหรือไง! อยากบอกก็บอกไปสิ!”

     “อ๋อ จะให้บอกอะไรล่ะ บอกว่าหนึ่งติดผัวมาจน...”

     “เฮียป้อง!”

     มันเรียกชื่อผมเสียงเขียว ใบหน้าขึ้นสีแดงแบบที่ผมไม่มั่นใจนักว่ามันโกรธหรือเขินอาย แต่คนอย่างมันจะอายอะไรกับคำเช่นนี้ มีแต่จะโกรธเสียมากกว่า

     ผมปล่อยให้เสียงของมันดังผ่านหู หนึ่งเริ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เห็นได้จากการที่มันทิ้งตัวนั่งบนโซฟาแรงๆ คว้าหมอนอิงแถวนั้นมาเขวี้ยงใส่ผมแต่ผมหลบได้พอดี มันเลยยิ่งทำท่าหงุดหงิดกว่าเก่าเสียอีก

     “เงียบๆ ล่ะ” ผมเอ่ยเตือน วางกระเป๋าเป้ไว้บนเตียง “พรุ่งนี้มีสอบ”

     หนึ่งหันขวับ มองผมตาขวาง

     ผมไม่พูดกับมันให้ต่อความยาวสาวความยืด ตัดสินใจเดินเข้าไปหยิบชามที่มีเก็บไว้ไม่กี่ใบในห้องออกมากินข้าวต้มให้เสร็จสรรพ บอกมันว่าในตู้เย็นพอมีอะไรให้กินบ้าง หยิบกินได้ตามปกติแต่ก็โดนมันสะบัดหน้าใส่ลูกเดียว ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้...

     พอกินข้าวเย็นเสร็จผมก็เข้าไปอาบน้ำ ทำตัวให้สบายก่อนที่จะออกมานั่งที่โต๊ะทำงาน เหลือบสายตามองมันที่นั่งหยิบกระดาษทดเลขของผมมานั่งขีดๆ เขียนๆ ในหน้าหลังที่ว่างเปล่า ถึงได้สงบใจได้

     “เฮีย” ในที่สุดมันก็เอ่ยปากขึ้นมาหลังจากเราตกอยู่ในความเงียบร่วมชั่วโมงกว่า “ยืมมือถือหน่อยสิ”

     ผมหันไปมองมันด้วยความแปลกใจ “เอาไปทำไม?”

     “อยากดูหนัง” หนึ่งว่าเสียงอ่อนลง “ลืมเอามือถือมา”

     พอมันบอกมาแบบนั้นผมก็ไม่ได้ว่าอะไร หยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้างกายส่งยื่นให้ “หูฟังอยู่ที่...” คำพูดชะงักไปเมื่อคิดได้ว่ามันแปลกไป “มือถืออยู่ไหน”

     คนตรงหน้าผงะ หลบตา “อยู่...หอ”

     “แล้วน้ากานดาโทรมาบอกได้ยังไงว่าจะมา”

     พอผมเอ่ยเอื้อนคำถามไป มันก็เงียบ เหลือบตามองผมก่อนที่จะหลบตาไปใหม่ ผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้หยิบยื่นให้ผม อย่างเช่น มันแวะไปที่หอแล้วหลังจากเรียนจบแล้วบังเอิญลืมไว้ แต่เปล่าเลย...หนึ่งให้กันเพียงความเงียบที่ดูออกว่ามีอะไรถูกปิดบังไว้เท่านั้น

     ผมถอนหายใจ “สรุปน้ากานดาจะมาไหม”

     ริมฝีปากของมันเม้มเข้าหากัน ท้ายที่สุดก็ปฏิเสธออกมาเสียงอ่อย “ไม่...”

     ผมวางดินสอ หันไปประชันหน้ากับมันตรงๆ ไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใดออกมา ใช้ความเงียบกดดันให้มันพูดอะไรออกมาสักอย่าง ผมรู้ดี ผมมันแค่ลูกชายเจ้านายของแม่มัน จะไปมีสิทธิ์ใดบอกมันว่าห้ามโกหก แต่ผมปรารถนาจะรู้ว่าทำไมหนึ่งถึงโกหกต่างหาก

     อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร สุดท้ายมันก็ทนไม่ไหว เดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาโดยไม่รับโทรศัพท์มือถือของผมไปทั้งที่เป็นคนเอ่ยปากขอเอง

     ผมผ่อนลมหายใจ เดินไปนั่งข้างๆ มัน “ทำไมถึงโกหก”

     “...” หนึ่งเบือนหน้าหนี

     “หนึ่ง” แม้ผมจะเรียกชื่อมันเสียงเข้ม แต่มันก็ยังทำเป็นไม่สนใจ “เออ ช่างแม่ง” ผมว่าอย่างหงุดหงิด วางโทรศัพท์มือถือลงตรงหน้ามันอย่างรุนแรง ย้ายตัวเองไปที่โต๊ะอ่านหนังสือเหมือนเดิม

     เพราะหันหลังให้มัน เลยไม่รู้ว่ามันทำอะไรบ้าง สุดท้ายแล้วก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำเสียเสียงดัง

     ไอ้เด็กดื้อ...เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าอย่าทำเสียงดัง

     ผมลบความคิดต่างๆ ออกจากหัว หนึ่งเป็นเด็กขี้โมโห โกรธง่ายหายเร็ว ดูอย่างตอนที่มันมาขอโทรศัพท์ผมก็เห็นได้ชัดดี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมต้องเพ่งสมาธิทุกอย่างไว้ที่หนังสือตรงหน้านี้มากกว่า

     หลังจากอ่านกลับมาตั้งสติอ่านหนังสือไปได้สักพัก ไม่น่าจะเกิดยี่สิบนาที ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำเบาๆ จากด้านหลัง ตามด้วยเสียงของหนึ่งที่เรียกผม

     “เฮียป้อง”

     “...”
   
     “เฮียป้อง!” มันขึ้นเสียงอีกหน่อย

     ผมหันไป “อะไร”

     “ได้ยินก็สนใจหน่อยสิวะ” มันบ่นกระปอดกระแปด ชะโงกหัวออกมาจากบานประตู “เฮียหยิบชุดให้หน่อย”

     “เอาชุดมาด้วยเหรอ”

     “ไม่ ยืมเฮียดิวะ หยิบให้สักตัวดิ!”

     “เด็กเวร...”

     ผมอดที่จะพึมพำออกมาแบบนี้ไม่ได้ จะขอร้องให้คนอื่นช่วยกลับไม่รู้จักพูดกันดีๆ ถึงกระนั้นร่างของผมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบเสื้อกล้ามเน่าๆ ของตัวเองกับกางเกงบอลที่ไม่ค่อยได้ใส่ไปให้มันตรงหน้าประตูห้องน้ำอยู่ดี

     มันรับไป สักพักก็ชะโงกหัวขึ้นมาใหม่ “ขอเสื้อมีแขน”

     “ทำไม”

     “ขอเสื้อมีแขนเหอะน่า”

     “เป็นบ้าอะไรวะ” ผมเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง “ใส่ๆ ไปมันจะตายหรือยังไง”

     มันกัดริมฝีปากล่าง ปิดประตูห้องน้ำใส่หน้าผมจนผมต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย ไอ้เด็กเวร! ผมขบฟันกรอด เอื้อมมือไปปิดลูกบิดเร็วกว่าที่สมองสั่งให้ทำเสียอีก

     ดูเหมือนคนในนั้นก็ไม่คาดคิดว่าผมจะเปิดประตูเข้ามาแบบนี้ ทั้งที่ผมตั้งใจจะด่า แต่คำพูดต่างๆ ถูกกลืนลงคอทันทีเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าที่แต่งแต้มด้วยรอยต่างๆ

     ผมคิดว่าคนมีแฟน...และน่าจะมีเซ็กส์กันด้วยไม่น่าจะแปลกหากมีรอยจูบพร้อยเต็มตัว แต่นี่มันใช่ที่ไหน
   
     “ใครทำ”

     มือผมคว้าหมับลงบนต้นแขนของมัน ลืมไปเลยว่ามันยังไม่แต่งตัว แต่ร่องรอยบนร่างมัน ทั้งหัวไหล่ ไหปลาร้า เรื่อยลงมาจนบริเวณซี่โครงที่คล้ำ แปลว่ามันไม่ได้เกิดจากช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้แต่น่าจะผ่านมาสักวันหรือสองวัน

     “หนึ่ง” ผมเพิ่มแรงบีบลงบนแขนมันจนหน้ามันเหยเก “เฮียถาม...ใครทำ”

     “มัน...” หนึ่งหลบตา ขืนตัวจะสะบัดแขนออกแต่ทำไม่ได้

     “ไม่ได้ไปมีเรื่องมาใช่ไหม”

     ผมสูดลมหายใจลึก รอคำตอบมันทั้งที่รู้ดีว่าต่อให้หนึ่งสำมะเลเทเมาเพียงใด มันไม่เคยกลับมาเพราะร่องรอยชกต่อยเลยสักครั้ง แถมรอยเหล่านี้คล้ายจะจงใจให้ถูกปกปิดไว้ ตอนที่มันใส่ชุดนักศึกษาผมมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
   
     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง “แฟนมึงใช่ไหม”

     “...”
   
     “เฮียถามว่าใช่ไหม!”

     การที่มันไม่ตอบ เบือนหน้าหนี เม้มปากแน่น น่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าอะไรทั้งหมด

     ผมพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้บีบลงไปบนต้นแขนของมัน ไหล่มันเขียวช้ำเป็นจ้ำ ไม่รู้ว่าโดนมากี่วันแต่รู้ว่าน่าจะเร็วๆ นี้ เพราะกว่าแผลยังไม่กลายเป็นสีเขียว แต่ก็ไม่ใช่สีแดงเหมือนเพิ่งโดนกระทำมาใหม่ๆ

   “ไปแต่งตัว” ผมยื่นเสื้อให้มัน “แล้วเดี๋ยวออกมาคุยกับเฮีย”

   มันพูดอะไรไม่ออกและผมไม่รอ ผมเดินออกมาปิดประตูห้องน้ำอย่างนึกหงุดหงิดใจ ความขุ่นมัวข้างในทำให้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่อ่านมาหายไปหมด แต่ว่า...

     ผมอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง ภาพร่างกายของอีกฝ่ายกลับมาให้เห็นชัด ผิวของหนึ่งไม่ได้ขาวจัดแต่ก็ยังเห็นร่องรอยเช่นนั้นชัดเจน...เด่นชัดเสียจนผมโมโห ทุกอย่างมันลงตัวกันไปหมด สาเหตุว่าทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงมารอผมอยู่หน้าห้องพร้อมกับโกหกคำโตของมัน สาเหตุว่าทำไมมันไม่ยอมกลับหอ

     ผมอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปถึงวัยเด็ก ตอนที่เรายังเด็กมาก เด็กเสียจนไม่รู้ประสา ตอนที่ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแม่และเจอหนึ่งเป็นเพียงเด็กน้อย มีรอยยิ้มที่แตกต่างจากวันนี้ให้ผม

     “เฮียปกป้อง”

     ยามเด็กคนนั้นเรียกชื่อจริงๆ ของผมด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา เนื้อตัวมอมแมมเพราะเล่นสนุก

     ...เหมือนจะผ่านมาเนิ่นนานเหลือเกิน




------------------------------------
ขออภัยที่หายไปนานค่ะ  :hao5:
ถ้าหากอ่านแล้วชอบ รบกวนสกรีมในแท็ก
#ขอให้ไม่ใช่รัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ!
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 1 - เจ้าเด็กนั่น (12.02.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-02-2016 02:37:50
ติดตามค่าา

น้องหนึ่งดื้อมาก เฮียรีบจัดการคนทำนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 2 - แผล (01.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 01-03-2016 18:08:53
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 2
‘แผล’



     ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป หนึ่งก็ยังไม่ยอมออกจากห้องน้ำ จนผมต้องไปเคาะประตูเรียกมันออกมาพร้อมกับกล่องยาปฐมพยาบาล

     “หนึ่ง ตายรึไง ไม่มีใครว่างรอมึงทั้งวันหรอกนะ” ผมว่าเสียงแข็ง แต่กลับปราศจากคำตอบใดจนผมต้องเคาะประตูอีกรอบให้เสียงดังขึ้น “ไอ้หนึ่ง!”

     ไม่นานประตูก็เปิดออก อีกฝ่ายสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงบอลที่ผมให้ไป หน้ามุ่ย บอกบุญไม่รับ แต่คนที่ควรหงุดหงิดควรต้องเป็นผมเสียมากกว่า ผมชี้ไปที่เตียง พร้อมออกคำสั่งสั้นๆ

     “นั่ง”

     “หิว” มันว่าเสียงอ่อน หลบตา ชวนให้นึกถึงเด็กประถมพยายามเบี่ยงประเด็นหลบเลี่ยงความผิด

     “คุยก่อน เดี๋ยวค่อยกิน”

     “เฮียป้อง” เรียกกันดีๆ เฉพาะตอนนี้ชนักติดหลังเท่านั้นแหละ

     ผมหรี่ตา ก็รู้หรอกว่ามันยังไม่ได้กินข้าว แต่ตอนนี้นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเสียหน่อย “ถอดเสื้อ แล้วก็หันหลังมา” มันทำอิดออดจนผมเรียกชื่อมันเสียงเข้มอีกที ท้ายที่สุดหนึ่งก็ยอมถอดเสื้อและหันหลังให้ตามที่ผมบอก

     หนึ่งเป็นคนผอม หมายถึงผอมจริงๆ ใครเห็นก็บ่น ไม่รู้เป็นเพราะว่าตอนเด็กได้รับสารอาหารไม่พอหรืออย่างไร ช่วงหลังๆ มันก็ดูมีเนื้อมีหนังขึ้น แต่บริเวณคอ ไหปลาร้า หน้าอก เรื่อยมาจนถึงแผ่นหลังก็ยังดูผอมบางกว่าผู้ชายปกติมากนัก

     หลังของมันไม่ขาวสะอาด เดิมทีมันก็มีแผลเป็นอยู่ตรงกลางหลังตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ไหนจะรอยสักเล็กๆ ตรงกึ่งกลางที่กระดูกสะบักอยู่แล้ว เป็นรูปนกสองสามตัวที่โผบิน บริเวณใกล้ๆ บั้นท้ายก็มีรอยสักเป็นตัวอักษรเขียนคำว่า 1st เอาไว้ ก็คงมาจากชื่อของมันนั่นแหละ ผมไม่เคยชอบใจรอยสักมันสักจุด รวมถึงรอยที่หัวไหล่ด้านซ้าย แม้จะไม่ใช่รอยที่ใหญ่อะไรแต่เห็นแล้วนึกขัดลูกตา  ถึงกระนั้น...นี่มันน่าหงุดหงิดกว่ารอยสักเสียอีก

     “ยังเจ็บอยู่ไหม” ผมถามพลางเปิดกล่องปฐมพยาบาล

     “ก็...นิดหน่อย” มันตอบอ้อมแอ้ม

     ยิ่งฟังยิ่งขัดใจ ผมค่อยๆ ทำแผลให้มัน บางจุดก็นึกหงุดหงิดใจจนเผลอกดแรงไปหน่อยให้หนึ่งมันร้องโอดโอยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

     พอทำทุกอย่างเสร็จผมจึงพูดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบ “หันตัวมา”

     หนึ่งถอนหายใจแต่ก็ยอมทำตามที่สั่ง

     แผลบริเวณซี่โครงดูใหม่กว่าที่หลัง มันเกร็งหน้าท้องจนเห็นได้ชัดเมื่อผมโน้มตัวลงไปใช้สำลีสัมผัสผิวกายมัน “กี่วันแล้ว”

   “...เมื่อวาน”

     ผมเงยหน้า “มันทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” คนอายุน้อยกว่าเบือนหน้าหนี “มึงก็รู้ว่ามึงปิดเฮียไม่ได้”

     “ปกติกริชมันก็รุนแรงอยู่แล้ว...” มันผลุบตาต่ำ ผมเพิ่งนึกออกว่าแฟนหนึ่งชื่อกริช บางทีมันอาจจะเคยบอกแล้วแต่ผมไม่ได้นึกใส่ใจอะไร “แต่ช่วงหลังๆ ก็มันก็แรงขึ้น แล้วก็ มีบ้างเวลาโมโห”

     “แล้วก่อนหน้านั้น?”

     “เฉพาะมีเซ็กส์” หนึ่งเม้มปากแน่น “มัน...ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นนะเฮีย มันแค่ เอ่อ... บ้าง เวลาที่มัน...” ใบหน้าของอีกฝ่ายเริ่มขึ้นสีจาง ผมคิดออกว่ามันคงไม่อยากจะพูดเรื่องบนเตียงของมันกับแฟนเท่าไหร่ โดยเฉพาะต่อหน้าของผมแบบนี้

     “มันซาดิสม์เหรอ แล้วเราเป็นมาโซคิสม์รึเปล่าล่ะ”

     “เราไม่ได้ถึงขั้นนั้นสักหน่อย”

     “หนึ่ง” ผมละสายตาจากรอยแผล มองลึกเข้าไปในตามัน “ที่เฮียถามคือ... มึงมีความสุขไหมเวลาที่มันทำรุนแรงกับมึงเวลามีเซ็กส์”

     คนตรงหน้าสบตาผมอยู่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะก้มหน้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน “แรกๆ มันก็ไม่ได้แย่แต่มัน...แรงขึ้นเรื่อยๆ”

     แปลว่าไม่ได้เต็มใจ

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ก้มลงจัดการแผลให้จนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หนึ่งเริ่มมีลมหายใจสม่ำเสมอมากขึ้นเมื่อผมผละกายออกแต่ก็ไม่ได้ขยับตัวไปไหน

     “เลิกกับมันซะ”

     “เฮียป้อง!” อีกฝ่ายแผดเสียงลั่น

     “ทำไม” ผมอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว “หรือไม่ยากเลิก? เมื่อกี้บอกว่ามันไม่ได้ทำแบบนี้แค่บนเตียงด้วยนะ...” ผมจำได้ที่มันบอกว่าแฟนของมันลงไม้ลงมือกับมันตอนโมโห เกิดขึ้นมากี่ครั้งก็ไม่รู้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นสักครั้ง ไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือผู้ชาย

     “รู้แล้ว!” มันว่าเสียงแข็ง แล้วจึงค่อยๆ อ่อนลง “แต่...มันก็แค่ตอนทะเลาะ”

     “แฟนมึงชื่ออะไรนะ”

     “กริช”

     “เออ นั่นแหละ เลิกกับมันซะ” ผมย้ำคำเดิม “คบกันมานานเท่าไหร่นะ”

     “เจ็ดเดือน”

     ผมจิ๊ปาก ไม่รู้เลยว่ามันยาวนานขนาดนั้น “นั่นแหละ ผู้ชายที่คบกับมึงเจ็ดเดือนแต่ทำร้ายมึงแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน... ต่อให้มึงคบกับมันเป็นสิบๆ ปี มันก็ไม่มีสิทธิทำแบบนี้กับมึง”

     หนึ่งอ้าปากเหมือนจะเถียงอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกมา

     “ถ้าพูดแล้วมันไม่ฟัง เดี๋ยวเฮียไปคุยกับมันเอง” ผมผ่อนลมหายใจ “หรืออยากให้บอกน้ากานดา?”
   
     พอหยิบยื่นคำนี้ให้แววตาของมันก็อ่อนลง แปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวแทน ผมรู้ดีว่าหนึ่งรักแม่มากแม้มันจะเป็นเด็กที่ดื้อและไม่ใช่นักศึกษาที่ประพฤติตัวดีนัก แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกอย่างที่มีแม่ของมันเข้ามาเกี่ยวข้องก็ทำให้มันอ่อนลงได้ง่ายๆ

     “...อย่าบอกแม่นะ”

     นั่นแปลว่าหนึ่งยินยอมกับสิ่งที่ผมสั่งโดยดี

     ผมเก็บกล่องปฐมพยายามให้เรียบร้อยก่อนที่จะหยิบชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า “ไปเปลี่ยนชุด”

     มันขมวดคิ้ว

     “เอ้า หิวข้าวไม่ใช่รึยังไงกัน ก็จะลงไปข้างล่าง”

     แม้มันจะทำหน้ามุ่ย แต่ผมก็สังเกตได้ว่าปากมันพึมพำคำว่า ‘ขอบคุณ’ แบบไร้เสียง


   
     มันจัดการเปลี่ยนเป็นเสื้อมีแขนกับกางเกงสภาพดีหน่อยลงไปกินข้าวใต้คอนโด แถวนี้มีร้านอาหารเต็มไปหมด นักศึกษาพลุกล่าน

     “เฮีย” มันกระตุกชายเสื้อนักศึกษาของผม “ไม่ได้เอากระเป๋าตังค์มา”

     “รู้แล้ว”

     ขนาดมือถือมันยังไม่ได้เอามาเลยด้วยซ้ำไป กระเป๋าเป้อะไรก็ไม่มีติดตัวสักอย่าง เสื้อผ้าอะไรก็ไปอยู่กับทางนู้นจนหมดแล้ว จะว่าไปแล้ว ไอ้หนึ่งมันมาแต่ตัวจริงๆ เลยนี่หว่า

     หนึ่งไปกินอาหารตามสั่งร้านข้างทาง ไม่ลืมที่จะหันมาถามผมว่าผมจะเอาอะไรบ้างไหม แต่เพราะกินข้าวเย็นไปแล้วผมเลยสั่งมาแค่โค้กแก้วเดียว ขณะที่รออาหารก็มีความเงียบเข้าปกคลุม หนึ่งดูกังวลเหมือนกับกำลังกรุ่นคิดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น...หากมันไม่คิดอะไรสักอย่างผมนี่แหละจะด่ามันเอง

     “เฮียป้อง” คนตรงหน้าเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว “หนึ่งทำยังไงดี”

     ไม่ต้องถามเลยว่าเรื่องอะไร

     “เลิกกับมันไง”

     “หนึ่งเคยพูดเรื่องนี้กับกริชแล้ว”

     คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกคิ้ว “ตอนไหน”

     “เมื่อวาน” คำตอบยิ่งทำให้ผมแปลกใจ นึกย้อนกลับไปตอนเที่ยง ยังเห็นหนึ่งมานั่งกินข้าวกับแฟนมันที่โรงอาหารอยู่เลย “...เลือกผัวผิดคิดจนตัวตายจริงๆ”

     คำสุดท้ายเหมือนมันบ่นกับตัวเอง อยากจะบอกกับมันจริงๆ ว่าวันหลังก็หัดคิดก่อนที่จะมีเสียบ้าง แต่รู้ดีว่าพูดไปตอนนี้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือแก้ปัญหาเรื่องตรงหน้าเสียก่อน

     “ที่วันนี้มาหากูก็เพราะเรื่องนี้สินะ?”

     จริงๆ ก็ตั้งใจจะถามแบบปกติ แต่ดูเหมือนน้ำเสียงผมจะออกแนวประชดประชันไปเสียหน่อย คนตรงหน้าเลยหน้าตึงขึ้นมาโดยฉับพลัน หนึ่งกำลังจะขยับปากด่า แต่อาหารมาวางตรงหน้าเสียก่อน คำพูดเหล่านั้นเลยถูกมันกลืนลงคอไปแทน

     “กินเสร็จเดี๋ยวออกไปซื้อของก่อน”

     “เฮียไม่อ่านหนังสือแล้วเหรอ”

     “เคี้ยวให้เสร็จแล้วค่อยพูด” อดไม่ได้ที่จะตำหนิ เป็นเด็กทำตัวซกมกชิบหาย “เดี๋ยวค่อยกลับไปอ่าน”

     “เบื่อคนเก่งจริงๆ” เห็นมันบ่นด้วยสีหน้าปูเลี่ยนแล้วผมเลยเตะขามันใต้โต๊ะเบาๆ “แม่รักเฮียกว่าหนึ่งอีก”

     “แม่กูก็รักมึงมากกว่ากูเหมือนกัน”

     ผมว่าตามจริง แม่เอ็นดูหนึ่งมันจะตาย เจ้าเด็กนี่เข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ไม่ใช่แค่แม่ของผม พ่อของผม รวมไปจนถึงพี่ลูกปลา พี่สาวคนเดียวของผมก็รักมันมากกว่าผมเสียอีก
   
     ผมรอจนมันกินอาหารอะไรทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่จะเข้าไปที่มินิมาร์ทใกล้ๆ ซึ่งมีแต่เด็กมหาวิทยาลัยผมมาใช้บริการ ของที่ซื้อก็ของทั่วไปสำหรับการดำรงชีวิต กระดาษทิชชู่ที่จำได้ว่าหมดแล้ว อาหารกล่องและของสดอีกนิดหน่อยไว้ทำกินเอง

     “อยากได้อะไรก็หยิบแล้วกัน” ผมพูดกับคนข้างกาย

     “เฮียเลี้ยงเหรอ”

     “แล้วตอนนี้มึงมีเงินจ่ายรึยังไง”

     ได้รับคำอนุญาตแบบนี้แล้วมันก็เดินไปหยิบขนมกรุบกรอบที่มันชอบกินใส่ตะกร้าบ้าง แถมยังทำท่าจะเดินไปซื้อพวกเครื่องดื่มมึนเมาถ้าผมไม่เอ่ยปากห้ามไปก่อน มันอิดออด ทำท่าจะอ้อนแต่ทุกอย่างก็ไร้ผล ก็แหงล่ะ...เงินอยู่กับผม และผมถือคติว่าจะไม่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดขึ้นไปอยู่บนหอ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ด้วยกันมันก็รู้กฎข้อนี้ดีแท้ๆ

     หลังจากซื้อของอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็แบ่งกันถือของเต็มสองมือ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าไปซื้อของแค่นิดๆ หน่อยๆ กลายเป็นไอ้หนึ่งหยิบนู่นหยิบนี่เยอะไปเสียหมด แต่พอเดินมาจนถึงใต้คอนโดผมกลับต้องขมวดคิ้วเมื่อเจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่

     “หนึ่ง!”

     ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นเดินตรงมาที่หนึ่งซึ่งแทรกตัวเข้ามาข้างหลังผม ยังดีที่ผมตั้งสติดันมันถอยหลังไปก่อน พอเห็นแบบนี้แล้ว ผู้ชายที่ชื่อกริชก็หยุดชะงัก

     “มึงเกี่ยวอะไรด้วย” มันถามผมเสียงขุ่น

     ผมย่นคิ้ว ไร้มารยาทเสียจริง กริชรูปร่างสูงประมาณผม แต่ดูความหนาของตัวแล้วแตกต่างกันมากพอควร และผมขัดใจหูที่มันไประเบิดมาสุดๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้เสียหน่อย

     “หนึ่ง!” มันตะโกนเรียกคนข้างหลังผมเสียงดัง ทำท่าจะเอื้อมมือมาแต่ผมเอี้ยวตัวไปบังไว้เสียก่อน “โอ๊ย! ยุ่งอะไรด้วยวะ”

     ผมถอนหายใจ “คืนนี้หนึ่งจะพักกับผม” พยายามพูดอย่างสุภาพที่สุด

     อีกฝ่ายแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นในการ์ตูนคงจะเห็นควันออกจากหูมันแล้ว “มันไม่มีสิทธิ์ หนึ่ง กลับไปกับกู”

     “หนึ่งมีสิทธิ์” ผมเอ่ยปากขัด ดึงมือหนึ่งให้ไปอยู่ข้างหลังมากกว่าเดิมเมื่อเห็นกริชกระชากแขนมัน พอเจอคนที่พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายขึ้นหลายเท่า “และหนึ่งจะไม่ไปอยู่กับมึงอีกแล้ว”

     มันผรุสวาทเสียงดัง หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่ามีอะไรกระทบใบหน้าแรงพอดูที่จะทำให้ผมงุนงงไปชั่วขณะเลย ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง และผมรู้สึกว่าตัวเองก้นจ้ำเบาลงไปที่พื้น น่าสมเพชเสียไม่มี

     “กริช...กริช หยุด!” หนึ่งเดินเข้าไปคุยกับแฟนมันเสียงอ่อน ชวนหงุดหงิดจนผมต้องลุกขึ้นมาแล้วดึงข้อมือมันกลับมา

     “กูรู้เรื่องที่มึงทำหนึ่งแล้ว และกูจะไม่ปล่อยให้มึงทำอีก”

     ผมพูดคำนั้นให้ชัดถ้อยชัดคำที่สุด ไม่มีการตวาด เป็นการพูดด้วยสติ

     กริชทำท่าจะปรี่เข้ามาทำร้ายผมอีกรอบ แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงตะโกนให้หยุดจากรปภ. มันเลยชะงักไป ทำท่าลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่ทันวิ่งหนีไปอีกทางรปภ. สองคนก็วิ่งมาประชิดตัวเสียแล้ว

     ผมใช้จังหวะนั้นกึ่งเดินกึ่งลากหนึ่งให้เข้ามาในคอนโด เดินตรงไปที่ลิฟต์ เดี๋ยวค่อยมาบอกรปภ. ว่าอย่าให้เจ้ากริชเข้ามาในคอนโดอีก

     “เฮียป้อง...เฮีย” มันเรียกตอนที่ประตูลิฟต์ปิดลง จับหน้าผมอย่างถือวิสาสะ “เจ็บไหมเฮีย”

     “เจ็บ” บอกไปตามตรง ไม่เจ็บได้ไงวะ ผัวมึงเล่นซะเต็มแรงเลยด้วยซ้ำ

     “เดี๋ยวขึ้นไปหนึ่งทำแผลให้”

     “ช่างมันเถอะ” ผมบอกปัด “เดี๋ยวหลังจากนี้มาอยู่นี่เลยแล้วกัน เลิกกับมันซะ นักเลงจะตาย ไปเอามันมาคบได้ยังไงกัน” อดไม่ได้ที่จะด่ามันด้วยความหงุดหงิดใจ

     “ของหนึ่งอยู่ที่นู่น...” มันว่าเสียงอ่อย

     “ก็เดี๋ยวไปเอามา ถ้าเอามาไม่ได้ก็ซื้อใหม่ให้หมดซะ” ผมประชดด้วยอารมณ์ “เดี๋ยวหลังจากนี้ตอนอยู่มหา’ ลัยก็เกาะเพื่อนไว้แน่นๆ แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเอาตารางเรียนมึงมาด้วย”

     มันขมวดคิ้ว “เอาไปทำไม”

     “เดี๋ยวไปรับไปส่ง”

     หนึ่งทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ อันที่จริงก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองต้องมาพูดแบบนี้กับผู้ชายนิสัยเสียอย่างไอ้เด็กเวรนี่ แต่สถานการณ์แบบนี้จะปล่อยมันไปไหนมาไหนคนเดียวไม่น่าจะดี ถ้าแฟนมันนักเลงถึงขนาดมาหาที่นี่ได้ก็ไม่น่าแฮปปี้เท่าไหร่แล้ว

     ลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้นที่ผมอยู่ เราจึงเดินออกมา ระหว่างนั้นเองที่หนึ่งเอ่ยปากพูดเสียงเบา

     “เฮีย”

     “...อะไรอีก”

     “หนึ่งขอโทษ”

     ผมเลิกคิ้ว มองหน้าเด็กเปรตที่ทำหน้าเศร้าสร้อยแบบปิดบังไม่ได้แล้วถอนหายใจ “ช่างมัน” พูดไปยังรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณที่โดนต่อยอยู่เลย

     ...เพราะแบบนี้ไงถึงไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ


----------------------
แต่เฮียก็มายุ่งแล้วนะคะเฮีย...
ใครชอบเรื่องนี้ รบกวนสกรีมลงในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ XD
ปล. เค้าปิดเทอมแล้วนะตัวเอง!
หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 2 - แผล (01.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 01-03-2016 19:11:55
มาติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 2 - แผล (01.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 01-03-2016 23:00:59
สำหรับเรานะ ป้องแมนมากๆเลย  ปกป้องน้องโดยที่ไม่ได้ลงมืออะไร 
ไม่ได้เสียการควบคุมตัวเอง  โดนต่อยไปทีดีกว่าไปลงมือกระทืบกริชเองเสียอีก
เป็นผู้ชายที่ทำอะไรด้วยสติ  น่าชื่นชมค่ะ   หายากทุกวันนี้ 
แต่เสียดายที่สำหรับหลายๆคนกลับกลายเป็นว่าคนแบบนี้น่าเบื่อ  ไม่กล้าสู้คน

หมัดที่รับจากกริชหมัดนั้นน่าจะเป็นตัวเตือนใจหนึ่งว่าป้องทำเพื่อหนึ่งแค่ไหน
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 2 - แผล (01.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: toncivil ที่ 01-03-2016 23:14:25
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 2 - แผล (01.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 01-03-2016 23:30:13
เป็นความสัมพันธ์ที่ยังขมุกขมัว แต่เราติดใจแล้วค่า รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 3 - ค่าโง่ (08.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 08-03-2016 16:20:18
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 3
‘ค่าโง่’


     ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และมันทำให้ผมได้รู้ว่าเผลอหลับไปตอนที่นั่งอ่านหนังสือสำหรับสอบวันนี้

     “วันนี้มีเรียนกี่โมง” ผมถามมันพลางหาววอดไปด้วย

     หนึ่งซึ่งเปลือยท่อนบนกำลังนำโจ๊กสำเร็จรูปไปอุ่นด้วยไมโครเวฟไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผมเดินเข้าไปประชิด กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มันหันมาแล้วชนกับผมเข้าอย่างจัง

     “เฮีย!”

     “อะไร”

     “มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” หนึ่งว่าเสียงเขียว “ออกไปเลย”

     ผมถอนหายใจ เมื่อคืนยังทำตัวว่าง่ายอยู่แท้ๆ ไม่เคยจะทำตัวดีหรอกถ้าไม่มีความผิด “มีเรียนกี่โมง”

     “เก้าโมง บอกไปแล้วเมื่อคืน”

     ผมเหลือบตามองดูนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เกือบแปดโมง มีเวลาอีกถมไปเพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้เวลาเดินทางมากเท่าไหร่

     “แล้วเลิกกี่โมง”

     “สามโมงครึ่ง”
   
     “งั้นมารอที่คณะ เฮียเลิกสี่โมง น่าจะเลตอีกนิดหน่อย”

     หนึ่งทำหน้างุนงง จังหวะนั้นที่เสียงไมโครเวฟดังขึ้นบ่งบอกว่าโจ๊กพร้อมทานแล้วมันจึงจัดการหยิบออกมา วางไว้บนโต๊ะ แล้วถึงเงยหน้าขึ้นมาเค้นหาคำตอบจากผมอีกครั้ง

     “เอ้า มีชุดใส่เรียนเยอะเหรอ จะไปเอาของที่หอแฟนมึงไง”

     แววตาคนตรงหน้าสั่นไหวนิดหน่อย มันหันหลังไปหยิบช้อน “เฮียไม่ต้องลำบากขนาดนั้นสักหน่อย...”

     “จะเก็บของไว้ที่นู่นหรือไง ยังไงก็เลิก หรือจะกลับไปคืนดีกับมัน”

     “เฮียหงุดหงิดแล้วมาลงอะไรที่หนึ่งวะ”

     ผมรู้สึกเหนื่อยที่จะเถียงกับมันจึงพูดตัดบทเสีย “มารอเฮียแล้วกัน จำตารางเรียนมันได้ไหม ไปตอนที่มันไม่อยู่ก็ดี มีกุญแจเข้าห้องมันไหม”

     “มี” มันตอบหน้าบูด

     “งั้นเดี๋ยวรอไปด้วยกันแล้วกัน”

     ผมจัดการสรุปความพลางนั่งลงกินโจ๊กที่หนึ่งอุ่นเผื่อให้ไปด้วย มื้อเช้าของเราก็มีแต่ความเงียบ ในขณะที่กิน ผมก็เหลือบมองรอยช้ำบนตัวมันและนั่งคิดอะไรหลายต่อหลายอย่าง มีความคิดและความรู้สึกที่ผ่านมาและผ่านไประหว่างมื้ออาหาร แน่นอนว่าผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา



     หลังจากทานข้าวอาบน้ำเสร็จ (หนึ่งใส่ชุดนักศึกษาตัวเดิม) ผมก็จัดการไปส่งมันที่คณะ ถึงกับเลือกที่จะจอดมอเตอร์ไซค์และลงไปพร้อมกับมันเพื่อให้แน่ใจว่ามันมีเพื่อนอยู่จริงๆ และผัวเจ้าปัญหาของมันจะไม่มาดักรอที่นี่ โดยมีเสียงบ่นของหนึ่งดังตลอดทาง โดยมากก็มีแต่ประโยคเดิมๆ

     “หนึ่งไม่ใช่นักโทษนะเว้ย” บ้างล่ะ “หนึ่งโตแล้วนะ” บ้างล่ะ ซ้ำไปไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่ที่จอดมอเตอร์ไซค์มาจนถึงโต๊ะหินอ่อนแถวคณะมัน

     “ไอ้หนึ่ง”

     ทั้งผมทั้งเจ้าของชื่อหันขวับไปดูคนเรียก ผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาว่าเป็นคนแบกมันกลับมาห้องสมัยยังอยู่ด้วยกันยกมือขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายชะงักไปเมื่อเห็นว่าเพื่อนตนไม่ได้มาคนเดียว นอกจากเจ้านั่น ที่โต๊ะยังมีผู้หญิงอีกสองคนนั่งอยู่อีกด้วย

     “ไง”

     หนึ่งทักทายเพื่อนตัวเองด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปนั่งก่อนที่จะหันมามองทางผมราวกับจะพูดว่า ‘ยังอยู่ทำไม ออกไปสิ’ อย่างไรอย่างนั้น
   
     ผมพ่นหายใจกับท่าทางเช่นนั้น เดินตรงเข้าไปหาน้องผู้ชาย

     “น้อง” ไอ้หนุ่มนั่นเงยหน้าขึ้นมาทำหน้างุนงง “ขอเบอร์หน่อย”

     “เฮียยยยยยยย!”

     เสียงสูงเกินไปรึเปล่าไอ้หนึ่ง

     เพื่อนของหนึ่งทำหน้างุนงง มองผมสลับกับหนึ่งทีสองที ก่อนที่ไอ้เด็กซึ่งผมยื่นโทรศัพท์ให้จะรับมันไปกดเบอร์ตัวเองให้อย่างงุนงง มันจัดการเมมเบอร์ตนเองว่าชื่อโอ๊ต ผมใช้เวลาระหว่างนั้นหันไปหาน้องผู้หญิงอีกสองคน

     “พวกน้องชื่ออะไรนะ”

     พวกหล่อนแนะนำตัว คนหนึ่งชื่อแป้ง เป็นผู้หญิงใส่แว่นผมสั้น ท่าทางเรียบร้อย ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อแก้วตา เป็นคนที่ดูสวยจัด พอมองดีๆ แล้วคุ้นหน้า บางทีอาจจะเป็นหน้าเป็นตาให้คณะบ่อยก็ได้ ชื่อดูหวานแต่ท่าทางผิดกับแป้งลิบลับ ดูเป็นผู้หญิงเฉี่ยว เห็นได้จากการย้อมผมเป็นสีบลอนด์ทั้งหัว

     “ฝากไอ้หนึ่งมันด้วย ช่วยตามติดมันให้ตลอด อย่าให้มันอยู่คนเดียวล่ะ”

     “เฮียป้อง!” หนึ่งยังโวยวายไม่เลิก “เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็กสักทีได้ไหม!”

     “ประโยชน์มึงทั้งนั้น...” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

     เด็กดื้อถลึงตาใส่แต่ก็ไม่ยอมเถียง เรื่องนี้ยังไงๆ ก็เถียงไม่ได้หรอก ผมกำชับให้หนึ่งอยู่ติดกับเพื่อนไว้ แล้วจึงเดินออกมาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมันเสียที

     พอกลับมาที่จอดรถ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าลืมกำชับมันอีกเรื่องจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาชื่อมันเจอเพราะไม่เคยได้คุยอะไรกันสักครั้ง แล้วจึงจัดการส่งข้อความหามันเสีย

     ‘อย่าลืมมาเจอที่คณะตอนสี่โมง’

     สักพักก็มีตัวอักษร Read ขึ้นให้เห็น แต่ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา เอาเถอะ... ถือว่ามันรับรู้แล้ว ถ้ามันไม่มาจะได้ด่าได้เต็มปากเต็มคำ

     ผมเก็บโทรศัพท์มือถือตน แล้วจึงเริ่มสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ ขับไปที่คณะสัตวแพทย์ของผมทันที



     “เป็นไงวะป้อง มึงทำได้ล่ะสิ” ผมเหลือบสายตามองไอ้กันต์ สีหน้าดูอิดโรย พูดใส่ผมด้วยน้ำเสียงเหมือนเจ็บแค้นเหลือคณานับ

     “ไม่”

     คู่สนทนาผงะ “อะไรนะ”

     “กูทำไม่ได้ ชัดไหม”

     “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ” พอได้ยินชัดถ้อยชัดคำไอ้กันต์ก็ตาเบิกกว้าง สีหน้าดูตื่นขึ้นมาในฉับพลัน “ปกติมึงไม่บอกว่าทำไม่ได้นี่ นี่มันวิชาถนัดมึงนะ”

     ผมไม่ตอบอะไร รู้สึกหัวเสียไม่น้อย ปกติแล้วผมไม่เคยที่จะรู้สึกว่าทำข้อสอบไม่ได้เท่าไหร่ ถ้าทำพอได้ก็บอกตรงๆ ว่าทำพอได้ คะแนนผมไม่เคยต่ำกว่ามีน ขนาดวิชาที่ผมรู้สึกว่ามันเฮงซวยมากยังเกินมีนเลย แต่ครั้งนี้ทำให้ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ นอนก็ไม่พอ หนังสือก็ไม่ค่อยได้อ่าน ยังต้องมานั่งพะวงเรื่องของไอ้เด็กเวรนั่นอีกต่างหาก และความน่าหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะว่ามันเป็นวิชาที่ผมถนัดเนี่ยแหละ

     ยังดีที่ไอ้กันต์สงบปากสงบคำบ้าง พอมันเห็นว่าผมไม่สบอารมณ์มันก็ชวนเปลี่ยนเรื่องจนเราเดินลงมาใต้ตึกคณะ

     “ไปดูบอลกันไหมวะ” มันน่าจะพูดถึงกีฬาคณะ

     “ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธทันควัน สายตามองหาคนที่นัดไว้และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในทันที

     “ใจร้ายว่ะ มีนัดเหรอ”

     “เออ”

     “ใครวะ”

     ผมหันไปกำลังจะด่าคำว่า ‘เสือก’ แต่ตาดันมองไปเห็นหนึ่งนั่งหน้าตาบึ้งตึงอยู่ที่มุมหนึ่ง ทำให้ผมกลืนคำด่าเพื่อนลงคอ เปลี่ยนมาเอ่ยคำลาในทันที

     “วันหลังแล้วกัน กูไปล่ะ”

     จังหวะที่ผมเดินเข้าไป หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพอดี มันทำท่าฮึดฮัดนิดหน่อย หยิบแก้วใกล้ๆ ที่เหลือแต่น้ำแข็งเดินตรงมาหากัน

     “เดี๋ยวกลับบ้านก่อน”

     “เอ้า” มันทำหน้าหงุดหงิด “แล้วจะให้มาหาที่คณะ...”

     “เอามอเตอร์ไซค์ไปเก็บแล้วค่อยนั่งแท็กซี่ไปเอา” ผมเอ่ยแบบนั้น หยิบแก้วกาแฟในมือมันไปโยนทิ้งขยะ “หรือจะไปเอาเลย? ของมากไหมล่ะ”

     “ก็มากอยู่”

     “งั้นก็เดี๋ยวไปเรียกแท็กซี่เถอะ ไปๆ กลับๆ เจอหน้าผัวมึงแล้วรู้สึกป่วย”

     พอตกลงกันได้แล้วผมจึงรีบบิดมอเตอร์ไซค์กลับไปจอดที่คอนโด จัดการเอากระเป๋า หนังสือ กระดานที่มีกระดาษวาดเขียนของหนึ่งไปเก็บที่ห้อง แล้วค่อยลงมาเรียกแท็กซี่ไปบ้านมัน โดยไม่ลืมถามหนึ่ง

     “แน่ใจนะว่ามันไม่อยู่”

     “ไม่อยู่หรอก มันไปแข่งกีฬาคณะ”
   
     ผมร้องครางในลำคอ ตอนนี้อยู่ในช่วงการแข่งขันกีฬาคณะ สำหรับคณะผมนั้นไม่เคยได้จริงจังกับอะไรพวกนี้เท่าไหร่ มักจะส่งไปตามพิธีมากกว่า โดยมากก็แพ้กลับมา คณะที่แข่งกันบ่อยจริงๆ ก็หน้าเดิมๆ พวกคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ บัญชี-บริหาร พวกนี้ ผลัดๆ กันอยู่แค่นั้นแหละ

     พอรถมาจอดตรงหน้าหอก็ทำให้ผมเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่สงสัย

     “ไอ้เวรนั่นรวยสินะ”

     ตอนแรกที่บอกว่าเป็นหอ ผมก็นึกว่าหอพักนักศึกษาทั่วไป แต่ที่นี่มันก็คอนโดเหมือนกัน นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่พักหรอก ส่วนมากเป็นครอบครัวกับคนทำงานแล้วทั้งนั้น

     “ลูกคุณหนู” มันบ่น “เหมือนเฮียแหละ...ใช้เงินไม่รู้จักคิด”

     ผมแกล้งปล่อยผ่านคำด่าจากปากไอ้เด็กเวรนี่ไป “ที่ไม่รู้จักคิดน่าจะไม่ใช่แค่เรื่องใช้เงินนะ... แล้วทำไมมันถึงเอามันมาทำเมียวะ”

     หนึ่งไม่ตอบอะไรแต่ผ่อนลมหายใจยาว เดินเข้าไป กดลิฟต์อะไรอย่างคุ้นชิน จนประตูลิฟต์เปิดออกมันจึงมองซ้ายมองขวา เดินนำผมไปที่ห้องที่มันเคยพักอยู่ แต่พอมันไขกุญแจกลับทำให้ผมเผลอสบถออกมาเบาๆ อย่างหัวเสีย

     สภาพห้องไม่น่าดูชม เจ้าของห้องน่าจะอาละวาดหนักทีเดียว ผมมองโต๊ะดราฟแบบของหนึ่งที่หักเป็นสองท่อนเป็นอย่างแรก หนึ่งเองก็ดูตกใจเหมือนกัน แต่มันก็มองสำรวจก่อนว่าเจ้าของห้องอยู่หรือเปล่า

     “เสื้อผ้าคงไม่เป็นไรหรอก” ผมบอกเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ “รีบไปเก็บไป เดี๋ยวรอข้างหน้า”

     หนึ่งพยักหน้า เดินเข้าไปให้ห้องด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

     ผมรออยู่หน้าห้องไม่นาน ราวๆ สิบห้านาทีเห็นจะได้ หนึ่งจัดการเก็บของเสร็จออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่คุ้นตาผมอยู่บ้าง ดูน้อยกว่าที่ผมคิดไว้

     “เหลือแค่นั้นเหรอ”

     “พังไปเยอะแล้ว กริชมันคงหงุดหงิดมั้ง”

     “พวกมือถือกับกระเป๋าตังค์ล่ะอยู่ดีไหม”

     “ยังไม่พัง” หนึ่งชูโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดู ถึงไม่พังหน้าจอก็แตกไปแล้ว แต่น่าจะยังใช้ได้อยู่ “ตอนนั้นจำไม่ได้ว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ แต่บัตรทุกอย่างอยู่ดี”

     ผมพยักหน้า หยิบกระเป๋าสัมภาระของมันมาถือ เบากว่าที่คิดไว้ ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ นั่งมอเตอร์ไซค์มายังได้เลย ตอนแรกก็นึกว่าพวกโต๊ะดราฟอะไรจะยังอยู่ พวกนั้นมันลำบากเวลาขนย้าย

     “คงต้องบอกน้ากานดาจริงๆ ล่ะมั้ง” ผมรำพัน

     หนึ่งหันขวับ “อย่าบอกแม่นะเฮีย”

     “หนึ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ของเสียหายไปเท่าไหร่ ไหนจะของจำเป็นมึงเวลาเรียนอีก”

     “ใช้กระดานไปก่อนก็ได้”

     “ถ้าแม่มึงมายังไงก็ต้องผิดสังเกต” ผมว่าพลางจิ้มหน้าผากมันอย่างเหลืออด “ที่ผ่านมาน้ากานดามาก็ชวนไปนู่นไปนี่ ไม่ได้ชวนขึ้นห้อง ถ้าวันไหนแม่ขึ้นห้องมาก็ต้องรู้ แล้วนี่อีก” ผมเลื่อนนิ้วไปหยุดที่รอยแผลของมันใต้ร่มผ้า “มันทำร้ายร่างกายมึงนะ”

     “ก็รู้แล้วไง! ที่หนึ่งเสียไปถือว่าเสียค่าโง่แล้วกัน!”

     “เสียไปแพงเลยนะ”

     ผมหันหน้าหนีมัน เดินออกมาจากคอนโดเพื่อออกไปต้นซอยจะได้เรียกแท็กซี่ได้ง่ายๆ

     พอได้แท็กซี่ บรรยายกาศระหว่างเราก็คุกกรุ่นขึ้นมาใหม่ มันมองหน้าผม ผมเองก็มองหน้ามัน อยากจะด่าให้หนักกว่านี้แต่ก็เกรงใจคนขับ ไม่อยากจะคิดจริงๆ ว่าถ้าเมื่อวานผมไม่บังเอิญไปเห็นแผลของมัน ไม่เค้นความจริงจากมัน หนึ่งจะปล่อยผ่านไปและกลับไปคบกับไอ้เวรนั่นอีกไหม นี่ขนาดผมมายุ่งเกี่ยวด้วย ผมยังรู้เลยว่านิสัยของเจ้านั่นไม่เลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน

     เมื่อเรากลับมาถึงห้องผมก็เลือกที่จะไปอาบน้ำเสียก่อน เดินออกมาก็เห็นหนึ่งกำลังนอนแผ่บนเตียง เอามือก่ายหน้าผาก สีหน้าไม่สู้ดีนัก

     “หนึ่ง” ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงพลางเช็ดผมตัวเอง

     อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา “มันหยดนะ...” บ่นนิดหน่อยถึงหยาดน้ำที่หยดลงโดนใบหน้ามันเล็กน้อย

     “จะเอายังไง ให้เฮียบอกน้ากานดาเลยไหม”

     “ไม่” มันเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง “เดี๋ยวหนึ่งจัดการเอง”

     “แค่นี้ยังไม่รู้เหรอว่ามึงจัดการเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้”

     ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดผมแทงใจดำเด็กนั่นหรืออย่างไร หนึ่งลุกขึ้นมานั่ง มองผมด้วยทีท่าเหมือนจะขว้างค้อนวงโตแต่แววตากลับสั่นไหวเล็กน้อย

     มันเงียบ ผมก็เงียบ เหมือนเรากำลังทะเลาะกันโดยใช้ความเงียบเป็นสื่อกลาง

     สุดท้ายแล้วก็เป็นผมเองที่ทำลายความเงียบด้วยการถอนหายใจ
   
     “ยังไม่บอกน้ากานดาก็ได้ แต่ถ้าท่าไม่ดีจริงๆ เฮียไม่ถามมึงแล้วนะ” พอว่าเช่นนั้นเด็กเปรตนั่นก็ท่าทางอ่อนลงนิดหน่อย มันทำท่าจะล้มตัวลงนอนต่อแต่ผมสั่งขัดเสียงก่อน “ไปอาบน้ำ”

     “เดี๋ยวน่า...” หนึ่งพูดเสียงอู้อี้ ล้มตัวลงไปอย่างไม่ฟังคำสั่งกันเลย

     เด็กดื้อทำให้ผมต้องเดินเข้าไปประชิดตัวจับไหล่มันให้หันมานอนหงาย แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปเสียหน่อยผมจึงหน้าใกล้กับมันมากจนเกินไป ตอนที่เราสบตากันและผมได้รับรู้ถึงความอุ่นจากลมหายใจของหนึ่ง คำพูดต่างๆ ก็เหมือนถูกกลืนลงคอ หนึ่งมองผมอย่างงุนงงเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาเสียงสั่น

     “อะ...อะไรเล่า”

     ผมไล้ปลายนิ้วลงบนไหล่บางของมัน เรื่อยมาจนไหปลาร้า ก่อนที่จะผละหน้าออกเมื่อรู้สึกมวนท้องเล็กน้อย

     “ไปอาบน้ำ” ผมสั่ง “แล้วเดี๋ยวออกมาจะทายาให้” แล้วจึงเดินออกไปที่ห้องครัว

     รอบนี้ไม่มีเสียงทัดทานได้จากเด็กดื้อ ได้ยินเสียงเสียดสีของกายกับเตียงเล็กน้อยก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำดังปังอย่างไม่เกรงใจคนข้างห้องเหมือนเคย




--------------------------------

เฮียป้องออกจะน่ารักนะคะ XD
#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 3 - ค่าโง่ (08.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-03-2016 20:07:01
ยังอึมครึมอยู่ แต่เหมือนปลายของบทนี้จะเห็นความรู้สึกของป้องชัดขึ้น (ใช่ไหมคะ?)
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 3 - ค่าโง่ (08.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 08-03-2016 22:10:36
พี่ป้องงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 3 - ค่าโง่ (08.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 09-03-2016 01:18:03
เฮียป้องนี่จะเป็นพระเอก หรือ พ่อ คะ
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 4 - ล้ำเส้น (15.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 15-03-2016 22:24:54
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 4
‘ล้ำเส้น’


     “หนึ่ง”
   
     ผมมองคนตรงหน้าที่นอนบนเตียง กอดก่ายหมอนข้างที่มันแอบยึดไปจากผมเมื่อคืนก่อน หนึ่งนอนน้ำลายยืดอย่างน่าเกลียด พอผมเอื้อมมือไปเขย่าตัวมันก็สะบัดกายหนี เบียดตัวเข้าไปกับหมอนข้างมากกว่าเดิม

     “หนึ่ง!” ผมขึ้นเสียงอีกหน่อย กระชากหมอนข้างออกอย่างรวดเร็ว “ลุกได้แล้ว! กูมีเรียนเก้าโมง!”

     คนที่นอนสบายอุราบนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น “หนึ่งเรียนตั้งสิบครึ่ง”

     “กูรู้แล้ว” ลืมไปแล้วหรือว่าผมให้มันเอาตารางเรียนมาให้ผมเรียบร้อยแล้ว “แต่กูต้องไปส่งมึง”

     หนึ่งหลับตาลงไปอีกครั้ง คราวนี้เอาหมอนมาปิดหูเพิ่มความหงุดหงิดให้ผมมากกว่าเดิมเสียอีก ผมเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้ผมอยู่ในชุดนักศึกษาแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าว และผมขาดเรียนไม่ได้

     “หนึ่ง!” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง เสียงดังกว่าเก่า ดึงหมอนในมือ ผ้าห่ม เอาทุกอย่างที่มันจะไปกอดก่ายเพื่อหลบหนีผมออกและจับมือมันขึ้นมายืนขึ้น “ไปอาบน้ำ เดี๋ยวไปกินข้าว”

     มันขมวดคิ้ว สีหน้ายังครึ่งหลับครึ่งตื่น “หนึ่งจะไปรอแกร่วทำไม”

     “มึงไปไหนมาไหนเองได้ที่ไหน”

     “แต่ก็ไม่ต้องขนาดนี้ไหม” หนึ่งทำหน้าขัดใจ

     “ถ้ามันมาดักรอหน้าหอ เอามึงไปปล้ำจะทำยังไง”

     “คนบ้าอะไรมันจะทำขนาดนั้นวะ”

     “ผัวมึงก็ดูบ้าขนาดนั้นแหละ ไปเอามันทำ...”

     “หยุด!” มันเอานิ้วชี้ขึ้นมาราวกับจะสั่งเลยโดนผมโบกหัวไปทีข้อหาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ยังจะมาขึ้นเสียงอีก “โอเค หยุดบ่นสักที” ว่าเช่นนั้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปในที่สุด

     หนึ่งใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เราจะได้ออกจากห้องด้วยหน้าตาบู้บี้ของมัน ผมไปทานข้าวที่โรงอาหารคณะตัวเองและพยายามสอดส่องว่าไอ้กริช ตัวปัญหาจะโผล่หน้ามาอีกตอนไหน

     ผมคิดว่าช่วงเวลานี้แหละอันตรายที่สุด เล่นแอบไปเอาของหนึ่งจากห้องของมันเมื่อวาน แค่หนึ่งหายตัวไปมันก็อาละวาดจนห้องเละเทะขนาดนั้น ไอ้หมอนั่นเป็นคนอารมณ์ร้ายน่าดูเลยจริงๆ

     พอกินข้าวเสร็จผมก็จัดการเดินไปส่งมันที่คณะสถาปัตย์ แต่เพื่อนมันไม่โผล่หน้ามาสักทีจนผมเริ่มหงุดหงิด

     “เฮียไม่ไปเรียนเหรอ”

     “ไป” ผมว่า เหลือบมองนาฬิกาที่เลยเวลาเข้าเรียนมาสิบนาทีแล้ว “แต่มึงยังไม่เจอเพื่อน”

     “...” หนึ่งหน้าตาสลดไปนิดหน่อยและเปลี่ยนกลับมาอวดเก่งในเสี้ยววินาที “หนึ่งไม่ได้ลำบากขนาดนั้นปะวะ เฮียไปเรียนเถอะ”

     ผมกดริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ที่แน่ๆ คือผมห้ามเข้าห้องสายเกินกว่ายี่สิบนาทีเพราะอาจารย์คนนี้เคี่ยวมากเสียด้วย แต่จะให้หนึ่งอยู่คนเดียวที่นี่ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี

     “เฮียป้อง เฮียไม่ใช่พ่อหนึ่งนะ” มันพล่ามต่อ “หนึ่งโตแล้วด้วย”

     “มึงเด็ก”

     “สิบเก้า!” มันกระแทกเสียง “ยังเด็กอยู่อีกเหรอ”

     “มึงเด็กตลอดในสายตากู”

     สิ้นคำพูดหนึ่งก็ผงะไปนิดหน่อย ผมแอบคิดในใจว่าพลาดเสียแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างไรมันก็เป็นเรื่องจริง หนึ่งเด็ก เป็นเด็กนิสัยเสียเสียด้วย

     “เออ งั้นก็ไปเลยไป”

     “ไอ้นิสัยขี้ประชดนี่ก็เด็ก”

     หนึ่งแสดงอาการฟึดฟัด อารมณ์เสียอย่างปิดไม่มิด ผมมองนาฬิกาอีกทีก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้น ยังไงๆ ก็ต้องไปเรียน กำชับให้มันนั่งตรงนี้เพราะอย่างน้อยก็ยังอยู่ในบริเวณที่มีผู้คน แล้วจึงเดินออกมาโดยที่ใช้มือขยี้ผมของมันเบาๆ ผมของหนึ่งหยิกเล็กน้อยและนุ่มเหมือนขนแมวเหมือนเคย

     สิ่งที่แปลกไปคือหนึ่งไม่ปัดมือผมออกเหมือนทุกครั้ง มันนั่งนิ่งๆ ให้ผมเล่นหัวมันอยู่นั่นแหละ

     “เฮียไปแล้ว เดี๋ยวคาบบ่ายมารอที่นี่นะ”

     “เออ”

     ผมส่ายหน้า อยากจะด่ามันอีกสักทีเรื่องไม่มีสัมมาคารวะแต่ก็ปล่อยผ่านไปเพราะต้องรีบวิ่งไปเข้าเรียนเสียที



     โชคดีที่ผมไปเข้าเรียนทันอย่างเฉียดฉิวแม้จะโดนอาจารย์กล่าวตักเตือน และพูดเรื่องการเข้าเรียนสายส่งผลเสียอย่างไรอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง เล่นเอารู้สึกผิดกับเพื่อนที่นั่งเรียนอยู่ในห้องและต้องทนฟังเรื่องเหล่านั้นไปเลย เอาวะ... ผมก็ได้ฟังมันบ่อยๆ ในคาบก่อนๆ เหมือนรีเพลย์ซ้ำๆ นั่นแหละ แต่ผมก็เข้าใจว่าเรื่องตรงต่อเวลาสำหรับคนเรียนสัตวแพทย์มันสำคัญมากจริงๆ

     คาบกลางวันผมก็มากินข้าวที่เดิม มีไอ้กันต์มาเป็นเพื่อนและพล่ามเรื่องนู่นเรื่องนี่อยู่คนเดียวเหมือนเดิม ไอ้กันต์นี่ก็เก่งเนอะ พูดคนเดียวได้เป็นวรรคเป็นเวร

     หลังจากจองที่และไปซื้อข้าวเสร็จแล้ว ผมก็มาหย่อนตูดนั่ง ไม่ทันจะกินข้าวก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมอง แวบเดียวที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณริว จิตสัมผัส และพอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าจิตสัมผัสของตัวเองแม่นชิบหาย

     อย่างที่บอกไปแล้วว่าโรงอาหารของผมใช้ร่วมกับคณะบริหารและการบัญชี... ไอ้ตัวปัญหาของหนึ่งแม่งนั่งเลยผมไปสองสามโต๊ะ มันมองหน้าผมตาขวางแบบที่เล่นเอาผมงงไปเลยว่าผมไม่ใช่รุ่นพี่มันเหรอ

     ทำไมเด็กสมัยนี้นิสัยเสียกันจริง

     ผมรำพันในใจ และตระหนักได้ว่า ผมก็แก่กว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ที่พูดถึงแค่สองปีเท่านั้น

     “ไม่กินล่ะวะ”

     ไอ้ภีมที่เดินถือจานข้าวขาหมูนั่งลงตรงข้ามผม ขอบคุณต้องขอบคุณที่มันเลือกนั่งตรงนี้ บังไอ้กริชนั่นมิดเลย ดีแล้ว ผมไม่อยากมีเรื่อง

     “ไม่มีอะไร” ผมบอกปัด ลงมือกินข้าวให้สบายใจได้สักที

     แต่ความสบายใจมันก็อยู่ชั่วครู่เท่านั้น

     กินข้าวหมดไปยังไม่ถึงครึ่งจาน ฟังไอ้กันต์กับไอ้ภีมพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จู่ๆ ไอ้ตัวปัญหาก็มายืนค้ำหัวไอ้ภีมที่นั่งตรงข้ามกับผม มองหน้าผมอย่างหาเรื่อง

     ผมเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าหน้าตาเดิมของตัวเองมันกวนตีนหรือผมเผลอกวนตีนมันจริงๆ ไอ้กริชถึงได้ตะโกนออกมา

     “มึง!”

     เพื่อนผมสองคนเงยหน้ามองอย่างงุนงง คนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยเองก็เงยหน้าขึ้น ไอ้กริชเดินมาหาผมซึ่งนั่งอยู่ริมโต๊ะ กระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้นมาประจันหน้ากับมัน

     “ไอ้หนึ่งมันไปไหน!”

     ก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องมาแนวๆ นี้

     เพื่อนผมที่นั่งกินข้าวอยู่ลุกขึ้น กระชากมันออกไปแรงนิดหน่อย “เฮ้ย! เป็นไรวะ!”

     ผมเอาลิ้นดุนแก้ม เอามือดันไอ้ภีมที่เลือดขึ้นหน้าเร็วเกินเหตุออกไปเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหาอะไร จับปกเสื้อสองสามทีก่อนที่จะเงยหน้ามองกริชที่ตอนนี้ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

     “หนึ่งอยู่ไหน!” มันย้ำคำถามเดิมอีกที “มันอยู่กับมึงใช่ไหม!”

     “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ” ผมพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นการยั่วโมโหอีกฝ่าย

     “มันจะไม่ใช่เรื่องกูได้ยังไง ในเมื่อหนึ่งมันเมียกู!”

     ผมเลิกคิ้ว เคยเรียกไอ้คนตรงหน้าว่าผัวหนึ่งต่อหน้ามันอยู่บ้าง แค่นั้นมันก็ไม่แฮปปี้แล้ว ไอ้กริชเล่นบอกว่ามันเป็นเมียกลางโรงอาหาร ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ามันอยู่ตรงนี้มันจะรู้สึกยังไง

     กริชขบฟันกรอดจนเห็นสันกรามอย่างชัดเจน ผู้คนในโรงอาหารเริ่มให้ความสนใจเมื่อเรายืนประจันหน้ากันและมันตะโกนเสียงดังลั่น ส่วนผมได้แต่ยืนเงียบๆ ไม่พูดอะไร รู้สึกว่าสองวันที่อยู่กับหนึ่งมามีนิสัยปากหมามากกว่าเดิม กลัวจะไปสะกิดต่อมบ้าของมันอีก

     “ถ้ามึงยังยุ่งอีก...”

     “ยังไงก็ต้องยุ่ง...ในเมื่อหนึ่งไม่อยากยุ่งกับคุณเอง”

     ผลัวะ!

     หน้าผมชาไปข้างหนึ่งอีกแล้ว ผมรู้สึกว่ามีร่างหนาเข้ามากระชากเสื้อผมอีกครั้ง ได้ยินเสียงเพื่อนไอ้กริชตะโกนบอกให้หยุดพอๆ กับเพื่อนผม ทีนี้ก็คลุกวงในกันสนุกเลย เพื่อนไอ้กริชพยายามรั้งมันไว้ ส่วนผมก็ต้องดึงไม่ให้ไอ้ภีมไปต่อยกับเขาแทน ได้ข่าวว่าคนโดนต่อยคือกูแท้ๆ

     “ปล่อย!” มันตวาดใส่เพื่อนมัน ก่อนที่จะตวาดใส่ผม “ไอ้เวรเอ้ย! มึงเสือกอะไรด้วยวะ”

     เพื่อนโดนด่า ไอ้ภีมก็แทบจะถลาเข้าไปต่อยไอ้กริชให้ผมเสร็จสรรพ นักเลงจริงไอ้นิ่ง พอรั้งไว้ได้สักพักไอ้กริชก็ชี้หน้าผมอย่างอาฆาต

     “กูจะเอามันคืน”

     “หนึ่งไม่ใช่สิ่งของ” ผมสวนกลับทันควัน ฟังแบบนี้แล้วเหมือนอารมณ์สูงขึ้นโดยฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น

     กริชทำท่าจะถลาเข้ามาใหม่ แต่เพราะไทยมุงรอบๆ นี้ และสถานการณ์ตอนนี้ใครก็เห็นว่ามันเป็นฝ่ายเข้ามาทำร้ายผม (แม้มันจะทำเหมือนผมไปแย่งเมียมันมาก็เถอะ) และผมยังไม่ตอบโต้ใดๆ อีกด้วย มันสะบัดมือเพื่อนมันออก แล้วเดินออกไป
   
     พอมันเดินออกไปสักพักสถานการณ์ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไอ้ภีมกับไอ้กันต์หันมามองผมอย่างตั้งคำถามแต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนั้น ตั้งใจจะกินข้าวต่อแต่พอช้อนกระทบปากนิดหน่อยก็รู้สึกเจ็บ

     ผมเอามือสัมผัสริมฝีปาก...ชัดเจนเลยว่าปากแตก

     เอาวะ อย่างน้อยฟันก็ไม่หลุด

     ผมพยายามมองโลกให้สวยงามกว่าปกติและกินข้าวต่อไปทั้งๆ ที่รู้สึกเจ็บปากอยู่หน่อย ไอ้กริชนี่แม่งเล่นซ้ำแผลเดิมเสียด้วยสิ



     “เฮียไปโดนอะไรมาเนี่ย!”

     ตัวต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผมเจ็บตัวทำหน้าตื่นเมื่อมันเดินลงมาจากตึกเรียนพร้อมๆ กับเพื่อนกลุ่มเดิมของมัน แต่พุ่งตัวมาหาผมอย่างรวดเร็ว แถมยังเอื้อมมือมาแตะปากของผมที่เพิ่งแตกไปเมื่อกลางวัน

     “เรื่องเล็กๆ” ผมว่า ไม่อยากอธิบายให้มากความ

     “ประสาทเหรอ หนึ่งไม่โง่นะ” มันทำท่าร้อนใจ “กริชใช่ไหม เฮียเคยมีเรื่องกับใครที่ไหน” มันว่าเช่นนั้น เอามือจับหน้าผมหันซ้ายขวาเหมือนกับสำรวจว่ามีตรงไหนบุบสลายอีกไหม
   
     ผมจับข้อมือเล็กนั่นก่อนที่มันจะจัดการสำรวจผมมากกว่านี้ มองเลยหนึ่งไปก็เห็นเพื่อนมันทำหน้างุนงงกันอยู่นิดหน่อย สบตากับผมแล้วหลบตากันหมดจนผมสงสัยว่าหน้าผมมันไม่สบอารมณ์มากเลยเหรอจึงต้องกลัวกันถึงเพียงนั้น

     “เฮีย...”

     ผมเลื่อนสายตากลับมามองคนตรงหน้า มันเรียกผมเสียงอ่อน พอคิดออกว่ามันจะพูดอะไรต่อเลยตัดบทด้วยการหยิบไม้กระดานของมันมาถือไว้

     “กลับกัน”

     หนึ่งชะงัก หันไปลาเพื่อนอย่างว่าง่ายก่อนที่จะเดินตามผมมาที่มอเตอร์ไซค์คันเดิม “เอามานี่ หนึ่งถือเองได้”

     “เดี๋ยวตอนกูขับมึงก็ถือ”

     มันบ่นต่อไม่ได้ ยอมเดินแบกกระเป๋าเงียบๆ แต่โดยดีจนมาถึงมอเตอร์ไซค์ หนึ่งจึงรับกระดานนั้นไปถือด้วยท่าทางทุลักทุเลเล็กน้อยตอนที่ผมจะออกตัว พอเห็นหนึ่งถือกระดานโดยไม่ได้ยึดเหนี่ยวอะไรไว้สักอย่างจึงเอื้อมมือไปจับมือของมันมาวางไว้ที่เอวของผมข้างหนึ่ง

     “เดี๋ยวมึงก็ตกหรอก”

     “อะ อื้อ...” มันว่าแบบนั้น ใช้มือวางวงแขนไว้ที่เอวผมหลวมๆ ส่วนมืออีกข้างใช้ประคองกระดานไม้เจ้าปัญหานั่นไว้

     พอกลับมาถึงคอนโด เปิดประตูห้องมาผมก็โยนข้าวของไว้แถวๆ โซฟา เดินไปหยิบน้ำมาดื่ม ส่วนหนึ่งเดินเข้าไปในบริเวณห้องนอน และกลับมาพร้อมกับกล่องยาสามัญประจำบ้านที่ดูเหมือนช่วงนี้ต้องใช้บ่อยเหลือเกิน

     “หนึ่งทำแผลให้”

     “มันไม่ได้มากมายขนาดนั้น”

     ผมบอกปัด แต่เด็กดื้อก็ยังเดินเข้ามาหาผมที่ยืนตรงหน้าตู้เย็น ลากผมไปนั่งที่โซฟาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าผมไม่ได้ต้องการให้มันทำแผลเล็กๆ แค่นี้ให้เสียหน่อย

     หนึ่งมือหนักเหมือนเคย ตอนเล่นกันแต่เด็กก็เป็นคนที่เล่นอะไรรุนแรง โตขึ้นมาก็ยังมือหนักอยู่ สิ่งเดียวที่ดูมันทำได้อย่างละเอียดอ่อนก็น่าจะเป็นตอนที่มันวาดรูปต่างๆ นั่นแหละ มันเคยบอกว่าอยากเรียนศิลปกรรม แต่ว่าสอบได้สถาปัตยกรรมเสียก่อนเลยหันมาเรียนอันนี้แทน ได้ยินจากแม่ว่าน้ากานดาไม่อยากให้มันเรียนศิลปกรรมเสียด้วย แต่หนึ่งไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมหรอก

     “หนึ่งขอโทษนะเฮีย” มันเอ่ยปากเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ
   
     “ถ้าจะขอโทษก็ขอโทษเรื่องที่ไปคบกับมันเถอะ”

     “ก็รู้แล้วไง...” มันว่าเสียงอ่อน ก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิดแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ

     ผมถอนหายใจ อยากจะด่าแต่ก็ด่าไม่ค่อยออกเวลาหนึ่งทำตัวแบบนี้ ถ้าหนึ่งดื้อเหมือนกับปกติผมจะด่าได้เต็มปากเต็มคำมากกว่า

     หนึ่งทำท่าจะลุกขึ้นแต่ผมจับข้อมือมันไว้ให้มันนั่งลงที่เดิม ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับเสื้อนักศึกษามันและปลดกระดุมสองเม็ดด้านบน หนึ่งสะดุ้งอย่างตกใจแต่ไม่โวยวายอะไรสักคำ

     “แผลดีขึ้นแล้วเนอะ”

     “เออน่า เป็นหมอหมายังจะมาดูอะไรเยอะ”

     “กูนึกว่ามึงเป็นหมาซะอีก” พอมันปากเก่งผมเลยสวนกลับได้สนุกปากมากขึ้น

     หนึ่งส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอในขณะที่ผมสำรวจและเห็นว่ารอยมันจางไปมากกว่าเดิมแล้ว หวังว่าอีกไม่กี่วันจะหายดี ยามเห็นผิวของมันแต้มด้วยบาดแผล ริมฝีปากของผมก็บดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

     “เฮีย...” หนึ่งเอ่ยปากเรียกผมเสียงอ่อน “ฮะ เฮียป้อง!”

     ผมชะงัก ดึงมือของตัวเองกลับ เกือบไปสัมผัสกับมันอีกแล้ว ผมคิดในใจ สูดลมหายใจลึก

     “รับโทรศัพท์สิ!” มันแหว ชี้มาที่โทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างๆ กายซึ่งกำลังสั่นอย่างกับเจ้าเข้า

     ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่โทรเข้ามาทำให้ผมกลืนน้ำลาย เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะสูดเอาลมหายใจเข้าปอดและตัดสินใจกดรับโทรศัพท์

     “สวัสดีครับน้ากานดา”

     ...แม่ของหนึ่งโทรหาผมทำไม




--------------------------
นั่นสิคะ... เฮียป้องจะเป็นพระเอกรึเปล่าเนอะ
วางตัวเป็นพ่อขนาดนี้  :z2:

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 4 - ล้ำเส้น (15.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 15-03-2016 23:47:16
ยังอึดอัดอยู่ ที่ยังหาร่องรอยของความรักระหว่างสองคนนี้แบบชัดๆไม่เจอ คิดว่าเริ่มเห็นความเป็นห่วงที่หนึ่งมีให้ป้อง และตอนท้ายๆบทที่ป้องปลดกระดุมเสื้อหนึ่ง แล้วเผลอไผลไปนี่... มัน มัน แบบ อีกนิดนึง ชั้นก็จะแน่ใจแล้ว ฮื้อ  :ling1:

ชอบความอึดอัดนี้นะคะ ขอให้ ใช่ รัก ทีเถอะนะ ลุ้น

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 4 - ล้ำเส้น (15.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-03-2016 14:27:59
 :mew2:

เฮียโครตแมนจริง

ปกป้องน้องไว้นะคะ  :t3:

ปอลอ หวังว่าม๊าป้องกะแม่กานดาจะไฟเขียวนะ  :call:

ปอลอลอ ขอเฮียเป็นพระเอกกกกกกก  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 4 - ล้ำเส้น (15.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-03-2016 00:50:20
น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || แจ้งข่าว (19.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 19-03-2016 19:34:34
พรุ่งนี้ไปเที่ยวค่ะ กลับวันจันทร์เย็นๆ
คิดว่ากว่าจะได้อัพนิยายคงจะวันอังคาร

ช่วยรอกันด้วยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 5 - ฝากฝัง (22.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 22-03-2016 16:11:12
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 5
‘ฝากฝัง’


     “สวัสดีครับน้ากานดา”

     “สวัสดีจ้ะป้อง” ปลายสายว่ากลับมาเสียงนุ่มนวลเหมือนที่ได้ยินประจำ “วันนี้น้ากับแม่จะแวะไปหาเรานะ มาทำธุระแถวๆ นี้พอดีน่ะจ้ะ นี่แม่เราขับรถอยู่”

     พอได้ยินเช่นนั้นผมก็ครางอ๋อออกมาเบาๆ ในขณะเลื่อนสายตาไปมองหนึ่งที่ทำหน้าตาสู่รู้ตั้งแต่ผมเอ่ยปากเรียกน้ากานดาแล้วด้วยซ้ำ

     “หนึ่งอยู่กับเราไหมจ๊ะ”

     “อยู่ครับ” ผมตอบไปตามจริง “จะมาที่นี่หรือว่าจะให้ผมออกไปเจอ...”

     “อยู่นั่นแหละย่ะ!” ได้ยินเสียงแม่แว้ดออกมาจากปลายสายเหมือนที่ได้ยินประจำ ตามด้วยเสียง
หัวเราะของน้ากานดา ก่อนที่จะอธิบายอะไรให้เสร็จสรรพ “เกดเขาอยากเข้าห้องน้ำน่ะ เราอยู่ที่นั่นแล้วกันเนอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาหาอะไรกินกัน”

     ผมตอบรับ เอ่ยอีกสองสามคำก่อนที่สายจะถูกตัดไปด้วยนิ้วของผมเอง

     “แม่ว่ายังไงบ้าง” พอวางสายปุ๊บ เจ้าตัวแสบก็ยื่นหน้าขึ้นมาทันที

     “เดี๋ยวแม่กับน้ากานดามาที่นี่ แล้วไปหาอะไรกินกัน” ผมตอบไปตามจริง

     ทีนี้หนึ่งก็ทำตาตื่น “เฮ้ย แม่จะผิดสังเกตไหม” มันมองไปรอบๆ ห้อง แววตากังวลแบบปิดไม่มิด

     พอมันพูดแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่หนึ่งย้ายออกไปอยู่กับไอ้กริชมัน น้ากานดากับแม่ของผมไม่มีโอกาสขึ้นมาที่ห้องเลย หนึ่งมันหาทางบ่ายเบี่ยง ชวนไปเจอกันที่ห้างแถวๆ นี้ หรือไม่ก็ร้านอาหาร แถมปกติพวกท่านจะมาในวันเสาร์ – อาทิตย์ การทำแบบนั้นเลยปกปิดสภาพห้องที่มีของน้อยเกินกว่าที่จะเป็นห้องของผู้ชายสองคน โดยเฉพาะคนหนึ่งเป็นเด็กสถาปัตย์ด้วยแล้ว มันก็น่าจะมีอุปกรณ์ต่างๆ มากกว่านี้จริงๆ

     “เดี๋ยวก็อ้างๆ ไปแล้วกัน” ผมว่าอย่างสิ้นหนทาง ตอนนี้ได้แค่หาทางกลบเกลื่อน “บอกว่ามึงไปนอนคณะ ไปนอนกับเพื่อน ไปช่วยงานพี่อะไรก็ได้”

     “ไปช่วยงานคนอื่นใครมันจะแบกโต๊ะดราฟออกไปวะ!” มันสวนกลับทันควัน

     “แล้วมีทางที่ดีกว่านี้หรือไง” หนึ่งไม่ตอบแต่บดริมฝีปากเข้าหากัน คิ้วขมวดจนจะผูกกันกลายเป็นเงื่อนพิรอดอยู่แล้ว พอมันเถียงไม่ออกผมเลยเอานิ้วจิ้มกลางหน้าผากมันด้วยความหมั่นไส้ “ก็เห็นไหม... แล้วจะคิดอะไรเยอะ กลบเกลื่อนไปก่อนแล้วกัน”
   
     มันทำหน้ายุ่ง บ่นพึมพำเสียงแผ่วเบาแต่ดังพอให้ผมได้ยินถึงความกังวลใจของมัน “ถ้าแม่ไม่รู้ก็ดีหรอก...”



     ประมาณสิบห้านาทีจากที่น้ากานดาโทรมาก็มีคนกดออด เปิดประตูปุ๊บ แม่ของผมก็รีบชิงเข้าห้องน้ำปั๊บ ไม่ทันที่ไอ้หนึ่งจะได้ยกมือไหว้ด้วยซ้ำ สร้างเสียงหัวเราะเล็กน้อยให้น้ากานดา ก่อนที่ท่านจะยกถุงใส่กับสองสามถุงให้ผม

     “น้าทำมาให้เก็บไว้จ้ะ เอาไว้กินกันเนอะ”

     “ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่าย “หวานปากผมเลยทีนี้”

     “ตอแหลอ่ะ” หนึ่งพูดแทรกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

     “เอ๊ะ หนึ่ง ตีปากเลยนะ ไปว่าพี่เขาอย่างงั้นได้ยังไง”

     ผมก็ปล่อยให้แม่ลูกเขาคุยกันโดยการปลีกตัวมาเก็บอาหารที่น้ากานดาให้ไว้ในตู้เย็น ถึงจะมีคำดุด่าว่ากล่าวแต่หนึ่งก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจเหมือนทุกครั้ง

     น้ากานดาเป็นผู้หญิงตัวเล็กและผอมมาก ไว้ผมยาวมัดเป็นมวยไว้ประจำ ผมเห็นน้ากานดาตั้งแต่อายุห้าหกขวบ แม่บอกว่าท่านเป็นรุ่นน้องตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย พอจบมาทำงานก็เลยให้ท่านช่วยดูแลรีสอร์ทในเครือของแม่แห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด เป็นสถานที่โปรดที่บ้านเรามักจะไปพักช่วงปิดเทอม แต่พอผมอายุสักสิบขวบ น้ากานดาก็ย้ายมาทำงานที่ครัวในสาขากรุงเทพฯ พร้อมกับลูกชายคนเดียว ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็ได้กินอาหารฝีมือท่านบ่อย ล่าสุดก็เริ่มลงทุนเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองแล้ว   

     “น้ากานดานั่งก่อนก็ได้นะครับ” ผมเอ่ยปากออกมาเมื่อเห็นท่านยืนอยู่พักใหญ่ “แม่ผมท่าจะท้องไส้ไม่ดีเสียล่ะมั้ง”

     หนึ่งหันมาพูดโดยไร้เสียงกับผมว่า ‘เอาหน้า’ พร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างยียวน แต่ก็เดินประคองน้ากานดาไปนั่งที่โซฟาตามที่แนะนำ ส่วนผมก็เดินไปนั่งคุยกับสองแม่ลูกด้วย

     ประเด็นส่วนใหญ่ของน้ากานดาก็คือถามผมเรื่องของหนึ่ง หนึ่งดื้อไหม หนึ่งกินเหล้าบ่อยไหม จนเจ้าตัวเหมือนกินปูนร้อนท้อง หน้าตาบึ้งตึง โอดครวญกับแม่ว่าตนไม่ได้ทำตัวเป็นปัญหาใดๆ สักหน่อย เล่นเอาผมเลิกคิ้วกับคำโกหกคำโตนั่นเชียว ถ้าบอกว่าหนึ่งทำอะไรไว้บ้าง และตอนนี้กำลังปัญหาเรื่องอะไรอยู่ กลัวว่าน้ากานดาจะเป็นลมล้มพับกันไปพอดี

     “แล้วนั่นป้องไปโดนอะไรมาจ๊ะ”

     ในที่สุดท่านก็เอ่ยถึงเรื่องแผลบนมุมปากผม เล่นเอาหนึ่งเกร็งตัวขึ้นมาฉับพลัน มองหน้าผมอย่างปิดความกังวลไม่มิด ถ้าความลับแตกก็เพราะมึงนั่นแหละ

     “อ๋อ...” ผมครางในลำคอ พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พอดีซุ่มซ่ามนิดหน่อยน่ะครับ”

     “ซุ่มซ่าม? อย่างป้องน่ะหรือ”

     “ครับ ตอนทำแลป”

     น้ากานดาทำสีหน้าเหลือเชื่อนิดหน่อยแต่ก็ยังพยักหน้า เอ่ยเตือนว่าให้ผมระวังบ้าง ก่อนที่บทสนทนาจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น

     ไม่นานนักแม่ของผมก็ออกจากห้องน้ำ ท่านบ่นว่ากลางวันคงกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป

     “แล้วป้าเกดจะไปทานอาหารได้หรือครับ”

     “โอ๊ย... ป้าน่ะตายยาก ไม่เป็นไรหรอก”

     ผมมองหนึ่งที่เอ่ยปากถามป้าเกด หรือแม่ของผมแล้วเค้นยิ้มออกมา ชอบบอกว่าผมประจบประแจงบ้างล่ะ เอาหน้าบ้างล่ะ แต่ตัวเองก็แสดงออกต่อหน้าแม่ผมไม่ต่างกันเท่าไหร่

     ก็มีแค่ตอนนี้แหละมั้ง...ที่เห็นว่าหนึ่งเป็น ‘เด็กดี’ อยู่บ้าง



     เราตกลงทานอาหารญี่ปุ่นกันเพราะไม่อยากให้แม่กินอาหารรสจัดมาก แต่สิ่งที่แปลกใจคือนั่งสั่งอาหารไปไม่ทันไร พี่ลูกปลา พี่สาวที่อายุมากกว่าผมร่วมสิบปีก็เดินเข้ามาในร้าน ในชุดสูทผู้หญิงดูทะมัดทะแมงตามประสาสาวโสดวัยสามสิบที่ไม่มีแฟนสักที

     “วันรวมญาติเหรอ” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างแปลกใจ พอขึ้นมหาวิทยาลัยผมก็ไม่ค่อยได้เจอพี่สาวตัวเองนัก เนื่องจากเธอกำลังจะเข้างานบริหารต่อจากแม่อย่างเต็มรูปแบบ “ถ้ามีพ่อมาอีกคนนี่ครบเลยนะ”

     “พ่อแกไม่ว่างย่ะ” แม่ว่างั้น

     หนึ่งที่นั่งข้างๆ ผมและตรงข้ามกับน้ากานดาก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันแต่มันก็ยังคุยกับครอบครัวผมได้อย่างปกติดีไม่มีเขินอายอะไรทั้งนั้น เออ ดีเนอะ... อยู่กับไอ้หนึ่งทีไรผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่าตลอด

     มื้ออาหารจบลงโดยที่ผมไม่ได้พูดอะไรมากเท่าไหร่ คนจ่ายเงินคือพี่ลูกปลาพร้อมกับทิ้งท้ายว่าไม่ได้มีโอกาสมาเจอพวกเราบ่อยนักเลยถือเป็นการไถ่โทษ ก็จริงอย่างที่หล่อนว่า ต่อให้ผมกลับไปที่บ้านยังเจอเธอน้อยเลย ผมเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ดีเสียอีกที่สบายกระเป๋าไปอีกมื้อ

     “ป้องจ๊ะ”

     “ครับ” ผมขานรับเมื่อน้ากานดาเอ่ยปากเรียกเมื่อเรายืนรออีกสามคนเข้าห้องน้ำ

     “ช่วยดูแลหนึ่งให้น้าด้วยนะ” หญิงร่างเล็กระบายยิ้มหวานบนริมฝีปาก หากแต่แววตาคู่นั้นยังฉายแววเศร้าสร้อยนิดหน่อย “มันดื้อไปบ้างก็อย่าถือสามันเลยนะจ๊ะ”

     หนึ่งไม่ได้แค่ ‘ดื้อไปบ้าง’ เสียหน่อย ผมแอบเถียงน้าแกในใจ แต่ก็ไม่คิดขัดอะไร

     “ถ้าหนึ่งคบเพื่อนไม่ดี ทำอะไรไม่ดี ดุมันได้เลยนะจ๊ะ น้าไม่ว่า”

     “ครับ”

     “แล้วถ้า...” น้ากานดาเสียงเบาลง เว้นวรรคไปชั่วครู่ราวกับไม่อยากพูดมันออกมา “ถ้าหนึ่งเจออะไร...เหมือนกับ ‘ตอนนั้น’ น้าวาน...”

     “ผมจะดูแลให้เองครับ”

     ผมเอ่ยตัดบทก่อนที่น้ากานดาจะเอ่ยปากจบ เพราะผมรู้ดีว่าน้าแกจะพูดเรื่องอะไร เป็นเรื่องที่ฟังจนชินตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายที่มีหนึ่งเป็นรุ่นน้องร่วมโรงเรียน จนหนึ่งขึ้นมหา’ ลัยมา พอมีจังหวะที่อยู่ด้วยกัน น้ากานดาก็จะฝากฝังเรื่องนี้กับผมทุกครั้ง

     น้ากานดาคลี่ยิ้ม “ขอบคุณมากนะจ๊ะ”

     ยิ่งเห็นคำขอบคุณเหล่านั้น ผมก็ได้แต่รู้สึกผิดในใจเมื่อคิดว่าหนึ่งมีเรื่องปิดบังผู้เป็นแม่มากขนาดไหน และผมมีส่วนร่วมในการรู้เห็นกับเรื่องเหล่านั้น

     “แม่” หนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำและแตะแขนน้ากานดาทันที “คุยอะไรกับเฮียอ่ะ”

     “ยุ่ง” ผมเอ่ยปากขัด

     มันเงยหน้าขึ้นมาต่อปากต่อคำ “ถามแม่ไม่ได้ถามเฮีย”

     “เอ๊ะ เอาอีกแล้ว เดี๋ยวตีเลย พูดกับป้องเขาดีๆ สิ เขาโตกว่าเราตั้งกี่ปี”

     หนึ่งทำหน้างอเมื่อโดนแม่ดุ มองผมตาขวางเหมือนผมเป็นคนผิด หลังจากนั้นสองสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำบ้าง

     แม่กับน้ากานดายังอยากซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อย พี่ลูกปลาเลยอาสาไปส่งพวกผมที่คอนโด แล้วเดี๋ยวให้แม่ขับรถกลับบ้านได้เลย พวกเราเลยจัดการล่ำลากันตรงนั้น ผมกับแม่ไม่ค่อยได้พูดอะไรมาก ผิดกับน้ากานดาที่กำชับเรื่องนู้นเรื่องนี้กับหนึ่งจนคนเป็นลูกแซวว่าแม่เป็นห่วงมากเกินไปแล้ว

     “หนึ่งโตแล้วนะ”

     “ช่างเถอะ ดูแลตัวเองดีๆ ละกัน ฟังพี่เขาบ้าง”

     “โอ๊ย อีกนิดหนึ่งก็มีเมียเป็นเฮียมันแล้วเนี่ย ขี้บ่นจะตาย”

     “หนึ่ง!” น้ากานดาเอ็ดลูกสายเสียงดุ
   
     พอสองแม่ลูกคุยกันจนหนำใจ หนึ่งกับผมจึงไปนั่งรถที่พี่ลูกปลาขับกลับคอนโด ยังขับได้ฉวัดเฉวียนน่าเวียนหัวเหมือนเคย หล่อนชวนน้องรักที่ไม่ใช่น้องในไส้คุยตลอดทาง จนมาถึงหน้าปากซอยที่มีร้านอาหารเต็มข้างทางและรถเคลื่อนไปได้ไม่มากเท่าไหร่

     “หนึ่ง” ผมเรียกคนที่คุยกับพี่สาวตัวเองอย่างออกรส “ลงไปซื้อฝรั่งให้หน่อย”

     คนโดนสั่งหันมาขมวดคิ้วมุ่น “คนเยอะจะตาย แล้วทำไมหนึ่งต้องลงไปอ่ะ” มันว่างั้นพลางมองไปที่หน้าต่างเห็นร้านขายผลไม้มีคนมุงอยู่ห้าหกคน ไม่แปลกเพราะมันมีร้านขายอยู่ร้านเดียว

     “เฮียปวดขา”

     “แล้วมันเกี่ยวกับหนึ่ง...”

     “อยากกินมะม่วงเปรี้ยวด้วยอ่ะหนึ่ง” พี่ลูกปลาแทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมกับมันเถียงกันอยู่ “ซื้อให้พี่ด้วยสิ”

     พอโดนคำสั่งจากเราสองพี่น้องหนึ่งก็เริ่มเถียงไม่ออก มันทำหน้างุนงงก่อนที่จะรับเงินที่ผมยื่นให้ไปอย่างเสียไม่ได้ มันเดินลงไปซื้อพร้อมกับบอกพี่สาวผมว่าถ้ามีอะไรให้รถเคลื่อนไปเลยก็ได้ กว่าจะถึงคอนโดก็อยู่ตั้งท้ายซอย ผมบ่นว่าปวดขาคงไม่ยอมเดินไปเอง

     “ข้ออ้างสั่วๆ” พอหนึ่งลงไปพี่สาวผมก็ว่าแบบนั้น หันมามองผมที่นั่งข้างคนขับทำหน้าปูเลี่ยน “โอ้โห น้องฉันตอแหลมาก ปวดขานี่มันควรเป็นฉันรึเปล่า”

     ผมไม่ตอบโต้อะไรในส่วนนั้น แต่เอ่ยปากถามสิ่งที่ตัวเองหาจังหวะมานาน “สรุปเรื่องเจ้าของชื่อนั้นว่ายังไงครับ”

     “กฤติเดช มหาฆนรุจ” เธอว่าเช่นนั้น หยิบแฟ้มกระดาษสีน้ำตาลมาจากคอนโซลหน้ารถยื่นมาให้ผม “ที่บ้านทำธุรกิจส่งออกอาหารแห้ง เป็นลูกชายคนรองจากเมียเก็บพ่อเลยไม่ค่อยออกหน้าออกตา... เล่นเอาตกใจเลย มาถามประวัติเขาทำไม จะมีเรื่องด้วยเหรอ”

     “ไม่แน่ครับ”

     หล่อนทำหน้าแปลกใจ “แกเนี่ยนะป้อง? ตลกแล้ว...”

     “ผมไม่ใช่คนมีเรื่องด้วยหรอก” ผมว่าตามจริง ถอนหายใจพลางมองไปที่คนถูกใช้ให้ไปซื้อผลไม้ รถไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเท่าไหร่

     พี่สาวมองตามสายตาผม เธอหรี่ตาลงและถามเสียงเรียบ

     “หนึ่งเหรอ?” ผมไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้าให้ ทีนี้พี่ลูกปลาก็เลยเอื้อมมือมาหยิกแขนผมพร้อมแหวผมเสียงดังทันที “เรื่องใหญ่แค่ไหนเนี่ย! ทำไมไม่บอกก่อน!”

     “ยังไม่ใหญ่มากนะ” ผมตีมืออีกฝ่ายคืน ปกติก็แรงช้างอยู่แล้วมีเล็บด้วยนี่เจ็บชิบหาย “เดี๋ยวเรื่องใหญ่กว่านี้จะบอก พี่เล่าให้พ่อฟังยัง”

     “แค่บอกว่าแกทำท่าจะไปมีเรื่องกับใครเท่านั้นแหละ แม่ก็รู้แล้วเลยตั้งใจจะมาดูสภาพวันนี้สักหน่อย”

     ผมไม่แปลกใจหากพี่สาวตัวเองจะคิดแบบนั้น ในเมื่อหลังจากได้เบอร์ติดต่อเพื่อนของหนึ่งมาผมก็สอบถามให้ช่วยตามหาชื่อจริงของไอ้กริชมันสักหน่อย พอได้รู้นามสกุลเลยให้พี่สาวสอบถามพ่อที่เป็นพลตำรวจให้ เนื่องจากนามสกุลมันที่พอเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจ

     “ไม่เอาให้ถึงขั้นเจ็บตัวหรอก”

     “เออ ต่อยตีเป็นกับเขาที่ไหน” คนอายุมากกว่าว่าอย่างงั้น “เรื่องใหญ่มากไหม ให้ผู้ใหญ่คุยกันไม่ง่ายกว่าเหรอ”

     “มันไม่อยากให้น้ากานดารู้เสียหน่อย”

     พี่ลูกปลาทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่ก็กลืนคำพูดเหล่านั้นไป และหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อรถคันข้างหน้าเคลื่อนไปได้นิดหน่อยพร้อมๆ กับจังหวะที่หนึ่งเปิดประตูรถ

     “พี่ปลา” มันชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมยื่นมะม่วงกับกระปุกน้ำปลาหวานให้พี่สาวผม “เดี๋ยวเลี้ยวออกจากซอยข้างหน้านี่ดีกว่า ติดยาวมาก ติดห่าอะไรไม่รู้”

     “โอ๊ะ ขอบใจจ้ะ”

     มันหันมาหาผม “เฮียปวดขาเป็นอะไรมากเปล่า เดินได้ไหม”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ลงไปจากรถและปิดประตูลง พร้อมกับแฟ้มกระดาษที่ได้มาจากพี่สาวตนเอง ไอ้หนึ่งที่ถือถุงฝรั่งก็ทำหน้างุนงง

     “อะไรน่ะ”

     “พี่อัดรูปที่ไปเที่ยวคราวก่อนมาให้”

     มันก็เออๆ ออๆ ไป ไม่ได้สงสัยอะไรอีก แต่ไม่วายหันมาขมวดคิ้วมุ่นใส่ยามเห็นผมเดินเหินได้ปกติดี พร้อมกับแย่งฝรั่งในมือของมันมากินหนึ่งชิ้นและบ่นเบาๆ

     “ทำไมรสฝาดๆ”

     “เหรอ หนึ่งว่าอร่อยนะ”

     “งั้นก็กินไปเลยล่ะกัน เฮียไม่กินแล้ว”

     “เอ้า!” มันร้องอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะก้มหน้ากินผลไม้ที่มันโปรดปรานเงียบๆ ระหว่างทางกลับบ้านโดยไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ถามถึงอาการเจ็บขาปลอมๆ ที่ผมอ้างไว้ในตอนแรกด้วย

     ผมมองแฟ้มกระดาษในมือ เอาไว้กลับไปถึงห้องคงต้องรอจังหวะให้ไอ้หนึ่งหายหัวไปบ้างแล้วค่อยเปิดดูสินะ

     ไม่ใช่แค่ไอ้ผัวมากปัญหาของหนึ่งหรอกที่โมโหกับสิ่งที่ผมทำ ผมเองก็โมโหกับสิ่งที่ไอ้เวรนั่นทำเหมือนกัน

     แต่วิธีการจัดการปัญหามันต่างกัน





----------------------------------
เฮียเป็นคนใสใส

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 5 - ฝากฝัง (22.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-03-2016 16:40:28
สนุกจังค่ะ รอรอ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 5 - ฝากฝัง (22.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 22-03-2016 19:30:12
หนึ่งกำลังได้รับการปกป้องสินะ ป้องดูรอบคอบ ครอบครัวป้องก็ดูเข้าใจโลกดี มีทิ้งปมไว้อีกแล้ว เรื่องในตอนนั้นที่น้ากานดาพูดถึงนี่คืออะไร
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 5 - ฝากฝัง (22.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-03-2016 22:46:34
ใสๆ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 5 - ฝากฝัง (22.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 23-03-2016 12:43:17
ชอบเฮียยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 6 - เล่นไม่ซื่อ (26.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 26-03-2016 20:44:21
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 6
‘เล่นไม่ซื่อ’



     ‘กฤติเดช มหาฆนรุจ’

     ลูกเมียเก็บของเจ้าของธุรกิจอาหารแห้ง ยังไม่ถือว่าเป็นรายใหญ่มากแต่ก็ถือว่าพอคุ้นหูกับนามสกุลนี้ ปัจจุบันลูกชายคนโต หรือพี่ชายของกริชกำลังเปิดไลน์เครื่องดื่มกระป๋องด้วยแต่ยังไม่ติดตลาดมากนัก กริชไม่ออกหน้าออกตา คาดว่าเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรมเพราะมีปัญหาเยอะเลยทีเดียว เคยมีคดีเมาแล้วขับ จับได้ว่ามีสารเสพติดไว้ในครอบครองและต้องเข้ารับการบำบัด น่าจะเป็นเด็กมีปัญหาพอดู นอกจากนี้พี่ลูกปลายังอุตส่าห์เขียนเพิ่มเติมไว้ให้ด้วยว่ากำลังเป็นเป้าหมายของสังคมไฮโซเพราะข่าวลือเรื่องการหนีภาษี อีกอย่างคือแม่ของผมรู้จักกับพ่อเขาเสียด้วย... น่าจะจัดการได้ไม่ยาก

     “เฮีย” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหนึ่งเรียกชื่อผม รีบวางกระดาษเอสี่ที่ถืออยู่ให้ปะปนกับกองชีทที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ และทับด้วยชีทอีกชุดหนึ่ง “ไม่อาบน้ำเหรอ?”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร เหลือบสายตามองแผลของหนึ่งที่อยู่บนแผ่นหลังและรอยสักรูปนกเล็กๆ เหล่านั้น หนึ่งสักจนผมเห็นแล้วเหนื่อยใจแทนน้ากานดา แม้ไม่ได้มีลายพร้อยเต็มตัวแต่ก็มีมากพอดี จนผมนึกสงสัยว่ารอยแผลเป็นจากวัยเด็กบนแผ่นหลังนั้นยังไม่มากพอที่ทำให้หลังดูไม่สะอาดอีกหรือ

     “อะไร?” คนถูกจ้องเลิกคิ้ว นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอามือขึ้นปิดหน้าอก “มองนมหนึ่งทำไม!”

     ผมทำหน้าแหยงเมื่อมันจงใจทำให้ดูสะดีดสะดิ้ง มันเลยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงขาสั้นขึ้นมาใส่ และทิ้งตัวลงนอน

     “ใส่เสื้อด้วยสิ” ผมท้วง

     “ช่างมันเถอะน่า”

     มันยู่ปากพลางก้มลงกดโทรศัพท์มือถือที่จอแตกหลังจากเมื่อวานผมจัดการบล็อกเบอร์แฟนเก่ามันเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจจะเปลี่ยนซิมด้วย แต่กลัวว่าน้ากานดาจะผิดสังเกต
   
     ผมเดินไปหยิบเสื้อกล้ามตัวหนึ่งและปาใส่หน้ามันอย่างแรงจนหนึ่งลุกขึ้นมา

     “เฮียเลิกทำตัวเป็นพ่อสักที!” มันโวยวาย “แม่ก็เหมือนกัน... เอาแต่ฝากหนึ่งกับเฮียอยู่นั่นแหละ หนึ่งไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย”

     ผมมองคนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กๆ ใช่สิ... ตอนมันเด็กเคยปากเก่งแบบนี้ที่ไหน สมัยก่อนเรียกผมว่า ‘เฮียปกป้องๆ’ แล้วก็เอาแต่เดินตามต้อยๆ ไม่มีปากเสียงใดๆ จะว่าไปแล้ว ตอนเด็กๆ ก็งงเหมือนกันว่าเหตุใดไอ้หนึ่งมันถึงเรียกผมว่าเฮียทั้งๆ ที่บ้านผมก็ไทยแท้ มีเชื้อจีนมาปนแค่นิดหน่อย เวลาผมเรียกพ่อแม่ก็เรียกว่าพ่อแม่ ไม่ใช่ป๊า – ม้า แบบที่คนจีนชอบเรียก

     ไอ้หนึ่งตอนนั้นที่น่าจะแค่ห้าหกขวบยิ้มร่า

     “หนึ่งว่ามันดูเท่!”

     …ไอ้เด็กน่ารักคนนั้นหายไปไหนแล้วหนอ

     ผมเหลือบสายตามองมัน แต่อีกคนกลับเลิกคิ้วทำหน้าหาเรื่อง “มองไร”

     “ให้มันน้อยๆ หน่อย” ผมเอานิ้วจิ้มหน้าผากมันด้วยความหงุดหงิด “ไปเที่ยวแล้วไปพูดแบบนี้กับชาวบ้านเขา มึงเนี่ยแหละจะโดนต่อยเอา”

     “ขี้บ่น” มันย่นจมูก เล่นเอาผมต้องบีบจมูกมันด้วยความหมั่นไส้อีกที

     “ก็หัดทำตัวดีๆ สักที”

     “สมัยก่อนเฮียไม่เห็นประคบประหงมหนึ่งเท่านี้เลย”

     “ก็ก่อนหน้านั้นมึงไม่ได้โดน...”

     ผมกลืนคำพูดที่จะพูดลงแทบจะไม่ทันจนต้องกัดลิ้นตัวเอง เกือบไปแล้ว... ถ้าเมื่อกี้ผมพูดมันออกมาต้องพังแน่ๆ

     หนึ่งมองหน้าผม แววตาสั่นไปเล็กน้อยทั้งๆ ที่ผมยังพูดมันไม่จบ ผมรู้ดี แม้ไม่จบประโยค... แต่มันเป็นการกวนตะกอนก้นแก้วให้ลอยขึ้นมาอีกครั้ง

     ความเงียบก่อตัวขึ้น แทรกซึมมาอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับความอึดอัด ผมคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่หนึ่งเป็นฝ่ายทำมันก่อน

     “ไปอาบน้ำไป๊” มันแกล้งไล่ผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

     ผมขยับปาก จะเอ่ยเอื้อนคำขอโทษแต่มันตัดบทเสียก่อน

     “ช่างเถอะ...ไม่ใช่ความผิดเฮียหรอก”

     พอเจอมันพูดอย่างนั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ จนหนึ่งสวมเสื้อที่ผมโยนให้และย้ำว่าให้ผมรีบไปอาบน้ำเสียทีผมจึงพาร่างตัวเองเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้

     เมื่อประตูปิดลงผมก็นึกอยากจะทำร้ายตัวเองสักที แต่จะทำให้หนึ่งได้ยินก็ไม่ได้ เลยได้แค่การกำมือจนข้อขาวเท่านั้นเอง ผมอยากจะสบถ อยากจะด่าตัวเอง อยากจะชกตัวเองสักร้อยครั้ง กับสิ่งที่ทำลงไป แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่พอ...และไม่มีวันพอ ถ้าหากผมพูดมันออกมาจนจบ

     ...ยามนี้แหละ ที่รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกิน


   
     ไอ้กริชสงบลงไปเยอะตลอดสัปดาห์นี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่ลูกปลาทำอะไรไปรึเปล่า แต่ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องไอ้หนึ่งกับเธอตรงๆ เพราะกลัวว่าจะถึงหูน้ากานดาเลยบอกไปว่ามีปัญหากัน และไอ้เด็กนั่นทำตัวนักเลงหัวไม้เป็นบ้า หล่อนเลยบอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้รีบติดต่อทันที และย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง

     ช่วงนี้ผมเริ่มเคยชินกับการที่ต้องไปส่งหนึ่ง หรือให้หนึ่งไปรอผมเข้าเรียน ขากลับก็ต้องไปรับมัน หรือมีมันมานั่งที่คณะ ผมคุ้นกับหน้าเพื่อนมันทุกคนแล้วและบางครั้งยังซื้อน้ำซื้ออะไรเลี้ยงด้วยซ้ำไป ตัวผมไม่ได้เล่าว่าเหตุใดจะต้องมาตามติดหนึ่งเป็นแฝดสยามเช่นนี้ แต่ดูเพื่อนๆ มันก็เข้าใจ ผมเลยคิดเอาเองว่าหนึ่งอาจจะบอกเพื่อนเรื่องแฟนมากปัญหาของมันไม่มากก็น้อย
           
     กลับกัน เพื่อนผมนี่แหละที่ทำตัวสู่รู้ไม่เลือกเวลา
   
     “มึงจะไม่เล่าจริงๆ ใช่ไหม”

     ผมขยับปากโดยไร้เสียง ด่ามันว่าเสือก แต่ดูมันจะไม่ยอมแพ้ในการเสนอหน้าเพื่อเค้นความลับ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความลับ แต่ไม่อยากจะบอกเรื่องหนึ่งกับคนปากสว่างของมัน

     “มีคนพูดกันให้แซ่ด” ภีมเอ่ยปากบ้าง ไอ้นี่ก็ดูดีกว่าไอ้กันต์นิดหน่อยถ้าจะเล่าให้ฟัง...แต่ยังไงก็ไม่อยากเล่าอยู่ดี “ว่ามึงไปแย่งแฟน น้องหนึ่งมาจากไอ้กริชมัน ก็เพิ่งรู้นะป้อง ว่ามึงเป็นเกย์”

     “กูไม่ได้แย่ง” เพื่อนสองคนทำหน้าแปลกใจ ผมเลยพูดต่อ “แล้วกูก็ไม่ได้เป็นชอบผู้ชายด้วย”

     ไอ้กันต์ทำเสียงฟึดฟัด “แล้วมันจะมีข่าวแบบนี้ได้ยังไงวะ”

     ผมไม่ตอบ แกล้งทำเป็นให้ความสนใจกับอาจารย์ตรงหน้าและมองนาฬิกา เมื่อไหร่จะจบคาบเสียทีผมจะได้ออกห่างจากเจ้าพวกนี้

     “เดี๋ยวนี้ล่ะไม่อยู่กับเพื่อนกับฝูง” กันต์พูดต่อ คงสกิลความปากมอมได้อย่างคงเส้นคงวาจนนึกสงสัยว่าผมทนคบกับมันจนถึงปีสามได้อย่างไร “สนใจแต่อยู่กับน้องกับนุ่ง... เทียวส่งเช้าเย็น”

     “กูไม่ได้อยากไปส่งมันขนาดนั้นหรอกนะ” ผมหันไปพูดกับมันบ้าง

     “เอ้า แล้วจะไปส่งทำไม”

     “ไม่เกี่ยวกับมึง”

     “ช่างมันเถอะไอ้กันต์ ป้องมันไม่อยากเล่าก็ปล่อยมันไป”

     ขอบคุณมากที่ช่วยทำตัวเป็นผู้เป็นคน ผมอดไม่ได้ที่จะขอบคุณไอ้ภีมในใจ ก่อนที่จะก้มลงจดเลกเชอร์ต่อ

     ช่วงนี้เริ่มรู้สึกหัวตันๆ อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีคนมาอยู่ร่วมกันในห้องอีกครั้ง และเป็นตัวปัญหาที่ต้องปิดไฟนอนจนมืดสนิทในขณะที่ผมต้องอ่านหนังสือในเวลาดึกด้วยหรือเปล่า ผมเลยจำต้องนอนเร็ว และตื่นมาสักตีสี่เพื่อมาอ่านหนังสือชดเชยแทน โดยที่ไอ้เด็กเจ้าปัญหานั้นไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว

     ประเด็นเรื่องนี้จบไปได้สักพัก จนจบคาบนั้น และพวกเราลงมากินข้าว โดยที่ผมสัมผัสได้ว่าผมเองก็เป็นเป้าสายตาเป็นพิเศษตลอดอาทิตย์นี้

     “เหมือนจู่ๆ ก็ได้เป็นคนดัง” ผมบ่นออกมานิดหน่อย

     “ใช่สิ ปกติมึงก็เบ้าหน้าไม่แย่ แต่ก็ดูจืด”

     ผมไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร ใช่ว่าไม่เคยมีคนมาสนใจบ้าง แต่ตัวเองก็ไม่มีอะไรมากนอกจากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยและกลับหอ ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมอะไรเยอะ มันเลยดูจืดเช่นที่ไอ้ภีมว่า

     “แต่ตอนนี้มึงไม่ได้ดังเพราะหน้ามึงนะจ๊ะ” ไอ้กันต์สวนกลับ “นี่เพราะวันนั้นไอ้กริชมันมีปัญหากับมึงกลางโรงอาหารนั่นแหละ แถมคู่นั้น... ใครๆ ก็รู้กันอยู่”

     ผมปล่อยให้คำพูดของไอ้กันต์ที่เหมาะกับการเป็นสำนักกรองข่าวแห่งชาติมากกว่าเป็นสัตวแพทย์ไหลผ่านหูไปเรื่อยขณะที่สายตาสอดส่องหาที่นั่ง และสอดส่องให้มั่นใจว่าผัวเจ้าปัญหาของหนึ่งไม่ได้อยู่แถวนี้

     “ดังเหรอวะ”

     “ก็ระดับนึงนะ... แต่ไม่ใช่แง่ดีเท่าไหร่” ไอ้กันต์พล่ามต่อ “ไอ้กริชมันมากปัญหาจะตาย ส่วนหนึ่งก็มีแฟนคลับอยู่บ้าง หน้าตาดีนี่นา”

     “ดีตรงไหน” ผมสวนกลับด้วยความหงุดหงิดใจ “แล้วมึงจะกินไหมข้าวน่ะ เลิกไปยุ่งเรื่องชาวบ้านสักทีเว้ย หาที่ๆ”

     ผมเห็นเพื่อนสองคนมองกันด้วยความงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ จังหวะนั้นเองที่มีกลุ่มหนึ่งลุกออกไป พวกผมเลยไปจับจองที่นั่งและเดินกันแยกย้ายออกไปหาอะไรกิน

     ดีที่พอกลับมานั่งกินข้าวด้วยกันมันเปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องแฟนของไอ้ภีมที่เป็นสาวรุ่นพี่โทรมากลางวงบอกว่าไอ้ภีมจำได้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร แล้วไอ้ภีมจำไม่ได้ เท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงด่าดังออกมาจากโทรศัพท์ทั้งๆ ที่โรงอาหารเสียงดังขนาดนี้ แล้วไอ้ภีมก็ต้องมานั่งคิดอีกว่าวันนี้คือวันอะไรของแฟนมัน เห็นแล้วรู้สึกสงสารระคนละเหี่ยใจยังไงชอบกล

     จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือผมสั่น จนผมต้องมองหน้าจอว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา

     ‘หนึ่ง’

     ผมกดรับสาย “ว่าไง”

     “วันนี้หนึ่งมีงานคณะอ่ะเฮีย ไม่ต้องมารับก็ได้นะ เดี๋ยวหนึ่งอยู่กับพวกโอ๊ตมัน”

     ผมผงะไปชั่วครู่ก่อนที่จะเอามือป้องโทรศัพท์เพื่อถามเพื่อนตรงหน้า “วันนี้เรามีแลปใช่หรือเปล่าวะ” และพวกมันพยักหน้าเป็นคำตอบ ผมเลยเอ่ยกับปลายสาย

     “รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวไปรับ”

     “หนึ่งกลัวงานไม่เสร็จแล้วเฮียต้องรอนะ”

     “เฮียมีแลป... ถ้าเสร็จก่อนก็กลับห้องไปเลยแล้วกัน แต่ให้ใครสักคนไปส่งด้วยล่ะ”

     “อ๋อ โอเคๆ”

     พอเห็นมันว่าง่ายแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย
   
     จากนั้นเราก็วางสายโดยไม่มีการล่ำลา ส่วนเพื่อนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันแทบจะชะโงกหน้ามาดูที่หน้าจอด้วยซ้ำ ไอ้กันต์ทำหน้าสนอกสนใจอย่างปิดไม่มิด

     “น้องหนึ่งเหรอวะ”

     ผมไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องพยักหน้าอยู่ดี ที่มันพูดแบบนี้ก็คงเห็นชื่อที่เมมไว้ในมือถือแล้วด้วยซ้ำ

     “โอ้โห... มีเรียกฮงเรียกเฮีย” อยากจับหัวมันลงบนชามราดหน้าจริงๆ “สรุปนี่มันยังไง”

     “นั่นสิ มันถึงขนาดต้องไปรับไปส่งเลยเหรอวะ” ไอ้ภีมเองก็ดูสนอกสนใจเหมือนกัน “เพราะแบบนี้ไงถึงโดนคนคิดว่าไปแย่งเขามา”

     ผมไม่ตอบอะไร... ถ้ามันเป็นอย่างที่ไอ้กันต์บอกว่าหนึ่งกับกริชเป็นคู่ที่ใครหลายคนรู้จักก็คงไม่แปลก เพื่อนสนิทมันก็คงรู้ลึกตื้นหนาบางว่าผมไม่ได้ไปแย่งมาจากไอ้กริชแต่กำลังให้ความช่วยเหลือ แต่พวกผู้คนที่ขี้เสือกก็คงไม่ได้รู้อะไรหรอก ยิ่งผมคอยไปรอมันที่คณะ ไปส่งตอนเช้า ไปรับตอนเย็น มันก็คงน่าสงสัยเหมือนกับผมกำลังเทียวเลี้ยวเทียวจีบมันอยู่จริงๆ

     “ลูกคนรู้จักแม่” ผมหาคำอธิบาย และนั่นเป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมา

     ไอ้กันต์ทำหน้าปูเลี่ยน “เฮ้ย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้ชายนะเว้ย หนึ่งเป็นเกย์ด้วยนะ มันก็ไม่จำเป็น...”

     “ตอนนี้น่ะจำเป็น”

     ผมกล่าวเสียงเรียบ เหมือนเพื่อนจะจับสัมผัสได้ว่าผมไม่ต้องการพูดอะไรไปมากกว่านี้ ไอ้กันต์เลยหัวเราะแห้งๆ และมีไอ้ภีมช่วยบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น เป็นอันจบประเด็นเรื่องนี้ไปอีกครั้ง



     แลปเลิกดึกกว่าที่คิด นักศึกษาบ่นเรื่องหิวกันระนาวเพราะตอนนี้ก็ล่อไปสองทุ่มแล้ว พอโทรไปหาหนึ่งมันก็ไม่รับ ผมจึงบอกลาเพื่อนและขับมอเตอร์ไซค์ไปที่คณะ ไม่เจอเด็กๆ ทำงานกันเท่าไหร่และไม่เห็นคนรู้จักของหนึ่ง เลยตัดสินใจโทรไปหาไอ้โอ๊ตแทน ไม่นานปลายสายก็กดรับ

     “โอ๊ต นี่พี่ป้องนะ”

     เหมือนปลายสายจะตกใจนิดหน่อย “ครับ มีอะไรเหรอ”

     “ทำงานกันอยู่ที่ไหนน่ะ โทรหาไอ้หนึ่งมันไม่รับ”

     “อ๋อ เสร็จตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วพี่” มันว่าแบบนั้น “ผมไปส่งมันที่คอนโดให้แล้ว ตอนนี้ผมอยู่บ้านแล้วอ่ะ”
   
     พอได้ยินเช่นนั้นผมก็รู้สึกวางใจขึ้นมา กล่าวขอบคุณโอ๊ตและวางสาย บิดมอเตอร์ไซค์ไปที่คอนโดโดยไม่ลืมที่จะซื้อน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยกลับไปสองถุง ยังดีที่อาหารเย็นมีมาม่ากับไข่อยู่ในตู้เย็น... ถ้าไอ้หนึ่งไม่กินเข้าไปแล้วน่ะนะ

     แต่พอขึ้นมาถึงห้อง ผมกลับต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นใครอยู่ในห้องเลยแม้แต่คนเดียว

     “หนึ่ง!” ผมเดินไปเคาะห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ พอเปิดไปก็พบว่าห้องน้ำยังไม่ได้ถูกใช้ด้วยซ้ำ

     ผิดปกติ นั่นเป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัว ผมเดินย้อนกลับมาและสังเกตได้ว่าไม่มีแม้แต่กระเป๋าเป้หรือกระดานไม้ที่หนึ่งพกไปไหนมาไหนด้วย หรือนั่นอาจจะแปลว่า หนึ่งยังไม่ได้กลับมาที่ห้องด้วยซ้ำ

     ผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ กุญแจรถ และกระเป๋าสตางค์ตัวเอง เดินลงไปข้างล่าง เอ่ยปากทักยามด้วยความร้อนรน

     “ลุงครับ เห็นน้องผมไหม ที่ไปมาด้วยกันบ่อยๆ”

     อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่ “วันนี้เหรอ?”

     “ครับ ที่เตี้ยกว่าผมหน่อยแล้วก็ผอมๆ” ผมพยายามบรรยายลักษณะของหนึ่งให้ได้มากที่สุด

     ลุงยามส่ายหน้า “ไม่นะ หลังจากออกไปกับน้องลุงก็ไม่เห็นแล้ว ยังไม่กลับมาเลยมั้ง”

     คำตอบนั้นทำเอาผมแทบจะสบถคำผรุสวาทออกมาต่อหน้า แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเอ่ยปากขอบคุณ โทรหาเบอร์ที่โทรครั้งล่าสุดอีกครั้ง

     “โอ๊ต เรามาส่งหนึ่งที่คอนโดเหรอ”

     “ก็ที่...” ปลายสายนิ่งไปชั่วครู่ “พะ พี่ป้อง... ผมไปถึงเซเว่นข้างหน้าแล้ว แล้วไอ้หนึ่งมันบอกให้กลับไปได้เลย...”

     ผมหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้ระเบิดออกมากับคำตอบนั้น ผมเข้าใจโอ๊ต มันก็คงคิดว่าหนึ่งเป็นผู้ชายและเซเว่นข้างหน้านี้เดินอีกสิบก้าวก็เป็นคอนโดผมแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหนึ่งพูดแบบนั้นแล้วมันกลับก็ไม่แปลก แต่... ให้ตายเถอะ ผมกัดฟันแน่น เอ่ยปากเสียงต่ำแต่ให้ชัดเจนที่สุด

     “ถามเพื่อนคนอื่นดูว่าเห็นหนึ่งไหม แล้วก็ถามด้วย มีใครเห็นไอ้กริชบ้าง มันอยู่ไหน”

     ออกคำสั่งเสร็จผมรีบตัดสาย กดโทรหาเบอร์ที่เมมไว้แต่ไม่คิดจะโทรอย่างของไอ้กริชมัน แต่ก็เท่านั้น... โทรศัพท์มีเสียงสัญญาณให้รอสายอยู่ไม่กี่วินาทีก็ถูกตัด พอผมกดโทรไปอีกรอบ ก็พบว่ามันคงปิดสัญญาณไปแล้ว

     ผมสบถออกมา เปลี่ยนมาโทรหาเบอร์พี่สาวตัวเอง โชคดีเหลือเกินที่หล่อนรับสายอย่างรวดเร็ว

     “ว่าไงป้อง”

     “เตรียมจัดการเรื่องไอ้กริชได้เลยพี่” ผมได้ยินปลายสายอุทานอย่างร้อนรนว่าเกิดอะไรขึ้น “ทางที่ดี เรียกอะไรสักอย่างมาที่คอนโดมันด้วย ผมจะไปดูที่นั่นก่อน เดี๋ยวผมส่งที่อยู่ไปให้...”

     “เรียกอะไรเล่า!” หล่อนเอ่ยปากอย่างร้อนรน

     “ไม่รถตำรวจก็ รถพยาบาลแล้วกัน”

     “ป้อง! ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น”

     “หนึ่งหายตัวไป ถ้าป้องไปที่นั่นแล้วไม่เจอ... ให้พ่อช่วยจัดการตามหาให้หน่อย”





----------------------------
ชอบไม่ชอบบอกได้นะคะ  :z2:
เจอกันในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ

ปล. ขอบคุณ คุณ treenature มากที่บอกเรื่องคำผิดนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 6 - เล่นไม่ซื่อ (26.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 26-03-2016 21:01:58
กรี๊ดดดด ยังไงต่อ ยังไง ยังไง ลุ้น แล้วเรื่องฝังใจในอดีตคืออะไร  :katai1: ทิ้งสองปมเลยนะตอนนี้

เจอที่ผิดจ้า สิ่งเล่านั้น >> สิ่งเหล่านั้น  และก็ต้องแก้ ง่า >> ว่า

แต่ลืมไปแล้วว่าตรงไหน  :mew5:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 6 - เล่นไม่ซื่อ (26.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 27-03-2016 12:18:36
หนึ่งอย่าเป็นอะไรนะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 6 - เล่นไม่ซื่อ (26.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 29-03-2016 00:19:12
ดื้อ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 7 - ฮีโร่ (29.03.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 29-03-2016 22:13:13
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 7
‘ฮีโร่’




     ผมกระวนกระวาย เริ่มรู้สึกโทสะมาแทนที่สติมากเกินไปจนต้องสูดหายใจลึกๆ ขณะที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปที่คอนโดที่เคยไปเอาของกับไอ้หนึ่งแต่มือก็ยังบิดคันเร่งจนน่าหวาดเสียว รู้ดีอยู่แก่ใจว่าการที่สรุปความเรื่องไอ้กริชเป็นคนเอาไปค่อนข้างจะมุทะลุ แต่หนึ่งไม่ได้มีปัญหากับใครที่ไหน

     ตอนนี้เป็นผมเองที่อยากให้มันเผยนิสัยดื้อ อาจจะไปกินเหล้าคนเดียว หรือไปหาเพื่อนที่ไม่ใช่เจ้าโอ๊ต อะไรก็ได้ ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอ้กริชมัน
   
     “ลุงๆ”

     ลุงยามที่ถูกเรียกเลิกคิ้ว เห็นผมท่าทีรีบร้อนเดินไปหา “ไอ้นี่มันกลับมารึยัง” เปิดรูปหนึ่งกับกริชในโทรศัพท์ที่ขอให้โอ๊ตส่งให้แกดู

     ลุงแกทำท่าทางอึกอัก “เพื่อนเหรอ”

     “ครับ”

     ผมอ้างเป็นเพื่อนมันไปก่อนเพื่อความสะดวก ลุงทำหน้าตาเหมือนแปลกใจนิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะผมใจร้อนและดูลนลานผิดสังเกตจนผมต้องอ้างเพิ่มอย่างเสียไม่ได้

     “เนี่ย ผมมาทำงานที่นี่แล้วลืมกุญแจห้องไว้ ไม่รู้อยู่กับมันรึเปล่า ถ้าไม่อย่างงั้นผมจะได้ไปหาที่อื่นต่อ”

     พอผมพูดมากเข้าลุงแกก็พยักหน้าเออๆ ออๆ

     เหมือนคิดผิดนิดหน่อยที่เลือกจะถามลุงยาม และผมเพิ่งมาตระหนักได้ว่าทำไมไม่ถามวะว่ากลับมาด้วยกันหรือเปล่า ยังดีที่แถวๆ นี้ยังพอมีนักศึกษาเดินขึ้นลงอยู่บ้าง

     ผมนึกดีใจที่คอนโดแห่งนี้ไม่ได้มีคีย์การ์ดหลายๆ ชั้น ตอนที่ลิฟต์มาถึงชั้นที่หนึ่งเคยมาเอาห้องของไอ้กริช พี่ลูกปลาก็โทรมาอีกครั้ง

     “ครับ” ผมกดรับสาย เดินไปที่ห้องนั้นไปด้วย

     “เช็ก GPS ไม่ได้แฮะ ติดต่อพ่อของไอ้เด็กนั่นได้แล้วนะ เห็นบอกว่าจะรีบไป น่าจะไปถึงภายในสิบนาที” หล่อนว่าเช่นนั้น “พ่อก็ส่งตำรวจไปแล้วด้วยนะ... คงจะมาถึงอีกไม่นาน”

     “ตอนนี้ทางนั้นว่ายังไงครับ”

     “คงไม่เชื่อว่าลูกชายจะทำอะไรล่ะมั้ง” ปลายสายตอบมาเสียงเคร่งเครียด “อยู่ที่ไหนแล้ว”

     “คอนโดมัน กำลังจะเคาะประตู”

     “ถ่วงเวลาไว้ดีกว่า ตำรวจกำลังจะไป ให้ทางนั้นจัดการน่าจะดีกว่านะ”

     “ถ้าผมเจอหนึ่งในนั้น...”

     “ปกป้อง” น้อยครั้งนักที่จะได้ยินพี่สาวเรียกชื่อเต็มๆ ของผม “หนึ่งก็เป็นน้องเป็นนุ่ง ที่บ้านถือเป็นลูกหลาน ถ้าเกิดอะไรขึ้นทางเราก็เอาตาย แกมันเป็นแค่เด็ก”

     “ไม่!” ผมแทบตวาดใส่ปลายสาย แม้รู้ดีว่าการใช้อารมณ์นั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นเด็ก

     สองครั้งสองครา...

     ตั้งสองครั้งสองคราที่ผมเป็นเด็ก ไม่รู้ถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือที่หนึ่งให้มา เพราะไม่สังเกต ไม่สนใจ เพราะแบบนั้นมันถึง...
   
     ผมรู้ตัวว่าตัวเองกำลังโกรธจนตัวสั่น ห้ามไม่ให้ตัวเองโยนโทรศัพท์ในมือออกไปนอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงพี่ลูกปลาถอนหายใจแผ่วเบาออกมาตามสาย

     “จะทำอะไร คิดถึงหน้าพ่อแม่ด้วย”

     “ครับ” ผมตอบรับและตัดสาย

     ผมมองป้ายเลขห้องที่หนึ่งเคยอาศัยอยู่กับไอ้เวรนั่น จัดการเคาะประตูอยู่พักหนึ่งแต่พบว่าข้างในกลับเงียบกริบ จนต้องลงแรงเพิ่มขึ้น

     “อะไรวะ!” มีเสียงสบถดังออกมาจากในห้อง ก่อนที่ประตูจะเปิดออก

     กริชอยู่ในสภาพกางเกงนักศึกษา ถอดเสื้อไว้ ดูมันตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมแต่ก็ยังกอดอกพูดจายียวน

     “มีอะไร”

     “หนึ่งอยู่ไหน” ผมไม่รีรอที่จะเอ่ยปากถาม

     มันเลิกคิ้ว “ไม่รู้สิ”

     “ขอเข้าไปดูในห้องหน่อย”   

     “อย่าเสือก” อีกฝ่ายเอามือขวางไว้โดยการตบกำแพงอย่างแรง แค่มือมันคนเดียวก็เอาอยู่เพราะทางเข้าเป็นเพียงทางเล็กๆ เท่านั้น

     ผมหรี่ตา มองชั้นวางรองเท้ากับโต๊ะด้านหลังนั่น คราวก่อนที่มาเห็นสภาพดูไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่มีร่องรอยของการอาละวาด

     หรือหนึ่งจะไม่ได้มาที่นี่จริงๆ?

     นั่นเป็นความคิดแรก แต่วินาทีถัดมาผมก็รู้สึกว่าตนคิดตื้นเกิน บางทีหนึ่งอาจจะมา แต่มันเข้าห้องมาอย่างไม่ได้ขัดขืนก็เป็นได้ วันที่ผมรู้ว่าหนึ่ง... ถ้าหากผมไม่ไปรู้โดยบังเอิญ หนึ่งก็คงปล่อยผ่านและกลับมาอยู่กับมัน ถ้าหนึ่งทำแบบนั้นล่ะ... แม้ว่ามันจะไม่เต็มใจแต่ถ้าหากมันทำ...

     ผมสูดหายใจลึก ปัดความรู้สึกเหล่านั้นออกจากหัว ผมปล่อยผ่านไม่ได้...อย่างไรก็ไม่ได้

     “หนึ่งอยู่ไหน” ผมย้ำคำถามเดิมอีกที “มันอยู่กับมึงหรือเปล่า”

     “โอ๊ย เป็นบ้าอะไรนักหนา ก็บอกว่าไม่รู้!” มันเริ่มตวาดเสียงดัง

     ผมมองอีกฝ่าย พยายามจะฝ่าฝืนเข้าไปในห้องแต่เหมือนมันจะเหลืออด หลังของผมกระแทกกับกำแพง มือมันขยุ้มอยู่ที่คอเสื้อนักศึกษา มองผมอย่างโมโหร้าย

     “ถ้ามันอยู่กับกูมึงจะทำไม...”

     ผมเอื้อมมือไปกำมือมันกลับ “กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่”

     สิ้นคำผมก็รู้สึกจุกที่ท้อง หมัดของกริชคราวนี้หนักกว่าตอนกระแทกหน้าผมสองครั้งที่ผ่านมาเสียอีก ตัวของผมกระแทกกับกำแพงเสียงดังพอดู ไอ้กริชตามมาคร่อมผม หมัดกระแทกหน้า ในขณะที่ผมเองก็พยายามต่อสู้กลับทั้งที่รู้ตัวดีว่าตัวเองไร้ทักษะการต่อสู้มากขนาดไหน เสียงของพวกเราดังครึกโครมอยู่พอควรเลยเป็นเหตุให้มีผู้คนมาเปิดประตูดู แต่แถวๆ นั้นมีแต่ผู้หญิงเลยไม่มีใครกล้าเข้ามา

     เพราะว่าทักษะและแรงกายของผมเสียเปรียบมันอยู่มากโข กลายเป็นไอ้กริชเป็นฝ่ายทำร้ายผมอยู่ฝ่ายเดียวจนผมรู้สึกว่าข้างในปากน่าจะมีเลือดออก

     จังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบเห็นว่ามีตำรวจเดินขึ้นมาที่ชั้นนี้จากบันได
   
     “หยุด! หยุด!”

     กริชสบถ “ไอ้เวรเอ๊ย!” ต่อยหน้าผมอีกหมัดและรีบกลับเข้าไปในห้อง

     ผมค่อยๆ ดันกายขึ้น พลเมืองดีที่ก่อนหน้านี้อยู่ในไทยมุงเดินเข้ามาประคอง ถามว่าเป็นอะไรหรือไม่แต่ผมทำได้เพียงขอบคุณสั้นๆ และเดินไปหาตำรวจ ครั้งนี้ไม่ใช่คนคุ้นหน้าคุ้นตา แต่พ่อน่าจะเป็นคนช่วยให้เลยสามารถจัดการได้เร็วขนาดนี้

     “ได้รับแจ้งว่ามีการทะเลาะวิวาทครับ” ตำรวจสองนายมองหน้าผมขึงขัง “ไม่ทราบว่าคนรอบข้างนี้ได้ยินหรือไม่”

     ผมฟังตำรวจช่วยสอบถามจากคนใกล้ๆ นี้จนนึกร้อนใจ จะบุกเข้าไปก็โดนนายตำรวจรั้งไว้ ประตูก็ล็อก ไอ้กริชอารมณ์ร้ายขนาดนั้นจะทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่แล้วก็มีคนหนึ่งที่เป็นคนพักข้างๆ ห้องไอ้กริชเอ่ยขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     “ก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมง ห้องข้างๆ มีเสียงเหมือนมีการทะเลาะกันค่ะ” หญิงสาวน่าจะวัยยี่สิบต้นๆ พูดขึ้นเช่นนั้น “แต่สักพักก็เงียบไป ห้องนี้บางทีก็ได้ยินเสียงโวยวายอยู่แล้วเลยปล่อยไว้เฉยๆ”

     “ใครแจ้งความครับ”

     ไม่มีผู้ใดตอบรับ... แต่แหงล่ะ ก็คนแจ้งความไม่ได้อยู่แถวๆ นี้เสียหน่อย

     พอเป็นเช่นนี้นายตำรวจก็ตัดสินใจแจ้งไปข้างล่างเพื่อให้เอากุญแจขึ้นมาให้โดยด่วน แต่ผมก็ยังร้อนใจเมื่อจู่ๆ เกิดได้ยินเสียงราวกับขว้างปาข้าวของจากข้างใน

     พอเห็นท่าไม่ดี และเสียงเหล่านั้นดังไม่หยุดหย่อนก็เลยจัดการทุบจนกลอนประตูหลุดออก แล้วจึงบุกเข้าไป แม้จะโดนย้ำเตือนให้อยู่ข้างนอกแต่ผมก็เข้าไปด้วยความมุทะลุ ประตูห้องนอนยังถูกล็อกอีกชั้น แม้จะถูกตำรวจตะโกนว่าห้าม แต่ผมก็ยังไร้สติถึงขนาดที่ทุบกลอนประตูนั้นให้พังด้วยแจกันใกล้ๆ นั่น

     ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมสติแตกยิ่งกว่าเดิม

     ผมคว้าโคมไฟแถวเตียงนอนฟาดไปบนศีรษะของไอ้กริชที่กำลังคร่อมอยู่บนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใด มันกลิ้งไปอีกทางจนตกเตียง

     แต่ผมไม่สนใจ เหมือนกับมีแรงจากไหนไม่รู้ให้ตะเกียกตะกายขึ้นไปคร่อมบนตัวมัน ผมเหมือนไร้สติโดยสิ้นเชิงจนมองเห็นว่ามันไม่มีแรงจะสู้ผมแล้ว ผมต่อยหน้ามันจนนายตำรวจมาดึงตัวผมออก กระนั้นผมก็ยังขืนตัวพยายามจะลงแรงกับมัน ผมอยากจะฆ่ามัน ทำให้มันทรมาน ทุรนทุราย แต่นายตำรวจและเสริมด้วยยามที่มาตอนไหนก็ไม่รู้มาแบกหามมันออกไปพร้อมทั้งใส่กุญแจมือ ก่อนที่ใครอีกคนจะหาผ้ามาคลุมกายให้หนึ่ง

     ผมยืนนิ่ง มองภาพคนแบกมันออกไป ก้มมองมือตัวเองที่มีเลือดไหลจากหลังมือ สลับกับมองหนึ่ง

     เพิ่งได้สังเกตตอนนี้เองว่าหนึ่งถูกมัดไว้กับเตียง เนื้อตัวช้ำเป็นจ้ำทั้งบนร่างกายและใบหน้า ผิวเนียนของมันกลับมีแผลจากการถูกทุบตี หนักกว่านั้นคือมันน่าจะถูกมัดปากไว้ด้วยเพราะรอยเป็นเส้นจากข้างปาก สิ่งที่ผมคิดมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่เห็นเศษผ้าในมือของยามคนหนึ่งที่กำลังช่วยหนึ่งอยู่

     “เฮียป้อง...”

     ผมมองหน้ามันที่เรียกผมเสียงแหบแห้ง มือยังถูกยามเอากรรไกรตัดเชือกที่มัดกับหัวเตียง ดวงตาแดงก่ำ หน้าเปรอะไปด้วยรอยน้ำตา

     ผมมาไม่ทันอีกแล้วใช่ไหม

     “เฮีย...” พอเชือกถูกตัดแล้วมันก็เดินมาหาผม “หนึ่งไม่เป็นไรนะ”

     ผมเม้มริมฝีปากแน่น มองเนื้อตัวมัน คำว่าไม่เป็นไรมันช่างห่างไกลเหลือเกิน

     หนึ่งค่อยๆ วาดวงแขนลงบนเอวผม กอดผมอย่างแผ่วเบาโดยมีเสียงสะอึกสะอื้นของอีกฝ่ายขณะที่มันกดศีรษะลงบนหัวไหล่ของผม แรงกอดค่อยๆ เพิ่มขึ้น

     ผมยกมือของตนเองที่เปื้อนเลือดขึ้น หมายจะโอบตัวมันไว้แต่สุดท้ายก็ลดมือลง ปล่อยให้หนึ่งกอดผมไว้อย่างนั้น สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจและผมทำได้เพียงแค่พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา

     “...เฮียขอโทษ...”

     ขอโทษที่มาไม่ทัน

     ขอโทษที่ปกป้องไม่ได้

     ขอโทษที่ต้องทำให้เจ็บตัว

    แล้วแบบนี้... ผมจะมีหน้าไปกอดมันไว้ได้ยังไง



     หนึ่งถูกส่งโรงพยาบาลโดยมีผมไปด้วย สักพักพี่ลูกปลาก็ตามมาที่โรงพยาบาล บอกว่าพ่อกับแม่ไปที่โรงพักเพื่อคุยกับครอบครัวมหาฆนรุจของไอ้เวรนั่น

     คดีเก่าๆ ของไอ้กริชที่มี รวมถึงเรื่องครับครัวหนีภาษีก็มากพอที่จะให้พ่อผมเร่งเรื่องให้เดินเร็วขึ้นได้หลังจากหยุดมาร่วมสองปี จิตอาสาเจ้านั่นก็ไม่ได้ทำ โทษก็ยังไม่ได้รับ แต่ครั้งนี้หนึ่งตัดสินใจไม่ฟ้อง บอกว่าไม่อยากให้เรื่องถึงน้ากานดา เพราะฉะนั้นทางนี้เลยยื่นเงื่อนไขให้ว่าเจ้าเด็กนั่นต้องไม่มายุ่งกับหนึ่งอีก เพราะหลักฐานอะไรยังมีอยู่ชัดเจน ทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและการกระทำชำเรา

     นอกจากนี้ พ่อแจ้งว่าไอ้ชาติชั่วนั่นยังพยายามอัดคลิปไว้ด้วย คงเผื่อว่าจะแบล็กเมล์ แต่โชคดีที่มันถูกอัดไว้เฉพาะตอนหนึ่งยังหลับอยู่และไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น มองจากมุมกล้องน่าจะอยู่บริเวณปลายเตียง ฟังเช่นนั้นแล้วผมอยากจะบุกเอาเลือดในหัวของมันออกอีกสักรอบ

     หนึ่งหลับไปแล้ว เราลังเลเป็นอย่างมากว่าจะแจ้งน้ากานดาหรือไม่หลังจากที่เรื่องจบ

     “ฝั่งนั้นบอกว่าจะดรอปเรียนจากที่นี่ด้วย เพราะยังไงก็จะโดนรีไทร์อยู่แล้ว” แม่ของผมบอกแบบนั้น “โอ๊ย ตาย... ทำไมเด็กคนนี้ต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ซ้ำๆ ด้วย”

     พ่อตีไหล่แม่ไปหนึ่งที คงกลัวว่าผมจะรู้สึกแย่ หรือหนึ่งจะตื่นขึ้นมาเพราะแม่ไม่ใช่คนพูดเสียงเบาเลย แต่พอมองคนบนเตียงที่นอนหลับหายใจอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย...เพียงนิดเดียวเท่านั้น

     “ไม่เป็นไรหรอกป้อง” ผมได้ยินพี่ลูกปลาพูดคำนี้มาเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ “หนึ่งยังไม่ได้โดนทำอะไรมากกว่านี้เสียหน่อย”

     ริมฝีปากผมบดเข้าหากัน ก้มมองมือของตัวเองที่กำแน่นจนข้อขาว

     จริงอยู่หนึ่งไม่ได้โดนทำอะไรมากกว่านี้ มันยืนยันด้วยตัวเองว่ามีแค่การทำร้ายร่างกาย ไม่มีการบังคับให้ใช้ปากหรือว่าสอดใสเข้ามาในร่างกาย แต่หลังจากนั้นก็ไม่แน่ ถ้าหากผมไปช้ากว่านี้สักชั่วโมง ผมไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ตอนที่บุกเข้าไปในห้องเห็นไอ้กริชคร่อมหนึ่งไว้ ก็ดูเหมือนมันคงพยายามขู่หนึ่งด้วยเรื่องคลิปอยู่

     ใบหน้าของหนึ่งไม่ได้บวมจัดแต่ปากก็แตกไปไม่ใช่น้อย แก้มมีรอยตบนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับบริเวณลำตัวหรือช่วงขาก็ถือว่ายังน้อย

     “แล้วจะเอายังไง” พ่อของผมพูดขึ้นมาบ้าง เสียงยังน่าเกรงขามเหมาะสมกับตำแหน่งนายพลเหมือนเคย ท่านมองคนที่นอนบนเตียง “จะไม่บอกแม่เขาหรือ ยังไงก็ปิดได้ไม่ตลอดหรอก แม่เขามีสิทธิ์ได้รู้”

     ผมถอนหายใจ “รอหนึ่งตื่นมาแล้วค่อยถามได้ไหมครับ มันน่าจะมีทางที่ดีกว่านี้ หนึ่งคงไม่อยากให้น้ากานดารู้เรื่อง... คบผู้ชาย” คำสุดท้ายผมเอ่ยอย่างแผ่วเบา

     ทุกคนทำสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งคนที่รู้เรื่องแล้วอย่างพี่ลูกปลาก็ตามที วันนั้นหลังจากที่พี่แกมาส่งพวกผม ผมก็เล่าเรื่องไปไว้บ้าง ไม่ได้เจาะรายละเอียดอะไรแต่คิดว่าหล่อนคงพอจับใจความและเอามาปะติดปะต่อกันได้

     บ้านผมเห็นหนึ่งมาตั้งแต่ยังเด็ก มองเป็นลูกเป็นหลาน ให้การช่วยเหลือหนึ่งไว้มาก ช่วงที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แรกๆ น้ากานดาก็มาอยู่ที่บ้านด้วยราวเดือน – สองเดือน ตอนนั้นหนึ่งเพิ่งจะป. สี่เองด้วยซ้ำ ถึงย้ายออกไปแล้วแต่แม่ก็ยังติดต่อกับน้ากานดาสม่ำเสมอ มัธยมมันก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน ถึงผมจะห่างมันไปบ้าง แต่ที่บ้านก็สานสัมพันธ์กันเสมอมา เจอเรื่องแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องรุนแรง

     พอตกลงกันได้แล้ว พ่อ แม่และพี่สาวของผมตอนแรกก็บอกจะอยู่เฝ้าไข้ แต่สุดท้ายก็ยอมให้จ้างพยาบาลส่วนตัวเสียหน่อยเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงกลับบ้าน

     “ป้องกลับไปนอนที่หอไม่ดีกว่าหรือ”

     ผมส่ายหน้า ได้ยินแม่บ่นว่าดื้อ “ดื้อเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง”

     ในใจผมร้องค้านว่าหนึ่งไม่ใช่น้องเสียหน่อย อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่เรื่องที่โดนด่าว่าดื้อนั้น... ผมรู้ตัวดีว่าใช่ ถึงผมจะชอบด่ามันว่าดื้อ แต่ผมก็รู้ดีว่าตัวเองก็ดื้อไปไม่น้อยกว่ามัน เพียงแต่สถานะผมมันไม่สามารถแสดงออกเป็นเด็กๆ ได้ก็เท่านั้น

     คืนนั้นผมนอนเฝ้าหนึ่งที่ข้างเตียง โชคดีที่เลือกห้องเดี่ยวเลยลุกนั้นสะดวก พอเกิดเรื่องกับหนึ่งทีไร ผมเองก็นึกขอบคุณที่ตัวเองเกิดมาในบ้านที่ทั้งมีเส้นสายและมีธุรกิจที่ช่วยให้มีหน้ามีตา ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

     ตอนเกือบรุ่งสาง หนึ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้จนตัวงอ ผมที่นอนอยู่ข้างๆ ยังนอนหลับไปไม่ทันไรก็ได้แต่ตื่นขึ้นมาลูบศีรษะของอีกฝ่ายจนสงบลงและหลับไปอีกครั้ง ในขณะที่ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้ลงอีกแล้ว ผมได้แต่มองร่างของมัน บอบบางราวกับพร้อมจะแหลกสลายไปตรงหน้า

     ผมเอื้อมมือไปสัมผัสปลายนิ้วมันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นยามที่ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถปกป้องหนึ่งได้อีกแล้ว...เป็นครั้งที่สาม

     ผมได้ยินเสียงมันในวัยเด็ก

     “ป้าเกดตั้งชื่อเฮียดีจัง” ตอนนั้นมันน่าจะยังแค่หกขวบ หน้าตายังมอมแมมแต่ยิ้มให้ผมอย่างใสซื่อบริสุทธิ์

     “ทำไมหรือ”

     “เฮียปกป้อง... ปกป้องหนึ่งได้เหมือนฮีโร่เลยจริงๆ”

     “เฮียขอโทษ”

     …เหมือนฮีโร่อะไรกัน... ผมมันก็แค่ไอ้งั่งคนหนึ่งที่ปกป้องมันไม่ได้ด้วยซ้ำ...



--------------------------
ขอโทษที่มาช้าค่ะ ไปงานหนังสือมา
(แอบอู้ ฮาาาา)
คลายไปหนึ่งปมเนอะ #กอด

เจอกันที่แท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ ชอบไม่ชอบบอกได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 7 - ฮีโร่ (29.03.2016) - Pg. 1
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-03-2016 23:09:59
ดีที่ทัน
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 7 - ฮีโร่ (29.03.2016) - Pg. 1
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 29-03-2016 23:26:04
สงสารหนึ่งมาก เปราะบางและบอบช้ำ

ฉากที่ปกป้องไม่ยอมยกมือกอด เพราะปกป้องเอาไว้ไม่ได้ นี่บีบหัวใจค่ะ

จริงๆก็พอจะเดาทิศทางของตอนนี้ได้บ้าง  แต่ก็ยังเสียใจกับหนึ่งอยู่ดี อ่านไปก็ นึกว่า "ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม ไม่อยากให้หนึ่งเจออะไรแบบนี้เลย"

ไหนคือคลายปม ยางงงงงเลย เหมือนมาเติมถ่านเติมไฟให้อยากรู้เข้าไปอีก  ย้อนเรื่องในอดีตให้ฟังอีกสักนิดได้ไหมคะ แต่ก็ไม่อยากให้น้องหนึ่งโดนอะไรเลย เบาๆน้า ฮือ

#ห้ามเอ็นเอ็นโหดร้ายกับน้องหนึ่งนะ

เจอคำผิดค่ะ
ครับครัว แก้เป็น ครอบครัว
สอดใส แก้เป็น สอดใส่
โชคดีที่เลือกห้องเดี่ยวเลยลุกนั้นสะดวก  แก้เป็น ลุกนั่ง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 7 - ฮีโร่ (29.03.2016) - Pg. 1
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-03-2016 23:38:22
สงสารหนึ่ง  :mew2: ปกป้องก็ช่วยหนึ่งที่สุดเต็มที่
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 7 - ฮีโร่ (29.03.2016) - Pg. 1
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 30-03-2016 12:53:08
พี่ปกป้องแมนมากขั้นสุดแล้วค่ะ ไม่โทษตัวเองนะคะ นี่ก็ดีที่สุดที่จะทำได้แล้ว
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 8 - แผลในอดีต (31.03.2016) - Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 31-03-2016 21:11:56
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 8
‘แผลในอดีต’



     ตอนเด็กๆ ผมเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น

     ผมมีพ่อมีแม่ที่พวกท่านมีเวลาให้ ตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งมากที่พวกเราไม่ได้ทานอาหารเช้าด้วยกัน แม้ว่าอาหารเย็นอาจจะมีสมาชิกในบ้านนั่งกันไม่ครบทุกคน แต่ทุกๆ เช้า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร หรือพ่อแม่ทำงานหนักแค่ไหน พวกท่านจะตื่นมาทานอาหารกับผมและพี่ลูกปลาเสมอ พอวันเสาร์พ่อแม่ก็จะพาเราสองพี่น้องไปเดินห้างเพื่อซื้อของสำหรับทำอาหารมื้อเย็น เป็นมื้อเดียวของสัปดาห์ที่แม่จะลงมือทำเองโดยมีพี่ลูกปลาเป็นลูกมือ ส่วนผมกับพ่อจะไปเล่นเทนนิสกันที่คอร์ดแถวๆ บ้าน ส่วนวันอาทิตย์ เป็นวันเดียวที่พวกเราจะตื่นสายหน่อย จากนั้นก็จะหาอะไรทำกันที่บ้าน อาจจะเป็นการดูหนัง ช่วยพ่อทำสวน หรือบางวันก็จะช่วยป้านก ป้าแม่บ้านทำขนมสูตรใหม่ที่แม่สนใจ

     พอมานั่งคิดดูแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองในวัยเด็กช่างวิเศษเสียนี่กระไร เงินทองก็มี ของเล่นก็มี พ่อแม่ก็มี วันไหนพวกท่านยุ่งๆ ผมก็ยังมีพี่ลูกปลากับป้านกอยู่ที่บ้าน

     ช่วงปิดเทอม แม่จะให้ผมกับพี่สาวผลัดกันเลือกว่าจะไปพักโรงแรมหรือรีสอร์ทในเครือสักอาทิตย์ เป็นอาทิตย์ที่พวกท่านจะลางานยาว

     ปิดเทอมตอนผมเก้าขวบ ครั้งนั้นเราไปรีสอร์ทแห่งเล็กที่สร้างเป็นที่แรกๆ ตั้งแต่สมัยคุณตา เพราะว่าค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว ล้อมรอบด้วยไร่สัปปะรดและไม่ใช่หน้าเทศกาล แถมยังมีบ้านเพียงห้าหกหลัง ครอบครัวเราเลยเหมือนได้ยึดครองที่นั่นเลยทีเดียว

     ผมรู้จักกับหนึ่งในสัปดาห์นั้น

     ที่รีสอร์ทนั่นมีบ้านคนงานทำไร่สัปปะรดอยู่ไม่กี่หลัง ไม่มีเด็ก หนึ่งเป็นเด็กรูปร่างแคระแกน เป็นลูกชายของน้ากานดาที่เป็นทั้งแม่ครัวและคนดูแลรีสอร์ทกับลุงวุฒิปกติมักจะอยู่ที่ไร่ แต่ผมไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่นัก

     วันแรกที่เจอหนึ่ง หนึ่งชะเง้อมองผมสองพี่น้องอยู่ที่ริมกำแพง แต่พอผมเดินเข้าไปหาหนึ่งกลับวิ่งหนี จนผมต้องไปจูงมือให้มาเล่นด้วยกัน

     ตอนนั้นพี่ลูกปลาอยู่มัธยมปลายแล้ว เขาไม่สนหรอกว่าพวกเด็กผู้ชายจะเล่นอะไรกัน และผมก็เบื่อๆ เรื่องที่ไม่มีเพื่อนเล่นพอดีเลยไปนั่งคุยกับเจ้าเด็กนั่น

     แรกๆ หนึ่งก็ดูขี้อาย แต่พอมีโอกาสได้พูด มันก็พูดไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย

     “ไปเล่นกับน้องก็ดีนะ ปิดเทอมน้องก็ไม่มีอะไรทำนั่นแหละ ก็เพื่อนที่โรงเรียนอยู่ที่เมืองหมด”

     แม่บอกกับผมแบบนั้น วันต่อมาผมก็เลยไปชวนหนึ่งเล่นอีก คราวนี้เราไปเล่นน้ำแถวๆ แม่น้ำแถวนั้น หนึ่งร้องงอแงบอกว่าให้ผมลงไปเล่นน้ำด้วย แต่ผมจำได้ว่าแม่เคยบอกว่าถ้าจะเล่นน้ำ ให้ชวนพี่ลูกปลาไปด้วย ผมเลยไปตามพี่ลูกปลามาเฝ้าพวกเราให้หน่อย

     พี่สาวผมก็เดินมาแต่โดยดี แต่พอเจ้าหนึ่งถอดเสื้อจะลงน้ำพร้อมกับผม ผมถึงเห็นรอยด่างพร้อยบนร่างกายผอมแห้งของมัน ทั้งเขียวช้ำ และมีรอยที่ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นรอยบุหรี่จี้ ตอนแรกผมไม่รู้อะไร... ไม่เข้าใจถึงความหมายของรอยเหล่านั้น

     หลังจากเล่นน้ำเสร็จ พี่ลูกปลาก็บอกว่าเราควรกลับไปกินข้าว

     “หนึ่งไม่อยากกลับบ้าน”

     ตอนนั้นผมเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมายของหนึ่ง แต่หนึ่งก็ว่าง่าย ไปรอน้ากานดาทำอาหารให้พวกเราในครัวโดยไม่บ่นอะไรอีกนอกจากคำนั้น

     หลังจากมื้อเย็นเสร็จ ผมเห็นพี่ลูกปลาคุยกับพ่อแม่หน้าตาเคร่งเครียด

     “ปลาเห็นจริงๆ นะแม่ น้องรอยช้ำเยอะมาก ดูก็รู้ว่าจงใจ มีรอยบุหรี่จี้ด้วย... น้องอาจจะโดนทารุณก็ได้”

     ผมไม่เข้าใจคำว่า ‘ทารุณ’ เท่าไหร่นัก

     จำได้ว่าหลังจากนั้น แม่ไปคุยอะไรสักอย่างกับน้ากานดาแล้วน้ากานดาร้องไห้ หนึ่งมานอนกับผมจนหมดสัปดาห์แสนสุขนั่น ลุงวุฒิเคยมารับหนึ่งที่บ้าน แต่โดนพ่อผมบอกว่าอยากให้เด็กๆ เล่นกัน ลุงวุฒิเลยกลับไปด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง

     หนึ่งยิ้มตลอดจนผมกลับกรุงเทพฯ แต่พอวันสุดท้ายมันก็ร้องไห้โฮ

     “เฮียไม่กลับได้ไหม” มันว่าแทบไม่ได้ศัพท์เพราะเอาแต่สะอึกสะอื้น

     แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่สามารถอยู่กับหนึ่งตลอดไปได้ แม่กับพ่อไปคุยอะไรสักอย่างกับน้ากานดาสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่จะขึ้นรถกลับบ้าน

     ผมจำได้ว่าหนึ่งแทบจะงอแงกลับบ้านไปกับผมจนลุงวุฒิตีมันต่อหน้าพวกเรา

     แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตอนเด็กๆ ผมร้องไห้ แม่ก็ตีผมต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน จนผมมารู้ทีหลังว่า อา... มันเป็นเรื่องแปลกสินะ เพราะหนึ่งโดนตีเป็นประจำ

     ปิดเทอมครั้งต่อจากนั้น พวกเราก็ไปกันที่เดิม เป็นครั้งแรกที่เราไปที่เดิมสองครั้งติดต่อกัน แถมคราวนี้ยังอยู่เป็นสิบวันอีกต่างหาก

     หนึ่งยังเป็นเด็กแคระแกน มีรอยฟกช้ำเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เราแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยเพราะพ่อของหนึ่งจะโกรธทุกครั้งเวลาหนึ่งมาเล่นกับผม

     น่าจะอีกสองสามวันก่อนวันที่เราตั้งใจจะกลับบ้าน ผมตื่นเช้าขึ้นมาไม่เจอใครนอกจากพี่ลูกปลา พี่บอกว่าพ่อกับแม่ออกไปทำธุระข้างนอก ผมรับรู้ดีว่ามันแปลก... ทุกครั้งที่เรามาเที่ยวกัน พ่อกับแม่ไม่เคยที่จะพลาดมื้ออาหารเช้าที่สำคัญสำหรับครอบครัวเราแม้แต่ครั้งเดียว วันนั้นผมออกไปเดินเล่นกับพี่ลูกปลา ผมไม่ได้เจอน้ากานดา ไม่ได้เจอลุงวุฒิ ไม่ได้เจอหนึ่ง เจอแต่คนไร่คนสวนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “เอาล่ะสิ แบบนี้จะทำยังไงดี ขาดคนงานเลยสินี่”

     “ตอนนี้ยังจะห่วงเรื่องงานอีก! พวกคุณนายไม่ด่าแกหรอกเพราะเขาก็วุ่นกับการจัดการเรื่องคุณกานดาทั้งนั้น!”

     “แต่ไม่คิดเลยนะว่าไอ้วุฒิจะถึงขั้นราดน้ำมันใส่เมียตัวเอง บรื๋อ”

     ผมไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ พอคนงานสองคนนั้นเห็นผมกับพี่สาวก็พากันเดินหนี พี่ลูกปลาเลยเดินชวนผมไปกินอะไรในบ้านและบอกว่าอย่าใส่ใจกับเรื่องนั้นเลย

     พอผมโตขึ้นมาหน่อยผมถึงได้รู้ว่า ลุงวุฒิคงทะเลาะกับน้ากานดาเรื่องที่น้ากานดาจะขอหย่า ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ร้อน หลังจากเอาเขียงปาใส่เมียตัวเองจนกระดูกขาซ้ายแตก แถมยังราดน้ำมันที่ตั้งไฟอยู่ใส่ซ้ำ ทุกวันนี้น้ากานดาเลยต้องใส่กระโปรงยาวและไม่สามารถเดินได้คล่องเหมือนกับปกติ โชคดีที่หนึ่งไม่ได้โดนอะไร

     หลังจากนั้นพ่อก็เรียกคนขับรถมารับพวกผมสองคนกลับบ้านไปก่อน ส่วนพวกท่านอยู่ต่ออีกอาทิตย์หนึ่งเพื่อช่วยจัดการเรื่องฟ้องหย่าของน้ากานดา ทั้งสิทธิ์เลี้ยงดู จัดการเอาผิดลุงวุฒิ ย้ายน้ากานดามาโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ และรับหนึ่งมาอยู่ที่บ้านชั่วคราว

     พ่อกับแม่ช่วยเหลือน้ากานดาทุกอย่าง คงเป็นเพราะน้ากานดาเป็นรุ่นน้องคนสนิทของแม่สมัยเรียน ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องงานในกรุงเทพฯ รวมไปจนถึงเรื่องโรงเรียนของหนึ่ง

     รอยช้ำของหนึ่งเจือจางลงไปในวันนั้น

     ...แต่มันก็ยังเหลือแผลเป็นที่หลังของหนึ่งไว้อยู่ดี



     หลังจากหนึ่งกับน้ากานดาพักอยู่ที่บ้านผมได้ราวเดือนเศษ สองแม่ลูกก็ย้ายไปอยู่ที่คอนโดที่ใกล้ๆ โรงแรมของแม่ในกรุงเทพฯ นับแต่นั้นผมไม่ค่อยได้เจอหนึ่งมากนัก เนื่องจากหนึ่งเรียนโรงเรียนประถมแถวนั้น จนหนึ่งอยู่ป. หก ผมก็ไปช่วยสอนมันสอบเข้าโรงเรียนเดียวกัน

     ตอนนั้นหนึ่งจะทำหน้าบูดบึ้งตอนผมตีมือที่กำลังวาดภาพเล่นบนโจทย์เลข

     “ดีๆ สิ เดี๋ยวก็สอบไม่ติดหรอก”

     “มันยากนี่นา...” หนึ่งบ่นอย่างอิดออด “หนึ่งเรียนที่ไหนก็ได้นะเฮีย”

     “หนึ่งไม่อยากมาอยู่กับเฮียเหรอ”

     หนึ่งสอบเข้าได้อย่างหืดขึ้นคอ ผมอยู่ม. สาม ส่วนมันอยู่ม. หนึ่ง

     “หนึ่งมีปัญหาที่โรงเรียนบ้างไหม”

     เป็นคำถามที่แม่ถามผมบ่อยๆ ผมรู้ดีว่าเพราะเหตุการณ์ในวัยเด็กทำให้แม่เอ็นดูหนึ่งเหมือนลูกในไส้

     ช่วงแรกๆ หนึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก จนพอผมขึ้นม. ปลาย หนึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักเพราะสนิทกับรุ่นพี่ม. ห้ากลุ่มหนึ่งจนผิดสังเกต และกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มหัวโจกที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกรงกลัว

     แต่สิ่งที่ผมได้ยินจากแม่ผิดไปจากที่ผมเห็น

     “ป้อง ช่วยดูหนึ่งให้ได้ไหมลูกว่าโดนแกล้งอะไรไหม”

     ผมถึงกับงุนงง “มีอะไรเหรอ?”

     “เห็นกานดาเขาบอกว่าลูกไม่ค่อยอยากไปโรงเรียนเท่าไหร่ อาจจะโดนแกล้งก็ได้”

     ผมคิดว่าน้ากานดาอาจจะเป็นห่วงลูกมากเกินไปเพราะเหตุการณ์ในอดีต และต้องยอมรับว่าผมไม่ได้ใส่ใจกับหนึ่งขนาดนั้น ทั้งเรียน ทั้งกิจกรรม และเพื่อนก็มากพอให้ผมเลิกใส่ใจกับสิ่งที่แม่บอก หนึ่งก็ดูไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถึงจะอยู่กับกลุ่มรุ่นพี่แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนโดนบังคับแต่อย่างใด

     กว่าผมจะรู้ตัว...มันก็สายไปเสียแล้ว

     เย็นวันนั้นน่าจะเทอมปลาย แม่โทรมาบอกว่าน้ากานดาชวนกินข้าว จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าในโอกาสอะไร บอกให้ผมเรียกหนึ่งมาด้วยเดี๋ยวแม่จะพาเราสองคนไปส่งที่ร้าน

     ผมโทรหาหนึ่งไม่ติดตั้งหลายรอบ อยู่ในช่วงเวลาที่เริ่มฉุนเฉียว จนตัดสินใจเดินดูที่ห้องเรียนของหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมเจอกลับทำให้ผมขาดสติ

     หนึ่งกำลังซุกหน้าอยู่ที่หว่างขาของไอ้เด็กหัวโจกคนหนึ่งที่เอามือจิกกลุ่มผมของเจ้าเด็กคนนั้น และมีอีกสามสี่คนล้อมรอบ มีเสียงขู่เบาๆ อีกต่างหาก

     ผมไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป ตอนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อาจารย์เฝ้าเวรสองคนมาฉุดผมบอกให้หยุด ตรงหน้ามีหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นน้ำตานองหน้า ส่วนไอ้เวรที่ทำแบบนั้นนอนลงกับพื้นหัวแตก นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้ที่ขาหักอยู่ในมือของผมอีกต่างหาก ผมจึงรู้ตัวว่าตัวเองเอาเก้าอี้ทุ่มไอ้เวรนั่น

     เรื่องใหญ่จนถึงผู้บริหาร ผู้ปกครองของหัวโจกเหล่านั้นจะเอาเรื่องผมให้ได้ พร้อมกับไอ้พวกเวรเหล่านั้นที่บอกว่าหนึ่งเป็นคนร้องขอจะทำเช่นนั้นเอง ไม่ได้มีการบังคับอะไรทั้งนั้น

     แต่แล้วก็โป๊ะแตกเมื่อมีการค้นโทรศัพท์มือถือแล้วเจอคลิปที่พวกนั้นบังคับให้หนึ่งใช้ปากให้พวกมัน มีเสียงและชื่อ พร้อมคำข่มขู่ชัดเจน เจ้าพวกนั้นโดนไล่ออกพร้อมทั้งโดนพ่อของผมช่วยเพื่อที่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ทีนี้พวกผู้ปกครองเหล่านั้นกลับเป็นฝ่ายกล่าวอ้อนวอน แต่พ่อของผมก็ไม่ได้ยอมแต่อย่างใด

     น้ากานดาร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดตอนรู้เรื่อง ร้องไห้เสียจนเป็นลมไปตรงนั้น

     นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่หนึ่งไม่ปรารถนาให้แม่ได้ยินเรื่องเลวร้ายจากมันอีก

     หนึ่งเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์นั้น คงเป็นเพราะมันโดนผู้คนซุบซิบนินทาจนผมต้องยอมเลิกนั่งกินข้าวกับเพื่อนไปกินข้าวกับมัน ทำแบบนั้นอยู่ราวสองปี จนมันขึ้นม. ปลายและทุกอย่างเริ่มดีขึ้น หนึ่งมีเพื่อนกลุ่มใหม่แล้ว ผมเองก็เตรียมตัวกับการสอบม. หก

     ตอนแรกผมปรารถนาจะเรียนหมอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมมันมีดีแค่ขยัน ไม่ใช่คนหัวดี ถ้าเทียบระหว่างทันตะฯ กับสัตว์แพทย์ ผมคิดว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะกับผมมากกว่าเลยเลือกเช่นนั้น

     ในขณะที่หนึ่งเลือกเรียนสายวิทย์ – คณิต แต่ยังคงชื่นชอบในการวาดภาพ ผมมารู้เรื่องนั้นหลังจากกลับบ้านไปในช่วงปิดเทอมปีหนึ่งที่แม่เล่าให้ฟังว่าหนึ่งกับน้ากานดาทะเลาะกันใหญ่โต เรื่องที่หนึ่งอยากเรียนศิลปากรรมศาสตร์ ในขณะที่น้ากานดาอยากให้เรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์

     “ป้องไปช่วยคุยกับน้องด้วยนะ”

     ผมรู้ดีว่าตัวเองช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ยอมโทรไปหาหนึ่งตามที่แม่พูดไว้... บางทีผมอาจจะพยายามหาข้ออ้างให้มีอะไรคุยกับมันก็เป็นได้

     “หนึ่งเหนื่อย” หนึ่งพูดออกมาอย่างอ่อนแรงจนผมใจหาย ฟังมันพูดเรื่องที่ทะเลาะกับแม่ทั้งที่ปกติดื้อแพ่ง แต่ยามนี้ก็พูดจาดีๆ ให้ผมฟัง “หนึ่งไม่เก่งวิทย์ ไม่เก่งเลข... แค่ชอบวาดรูปเท่านั้น”

     “ค่อยๆ คิดไปก็ได้ มีเวลาอีกตั้งปี” ผมบอกแบบนั้นเพราะว่ามันเรียนอยู่ม. ห้า “ถ้าเรียนสถาปัตย์ฯ อาจจะได้มาอยู่กับเฮียก็ได้นะ... มหา’ ลัยนี้ก็ดังอยู่”

     “อื้อ”

     จนตอนนี้ ผมก็คิดว่าเหตุใดจึงบอกมันไปแบบนั้น แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่สาเหตุที่หนึ่งยอมเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และมาเลือกสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยนี้ก็ตาม

     จะให้มันมาอยู่ข้างกายทำไม ถ้าหากสุดท้ายต้องเห็นมันบอบช้ำจากมือคนอื่น

     ผมจะให้มันมาอยู่ใกล้ๆ ทำไม ถ้าหากปกป้องมันไม่ได้

     ...แม้แต่รักษาแผลให้มัน... ผมยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป...




-------------------------------
เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ
ขออภัยที่ตอนนี้ค่อนข้างสั้น แต่เนื้อเน้นๆ เลยนะคะเนี่ย...

ชอบไม่ชอบ บอกกันได้จะดีใจมากค่ะ!
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 8 - แผลในอดีต (31.03.2016) - Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-03-2016 21:39:35
น่าสงสารหนึ่ง  ถูกกระทำตลอด :hao5
เฮียต้องใส่ใจหนึ่งอย่างเต็มที่ ต้องอยู่เคียงข้างหนึ่ง อย่าปล่อยมือจากหนึ่ง
ให้ความรัก ความเอื้ออาทร กับหนึ่ง  :กอด1:
ถ้าปล่อยมือจากหนึ่ง คราวนี้อาจเสียใจ เสียหนึ่งไปเลย
รอตอนใหม่   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 8 - แผลในอดีต (31.03.2016) - Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 31-03-2016 22:51:09
ทารุณจริงๆ ไหวอยู่ไหมหนึ่ง ทำไมต้องโดนแบบนั้นตลอด เข้มแข็งนะหนึ่ง หลุดออกมาจากอดีตพวกนั้นให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 9 - หน้าที่ (04.04.2016) - Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 04-04-2016 18:48:31
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 9
‘หน้าที่’


     ผมตื่นขึ้นมาตอนที่พยาบาลและหมอเข้ามาตรวจดูอาการ ตอนนั้นหนึ่งยังไม่ตื่นดีเลยด้วยซ้ำ ผมเลยได้แต่หาววอด มองพยาบาลที่เอาม่านปิดรอบเตียงเพื่อตรวจหนึ่งให้สะดวก

     หมอมาบอกอาการกับผมว่าแม้จะมีความบอบช้ำมากแต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลนาน เพราะว่าเป็นอาการบอบช้ำที่ภายนอก จะรอดูจนกว่ามั่นใจว่าไม่มีเลือดตกภายในบริเวณใด หรือมีเลือดคั่งขึ้นมาภายในร่างกาย

     “เดี๋ยวผู้ปกครองคนไข้มา หมอจะมาแจงรายละเอียดอีกทีนะครับ”

     ผมโค้งศีรษะให้อีกฝ่าย “ขอบคุณมากครับ”

     หมอเดินจากไปแล้ว ส่วนพยาบาลบอกต้องรอสักพักกว่าจะถึงเวลากินข้าว ในห้องจึงเหลือแค่ผมกับหนึ่งเท่านั้น

     “จะเอายังไงเรื่องน้ากานดา” ผมเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านั้นลง

     หนึ่งแสดงความกังวลใจให้เห็นโดยการเม้มริมฝีปาก แต่สักพักก็ร้องออกมาเบาๆ เพราะว่าปากแตกอยู่ เห็นแล้วอยากจะตีปากมันจริงๆ เลย

     “หนึ่งไม่อยากบอกแม่”

     “หนึ่ง” ผมเรียกมันเสียงเข้ม “มึงต้องบอก”

     “...เรื่องมันจบไปแล้วนะ”

     “แล้วยังไง จะปิดน้ากานดาไปตลอดชีวิตเหรอว่ามึงโดน...” ผมกัดลิ้นตัวเอง

     คนที่สวมชุดคนไข้มองผมด้วยแววตาตัดพ้อ น้ำตาคลอหน่วยแต่ไม่ยักกะไหลลงมา หนึ่งเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเปลี่ยนไปนอนตะแคงอีกทาง

     เด็ก

     แต่เวลาแบบนี้ หนึ่งจะทำตัวเด็กผมก็ด่ามันไม่ได้

     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง เสียงอ่อนลงกว่าแต่ก่อนหน่อย “ที่บ้านเฮียรู้แล้ว เขาก็จะช่วย... แต่จะปิดเรื่องนี้กับแม่ไปตลอดไม่ได้”

     มันเงียบไปพักใหญ่ จนผมจับสังเกตได้ว่าหัวไหล่มันสั่นเบาๆ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ และเดินไปอีกฝั่งเพื่อสบตากับมันตรงๆ หนึ่งน้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้สะอึกสะอื้นเท่าไหร่แต่แค่เห็นน้ำตามัน ก็ส่งผลให้หัวใจผมก็อ่อนยวบอีกหนจนได้

     ผมเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่ข้างเตียงคนป่วยยื่นให้มัน “เช็ดซะ”

     คนเด็กกว่าส่ายหน้า แต่ปล่อยให้หมอนซับน้ำตาไปเรื่อยๆ จนผมต้องถอนหายใจ เอื้อมมือไปดึงทิชชู่และซับน้ำตาให้มันอย่างเบามือ

     “น้ากานดาเขาเป็นห่วงนะ”

     “หนึ่งทำแม่ผิดหวัง”

     “...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรตอนที่มันเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและเสียงสั่นเครือเช่นนั้น

     “หนึ่งเสียใจ” มันพูดแบบนั้น ตัวงองุ้มเข้าหากัน ขดตัวให้เล็ก คว้าทั้งผ้าห่มและหมอขึ้นมาคลุมตัวเองราวกับจะหาเกราะกำบัง

     ผมดึงผ้าห่มของมันขึ้นมาให้สูงขึ้นอีกนิดก่อนที่จะเอื้อมมือเข้าไปวาดวงแขนลงบนตัวของอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าร่างของคนข้างใต้นั้นสั่น นั่นยิ่งทำให้ผมเจ็บใจ

     ผมรู้ดี... ผมพลาดไปหมด

     ไม่รู้ว่ามันชอบผู้ชาย ไม่รู้ว่ามันมีแฟน ตอนที่มันแอบย้ายไปอยู่กับแฟนผมก็ไม่ได้ห้ามไว้ ไม่คิดกระทั่งตามหาว่าแฟนมันเป็นคนอย่างไร มาเอื้อมมือจับมันไว้ในตอนที่มันโดนกระทำไปเสียแล้ว

     ผมขบฟันกรอดยามที่ทุกอย่างตอกย้ำว่าผมมันเป็นคนห่วยแตกเพียงใด

     “เฮีย... หนึ่งเจ็บ...”

     เมื่อได้ยินเสียงบ่นอู้อี้เบาๆ จากคนใต้ผ้าห่มผมเลยปล่อยมือเสียไม่ได้ หนึ่งเอาผ้าห่มที่คลุมบริเวณศีรษะออก มองผมตาขวางแต่ดูก็รู้ว่าไม่จริงจังเท่าไหร่

     “เหม็น” มันบ่นพลางย่นจมูกใส่ผม “เฮียยังไม่ได้อาบน้ำใช่ไหม”

     ไอ้เด็กปากเสีย ผมกลอกตาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ผมเพิ่งได้อาบน้ำหลังจากเรื่องยุ่งๆ เสร็จเมื่อคืน แต่มันก็เป็นการอาบน้ำลวกๆ ที่โรงพยาบาลเท่านั้นแหละ สุดท้ายผมก็เลยได้แต่เอื้อมมือไปดีดหน้าผากของมันเบาๆ แต่หนึ่งเล่นโอดโอยจนดูสำออย เล่นเอาผมรู้สึกหมั่นไส้ ยังมีหน้ามาทำตัวดีดดิ้นทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ ตายังไม่หายบวมจากเรื่องเมื่อคืนเลยด้วยซ้ำไป แป๊บเดียวก็กลับมาแดงอีกแล้ว

     ไม่นานพี่พยาบาลก็เอาอาหารมาให้ ตอนนั้นเองที่หนึ่งเงยหน้าขึ้นมองผม
   
     “เฮียไม่ไปเรียนเหรอ”

     “เออ”

     มันทำหน้าตกใจนิดหน่อย “โดดเรียนเป็นด้วยเหรอเฮียน่ะ”

     “ไม่ใช่โดดเรียนสักหน่อย” ผมเอ่ยปาก “ติดธุระต่างหาก”

     ก็ต้องยอมรับว่าผมไม่เคยโดดเรียนเลย เข้าเรียนประจำถ้าหากไม่ยกคลาส หนึ่งเองก็ชอบพูดแต่เด็กว่าผมเป็นเด็กเนิร์ดแค่ไม่ได้ใส่แว่น เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ วันๆ ก็ไปกลับแค่มหา’ ลัยกับที่คอนโด ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษเท่าไหร่นัก ผิดกับหนึ่งที่ชอบใช้ชีวิตกับเพื่อนฝูง เที่ยวนู่นเที่ยวนี่

     ผมปล่อยให้มันกินข้าวอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหิวนิดหน่อยเพราะข้าวเย็นเมื่อวานก็ไม่ได้กิน แต่ก็ไม่อยากทิ้งให้มันอยู่คนเดียวแม้จะจ้างพยาบาลพิเศษก็ตามที

     “เฮีย”

     ผมเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ หนึ่งก็ลดมือที่ถือช้อนลงทั้งที่ยังกินข้าวไปเพียงนิดเดียว “มีอะไร?”

     “...หนึ่งตามกริชไปเองแหละ” คำพูดของมันทำให้ผมนิ่งงัน รู้ดีว่ามันหมายถึงเรื่องเมื่อวาน พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร หนึ่งก็เค้นหัวเราะออกมาราวกับสมเพชตัวเองเต็มแก่ “หนึ่งโง่เนอะ...ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่”

     “แล้วมึงคิดอะไรอยู่ล่ะ”

     “หนึ่งบอกว่าหนึ่งไม่รู้” คำตอบของมันทำให้ผมรู้ดีว่าคำถามตัวเองดูงี่เง่าแค่ไหน “แต่... หนึ่ง...” มันเม้มริมฝีปากเข้าหากันราวกับชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่

     ความเงียบแทรกเข้ามาอีกแล้ว ผมได้ยินเสียงดังแกร๊งที่เกิดจากการวางช้อนลงบนจานเบาๆ    

     “จริงๆ หนึ่งไม่มั่นใจเลย... ว่าหนึ่งเคยรักมันไหม” มันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมไม่มั่นใจว่ามันพูดกับผมอยู่ หรือกำลังพยายามพูดกับตัวเอง “กริชจีบหนึ่งตั้งแต่ขึ้นปีหนึ่งเลย... แค่เดือนเดียวหนึ่งก็ยอมตกลงแล้ว”

     “...”

     “ตอนนั้นหนึ่งแค่คิดว่า อา ถ้าเป็นคนนี้ก็คงดีสินะ อะไรประมาณนั้น”

     “คนนี้มันดีตรงไหน” ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

     “เหมือนพ่อ”

     “...”

     “ตอนหนึ่งเห็นกริช...หนึ่งคิดถึงพ่อ”

     ผมไม่รู้จะพูดอะไร เคยอ่านมาบ้างว่าเด็กที่ปกติสนิทกับแม่มักจะมีโอกาสเบี่ยงเบนทางเพศสูง แต่ไม่ใช่แค่นั้น ในวัยเด็กหนึ่งไม่เคยได้รับความรักจากพ่อ หรือบางทีก็เป็นความสัมพันธ์ผีเข้าผีออก เดี๋ยวก็ใจดี เดี๋ยวก็โมโหร้าย ลึกๆ แล้ว มันเองก็คงปรารถนาความรักจากคนเป็นพ่อ

     ถ้าหากเจอคนที่ทำให้มันคิดถึงพ่อ... มันอาจจะ ‘โหยหา’ บ้าง โดยที่มันไม่รู้ตัว

     “แต่ก็นั่นแหละ... หนึ่งบ้าเอง ยังไงมันก็ไม่ใช่เสียหน่อย” มันเค้นยิ้ม “อีกอย่างนะเฮีย ถ้ามามองดูตอนนี้ หนึ่งแม่งก็ง่ายนี่นา ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย คบแป๊บเดียวก็ได้หนึ่งแล้ว แถมหนึ่งยังยอมย้ายไปอยู่กับมันตามที่มันขอด้วย”

     “...ผู้ชายตอนมันอยากได้มันก็ทำทุกอย่างนั่นแหละ”

     “เฮียไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย”

     คำพูดของมันทำให้ผมบดกลีบปากเข้าหากัน หนึ่งพูดมันโดยไม่ได้มองหน้าผมเลยแม้แต่น้อย

     “เคยเห็นกูจีบใครหรือยังล่ะ” ผมอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ

     “นั่นสิ หนึ่งไม่เคยเห็นเฮียจีบใครเลยสักคน” มันทำท่ากรุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนที่จะหันมายิ้ม “แต่ถึงเฮียจะจีบใคร เฮียก็ไม่ทำแบบนี้หรอก”

     “ปัญญาอ่อน”

     “อืม...” มันไม่ได้เถียง ซึ่งผิดวิสัยมันมากโข “หนึ่งมันก็บ้าจริงๆ นั่นแหละนะ”

     “...”

     “หนึ่งขอโทษนะเฮีย”

     ผมเค้นยิ้มออกมาบางๆ ยามที่ได้ยินคำนั้น สรุปแล้วที่มันพูดมาทั้งหมดเพียงเพราะคำนี้อย่างนั้นหรือ

     พอคิดเช่นนั้นผมก็เบือนหน้าหนี “ไม่เป็นไร” กล่าวออกมาสั้นๆ เท่านั้น

     “เฮียเป็นฮีโร่ของหนึ่งตลอดเลย”

     ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะเอ่ยอะไรแบบนี้ออกมาทำไม คำพูดที่เหมือนเด็กทำให้ผมนึกขันแต่ยามนี้กลับหัวเราะไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
   
     ...ถ้าผมเป็นฮีโร่จริงๆ... ผมคงไม่ปล่อยให้มันเกิดครั้งที่สอง...

     ...ถ้าผมเป็นฮีโร่... หนึ่งคงไม่มีแผลมากมายขนาดนี้

     มันคงไม่ได้บอบช้ำทั้งกายและใจ

     โดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว



     นานทีเดียวกว่าโอ๊ตและผู้หญิงอีกสองคนที่เป็นกลุ่มของหนึ่งจะมา น่าจะสักสิบโมงได้ล่ะมั้ง มีทั้งของเยี่ยมที่ผมบอกให้เอาไปใส่ไว้ในตู้เย็นในห้อง รวมไปถึงกระดานและอุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ ที่มักจะเห็นเด็กสถาปัตย์หิ้วไปไหนมาไหนด้วย ผมจึงถือจังหวะนั้นบอกพวกเด็กๆ ว่าจะไปกินข้าวและเอาของที่หอ

     “เฮียหยิบโน๊ตบุ๊คมาให้หนึ่งด้วย”

     ผมครางในลำคอรับคำ อีกฝ่ายเลยหันไปคุยกับเพื่อนต่อในขณะที่ผมคว้ากุญแจห้อง มือถือ กระเป๋าสตางค์และกุญแจสำหรับมอเตอร์ไซค์เดินออกไป

     แต่พอผมปิดประตูลง ไม่ทันได้เดินไปไหนก็มีคนเปิดประตูเดินตามออกมา

     “เฮีย ผมขอโทษ”

     “ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัด

     โอ๊ตทำหน้ารู้สึกแย่ราวกับจะร้องไห้ มันยกมือขึ้นไหว้ “ผมขอโทษจริงๆ นะเฮีย”

     “ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามันไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นกูก็คิดอย่างนั้น”

     ผมพูดตามที่คิด แม้เคืองแต่รู้ดีว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะเกิดเหตุขึ้นแค่จากเซเว่นจนถึงหอที่ห่างกันไม่ถึงสองร้อยเมตรด้วยซ้ำ แต่พอเห็นว่ามันยังทำหน้าไม่สู้ดีอยู่ผมเลยเอื้อมมือไปตบบ่ามันเบาๆ

     “ถ้ารู้สึกผิดนัก หลังจากนี้ก็ช่วยกรองคนที่มาจีบมันดีๆ แล้วกัน”

     ไอ้โอ๊ตก้มหน้าเจื่อนๆ ของตัวเองลง “ครับ”

     “แล้วก็...” ผมชั่งใจเล็กน้อยว่าควรพูดออกไปดีไหม แต่คิดว่าคงไม่เป็นไร “ถ้าหากมีอะไรท่าไม่ดี ไม่... ถ้ามีอะไรเกี่ยวกับมัน ก็บอกเฮียแล้วกัน”

     อีกฝ่ายทีหน้างุนงง แต่ก็พยักหน้ารับคำอย่างง่ายดาย

     ผมยกมือโบกลาอีกฝ่าย ถึงกระนั้นก็ได้ยินเด็กคนนั้นเอ่ยปากพึมพำเพราะว่าผมยังเดินออกมาไม่ไกล

     “พี่หรือพ่อวะนั่น”

     “ช่วยไม่ได้... เป็นหน้าที่ว่ะ”

     ผมหันกลับไปพูดกับมัน ไอ้โอ๊ตสะดุ้งนิดหน่อย ยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยปากขอโทษโดยฉับพลัน ก่อนที่จะรีบกลับเข้าไปหาเพื่อนมันในห้อง

     พอโอ๊ตกลับเข้าห้องไปผมก็เดินไปกดลิฟต์ ลงไปหาอะไรกินที่โรงอาหารของโรงพยาบาลคงจะสะดวกที่สุดแล้ว แต่พอคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกในเบอร์ล่าสุด

     ไม่นานนัก ปลายสายก็กดรับ

     “หนึ่งเป็นยังไงบ้าง” พี่ลูกปลากรอกเสียงมารวดเร็วเหลือเกิน

     ผมบอกอาการกับพี่สาวตามที่หมอบอกทุกคำ พร้อมกับบอกว่าจะต้องรอให้ผู้ปกครองมาเจอหมออีกทีจะได้บอกอาการละเอียดกว่านี้

     “แล้วก็... เรื่องน้ากานดา”

     “อ๋อ นั่นสิ หนึ่งว่ายังไงบ้างล่ะ”

     “มันก็ยังไม่อยากให้บอกน้าแกอยู่ดี” ผมได้ยินปลายสายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับพึมพำว่าก็คิดไว้แล้วล่ะนะ “ถ้ารบกวนให้พี่มาเป็นผู้ปกครอง หรืออาจจะพ่อแม่เรา...”

     “เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องนี้ให้แล้วกัน”

     “ขอบคุณครับ” ผมกำลังจะกดวางสาย แต่มือก็ต้องชะงักไปเมื่อพี่สาวเกิดเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน

     “ปกป้อง” พี่ลูกปลาเรียกชื่อจริงของผมอีกแล้ว “เราไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะ”

     ผมเงียบ ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดแต่รู้ดีว่ามือของตัวเองเผลอกำโทรศัพท์ด้วยแรงที่มากกว่าเดิมนิดหน่อย หัวใจเต้นระรัว ราวกับจะสูบฉีดเลือดในกายให้พุ่งพล่าน

     “มันไม่ใช่เรื่องของแกด้วยซ้ำที่จะต้องดูแลหนึ่ง”

     “ไม่ครับ” ผมตัดบท “มันเป็นเรื่องของผม”

     “ปกป้อง!”

     “ขอโทษด้วยนะพี่ เดี๋ยวผมไปกินข้าวแล้ว”

     ผมได้ยินเสียงโวยวายออกมาจากโทรศัพท์แต่แกล้งเมินเฉย กดตัดสายไปเสีย คิดออกเลยว่าเจ้าหล่อนจะต้องหัวเสียมากแน่ๆ ที่โดนผมตัดสายใส่

     ริมฝีปากบดเข้าหากันยามที่ขบคิดเรื่องบางอย่างที่ย้อนแย้งกันภายในตัวเองก่อนที่จะโยนมันทิ้ง และเดินไปหาโรงอาหารเพื่อหาอะไรให้ตกถึงท้องเสียที

     

     หลังจากกลับหอเพื่ออาบน้ำและหยิบหนังสือกับงานต่างๆ ไปเคลียร์ที่โรงพยาบาล รวมถึงโน๊ตบุ๊คที่หนึ่งเอ่ยปากให้ผมเอาไปด้วย ผมก็จัดการไลน์ไปบอกเพื่อนว่าวันนี้ไม่เข้าเรียน (ซึ่งมันอาจจะรู้แล้วตั้งแต่เช้า) หรืออาจจะเลยไปถึงพรุ่งนี้ด้วย จากนั้นก็ปิดโทรศัพท์ ไม่อ่านคำถามใดๆ ที่ไอ้ภีมกับไอ้กันต์ส่งมาทั้งนั้น

     ผมเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลหลังจากนั่งพักอยู่ที่หอราวชั่วโมงหนึ่งเผื่อว่ามันจะได้อยู่กับเพื่อนให้มากหน่อย และผมก็ไม่อยากหอบของเยอะๆ ไปนั่งที่อื่นในโรงพยาบาล

     ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนที่รอลิฟต์ หวังว่ามันคงจะอยู่กับเพื่อนจนพอแล้ว ผมจะได้เข้าไปแล้วไม่กระอักกระอ่วน

     พอเดินเข้ามาที่หน้าประตูห้องก็ไม่ได้ยินเสียงใด ทำให้ผมคิดว่าบางทีเพื่อนของหนึ่งอาจจะออกไปแล้วจริงๆ เลยจัดการเคาะประตูนิดหน่อยแล้วจึงพอเปิดประตูออกไป ผมกลับต้องตกใจเสียแทนเมื่อไม่คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะมาอยู่ในห้องแห่งนี้

     “น้ากานดา...”





------------------------------------------
เอาจริงๆ ก็ไม่รู้จะคุยอะไรน่ะนะ (ฮา) เราจะมาพูดถึงเรื่องของหนึ่งกับพ่อกันดีกว่าค่ะ จริงๆ แล้วแอบใส่ไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ตัว “พ่อ” เป็นตัวตนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลกับหนึ่ง
พอสมควร เด็กในวัยนั้นเด็กนะ อาจจะจำเรื่องราวไม่ค่อยได้ แต่แนวโน้มที่ทำให้หนึ่งสนใจเพศเดียวกันคือ

1. หนึ่งสนิทกับแม่
2. หนึ่งโหยหาความรักจากพ่อ (ผู้ชาย)

จริงๆ แล้วนิวพยายามใส่ใจในรายละเอียดมาก อย่างเช่น เรื่องที่หนึ่งต้องประคองน้ากานดาเวลาเดินตลอด ย้อนกลับไปตอนที่แล้วจะรู้ว่าน้ากานดาเคยได้รับการบาดเจ็บเรื่องขา หรือว่าเรื่องที่ตอนแรกหนึ่งก็ค่อนข้างรู้สึกโอเคกับเซ็กส์ที่เจ็บปวดนิดๆ ฯลฯ เดี๋ยวเอาไว้เรื่องจบแล้วจะเอาแหล่งอ้างอิงมาให้นะคะ

อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปอ่านได้ค่ะเผื่อมีอะไรฉุกใจอีก เอาไว้เดาเรื่องต่อ (ฮา)

เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 9 - หน้าที่ (04.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 04-04-2016 19:55:28
ตอนนี้ก็ละเอียดขึ้นนะคะ มองเห็นภาพตามในเกือบทุกฉาก เช่นตำแหน่งของแขน และสีหน้าในอารมณ์ต่างๆ และพออ่านตอนนี้แล้ว เรารู้สึกว่า ปกป้องเว้นระยะห่าง แทนที่จะแสดงว่ารักออกมา ทำไมก็ไม่รู้ อ่านไปก็ลุ้นไป
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 9 - หน้าที่ (04.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-04-2016 20:33:01
ปกป้อง รู้สึกไม่ดีที่ปกป้องหนึ่งไม่ได้
รอ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 9 - หน้าที่ (04.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-04-2016 00:38:04
สงสารเฮียคงรู้สึกผิดมาก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 9 - หน้าที่ (04.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 05-04-2016 11:02:29
เฮียทำดีที่สุดแหล่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 9 - หน้าที่ (04.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 05-04-2016 16:10:11
ทำไมน้ากานดารู้ พี่ปลาหรอ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 10 - ขอขมา (10[Center][img]h.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 10-04-2016 19:12:16
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 10
‘ขอขมา’



     ผมมองผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อได้สติก็รีบเบนสายตาไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียง หนึ่งนอนหลับตาพริ้ม หายใจสม่ำเสมอ คงอยู่ในห้วงนิทรา

     “ป้องไม่ไปเรียนหรือจ๊ะ” คำถามของน้ากานดาทำให้ผมหันกลับมามองท่านใหม่

     “ไม่...ไม่ไปครับ”

     “งั้นหรือ” ท่านพยักหน้า

     “น้ากานดามาได้ยังไงครับ ใครบอก”

     “พี่แม่เรานั่นแหละ แม่เราเองก็มาด้วยนะ แต่ไปซื้อขนมอยู่ เลยให้น้าขึ้นมาก่อน”

     ท่าทางของน้ากานดาที่ดูเหมือนปกติทำให้ผมเป็นกังวล รู้ตัวว่าฝ่ามือของตัวเองชื้นเหงื่อ ตอนนี้น้ากานดาคงยังไม่รู้เรื่องรู้รายละเอียดอะไรเพราะท่าทางสงบผิดวิสัย แม้รอบดวงตาจะแดงก่ำหน่อยก็ตาม   

     “หนึ่ง...” ผมเว้นจังหวะไปชั่วครู่ “หนึ่งรู้รึยังครับว่าน้ามา”

     “ยังเลยจ้ะ น้าขึ้นมาก็หลับอยู่เลยไม่อยากปลุก” แกว่าพลางเหลือบมองลูกชายตัวเองที่มีแผลเต็มตัว แววตาคลอหน่วยก่อนที่จะหันมามองผม “เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะป้อง”

     “...”

     “เล่าให้น้าฟังได้ไหม”

     ริมฝีปากของผมบดเข้าหากัน คำพูดของหนึ่งที่ขอร้องอ้อนวอนบอกว่าอย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ตนผสมปนเปกับคำพูดของพี่ปลาที่บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของผม

     ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจไม่ได้ ประตูที่ผมเพิ่งเปิดเข้ามาก็เปิดออก คราวนี้เป็นแม่ของผมเอง

     “อ้าว หนึ่งยังไม่ตื่นหรือ” ผมหันไปมองแม่ พยักหน้าให้เล็กน้อยแทนคำตอบ “หนึ่งก็คงจะเพลียล่ะนะ...”

     บทสนทนาของผมกับน้ากานดาจบลงแล้ว ผมนึกขอบคุณที่แม่เปิดประตูเข้ามาได้ถูกจังหวะเหลือเกิน ไม่เช่นนั้น ผมก็ไม่มั่นใจว่าผมจะทำอะไรต่อ

     น้ากานดาจัดการปอกฝรั่งที่ซื้อมา แช่ไว้ในตู้เย็น บอกว่าถ้าหนึ่งตื่นขึ้นมาจะได้กินของโปรดได้สะดวก

     หลังจากนั้นแม่กับน้ากานดาก็ไปหาหมอ คุยอาการของหนึ่งโดยที่ผมทำเพียงนั่งอ่านหนังสือในห้องพักที่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงแอร์และเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนไข้อย่างหนึ่งเท่านั้น

     เนื้อหาเหล่านั้นไม่เข้าหัวผมเท่าไหร่ ในหัวผมขบคิดเรื่องต่างๆ จนเวียนหัว ผมเข้าใจที่หนึ่งไม่อยากบอกแม่ตัวเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็เข้าใจว่าน้ากานดาต้องรับรู้ความจริง ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่มองหน้าหนึ่งที่นอนหลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว บางคราก็นึกอยากให้หนึ่งเป็นเด็กที่โชคร้ายน้อยกว่านี้ ผมจะได้ด่ามันได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเอาแต่สร้างปัญหาให้ผมปวดหัวไม่เว้นวัน

     สุดท้ายผมก็ปิดหนังสือตรงหน้า เดินไปยืดเส้นยืดสายรอบห้อง และทิ้งกายลงบนเก้าอี้ข้างๆ เตียง

     หนึ่งนอนหลับตาพริ้ม สภาพดูดีกว่าเมื่อคืนแต่ก็รู้ว่าหนึ่งไม่สามารถลืมฝันร้ายที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งในชีวิตได้ง่ายๆ เป็นแน่ พอนอนหลับ หนึ่งก็ชอบขดตัวงองุ้มเหมือนสัตว์เล็กๆ ที่ต้องรักษาความอบอุ่นในร่างกาย

     ผมถอนหายใจ หยิบผ้าห่มปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ถึงช่วงเอว พยายามจัดมันอย่างเบามือเมื่อเห็นหนึ่งครางออกมาเบาๆ คล้ายจะเจ็บปวด

     ไม่นานหลังจากนั้น ประตูห้องคนไข้ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง คุณแม่สองคนเดินเข้ามาโดยที่น้ากานดาตาแดงก่ำ เล่นเอาริมฝีปากของผมบดเข้าหากันแน่น

     หรือว่าน้ากานดาจะรู้ความจริงแล้ว

     “เดี๋ยว...” ผมแทบลืมหายใจตอนน้ากานดาเอ่ยออกมาเสียงสั่นๆ “น้าไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่านะจ๊ะ”

     ผมมองน้ากานดาที่พูดอย่างนั้น รีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปข้างนอก หันไปมองแม่ แม่ผมก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องตามไปจะเป็นทางที่ดีกว่า

     ผมมองให้แน่ใจว่าน้ากานดาไม่ได้แอบฟัง แล้วจึงพูดขึ้น

     “น้ากานดารู้เรื่องแล้วหรือครับ”

     “ก็โกหกไปนิดหน่อย” แม่ว่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ปลาบอกแม่แล้วว่าเราไม่อยากให้บอกแม่ แต่... ป้อง คนเป็นแม่น่ะ เห็นลูกเจ็บก็ใจจะขาดแล้วนะรู้ไหม”

     ผมเม้มปาก ก้มหน้า “ครับ”

     “แม่เข้าใจว่าหนึ่งก็ไม่อยากให้บอก เราเองก็ตามใจหนึ่ง ใช่ไหมล่ะ... แต่ยังไงก็ปิดไปตลอดไม่ได้หรอกนะ นี่ก็บอกแม่เขาไปว่าหนึ่งทะเลาะกับเพื่อนจนมีเรื่องมีราว” แม่เอามือกุมขมับ นวดเล็กน้อย ทำสีหน้าราวกับหัวกำลังจะระเบิด “จริงๆ เลย...”

     “ขอโทษครับ”

     “ขอโทษทำไม? แม่ไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดของเราสักนิด”

     “...”

     แม่มองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเบนสายตาไปทางคนที่นอนหลับบนเตียงแล้วก็เอามือปัดไปมา

     “ช่างเถอะ เดี๋ยวก็รอจังหวะดีๆ แล้วค่อยบอกแม่เขาแล้วกัน”

     “ครับ” ผมได้แต่พูดคำนั้น

     “อ๋อ” แม่ทำท่าเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวเย็นนี้ทางนั้นจะมาขอขมานะ แม่คงไม่อยู่ด้วย แต่ว่าพ่อหรือปลาคงจะมาแทน เรากลับไปก็ได้มั้ง”

     ผมนิ่งไป มือกำแน่นเมื่อได้ยินคำว่าทางนั้น

     ภาพในอดีตหวนกลับมา แม้จะใช้คำว่าขอขมา แต่จริงๆ แล้วมันก็คือการมาขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสมเพชให้พวกเราปล่อยปละละเลยเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนที่หนึ่งอยู่ม.ต้น พ่อแม่ของเด็กกลุ่มนั้นมาขอขมากับพ่อผมแทนที่จะเป็นน้ากานดา เพราะมันไม่ใช่การขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ แต่มันเป็นการขอให้คนมีอำนาจให้อภัย บางคนก็เอาเงินมาเป็นก้อนหวังจะฟาดหัวด้วยซ้ำไป

     ผมนึกขยะแขยง... ยามที่เห็นหนึ่งถูกทำเหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นสิ่งของ

     ราวกับมีเด็กๆ ทำของซื้อขายเสียหาย แล้วพ่อแม่ก็จ่ายค่าทดแทนให้โดยเด็กๆ ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด

     ...ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง



     หนึ่งตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นราวสองชั่วโมง พอมันเห็นน้ากานดาอยู่ตรงหน้ามันก็ร้องไห้โฮ ผมไม่มั่นใจว่านั่นเป็นเพราะหนึ่งคิดว่าแม่ของตนรู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือเปล่า แต่มันก็ทำเพียงสะอึกสะอื้นอย่างเดียว ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันร้องอยู่พักใหญ่ เหมือนเป็นเด็กน้อยในอ้อมกอดของน้ากานดา

     แม้ว่าหนึ่งจะโตแค่ไหน พยายามแสดงความเข้มแข็งมากมายเพียงใด ลึกๆ แล้วมันก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้นและเป็นเด็กที่แสนจะบอบช้ำเสียด้วย

     หลังจากนั้นหนึ่งก็นอนหลับไปใหม่ แม่ของผมกลับบ้าน ในขณะที่น้ากานดาบอกกับผมว่าจะอยู่จนทางนั้นมาขอขมา

     “ป้องจ๊ะ”

     “ครับ” ผมขานรับเบาๆ

     น้ากานดาเงียบไปชั่วครู่ เอื้อมมือที่ผอมบางไปลูบศีรษะของลูกชายตัวเองอย่างแผ่วเบา

     “หนึ่งไม่ได้โดนทำอะไรใช่ไหมจ๊ะ” คำพูดของน้ากานดาทำให้ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบากไม่ใช่น้อย “ไม่ได้อยู่คนเดียวแบบไม่มีเพื่อน หรือโดนใคร... แกล้ง...”

     “...” ผมได้แต่กำมือแน่น มองผู้หญิงตรงหน้าที่พูดถ้อยคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     “หนึ่ง...แค่ทะเลาะกับเพื่อนจริงๆ ใช่ไหมจ๊ะ”

     ผมพูดไม่ออก

     ตอนที่น้ากานดามองผมราวกับจะขอร้อง อ้อนวอน ราวกับจะบอกให้ผมช่วยยืนยันว่าสิ่งที่น้าแกได้รับรู้มาเป็นเรื่องจริง...ทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้น ผมรู้สึกเหมือนความจริงกำลังกระจุกอยู่ที่คอ แต่พอคิดถึงคนที่เพิ่งร้องไห้และนอนหลับ ผมก็กลืนทุกอย่างลงคอให้มันปั่นป่วนในท้องผมแทน

     “ครับ”

     “...”

     “แค่นั้นจริงๆ”
   
     พอได้ยินคำตอบเช่นนั้น น้ากานดาก็พยักหน้า “จ้ะ” เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่จะพูดถ้อยคำเดิมๆ ให้ผมได้ยินอีกครั้ง “ฝากป้องด้วยนะ”

     “...”

     “ดูแลน้องให้น้าทีนะจ๊ะ”

     ผมเม้มริมฝีปากแน่น แต่ก็พยักหน้า “ครับ”

     แม้ลึกๆ ภายในใจผมจะเผลอคิดว่า บางที... หากจะมีคนสักคนที่ต้องไปขอขมาน้ากานดาจริงๆ คนนั้นควรจะต้องเป็นผมเสียมากกว่าก็ตามที

     ผมกับน้ากานดาไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก ผมเริ่มกลับมาใจจดใจจ่อกับหนังสืออีกครั้ง ส่วนน้ากานดาก็จัดการนู่นนี่ไปเรื่อยๆ สักพักท่านก็บอกผมว่าอยากจะลงไปเดินข้างนอกเสียหน่อยตอนที่หมอเข้ามาตรวจอาการคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งหนึ่ง ผมเลยรับอาสาบอกว่าถ้าหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วผมจะโทรไปบอกเอง

     พอตรวจเสร็จหนึ่งก็นอนหลับต่อ คงเป็นเพราะเพลีย น่าจะสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงได้ ประตูถูกเปิดออก คราวนี้ไม่ใช่น้ากานดาแต่เป็นพ่อกับพี่สาวของผมเอง

     “น้ากานดายังไม่มาเหรอ” พี่ลูกปลาเอ่ยปากถาม

     “ลงไปเดินแถวๆ นี้ล่ะมั้ง เดี๋ยวก็คงมา” ผมตอบไปตามจริง “ทางนั้นจะมากันกี่โมงนะ”

     พ่อก้มมองนาฬิกา “อีกชั่วโมง โทรไปบอกเวลากานดาหน่อยก็ดี”

     “ครับ” ผมพยักหน้า ทำตามที่พ่อบอก

     คุยนิดหน่อยก็วาง ปลายสายตอบรับบอกว่าอีกสักพักจะขึ้นมา น้ากานดาไม่ได้ไปไหนไกลแต่ไปเดินแถวๆ นี้จริงตามที่ผมคาดไว้

     ผมกับครอบครัวคุยกันไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พยาบาลเอาอาหารเย็นมาให้หนึ่งทานพร้อมกับยา น้ากานดากลับขึ้นมาบนห้องตอนหนึ่งทานข้าวเสร็จพร้อมซื้ออาหารนู่นนี่มาให้พวกเราทานกันที่นี่เลย เมื่อมื้ออาหารจบลง ผมเป็นคนอาสาล้างจาน

     ขณะที่ผมอยู่ที่หน้าอ่าง ประตูก็เปิดพร้อมกับเสียงไม่คุ้นหู
   
     “สวัสดีครับ”

     ผมชะโงกหน้าออกไป รู้สึกเลือดในกายเดือดพล่านยามเห็นไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้หนึ่งมานอนโรงพยาบาลพร้อมๆ กับชายหญิงวัยกลางคน ซึ่งผมคิดเองว่าเป็นพ่อกับแม่ (หรืออาจจะแม่เลี้ยง) ของมัน

     ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีกระเช้าของเยี่ยมไข้นิดหน่อยในมือกริช โดยมันเอาวางไว้ให้หนึ่ง และก้มลงกราบเท้าคนที่มีตำแหน่งเป็นนายพล พ่อของผมเลยได้แต่บอกว่าคนที่ควรขอขมาจริงๆ แล้วคือน้ากานดาที่เป็นแม่ สังเกตได้เลยว่าสีหน้าสองพ่อลูกดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำตามที่บอก โดยเฉพาะกริชที่ก้มลงกราบแม่ของหนึ่ง บอกคำว่าขอโทษ

     ผมมองหนึ่งที่อยู่บนเตียง มันมองคนที่ก้มกราบแม่มันด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก แต่ก็ไม่พูดอะไรสักคำ

     ไม่นานครอบครัวนั้นก็ออกไป ทุกอย่างเงียบสงบจนน่าใจหายตอนที่น้ากานดาบอกว่าขอให้อโหสิกรรมให้กันและกัน โดยที่ตัวผมไม่มั่นใจว่า ถ้าน้ากานดารู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด น้ากานดาจะยังสามารถพูดเช่นนั้นได้อยู่ไหม   

     พอทุกอย่างเสร็จสิ้นพ่อกับพี่สาวของผมก็ชวนให้ผมกลับบ้าน แต่เพราะพรุ่งนี้ยังต้องมาเรียนผมเลยต้องปฏิเสธไป และบอกว่าจะไปนอนหอเอง

     “น้ากานดาละครับ”

     “จริงๆ แม่อยากจะค้าง...” หล่อนไม่ได้พูดกับผม แต่พูดกับลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง

     หนึ่งทำหน้ายุ่ง “ไม่เอาน่า หนึ่งไม่เป็นอะไรสักหน่อย กลับไปเถอะ พรุ่งนี้แม่ก็ต้องไปทำงานอีกไม่ใช่เหรอ”

     พอคนเป็นลูกเอ่ยปากแบบนั้น น้ากานดาก็ทำท่าทางลังเลอยู่พักหนึ่ง พ่อผมจึงบอกว่ากลับไปก็ได้เดี๋ยวทางนี้จะไปส่งที่บ้าน สุดท้ายน้ากานดาก็ยอมแพ้

     “ป้องจะกลับเลยไหมจ๊ะ”

     “ไม่ล่ะครับ คงอีกสักพักหนึ่ง” ผมตอบไปตามที่คิด

     พี่ลูกปลามองหน้าผมด้วยแววตาไม่สบายใจนัก แต่ผมแกล้งทำเป็นเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     น้ากานดาคุยกับลูกชายอีกสองสามคำ ปล่อยให้ลูกชายกอดและหอมแก้ม ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมๆ กับพ่อและพี่ของผม

     พอประตูปิดลงผมก็รู้สึกถึงความเงียบที่น่าอึดอัดแทรกตัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่หนึ่งจะเป็นคนทำลายมันก่อน

     “เฮียจะไม่กลับเหรอ”

     “อีกสักพัก”

     หนึ่งส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ “จริงๆ เฮียกลับไปเลยก็ได้นะ”

     “ช่างกูเถอะน่า” ผมลุกจากโซฟาที่ติดผนัง เดินไปนั่งใกล้ๆ หนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงกลางห้องเพื่อให้คุยกันได้สะดวกมากขึ้น “กินยาหลังอาหารแล้วใช่ไหม”

     หนึ่งพยักหน้า “เฮียเหมือนพ่อเลยนะเนี่ย” พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ

     ผมได้แต่มองมัน ไม่ได้พูดอะไร สักพักเสียงหัวเราะที่แสนเจื่อนนั่นก็หยุดลง

     “เดี๋ยวมันก็ทำเรื่องลาออกแล้ว” ผมบอกไปตามจริง “อยู่โรงพยาบาลแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ไปเรียน แต่อย่าเพิ่งทิ้งล่ะ เดี๋ยวเรียนไม่จบเทอมนี้กันพอดี”

     “เฮียแม่ง” มันบ่น มองค้อนปะหลับปะเหลือก “รู้แล้วน่ะ ถึงได้บอกให้เอาโน้ตบุ๊กมาให้ไง”

     “แต่ช่วงนี้ก็นอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยทำงานก็ได้”

     “เอ้า เอายังไงวะเฮีย” มันพูดเช่นนั้นแต่ก็ยังยอมให้ผมปรับให้เตียงเอนลงโดยดี หนึ่งนอนเอียงตัวมาทางผมเล็กน้อย ขยับมากไม่ได้เพราะเจ็บแขนอยู่ “แม่ยังไม่รู้ใช่ไหมเฮีย”

     ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “เดี๋ยวผ่านไปสักพักค่อยบอก ให้เรื่องมันจบก่อน”

     “อื้อ” มันส่งเสียงตอบรับ “ขอบคุณนะ”

     ผมไม่รู้จะตอบอะไร เอื้อมมือไปสัมผัสผมเส้นเล็กของหนึ่งอย่างแผ่วเบา ไล้ปลายนิ้วลงบนเส้นผมและมองหน้ามันตรงๆ หนึ่งเองก็มองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเบนสายตาไปทางอื่น มันเลียริมฝีปากที่ยังซีดและแห้งของตัวเองเบาๆ   

     “อย่าเลียสิ” ผมเลื่อนมืออีกข้างไปแตะปากมันตรงๆ

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็สะดุ้ง ย่นคอหนี “ฮะ เฮีย...” มันเรียกผมอย่างแผ่วเบา

     ผมมองหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา มันสบตาผมตรงๆ เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะผลุบตาลงต่ำ มือเปลี่ยนมาวางอยู่บนมือของผม ไม่ผลักออก แต่ก็ไม่ได้เกาะกุมไว้

     ริมฝีปากหนึ่งขยับอีกเบาๆ ผมคิดว่ามันน่าจะเรียกชื่อผมแบบไร้เสียง แต่ในวินาทีนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นของน้ากานดา และตามมาด้วยเสียงที่บอกให้ผมช่วยดูแลหนึ่งที่ได้ยินเป็นประจำ

     ผมเม้มปาก ชักมือกลับในทันที

     หนึ่งเองก็ดูงุนงงไม่น้อยเมื่อผมลุกขึ้นยืน จัดการเก็บข้าวของที่หยิบมาพร้อมกับเอา Power Bank และสายชาร์ตโทรศัพท์ให้มัน

     “ก่อนนอนอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ” ผมว่าเสียงเรียบ “พรุ่งนี้กูคงมาตอนบ่ายๆ นะ”

     “อะ อื้อ...” คนบนเตียงตอบรับเสียงเบา

     ผมคว้ากระเป๋าเดินออกมาจากห้องโดยไม่ได้เอ่ยคำลาใด ไม่ได้มองมันตอนประตูปิดลง พอออกมาก็เดินตรงไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว

     ระหว่างรอลิฟต์นั่นเองที่ผมได้แต่เอามือกุมขมับ นวดศีรษะเบาๆ อย่างเหนื่อยอ่อน

     ...เกือบไปแล้ว





-------------------------------------
หายหน้าไปนานขอโทษนะคะ
พอดีไปจัดการเรื่อง e-book มา (แต่ใช้อีกนามปากกาเนอะ)

นอกจากนี้แอบไปแต่งเรื่อง โคตร สั้นมาด้วยค่ะ
MIDSUMMER's ICE CREAM : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52997.0

ตอนนี้ชอบไม่ชอบยังไง คอมเม้นในนี้
หรือเจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ XD
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 10 - ขอขมา (10.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 10-04-2016 19:49:06
เรายังไม่เข้าใจ ความรู้สึกของป้อง ในท้ายตอนเท่าไหร่ เหตุผลของการยั้งหัวใจคืออะไรกันแน่  คำฝากฝังของน้ากานดา ไม่ใช่คำห้ามเสียหน่อย มีอะไรลึกๆกว่านั้นหรือเปล่า ยั้งทำไม ฮือ รักสิ รักได้แล้ว :katai1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 11 - ป่วย (13.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 13-04-2016 21:06:21
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 11
‘ป่วย’



     หนึ่งออกโรงพยาบาลในหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น

     ผมเห็นหนึ่งหัวหมุนกับชีวิตที่มหาวิทยาลัยพอดู พอกลับมาไม่อยู่เย็นที่คณะก็ต้องแบกเอางานมาทำที่ห้อง แต่ผมเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งแลป ทั้งควิซ ประเดประดังเข้ามาหาในช่วงใกล้ไฟนอลเหมือนทุกครั้ง ถึงกระนั้น ผมก็ยังเคยชินกับการไปรับไปส่งหนึ่งที่คณะ

     ข่าวแว่วออกมาว่ากริช แฟนเก่าหนึ่งไม่มาเรียนอีกแล้ว มันจัดการลาออกไปเรียบร้อยซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ผมรู้สึกเบาใจขึ้น

     “จริงๆ เฮียเลิกมาส่งหนึ่งก็ได้นะ”

     ตอนมันออกจากโรงพยาบาลแรกๆ มันบอกกับผมอย่างนั้น

     “เพราะว่ากริชก็ออกไปแล้วใช่ไหมล่ะ แล้วท่านนายพลก็จัดการให้แล้วด้วย หนึ่งไม่เป็นอะไรหรอก”

     แต่ผมก็ปฏิเสธไป ไม่รู้คิดมากไปหรือเปล่า ผมคิดว่ามันยังวางใจไม่ได้เท่าไหร่นัก

     วันนี้ก็เหมือนปกติ ผมไปรอหนึ่งที่คณะจนฟ้าเปลี่ยนไปสีส้ม ซื้อข้าวปลาอาหารไปให้มันพร้อมกับเพื่อนๆ ที่นั่งหน้าตาเคร่งเครียด คนหนึ่งจับดินสอ คนหนึ่งถือยางลบ อีกคนถือไม้ที

     พอหนึ่งเห็นผมเดินมาพร้อมถุง 7-11 มันก็คว้าถุงไปทันที “ขอบคุณเฮีย”

     “วันนี้กลับกี่โมง” ผมเอ่ยปากถามเพื่อนของหนึ่ง ขนาดแก้วตาที่ดูเป็นคนชอบแต่งหน้าแต่งตัวยังดูโทรม ท่าทางงานจะหนักน่าดู

     “จริงๆ หนึ่งกลับไปก่อนก็ได้นะ” แป้งเป็นคนพูดขึ้น “ตอนกลางวันแป้งกับโอ๊ตก็ไม่อยู่ ทำกันอยู่สองคน เดี๋ยวพวกเราทำบ้างก็ได้”

     “ไม่เป็นไร ให้มันทำไปเถอะ”

     หนึ่งหันมามองตาขวางทั้งๆ ที่กำลังกินข้าวปั้นสามเหลี่ยมอยู่อย่างมูมมาม

     “ไอ้หนึ่ง มึงแบ่งคนอื่นกินด้วย”

     ผมเอาสันมือฟาดไปบนหน้าผากมันเบาๆ มันบ่นอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ออกจนผมต้องเปิดขวดน้ำยื่นให้มัน ทำท่าอย่างกับข้าวปั้นติดคอ

     เนื่องจากตกลงได้ว่าหนึ่งจะทำงานกับเพื่อนให้เสร็จส่วนที่กำลังทำอยู่นี่ก่อน ผมเลยหยิบเลกเชอร์ที่ตัวเองเขียนไว้ตอนกลางวันมาลอกใหม่ข้างๆ มันสำหรับสอบครั้งที่จะถึงนี้ เพื่อนของหนึ่งเองก็เคยชินกับผมมารอหนึ่งแบบนี้แล้ว อย่างไอ้โอ๊ตนี่แทบจะเรียกผมว่าไอ้เหี้ยเลยด้วยซ้ำ

     ราวๆ ครึ่งชั่วโมงงานทุกอย่างก็เสร็จ วันนี้หนึ่งไม่ได้แบกอะไรกลับห้องไปทำทั้งนั้น

     พอเรามาถึงคอนโด ผมก็ปล่อยให้หนึ่งอาบน้ำโดยนั่งลอกเลกเชอร์ต่อบนโต๊ะ

     “เฮียกินข้าวแล้วเหรอ” มันเอ่ยปากถามตอนอาบน้ำเสร็จแล้ว

     “อื้อ” ผมไม่หันไปมองหน้ามันด้วยซ้ำ “เสร็จก่อนไปคณะมึงอีก” ก็คิดดูแล้วกันว่าวันนี้ผมกลับมาดึกแค่ไหน

     หนึ่งส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนที่จะเดินเข้ามาชะโงกดูว่าผมทำอะไร “ขยันจัง”

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ยามกลิ่นแชมพูและสบู่ของหนึ่งโชยมาแตะจมูก แถมหยดน้ำจากเส้นผมของหนึ่งยังหยดลงมาโดนหน้าผมเสียอีก แต่ดูเหมือนมันจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลย

     “หนึ่ง”

     “หืม?”

     มันก้มหน้าลงมา ในจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นไป ตอนเราสบตากัน ใบหน้าเราใกล้กันเกินกว่าที่ผมคิดอีก จมูกของผมแทบจะเฉียดแก้มของมันแล้วด้วยซ้ำ

     ผมนับหนึ่ง...สอง...สาม

     “ถอยไป”

     “อะ อื้อ” หนึ่งผละไปง่ายดายแต่ไม่วายเสียงสั่น

     ผมหันไปมองมันเกาศีรษะเล็กน้อยก่อนที่จะไปทิ้งตัวบนเตียงจนผมต้องเอ่ยปากบ่น “รอผมแห้งก่อนแล้วค่อยนอนสิวะ เดี๋ยวหัวก็ขึ้นราหรอก”

     “ขี้บ่น!” มันตอกกลับมาเสียงงอแง ไม่สนอกสนใจเลยด้วยซ้ำ

     “ไปใส่เสื้อก่อนด้วย” ผมว่าพลางลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำไปบ้าง ไม่ลืมที่จะตีแขนมันเบาๆ ตอนเดินผ่านเตียง

     พอจัดการอาบน้ำเสร็จ ผมก็เห็นว่าหนึ่งยังนอนที่เดิม ไม่ใส่เสื้อเหมือนเดิม แถมผมก็ยังเปียก เดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่ามันผล็อยหลับไปเสียแล้ว เล่นเอาผมต้องถอนหายใจออกมา

     “หนึ่ง” ผมเดินเข้าไปสะกิดมันเล็กน้อย

     ได้ผล หนึ่งสะดุ้งตัวขึ้นมาแทบจะในทันที มันมองผมด้วยความตกใจ ผมไม่มั่นใจว่ามันตกใจที่มันเผลอหลับไปและรู้ดีว่าผมจะด่า หรือว่ามันเป็นเพราะสาเหตุอื่น

     บางทีหนึ่งก็สะดุ้งขึ้นมากลางดึก ผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นสาเหตุเดียวกับครั้งนี้ไหม

     ผมเลยได้แต่เอามือเกาท้ายทอยขณะขบคิด และรู้ตัวว่ามันเงียบเกินไปแล้วตอนที่หนึ่งเอ่ยปากถามออกมา

     “มีอะไรเฮีย”

     “ไปใส่เสื้อ” ผมชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า “แล้วเป่าผมด้วย”

     “เดี๋ยวมันก็แห้งน่า” มันบ่นงุบงิบแต่คราวนี้ยอมเดินไปหยิบเสื้อยืดตัวเก่ามาใส่อย่างที่บอก ผมเห็นมันจามเล็กน้อยจนผมอดบ่นต่อไม่ได้

     “ก็รู้ว่าตรงนี้แอร์ตกยังจะมานอนอีก”

     “รู้แล้ว บ่นจังเลย ใครจะเป็นเมียเฮียนี่ต้องทนน่าดูเลยนะ”

     ผมถอนหายใจ “ระวังเถอะ เป็นหวัดแล้วกูจะสมน้ำหน้าให้”



     ผมมันปากพระร่วง

     ตกเย็นของวันถัดมา หนึ่งจามแถมเริ่มมีเสียงแหบ เช้าวันใหม่ก็หมดสภาพ

     “ไข้ขึ้น” ผมว่าพลางถอนมือออกจากหน้าผากของมัน “เป็นไงล่ะมึง”

     “ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย...”

     มันไม่วายปากเก่งแต่เสียงแหบแห้ง ท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอผมถามว่ามันจะไปเรียนไหมหนึ่งก็ยืนยันว่าวันนี้ต้องไปเรียน ปกติมันไม่ค่อยขยันเท่าไหร่ ครั้งนี้คงจะมีส่งงาน

     “คลาสแรกกี่โมง”

     “เก้า” หนึ่งตอบเสียงอู้อี้

     ผมมองนาฬิกาพบว่าตอนนี้เจ็ดโมงครึ่ง เลยบอกให้หนึ่งนอนอีกสักพักก่อนที่จะไปเรียน โชคดีที่วันนี้ผมมีเรียนตอนเก้าโมงครึ่ง ไปส่งมันได้สบายมาก
   
     หนึ่งนอนไปอีกเกือบชั่วโมงผมถึงปลุกมันมากินข้าว กินโจ๊กสำเร็จรูปที่มีอยู่กับไข่ลวก พร้อมกับยาลดไข้ที่ผมมีติดกระเป๋าไว้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนนอนไปก็ไม่ได้อาการดีขึ้นเท่าไหร่นัก
   
     “อย่าลืมกินยาแล้วกัน”

     “อื้อ” หนึ่งตอบพลางรับถุงยาที่ผมส่งให้

     พอมันป่วยแบบนี้ก็เหมือนหมาหงอย ไม่ค่อยดื้ออะไรเท่าไหร่นัก ผมไปส่งมันที่คณะ รออยู่ที่นั่นจนเจอแป้งกับแก้วตาผมจึงเดินออกมา ไม่ลืมที่จะบอกว่ามันป่วยอยู่

     “เดี๋ยววันนี้มึงไปแค่พรีเซ้นต์ก็พอมั้ง” แก้วตาเอ่ยปาก “มีพรีเซ้นต์คาบเช้าคาบเดียวค่ะเฮีย เดี๋ยวให้มันกลับเลยก็ได้”

     “เลิกกี่โมง”

     “เที่ยงครึ่งค่ะ”

     ผมลังเล นั่นเป็นเวลาที่ผมเริ่มทำแลปพอดี จะปลีกตัวมาส่งมันก็คงไม่ได้ ผมเลยต้องจำใจขอให้สองสาวช่วยไปส่งมันที่คอนโดด้วย

     “เดี๋ยวดิ” มันดึงแขนเสื้อผมตอนที่ผมบอกลากับเพื่อนมันแล้ว “หนึ่งกลับเองได้นะ”

     “ให้เพื่อนไปส่งน่ะดีแล้ว”

     “แต่...” มันทำท่าจะเถียง แต่สุดท้ายก็กัดริมฝีปากตัวเอง “เฮียไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้สักหน่อย เรื่องมันก็จบไปแล้วนี่นา”

     “กูระแวงเอง พอใจรึยัง ไปเรียน” ผมชี้นิ้วไปทางบันได “แล้วอย่าลืมกินยาด้วยนะ”

     หนึ่งหน้าง้ำงอแต่ก็ยอมเดินไปหาสองสาวอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ผมมองมันจนเดินขึ้นบันไดไปแล้วจึงเดินออกมาจากคณะสถาปัตยกรรมของมันเพื่อไปถึงคณะตัวเองให้ทันเวลา



     “มึงไปส่งน้องหนึ่งมาอีกแล้วสินะ”

     ผมแกล้งทำหูทวนลม ไม่ยินคำพูดใดๆ จากไอ้กันต์ที่ดูพยายามจะให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษตั้งแต่ผมหายหน้าไปหนึ่งวันเพื่อเฝ้าหนึ่งที่โรงพยาบาล

     “มึงยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอวะกันต์” ไอ้ภีมเป็นคนเอ่ยปากแทนผม “มึงก็รู้ว่าไอ้ป้องมันคงจะยอมบอกมึงง่ายๆ หรอก”

     “คนเขาพูดกันให้แซ่ด”

     ผมถอนหายใจ อะไรทำให้หลวมตัวไปคบกับผู้ชายขี้นินทาวะ

     “แต่กูก็อยากรู้นะ”

     “กูนึกว่ามึงเข้าข้างกูนะ” ผมอดไม่ได้ที่จะฟาดมือไปบนหัวไอ้ภีมด้วยความหมั่นไส้ ทำมาพูด สรุปก็สู่รู้พอกัน

     ยอมรับว่ายิ่งหนึ่งหายหน้าไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมาพร้อมกับเรื่องว่าไอ้กริชลาออกไปแล้ว แถมผมยังต้องคอยไปรับไปส่งหนึ่งจนคนในคณะมันแทบจะจำหน้าผมได้อยู่แล้ว คนก็ยิ่งพูดไปเรื่อย ใช่ว่าไม่รู้เรื่อง แต่ผมเองที่แกล้งทำเป็นไม่รับรู้อะไรสักอย่างเดียว

     ไอ้กันต์นี่ตัวดี แสดงทักษะการเสือกอย่างไม่ปิดบังตลอดมา พอตอนเช้าก็บอกว่าไปส่งหนึ่ง พอตอนเย็นก็บอกว่าไปรับหนึ่ง

     “มึงน่าจะทำอะไรให้ชัดเจน” ไอ้กันต์พูดต่อไม่หยุดปาก “มีคนต่อคิวรอจีบหนึ่งเป็นแถว”

     ผมเลิกคิ้ว นั่นถือเป็นข้อมูลใหม่ “ขนาดนั้นเชียว?”

     “ก็นะ... น้องเขาหน้าตาดีนี่นา แถมไม่ปิดบังด้วยว่าไม่เป็นเกย์ แล้วก็ไม่ออกสาว”

     คำพูดของไอ้กันต์ที่ดูรู้ลึกรู้จริงทำให้ผมกลอกตา “มึงแอบชอบมันใช่ไหมวะ”

     “เปล่า แม้กูจะหวั่นไหวเป็นครั้งคราว อั๊ยย่ะ!”

     อั๊ยย่ะพ่อง ผมด่ามันในใจ แต่ไอ้กันต์ก็ไม่หยุดปากบอกว่าหนึ่งเป็นคนที่มีใครหลายคนเล็งไว้แม้ว่าไม่โสด แต่ส่วนมากไม่กล้าประกาศตัวเพราะก่อนหน้านี้คบกับไฮโซหัวนักเลง พอตอนนี้ที่มีคนพูดว่าเลิกกันเลยมีคนอยากเข้าเสียบแทน แต่มีผม

     “ถ้ามึงไม่ชอบน้องเขามึงก็เลิกตามยุ่ง เชื่อกู” ไอ้กันต์ตบบ่าผมเบาๆ “เพราะตอนนี้มีหลายคนหมั่นไส้มึงอยู่”

     “อื้อหือ” ผมย่นจมูกอย่างขัดใจ “กูเกี่ยวอะไร”

     “ก็ลองคิดสิ คนที่ใครกำลังเล็งอยู่มีไอ้เนิร์ดจากไหนก็ไม่รู้มาคาบไป”

     “ขอบคุณที่ให้กูเป็นไอ้เนิร์ด” ผมกลอกตาอย่างหงุดหงิด

     “แต่จริงๆ แล้ว...” ไอ้ภีมที่เงียบมานานเอ่ยปากบ้าง “กูก็คิดนะว่าสรุปมึงเป็นเกย์จริงๆ แล้วยอมรับไม่ได้รึเปล่า หรือว่ามึงไม่คิดอะไรกับน้องเขาจริงๆ”

     “ถ้ากูเป็นเกย์กูก็ยอมรับได้ง่ายๆ นะ” ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเล

     แต่... มีคำหนึ่งที่ลึกๆ ในใจของผมร้องขึ้นมา ไม่ใช่ผมยอมรับไม่ได้ถ้าตัวเองจะเป็นเกย์

     ผมแค่ยอมไม่ได้ที่จะชอบมัน

     แค่มันเท่านั้นจริงๆที่ผมไม่อยากจะ...รัก



     หนึ่งไม่หายจากอาการป่วยง่ายๆ แต่ไม่ยอมหยุดเรียนเสียที ผมเลยบอกว่าในเมื่อวันเสาร์นี้มันต้องไปหาหมอเพื่อตรวจเช็กอาการเพิ่มเติม มันก็คงจะต้องไปแบบนี้อีกสักสองอาทิตย์

     แต่พอคืนวันพฤหัส มันกลับแบกข้าวของมาเยอะเสียจนผมตกใจทั้งที่สภาพตัวเองอิดโรยเต็มแก่

     “อะไรเนี่ย?”

     “ทำโม” มันเอ่ยปาก คงเห็นผมทำหน้างงเลยเสริมต่อ “โมเดล”

     “ต้องทำตอนนี้เลยเหรอวะ” ผมมองข้าวของตรงหน้า ตอนผมอยู่กับมันก่อนมันย้ายไปหากริชยังไม่เห็นต้องมีข้าวของมากมายขนาดนี้เลย ท่าทางปีหน้าก็คงมีของเยอะขึ้นอีกแน่ๆ

     “ทำตอนนี้แหละ”

     ผมเออๆ ออๆ ไป พอกลับมาถึงคอนโด หนึ่งก็จัดการตัดกระดาษนู่นนี่เยอะแยะไปหมดหลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเองก็ต้องใส่ใจกับเท็กซ์บุ๊กและเลกเชอร์ของตัวเอง จนสักห้าทุ่มได้ผมถึงหันมาสนใจกับมัน

     มือหนึ่งของหนึ่งจับกรรไกร อีกมือจับกระดาษ ท่าทางทะมัดทะแมง

     “มีอะไรให้ช่วยบ้าง”

     หนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “เฮียจะช่วยหนึ่งเหรอ”

     “เออสิวะ มึงจะเสร็จไหมเนี่ยคืนเนี้ย”

     “มันทำคืนเดียวไม่เสร็จหรอกเฮีย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องเอาไปให้คนอื่นช่วยอีก คงทำนานหน่อย” มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วเฮียไม่อ่านหนังสือแล้วเหรอ”

     “กูอ่านจบแล้ว”

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็ตาลุกวาว ดูมีความสุขเป็นพิเศษเมื่อมีคนช่วย

     หนึ่งรีบบอกให้ผมนั่ง จัดการบอกผมว่าผมทำอะไรบ้าง ส่วนมากก็ตัดกระดาษตามที่มันวาดไว้แล้ว พวกเรานั่งทำงานของมันกันอยู่อย่างนั้นจนถึงเกือบตีสอง หนึ่งถึงได้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย

     “หนึ่ง” เจ้าของชื่อหันหน้ามาเลิกคิ้ว “มานี่สิ” มันก็ทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย

     ผมวางหลังมือลงบนหน้าผากของหนึ่ง จริงๆ หนึ่งหายไข้ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่มีอาการเจ็บคอและมีน้ำมูก แต่เหมือนวันนี้หนึ่งจะกลับมามีไข้ใหม่ น่าจะเป็นเพราะว่ามันทำงานจนดึกมาหลายวันจนร่างกายอ่อนแอ

     “ไปนอนพักก่อนไป”

     หนึ่งทำหน้าลังเล ผมเลยพูดต่อ “นอนสักชั่วโมงก็ได้ เดี๋ยวเฮียปลุก พรุ่งนี้มีเรียนเช้ารึเปล่า”

     “ไม่ ยกคลาส แต่หนึ่งไปให้รุ่นพี่ช่วยแต่เช้าเลย”

     ผมเลิกคิ้ว “รุ่นพี่?”

     “พี่รหัส ไม่ต้องเป็นห่วงน่า”    

     พอมันพูดแบบนั้นผมก็เลยไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม บอกแค่ให้หนึ่งไปนอนเสียก่อนแล้วเดี๋ยวผมค่อยปลุก เพราะว่าพรุ่งนี้คณะผมมีงานอะไรสักอย่างเลยยกคลาสตอนเช้าเหมือนกัน

     หนึ่งยอมแพ้ ท่าทางจะไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยไปนอนบนเตียง สักพักก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่ามันเข้าสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว

     ผมนั่งตัดนู่นตัดนี่ไปตามที่หนึ่งฝากฝังไว้ สักพักหนึ่งผมถึงลุกขึ้น เดินตรงไปหามันและตัดสินใจอุ้มมันไปนอนเตียงผม ตัวมันเบาถ้าเทียบกับส่วนสูง ผมคิดเอาเองว่าน่าจะน้ำหนักลดหลังเข้าโรงพยาบาล แต่ครั้งนี้คงจะหนักจริงๆ เพราะผมอุ้มไป หนึ่งก็ไม่รู้สึกตัว ผมแตะหน้าผากพร้อมทั้งซอกคออยู่พักหนึ่งเพื่อเช็กอุณหภูมิร่างกาย แล้วจึงตัดสินใจห่มผ้าให้อีกฝ่ายจนถึงอก ถ้าอีกชั่วโมงไข้ยังไม่ลดอาจจะต้องเช็ดตัว

     ผมถอนหายใจ มองเศษกระดาษ กรรไกร คัตเตอร์ ต่างๆ ของมันก่อนที่จะนั่งลงและจัดการหยิบกรรไกรขึ้นมาทำงานของมันต่อไป






------------------------------------------
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ
ใครอยู่บ้านขอให้มีความสุข
ใครไปเที่ยวขอให้มีความสุข
ระวังตัวด้วยนะคะ

#ขอให้ไม่ใช่รัก

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 11 - ป่วย (13.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 14-04-2016 00:11:44
ทำไมถึงไม่อยากรัก ล่ะ :katai1: ตอนนี้มีเซอร์วิสคนอ่านนิดหน่อยนะคะ มีอุ้ม มีห่วงตอนเป็นไข้ ช่วยตัดโมฯ ด้วย ค่อยยังชั่ว ไม่งั้นคนอ่านจะหมั่นไส้ ปกป้องแล้ว
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 11 - ป่วย (13.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 14-04-2016 07:09:21
ป้องจะรักได้ยังไงถ้าหากว่ายังรู้สึกผิดที่ไม่สามารถที่จะปกป้องหนึ่งได้แบบนี้
รากฐานของความรู้สึกผิดของป้องนี่มันฝังรากลึกมากๆเลยทีเดียว
เราชอบนะตัวละครที่มีปม มีข้อแม้ให้ตัวเอง
ปกป้องพยายามมากๆ   มันดูบริสุทธิ์ค่ะ 
ตราบใดที่ปกป้องยังสามารถที่จะหักห้ามใจตัวเองไว้
เป็น Father figure กลายๆให้กับหนึ่งเลยทีเดียว
พี่สาวป้องก็น่าจะพอมองออกแล้วบ้าง
แต่ก็น่าจะก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกผิดกับความสนใจฉันแฟน

ตอนแรกที่อ่านเราคิดว่าน้ากานดานี่เหมือนแม่ที่มีฐานะอยุ่ไกลลูกอะไรแบบนี้
หักมุมแคแร็คเตอร์ได้น่าสนใจดีค่ะ
ชอบจุดเล็กๆน้อยๆที่คุณนำเสนอ
ปกป้องที่ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้ แต่ก็พยายาม
กริช พ่อ แม่  ที่มาขอขมาคนมีอำนาจไม่ใช่ผู้เสียหาย
ที่จริงเราลืมชื่อเรื่องไปเลยนะนี่ ถึงได้ข้ามไปตอนที่มาอัพตอนที่แล้ว
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 11 - ป่วย (13.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-04-2016 20:10:23
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 12
‘กรรไกร’



     “เฮีย! เฮียป้อง!”

     ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อไม่ได้ได้ยินแค่เสียงตะโกน แต่มีร่างทั้งร่างทิ้งตัวลงมาบนผมที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ไอ้เด็กเวร ผมได้แต่กัดฟัดกรอดด่ามันในใจ ใบหน้าของหนึ่งอยู่ใกล้กว่าที่คิด อุณหภูมิในร่างกายมันร้อนกว่าปกติ หรือว่าเป็นผมเองที่ตัวเย็นก็ไม่รู้

     “เฮียทำทั้งหมดนี่เหรอ!” มันโวยวายเสียงดัง “ทำไมไม่เรียกหนึ่งล่ะ”

     ผมกระชากผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “กูจะนอน”

     “เฮียยยย!” เรียกคำว่าเฮียเสียงสูงจนเสียงเพี้ยนอีกแล้ว

     มันโวยวายอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลุกออกไปจากตัวผม เสียงเบาลงเรื่อยๆ และเงียบลงในที่สุดจนผมต้องเอามือควานหาโทรศัพท์และพบว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้า

     “เจ็ดโมงครึ่งปลุกกูด้วย”

     ได้ยินเสียงตอบรับดังออกมาจากปลายเตียงผมเลยชะโงกหน้าดู หนึ่งยังวุ่นวายกับงานโมเดลของมันเหมือนเดิม โชคดีที่ผมช่วยมันไปเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี

     ผมมองมันที่บ่นงุบงิบตามประสาแล้วอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น

     หนึ่งมองผมอย่างงุนงง “อ้าว ไม่นอนแล้วเหรอเฮีย”

     “ไม่ล่ะ” ผมเดินลงไปนั่งตรงข้ามมัน มีกองกระดาษและเครื่องเขียนคั่นกลาง “ไหน มีอะไรให้กูทำบ้าง”



     ผมยกคลาสตอนเช้า มีเรียนอีกทีก็ตอนบ่ายสอง แต่เป็นคาบที่มีสอบควิซด้วย เลยคิดว่าคงจะต้องไปช่วยติวให้เพื่อนๆ ก่อนสักชั่วโมง

     “จริงๆ เฮียกลับเลยก็ได้นะ” หนึ่งบอกผมแบบนั้นหลังจากผมเดินแบกข้าวของมาให้ที่โรงอาหารบริเวณคณะสถาปัตยกรรมของมัน “เฮียเรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ”

     “จะไปนั่งไหน”

     “เฮียไม่ได้ฟังหนึ่งเลยใช่ไหม”

     มันบ่นเบาๆ ก่อนที่จะกวาดสายตา น่าจะมองหาพี่รหัสของมันนั่นแหละ พอมันเจอแล้ว หนึ่งก็เดินตรงดิ่งไปทันที ไม่มีการเรียกอะไรผมทั้งนั้น

     “พี่เต้ย ขอบคุณมากนะที่มาช่วย”

     ผมจัดการวางของบนโต๊ะ แล้วจึงได้เห็นหน้าพี่รหัสมันชัดๆ

     ฟังจากที่หนึ่งเรียกเมื่อกี้ พี่เต้ย หรือพี่รหัสของมันเป็นผู้ชายดูสะอาดสะอ้านกว่าเด็กคณะนี้ทั่วไปที่ผมคิดไว้ (หรือผมมองไอ้คนซกมกอย่างหนึ่งเป็นมาตรฐานอยู่ก็ไม่รู้) ผมยาวแต่รวบไว้ครึ่งหัว ใบหน้าขาวสะอาดตา ดูตี๋แบบที่รู้เลยว่ามีเชื้อจีนอยู่แน่ๆ

     “ไม่เป็นไรเว้ย กูว่างๆ” พี่รหัสมันบอกแบบนั้น “แล้วนั่นใคร”

     “อ๋อ เฮียป้อง” หนึ่งจัดการแนะนำผมเสร็จสรรพ “เป็นเมทผมน่ะ”

     “ที่บอกว่าเป็นหมอหมาน่ะเหรอ หน้าให้นะเนี่ย ดูติ๋มๆ ดี” ผมย่นจมูก นึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ไม่รู้ว่าหนึ่งไปเล่าเรื่องผมไปไว้ยังไงบ้าง แต่การพูดจาแบบนี้ใส่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย

     หนึ่งเองก็คงรู้นิสัยผมดี เลยก้มลงไปบอกกับพี่รหัสมันเบาๆ “เฮียป้องปีสามนะ”

     “อ้าวเหรอ โทษที” แต่ไอ้เต้ยนี่ก็ไม่ได้ดูสำนึกอะไรเท่าไหร่ “เดี๋ยวคนอื่นก็คงมาช่วยด้วยแหละ แต่ว่ามันคงมาสักเที่ยงมั้ง ตอนนี้กูเลยมาคนเดียวก่อน”

     “ขอบคุณมากนะ”

     “เดี๋ยวเลี้ยงเหล้ากูสักวันแล้วกัน”

     “งานเสร็จแล้วจะเลี้ยงเลย”

     ผมมองเด็กสองคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจ้าคนเจ้าปัญหาจะหันมาหาผม “เฮียจะนั่งนี่จริงๆ เหรอ”

     เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยอย่างไร้สาเหตุ แต่สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงพยักหน้า และทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ หนึ่ง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน พร้อมๆ กับหูฟัง

     ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะผมเปิดเพลงเสียงเบาเกิน หรือว่าหนึ่งคุยกับพี่รหัสมันด้วยเสียงดังเกินไปกันแน่ ผมได้ยินแต่พวกมันคุยกันด้วยคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ และไม่เคยคิดว่าตัวเองควรจะเข้าใจด้วย เดี๋ยวเสียงดัง เดี๋ยวโวยวาย สักพักก็เงียบ เป็นแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจนกลางวันก็มีคนมาใช้โรงอาหารเยอะขึ้น ไอ้เต้ยเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินบ้าง

     “เอาไรปะ” มันถามพวกผมสองคน

     หนึ่งจัดการสั่งอาหารชุดใหญ่ในขณะที่ผมฝากแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวด คิดว่าเดี๋ยวคงจะไปซื้ออะไรกินทีหลัง

     “เฮียกลับเลยก็ได้นะ” พอพี่รหัสมันเดินไป หนึ่งก็หันมาพูดกับผมเช่นนั้นทันที

     ผมเลิกคิ้ว “ทำไมกูต้องไป”

     “ก็... เสียงดัง?” มันทำท่าไม่มั่นใจนักตอนที่ตอบออกมา

     “นึกว่าอยากอยู่มันสองคน”

     “ตอนเฮียนั่งเงียบๆ ก็เหมือนอยู่สองคนนะ”

     ผมหงุดหงิด...อีกแล้ว

     “ช่างเถอะ” ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือการตอบปัด “แล้วมึงอาการดีขึ้นแล้วเหรอ เสียงยังแหบอยู่เลย”

     “แต่ไม่คัดจมูกแล้วนะ”

     แหงล่ะ... เมื่อวานก็เป็นผมเองที่แบกมันให้ไปนอนที่ที่แอร์ไม่ตก บอกให้ย้ายที่กับผมมาตั้งนานแล้วก็ไม่ฟังต้องจัดการตอนหลับ ดื้อเสียจริงๆ

     หนึ่งจัดการทำนู่นทำนี่ต่อโดยที่ผมนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไอ้เต้ยกลับมาพร้อมกับข้าวปลาอาหาร พวกมันทั้งสองเลยหยุดทำงาน มากินข้าวกันชั่วคราว

     ระหว่างนั้น เพื่อนที่นัดกันว่าจะติวก็ได้ไลน์มาหา ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปคณะของตัวเองสักที

     “จะไปแล้วเหรอ”

     “อืม” ผมพยักหน้าให้หนึ่ง “วันนี้กลับเย็นไหม”

     มันกรุ่นคิดชั่วครู่ “คงจะกลับหอไปรอบแล้วค่อยออกมาทำงานกับพวกไอ้โอ๊ตมั้ง”

     “โอเค กูเลิกคลาสสี่โมงครึ่ง มารอที่คณะแล้วกัน” ผมจัดการสรุปและเดินออกมา แต่เพราะฉุกคิดขึ้นได้เลยย้อนกลับไปทั้งๆ ที่เดินจากมาไม่ถึงสิบก้าว “อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ”

     “รู้แล้วน่า!”

     พอมันรับคำส่งๆ ผมจึงเดินออกมา แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาสงสัยจากพี่รหัสของหนึ่งเสีย



     ครั้งนี้ผมรู้สึกดีนิดหน่อย ข้อสอบเป็นเรื่องที่เข้าปากผมพอดี แม้ว่าจะอ่านหนังสือน้อยกว่าครั้งอื่นๆ แต่ก็คงไม่ตกมาตรฐาน เพื่อนๆ ในเซคขอบคุณผมชนิดที่ว่าแทบกราบกราน เพราะว่าตอนที่จัดการไปติวให้มีคนถ่ายโน้ตย่อของผมลงกรุ๊ปไลน์ แล้วมีข้อสอบในนั้นเสียเยอะ

     “มึงอยากกินอะไร พวกกูพร้อมเลี้ยงมึงเลยนะ”

     “ขอบใจ” ผมว่าอย่างหน่ายๆ ตอนเดินลงมาพร้อมๆ กับทุกคนในเซค “แต่ไม่ดีกว่า”

     “ไม่เอาจริงๆ เหรอวะ” ไอ้กันต์ทำหน้าเสียใจ “มึงจะทิ้งกูไปคนเดียวอีกแล้วเหรอ”

     มึงทำอย่างกับกูไปกับมึงบ่อย

     ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยร่วมกิจกรรมเท่าไหร่นัก สนิทกับเพื่อนในเซคเฉพาะช่วงสอบเท่านั้น ยิ่งมิดเทอมนี่ยิ่งสนิทกันเลยด้วยซ้ำ เพราะว่ามักจะมีคนมาขอร้องให้ผมมาติวบ่อยๆ (บางครั้งไอ้กันต์ก็เป็นคนป่าวประกาศ) บ่อยครั้งพอสอบเสร็จก็จะมีของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ มาให้ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงข้าวสักมื้อ น้ำสักแก้ว แต่อะไรที่ผมไม่อยากไปก็คือไม่อยากไป ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องลำบากขนาดนั้นที่จะช่วยติวคนอื่น และมันก็เป็นความจริงที่ว่าพอสอบเสร็จผมมักจะอยากกลับไปนอนมากกว่า

     “กูรู้แล้ว!” ไอ้กันต์โพล่งขึ้นมา “มึงจะไปรับน้องหนึ่งอีกล่ะสิ”

     เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกว่าทุกสายตาจับจ้องมาทางผมอย่างไม่เชื่อสายตา

     “จริงเหรอป้อง” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา สีหน้าตกใจไม่ใช่น้อย “นี่คิดว่าที่คนพูดๆ กันเขาพูดเล่นเสียอีก”

     ผมจิ๊ปาก ไอ้กันต์แม่งปากสว่างเสมอ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรหยิบยกมาพูดเลยด้วยซ้ำ

     “คนเขาพูดอะไรล่ะ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

     “ก็เรื่องที่ป้องเป็นแฟนใหม่หนึ่งไง”

     ผมหันไปมองตัวปัญหา ไอ้กันต์น่าจะรู้แล้วว่าผมเริ่มไม่สบอารมณ์มันเลยเริ่มทำสีหน้าตื่นเพราะเพื่อนในเซคเปลี่ยนประเด็นมาเป็นเรื่องของผมกับหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว

     “ไม่ใช่” ผมตอบ เสียงเริ่มขุ่นขึ้นเล็กน้อย

     “งั้นก็ดีแล้วแหละ” เพื่อนผู้หญิงคนเดิมเอ่ยปากขึ้น ถือวิสาสะมาตบไหล่ผมเบาๆ อีกต่างหาก “คนดังแบบนั้น ข่าวเสียก็เยอะ เป็นแฟนของคนมีปัญหาก็คงจะไม่เบาเหมือนกันแหละ”

     ผมได้ยินไอ้กันต์อุทานว่า ไอ้เหี้ย เบาๆ

     คำพูดของหล่อนดูไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมเอามือของเธอที่กำลังแตะบ่าผมลง ก่อนที่จะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

     “หนึ่งไม่ได้เป็นแฟนเรา” เจ้าหล่อนงง ราวกับจะถามว่าผมจะย้ำให้ฟังทำไมหลายหน “แต่หนึ่งก็ไม่ได้เป็นคนที่ ‘ไม่เบา’ แบบที่พูดหรอกนะ”

     “...” ทั้งเซคหยุดเดิน มองผมอย่างเต็มตา

     “ทำอะไร ก็หัดระวังคำพูดคำจาไว้บ้างดีกว่า”

     ผมปล่อยมือของอีกฝ่ายที่หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เดินลงบันไดออกไปจากกลุ่ม ได้ยินไอ้กันต์พูดอะไรสักอย่างจับศัพท์ไม่ได้แต่น่าจะเป็นการแก้ตัวให้ผม

     พอเดินลงมาถึงชั้นหนึ่งที่มีม้านั่งให้คนนั่ง ผมก็เจอกับหนึ่งทันทีโดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์

     หนึ่งดูดชานมไข่มุกเล่น มันไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าผมเข้ามาใกล้ จนผมยืนค้ำหัวมันนั่นแหละมันถึงเงยหน้าขึ้น “ไงเฮีย”

     “กลับกัน” ผมเอ่ยสั้นๆ “แล้วของอยู่ไหน”

     “อ๋อ เดี๋ยวออกมาอีกทีเลยฝากพวกแก้วตาไว้”

     ผมครางในลำคอ รอมันลุกขึ้นยืน เก็บหูฟังและโทรศัพท์มือถือเสร็จสรรพ แต่ไม่ทันจะเดินไปไหน ก็มีคนมาตีไหล่เบาๆ พอหันไปก็เห็นว่าเป็นไอ้กันต์

     “ไอ้ป้อง!” มันเรียกชื่อผมเสียงเขียว ผมมองเลยผ่านหัวไอ้กันต์ไปและพบว่าผู้หญิงคนที่พูดจาถึงหนึ่งกำลังร้องไห้โดยมีเพื่อนๆ ในเซคคอยปลอบอยู่ เล่นเอางุนงงไปนิดหน่อย “เกินไปปะวะ... หวานมันก็พูดไปเรื่อย ไม่รู้อะไรหรอก”

     ผมขมวดคิ้วมุ่น “กูก็ไม่ได้พูดอะไรแรงนะ”

     “กูเข้าใจๆ แต่แค่เขาพูดถึง...” ไอ้กันต์เหลือบตามองคนข้างกายผมแล้วหุบปากฉับ เฉไฉทันที “แค่เขาพูดถึง... น้องคนนั้นอ่ะ คือมึงก็ไม่ใช่คนพูดจาดีหรอก แต่แบบ เฮ้ย มันไม่ใช่ทุกคนเข้าใจมึงเหมือนกูอ่ะ”

     ผมกลอกตา แอบคิดในใจว่าถ้ามึงเข้าใจกูจริงมึงจะไม่พูดถึงหนึ่งตรงนั้น แต่รู้ดีว่าถ้าพูดออกไปก็รั้งแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง

     “เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปขอโทษเขาแล้วกัน” ผมว่าพลางถอนหายใจ “บอกเขาไปด้วยล่ะว่ากูไม่ได้โกรธ แค่เตือนดีๆ เฉยๆ”

     พอพูดจบผมก็จัดการหันไปหาหนึ่งที่ยังทำหน้างุนงงแล้วเดินออกมาเลย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงไอ้กันต์โวยวายไล่หลังมาไกลๆ

     “เฮียทำพี่คนนั้นร้องไห้เหรอ” หนึ่งถามตอนที่ผมยื่นหมวกกันน็อกให้

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ พิจารณาก่อนที่จะพยักหน้า “เออ” ถึงจริงๆ ผมจะไม่ได้โกรธอะไรมากมายขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดว่าคำพูดแค่นั้นจะทำให้เจ้าหล่อนร้องไห้ก็เถอะ

     “ละ แล้วเฮียไม่ไป...เคลียร์กับเขาก่อนเหรอ”

     “ช่างเถอะ คนร้องไห้พูดตอนนี้ก็งอแงอยู่ดี รอให้เขาสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า”

     ผมคิดว่าหนึ่งยังมีอะไรที่อยากถามอีกแต่มันก็ไม่เอ่ยปากออกมา ผมนึกขอบคุณที่มันเงียบจนเราถึงห้อง ผมจัดการโยนกระเป๋าไว้ที่พื้น เดินไปหยิบน้ำมาดื่มจนหมดขวดและไปทิ้งตัวลงบนเตียง

     “เฮีย” หนึ่งเดินตามมานั่งข้างๆ ผม “หนึ่งถามได้ไหม”

     “ถามอะไรล่ะ”

     “ตอบก่อนว่าหนึ่งถามได้ไหม”

     ผมตะแคงตัวเองหันไปมองหนึ่งเต็มๆ ตา สีหน้ามันดูเหมือนคิดอะไรอยู่ไม่น้อยจนผมต้องยอมตอบรับ “เออ”

     “น้องคนนั้นที่ว่าเนี่ย... หนึ่งเหรอ”

     คิดอยู่แล้วว่ามันต้องมาแบบนี้

     ยอมรับว่าผมไม่ได้นึกแปลกใจกับคำถามนั้น หนึ่งมองหน้าผมราวกับจะขอให้ผมตอบมันไปตามจริงทั้งที่สายตามันกำลังบอกผมว่าขอให้ไม่ใช่

     สุดท้ายผมก็หลบตา “ใช่”

     “พี่เขาพูดถึงหนึ่งว่ายังไง”

     “มึงไม่อยากรู้หรอก”

     “ไม่ หนึ่งอยากรู้” มันยังรั้น “บอกมาเถอะน่า”

     ผมมองหน้ามัน ลังเลไปชั่วอึดใจว่าจะพูดดีไหม แต่พอมองตามันทีไรก็ต้องยอมแพ้ ผมก็พูดไปตามจริงว่าอีกฝ่ายพูดถึงว่าอะไร พอมันถามว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ ผมก็ยอมบอกไปว่าเพื่อนผมเป็นคนเปิดประเด็นเพราะว่ามันกำลังอยากเค้นผมเรื่องนี้อยู่

     พอหนึ่งฟังจบมันก็นิ่งไปชั่วครู่จนผมต้องลุกขึ้นมานั่งประจันหน้ากับมันบนเตียง

     “หนึ่งว่า...” สุดท้ายมันก็เอ่ยปาก “เฮียไม่ต้องไปรับไปส่งหนึ่งแล้วก็ได้นะ”

     ผมถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “หนึ่ง มันไม่เกี่ยวปะวะ”

     “เกี่ยวดิ ก็เพราะเฮียไปส่งหนึ่งนั่นแหละ คนเขาก็มองกันอย่างนั้น”

     “แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ ก็กูต้องทำไหม”

     “แล้วทำไมเฮียถึงต้องทำ” พอโดนหนึ่งสวนคำพูดนั้นมา ผมก็ผงะไปชั่วครู่ หนึ่งมองตรงมาที่ผม ไม่ยอมหลบตาไปไหน มันมองเหมือนกับบอกให้ผมบอกความจริงมัน

     “น้ากานดาให้กูดูแลมึง”

     “เหรอ” หนึ่งเม้มริมฝีปากแน่น “ถ้าแม่ไม่บอกเฮียจะดูแลหนึ่งไหม”

     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันเสียงแผ่ว “ขอร้อง อย่าชวนกูทะเลาะได้ไหมฮะ”

     “หนึ่งแค่...” มันเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาเสียงเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน “หนึ่งแค่ไม่อยากให้ใครมองเฮียไม่ดี”

     “...”

     “หนึ่งไม่สนใจหรอกว่าคนจะมองหนึ่งยังไง แต่ว่า... หนึ่งไม่อยากให้คนมองเฮียไม่ดีเพราะหนึ่ง ไม่อยากให้คนมองเฮียเป็นเกย์ แล้วหนึ่งก็... ไม่ได้อยากให้เฮียดูแลหนึ่ง...ขนาดนี้ คนอื่นเขาคิดยังไงกับเฮีย เขามองว่าเฮียชอบผู้ชาย เขามองว่าเฮียลดตัวมาคลุกคลีกับหนึ่ง มัน...”

     หนึ่งพูดมันออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับเขื่อนแตกก่อนที่จะเงียบไป เล่นเอาผมงุนงงไปหมด มันไม่รอให้ผมตอบอะไรแต่เดินไปหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ

     ผมได้ยินเสียงฝักบัวอยู่พักหนึ่ง พอมันเดินออกมามันก็ตรงดิ่งไปหยิบนู่นหยิบนี่เข้ากระเป๋า

     “หนึ่ง!” ผมตะโกนเรียก “กูไปส่ง!”

     “ไม่ต้อง!” มันสวนกลับมาเสียงดังเหมือนกัน เล่นเอาผมเริ่มอารมณ์ขึ้นนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่ามัน “หนึ่งไปเองได้ เดี๋ยวคืนนี้หนึ่งค้างกับโอ๊ต”

     “ไอ้หนึ่ง!”

     ปัง!

     มีเสียงกระแทกประตูดังขึ้นจนผมต้องลุก ตั้งใจจะเปิดประตูไปตะโกนด่ามันเสียหน่อยแต่พอเดินไปถึงหน้าประตู มีความคิดหนึ่งวิ่งเข้ามาทำให้ผมลังเล

     หรือเป็นตัวผมเอง... ที่ทำให้มันรู้สึกอึดอัด...

     ...เป็นผมเองอย่างงั้นหรือ?






------------------------------------------
แอบตื่นเต้นที่มีคนพูดถึง Father Figure แล้วค่ะ
แต่ขอยังไม่พูดอะไรแล้วกันเนอะ
อย่าไปว่าเฮียป้องเลย

ปล. ตอนหน้ามาคุยกับหนึ่งบ้างดีมั้ยคะ ฮาา

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 12- กรรไกร (16.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 16-04-2016 20:29:37
เรารู้สึกว่าตอนนี้มันมีน้ำหนักขึ้น เหมือนเราเข้าใจที่มาของพฤติกรรมหลายๆอย่างในตอนนี้น่ะค่ะ  (แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมไม่รักนะ) เราชอบฉากที่หนึ่งพูดว่า "เฮีย...หนึ่งถามได้ไหม" มันดูอ้อนๆ และก็เป็นธรรมชาติดี
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 12- กรรไกร (16.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 17-04-2016 00:56:11
อืม ต่างคนต่างไม่เปิดใจกันเหมือนตอนเด็กๆ
เรื่องเลยไปกันใหญ่ เพราะมัวแต่เดาใจกัน คิดไปคนละทาง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 12- กรรไกร (16.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-04-2016 02:45:45
มีปมทั้งคู่เลย   ปกป้องก็มี issue ของตัวเองอยู่
มีปัญหากับเพื่อนๆในเซ็คท์ของตัวเองเหมือนกัน
เราก็ว่ารู้สึกแปลกๆที่กันต์ติดต่อกลับมาทำนองต่อว่า
ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าที่ป้องว่าเพื่อนนั้นแรงขนาดที่เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากมาย
เพื่อนร่วมเรียนของปกป้องนั้นรู้จักหนึ่งขนาดไหน?
ได้ยินมา เขาเล่ามา มโนมาทั้งนั้น แล้วก็เอามาตัดสินคนอื่น
เอามา classify จัดลำดับฐานะทางสังคมให้คนอื่น
แล้วพอโดนว่าก็ทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งกระทำคนอื่นมา
ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของคนอื่น 2 คนเชียวนะ
ปกป้องอาจจะแรงและตรงเกิน
แต่ก็ไม่ได้รุนแรงขนาดที่จะร้องไห้ลำใยอะไรปานนั้น

เราก็ไม่ได้คิดเข้าข้างหนึ่งนะ
เข้าใจว่ารู้สึกไม่ดีที่เป็นฝ่ายได้รับจากคนอื่นมากมายแบบนี้
แต่บางครั้งก็สมควรแสดงออกมาในแบบที่ดีกว่านี้หน่อย
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 13 - เฮียปกป้อง (18.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 18-04-2016 20:39:00
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 13
‘เฮียปกป้อง’



(NUENG’s Part)   

     ตอนเด็กๆ ผมรู้สึกว่าแม่คือโลกทั้งใบของผม

     ผมในวัยเด็กนั้น มีแม่มักที่จะทำงาน ส่วนพ่อก็มักจะทำไร่ ทั้งสองค่อนข้างจะปล่อยให้ผมเล่นนู่นนี่ตามมีตามเกิด บอกตามตรงว่าผมจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนย้ายมากรุงเทพฯ ได้ไม่มาก รู้แค่ว่าผมมักจะกลัวตอนพ่อทำเสียงดัง กลัวเสียงร้องไห้ของแม่ และรับรู้ว่าผมไม่ได้ชอบอยู่บ้านเท่าไหร่นัก

     จนเฮียป้องเข้ามาในชีวิต

     ผมไม่มั่นใจว่าผมรู้จักเฮียได้อย่างไร เท่าที่จำได้คือผมติดเฮียมาก ตามเฮียต้อยๆ เพียงเพราะวันไม่กี่วันที่ได้นอนค้างกับเฮีย ครอบครัวของเฮียอบอุ่นมากจนผมไม่อยากจะกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองอีก ผมร้องไห้งอแงช่วงที่ไม่ได้เจอเฮียป้องบ่อยๆ และทุกครั้งก็จะโดนพ่อตี หรือไม่ก็ขว้างปาข้าวของกลับมาเพื่อให้ผมเงียบ นั่นทำให้ผมเรียนรู้ว่าผมไม่ควรร้องไห้ต่อหน้าพ่อและแม่ แต่ถ้าอยากจะร้องไห้ให้ร้องไห้ต่อหน้าเฮียป้อง

     ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่วันหนึ่งพ่อก็หายไป แม่ของผมบอกว่า ป้าเกด แม่ของเฮียกับท่านนายพลเป็นคนให้โลกของผมสดใส นอกจากนี้จะพร่ำบอกเสมอว่าให้ขอบคุณพวกท่านมากๆ

     ตอนเด็กผมรู้สึกว่าบ้านของเฮียเป็นเหมือนกับภาพวาด สวยงามเหมือนในหนังหรือละคร เป็นสัมผัสที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน พวกเขาทำให้สังคมของผมเปลี่ยนไปมากโข ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ผมก็ติดเฮียมากขึ้นอย่างกับตังเม พี่ลูกปลาชอบแซวว่าน้องชายตัวเองมีสองเงาบ่อยๆ

     ช่วงไปโรงเรียนประถม ผมไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก คงเป็นเพราะว่าย้ายเข้ามากลางเทอมที่ทุกคนมีกลุ่มกันหมดแล้ว แถมผมยังตัวเล็กกว่าคนอื่นอีกต่างหากเลยมักจะโดนหัวโจกแกล้งประจำ แต่ถ้าเทียบกับในตอนที่โดนพ่อทำแล้วผมรู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นมันเบาไปเลย ผมเลยไม่ค่อยได้ตอบโต้อะไร พวกนั้นก็เลยรามือ

     สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ ปล่อยให้เขาทำจนพอใจแล้วเขาก็จะปล่อยเราไปเอง

     ช่วงเวลาที่มีความสุขของผมคือเวลาที่กลับบ้านวันศุกร์ หรือบางทีอาจจะเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ นอกจากได้อยู่กับแม่ที่ทำงานจนมืดค่ำทุกวันแล้ว เฮียจะมาติวหนังสือให้ผมบ่อยๆ

     ผมไม่มีเป้าหมาย จริงๆ แล้วโรงเรียนเก่าก็มีชั้นมัธยมต้นให้ต่อ แต่ไม่มีชั้นมัธยมปลาย แม่ผมบอกว่าเรียนไปจนถึงตอนนั้นค่อยคิดก็ได้ว่าอยากทำอะไร แต่ผมดื้อแพ่งบอกแม่ว่าอยากจะเรียนโรงเรียนเดียวกับเฮียป้องแม้ว่าระดับหัวสมองผมจะไม่ถึงก็ตาม

     ตอนสอบเข้าผมพยายามจนหืดขึ้นคอ สอบติดอันดับรั้งท้ายเพื่อไปรับรู้ว่าโลกทั้งใบของเฮียป้องไม่ได้มีแค่ผมเหมือนที่โลกของผมมีแค่เฮีย

     จริงๆ มันก็น่าจะเป็นแบบนั้น เฮียป้องไม่ใช่เด็กโดดเด่นมากชนิดที่ใครต่อใครก็ต้องรู้จัก เฮียไม่ทำกิจกรรม ไม่ได้เป็นเด็กที่เก่งในด้านวิชาการจนไปประกวดนู่นนี่ ด้านหน้าตาเฮียอาจจะผิวขาวตามประสาลูกผู้ดี (และไม่ชอบเล่นกีฬา) ถึงกระนั้น เฮียก็ไม่ได้หล่อถึงขนาดมีสาวๆ มาตามกรี๊ดเสียหน่อย แต่เฮียเด่นมากสำหรับผม ชนิดที่ว่าผมอยู่ในตึกเรียนชั้นสี่ ผมมองลงไปที่สนามผมก็ยังเห็นเฮียป้องที่นั่งเฝ้าของให้เพื่อนเล่นบอลได้โดยไม่ต้องพยายามอะไร

     ช่วงมัธยมต้นผมก็ไม่ได้โดนคนรังเกียจ แต่ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกัน ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร ผมเข้าหาคนไม่เก่งนักและก็ไม่ได้มีเพื่อนอยากเข้าหาผมมากมายขนาดนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะผมมักจะคอยตามเฮียต้อยๆ ด้วยก็เป็นได้

     จนพอขึ้นมัธยมสอง

     ผมไม่มั่นใจว่าผมไปสนิทกับกลุ่มรุ่นพี่ได้อย่างไร แต่ทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่ทำให้ผมพะอืดพะอมทุกครั้งที่นึกถึง ผมจำชื่อของคนพวกนั้นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ที่จำได้คือชีวิตคนพวกนั้นไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นโลกใบใหม่ของผม

     ผมไม่ได้ลองสูบบุหรี่ แต่เห็นคนพวกนั้นสูบบุหรี่บ่อยๆ ที่ห้องน้ำโรงเรียน

     ผมไม่ได้รีดไถรุ่นน้อง แต่ก็ปล่อยคนพวกนั้นทำโดยไม่ทักท้วงอะไร

     ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นสังคมจริงๆ ของผมก็ได้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมยังอยู่กับพ่อต่อไปผมจะเป็นอย่างไร ถ้าเฮียป้องกับครอบครัวไม่ได้ช่วยเหลือผมมาจากตรงนั้น ผมคงกลายเป็นเด็กนิสัยเสีย ครอบครัวแตกแยก เป็นปัญหาสังคม

     แม้ว่าพื้นฐานครอบครัวของผมกับคนพวกนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เจ้าพวกนั้นไม่ได้โดนทำร้ายหากแต่ถูกปล่อยปละละเลย ในขณะที่ผมโดนจำกัดทุกอย่างมากเกินไปโดยพ่อโมโหร้ายและแม่ที่ไม่มีเวลาที่จะใส่ใจลูกด้วยซ้ำ แต่การกระทำกลับออกมาไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

     แต่ทุกอย่างมันก็พลิกผันไปหมด ผมเคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนพวกนั้นแท้ๆ จนวันหนึ่งผมกลับโดนกระทำไม่ต่างจากคนพวกนั้น

     มันช่างน่าขยะแขยง น่าพะอืดพะอม ผมคิดแบบนั้นตลอด มีหลายครั้งที่อยากจะบอกแม่หรือใครสักคน แต่ในหัวกลับหวาดกลัวไปหมด ผมกลัวว่ากระทั่งแม่จะยังรังเกียจผม ผมกลัวว่าผู้คนจะมองว่าผมเป็นบุคคลที่ต่ำตม ผมหวาดกลัวเหลือเกิน

     ทุกอย่างเป็นไปเพราะผมไม่กล้าบอกใคร มันน่าขยะแขยงเหลือเกินทั้งกลิ่นคาว ทั้งสัมผัสที่โดนที่จิกทึ้งหัวของผม หรือบางทีก็ปัดป่ายมาที่หน้าอก ผมพยายามจะหาโอกาสป่วยทุกครั้งที่ทำได้ และแม่ก็จะปล่อยให้ผมอยู่ที่ห้อง เมื่ออยู่คนเดียวผมยิ่งรู้สึกสกปรก บ่อยครั้งที่ผมจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย เรื่องมันปนเปกันไปหมด ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดผมจึงเอาเรื่องแบบนี้มาปะปนกับเรื่องที่ถูกพ่อทุบตีในวัยเด็ก แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

     ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่แย่มาก ผมคิดว่าถ้าผมโดนกระทำแบบนั้นต่อไปสักอาทิตย์ ผมอาจจะคิดฆ่าตัวตายขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

     แต่เฮียก็มาช่วยผมไว้

     ตอนที่ถูกเฮียช่วยผมรู้สึกอับอายไปหมด จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ผมรู้สึกถึงความสกปรก ด้อยค่า และต่ำต้อยของตัวเอง ผมคิดว่าเฮียต้องมองผมเป็นเชื้อโรค แม้ว่าผมจะคิดอย่างนั้น แต่เฮียก็ไม่ได้ทำ

     ผมจำไม่ได้ว่าทุกคนจัดการเรื่องกันยังไง ท่านนายพลกับป้าเกดยื่นมือมาช่วยผมอีกครั้งส่วนแม่ร้องไห้จนเป็นลมไปเลยในตอนแรก หลังจากนั้นแม่ก็จะร้องไห้ กอดผมไว้และบอกว่า

     “แม่ผิดเอง”

     “ความผิดแม่เอง”


     ผมฟังถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา หลังจากนั้นแม่ก็จะประคบประหงมผมมากจากที่เคยละเลยให้ผมอยู่คนเดียวบ่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นมาทั้งไปรับไปส่งทั้งที่ยังมีปัญหาเรื่องข้อเท้าอยู่ ท่านแทบไม่ยอมให้ผมห่างกาย จะเดินทางไปไหนคนเดียวหรือไปกับเพื่อนก็ไม่ได้ทั้งนั้น

     แม่ไม่ไว้ใจใครเลย...นอกจากครอบครัวเฮียป้อง

     เวลามีปัญหาอะไร ก็เป็นบ้านนั้นตลอดที่มาเป็นธุระให้ ทั้งช่วยติดต่อนักจิตวิทยาให้ผมไปหาอาทิตย์ละครั้งในช่วงเกิดเรื่องแรกๆ วันไหนแม่ผมไม่สะดวกมารับก็จะให้ผมกลับบ้านกับเฮียป้อง

     ตอนแรกนักจิตวิทยาบอกผมว่าจะเป็นการดีถ้าผมเปลี่ยนสถานที่เรียน มันอาจจะเป็นการกระทำที่คล้ายจะหนีปัญหาแต่สภาพแวดล้อมเดิมๆ จะตอกย้ำเรื่องในอดีต และมีแนวโน้มที่จะชักนำให้ผมกลับไปอยู่ในสถานะ ‘เหยื่อ’ ได้อีกครั้ง แต่ผมดื้อเอง ผมบอกแม่ว่าผมไม่อยากไปไหน ไม่อยากย้ายโรงเรียน ผมไม่อยากจะจากเฮียป้องไปไหนอีกแล้ว...ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

     และผมมารู้ทีหลังว่ามันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน

     “ป้องช่วยน้าดูแลหนึ่งหน่อยนะ”

     “ป้องดูให้หน่อยนะว่าหนึ่งมีปัญหาอะไรไหม”

     “ป้องจ๊ะ น้าไว้ใจป้องนะ”


     ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดเหล่านั้นที่แม่พูดกับเฮียหรือเปล่า เฮียเปลี่ยนมานั่งกินข้าวกับผมตลอดจนผมขึ้นม. ปลาย ผมคิดว่านั่นทำให้เฮียมีปัญหากับเพื่อนนิดหน่อย

     ผมรู้สึกดีใจที่โลกทั้งใบของเฮียมีแต่ผม...แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกผิดไปด้วย พอผ่านไประยะหนึ่ง ผมเริ่มทำใจได้แล้ว และรับรู้ว่าเฮียต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย

     “ไม่เป็นไรแล้วนะเฮีย หนึ่งมีเพื่อน ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

     ผมพูดเรื่องนี้กับเฮียนานทีเดียวกว่าเฮียจะยอมปล่อยให้ผมอยู่กับเพื่อนๆ ที่รู้จักกันตอนมัธยมปลาย
เฮียก็มีโลกของเฮีย ผมก็ต้องมีโลกของผม นั่นคือสิ่งที่ผมคิด ช่วงแรกมันก็ทุลักทุเลไม่ใช่น้อย ผมนึกดีใจที่เพื่อนๆ เหล่านั้นเป็นเด็กที่ย้ายมาใหม่ตอนม. ปลาย เขาอาจจะไม่รู้เรื่องของผม หรืออาจจะรู้แต่เขาแกล้งทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้ผมใช้ชีวิตได้เป็นปกติ

     แม้แม่จะค่อยๆ ปล่อยผมไปแต่ผมก็รู้ดีว่าลึกๆ แล้วแม่ก็ยังกังวล ผมยอมแพ้ เลือกที่จะทำให้แม่สบายใจโดยการที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนนัก พยายามมาเล่าเรื่องให้แม่ฟังบ่อยๆ ว่าที่โรงเรียนผมปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไร

     จนผมขึ้นมัธยมหก ผมกับแม่ทะเลาะกันครั้งใหญ่เพราะผมอยากจะเรียนคณะศิลปกรรม แต่แม่อยากจะให้เรียนคณะทางสายวิทย์อย่างพวกวิศวกรรมศาสตร์ทั้งๆ ที่หัวสมองของผมไปกับพวกนั้นไม่รอด สุดท้ายแม่ก็ยอมลดลงโดยการบอกว่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ก็ได้ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยโอเค

     ไม่รู้อะไรทำให้เฮียป้องโทรมาหาผม เราคุยกันไม่นาน แต่แค่นั้นผมรู้สึกเหมือนปลดภาระจากบ่า ผมตัดสินใจว่า โอเค สถาปัตยกรรมศาสตร์ก็ได้

     และผมก็ทะเลาะกับแม่อีกครั้งเพราะมหาวิทยาลัยของเฮียป้องที่ผมอยากจะเข้าเป็นมหาวิทยาลัยที่ไกลบ้าน แม่ไม่อยากให้ผมไปอยู่หอ ผมเลยโทรไปหาเฮียป้องอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเฮียไปคุยอะไรกับแม่ หรืออาจจะไปคุยกับป้าเกดให้มาคุยกับแม่ แม่ก็เลยบอกว่า

     “เรียนที่นู่นก็ได้ แต่ไปอยู่กับป้องแล้วกันนะ”

     เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามสุดชีวิต ผมพยายามจนเกือบเลิกหวังไปแล้วแต่สุดท้ายผมก็เข้าไปได้ในรอบ Admission และมีคะแนนต่ำที่สุดในรอบนั้นเสียด้วย (แต่นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีใคร)

     ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีหนึ่ง ผมมีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่ผับแบบที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม่จะยอม แต่มันผิดคาดไปหน่อยที่เพื่อนเห็นว่าผมยังบริสุทธิ์ เลยถือโอกาสเชียร์ให้ผมไปนอนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เจอกันตรงนั้น

     ทุกอย่างเป็นไปได้สวย ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชายธรรมดาก็ตอนที่ได้คุยกับเธอ จริงๆ ผมก็ชอบคุยกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยแต่พอเรากำลังจะขึ้นเตียงผมก็รู้สึกว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ เธอพยายามปลุกเร้าอารมณ์ผมอยู่นานจนผมบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ และร้องไห้ออกมา

     จนตอนนี้ผมจำหน้าเจ้าหล่อนไม่ได้แล้วแต่ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่อยู่กับผมและช่วยปลอบผมในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรบ้างตอนที่ร้องไห้ มันปนเปกันมั่วไปหมด เท่าที่จำได้คือผมคิดถึงแม่

     และผมรู้ในวันนั้นเองว่าผมคงจะมองผู้หญิงทุกคนในสถานะเดียวกับแม่ไปแล้ว ผมเลยไม่สามารถมีอารมณ์ทางเพศกับพวกหล่อนได้เลยแม้แต่น้อย

     แต่ผมเองก็เป็นเด็กวัยรุ่น ผมเลยไปลองเปิดคลิปโป๊เกย์ดู และพบว่า... ผมมีอารมณ์

     เป็นอีกครั้งที่ผมรังเกียจตัวเอง ผมไม่ได้มีอคติใดๆ กับเกย์ แต่ผมนึกรังเกียจตัวเองที่ครั้งหนึ่งผมเคยโดนทำร้ายจากผู้ชายหลายคน หากแต่ยังมีอารมณ์กับรูปร่างของบุรุษเพศ ตอนนั้นผมนึกแบบนั้นจริงๆ

     จนช่วยขึ้นมหาวิทยาลัย ผมมีผู้ชายเข้ามาบ้างประปราย มีคนหนึ่งที่ไม่ยอมไปไหนเสียที

     กริช

     ช่วงก่อนที่ผมจะคบกับมันเป็นช่วงเวลาที่ทุลักทุเลในชีวิตผมบ้าง ผมดื่มเหล้าจนเมามายบ่อยครั้ง ผมต้องปิดบังเรื่องที่เป็นเกย์ไม่ให้เพื่อนร่วมห้องตัวเอง หรือก็คือเฮียป้อง เพราะผมกลัวว่าเฮียจะเอาไปบอกแม่

     จริงๆ ตอนนั้นผมไม่สมควรต้องกังวลด้วยซ้ำ เฮียป้องคงไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อยว่าผมสนใจเพศไหน เฮียก็มีสังคมของเฮีย เวลาเราอยู่ในห้องเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะเฮียเอาแต่อ่านหนังสือ

     ผมคิดว่าเป็นเพราะระยะห่างที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา โลกของเฮียถึงไม่มีผมแล้ว... และโลกของผมก็เหมือนจะไม่มีเฮียด้วยเหมือนกัน

     ผมใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมความกล้า ตัดสินใจลองคบกับกริชดู มันเป็นแฟนคนแรก ทุกอย่างก็ไปได้สวยแต่กริชไม่ปิดบังเรื่องความปรารถนาในร่างกายผมเลย เราคบกันได้ไม่นานเท่าไหร่ผมก็ยอมทอดกายให้มัน ในเช้าวันถัดมา ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกที่วูบโหวง

     ผมรู้สึกเหมือนตัวเองสูญเสียสิ่งสำคัญไป

     ...และผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า อา เราไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา จะมีอะไรต้องเสียล่ะ

     นั่นทำให้ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะย้ายมาอยู่กับแฟนตอนที่มันเอ่ยปากชวน ผมใช้จังหวะที่เฮียไปเที่ยวกับครอบครัวช่วงวันหยุดยาวย้ายของที่มีเล็กน้อยในคอนโดของเฮียเพื่อที่จะไปอยู่กับกริช แต่พอเฮียกลับมาและบังเอิญเจอผมกอดรัดกับกริชอยู่หน้าโซฟา แววตาของเฮียทำให้ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกกระจายอยู่ในหัว

     ผมคิดว่ามันเป็นเสียงของ ‘ความผิดหวัง’ ของเฮีย...แม้ผมจะไม่รู้ว่าเฮียคาดหวังอะไรจากผมก็ตามที

     จนผมย้ายไปอยู่กับกริช กริชเริ่มไม่เหมือนเก่า มันไม่ได้ถนอมผมเหมือนเดิม มันรุนแรงจนบางครั้งไม่ฟังเสียงทัดทานของผมที่ตะเกียกตะกายอยู่ใต้ร่าง และมันเริ่มลามมานอกกิจกรรมบนเตียง กริชเป็นลูกคุณหนู เอาแต่ใจและอารมณ์ร้าย

     พอถึงวันที่ผมรู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ ผมจึงเอ่ยปากขอเลิก และก็ถูกกริชทุบตีอย่างหนักกว่าทุกครั้งจนผมต้องกระเสือกกระสนออกมา

     เฮียป้องเป็นคนแรกที่ผมคิดถึง ไม่ใช่เพื่อนหรือแม่ แต่เป็นเฮีย

     ผมไปนั่งรอเฮียตั้งแต่บ่ายจนเย็นเพราะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แค่เห็นหน้าเฮียเท่านั้น ผมก็รู้สึกว่า ผมไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว

     เฮียช่วยผมได้เสมอแม้ว่าเฮียจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แค่ผมเจอหน้า ได้ยินเสียง จะเป็นหน้าที่ขมวดคิ้ว แสดงอารมณ์หงุดหงิด หรือจะได้ยินเสียงที่ดุด่าว่ากล่าวผม แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

     และผมรู้ในวันนั้น ที่ผมคิดมาตลอดว่าผมออกจากมุมมืดมาอยู่ในที่สว่างแล้ว...มันไม่ใช่เลย

     ตราบใดที่ผมยังโหยหาความอบอุ่นจากแสงสว่าง มันก็แปลว่าผมยังอยู่ในที่มืดเช่นเคย

     และเฮียป้องเป็นแสงสว่างของผม






-----------------------------------
จริงๆ มีอะไรอยากจะพูดมากมายเลยค่ะ
แต่ว่า ถ้าหากทำให้คนเข้าใจเรื่องนี้โดยไม่ต้องอธิบาย
คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเนอะ XD

เจอกันที่ #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 13 - เฮียปกป้อง (18.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 18-04-2016 21:22:04
ปมของหนึ่งไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา แต่มันก็ทำให้อึ้งอยู่ดี
การรู้สึกว่าป้องเป็นแสงสว่าง  เป็นการผลักตัวเองลงต่ำแบบหนึ่งหรือเปล่านะ และมันแปลว่ารักหรือไม่รักคะ หรือแค่เป็นต้นแบบของความสุขที่อยากจะมี อ่านถึงตอนนี้แล้วเลยเริ่มคิดว่า อาจไม่ใช่รักจริงๆก็ได้
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 13 - เฮียปกป้อง (18.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-04-2016 10:17:10
อ่านเรื่องของหนึ่ง แล้วสะท้อนใจ   :เฮ้อ:
อดีต การเลี้ยงดู พ่อที่อารมณ์ร้าย การปกป้องของแม่ที่มากเกินไป
ปกป้องเป็นไอดอลของหนึ่งทุกอย่าง ครอบครัวที่มีความสุข
ไม่แปลกถ้าปกป้องไม่ใช่แค่แสงสว่างของหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นความรักที่หนึ่งไม่กล้ายอมรับว่ารักเกินพี่ชาย
ปกป้องเองก็หวั่นไหว สับสนกับหนึ่ง กับตัวเอง
ไร้ท ถ่ายทอดเรื่องของหนึ่งได้สละสลวย นุ่มนวลมาก
ชอบ รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 13 - เฮียปกป้อง (18.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 19-04-2016 10:21:16
เราว่าหนึ่งยึดติดกับป้องมากเกิน ทำอะไรไม่ได้ก็วิ่งมาหาป้อง ไม่พยายามแก้ไขหรือห้ามใจตัวเอง ที่จะยอมคนอื่นไปเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 14 - รับผิดชอบ (22.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 22-04-2016 22:32:52
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 14
‘รับผิดชอบ’


     หนึ่งไปนอนข้างนอกคืนหนึ่งอย่างที่มันบอกไว้ เพราะวันรุ่งขึ้นคือวันเสาร์ มันจึงมาเจอผมที่คอนโดด้วยใบหน้าง้ำงอ มีเพื่อนมันเป็นคนขับรถมาส่ง

     “ขอบใจมากโอ๊ต” ผมตบบ่าอีกฝ่าย ปล่อยให้หนึ่งที่กลับมาด้วยชุดเดิมกับชุดที่ออกไปเดินเข้าห้องน้ำทำเสียงตึงตังจนเพื่อนมันก็หน้าเหวอ

     “ไม่เป็นไรเฮีย” โอ๊ตทำหน้าแหยง “เฮียทะเลาะกับมันเหรอ”

     “เปล่า มันทะเลาะกับเฮีย”

     ผมอ่านสีหน้าของอีกฝ่ายเห็นคำว่า ‘แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ’ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเสีย ใช้คำว่ามันทะเลาะกับผมน่ะถูกแล้ว...เพราะมันเป็นคนทะเลาะคนเดียวเสียด้วยซ้ำ

     ไอ้โอ๊ตพูดคุยกับผมอีกสองสามคำก็เดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมนั่งรอหนึ่ง เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยที่โซฟา ก่อนที่โทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวจะแผดเสียงร้องออกมา

     ผมชะโงกหน้า พอเห็นว่าเบอร์ที่เครื่องของหนึ่งเมมไว้ว่า ‘แม่’ ก็ตัดสินใจกดรับสาย “หนึ่งอาบน้ำอยู่ครับ”

     “งั้นเหรอจ๊ะ” ปลายสายตอบกลับมาเสียงหวานเหมือนเคย “นี่เตรียมตัวกันใกล้เสร็จหรือยัง ใกล้เวลานัดแล้วนะจ๊ะ วันนี้ปลามาส่งน้าด้วย”

     “อ๋อ...” ผมส่งเสียงครางในลำคอ จำได้ว่าวันนี้หนึ่งนัดกับน้ากานดา แต่ไม่ยักกะรู้ว่าพี่สาวของผมจะเป็นคนมาส่งน้ากานดาเอง สงสัยจะชวนกินข้าวหรือไปเที่ยวไหนต่อด้วยแน่ๆ “อีกไม่นานก็เสร็จแล้วครับ น้ากานดาอยู่ไหนแล้ว”

     อีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นสถานที่ซึ่งไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก เกรงว่าคนอื่นคงจะไปถึงก่อนผู้ป่วยเสียแล้ว ขณะที่ผมกำลังจะวางสายหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี มันทำหน้าตื่นถามว่ายุ่งอะไรกับโทรศัพท์มันผมเลยบอกว่าแม่ของมันนั่นแหละเป็นคนโทรมา

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือ เดินไปคุยกับแม่ในอีกห้อง ไม่วายได้ยินเสียงน้ากานดาเอ่ยปรามว่าให้มีสัมมาคารวะกับผมเสียบ้าง

     หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีดีพวกเราก็ออกจากห้อง ไปโรงพยาบาลด้วยมอเตอร์ไซค์คันเดิมของผม ระหว่างเราไม่มีบทสนทนาใดๆ เห็นหนึ่งหน้าง้ำงอกับผมตลอดแล้วอยากจะด่าแต่รู้ว่าถ้ามันไม่ฟัง จะด่าจนปากเปียกปากแฉะมันก็ไม่ฟังอยู่ดี อีกอย่าง ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะด่ามันดีไหม

     จากคำพูดของหนึ่งเมื่อวาน การจ้ำจี้จำไชมันคงสร้างความรำคาญให้มันน่าดู

     “วันนี้แม่ไม่มาเหรอ” ผมทักทายพี่สาวตัวเองทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้น้ากานดา ก่อนที่จะปล่อยให้สองแม่ลูกเดินไป

     “แม่ไปนวดหน้ากับเพื่อนน่ะ”

     ผมครางรับในลำคอ อีกฝ่ายหรี่ตา ชวนผมพูดคุยเรื่องทั่วไปจำพวกว่าสอบเป็นยังไง การเรียนโอเคไหม แล้วจึงวกมาคำถามที่ผม (คิดว่า) เธออยากจะถามจริงๆ เสียที

     “แล้วอยู่กับหนึ่งเป็นยังไงบ้าง”

     สิ้นคำผมก็เลิกคิ้ว “ก็ปกติดี”

     “ป้อง” พี่สาวเรียกชื่อผมเสียงเข้มกว่าเดิม พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไร หล่อนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ที่บ้านก็รู้หมดนั่นแหละว่าพอมีเรื่องแบบนี้ แกก็ประคบประหงมหนึ่งทุกที”

     บางทีผมก็คิดว่าพี่สาวตัวเองแอบตั้งกล้องวงจรปิดไว้ที่ห้องหรือเปล่า

     แค่แปลกใจนิดหน่อยที่จังหวะที่เธอโผล่หน้ามาพูดเรื่องนี้มันพอดีกับคำพูดของหนึ่งเมื่อวาน ภาพตอนที่มันตาแดงก่ำ พูดความอัดอั้นใจมาให้ผมฟังอย่างกับปืนกลฉายขึ้นมาในหัวอีกรอบเล่นเอาผมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง

     “ทั้งบ้านนั่นแหละ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ “มันก็เหมือนกันทั้งบ้าน เจอเรื่องแบบนี้ใครก็ต้องดูแลมันทั้งนั้น”

     “แต่แกน่ะ เป็นมากกว่าคนอื่น” เธอเอานิ้วที่ทาเล็บสีแดงฉูดฉาดมาดันหน้าผากผมอย่างแรง “คิดว่าฉันจะไม่รู้หรือยังไงฮะ”

     ผมสิ้นคำพูด โดนพี่ลูกปลาเอ่ยใส่อย่างรู้ทันแล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวไปทำไม

     “ป้อง ฟังฉันนะ” หล่อนพูดต่อ “การที่คนสักคนเจอเรื่องเลวร้ายมา เขาพยายามที่จะเข้มแข็งด้วยตัวเอง คนรอบข้างก็ต้องคอยประคับประคอง ไม่ใช่ดูแลทุกอย่างให้จนยืนด้วยตัวเองไม่ได้”

     “...”

     พี่ลูกปลาเหลือบสายตาไปข้างนอก “อย่างน้ากานดา... มันก็ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีนักหรอก แต่ฉันก็เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่นะ” เธอนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “แต่แกก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบแบบนั้นเสียหน่อย ไม่ต้องโอ๋ให้มาก ดูห่างๆ ก็พอแล้ว”

     “ผม...” คำพูดต่างๆ จุกอยู่ที่ลำคอ ผมนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงรวบรวมสติพูดสิ่งที่คิดออกมา “ผมไม่ได้กำลังแสดงความรับผิดชอบ”

     “ไม่ แกกำลังทำ”

     “ไม่ใช่!”

     “ปกป้อง!”

     พวกเรามองหน้ากัน ตระหนักได้ว่ากำลังอารมณ์ขึ้นกันทั้งคู่และเสียงที่พูดใส่กันเมื่อกี้มันดังเกินไปหน่อย หล่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง และผมก็ทำได้แค่ก้มมองมือตัวเองอย่างเงียบๆ เท่านั้น เป็นแบบนี้อยู่พักหนึ่งก่อนที่เจ้าหล่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สงบกว่าก่อนหน้านี้

     “แกเป็นแบบนี้มาตลอด ฉันก็รู้ พ่อแม่ก็รู้ เราก็รู้กันทั้งนั้นแหละ” พอหล่อนเห็นว่าผมไม่พูดอะไรเธอก็พูดต่อ “แกต้องเข้าใจว่าการที่หนึ่งเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดแก เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดแก แกไม่จำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ”

     “แล้ว...” น้ำเสียงผมแหบพร่ากว่าที่คิด “แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ”

     ผมกำมือแน่น มองแขนตัวเองที่ไม่รั้งมันไม่ให้เจอเรื่องเหล่านี้ มองเท้าของตัวเองที่ไปช่วยมันไม่ทัน ทุกอย่างทำให้ผมนึกแค้นในใจ มันเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแรกผมก็ไม่เคยรับรู้สัญญาณที่มันส่งมาให้ว่ามันต้องการความช่วยเหลือ พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็ไม่เคยรับรู้ว่ามันเจออะไรบ้างในมัธยม และจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่สามารถปกป้องมันจากเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับมันได้ ซ้ำยังทำให้มันรู้สึกอึดอัดใจ

     ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากหญิงสาวข้างกาย หล่อนเอื้อมมือมาจับหัวของผมให้ทิ้งลงบนบ่าของเธอ “พี่บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่ความผิดแกหรอก เลิกคิดมากได้แล้ว”

     ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความผิดของผม

     แต่ยามที่ย้อนมองตัวเองทีไร...ก็นึกชิงชังตัวเอง

     ผมโกรธตัวผมเหลือเกิน ที่ถึงพยายามจะเติบโตพอให้ปกป้องมันได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่เคยโตพอที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ เลยเสียที




     หลังจากที่หนึ่งได้รับการตรวจและนัดวันมาเจอหมอใหม่ในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า พวกเราก็ไปทานอาหารกัน โดยเลือกอาหารหนึ่งซึ่งยังไม่หายจากหวัดดีทานได้สะดวก จากนั้นพวกคู่พี่น้องอย่างผม ก็แยกเดินกับคู่แม่ลูก ผมปล่อยให้พี่สาวไปเลือกเครื่องสำอางต่างๆ นานาจนเธอพอใจ ปล่อยให้สองแม่ลูกไปซื้อข้าวของ ทั้งของกินของใช้เข้าห้อง แล้วผมจึงไปเจอกับหนึ่งเพื่อกลับคอนโด

     “กลับดีๆ นะจ๊ะ”

     “ครับ” ผมรับคำน้ากานดา

     หญิงสาวตรงหน้ายิ้ม “ฝากดูแลหนึ่งด้วยนะ”

     สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงสูดหายใจลึกและพยักหน้า แม้ฟังคำนี้จากคนที่มีสถานะเป็นแม่ของหนึ่งกี่ครั้ง ผมก็ยังรู้สึกผิดที่ยังทำได้ไม่ดีพออยู่ร่ำไป

     พอเห็นผมรับคำน้ากานดาก็ยิ้มกว้างกว่าเก่า พึมพำคำว่าขอบคุณที่แผ่วเบาก่อนที่จะขึ้นรถไป ปล่อยให้ผมอยู่กับลูกชายตัวเองเพื่อจะเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์

     “เอามานี่” ผมเอื้อมมือไปหยิบข้าวของที่หนึ่งถือไว้ในมือมาส่วนหนึ่ง “ซื้อซะเยอะเชียว”

     “แม่เป็นคนซื้อต่างหาก” มันว่าหน้างอ

     ผมไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยเลยเดินนำไปที่มอเตอร์ไซค์ก่อน ตลอดวันที่ผ่านมา หนึ่งยังไม่ยอมพูดกับผมดีๆ เลย มีแต่ถามคำตอบคำเท่านั้น

     เราไปถึงคอนโดโดยปราศจากคำพูดใด พอเดินเข้าไปในห้อง มันก็วางของต่างๆ ที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะกินข้าว และเดินไปทิ้งตัวบนเตียงนอนแทบจะทันที ปล่อยให้ผมจัดการข้าวของเหล่านั้นเข้าตู้เย็น เข้าที่เข้าทางด้วยตัวเอง พอเสร็จแล้วผมจึงเข้าไปในห้องนอนเพราะจะไปอาบน้ำ

     หนึ่งนอนหลับ คงจะเป็นการหลับจริงๆ ซึ่งผิดวิสัยมันมากโขที่จะนอนตั้งแต่กลางวัน แต่ช่วงนี้มันยุ่งๆ นอนน้อย แถมยังไม่ฟื้นตัวจากไข้เต็มที่ ก็คงไม่แปลกอะไร

     ผมเดินเข้าไปใกล้ แตะหน้าผากมันเล็กน้อยและพบว่าไม่มีไข้อีกแล้ว เลยเดินเข้าไปอาบน้ำจัดการตัวเองเสีย พอเดินออกมาก็เห็นว่ามันยังนอนอยู่เช่นนั้น

     ผมปล่อยให้หนึ่งนอนไปเงียบๆ และจัดการไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง

     พอหนึ่งเงียบแบบนี้แล้วผมนึกถึงช่วงเวลาที่มันย้ายไปอยู่กับแฟนเจ้าปัญหานั่นเสียจริง เพราะผมหันข้างให้เตียงอยู่ บางทีพอหนึ่งขยับตัวจนได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีก็เผลอสะดุ้งและหันไปมองว่ามันยังนอนปกติดีใช่หรือไม่

     เผลอแป๊บเดียวฟ้านอกหน้าต่างก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมจึงต้องลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟ หยิบข้าวกับเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่มีในตู้เย็นและไข่มาสองฟองเพื่อทำข้าวผัด ชะโงกหน้าไปมองก็พบว่าหนึ่งยังไม่ตื่นเลยแม้แต่น้อย

     ผมจัดการทำอาหารให้เสร็จ วางไว้บนโต๊ะกินข้าวและเดินไปสะกิดหนึ่ง

     “หนึ่ง!” เอื้อมมือไปเขย่าตัวมันเบาๆ

     เจ้าของชื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมามองผม ก่อนที่จะพลิกตัวไปอีกทาง ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ใช่น้อย ผมเลยดึงหมอนออกมาจากหัวมันเสีย

     “นอนตอนเวลาแบบนี้เดี๋ยวตะวันทับตาหรอก”

     “เฮียแม่ง...” มันบ่นงึมงำ “เหมือนคนแก่เลยว่ะ”

     ผมกลอกตา คว้าตัวที่ผอมบางของมันขึ้นมานั่งดีๆ สั่งให้มันไปอาบน้ำและล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมากินข้าว ส่วนผมก็ลงมือกินข้าวผัดง่อยๆ ของตัวเองไปก่อน

     หนึ่งเดินออกมาตอนที่ข้าวผมหมดจานพอดี มันมองข้าวผัดตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วจึงทิ้งตัวนั่งกินข้าวเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร แต่ทางทางเฉยชาจนผมสังเกตเห็น

     “เป็นอะไร”

     หนึ่งเงยหน้าเลิกคิ้วให้ผม ก่อนที่จะส่ายหน้า “เปล่า”

     “เออ” ผมไม่คาดคั้นอะไร เดินกลับไปนอนที่เตียง เล่นนู่นเล่นนี้ไปเรื่อยในโทรศัพท์

     สักพักหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องด้วย คงจะกินข้าวเสร็จแล้ว มันหยิบงานของมันที่กองอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นมาหยิบจับ เป็นแบบนั้นอยู่พักหนึ่งจนผมต้องลดโทรศัพท์ในมือลง

     “ให้ช่วยไหม”

     “ไม่ต้อง” มันตอบเสียงห้วน

     ผมเลิกคิ้ว ก่อนหน้านี้เห็นถ้าผมจะช่วยทีแทบจะกราบอ้อนวอน ผมเลยใส่ใจกับโทรศัพท์ตัวเองต่อ ไม่ลืมที่จะมองมันเป็นครั้งคราวและพบว่าหนึ่งสีหน้าไม่ดีนัก สักพักมันก็เดินขึ้นมานอนบนเตียง

     ผมมองมันที่ทิ้งตัวบนเตียง เอาหน้าซุกกับหมอนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยปากถาม

     “ปวดหัว?”

     มันเงียบไป ถึงไม่หันหน้ามาผมก็รู้ว่าผมคิดถูกแน่ๆ

     ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นจากเตียงไปหยิบกล่องยาที่น้ากานดาเป็นคนเอามาให้โดยเขียนไว้ว่ายาแต่ละอย่างใช้ทำอะไร ค้นไปไม่นานก็เจอพารา เลยหยิบมาให้มันหนึ่งเม็ดพร้อมกับน้ำอีกขวด

     “ลุกขึ้น” ผมเอ่ยเสียงเข้ม เจ้าเด็กมากปัญหาเลยลุกขึ้นด้วยใบหน้างอ “อะไร ยังไม่หายโกรธกูรึยังไงฮะ”

     เพียงเท่านั้นมันก็เบือนหน้าหนี หนึ่งบ่นงึมงำอะไรสักอย่างที่ผมจับศัพท์ไม่ได้ แต่ก็ยังรับยากับน้ำเปล่าไปกินดีๆ

     พอมันกินเสร็จผมก็จัดการเอาทุกอย่างไปเก็บ พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองจ้ำจี้จ้ำไชกับมันมากเกินไปจริงๆ สมัยผมป่วย ไม่มีหรอกนะที่พี่ลูกปลาจะมาทำอะไรอย่างนี้ให้

     ผมเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่ทันไรหนึ่งก็พลิกกายมามองหน้าผม

     “เฮียทำเหมือนหนึ่งงี่เง่าไปเองเลย” ผมเลิกคิ้ว เหมือนมันจะรู้ว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูดมันเลยอธิบายต่อ “เมื่อวานที่หนึ่งพูดแบบนั้น...”

     “...”

     “ขอโทษนะ” ผมมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่ทันจะพูดอะไรหนึ่งก็แหวออกมาพร้อมทั้งถลึงตาใส่ผมเสียก่อน “ไม่ต้องมองแบบนั้นได้ไหมล่ะ!”

     “โทษที” ผมกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “กูแค่แปลกใจ”

     “แต่หนึ่งก็ไม่อยากให้เฮียทะเลาะกับคนอื่นเพราะหนึ่งนะ” มันพูดต่อ เสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเฮียทำแบบนั้นเพราะว่าแม่ฝากมา...”

     “...”

     “...เฮียไม่ต้องทำก็ได้”

     คำพูดของมันทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียง วางโทรศัพท์ไว้บนนั้น ข้ามไปที่เตียงมันโดยที่หนึ่งถอยกายเสียจนแทบจะแนบไปกับผนัง

     “ฮะ เฮีย” หนึ่งเรียกผมเสียงแผ่วตอนที่เตียงยวบลงเพราะน้ำหนักของตัวผมเอง

     “กูทำเพราะกูอยากทำ” ผมพูดเสียงเรียบ “ไม่เกี่ยวกับน้ากานดา ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”

     อีกฝ่ายมองหน้าผมจนผมเห็นความวูบไหวในแววตาของมันแต่ไม่ยักกะหลบตาไปไหน ผมไม่รู้ทำไมมือของผมถึงเอื้อมไปสัมผัสบริเวณแก้มมัน หนึ่งสะดุ้งตัวเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นก่อนที่จะหลับตาปี๋

     ผมมองคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ชัดเจนว่าลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัด

     หยุด

     เสียงหนึ่งบอกผมแบบนั้น ทำให้การเคลื่อนไหวของผมชะงัก พอหนึ่งเห็นว่าผมไม่ได้ทำอะไร มันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นในขณะที่ใบหน้าของเรายังคงอยู่ใกล้กัน อย่างกับว่าเราเล่นเกมว่าจ้องตา ใครหลบตาก่อนเป็นคนแพ้

     และหนึ่งแพ้ มันเบือนหน้าหนีหลังจากที่เรามองหน้ากันแบบนั้น

     “ทะ ทำอะไรของเฮียเนี่ย!” โวยวายเสียงดังพร้อมทั้งเอาหมอนมาแทรกระหว่างใบหน้าของพวกเราสองคน แถมยังดันหมอนเข้ามาเต็มแรงจนผมต้องเอามือปัดป่ายบนร่างของมันเข้าให้ “เฮียป้อง!”

     หนึ่งตะโกนตอนที่ผมออกแรงกระชากหมอนออกมา โยนไปอีกทาง คล้ายว่าจังหวะมันผิดพลาดไปเสียหน่อย พวกเราเลยประจันหน้ากันอีกครั้งโดยที่ตัวหนึ่งอยู่ข้างใต้ผมโดยสมบูรณ์

     มันย่นคอ หลับตาปี๋เพราะใบหน้าของผมไปจ่ออยู่บริเวณซอกคอของมัน

     ผมสูดลมหายใจ เอามือยันกายขึ้นให้มานั่งดีๆ คนที่เพิ่งจะอยู่ใต้ร่างผมเมื่อกี้ชันเป็นนั่งพิงผนัง ผมอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปดีดหน้าผากมันอย่างแรง

     “เฮีย!” หนึ่งโวยวายตามท้ายผมที่เดินออกมา

     ผมทิ้งตัวลงโซฟา เสียงโวยวายไล่หลังเงียบไปแล้วหากแต่ผมยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวและดังราวกับเสียงกลองอึกทึก ผมได้แต่มองประตูที่ผมเพิ่งเดินออกมาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันแน่นยามก้มมองมือตัวเองที่เมื่อกี้ไม่เชื่อฟังสมองเสียเท่าไหร่ เข้าใกล้มันทีไร คล้ายว่าผมจะแหกกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้เพื่อห้ามใจอยู่ร่ำไป

     ...สัมผัสไม่ได้ แตะต้องไม่ได้...

     ...ผมจะยอมรับความรู้สึกนี้ไม่ได้... ตราบใดที่ผมยังไม่ดีพอที่จะปกป้องมันไว้...






-----------------------------------------------
อ่านตอนนี้แล้ว คิดยังไงกับเฮียคะ
คอมเม้นบอกหรือบอกในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ก็ได้นะคะ
อยากรู้มากจริงๆ XD

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 14 - รับผิดชอบ (22.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 23-04-2016 07:43:12
สรุปว่าตอนนี้ป้องน่ะรักหนึ่งไปแล้ว แต่ยับยั้งตัวเองไว้ไม่ให้ก้าวเข้าไปใกล้คำว่าคนรัก เพราะคิดว่ายังไม่สามารถปกป้องหนึ่งได้ เลยต้องถามว่า
ป้องคิดว่าสักวันหนึ่งป้องจะดีพอจนสามารถคุ้มภัยให้หนึ่งได้ใช่ไหม
ถ้าใช่ คือเมื่อไหร่ ความดีและคุณค่าของป้องโตพร้อมอายุที่มากขึ้นหรือคะ คือต้องใช้เวลาในการเพิ่มมันขึ้น แบบที่เราพัฒนาทักษะอื่นๆหรือคะ(นี่ไม่ได้กวนนะ) ซึ่งเราว่าไม่น่าจะใช่ ถ้างั้นป้องอาจรอไปตลอดชีวิตแล้วไม่ได้รักกันก็ได้นะ เพราะไม่เปลี่ยนวิธีคิดเสียที

การมีความรักสำหรับป้องคือการคุ้มครองป้องภัยใช่ไหม เราว่าป้องเข้าใจความรักในฟังก์ชั่นเดียว รักยังมีอีกหลายมุมเลยนะ

ป้าจะไม่เชียร์ป้องแล้วนะ แกก็อยู่เป็นพ่อไปเล้ย เชอะ

เจอคำผิดคะ ทางทางเฉยชา แก้เป็น ท่าทาง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 15 - คนเมา (26.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 26-04-2016 19:41:01
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 15
‘คนเมา’



     ผมกับหนึ่งแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยนับตั้งแต่วันนั้น

     วันๆ หนึ่งเอาแต่หมกตัวอยู่ที่คณะและพวกโอ๊ต งานชิ้นนั้นคงไม่เสร็จสักที พอมันกลับมาที่ห้อง ก็เพื่อแค่นอนกับเอาเสื้อผ้าไปนอนกับโอ๊ตบ้างหรือนอนที่คณะบ้าง สักสองสามวันครั้งจึงจะโผล่หน้ามาและมักจะหายไปก่อนผมตื่น สีหน้าอิดโรยกว่าผมเสียอีก

     ผมไปส่งมันบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ไปรับมันเพราะคณะเองก็มีงานเยอะถาโถมเข้ามา ทั้งต้องอ่านหนังสือ ต้องทำงาน ทุกๆ อย่างวุ่นวายไปหมด

     ที่คณะของผมปกติดี ไม่มีปัญหาใดๆ แม้ว่าผมจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ เดิมทีบุคลิกของผมก็ไม่น่าเข้าใกล้อยู่แล้ว และดูเหมือนผมจะเป็นที่นินทาของผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงในเซค แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากขนาดนั้น บอกตรงๆ ว่าผมมีหลายอย่างที่ต้องใส่ใจมากกว่าขี้ปากชาวบ้าน

     ไอ้กันต์ไอ้ภีมไม่กล้าพูดเรื่องหนึ่งกับผมอีกเลย คงเป็นเพราะมีใครสักคนบอกว่าผมเลิกกับหนึ่งแล้ว (แท้จริงเราไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ) ส่วนที่มาของความคิดนั้นคงเป็นเพราะผมไม่ได้ไปส่งเท่าไหร่แล้ว และผมไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจเหล่านั้นเพราะมันทำให้ชีวิตผมสงบขึ้นเยอะ

     ผมคิดว่าข่าวพวกนั้นไม่ใช่ปัญหา... อย่างน้อยก็ไม่ใช่การหลบหน้า แต่เป็นเพราะจำเป็นจริงๆ มากกว่าที่ผมกับหนึ่งไม่ค่อยคุยกันอีก

     เราเจอกันอีกครั้งตอนหนึ่งกลับจากโรงพยาบาล หมอบอกว่าไม่ต้องไปตรวจอะไรแล้วแต่ถ้ามีอะไรท่าไม่ดีให้บอก ขณะที่ผมนั่งอ่านหนังสือสำหรับสอบไฟนอลในอาทิตย์หน้า หนึ่งก็เดินไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ ทำให้ผมรู้ทันทีว่ามันจะไม่อยู่ห้องแน่ๆ

     “จะไปไหน”

     หนึ่งไม่ตอบ ยกมือกระดกนิดหน่อยทำให้ผมรู้ว่ามันจะไปกินเหล้า

     “กับใคร”

     “พี่เต้ย” ในหัวย้อนคิดชั่วครู่ก่อนที่หน้าพี่รหัสปากมอมของมันจะผุดขึ้นมา นึกขัดใจเล็กๆ แต่ไม่อยากจะแย้งอะไรให้มากความ “เดี๋ยวกลับมาน่า ไม่ต้องห่วงนะเฮีย”

     “อย่าเมาให้มากล่ะ กูไม่อยากเช็ดอ้วกมึงแล้ว”

     หนึ่งทำท่าทางฮึดฮัดนิดหน่อย “งั้นหนึ่งนอนกับพี่เต้ย”

     “มึงจะไปนอนกับมันทำไม”

     “เอ้า ก็ไม่อยากเช็ดอ้วกหนึ่งไม่ใช่หรือไง” มันเถียง “หนึ่งทำงานเสร็จปะวะ มันก็อยากเมาจนหัวทิ่มบ้าง”

     “กูบอกว่ากูไม่อยากเช็ดอ้วกหมายถึงมึงต้องกินให้น้อยหน่อยอย่าให้เมาเยอะ ไม่ใช่ให้มึงใจแตกหนีไปนอนนอกห้อง” ผมว่าเสียงขุ่นขึ้น “มึงชักเอาใหญ่แล้วนะ”

     “หนึ่งอยู่ในโอวาทเฮียตั้งนาน!”

     “หนึ่ง!”

     เจ้าของชื่อสะดุ้ง หน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยยามผมเรียกมันเสียงเขียว คงรู้แล้วว่าผมก็ไม่พอใจกับการกระทำแบบนี้ของมัน เวลามันเอาแต่ใจทีไร พาลให้หัวร้อนทุกที

     “มะ ไม่รู้ล่ะ วันนี้หนึ่งจะกิน” มันเถียงเสียงอ่อนลงนิดหน่อย

     ผมถอนหายใจ “ก็กินไป แต่อย่าให้เมากลับมา เข้าใจไหม”

     มันหน้างอ เงียบสนิทจนผมต้องถามซ้ำ

     “กูถามว่าเข้าใจไหม”

     “รู้แล้ว...รู้แล้ว!” หนึ่งยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “พอใจแล้วใช่ไหม หนึ่งไปแล้วนะ”

     ผมไม่เข้าใจว่ามันจะถามทำไมในเมื่อสุดท้ายมันก็เดินออกไปโดยไม่รอให้ผมพูดอะไรสักคำ ลืมถามไปเลยว่าไปที่ร้านหรือไปที่หอ ถ้าไปที่ร้านก็ต้องเตือนเรื่องจะไปมีเรื่องกับชาวบ้านเขาอีก

     พอคิดเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ผมคิดถึงคำพูดของพี่สาวตัวเองว่าอย่าไปโอ๋มันให้มาก แต่มันช่วยไม่ได้นี่ ผมพยายามปัดความคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวหนึ่งมันทิ้งก่อนที่จะเพ่งความสนใจกับหนังสือตรงหน้า




     ผมลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นตอนเกือบสี่ทุ่มและพบว่าแทบไม่มีอะไรเหลือสำหรับมือค่ำแล้ว เลยตัดสินใจเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 พร้อมกับซื้อของมาตุนไว้

     แถวนี้เป็นคอนโด แต่เพราะเป็นคืนวันเสาร์เลยเงียบกว่าปกติเสียหน่อย ร้านเหล้าไม่ได้อยู่แถวนี้แต่จะไปอยู่แถวมหาวิทยาลัย ถ้าหนึ่งไปแถวนั้นมันไปยังไง พอคิดแล้วก็นึกเป็นห่วงจนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์ เปิดแชตของผมกับมันที่แทบไม่ได้คุยกัน วันสุดท้ายที่คุยกันคือเมื่อสองสามวันก่อน แถมปกติแล้ว เราก็คุยกันไม่กี่ประโยคเท่านั้น ส่วนมากที่ติดต่อคือหนึ่งจะให้ผมไปรับที่ไหน หรือผมจะให้มันมาที่คณะ ในเมื่อผมไม่จำเป็นต้องไปส่งมันแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องคุยกันเสียหน่อย

     ผมกลับบ้านไปต้มมาม่ากิน จากนั้นก็นั่งๆ นอนๆ ดูซีรี่ส์ของอังกฤษที่ดูค้างไว้ต่อจนจบไปสองตอนและพบว่าตอนนี้เกือบจะตีหนึ่งแล้ว แต่หนึ่งยังไม่กลับมาเสียที

     นึกลังเลอยู่พักหนึ่งสุดท้ายผมก็ยอมแพ้ คว้าโทรศัพท์มาโทรหามัน

     “หมายเลขที่ท่านเรียก...”

     ผมถอนหายใจ บอกตัวเองว่าช่างแม่ง ยังไงมันก็ยังมีกุญแจ เข้าห้องได้ไม่ลำบากอะไร ถ้ามันกลับมาได้น่ะนะ

     ทั้งที่บอกตัวเองเช่นนั้น แต่ดูเหมือนผมปล่อยวางไม่ได้ ไม่ดีเลย ผมทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งและกดส่งไลน์ไปบอกมันว่าถ้าจะนอนค้างที่อื่นก็บอกด้วย

     ผมโยนโทรศัพท์ทิ้ง สนใจหน้าจอโน้ตบุ๊กที่กำลังเปิดซีรี่ส์ตอนถัดไปมาดูอีกสักตอน ยังไงพรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์ และผมไม่มีนัดอะไรกับใครด้วย จะนอนดึกอย่างไรก็ได้

     ถึงกระนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน หน้าจอโน้ตบุ๊กดับไปแล้วแปลว่าผมคงหลับไปพักใหญ่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเพราะปกติผมไม่ค่อยนอนเกินเที่ยงคืนหรือว่ามันล้าเสียจนผมถึงเผลอหลับ ที่รู้ๆ คือซีรี่ส์ก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร

     เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาดูพบว่าผมกลับไปราวๆ ชั่วโมงเศษ ผมเปิดไลน์ดูแชตล่าสุด และพบว่าหนึ่งไม่ได้ตอบผมเช่นเคย อันที่จริงมันไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ

     ว่ากันตามจริงแล้ว ผมไม่มีโซเชี่ยลอื่นๆ ของหนึ่ง เพราะผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรมากนัก นอกจากไลน์ที่ใช้ประจำแล้วผมก็มีอย่างอื่นไว้แต่ไม่เคยเล่นอะไรเลย

     ผมออกมาเปิดแชตของโอ๊ต น่าจะเป็นเพื่อนหนึ่งที่ติดต่อได้ง่ายที่สุด

     ‘โอ๊ต หนึ่งไปกับมึงรึเปล่า’

     ผมรออยู่พักหนึ่ง ถอนหายใจและคิดว่ามันคงนอนไปแล้ว แต่ไม่นานมันก็ตอบกลับมา

     ‘ใช่ ผมมาด้วย’

     พอได้รับคำตอบเช่นนั้น ผมก็รู้สึกว่าเบาใจขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยไอ้โอ๊ตมันก็มีสติพอที่จะตอบผมและไม่ได้พิมพ์อะไรผิด ที่สำคัญ ปกติแล้วเวลามันดื่ม ก็มักจะเป็นไอ้โอ๊ตที่หามมันกลับมา

     ‘มันจะกลับหอไหม ถามมันดิ’

     ตัวอักษรคำว่า Read ขึ้นในทันที ก่อนที่จะเงียบไป ไม่นานก็เป็นสายเรียกเข้า เบอร์ขึ้นมาคือเบอร์ที่ผมเมมไว้ด้วยตัวเลข 1

     พอกดรับก็ได้ยินเสียงดังเจื้อยแจ้วตามประสาร้านเหล้าที่ชอบเปิดจนถึงรุ่งเช้าในคืนวันหยุดเช่นนี้ เสียงอื้ออึงจนฟังต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างหู

     พวกเราไม่มีคนพูดก่อน หรือมันอาจจะพูดแล้วผมไม่ได้ยินก็ได้ จนปลายสายเอ่ยเสียงอ้อแอ้แบบกึ่งตะเบ็งเสียง

     “เฮี่ยยยย ได้ยินปะวะ”

     “เรียกกูดีๆ หน่อย” ผมว่า กัดฟันกรอดด้วยความโมโห เข้าใจว่ามันเมา แต่เข้าใจมากกว่าว่าคนเมามักจะพูดในสิ่งที่คิด หรือบางทีมันอาจจะชอบเรียกผมแบบนี้ในใจก็ได้

     “ว่าอะไรนะ”

     “บอกว่าเรียกกูดีๆ หน่อย” แม้ผมจะพูดเช่นนั้น หนึ่งก็ถามคำเดิมซ้ำจนผมตอบปัด “ช่างมัน”

     “เฮี่ยยยยยยยยย” มันแหกปากอีกครั้ง เสียงยานคางกว่าเก่าเสียอีก “มีอะรายยยยยยยยยย”

     “หนึ่ง คุยกันดีๆ มึงเมาแล้วใช่ไหม”

     มันตอบเสียงอ้อแอ้ “ม่าย เปล่าเลย ใครเมา ไม่มี๊”

     ผมเพิ่งเคยคุยโทรศัพท์กับมันตอนเมาหนักๆ ก่อนหน้าที่มันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น หนึ่งเมาแล้วโดนหามกลับมาในสภาพไร้สติแล้ว และผมตระหนักได้ตอนนี้ว่าผมไม่ควรปล่อยมันไปจริงๆ ยิ่งอยู่ร้านด้วย เชื่อเลยว่าปากแบบนี้มันจะต้องโดนตีนเข้าสักวันแน่ๆ

     “หนึ่ง คุยกับใครวะ” ผมได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนแทรกขึ้นมา เจ้าของชื่อคงตอบอะไรไปด้วยน้ำเสียงที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดิมบอกเสียงดัง “ดื่มอีก ดีมอีก!”

     “ไอ้หนึ่ง”

     “หืม” ปลายสายตอบรับด้วยเสียงครางในลำคอ “อะไรเหรอ”

     “มึงเมาแล้ว จะกลับมาหรือเปล่า หรือจะไปนอนกับโอ๊ต”

     “เดี๋ยว...กลับบ” เสียงหนึ่งยานคางมากเสียจนฟังแทบไม่เป็นศัพท์ จากนั้นสายก็ถูกตัดไป ไม่ให้โอกาสผมถามมันต่อด้วยซ้ำว่าจะกลับมาอย่างไร

     ผมกดกลับเข้าไปในไลน์ ยังไงพิมพ์ไปหาหนึ่งมันก็คงไม่สนใจ เลยตัดสินใจพิมพ์ไปหาเพื่อนมันแทนบอกให้แชร์โลเกชั่นมา พร้อมกับบอกว่า

     ‘บอกหนึ่งว่ากูจะไปรับ เดี๋ยวนี้’

     ผมจัดการเปลี่ยนชุด หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกมาจากคอนโด ตัดสินใจไม่ใช้มอเตอร์ไซค์เพราะคิดว่าคงจะทุลักทุเลไม่ใช่น้อยในการแบกคนเมากลับห้อง เลยเรียกแท็กซี่แทนเสีย
     
     ไม่ถึงสิบนาทีก็ไปถึงแล้ว เวลาเดินทางจริงๆ น้อยกว่านั้นอีก แต่เสียเวลารอรถไปนิดหน่อย ผมบอกให้รถแท็กซี่จอดรอ โชคดีแถวๆ นั้นมีร้านเดียวที่ยังเปิดอยู่เลยหาไม่ลำบาก

     ตรงหน้าร้านเหล้ามีกลุ่มคนเมาเหมือนหมา มีกองอ้วกตรงเสาไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องน่าดูชมเท่าไหร่ เป็นร้านแบบตึกแถว มองลอดเข้าไปก็เห็นหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะหน้าๆ ชูแก้วเหล้า มองข้างโต๊ะที่มีคนนั่งสักห้าหกคน เป็นกลุ่มชายล้วน แต่ขวดดูมากกว่าจำนวนคนเสียอีก มีทั้งเหล้าทั้งเบียร์

     พอผมเดินเข้าไป โอ๊ตที่ดูสภาพดีที่สุดในกลุ่ม (แต่หัวก็เอียงไม่ใช่น้อย) ยกมือทักทายผมเป็นคนแรก

     “พอ” ผมว่าเสียงเรียบ คว้าแก้วของหนึ่งจากมือก่อนที่มันจะกระดก

     หนึ่งหันมอง หน้าแดง หูแดงไปหมด สายตาหยาดเยิ้มหรี่ลง “เฮี่ย เอาแก้วมา” มันพยายามจะเอื้อมมือมาคว้าไว้ แต่ประคองตัวให้ลุกขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ

     “มึงเมาแล้ว”

     “อะไรวะ ไม่ขนาดนั้นหรอกกก” ผมหันไปมองต้นเสียง พี่รหัสมันโบกมือไปมาน้ำเสียงยานคางไม่ใช่น้อย มองสภาพแล้วคงไม่ต่างกันนัก “กินไปหนึ่ง”

     “หนึ่ง” ผมเรียกชื่อมันเสียงเขียว แต่ดูแล้วคนตรงหน้าจะคุยไม่รู้เรื่อง

     มันเอามือทุบช่วงอกผมสองสามที ด่าอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ออก ก่อนที่มันจะยอมแพ้ด้วยการหันไปยกแก้วของใครสักคนที่วางอยู่มาซด และหันมายักคิ้วให้ผมราวกับเป็นผู้ที่เหนือกว่า

     ผมเห็นได้โอ๊ตเอามือตบหน้าผากเบาๆ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่สนใจ พี่รหัสของไอ้หนึ่งยุให้มันดื่มอีก จนผมต้องวางแก้วที่ยึดจากหนึ่งมาบนโต๊ะ คว้าแก้วของไอ้เต้ยที่ทำท่าจะยัดเยียดให้หนึ่งมาดื่มเอง

     ความร้อนไหลลงลำคอ ใช่ว่าไม่เคยกิน ผมฝึกกินของมึนเมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมแต่ส่วนมากก็ไม่ได้กินบ่อย แถมรสชาติบาดคอแบบนี้ผมก็ไม่ชื่นชอบนักหรอก ผมกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ ดูคนทั้งโต๊ะจะงุนงงไปนิดหน่อย ผมถือจังหวะนั้นดึงแขนหนึ่งให้ลุกขึ้นไปที่แท็กซี่

     หนึ่งตอนเมาตัวเบาอย่างกับปุยนุ่น คงเป็นเพราะว่ามันแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว แค่ผมออกแรงนิดหน่อยหนึ่งก็จำต้องเดินตามอย่างจำยอม

     ผมยัดมันเข้าหลังรถ แทรกตัวเข้าและปิดประตู บอกให้แท็กซี่ไปคอนโดผมทันที

     “ใจร้ายยยยย ไม่เมาไม่กลับไม่ใช่เหรอ” มันว่าเสียงอ้อแอ้ ทุบอกทุบตัวผมอย่างแรงจนผมต้องรวบมือสองข้างของมันมาไว้นิ่ง

     “มึงเมาแล้ว”

     “ไม่เมาสักหน่อยยยย” มันลากเสียงยาวจนคนขับแท็กซี่ยังขำไปด้วย “ไม่เชื่อจอด จอดเลย! จะลงไปเดินให้ดู ตรงเป๊ะ!”

     “เงียบๆ ได้ไหมฮะ เมื่อกี้เดินมามึงจะไปกองที่พื้นแล้วยังไม่เจียมอีก”

     มือก็ประทุษร้าย ปากก็พล่ามไม่หยุดแถมยังเสียงดังลั่น นึกขอบคุณที่ลุงคนขับแท็กซี่ยังไม่ปล่อยพวกเราไว้กลางทาง และดีที่หนึ่งไม่อ้วกออกมาในรถ

     พอมาถึงคอนโดแล้ว กว่าจะประคองมันขึ้นถึงห้องก็ทุลักทุเลไม่น้อยเพราะผมบอกยามว่าไม่ต้องช่วย พอเข้าลิฟต์มาแล้วถึงอยากกลับไปเรียกยามให้มาช่วยจัดการไอ้ตัวดื้อนี่หน่อย ถ้าปล่อยมือก็ทุบ แต่ถ้าปล่อยให้มันเปิดปากมันก็จะตะโกน เดี๋ยวแหกปากร้องเพลง เดี๋ยวด่าผม

     เข้าห้องปุ๊บ หนึ่งก็ล้มไปทันที ไม่ใช่ที่เตียงแต่ที่หน้าประตูห้องนั่นแหละ ผมถอนหายใจ เห็นทีต้องคาดโทษให้หนักทีเดียว พี่รหัสช่างยุมันก็เหมือนกัน ผมจัดการถอนรองเท้า ถุงเท้าให้มันตรงนี้ โยนของพวกนั้นไปอีกทางและช้อนตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่ออุ้มไปที่เตียงในขณะที่มันหัวเราะร่า

     ถึงเตียงแล้วหนึ่งก็หรี่ตามองหน้าผมตาเยิ้ม เหมือนมันจะเมาเพิ่มว่าที่ร้านนิดหน่อย บางทีอาจจะเมาอากาศก็ได้

     “คอยดูเถอะ เดี๋ยวกูจะบอกแม่มึง” ผมว่าเสียงขุ่น มองเจ้าตัวปัญหาที่ดูมีปัญหาเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าตอนเมาแล้วนึกหงุดหงิดในใจเหลือเกิน พี่รหัสก็ช่างยุ เพื่อนก็ไม่เตือน หรือบางทีอาจจะเตือนไม่ได้ก็ไม่รู้

     “เฮีย”

     “อะไร”

     “เฮียป้อง”

     “อะไรวะ”

     “เฮียป้องงงงงงงงง”

     “โว้ย อะไรของมึงเนี่ย”

     พอเห็นผมโวยวายมันก็หัวเราะ รั้งตัวผมเข้าไปใกล้จนกลายเป็นเราตะแคงข้างมองหน้ากัน หนึ่งกะพริบตา จังหวะนั้นความใกล้ของเรามากพอเสียจนผมเห็นขนตายาวๆ ของมัน

     “หนึ่ง” ผมว่าเสียงเข้ม “ปล่อย”

     “ใจร้าย” คนตรงหน้าว่าแบบนั้น จากนั้นก็หัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่คนเดียว “ปากเสีย ดุ นิสัยคนแก่ หน้านิ้วคิ้วขมวด จู้จี้เหมือนผู้หญิงวัยทอง”

     “มึงเมาปะวะทำไมตอนด่ากูพูดชัดนัก”

     อดไม่ได้ที่จะสงสัย แต่หนึ่งก็หัวเราะตอบกลับมาเสียงดังจนผมต้องเอื้อมมือไปผลักหัวมันหนึ่งที กำลังจะหยัดกายให้ลุกขึ้น หากแต่ต้องชะงักไปกับคำพูดถัดมา

     “...แต่เฮียก็รักหนึ่ง” ผมหันไปมองมัน หรี่ตาเล็กน้อย หนึ่งพูดโดยที่สบตาผมไปด้วย แววตาของมันฉ่ำนิดหน่อยจากฤทธิ์เหล้า “เฮียปากเสียแต่ก็ใจดี ขี้บ่นแต่ก็ช่วยหนึ่งตลอด”

     “...”

     “เฮียไม่เคยไปไหน”

     “มึงเมามากแล้ว”

     เสียงที่ตอบมาเป็นเสียงครางในลำคอเท่านั้น

     ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ทิ้งตัวลงในตำแหน่งเดิม หนึ่งมองผม ไม่ละสายตาไปไหนแบบที่ผิดวิสัยของมันมาก จนผมต้องย้ำความคิดตัวเองอีกครั้งว่ามันเมา แต่ลมหายใจสม่ำเสมอของมัน ทำให้ผมหายใจลำบากนิดหน่อย

     “เฮีย”

     ผมเงียบ รอให้อีกฝ่ายที่เรียกชื่อผมพูดออกมา

     หนึ่งขยับปากเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา หนึ่งมองหน้าผมอยู่นานและผมก็ไม่ขยับไปไหน สักพักลมหายใจของหนึ่งก็สม่ำเสมอ หนึ่งหลับไปแล้ว ในขณะที่มันทำให้ผมหลับไม่ลง สิ่งที่รู้คือการที่ผมนอนเบียดมันในเตียงแคบๆ นั่น พินิจใบหน้าของมันตลอดจนพระอาทิตย์ขึ้น

     คนเมา...มักจะพูดในสิ่งที่คิด

     และผมปรารถนาให้หนึ่งคิดเช่นนั้นจริงๆ

     ผมอยากให้มันรู้ว่า...ผมจะไม่ไปไหน





-----------------------------------------------
ขอโทษที่มาช้าค่ะ
อาหารเป็นพิษ แบบงงๆ ยังไม่หายสนิทแต่ดีขึ้นแล้ว

ปล. คอมเม้นเรื่องเฮียป้องตอนที่แล้ว เปลี่ยนทีมกันเยอะเลย ฮา

ปล.2 ตอนนี้กำลัง Pre-Order นิยายเรื่องรักหลังเลนส์ค่ะ
เป็นนิยายรักชาย-หญิง เขียนในนามปากกา Ni_นิว
>> http://goo.gl/forms/QUKmtsSWFi
ลองไปอ่านรายละเอียดกันได้นะคะ  :mew1:

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 15 - คนเมา (26.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-04-2016 20:19:09
รอ ทั้งคู่กล้าๆ หน่อย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 15 - คนเมา (26.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 26-04-2016 20:50:15
เชียร์โอ๊ตละกัน 55
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 15 - คนเมา (26.04.2016) - pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-04-2016 20:51:35
สู้นะเฮีย พร้อมเร็ว เเละรักจริงๆให้ได้สักที
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 16 - สงสาร (29.04.2016) - pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 29-04-2016 19:31:02
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 16
‘สงสาร’


     หนึ่งคงจำเรื่องที่มันพูดไม่ได้แน่ๆ หรือไม่เช่นนั้น หรือไม่ก็คงเป็นเพราะมันไม่ได้มองว่าสิ่งที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่สำหลักสำคัญขนาดนั้น

     มันตื่นมากอดโถส้วมอ้วกอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินไปทิ้งตัวลงนอน จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเที่ยงๆ ถามผมว่ามีอะไรกินบ้าง นั่นทำให้ผมรู้ว่า คำพูดของมันที่มีอิทธิพลกับผมขนาดนั้น ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับเจ้าเด็กมากปัญหาเลยแม้แต่นิดเดียว

     ผมเข้าสู่ช่วงไฟนอลอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ค่อยได้กลับห้อง หมกตัวอยู่ที่ห้องสมุดกับหอพักของเพื่อนเพื่อช่วยติวต่างๆ และผมสบายใจนิดหน่อยที่เห็นว่าพอใกล้สอบแล้ว หลายคนก็ยังมาขอพึ่งใบบุญผมเหมือนเดิมแม้ว่าเราจะไม่ได้สนิทกัน หรือผู้หญิงบางคนยังเขม่นผมอยู่เลยตอนทำให้เจ้าหล่อนร้องไห้
   
     “อีกตัวเดียว...อีกตัวเดียว”

     ไอ้ภีมบ่นงึมงำอยู่ตรงกันข้ามเพียงโต๊ะกั้น หลังจากเงียบไปพักใหญ่เพราะหมกมุ่นกับหนังสือตรงหน้า (หรือบางทีอาจจะหลับในก็ได้ ผมไม่มั่นใจนัก)

     ผมเอาปึกชีทเรียนตีหัวมันไปที “มึงก็รีบๆ อ่าน”

     “คร้าบบบบ พ่อ” มันรับเสียงยานคาง

     ไอ้กันต์ไม่ได้อยู่กับพวกผม วันนี้มันบอกว่าขออ่านหนังสือคนเดียวก่อนแล้วพรุ่งนี้ช่วงเช้าจะมาให้ผมติวอีกที พอไอ้กันต์ไม่อยู่ ผมกับไอ้ภีมก็ไม่ค่อยมีคนมายุ่งด้วยเท่าไหร่นัก เลยได้แต่อ่านกันอยู่สองคนในห้องสมุดเงียบๆ ของคณะ

     “เออ” มันร้องเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “สรุปมึงไม่ไป Summer แล้วเหรอวะ”

     ผมครางรับในลำคอ “ ‘โทษที” ตอนแรกผมเล็งว่าจะไปเรียน summer ที่อังกฤษพร้อมๆ กับมัน แต่เพราะเกิดเหตุการณ์หลายๆ อย่างในช่วงรับสมัครจนผมลืมไป ไม่ได้ส่งใบสมัครเสียอย่างนั้น

     “ช่างเถอะ กูก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น” มันเอามือปัดไปมา “แค่ลืมเหรอวะ”

     “ก็ใช่สิ” คำพูดของมันทำให้ผมขมวดคิ้ว “มีอะไร”

     “เปล่า คิดว่าเผื่ออยากอยู่ใกล้ใคร ไม่อยากไปเพราะอะไรประมาณนี้” ไอ้ภีมว่า ขึ้นเสียงสูงแทบจะทุกคำลงท้ายอยู่แล้ว

     ผมเค้นหัวเราะ “ก็แย่แล้ว”

     อันที่จริงผมรู้สึกแย่นิดหน่อยกับตัวเองที่ลืมอะไรสำคัญแบบนี้ ปิดเทอมจะขึ้นปีสี่น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะไปเรียน summer ต่างประเทศ ก่อนหน้านี้จังหวะก็ไม่ค่อยมีสักทีเพราะมีกิจกรรมมหาวิทยาลัยตลอดกระทั่งปิดเทอม พอมีโอกาสแล้วก็ดันลืมเสียได้ พอคิดขึ้นมาได้ว่ากรอกใบสมัครเสร็จแล้วแต่ไม่ได้ส่งไปก็เลยไม่อยากหาโครงการอื่น สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไม่ไปเสียเลย

     “แล้วปิดเทอมนี้จะทำอะไรวะ”

     “กินๆ นอนๆ” ผมตอบไปตามจริง “ให้ที่บ้านเห็นหน้ากูบ้างเถอะ เขาจะตัดกูออกจากกองมรดกแล้ว”

     “ให้มันจริงเถอะไอ้คุณชาย”

     ผมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำนั้นเท่าไหร่ ยอมรับว่าบ้านผมมีอิทธิพลพอตัว มีเงินให้ใช้ได้ค่อนสบายๆ แต่เพราะที่บ้านเลี้ยงมาอย่างประหยัด มัธยัสถ์พอควร ข้าวของเครื่องใช้ผมก็ไม่ได้แพงอะไร คนภายนอกเขาไม่ค่อยคิดหรอกว่าผมเป็นคุณชาย

     ...จะมีก็แต่ไอ้หนึ่งที่ชอบประชดประชันเรื่องที่ผมเป็นลูกคุณหนูเสียกระมัง

     “แล้ววันนี้มานอนห้องกูปะวะ” ไอ้ภีมถามต่อ เปลี่ยนประเด็นไปจากเดิมแทบจะสามร้อยหกสิบองศา

     ผมกรุ่นคิดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้า “อืม”

     

     ‘กูนอนหอเพื่อน’

     ผมมองข้อความที่ผมส่งไปบอกหนึ่งตั้งแต่ตัดสินใจไปนอนห้องไอ้ภีมสำหรับเตรียมการสอบวันสุดท้าย ยังไม่มีข้อความใดตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่คำว่า Read ผมไม่มั่นใจว่ามันรับรู้หรือยังด้วยซ้ำ แต่จะโทรไปขัดก็คงใช้เรื่อง

     มีเพื่อนอีกสองสามคนมานอนด้วย ไอ้กันต์เองก็โผล่หน้ามาด้วยตอนที่ผมบอกว่าจะไป บรรยากาศในห้องครึกครื้นแบบแปลกๆ ยกเว้นแต่ผมที่ทำตัวสวนบรรยากาศ

     “มึงทำอะไรวะ” เจ้าของห้องเดินมานั่งข้างๆ ผม

     “เปล่า” ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ วางไว้ที่โต๊ะ

     ภีมมองหน้าผมเหมือนกับอยากถามว่าผมคุยกับใคร แต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา คาดว่ามันคงเห็นหน้าจอไลน์นั่นแหละแต่ไม่เห็นว่าผมแชตกับใครเท่านั้น

     “ไอ้เอกมันขี้เสร็จหรือยังจะได้ติวต่อ” เพื่อนคนหนึ่งตะโกนถามเข้าไปในห้องน้ำ

     “แป๊บนึงเว้ยยยย” นั่นคือเสียงที่ตอบกลับมา แล้วทุกคนก็ระเบิดหัวเราะ

     กว่าจะได้ติวกันจริงๆ จังๆ ก็ผ่านไปประมาณค่อนคืน เดี๋ยวก็ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็อยากหาอะไรกิน เดี๋ยวก็คุยกับเมีย จนผมต้องยื่นคำขาดว่าให้ทุกคนเอาโทรศัพท์ปิดเครื่องวางบนโต๊ะเดี๋ยวนี้ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปูเรื่องพื้นฐานที่เพื่อนบางคนลืมไปแล้ว (หรืออาจจะไม่เคยจำมาก่อน) กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็แทบจะรุ่งสาง โชคดีเหลือเกินที่ตัวนี้สอบในตอนบ่าย พวกเราเลยมีเวลาในการนอนพักเอาแรงบ้าง

     ผมนอนหลับไปสักสามชั่วโมงเห็นจะได้ ตอนตื่นมาจึงบอกคนอื่นๆ ว่าเดี๋ยวขอไปเปลี่ยนชุดที่หอตัวเองซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วไปเจอกันที่คณะเลย

     ใช้เวลาขับมอเตอร์ไซค์ตัวเองแป๊บเดียวก็มาถึง พอขึ้นไปถึงห้องแล้วก็พบว่าห้องเงียบสงบ

     จะว่าไปแล้ว... หนึ่งยังไม่ตอบไลน์ผมเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังไม่ได้ไปดูว่ามันอ่านที่ผมบอกไปหรือยัง

     ผมพ่นลมหายใจ ช่างมันเถอะ เดินเข้าไปในบริเวณห้องนอนเพื่อที่จะหยิบเสื้อผ้าและอาบน้ำ ก่อนที่จะพบว่าเจ้าตัวปัญหานอนอยู่ที่เตียงพร้อมกับหนังสือกองโตแบบผิดวิสัย

     ห้องนี้มีโต๊ะอ่านหนังสือของผมอยู่แค่โต๊ะเดียว ปกติแล้วหนึ่งไม่ค่อยได้อ่านหนังสือที่นี่เท่าไหร่นัก มักจะแบกเป็นงานกลับมาที่นี่มากกว่า แต่ไม่คิดว่ามันจะเอาหนังสือมาอ่านบนเตียง แถมยังหลับลึกเสียด้วย

     ถ้าผมเป็นโจร ปานนี้มันคงโดนฆ่าปาดคอตายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

     ผมส่ายหน้า เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยและจัดการดึงหนังสือที่อยู่ในมือของมันออก เอาดินสอใกล้ๆ นั้นมาคั่นหน้าไว้ให้ เป็นอีหรอบนี้สงสัยมันคงหลับคาหนังสือ ไม่ได้อ่านอะไรจริงจังขนาดนั้นหรอก

     “พี่เต้ย...”

     ชื่อที่หลุดออกมาจากปากมันทำให้ผมชะงัก

     หนึ่งสะลึมสะลือ พลิกตัวเป็นนอนตะแคงอีกฝั่ง เหมือนกับนั่นเป็นเพียงสิ่งที่ละเมอออกมา ผมสูดลมหายใจลึก ในใจก็คิดว่าการปลุกมันเพื่อถามว่าอะไรทำให้มันละเมอชื่อนี้ออกมาก็คงจะเป็นการทำเกินกว่าเหตุ จึงตัดสินใจไปหยิบเสื้อผ้าและเดินเข้าห้องน้ำไปเสียก่อน

     ตอนผมอาบน้ำเสร็จแล้ว หนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งอยู่บนเตียงแทน

     “วันนี้สอบไหม” ผมเอ่ยปากถาม

     “ไม่” น้ำเสียงที่ตอบมายังเจือความงัวเงียอยู่เล็กน้อย “พรุ่งนี้สอบอีกสองตัว วันนี้ว่าง”

     “อืม...”

     “เฮียจะไปสอบเหรอ”

     “เออ” ผมตอบไปตามจริง “ตัวสุดท้าย”

     “แล้วเฮียจะกลับบ้านวันไหน”

     สิ่งนั้นทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ “ถามทำไม?”

     “อ้าว ถามเฉยๆ ไม่ได้เหรอ” หนึ่งทำหน้างุนงงเล็กน้อย

     ผมรู้ตัวว่าตัวเองระแวงเกินไป แต่ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวแล้วหนึ่งเตรียมตัวจะหนีไปกับไอ้แฟนมากปัญหาของมันคนเก่าเหลือเกิน หนึ่งเองก็ไม่ได้เลิกกับกริชมานานขนาดนั้น แถมจบไม่สวยเสียด้วย มันคงไม่ตกลงปลงใจกับใครเร็วขนาดนั้นหรอก

     ผมสลัดความคิดนั้นออก ตอบมันไปตรงๆ “คงพรุ่งนี้ล่ะมั้ง มึงล่ะ”

     “หนึ่งต้องเตรียมค่ายติวน้องว่ะ คงกลับไปช่วงกลางๆ เดือนเลย”

     ผมไม่แปลกใจ เด็กปีหนึ่งมีกิจกรรมเยอะเสมอ พวกค่ายอะไรที่เตรียมรับน้องเองก็ด้วย ขนาดตอนปีผม ไม่ได้เป็นเด็กกิจกรรมเองก็ยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมพวกนี้อยู่ดี

     เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก หนึ่งเพ่งความสนใจกับหนังสือใหม่แต่อ่านไปสักพักก็หาวจนผมต้องบอกให้มันไปล้างหน้าล้างตา ก่อนที่ผมจะเดินออกไปเพื่อหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวันและเข้าสอบวิชาสุดท้ายให้เสร็จเสียที
   
     ไม่มีอะไรหรอก...หนึ่งอาจจะแค่ฝันถึงพี่รหัสมันก็ได้


     
     เพื่อนๆ ในเซคชวนกันไปกินร้านชาบูแถวๆ ต่างคณะ ครั้งนี้ผมไม่ได้ปฏิเสธอะไร พอสอบเสร็จแล้วก็ต้องมีความรู้สึกอยากฉลองบ้าง

     “เบียร์หน่อยไหม”

     “ไม่” ผมรีบเบรกไอ้กันต์ “มึงหยุดเทอะไรให้กูเลยนะ”

     “ครับพ่อพระ” อีกฝ่ายประชดประชันด้วยใบหน้ายิ้ม หันไปเทเบียร์ใส่แก้วตัวเองและแก้วเพื่อนๆ แทน

     ผมไม่ได้ถือศีลอะไรหรอกแต่ไม่ค่อยชอบเบียร์เท่าไหร่นัก มันทำให้ผมเมาได้เร็วกว่าเหล้าทั้งๆ ที่มีแอลกอฮอล์น้อยกว่า นี่ก็กินไปแล้วแก้วสองสามแก้ว เลยต้องรีบเบรกเพื่อนไว้ก่อน เพราะรู้ว่ายังไงๆ เดี๋ยวก็ต้องเทมาอีก ยิ่งผมต้องขับมอเตอร์ไซค์กลับเองด้วยคงไม่ดีเท่าไหร่

     และสุดท้ายก็เป็นไปดั่งคาด นั่งกินอยู่สามชั่วโมง ผมน่าจะกินเบียร์ไปสักห้าหกแก้วได้ พอรู้ว่าใกล้ถึงลิมิตตัวเองผมเลยขอตัวกลับก่อน ตอนนี้ก็น่าจะสักสองทุ่มแล้ว

     ผมขับมอเตอร์ไซค์ช้ากว่าปกติเพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุง่ายๆ พอไปถึงห้องตัวเองที่ไม่เห็นเงาของเพื่อนร่วมห้องก็ไปทิ้งตัวนอนทันทีอย่างผิดวิสัยตนเอง ปกติผมไม่ชอบไปกินอะไรมาแล้วมานอนแบบนี้หรอก

     จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปกี่ชั่วโมง หรืออาจจะไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ ตอนตื่นมาก็คือตอนที่หนึ่งเดินมาสะกิดผม

     “เฮีย...เฮียป้องๆ” ผมหันไป ค่อยๆ ลืมตา พบว่าหนึ่งอยู่ใกล้กันเกินไปหน่อยแต่อีกฝ่ายก็ถอยหลังไปทันที “กินข้าวแล้วเหรอ”

     ผมส่งเสียงตอบรับไปในลำคอ ไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่นัก

     “งั้นหนึ่งไปนะ”

     “ไปไหน”

     “หอพี่เต้ย”

     คำตอบของหนึ่งทำให้ผมลุกขึ้นมาโดยฉับพลัน “มึงไม่ได้เพิ่งกลับมาเหรอ แล้วจะไปทำไม”

     “วันนี้นัดกันไปติวที่หอพี่เต้ยว่ะ นี่ก็ว่าจะค้างเลย กลับมาเอาของเฉยๆ” หนึ่งตอบหน้าซื่อเหมือนกับยังงุนงงว่ามีอะไรเกิดขึ้น

     “แล้วทำไมต้องไปหอมัน มันอยู่ปีสองไม่ใช่เหรอ”

     “พี่เต้ยอยู่หอเดียวกับแก้วตา ไปติวกับแก้วตาแหละ แต่เดี๋ยวหนึ่งไปนอนที่ห้องพี่เต้ย”

     ก็ดูเป็นคำพูดที่ดูมีเหตุผลดีอยู่หรอก ผมเลยจนคำพูด ไม่รู้จะว่าอย่างไรต่อ แม้จะสงสัยว่าทำไมชื่อของพี่รหัสมันนี่มาให้ผมได้ยินบ่อยๆ ในช่วงนี้

     “เออ” หนึ่งที่จัดกระเป๋าอยู่พูดเหมือนกับนึกอะไรออก แต่พอเราสบตากันมันก็เงียบไป “ยังไม่เอาดีกว่า”

     “อะไร”

     “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวค่อยบอกก็ได้”

     ท่าทางมีพิรุธเช่นนั้นทำให้ผมถามย้ำ “หนึ่ง มีเรื่องอะไร”

     อีกฝ่ายมองหน้าผม ผลุบตาลงต่ำ เม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกับลังเลใจที่จะพูดอยู่พักหนึ่ง ปล่อยให้ผมลุ้นเพราะความเงียบที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างเรา

     “เทอมหน้า...” ในที่สุดมันก็พูดออกมา หากแต่เว้นช่วงไปพักหนึ่งเลยทีเดียว หนึ่งสูดหายใจลึกราวกับใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะพูดออกมา “เทอมหน้าหนึ่งย้ายไปอยู่กับพี่เต้ยนะ”

     “อะไรนะ” สิ้นคำ ผมก็ถามเสียงขุ่นทันที “มึงจะไปทำไม”

     “รูมเมทพี่เต้ยจบแล้วอ่ะ”

     นั่นไม่ใช่คำตอบเสียหน่อย “แล้วมึงจะไปทำไม มันเกี่ยวอะไรกับมึง”

     “เฮียเขาก็กำลังหาเมทอยู่ไง” หนึ่งทำหน้างุนงง “นี่เฮียหงุดหงิดอะไรแล้วมาลงกับหนึ่งรึเปล่า”

     “เปล่า” มีแต่เรื่องมันเท่านั้นแหละที่อยู่ในหัวผมตอนนี้ ไม่มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น “อยู่ห้องนี้ค่าหออะไรมึงก็ไม่ต้องจ่าย แล้วทำไมมึงต้องไปอยู่กับมัน มันจะอยู่คนเดียวก็ช่างหัวมันสิ”

     “เฮียป้อง”

     “หรือว่า...มึงอยากไปอยู่กับมัน”

     ผมห้ามปากตัวเองไม่ได้แล้ว เป็นอะไรที่มันหลุดออกมาเหมือนกับการอาเจียน ผมรู้ว่านี่ไม่ดีเลยแต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้จริงๆ

     “เฮียป้อง!” หนึ่งตวาดผมเสียงดัง “มันเกี่ยวอะไรกันวะ นั่นพี่รหัสนะ”

     “พี่รหัสจริงๆ หรือไง หรือว่าเป็นแฟนใหม่ เมื่อกลางวันนี้มึงก็เรียกชื่อมัน นี่มึงไม่ได้เอามันมาที่ห้องกูใช่ไหม”

     “ไอ้เวร!” หนึ่งโยนกระเป๋าออกไปอีกทาง กระโจนข้ามเตียงมาผลักผมลงเตียง กระชากข้อเสื้อผมไว้อย่างแรง แววตามันสั่นไหวแบบที่ผมอยากจะได้อะไรสักอย่างมาย้อนเวลากลับไป ดึงคำพูดตัวเองกลับมา “เฮียจะดูถูกหนึ่งมากไปไหม คิดว่าหนึ่งจะไม่ให้เกียรติเฮียขนาดนั้นหรือยังไง!”

     “แต่ตอนกับไอ้กริช มึงก็ทำ!”

     “ตอนนั้น...!” ผมคิดว่าหนึ่งอยากจะเถียง แต่มันก็เถียงไม่ออกเพราะตอนนั้นมันทำจริงๆ “แต่พี่เต้ยมันไม่เกี่ยวปะวะ เขาก็เป็นพี่รหัส ไม่ใช่แฟนหนึ่งแบบกริชสักหน่อย” น้ำเสียงมันอ่อนลงมาเล็กน้อย

     “แล้วมีสาเหตุอะไรที่ทำให้มึงต้องย้ายไป... อยู่กับกูมันทำให้มึงอึดอัดมากขนาดนั้นเลยหรือยังไง

     ผมไม่มั่นใจนักว่าผมพูดประโยคนั้นไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน

     เราเงียบใส่กัน ผมมองลึกเข้าไปในแววตาของหนึ่ง แววตาที่เคยร้องไห้หลายครั้งหลายครา ในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้ว่าเรากำลังสบตากัน หนึ่งเองก็คงมองในตาผมเหมือนกัน และผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันมองเห็นอะไรในนั้น

     “อึดอัด” หนึ่งพูดออกมาเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนไม่ใช่ประชด หากแต่เป็นคำพูดที่มาจากใจมันจริงๆ “และเฮียทำเพราะว่าสงสาร...มันยิ่งอึดอัด”

     ผมนิ่งเงียบ กล่าวให้ถูกคือไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไป หรือขยับร่างกายส่วนไหน หนึ่งยังอยู่บนร่างผม มองตาผมด้วยแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าของมันอยู่ห่างไปเพียงนิดเดียวจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นจากคนข้างบน

     นานทีเดียวที่เราทั้งสองเป็นอย่างนั้น ก่อนที่มันจะผละออกไป เดินคว้ากระเป๋าตนเองที่มันเป็นคนโยนทิ้งเมื่อกี้ และเดินออกไปโดยการปิดประตูเสียงดัง

     ‘สงสาร’

     เป็นถ้อยคำที่กำลังดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวผมทำให้ผมกัดริมฝีปากจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ มือของผมกำเข้าหากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ผมจะสบถคำผรุสวาทออกมาอย่างหัวเสีย ในยามนี้ ผมนึกโกรธทั้งตัวหนึ่งและตัวเอง

     ทำไมไม่ลองคิดให้ดีกว่านี้ว่าที่ผมทำไปมันเพียงเพราะสิ่งนี้จริงหรือ
   




-------------------------------
สัมผัสได้ว่าจะโดนด่า
...ไม่ใช่เรานะ เฮียป้องเนี่ยแหละ ฮาา :ruready

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 16 - สงสาร (29.04.2016) - pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 29-04-2016 19:48:03
อ่านแล้วเจ็บและอึดอัด ทำไมเข้าใจกันยากจัง แล้วตอนนี้ปกป้องเข้าใจตัวเองหรือยัง

เจอคำผิดตรงนี้ค่ะ

แก้ เรื่อ เป็น เรื่อง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 16 - สงสาร (29.04.2016) - pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-04-2016 20:30:49
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 16 - สงสาร (29.04.2016) - pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-04-2016 20:35:30
เราอายุมากแล้วนะ  อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจป้องมากกว่าหนึ่ง
มองตามหลักความจริงไม่ว่าปกป้องจะรู้สึกยังไงกับหนึ่งก็ตาม  การที่ป้องยื่นมือเข้ามาช่วยหนึ่งเราถือว่าเป็นสิ่งที่ดี   ครอบครัวป้องให้โอกาสให้ชีวิตหนึ่งกับแม่อีกครั้ง  แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมหนึ่งแสดงออกกับป้องแบบนี้   ทั้งๆที่อย่างมีเรื่องคราวกริชก็เป็นป้องที่ยื่นมือเข้าไปช่วย   หนึ่งอาจจะไม่ได้ขอแต่ก็ไม่ควรมองว่าการยื่นมือเข้ามาช่วยของคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสมอไป   เรื่องเต้ยเรายังมองว่าเต้ยชอบหนึ่งด้วยซ้ำ   ถ้าหากว่าจะออกไปอยู่คนเดียวก็ควรรู้ตัวเองด้วยว่าสกิลการเอาตัวรอดของตัวเองมีอยู่ขนาดไหน   หนึ่งอาจจะอึดอัดที่อยู่กับป้องแล้วป้องไม่ยอมล้ำเส้นตามใจตัวเอง  ส่วนตัวมองว่าป้องไม่ได้แค่สงสารแต่หนึ่งเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในชีวิตป้อง    หนึ่งน่าจะมีเหตุผลที่แสดงออกแบบนี้แต่มันไม่งามค่ะ    ไม่ว่าหนึ่งจะเอาเต้ยมาเป็นเครื่องมือหรือไม่  เท่าที่ป้องทำได้ก็แค่ปล่อยมือไป    อายุยังน้อยกันก็มองแต่จุดที่ขาดมากกว่าจุดที่มีสินะคะ

ขอบคุณที่มาอัพค่ะ

ป.ล เราชอบป้องนะ  เป็นคนที่รับผิดชอบตัวเองได้ดีมากๆ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 16 - สงสาร (29.04.2016) - pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 29-04-2016 22:22:22
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึมครึมในอารมณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยอ่านมา ขอชื่นชมคนเขียนว่ารายละเอียดดีมาก ตอนอ่านนี่พลาดพฤติกรรมตัวละครไม่ได้เลย แบบว่าเล็กๆน้อยๆนี่ต้องตามเก็บเอาไปคิดตลอด ฮ่าๆ

หนึ่งอึดอัดใจจริงๆแหละ แล้วเขาก็ต้องการความรัก
เฮียป้องหนาเฮียป้อง ถ้าเส้นของเฮียมันอยู่ตรงนั้น แล้วทำยังไงถึงจะข้ามไปได้?
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 17 - คนเห็นแก่ตัว (03.05.2016) - pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 03-05-2016 14:56:04
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 17
‘คนเห็นแก่ตัว’


     ผมไม่ได้เจอหนึ่งมานานกว่าจำนวนนิ้วมือของตัวเอง

     วันนั้นหนึ่งออกไป ไม่กลับมาที่ห้องจนผมกลับมาที่บ้าน คิดว่ามันคงจะไปอยู่กับเพื่อนมันสักคน หรือไม่ก็พี่รหัสตัวดีของมันนั่นแหละ ตอนนี้มันกลับห้องหรือยังผมก็ไม่รู้

     ดีเสียอีกไม่ต้องเปลืองไฟ มันเป็นผู้ชาย ไม่เห็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้นเลย

     พอคิดแบบนั้นเสร็จ นิ่งไปพักหนึ่ง ก็ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิดว่าการหาเหตุผลมาบอกตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงมันเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าผมยังเป็นห่วงมันอยู่

     ผมทิ้งตัวลงบนเตียง พอกลับมาบ้านแล้วชีวิตว่างอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆ ก็ตอนกลางวัน พอเย็นๆ บางทีแม่ก็บอกให้ผมไปออกงานสังคมกับพี่สาว หรือพ่อบ้าง ถึงจะเรียกว่าบอก แต่แท้จริงมันก็คือการบังคับ แม่คงจะไม่อยากให้คนลืมกระมังว่าที่บ้านก็มีลูกชายคนเล็กอยู่อีกคนเพราะผมไม่ได้ไปออกหน้าออกตามานานมากแล้ว ถึงผมจบมาผมจะไม่ได้มีส่วนในด้านบริหาร แต่การมีคนรู้จักเยอะๆ ก็คงช่วยให้โลกง่ายขึ้น

     ความจริงก็เป็นแบบนี้

     ช่วงที่ใส่สูท แต่งผม ออกงาน ยิ้มตลอดงานเพื่อคุยกับแขกผู้ใหญ่ หรือกระทั่งลูกๆ ของคนเหล่านั้นก็ทำให้ผมเหนื่อยไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

     วันนี้คงไม่มีอะไรอีกเพราะเมื่อคืนเพิ่งไปงานวันเกิดลูกสาวคุณหญิงคนหนึ่ง เป็นลูกนายพลใหญ่ที่รู้จักกับพ่อผม จัดงานหรูหรา กลับมาตั้งดึกแถมเจ้าหล่อนตัวติดผมเป็นตังเมเพราะเราเรียนสายคล้ายๆ กัน หล่อนเรียนเภสัชศาสตร์ อายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี

     ขณะที่ผมนอนหลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยเสียงแม่

     “ป้อง” แม่เปิดประตูเข้ามา “พรุ่งนี้...”

     “ไม่ไปครับ” ผมตัดบทแทบจะในทันที ให้ไปงานวันเว้นวันก็ไม่ไหว

     “เอ๊ะไอ้นี่” แม่เท้าสะเอวก่อนที่จะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ข้างๆ ผมที่หยัดกายขึ้นมา “จะบอกว่าแม่ของหนึ่งเปิดร้านแล้วนะ”

     “...” ชื่อของหนึ่งทำให้ใจผมกระตุกนิดหน่อย

     “จะไปไหม คงไปมื้อกลางวัน”

     ผมลังเลไปนิดหน่อย พยายามคิดว่ามีข้ออ้างใดที่เป็นไปได้บ้าง ไอ้การที่ยอมไปงานเลี้ยงนู่นนี่แต่ไม่ยอมไปร้านของคนสนิทๆ มันก็คงแปลกไปหน่อย ผมเลยตอบรับไป

     “ก็ได้ครับ”

     “โอเค ออกจากบ้านแปดโมง จัดการให้เสร็จนะ”

     “ครับ” พอเห็นผมว่าเช่นนั้นแม่ก็พยักหน้า น่าแปลกที่ท่านไม่เดินออกไป ทำเพียงมองหน้าผมเงียบๆ เท่านั้น “มีอะไรเหรอแม่”

     “อกหักเหรอเรา” คำพูดของแม่ทำให้ผมผงะไปชั่วครู่ “ทำหน้าแบบนี้แปลว่าฉันพูดถูกล่ะสิ”

     “ไม่ใช่ครับ”

     ไม่เรียกว่าอกหักเสียหน่อย...เป็นความรักที่ไม่มีหวังตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ

     แม่หัวเราะ ดูเหมือนว่าการที่ลูกชายคนเดียวอกหักจะทำให้แม่มีความสุขมาก เธอเอื้อมมือมาขยี้หัวผม พูดจากลั้วหัวเราะ

     “มีแฟนแล้วก็บอกแม่ล่ะ หรืออยากให้แม่หาให้”

     “ก็แย่แล้ว” ผมถอนหายใจ ยิ้มออกมานิดหน่อยเพียงเพราะคำพูดของแม่

     ทุกครั้งเวลามองครอบครัวเรา ผมนึกขอบคุณพระเจ้า ผมหมายถึง... ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่พวกท่านดูแลพวกเราอย่างอบอุ่น แต่ก็ไม่เข้มงวดจนไร้อิสระ สมัยเด็ก ผมคิดมาตลอดว่าทุกครอบครัวเป็นแบบเรา จนโตขึ้นถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ ผมจึงยิ่งขอบคุณทั้งพ่อแม่และพี่ปลาอยู่เสมอที่ครอบครัวช่วยรับฟังปัญหาของผม

     “สมมุตินะแม่...” ผมเอ่ยออกมาเสียงเบา “เป็นเรื่องของเพื่อน”

     แม่ทำหน้าเหลือเชื่ออย่างมีจริต แต่ก็พยักหน้าราวกับจะบอกให้ผมพูดต่อได้เลย

     “ถ้ามันคิดว่ามันยังไม่ดีพอสำหรับเขา แต่ไม่อยากให้เขามีใคร ควรทำยังไงดี”

     แม่เงียบไปชั่วครู่ในขณะที่ผมแทบจะกลั้นหายใจรอคำตอบ คนตรงหน้าส่งเสียงในลำคอนิดหน่อยก่อนที่จะตอบด้วยคำถามที่ทำให้ผมอึ้งไป

     “แบบนั้นก็เห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ?”

     เป็นคำที่ผมไม่เคยแม้แต่นึกมาก่อน... ‘เห็นแก่ตัว’ อย่างงั้นหรือ

     พอเห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไร แม่ก็พูดต่อ “มันก็เรื่องง่ายๆ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับเขา ทำไมไม่ปล่อยเขาไปให้เจอคนที่ดีพอซะ ตระกะนี้มันง่ายๆ เลยนะ”

     “ถ้าคนใหม่ของเขามันไม่ดีพอล่ะ”

     “ไม่ดีพอจริงๆ หรือว่าคิดไปเอง” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผมอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็มีอีกเรื่องที่ง่ายกว่า”

     “...”

     “เป็นคนที่ดีพอสำหรับเขาซะสิ” ผมไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใด แม่มองหน้าผม ยิ้มแปลกๆ แต่ให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนแบบที่ผมได้รับมาตั้งแต่เด็กถูกส่งมอบมาให้ “แต่แม่ก็ไม่เห็นว่าเราจะเป็นคนที่ไม่ดีเลยนะป้อง”

     “เรื่องของเพื่อนครับ”

     “จ้า” แม่ลากเสียงยาวคล้ายจะล้อเลียน “สมมุติว่าเพื่อนของเราเป็นเหมือนเรา ใครจะมาบอกว่าเราเป็นคนไม่ดีนี่แม่จะด่าให้ ไม่ต้องเอาเข้าบ้าน” แม่พูดระคนหัวเราะ “เรียนก็ไม่เคยแย่ เหล้าก็ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ตั้งแต่เกิดมาไม่ยักกะเคยเห็นสร้างปัญหาให้ที่บ้านจริงๆ จังๆ สักที”

     “เรื่องของเพื่อน แม่” ผมย้ำคำเดิมอีกครั้ง แต่คล้ายว่าจะไม่เข้าหูคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

     “แม่มองว่าปัญหาของเราคือเรื่องเครียดเกินไปมากกว่า นิสัยนี้ล่ะได้พ่อมาเยอะเชียว อ๋อ... รวมเรื่องเถรตรงด้วย” ท่านว่าไปเรื่อย “มีความรับผิดชอบก็ดี แต่อะไรที่มันช่วยไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ปล่อยๆ ไปบ้างเถอะ หรืออยากให้พาเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมซะบ้าง”

     “ไม่เกี่ยวแล้วแม่” ผมรีบเบรกท่านไว้ก่อน

     “จ้ะพ่อคุณ” แม่ว่าเสียงประชด ก้มลงหอมแก้มผมหนึ่งทีก่อนที่จะผละออกไป เดินออกจากห้องไป

     ผมถอนหายใจ แม่ไม่เชื่อแน่ๆ…แต่คำพูดแบบนั้นก็ดูโง่เง่าเกินกว่าใครจะเชื่อ เป็นข้ออ้างที่สั่วมากจริงๆ

     ไม่ทันไรแม่ก็เปิดประตูกลับมาอีก “ขอโทษที ลืมไปว่ามันเป็นเรื่องของเพื่อนลูกเนอะ”

     ผมกลอกตา แม่ช่างหาวิธีมาซ้ำเติมผมได้เจ็บแสบอย่างนุ่มนวลเกินไปจริงๆ

     ประตูถูกปิดไปอีกครั้ง ครั้งนี้คงไม่มีใครเปิดเข้ามาอีกแล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนตามเดิม มองเพดานห้องที่ได้มองมาตั้งแต่แยกห้องกับพ่อแม่ตอนเข้าประถม ไม่รู้ว่าเพราะเพดานโล่งเช่นนี้หรือเปล่า ผมถึงเผลอคิดถึงหน้าของหนึ่ง

     ผมไม่มั่นใจว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อหนึ่งมันลึกซึ้งถึงขนาดนี้ตอนไหน แต่ผมก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกสงสาร หากมันเป็นเช่นนั้นจริง มันไม่เพียงพอหรอกกับสิ่งที่ผมใส่ใจมันมาตลอด

     ก่อนหน้านี้ที่เก็บงำความรู้สึกมาตลอดเป็นเพราะผมคิดว่าหนึ่งรังเกียจความรักประเภทนี้ ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนึ่งจะชอบผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อก่อนหน้านี้หนึ่งเคยโดนกระทำต่างๆ ในอดีต เพราะฉะนั้น ผมยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดว่าสักวันหนึ่งจะมีแฟนเป็นผู้หญิงสักคน แต่งงาน และมีความสุข
 
     ผมเคยคิดแบบนั้นมาก่อน... จนวันที่เจอมันอยู่กับกริช

     ผมไม่รู้มาก่อนว่าหนึ่งชอบผู้ชายแถมคบกันมาเป็นเดือนแล้ว ความรู้สึกที่กดไว้ตลอดเลยคล้ายจะปริแตกมาทุกเมื่อยามคิดว่าตัวเองมีหวัง แต่ผมก็ไม่สามารถลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่ปล่อยผ่านมาตลอดได้

     พี่ปลาบอกว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม... ทุกคนก็บอกแบบนั้น และผมเองก็รู้

     แต่สำหรับผม หนึ่งเป็นคนที่ผมอยากถนอม ไม่อยากแตะต้องหรือสัมผัสเพราะกลัวจะยั้งมือไว้ไม่ได้ ไม่อยากทำลายความเชื่อใจที่ทั้งหนึ่งและคนรอบข้างมอบให้มาตลอด ความเปราะบางของหนึ่งมีมาก ผมเกรงว่าแค่เอื้อมมือไปแตะต้องมันจะพังครืดลงต่อหน้าต่อตา

     เพราะอะไร...ทำไมคนเหล่านั้นที่เข้ามาในชีวิตหนึ่งไม่เคยคิดถึงตรงนี้กันบ้างเลย

     ‘เป็นคนที่ดีพอสำหรับเขาซะสิ’

     พูดง่าย...แต่ทำยากเหลือเกิน

     หากผมไม่เอาหนามที่ปักอกออก เกรงว่าผมคงยอมรับตัวเองไม่ได้สักที



     วันนี้เป็นวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการของน้ากานดา

     อันที่จริงเปิดให้ลูกค้าเข้ามาสักสองอาทิตย์แล้ว แต่วันนี้เป็นวันทำบุญ มีแขกมาประมาณสามสิบคน งานเริ่มสิบโมงแต่แม่มาช่วยน้ากานดาจัดการอะไรเสียก่อน เลยมาถึงที่ร้านนี้ราวแปดโมงครึ่ง

     “มาแล้วเหรอครับ”

     ผมผงะไปนิดหน่อย ทันทีที่เปิดประตูเข้าร้านมาก็เจอหนึ่งทันที อีกฝ่ายเองก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหันไปคุยกับแม่ของผมอย่างสนิทสนม เรียกได้ว่ามองผ่านผมไปเลย

     คุยกันอยู่พักหนึ่ง แม่ผมก็เอ่ยปาก “ไปคุยกับป้องก่อนลูก เดี๋ยวป้าไปช่วยแม่เราก่อน”

     หนึ่งยิ้มให้แม่ของผมที่เดินเข้าไปในห้องครัว แล้วจึงหันมามองผม รอยยิ้มนั้นหุบลงทันที เดินออกไปคุยกับคนอื่นๆ ที่น่าจะเป็นคนงาน

     เมินกันเต็มรูปแบบ

     ก็คิดไว้แล้วแหละว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมพยายามไม่ใส่ใจ เดินไปช่วยคนอื่นๆ จัดเก้าอี้ จัดโต๊ะ แต่งานก็ไม่ได้มีมากอะไร ส่วนใหญ่เป็นงานในห้องครัวที่ผมเข้าไปช่วยรั้งแต่จะทำให้ปวดหัว ก็เลยไปนั่งอยู่เฉยๆ ที่มุมร้าน ไม่นานก็มีคนมาทิ้งกายนั่งข้างๆ แต่ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา

     “อะไร” ผมเอ่ยปากถาม “ค่ายเสร็จแล้วเหรอ”

     “เสร็จแล้ว” หนึ่งตอบเสียงห้วน

     จากนั้นก็เงียบ ไม่มีอะไรคุยกันอีก

     โชคดีที่น้ากานดาเดินมาเรียกให้ไปช่วยยกจานผมเลยถือจังหวะนั้นเดินออกมา หยิบข้าวของออกมาจากครัวอยู่พักหนึ่ง คนเดินเข้าออกกันเป็นพัลวันเมื่อเห็นว่าใกล้เวลางานแล้ว

     “น้าไปรับแขกก็ได้นะครับ” ผมเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าแขกเริ่มมาเยอะ “เดี๋ยวผมอยู่ช่วยตรงนี้เอง”

     “ขอบคุณมากจ้ะ” น้ากานดาคลี่ยิ้ม แต่ไม่ได้เดินออกไปไหน จัดการจัดขนมชั้นในจานให้ดูดี “ป้องจ๊ะ”

     “ครับ?”

     “น้องทำอะไร...ให้ป้องไม่พอใจรึเปล่าจ๊ะ”

     คำถามของน้ากานดาทำให้ผมนิ่งไป รู้ดีว่าน้องที่น้ากานดาเอ่ยหมายถึงลูกชายตัวเอง แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ากานดาถึงมาถามแบบนี้

     ผมขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบอะไร น้ากานดาจึงพูดต่อ

     “เห็นหนึ่งบอกว่ากลัวป้องไม่สะดวกเลยขอย้ายหอ น้าเลยกลัวว่าหนึ่งกับป้องทะเลาะกันหรือเปล่า”

     “ปะ...” ปากผมจะตอบว่าเปล่า แต่พอคิดว่าไม่ใช่ สถานการณ์แบบนี้อาจจะกล่าวได้ว่าทะเลาะกันจริงๆ แล้วก็เลยยั้งปากไว้และกลืนคำนั้นลงคอไปเสีย น้ากานดามองผม แววตาเศร้าเพราะการกระทำผมเป็นการตอบโดยไร้เสียงว่าใช่ไปเสียแล้ว

     “งั้นเหรอจ๊ะ” น้ากานดาผลุบตาต่ำ “คืนดีกันเร็วๆ นะ”

     เป็นจังหวะที่น้าแกจัดขนมชั้นเสร็จพอดี ผมเลยเอามันออกไปวางให้ ปล่อยให้น้ากานดาล้างมือก่อนที่จะไปพบแขกคนอื่นๆ

     ส่วนใหญ่แขกที่มาเป็นคนรู้จักของน้ากานดาและแม่ของผม แต่ผมไม่ค่อยรู้จัก หนึ่งเองก็ดูมีสีหน้าโล่งใจตอนที่แม่มารับแขกคนอื่นๆ ให้ อย่างว่า มันไม่ใช่คนที่เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่เก่งเท่าไหร่นัก ขนาดพ่อของผม หนึ่งยังไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เลย

     พิธีต่างๆ ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ผมไม่ได้คุยอะไรกับสองแม่ลูกอีกเพราะเอาแต่ช่วยเหลือในพิธี เนื่องจากไม่ค่อยมีแขกที่เป็นผู้ชายเท่าไหร่นัก

     จนถึงช่วงเวลาที่แขกกลับ ผมเลยไปช่วยน้ากานดาแบ่งอาหารและขนมหวานที่เหลือให้แขกทั้งหลายเอากลับบ้านไป เหลือเพียงแค่ผมกับแม่ เจ้าของร้านและลูกมือที่ช่วยจัดการไม่เท่าไหร่ ในร้านก็สงบลงไปทันตา

     ผมอาสาไปล้างจานในครัวให้ ปล่อยให้น้ากานดาคุยกับแม่ของผมอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันเสร็จ ประตูห้องครัวก็เปิดออกพร้อมกับหนึ่งที่แบกจานชุดใหญ่มาอีกชุดหนึ่ง

     “วางไว้ตรงนั้นแหละ”

     “เฮียพูดอะไรกับแม่”

     ผมเงยหน้าขึ้น มองหนึ่งที่มองผมด้วยแววตาที่แฝงความเศร้าสร้อยเล็กน้อย “อะไร?”

     “แม่บอกว่าหนึ่งย้ายออกก็ได้ เฮียพูดอะไรกับแม่รึเปล่า เมื่อวานแม่ยังไม่ยอมอยู่เลย”

     คำตอบของมันทำให้ผมครางอ๋อในใจ แต่ไม่คิดว่าน้ากานดาจะยอมให้หนึ่งย้ายหอออกไปจริงๆ ทั้งที่ประคบประหงมลูกชายยิ่งกว่าลูกสาวเสียอีก

     “เปล่านี่” ผมไม่ได้โกหก “น้ากานดาคงคิดว่ากูทะเลาะกับมึงมั้ง”

     หนึ่งเงียบไป ผมจึงเอ่ยปากถามต่อ

     “แล้วสรุปมึงจะย้ายไปอยู่กับพี่รหัสมึงเหรอ”

     “อื้อ” คำตอบของมันทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่แม้ว่ามือจะยังไม่หยุดล้างจานก็ตาม “แต่คงย้ายไปหลังเปิดเทอมสักพัก”

     ผมล้างน้ำชามในมือ วางไว้ที่ตะแกรงข้างๆ ก่อนที่จะหันกายมาสบตากับมันตรงๆ “นั่นไม่ใช่แฟนใหม่มึงจริงๆ ใช่ไหม”

     คนตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ใช่” ตอบมาแทบจะในทันที “ไม่ใช่แน่ๆ” แถมยังย้ำให้อีกรอบอีกต่างหาก

     ผมไม่รู้จะพูดอะไรแม้จะรู้สึกโล่งอกมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ปล่อยวาง หนึ่งเงียบกริบ มองหน้าผมโดยไม่เอ่ยคำใดจนผมต้องหันกลับไปล้างจานต่อ

     “กู...” ผมนิ่งไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึกและเอ่ยปากออกมา “ไม่ได้สงสาร”

     “...”

     “มันไม่ใช่ความสงสาร”

     ข้างหลังเงียบกริบ ผมไม่รู้ว่ามันทำสีหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่ามันเข้าใจในสิ่งที่สื่อหรือเปล่า แต่รู้ว่ามันยังอยู่ในห้องนี้เพราะยังไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยแม้แต่น้อย

     “เฮียป้อง” ผมหันไปมองต้นเสียง หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังของผมจนแทบจะชิดกันด้วยซ้ำ มันมองผมด้วยแววตาราวกับคาดหวังอะไรบางอย่าง สูดลมหายใจและเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ถ้าไม่ใช่สงสาร...”

     “...”

     “แล้วมันเป็นแบบไหน”

     เราสบตากัน

     บางทีก็นึกแปลกใจ หนึ่งเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเชื่อฟังเดี๋ยวก็ดื้อ เป็นคนนิสัยผีเข้าผีออกชอบกล ยามที่มันมองผม แววตาเหมือนกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง ผมไม่มั่นใจว่ามันเฝ้ารออะไร มันแค่อยากให้ผมยืนยันว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ความสงสารและฉุดมันขึ้นมาจากเหวลึกที่มันผลักตัวเองลงไป หรืออยากให้ผมบอกอะไรให้ชัดเจนกว่านี้

     “ลองคิดดูสิ” ผมเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

     หนึ่งเอื้อมมือมาสัมผัสที่ช่วงแขนผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ พูดเสียงเบาคล้ายจะกระซิบจนผมไม่มั่นใจว่านั่นคือคำที่พูดกับผมหรือตัวเอง

     “...หนึ่งไม่อยากคิดไปเอง”

     คำพูดนั้นทำให้ผมจับมือของหนึ่ง เลื่อนมันลงจากแขนตัวเอง ไล้ช่วงแขนเล็กไปจนถึงผ่ามือและบีบมันเบาๆ

     หนึ่งไม่ตั้งคำถามอีก ผมรู้สึกว่าลมหายใจของผมขาดช่วงแต่ไม่มั่นใจว่ามันรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ สายตาของอีกฝ่ายสั่นไหว มองผมอย่างไม่มั่นใจนัก

     ผมดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมา ใช้มืออีกข้างวาดวงแขนให้มันเข้ามาใกล้ เพียงเท่านั้นหนึ่งก็ก้มหน้าลงต่ำ สักพักก็เห็นใบหน้าที่ไม่ได้ขาวจัดของมันเริ่มขึ้นสีกว่าปกติ พอๆ กับลมหายใจของอีกฝ่ายที่เริ่มไม่เป็นจังหวะอย่างเห็นได้ชัด ผมก้มหน้าลงบนหัวไหล่ของอีกฝ่าย ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด

     ...เห็นแก่ตัวเหลือเกิน

     ผมกระชับอ้อมกอด รั้งกายมันเข้ามาใกล้ ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้ว่ามันผอมหากแต่ก็ไม่ได้นุ่มนวลเฉกเช่นสัมผัสผู้หญิงแต่อย่างใด

     “ทีนี้...” เอ่ยเสียงเบาแทบจะเป็นกระซิบ “พอจะเดาได้หรือยัง”

     ...ว่าความรู้สึกที่มีคืออะไร...







-------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่ะ
ชอบอ่านคอมเม้นยาวๆ มากเลย
มันทำให้มองเห็นทัศนคติที่แตกต่างกันของแต่ละคน
ขอบคุณนะคะ  :mew1:

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 17 - คนเห็นแก่ตัว (03.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-05-2016 18:07:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 17 - คนเห็นแก่ตัว (03.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 03-05-2016 19:45:49
จุดพลุ อย่างน้อยก็มาถึงจุดที่เราลุ้นไว้แล้ว  :sad4: จากนี้เรื่องจะไปทางไหนก็จะไม่บ่นพี่ป้องแล้ว
เจอคำผิดสองที่ค่ะ ตรรกะ และ พังครืน
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 17 - คนเห็นแก่ตัว (03.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 03-05-2016 22:41:01
ก้อยังปากแข๊งเหมือนเดิม

เห็นแก่ตัวมากๆๆล่ะ

จะได้มีความสุขเยอะๆ

หึหึ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 17 - คนเห็นแก่ตัว (03.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 04-05-2016 04:24:24
คงอีกนานกว่าจะชัด เพราะเส้นขอบเขตความสัมพันธ์มันเหลื่อมล้ำกันไปหมดแล้ว   
ป้องเองก็อยู่ระหว่างความรักกับความรู้สึกผิด  เรามองว่ามันจะเป็นตัวแปรสำคัญที่คอยคุมโทนความสัมพันธ์ของป้องกับหนึ่ง  เพราะรักเพราะห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยน้องได้เมื่อก่อน ป้องถึงได้พยายามอย่างมากๆ  เป็นผู้ใหญ่เกินตัว  คุมหนึ่งยังกับว่าเป็นพ่อ  Control Freak เลย   ป้องพยายามมากเกินไปที่จะเป็นคนที่ปกป้องหนึ่งได้จนกลัวว่าถ้าหากวันหนึ่งน้องเกิดได้เจอคนที่เหนือกว่าป้อง   เราว่าป้องจะถอยให้ในทันทีที่รู้ตัวว่าเทียบไม่ได้  มาวันนี้ป้องเปิดเผยตัวออกมาสักนิดแล้ว  ไม่รู้ว่าเพื่อรั้งน้องไว้หรือเปล่า?  มันสั้นเกินไปที่จะเข้าใจคำแนะนำของแม่นะเราว่า

หนึ่งที่มองว่าป้องเป็นแสงสว่าง  อ่านที่หนึ่งว่ากริชเหมือนพ่อ  สะอึกในใจเลยค่ะ   ใช่ค่ะ เหมือนมากๆ ทั้งในเรื่องการทารุณกรรมด้วย   ว่ากันว่าคนที่เคยตกเป็นเหยื่อของการถูกทารุณโดยคนใกล้ชิดจะมีเซ๊นส์ที่สามารถรับรู้ได้ว่าคนๆนั้นเป็นแบบนี้  บางรายอาจจะไม่รู้ตัวเองเลยก็ได้  เหมือนโดนแม่เหล็กดึงดูดให้เข้าใกล้  ไม่ได้อยากโดนทำร้ายหรอกค่ะ  แต่เป็นเพราะเหมือนเป็นการทดแทนทางใจว่าลองอีกครั้งแล้วคราวนี้ฉันจะทำสำเร็จ ฉันจะสามารถเปลี่ยนเขาได้แล้วทุกอย่างจะโอเค     หนึ่งควรจะรักตัวเองมากกว่านี้ ความกลัวของหนึ่งที่ว่าคนใกล้ชิดจะเสียใจ  จะรังเกียจว่าตัวเองสกปรก   เราว่าจริงๆแล้วตัวหนึ่งเองตางหากที่คิดว่าตัวเองสกปรกถึงได้ทำตัวไม่น่ารัก  การดื้อดึงไปอยู่กับเต้ยดูๆไปรู้สึกเหมือนกับว่าบีบป้องอยู่รำไร

แม่หนึ่งเองก็อาศัยป้อง เอาภาระมากองที่ไหล่ป้องมากเกินไป  ป้องยังไงก็อายุไม่มาก  ตัวกานดาเองต่างหากที่ต้องพยายามมากกว่านี้  ต้องยืนด้วยตัวเองให้มากกว่านี้   ต้องพยายามให้มากกว่านี้ทั้งหนึ่งกับแม่เลย

เห็นจุดหนึ่งที่ป้องลืมตัวเอ่ยถึงสิ่งที่หนึ่งเคยประสบมาแล้วหนึ่งเจ็บ ป้องโกรธตัวเอง อยากจะบอกว่าการเลี่ยงที่จะพูดถึงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำหรอกค่ะ  เพราะเป็นการกลบขยะไว้ใต้พรมเท่านั้นเอง   ขยะมันไม่ได้ไปไหน  ยังอยุ่ที่เดินรอคนมาสะดุดพรมให้มันโผล่มาเท่านั้นเอง     ปัญหาเรื่องนี้ก็เหมือนมีหลุมอยู่เต็มพื้น ต้องพยายามเดินหลบไปหลบมา  วันไหนซวยก็ตกหลุมกันไป   ทางที่ดีก็คือต้องคุยค่ะ  ต้องพูดถึงมันว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มันแก้ไขไม่ได้แล้ว  ต้องยอมรับมันแล้วำยายามเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก  ไม่งั้นก็อยุ่ในหลุมนั้นไปชั่วชีวิต  อันนี้หมายถึงหนึ่งและทุกคนที่อยุ่ใกล้หนึ่งนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ  เราเมนท์ยาวเป็นมหากิ๊บก๊าบอีกแล้ว  ขออภัยค่ะ มันมากับวัยค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 17 - คนเห็นแก่ตัว (03.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 08-05-2016 19:54:37
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 18
‘ทำไม’


     ผมนึกสับสนตัวเองนิดหน่อย

     ในวินาทีที่มีมันอยู่ในอ้อมกอด ผมอยากให้หนึ่งผลักไสผมเสีย แต่ก็ไม่มั่นว่าถ้าหากมันทำแบบนั้นจริงๆ ผมจะดื้อรั้นที่จะกอดกกมันไว้หรือไม่ หรือจะปล่อยมันไปเลย

     ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมยังซุกหน้าลงบริเวณลำคอของหนึ่ง แขนยังคงโอบมันไว้ คงเพราะระยะห่างของเราเหลือน้อยเต็มที มันเลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับรู้ว่าชีพจรของหนึ่งมีจังหวะเร็วกว่าปกติ หนึ่งไม่ได้กอดผมไว้แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่แสดงอาการต่อต้านใดๆ

     “เฮีย...” ผมได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกอยากแผ่วเบา “นะ หนึ่งต้องไปช่วยแม่”

     พอโดนข้ออ้างแบบนั้นผมเลยคลายอ้อมกอด เมื่อได้เห็นหน้ามันตรงๆ ก็เห็นชัดว่าหนึ่งหน้าแดงไปจนถึงหูทั้งที่ไม่ใช่คนผิวขาวขนาดที่พอเลือดสูบฉีดแล้วเห็นชัดขนาดนั้น อย่างน้อยก็บอกได้ว่าหนึ่งใจเต้นแรงมากจริงๆ

     ผมไม่ได้ตอบอะไร หนึ่งรีบกุลีกุจอเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา ไม่ยอมปิดประตูจนต้องเดินย้อนกลับมาปิดประตูทีหลังแถมยังปิดเสียงดังปัง เป็นอาการที่ไม่ได้ทำให้ผมยิ้ม แค่คิดในใจว่า...หนึ่งเองก็มีมุมที่ดูน่ารักแบบนั้นเหมือนกัน

     สรุปแล้ววันนั้นแม่ผมยังอยู่คุยเรื่องนั้นนี้กับน้ากานดาไปจนถึงมื้อเย็น เราฝากท้องที่ร้านอีกหนึ่งมื้อ รอบนี้เป็นน้ากานดาลงมือทำเอง แต่ตลอดวันนั้นแม้ผมกับหนึ่งจะได้คุยกันบ้าง มันก็เป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ถามคำตอบคำ และหนึ่งไม่ยอมแม้แต่จะสบตามผมเลยด้วยซ้ำ

     ผมไม่ได้เจ็บ...รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ หากแต่ก็รู้สึกชาที่หัวใจนิดหน่อยกับการแสดงออกว่า ‘แปลกไป’ อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น

     พอเราขึ้นรถกลับมาบ้าน แม่ก็เอ่ยปากถามผมทันที “หนึ่งจะย้ายหอเหรอ เห็นกานดาบอก”

     “ครับ” ผมไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรต้องปิดบัง “ทำไมเหรอ”

     แม่หรี่ตามองผมแต่ก็บอกว่าช่างเถอะ ถ้าหากฟังมาจากน้ากานดาคงคิดว่าผมกับหนึ่งมีเรื่องผิดใจกันในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเป็นแน่แท้ ท่านสตาร์ทรถ พอขับออกถนนใหญ่และเจอรถติดก็เลยเอ่ยปากพูดเรื่องเดิม

     “จริงๆ ให้น้องไปอยู่ที่อื่นก็ดีนะ เพราะน้องเรียนคณะสถาปัตย์ด้วย เห็นว่างานเยอะนี่ แล้วเดี๋ยวเราก็ขึ้นปีสี่แล้ว คงจะยุ่งไม่ใช่เหรอ” แม่พูดเรื่อยเปื่อย “แต่แม่ก็แปลกใจเหมือนกันนะ ที่แม่ของหนึ่งยอมปล่อยไป...”

     ผมเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไร ปล่อยให้คนเป็นแม่พูดพลางเคาะพวงมาลัยรถไปด้วย

     “เรายังไม่ได้พูดเลยว่าที่หนึ่งเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะเรื่องทะเลาะกับเพื่อน”

     พอแม่เอ่ยปากออกมาแบบนั้นผมก็สูดลมหายใจลึก นั่นเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเราไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูด ตัวผมและหนึ่งก็ยุ่งกับการเรียนที่มหาวิทยาลัย น้ากานดาเองก็ยุ่งกับการเปิดร้าน ทุกคนเลยลืมไปเลยว่าเราทำเพียงซุกปัญหาไว้ใต้พรมเท่านั้น

     ผมกลืนน้ำลาย “ถ้าเราไม่บอก...”

     “ไม่ได้หรอกป้อง นั่นน่ะเป็นปัญหานะ” แม่ดักทางโดยที่ผมยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ “เดี๋ยวรอจังหวะดีๆ ค่อยพูดแล้วกัน” ท่านว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     ผมเงียบกริบ ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดคำใด รู้ดีว่าหนึ่งไม่ปรารถนาให้น้ากานดารู้แต่ก็เข้าใจมุมมองของผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากจะปิดบังเรื่องนี้ไปตลอด เพราะมันก็เป็น ‘ปัญหา’ จริงอย่างที่แม่ของผมว่า

     ผมมองไปนอกหน้าต่าง ในหัวคิดอะไรหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในหัวก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กมากปัญหาอย่างหนึ่งโดยตรง และได้แต่เฝ้าภาวนาให้เรื่องร้ายๆ ในชีวิตของหนึ่งหมดสิ้นไปเสียที




     เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก ผมไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่นัก เดิมทีเราก็ไม่ใช่คนประเภทที่คุยกันทุกวันอยู่แล้วด้วยซ้ำ ปิดเทอมที่ไม่มีธุระเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นที่หนึ่งจะไลน์มาหาผม หรือผมจะต้องโทรไปหามันเลยสักนิด จนผมใกล้กลับหอพักเนื่องจากปิดเทอมกำลังจะหมดลง ผมจึงไลน์ไปบอกมันว่าผมจะกลับไปวันนี้

     หนึ่งอ่าน แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมเลยนึกสงสัยว่ามันกำลังจะทำอะไรระหว่างหนีออกไปนอนกับเพื่อน หรืออาจจะเป็นพี่รหัสมันสักคน นั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องกลับไปถึงจะรู้

     “แล้วเดี๋ยวสัปดาห์หน้ากลับมาด้วยล่ะ” แม่บอกแบบนั้นก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน

     “ไม่กลับไม่ได้หรือครับ”

     แต่พอบ่นแค่นั้นแม่กลับเอื้อมมือมาตีผมดังเพียะ ถลึงตาใส่ “วันเกิดเรานี่ไม่คิดจะกลับมาหาพ่อแม่บ้างเลยรึยังไง”

     ผมไม่พูดอะไร เมื่อกี้แค่บ่นเฉยๆ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็ต้องกลับมาอยู่ดี

     ใกล้ถึงวันเกิดของผมแล้ว มันไม่ใช่อะไรที่พิเศษมากมายแต่ก็ถือว่าเป็นวันสำคัญเพราะพอเป็นวันเกิดของสมาชิกในบ้าน ทุกคนต้องไปทำบุญด้วยกันที่วัด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เป็นเรื่องที่บ้านผมทำกันเป็นปกติ ทั้งวันเกิดพี่ปลา ไปจนถึงวันเกิดของพ่อแม่

     แม่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ผมขึ้นรถพี่สาวตัวเองที่อาสาไปส่งที่หอ

     เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงรถก็มาจอดที่ถนนใหญ่หน้าหอ ผมหยิบเป้ออก ขอบใจพี่ปลาและบอกว่าเดี๋ยวจะเดินเท้าไปถึงหอเอง เนื่องจากไม่ได้ไกลมากอะไร

     “โอเค กลับดีๆ นะเว้ย”

     ผมพยักหน้า โบกมือลาพี่สาวตัวเองที่ขับรถออกไป เห็นว่าจะไปเอาชุดเพื่อนเจ้าสาวเพราะเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมแต่งงานแล้ว แต่พี่ของผมไม่ได้แต่งเสียที

     ระหว่างเดินกลับหอผมก็เปิดไลน์ดู หนึ่งยังไม่ตอบกลับ คงจะไม่คิดตอบแล้วจริงๆ

     เมื่อมาถึงหอแล้วผมก็เปิดประตู ในห้องเงียบสงบอย่างน่าประหลาด เดินไปก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง ผมถอนหายใจ หนึ่งคงจงใจจะหลบหน้ากันจริงๆ ไม่รู้หรือยังไงว่าการทำเช่นนั้น พอเราต้องเจอหน้ากันมันิ่งทำให้ทุกอย่างกระอักกระอ่วน

     ผมไม่ได้โทรหา ตัดสินใจจัดการเสื้อผ้าที่เอามาจากบ้านมาจัดใส่ตู้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปทำโจ๊กสำเร็จรูปกิน แต่พอเปิดตู้เย็นไปก็พบว่ามีขวดเหล้าเบียร์วางอยู่อย่างผิดสังเกต ไม่ได้มาจากผมแน่นอน เพราะฉะนั้นก็คงเป็นหนึ่ง หากซื้อของมาทิ้งไว้เช่นนี้แปลว่าวันนี้คงจะกลับมาแน่ๆ

     จู่ๆ ก็มีความต้องการบางอย่างที่ร้อยวันพันปีไม่นึกถึง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหารูมเมทที่หายไปของตัวเอง ไม่นานปลายสายก็รับ หากแต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ปล่อยให้เราใช้เวลาเปล่าๆ ไปเกือบสิบวินาที

     “เฮียจะเงียบอีกนานไหม” หนึ่งเป็นคนทำลายความเงียบ มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นนิดหน่อย หรือผมอาจจะคิดไปเองก็ได้

     “อยู่ไหน”

     “ออกมากินข้าวกับพวกแป้ง”   

     ผมครางในลำคอเป็นการตอบรับ เหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว “คืนนี้กลับมานอนหรือเปล่า”

     “...” มันเงียบ

     “หนึ่ง” ผมเรียกอีกที ที่แน่ๆ คือสัญญาณไม่ขาดไปไหน

     “ปะ ไป” มันว่าเสียงสั่น “เฮียโทรมาแค่นี้เหรอ...หนึ่งจะวางแล้วนะ”

     “เหล้าในห้องนี่ของมึงใช่ไหม”

     ผมได้ยินปลายสายอุทานออกมาเบาๆ “โทษที วันก่อนหนึ่งซื้อมาจะเอาไปกินกับเพื่อน หนึ่งไม่ได้เอาคนไปที่ห้องนะ สาบานได้” พอได้ยินอีกฝ่ายกุลีกุจอบอกแบบนั้นผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ คิดถึงหน้าตาตื่นๆ ของมัน คงเพราะผมเคยย้ำหนักย้ำหนาว่าอย่าพาใครมาเมาเละที่ห้องนี้

     “ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัด “ซื้อเข้ามาเพิ่มด้วย หาแกล้มให้ด้วยก็ดี”

     “ฮะ?” ปลายสายเอ่ยเสียงฉงน

     “กูอยากดื่มสักหน่อย”


   
   
     กว่ามันจะกลับถึงห้องก็ราวๆ ตอนสองทุ่มเห็นจะได้ พอเดินเข้าห้องมาปุ๊บก็เจอผมนั่งอยู่ที่โซฟา มันก็แสดงอาการตกใจแบบปิดไม่มิด ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะมา ยังจะมาทำหน้าเหมือนเห็นผีเสียอีก

     หนึ่งก็ยังเหมือนเดิม ผอมอย่างไรก็ผอมอย่างนั้น ดีไม่ดีดูผอมกว่าเดิมด้วยซ้ำ อาจจะเป็นผลมาจากกิจกรรมที่เยอะและเส้นผมของมันที่ยาวขึ้นจนทำให้ใบหน้าดูตอบขึ้นเท่านั้น

     “เฮียจะดื่มจริงๆ เหรอ” มันถามพลางชูถุงจากร้านสะดวกซื้อให้เห็น “เอาจริงสิ?”

     “เออ” ผมรู้ดีว่านี่มันบ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงอยากขึ้นมา

     หนึ่งทำหน้าเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตา มันจัดการเอาขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มันซื้อมาใส่ตู้เย็นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดฝักบัว แสดงอาการชัดเจนว่าระหว่างเรามันน่าอึดอัดจริงๆ

     ผมถอนหายใจ

     ขนาดไม่ได้เอ่ยปากให้ชัดเจนหนึ่งยังแสดงอาการออกมาขนาดนี้ ผมไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าพูดออกไปตรงๆ หนึ่งจะแสดงท่าทีเช่นไรออกมา   

     ผมนั่งอยู่ที่เดิม ในหัวคิดอะไรหลายอย่าง จนหนึ่งออกมาจากห้องน้ำมันก็ไม่โผล่หน้ามาที่ซึ่งผมนั่งอยู่เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายผมจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเอง

     ผมชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าหนึ่งกำลังใส่เสื้อ แผ่นหลังผอมๆ กับรอยสักรูปนกของมันเป็นสิ่งแรกที่ผมจับจ้องไป อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะรีบสวมเสื้อและหันมา

     “มะ ไม่ดื่มแล้วเหรอ” มันถามโดยไม่สบตาผมแม้แต่น้อย

     “ยังไม่ได้ดื่มเลย” ผมว่าตามจริง “แล้วมึงจะไปวันไหนนะ?”

     “ค่อยๆ ย้ายเข้า เริ่มช่วยพี่เต้ยจ่ายเดือนหน้า” มันว่าเช่นนั้น เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็ปิด ไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะลุกขึ้นมา “เฮียมีอะไรรึเปล่า”

     “ไปดื่มด้วยกันไหม”

     หนึ่งขมวดคิ้วมุ่นแต่ไม่ยักกะปฏิเสธ มันเป็นคนชอบดื่ม ชอบปาร์ตี้อยู่แล้ว สุดท้ายมันก็เดินตามผมต้อยๆ เข้ามาที่โต๊ะกินข้าว ทิ้งตัวนั่งลงและปล่อยให้ผมหยิบขวดหยิบแก้วให้เอง

     “วันนี้เฮียแปลกๆ นะ” หนึ่งเอ่ยปาก หัวเราะเจื่อนๆ แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม

     “มาบอกกูแปลก... มึงแปลกกว่ากูอีก”

     “แค่ก!” ดูเหมือนคำพูดของผมจะตรงไปเสียหน่อย เจ้าเด็กตรงหน้าเลยถึงกับสำลัก

     หนึ่งเบือนหน้าไปทางอื่น ผมเองก็ไม่คิดจะรุกล้ำกำแพงของมันไปมากกว่านี้ ยกแก้วขึ้นดื่มให้รสชาติของเครื่องดื่มไหลผ่านคอไป

     หนึ่งกินเหล้าเร็ว กระดกเรื่อยๆ ในขณะที่ผมค่อยๆ กิน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคอแข็งพอตัวเพราะเราเริ่มมีน้ำเสียงอู้อี้เวลาไม่ต่างกันนักเท่าไหร่ ระหว่างที่ดื่ม เราคุยกันได้สองสามคำ ประเด็นของบทสนทนาไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่นัก และหนึ่งเป็นฝ่ายตัดจบมันทุกครั้ง

     ยิ่งพอมันเริ่มเมา หนึ่งจะเงยหน้ามองผม แต่พอผมเงยหน้ามองมันกลับมันก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมเหนื่อยใจบ่อยครั้ง

     เพราะจำได้ว่าช่องเคเบิ้ลทีวีฉายหนังเรื่องเก่า พวกเราเลยย้ายไปนั่งกันที่โซฟาและดูทีวีกันเงียบๆ มือก็หยิบเครื่องดื่มมึนเมากระดกไปเรื่อยๆ จนหนังจบ พอหันไปก็เห็นว่าเจ้าคนมากปัญหาหลับตาพริ้มเสียแล้ว

     “หนึ่ง” ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเสียงที่เรียกชื่อมันเมื่อกี้เป็นเสียงของผม ฟังดูอ้อแอ้แบบบอกไม่ถูก

     ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเมามากนักแม้รู้ตัวว่าร่างกายเริ่มไม่ฟังคำสั่งแล้ว แต่สมองยังรับรู้อยู่ทุกประการ พอเห็นว่าเรียกมันอยู่สองสามรอบแล้วหนึ่งไม่ตอบอะไร คงหลับไปแล้วจริงๆ เลยเดินพยุงมันไปที่เตียง (บอกตรงๆ ว่าผมในตอนนี้อุ้มมันไม่ไหวหรอก) ปล่อยให้มันทิ้งกายอย่างอ่อนแรง

     ใจหนึ่งผมก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนเหมือนกัน แต่เพราะไม่อยากให้ห้องดูรกเลยพยายามพาตัวเองไปที่โต๊ะ จัดการข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วจึงกลับมาที่ห้องนอนและพบว่าคนที่ควรจะนอนอยู่กลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

     “ไอ้หนึ่ง” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองผมแววตาฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้า “ทำไมยังไม่นอน”

     มันหลับตาปี๋อยู่พักหนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ราวกับกำลังจูนสติตัวเอง “กี่โมงแล้วเฮีย”

     ผมหันไปมองนาฬิกา “ตีสอง” อันที่จริงเกือบตีสองครึ่งแล้วด้วยซ้ำ นึกแปลกใจนิดหน่อยที่พวกเราดื่มกันหนักขนาดนั้น

     หนึ่งครางตอบรับในลำคอก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียง นอนขดกายและดึงผ้าห่มขึ้นมาแทบจะกลายเป็นคลุมโปง

     ผมเห็นมันเป็นแบบนั้นแล้วจึงจัดการปิดไฟ เดินไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ แต่พอเดินออกมาก็เห็นว่าคนที่ควรจะหลับไปแล้วกลับมานั่งท่าเดิมบนเตียง

     “มึงคิดว่ากูจะตกใจไหมตอนเห็นมึงนั่งแบบนี้มืดๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะว่าอย่างประชดประชัน

     แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย “เฮียป้อง”

     “อะไรของมึง”

     แสงสว่างเดียวมาจากไฟห้องน้ำที่ผมยังไม่ได้ปิด ในห้องมืดสลัว แต่กระนั้นผมก็ยังเห็นหนึ่งเม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะเอ่ยปาก

     “เฮียมีอะไรจะพูดกับหนึ่งไหม”   

     ...อย่างนี้ก็ได้หรือ...

     นั่นเป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัวผม ทั้งก่อนหน้านี้หรือตอนนี้ก็ตาม หนึ่งรู้เรื่องอยู่แล้วแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถามออกมา ทำเพียงหยิบยื่นให้ผมพูดออกไปจนผมนึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย หากแต่ผมก็ทำได้เพียงผ่อนลมหายใจออกมา

     “มึงอยากให้กูพูดอะไรล่ะ?”

     หนึ่งสะอึกไป ก้มหน้ามองต่ำราวกับคำพูดของผมจี้ใจดำ

     ผมไม่ได้ปิดไฟจากห้องน้ำ ทำเพียงแค่เดินเข้าไปใกล้มันที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ก้มหน้ามองมันเพื่อเค้นคำตอบแม้รู้ดีว่าหนึ่งคงไม่พูดมันออกมา

     ผมเดาใจหนึ่งไม่ออก

     หากกล่าวจริงๆ คงจะเป็นเช่นนั้น ผมไม่สามารถเดาใจมันได้ว่ามันต้องการอะไร ไม่รู้ว่ามันอยากก้าวเข้ามาหรืออยากจะวิ่งหนี มันทำให้ผมไม่กล้าเดินหน้า ผมนึกหวั่นใจว่าถ้าหากก้าวเข้าไปหนึ่งจะถอยห่าง แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากมีความรู้สึกหลายอย่างจากเหตุการณ์ในอดีตที่บดบังทางเดิน ไม่ให้ผมถอยหลังกลับไป

     ผมรู้ว่าหนึ่งระแคะระคาย...รู้ว่ามันรู้ว่าผมพร้อมที่จะเดินเข้าหา เพราะฉะนั้นผมถึงไม่ทำ

     ผมมองหน้ามัน มันมองข้างใต้ตัวเอง พวกเราทำแบบนั้นในความเงียบ ปราศจากเสียงใด สักพักก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจออกมา

     “หนึ่ง...” มันเอ่ยออกมาเสียงเบาแล้วก็เงียบไป เล่นเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง “ไม่มีอะไร”

     ผมกำมือแน่น

     ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทิ้งตัวนั่งข้างๆ มัน น่าจะเป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เพิ่งกินไปตั้งเยอะเสียล่ะมั้ง มันสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เตียงยวบลงเพราะน้ำหนักของผม หลังตั้งตรงเสียจนเห็นได้ชัด ผมพูดอะไรไม่ออก อันที่จริงมีหลายอย่างที่จะพูดแต่เลือกที่จะเก็บงำมันเอาไว้ ทำได้เพียงเอื้อมมือไปสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา หนึ่งก็เบือนหน้าไปอีกทาง ผมจึงต้องเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของมันให้หันกลับมา   

     หนึ่งหันกลับมาจริงๆ แต่เราสบตากันเพียงไม่นานมันก็ผลุบตาลงต่ำ ในขณะที่ผมได้แค่เลื่อนมือลงมา จากแก้มสู่ลำคอ หัวไหล่ไปจนถึงแอ่งชีพจร

     “ฮะ เฮีย...” เสียงของมันสั่น แต่นั่นไม่ใช่คำห้ามเสียหน่อย

     ผมมองมันที่หลับตาปี๋ ริมฝีปากเผยอออกมาเล็กน้อย ลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัดอย่างเห็นได้ชัดและทุกอย่างของมันทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

     ผมรู้ว่านี่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ระยะห่างของเราลดลงเรื่อยๆ จากเป็นสิบเซนติเมตรก็เหลือศูนย์ตอนจมูกเราสัมผัสกัน หนึ่งไม่เบือนหน้าหนี ผมไม่มั่นใจนักว่านั่นเป็นเพราะมันไม่อยากทำหรือตอนนี้มันกำลังทำอะไรไม่ถูกกันแน่ และผมก็ไม่ใช่คนดีถึงขนาดจะค้นหาคำตอบเลยไม่หยุดการกระทำตนเองอันที่จริงผมไม่ค่อยชอบตัวเองแบบนี้เท่าไหร่ แต่นานวันเข้า ผมรู้สึกว่าระเบิดเวลาในตัวเองใกล้จะระเบิดทุกที

     ผมค่อยๆ หลับตา กำลังจะสัมผัสมันอย่างที่ใจปรารถนา แต่สุดท้ายมือของหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมาดันหัวไหล่ของผมออก

     “หนึ่ง...ขอโทษ”

     คำนั้นเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา หากแต่ชัดเจนพอในความรู้สึกของผม

     ผมผละกายออกทันทีและเห็นว่าหนึ่งกำมือแน่นเสียจนหัวไหล่สันเทิ้ม มันไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงทีท่ารังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ไม่ได้มองมาที่ผมเลยแม้แต่นิดเดียว

     “หนึ่ง... หนึ่งขอโทษ” มันย้ำคำเดิมอีกครั้ง “หนึ่งขอโทษจริงๆ เฮีย”

     “...ทำไม?”

     คำถามของผมหมายถึงหนึ่งจะขอโทษทำไม แต่ไม่ทันที่จะได้อธิบายอะไร หนึ่งกลับเข้าใจเป็นอีกอย่างและพูดออกมาน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

     “มี...คนดีกว่าหนึ่งตั้งเยอะ...”

     “...”

     “...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”





-------------------------------
 ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันค่ะ
ขอโทษที่มาช้านะคะ ไปเที่ยวมา  :mew6:

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 18 - ทำไม (08.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-05-2016 20:12:59
ต่างก็คิดว่า ตนไม่ดีพอ แล้วคนที่ยังไม่ดีพอทั้งสองคนจะรักกันได้หรือเปล่าคะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าจะไปถึงจุดที่มีความสุขด้วยกันได้ยากมากเลย ทั้งๆที่คิดว่าเรื่องมันคลายตั้งแต่เมื่อตอนที่แล้ว จริงๆแล้วไม่ใช่เลย มีปมและปัญหา ที่เราก็เดาต่อไปไม่ถูกว่าคืออะไร แค่รู้สึกว่า ถ้าเราเป็นป้องหรือหนึ่ง เราอาจจะหยุดมันไว้แค่ตรงนี้

เจอคำตกค่ะ แก้ แกล้ม เป็น กับแกล้ม
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 18 - ทำไม (08.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-05-2016 22:08:58
ใจจริงอยากจะทลายกำแพงที่กั้นอยู่ให้เหมือนกำแพงเบอร์ลิน  แต่สำนึกกลับบอกว่าอย่า ไม่ควรทำ หยุดตรงนี้   ขนาดใช้น้ำเปลี่ยนนิสัย  ละลายสำนึกแล้วก็ยังไม่พอที่จะทำให้หน้ามืดเดินหน้าตามใจตัวเองได้  นอกจากความรู้สึกผิดแล้ว ความคิดที่ว่าไม่คู่ควร  ไม่อยากสูญเสียก็สำคัญนะ   ท่าหนึ่งก็คงเดินหน้ามีแฟนเป็นพี่รหัส   มีป้องเป็นพี่เชิงพ่อเป็นแสงสว่าง  ป้องก็เดินหน้าเป็นพี่ที่สามารถปกป้องหนึ่งได้  ถ้าสามารถจำกัดกันได้แค่นี้นะ  ไม่ต้องเสียอะไรไป ไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นแฟนหรือพี่น้อง  มโนค่ะ  มโนเองล้วนๆ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 18 - ทำไม (08.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-05-2016 01:07:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 18 - ทำไม (08.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 09-05-2016 10:30:57
จะบอกว่าสองคนนี้ไม่คุยกันก็ไม่ใช่ คุยกันแล้วแต่เข้าใจกันคนละเรื่อง คุยกันคนละทิศคนละทาง หนึ่งเหมือนเดินออกไปแต่ก็เดินเข้าหา ป้องเหมือนจะไม่สนใจแต่โคตรสนใจ เอายังดี จะแก้จุดๆนี้ยังไงดี เลิกโทษตัวเอง? มันจะดีขึ้นไหม


ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 18 - ทำไม (08.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-05-2016 15:12:07
ถ้าไม่เป็นหนึ่งเฮียป้องก็ไม่รู้สึกแบบนี้หรอก ต้องหนึ่งเท่านั้นแหละ

เป็นคู่ที่ค่อยเป็นค่อยไปมากเลย
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 18 - ทำไม (08.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-05-2016 21:09:02
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 19
‘ไม่ใช่รัก’


(NUENG’s Part)

     ผมไม่ชอบยามเฮียป้องสัมผัสผมอย่างทะนุถนอม แตะต้องผมราวกับเป็นของล้ำค่า

     ผมไม่ใช่สิ่งล้ำค่า...ห่างไกลกับคำนั้นด้วยซ้ำ ชีวิตของผมมีแต่สิ่งที่ผิดพลาดเต็มไปหมดแถมยังเป็นสิ่งที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง

     ผมนึกเกลียดความเป็นเด็กของตัวเองที่เฮียป้องชอบย้ำหนักย้ำหนา ไม่ชอบที่ตัวเองไม่เป็นดั่งใจนึก อยากจะทำตัวเป็นคนสุภาพ คุยกับเฮียป้องดีๆ แต่สุดท้ายเราก็คุยดีๆ กันได้ไม่เกินสองสามประโยคด้วยซ้ำ และเป็นผมเองที่ขึ้นก่อนตลอด ทั้งที่รู้ดีว่าเฮียป้องเป็นพวกปากร้ายใจดี

     สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงการออดอ้อนเฮีย อยู่กับเฮียป้องแล้วผมจะเป็นเด็กแค่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ผมจะโต แถมไอ้การ ‘เป็นเด็ก’ แบบนี้ยังทำให้เฮียโดนครหาจากคนรอบข้างเสียอีก พอพี่รหัสตัวเองถามว่าผมอยากย้ายไปอยู่ด้วยกันไหมเพราะรูมเมทย้ายออกพอดี ผมก็อยากรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ เผื่อว่าตัวเองจะได้โตขึ้นสักที

     “ถ้าไม่ใช่สงสาร...แล้วมันเป็นแบบไหน”

     ผมนึกอับอายที่ตัวเองถามคำถามสิ้นคิดแบบนั้น

     แต่พอคิดถึงเหตุการณ์ถัดจากนั้น ตอนที่เฮียป้องโอบกอดผมไว้ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึก ‘อาย’ มากกว่าเดิมเสียอีก

     เฮียไม่ได้บอกผมตรงๆ ทั้งที่ปกติพูดตรงเสียจนเรียกว่าขวานผ่าซาก สำหรับครั้งนั้นถือเป็นการกระทำที่ทำให้ผมสั่นไหวมากกว่าครั้งไหน ใช่ว่าไม่เคยรับรู้ว่าเฮียดูแลผมดีมากแค่ไหน หากแต่ผมคิดมาตลอดว่ามันเป็นสิ่งที่คนความรับผิดชอบสูงอย่างเฮียแบกไว้เพราะคำพูดของแม่ผม

     พอมาคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น...ผมก็ทำตัวไม่ถูก

     ตัวผมในยามแรกที่รู้สึกตัว คล้ายว่าเป็นบอลลูนที่ถูกสูบลมเข้าไปแล้วก็ถูกเข็มเจาะจนแตก ผมนึกขอบคุณกับสิ่งที่เฮียป้องทำให้ตลอดมา แต่ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก

     ในวันที่ผมกลับมานอนคอนโดของเฮีย มีความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวชนิดที่ทำให้ผมตกใจ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองเป็นคนคิดมากจนกระทั่งคืนนั้นนั่นแหละ ผมคิดทบทวนความรู้สึกตัวเอง ความรู้สึกเฮีย การกระทำต่างๆ ของพวกเรา ทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

     สุดท้ายผมต้องไปชวนไอ้โอ๊ตกินเหล้าบ่อยๆ เพื่อลืมความคิดต่างๆ ไปชั่วข้ามคืน ตื่นมาก็คิดถึงใหม่ ผมอยากจะปรึกษาใครสักคนแต่คงไม่ใช่เรื่องดีนัก สุดท้ายก็เลือกไปกินเหล้าใหม่อีกที

     จนในคืนก่อน ผมถึงได้เผลอหลุดปากออกไป

     “มึงเลิกกินเถอะหนึ่ง เดี๋ยวเฮียป้องก็มาฉีกอกกูหรอก ทำน้องรักเป็นตับแข็ง”

     แค่ไอ้โอ๊ตเอาชื่อเฮียป้องมาพูดผมก็รู้สึกมวนในท้องยิ่งกว่าเก่า พยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพราะกินแอลกอฮอล์เยอะเกินไปแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

     “กูเบื่อเฮียจริง...” อยากตบปากตัวเอง เหตุใดจึงพูดอะไรไปอย่างนั้น

     เพื่อนที่ช่วยดูแลเก็บซากศพทุกครั้งที่เมาเลิกคิ้ว “เบื่อทำไมวะ? ช่วงนี้ก็ไม่ได้เจอเฮียไม่ใช่เหรอ”

     “ก็ใช่... แต่เฮียแม่ง...ชอบทำให้กูสับสน”


     “อะไรนะ” น้ำเสียงไอ้โอ๊ตดูตกใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว “สับสน?”

     “เออ!”
ผมกระแทกเสียง จัดการรินเหล้าให้ตัวเองแต่โดนไอ้โอ๊ตรั้งมือไว้ก่อน

     “คุยกับกูให้เคลียร์ก่อน อะไรคือสับสน มึงจะบอกว่ามึงชอบเฮียป้องแล้วเหรอ”

     “...”

     “...”

     “ไม่ใช่”
ผมเอ่ยออกไปเสียงแผ่วเบา เหมือนไม่ได้บอกกับเพื่อนที่นั่งตรงกันข้าม แต่บอกกับตัวเอง “กูไม่ได้ชอบเฮียสักหน่อย”

     ไอ้โอ๊ตนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะปล่อยมือ ปล่อยให้ผมรินเหล้าให้ตัวเองอีกครั้ง มันเท้าคางเดาะลิ้นด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้พร้อมกับเอ่ยปากออกมา

     “แล้วทำไมมึงถึงคิดอะไรเยอะ?”

     สติอันน้อยนิดของผมบอกว่าอย่าบอก แต่ปากผมไม่ค่อยสัมพันธ์กับสมองเสียเท่าไหร่

     “กูคิดว่าเฮียเขา...ชอบกู...”

     “โอ้โห...”
คราวนี้ไอ้โอ๊ตไม่ได้ทำหน้าแปลกใจแบบคราวที่แล้วเท่าไหร่ มันทำแค่เพียงร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะนิ่งเฉย ฟังดีๆ คล้ายจะเป็นการประชดกันเสียด้วยซ้ำ “ในที่สุดมึงก็รู้สึกตัว”

     “มึงแม่ง...” ผมอดไม่ได้ที่จะสบถอย่างหัวเสีย “กูคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ ก่อนหน้านี้มันก็แค่การสงสัยแวบไปแวบมา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่”

    “แล้วมึงจะคิดอะไรเยอะวะ ทีไอ้ดลมันชอบมึง มึงยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้เลย”

     ไอ้ดลที่ไอ้โอ๊ตพูดถึงคือเพื่อนในเซค สนิทกันมากพอควร ถึงไม่ได้ตัวติดกันตลอดแต่ก็ถือว่าไปไหนมาไหนกันในระดับหนึ่ง มันแสดงออกให้เห็นแต่แรกแล้วว่าชอบผมตั้งแต่ผมคบกับกริชไม่นาน แต่ผมก็แกล้งปล่อยผ่านมันไปทุกครั้ง

     “ไม่เหมือนกันสักหน่อย”

     “ตรงไหน?”

     “มึงกล้าเอาเฮียมาเปรียบเทียบกับไอ้ดลได้ยังไงวะ”


     พอผมพูดเช่นนั้นไอ้โอ๊ตก็ถอนหายใจพรืดใหญ่ “เรื่องมากจริง ถ้าเขามาชอบมึง...”

     “เขาอาจจะไม่ชอบกูก็ได้”

     “เอ้า อะไรของมึงเนี่ย” ผมกระดกให้รสขมพร่าไหลผ่านลำคออีกครั้งโดยไม่ตอบอะไรสักคำ ไอ้โอ๊ตมองหน้าผมด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยพูดด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน “ถ้าเขามาชอบมึง มึงจะคิดอะไรเยอะวะ คิดแค่ว่ามึงชอบเฮียเขาไหมก็จบแล้ว”

     ...พูดง่ายเสียเหลือเกิน

     มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย ไอ้โอ๊ตไม่รู้ลึกตื้นหนาบางถึงความสัมพันธ์ของผมกับเฮียเท่าไหร่นักและผมไม่อยากเปิดปากไปมากกว่านี้ เลยเอาแต่ยกเหล้าซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็เมาแอ๋จนลำบากเพื่อนที่ต้องแบกผมกลับไปนอนกับมันอีกตามเคย




     พอตื่นขึ้นมาไอ้โอ๊ตก็แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิดแต่มีมารยาทมากพอที่จะไม่ถามมันออกมาตรงๆ มันก็แค่เลียบๆ เคียงๆ และผมเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย

     ผมอยู่กับมันอีกสองวัน ตอนแรกตั้งใจจะอยู่ยาวไปเลยเพราะเฮียป้องเล่นไลน์มาบอกว่าจะกลับหอแล้ว ผมไม่อยากเจอหน้าเฮีย แต่พอเฮียโทรมาความคิดต่างๆ ก็มลายหายไปหมดสิ้น ผมบอกไอ้โอ๊ตว่าเดี๋ยวจะกลับแล้วมันก็ทำหน้างุนงง

     “อ้าว ไหนมึงบอกไม่อยากเจอเฮียป้องเขาวะ”

     “ก็เฮียเรียก”

     “มึงนี่มีความย้อมแย้งในตัวเองสูงดีนะ” มันเปรย แววตาฉายความไม่เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม

     ผมไม่สามารถตอบอะไรได้เลยเพราะตัวเองก็รู้ดีว่ามันเป็นแบบนั้น ราวกับสมองกับสิ่งที่ผมต้องการมันไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่

     ตอนที่ผมกลับไปถึงคอนโด ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความคิดที่พลาดมาก เจอเฮียปุ๊บผมก็รู้สึกว่าตัวเองวูบไหวง่ายกว่าเก่า มองหน้าเฮียแล้วคิดถึงคำพูดที่ตีความง่ายๆ แต่ลำบากอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับผม เฮียชวนผมกินเหล้าทั้งที่ตัวเองไม่ค่อยแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราดูหนังกันเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร จนตอนที่ผมเมาแอ๋เฮียก็เป็นคนพาผมมาที่เตียง จัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพเสียผมนึกอยากร้องไห้

     “เฮียมีอะไรจะพูดกับหนึ่งไหม”

     ผมไม่กล้าถามตรงๆ นั่นเป็นคำถามที่ดีที่สุดสำหรับหัวสมองทึบๆ ของผมแล้ว

     แต่เฮียทำเพียงมองผมเล็กน้อย หยิบยื่นคำถามที่เป็นคำตอบให้

     “มึงอยากให้กูพูดอะไรล่ะ?”

     คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกอับอาย ผมรู้สึกถึงความขี้ขลาดของตัวเองและรู้สึกว่าทุกๆ อย่างของเราขึ้นอยู่กับผมทั้งหมด ผมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าตนเองเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าแต่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้อะไรเลย

     เฮียป้องตามใจผมทุกอย่าง...ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรู้สึกของเฮีย

     พอคิดแบบนี้ผมก็อยากร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ผมไม่ได้คู่ควรกับสิ่งที่เฮียมอบให้เลยแม้แต่นิดเดียว

     ผมได้แต่ก้มมองเท้าตัวเอง รู้สึกถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของตัวเองทุกครั้งที่อยู่กับเฮียป้อง เพราะฉะนั้นผมเลยยิ่งรู้สึกแย่เวลาที่เฮียป้องดูแลผม แตะต้องผมอย่างแผ่วเบาราวกับหวาดกลัว เหมือนผมเป็นพวกแก้วคริสตัลที่หากหนักมือหรือทำอะไรพลาดไปผมจะพังทลาย

     แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น... เป็นเพียงของที่ผู้คนทิ้งขว้าง ยับเยิบเสียจนไม่ควรค่ากับการกระทำที่แสนอ่อนโยนของเฮียเลยแม้แต่น้อย

     เพราะเตียงที่ยวบลงมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้น เฮียป้องค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วมาแตะต้องตัวผมอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบาพอทำให้ผมสั่นไหว

     เฮียค่อยๆ โน้มหน้าลงมาจนผมเห็นตัวเองอยู่ในแววตาของเฮียอย่างชัดเจน

     ผมเกือบจะโอนอ่อนแล้ว หากแต่อะไรในหัวกลับกรีดร้องออกมาว่าไม่ได้ หยุดเดี๋ยวนี้! ทำให้แขนของผมผลักเฮียออก แววตางุนงงและผิดหวังของอีกฝ่ายทำให้ผมรำพันคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมา

     ผมกล้าดียังไงทำให้เฮียเสียใจ...ทั้งที่ผมไม่ได้ดีเด่อะไร เหตุใดถึงกล้าดีทำเช่นนั้น

     “...ทำไม?”

     คำถามที่แผ่วเบาของเฮียทำให้ผมเม้มริมฝีปากแน่น

     “มี...คนดีกว่าหนึ่งตั้งเยอะ”

     มีอีกหลายคนที่เหมาะสมกับเฮีย ทั้งสถานะที่บ้านและเพศ เฮียเหมาะกับผู้หญิงที่จะเป็นแม่ของลูกในขณะที่เฮียเป็นผู้นำของครอบครัว ไม่จำเป็นต้องเป็นผมที่มีประวัติด่างพร้อย ชีวิตไม่มีอะไรดีเด่อะไรเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย

     คนอย่างเฮียเหมาะกับของล้ำค่า ไม่ใช่สิ่งของที่คนกระทำมาจนพังยับเยิน

     “...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”

     ผมอยากร้องไห้ หากแต่ร้องไม่ออก

     หากผมร้องไห้ออกมาตรงนี้เฮียป้องคงรู้สึกแย่อีกแน่ๆ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แค่ทุกวันนี้เฮียก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ทั้งที่ผมไม่มีสิทธิ์ทำมันแท้ๆ

     พวกเราเงียบอยู่นาน ไร้คำพูดใดในขณะที่ผมยังกำมือแน่น เผลอตัวกัดริมฝีปากจนรู้สึกถึงรสชาติปะแล่มของเลือดในช่องปากตัวเอง

     “นั่น...” เฮียป้องเป็นคนทำลายความเงียบก่อน “นั่นเป็นสิ่งที่มึงคิดมาตลอดเหรอ?”

     ผมเบือนหน้าหนี ไม่เอ่ยคำใดแต่เฮียป้องกลับเอื้อมมือให้ผมหันไปสบตากับเฮียตรงๆ แววตาที่อ่านไม่ออกทำให้ผมหายใจติดขัด ทุกครั้งที่มองหน้าเฮียตรงๆ มันทำให้ผมอยากลืมทุกอย่างทั้งๆ ที่ลืมไม่ได้แม้แต่น้อย

     “หนึ่ง”

     “...”

     “...ถ้าไม่เป็นมึง... กูไม่มีทางรู้สึกอะไรแบบนี้หรอกนะ”

     ทั้งที่ผมบอกตัวเองเป็นร้อยพันครั้งว่าอย่าร้องไห้ แต่คำพูดที่หนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ ของเฮียทำให้ผมรู้สึกร้อนที่กระบอกตาอย่างเสียไม่ได้

     “หนึ่ง...หนึ่ง...” คำพูดต่างๆ ติดอยู่ที่ปาก

     ผมคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่ในหัวมันตีกันยุ่งไปหมด สุดท้ายผมก็กลืนทุกอย่างลงคอไปจนหมดสิ้นด้วยความรู้สึกที่อยากจะอาเจียน

     ผมอยากจะขย้อนความรู้สึกทุกอย่างออกมา หากต้องสั่งห้ามไม่ให้ตัวเองเป็นแบบนั้น

     เฮียไล้ปลายนิ้วบนแก้มผม เกลี่ยเบาๆ และนั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าน้ำตาของผมไหลออกมาแล้ว ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ให้ร้องไห้แต่คล้ายว่าร่างกายตัวเองไม่ฟังเลย

     คนตรงหน้าจัดการปาดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน แผ่วเบา แต่มากพอที่ทำให้ผมรู้สึกสั่นไหวไปทั้งอก เฮียค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตที่เปลือกตาของผม

     เป็นการกระทำที่อ่อนโยนแบบที่ไม่เหมาะสมกับผมเลยสักนิด

     ผมอยากจะผลักเฮียออก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเสียแล้วเลยจับข้อมือของผมไว้ทั้งสองข้าง ทั้งที่เฮียก็ไม่ได้เป็นคนแข็งแรง แรงเราน่าจะใกล้เคียงกันเสียด้วยซ้ำ แต่พอถูกเฮียทำแบบนั้นแล้วผมก็รู้ว่าผมไม่มีแรงจะขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น

     “อย่าดูถูกตัวเองได้ไหม”
     
     เฮียพูดด้วยประโยคคำถามที่คล้ายว่าจะเป็นประโยคขอร้อง มันเป็นคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนความรู้สึกในอกพร้อมจะปริแตกได้ทุกเมื่อ

     “มึงมีค่าสำหรับกู”

     “...”

     “มึงมีค่าสำหรับกูมาก...หนึ่ง”

     น้ำตาที่ผมคิดว่าหยุดไปแล้วไหลออกมาเป็นสาย เฮียโอบกอดผมไว้ ลูบหลังของผมเบาๆ และรั้งผมไปซบบนไหล่กว้างเก้งก้างของอีกฝ่าย

     เหตุใดจึงบอกว่าผมมีค่า ผมด้อยค่ากว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำไป

     ผมได้ยินเสียงหัวใจในอกของตัวเองเต้นดังขึ้น...ดังขึ้น มันช่างน่ารำคาญเพราะผมพยายามเพิกเฉยต่อมันมาตลอดแต่มันกลับดังขึ้นเสียจนผมเมินเฉยไม่ได้

     เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้

     ทั้งที่ผมร้องขอมาตลอด... ขอให้ความรู้สึกในอกนี้ไม่ใช่ความรัก

     แต่มันก็เป็นคำขอที่ไม่มีวันเป็นจริง






-------------------------------
 มาช้าอีกแล้วค่ะ  :mew2:
แต่ตอนนี้อาจจะได้เผยสาเหตุของเรื่องสักที

ปล. นิยายเรื่องนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไปจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษด้วยค่ะ

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 19 - ไม่ใช่รัก (16.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 16-05-2016 21:31:09
เราชอบตอนนี้มากกว่าตอนไหนๆเลยค่ะ เพราะสิ่งที่แอบตั้งเป้าไว้ ดำเนินมาถึงเสียที วันที่ป้องพูดอะไรชัดแบบนี้ และสิ่งที่หนึ่งสารภาพกับคนอ่านในท้ายตอนด้วย ที่แปลกใจมากคือ ไม่คิดว่าหนึ่งจะคิดว่าตัวเองมีค่าต่ำในระดับนั้น ในระดับที่เรานึกไม่ถึงเลย (คือรู้ว่า หนึ่งคิดว่าตัวเองไม่มีค่า แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนั้นค่ะ) และที่แปลกใจอีกอย่างคือ การที่ป้องตามใจหนึ่งในเรื่องความรู้สึก ประเด็นนี้มันซ่อนอยู่ตลอดมาเลยใช่ไหมคะ คงต้องกลับไปย้อนอ่านตอนเก่าดีๆ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 20 - คำถาม (18.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 19-05-2016 19:54:35
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 20
‘คำถาม’




     ผมไม่ชอบที่หนึ่งร้องไห้...ใครจะชอบกัน

     แต่สิ่งที่ไม่ชอบมากกว่าคือการที่มันไม่โวยวาย ไม่หือไม่อือ ร้องไห้แบบที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเดียวเสียจนหลับไป ทุกอย่างที่หนึ่งทำเมื่อคืนนั่นแหละคือสิ่งที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย

     ผมนอนไม่หลับ กล่าวได้ว่าสร่างเมาเต็มรูปแบบแม้ว่ายังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ก็ตาม

     หนึ่งหลับเหมือนตายอยู่บนเตียงของมันเอง คงจะไม่ตื่นง่ายๆ เพราะเมื่อคืนเองก็กินเหล้าไปไม่ใช่น้อย แถมยังเสียแรงกับการร้องไห้อีก แววตามันบวมแดงอย่างเห็นได้ชัดจนผมนึกขัดใจ และหงุดหงิดใจมากขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุของรอยแดงนั้น

     “...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”

     ผมนั่งคิดถึงคำพูดของหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาตลอดคืน

     ว่ากันตามตรง ผมคิดว่าการที่หนึ่งในวัยเด็กก็ไม่ได้เป็นเด็กที่มีความมั่นใจมาก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ตัวเล็กไปจนถึงสถานการณ์ทางบ้าน ทำให้หนึ่งเป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจ และเหตุการณ์ตอนวัยรุ่นที่เกิดขึ้นกับมันอาจจะเป็นสาเหตุให้หนึ่งรู้สึก ‘ไม่ดี’ กับตัวเองอยู่เสมอ

     ผมไม่ได้เรียนด้านนี้ ไม่เข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ แถมเรื่องด้านจิตวิทยาในประเทศไทยก็หาข้อมูลลำบากเล็กน้อย ต่อให้ผมชื่นชอบในการดูซีรี่ส์ฝรั่งด้านนี้ยังไง ผมก็ไม่ได้มีความรู้มากเท่าไหร่เลย

     ที่รู้ๆ คือผมไม่ชอบให้หนึ่งพูดแบบนั้นกับตัวเอง...ไม่ชอบมาก

     และพอมันพูดแบบนั้นออกมา บอกว่าไม่ใช่มันก็ได้ พูดเหมือนกับกดตัวเองลงไปมันทำให้ผมย้อนดูตัวเอง

     ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับมันเพราะเวลาเกิดเรื่องร้ายๆ กับหนึ่ง ผมไม่เคยจะยื่นมือเข้าไปช่วยมันได้ทันเวลา หนึ่งเลยมีคนซ้ำแผลเก่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้ว...มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น

     ผมมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ดี ไม่มีปัญหากินเหล้าเมายา รับผิดชอบเรื่องการเรียนมาตลอดและก็ไม่ได้ขาดต้นทุนในชีวิต (เรียกว่ามีมากด้วยซ้ำ) มันทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าหากคนที่ผมชอบไม่ใช่หนึ่ง...ผมคงไม่ขยักขย้อนความรู้สึกตัวเองแบบที่ทำอยู่เช่นนี้ใช่หรือไม่

     คำตอบคือ ใช่

     ...บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ จนน่าใจหาย แค่คืนเดียวทำให้ผมจัดการความรู้สึกตัวเองได้ แต่นั่นไม่รวมไปถึงการกระทำ ผมให้คำตอบตัวเองได้แล้วว่าผมชอบหนึ่งจริงๆ และผมก็มีสิทธิ์ที่จะชอบมันด้วย...แล้วยังไงต่อล่ะ?

     คำถามที่ตามมาในตอนนี้ผมยังหาคำตอบไม่ได้ มองเห็นหมอกมัวๆ ตลอดทาง จะก้าวเดินต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดี จะถอยกลับก็เป็นไปไม่ได้ บางทีอาจจะต้องรอให้หนึ่งตื่นขึ้นมาก่อนก็เป็นได้

     ประมาณเที่ยงวันแล้วหนึ่งก็ยังไม่ตื่น เล่นเอาผมเริ่มหงุดหงิดใจเบาๆ ต้องเดินไปชะโงกหน้าดูที่เตียงมันบ่อยขึ้น ถึงจะเปิดทีวีและนั่งอยู่ตรงหน้าโซฟา จิตใจของผมก็ไม่ได้จดจ่อกับหนังใหญ่ที่ฉายอยู่เลยแม้แต่น้อย

     ผมไปอุ่นสปาเก็ตตี้สำเร็จรูปที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานมากินหน้าทีวี ระหว่างที่เดินผ่านส่วนห้องนอนทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ผ้าห่มก็ถูกกระชากกลับไปคลุมโปงเสียใหม่

     ผมจัดการวางจานอาหารบนโต๊ะ เดินเข้าไปตรงปลายเตียงของหนึ่งและส่งเสียง

     “หนึ่ง” ผมเริ่มจากการเรียกเบาๆ “เที่ยงแล้วนะ”

     “...”

     “ไอ้หนึ่ง!”

     “…”

     เป็นความเงียบที่ค่อนข้างผิดปกติ ผมเลยจัดการดึงผ้าห่มจากปลายเตียง ได้ผลในทันทีเมื่อผ้าห่มถูกยื้อไม่ให้กระชากออก ผมเลยรู้ว่าคนที่นอนอยู่บนนั้นตื่นแล้วแน่ๆ

     “ข้าวปลาไม่กิน” ผมเดินไปที่หัวเตียง จัดการกระชากผ้าห่มผืนหนาที่มันคลุมโปงอยู่ในครั้งเดียว

     หนึ่งใต้ผ้าห่มทำหน้าตาตื่น จะดึงผ้าห่มคืนก็ดูท่าจะไม่ทันมันเลยคว้าหมอนขึ้นมา คาดว่าจะปาใส่หน้าผมแต่พลาดเป้าไปเยอะเลยทีเดียว

     “เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” อดไม่ได้ที่จะบ่น “มึงไม่อยากอาบน้ำ อยากอ้วกบ้างเหรอวะ”

     “ไม่!” อีกฝ่ายกัดฟัน หน้าหงิกงอ

     “ลุกได้แล้ว เก็บเตียงด้วย กูจะกินข้าว”

     ผมว่าเช่นนั้นแล้วโยนหมอนที่อยู่บนพื้นขึ้นไป กระแทกหน้ามันอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่หนึ่งกลับเรียกชื่อผมเสียงเขียวแบบที่คำนำหน้าจาก ‘เฮีย’ จะกลายเป็น ‘เหี้ย’ ในฉับพลัน เพราะรู้ว่าต่อล้อต่อเถียงไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยย้ำคำเดิมอีกครั้งว่าให้มันไปอาบน้ำ แล้วผมถึงเดินออกมากินข้าวเที่ยง

     หนึ่งไม่ยอมโผล่หน้ามาเลยจนผมกินเสร็จแม้ว่ามันจะอาบน้ำเสร็จแล้วก็ตาม ผมก็พอคิดออกว่าสาเหตุคืออะไร

     น่าจะเป็นเรื่องวางตัวไม่ถูก

     เมื่อวานความรู้สึกของผมมันค่อนข้างจะ ‘ชัดเจน’ กว่าคราวที่แล้ว ขนาดครั้งก่อนที่ผมแค่กอดและบอกให้มันไปลองคิดดู มันก็หนีหน้าผมเสียจนไม่รู้จะยังไง เจอเรื่องเมื่อคืนไปเลยทำให้ไม่อยากคุยกัน

     พอคิดถึงสาเหตุได้แล้วก็ถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงทำตัวเป็นปกติได้นักทั้งที่ตามสถานการณ์แล้ว คนที่ควรจะรู้สึกสู้หน้าอีกฝ่ายไม่ได้ควรจะเป็นผมเสียมากกว่า

     ผมไม่อยากเข้าไปรบเร้าหนึ่งเพราะคิดว่าอีกฝ่ายหิวก็คงจะออกมาเอง และมันก็เป็นไปดั่งคาด ประมาณบ่ายสองหนึ่งก็เดินออกมาจากบริเวณห้องนอน ตรงดิ่งมาที่ตู้เย็นโดยมองผ่านผมที่นั่งๆ นอนๆ บนโซฟาไปเลย

     “มีโจ๊ก” ผมเอ่ยปากอย่างเสียไม่ได้

     หนึ่งชะงักแต่ไม่ปรายสายตามาหาผมเลย มันหยิบไข่ออกมาจากตู้เย็น เดินไปหยิบซองมาม่าในตู้ที่จัดเก็บไว้แล้วเริ่มต้ม

     ขณะที่กลิ่นหอมของมาม่าเริ่มโชยมาแตะจมูกก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของหนึ่งร้องลั่น ที่รู้เพราะว่าโทรศัพท์ของผมอยู่ในมือให้ผมดูซีรี่ส์อยู่สบายๆ

     “ฮัลโหล... เออ ว่าไงพี่เต้ย” ชื่อที่หลุดออกมาจากปากหนึ่งทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองมันในทันที “ต้มมาม่าอยู่ ไม่กินแล้วเว้ย ทำไมไม่โทรมาให้เร็วกว่านี้วะ”

     รู้สึกว่ามือของผมจะเผลอกำโทรศัพท์แน่นกว่าเก่า

     “อ๋อ... จะไปซื้อเหรอ” หนึ่งปรายสายตามามองผม ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าแสดงคำถามว่าผมจะจ้องมันอยู่เพื่ออะไร “ก็ได้ เดี๋ยวไปด้วย เออๆ สักชั่วโมงอ่ะ เจอที่นู่นเลยก็ได้”

     มันจัดการว่าเสร็จสรรพและตัดสาย ก่อนที่จะหันหน้ามาหาผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด

     “เฮียจะจ้องหนึ่งทำไมวะ”

     “เปล่า” ผมเบือนหน้าหนี “จะไปไหน”

     “ซื้อตู้เพิ่ม” มันว่าเช่นนั้น จัดการเทมาม่าจากหม้อมาใส่ชาม

     “กับใคร”

     “พี่เต้ย”   

     ไม่ทันที่ผมจะรู้ตัวผมก็เผลอเค้นหัวเราะไปเสียแล้ว และนั่นทำให้บรรยากาศของเราแย่ลงในทันตา หนึ่งไม่พูดอะไร มันทำเพียงหย่อนกายนั่งบนโต๊ะกินข้าวและกินอาหารมื้อแรกของวันไปเงียบๆ

     ให้ตายสิ ผมไม่ชอบใจตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

     หนึ่งเดินหายไปในห้องหลังจากล้างจานเสร็จ เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขายาวกับเสื้อยืด

     “หนึ่งไปแล้วนะ” ผมไม่ได้ขานรับอะไร รู้สึกหงุดหงิดแบบบอกไม่ถูกแต่ไม่รู้จะเอาอะไรไปบ่นมันในสถานการณ์แบบนี้ “เฮียป้อง”

     “อะไร?”

     “หนึ่งไปแล้วนะ”

     มันย้ำคำเดิมอีกครั้งและผมก็ไม่ได้ตอบไปเหมือนเดิม ผมได้ยินคนที่ยืนอยู่หน้าประตูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินย้อนกลับมาข้างๆ แล้วเอ่ยปากคำที่ผมไม่คิดว่ามันจะพูด

     “...ไปด้วยกันไหมเฮีย”



   
     ผมนึกขันตัวเองเหลือเกิน แค่มันถามว่าไปด้วยกันไหม ผมก็ยอมลุกจากโซฟามาจัดการตัวเอง พอมานึกๆ ดูแล้วก็งงกับสิ่งที่มันทำหลายอย่าง เหมือนไม่อยากจะเข้าใกล้แต่ก็มาตั้งคำถามแบบนี้ จนมาถึงห้างใกล้มหาวิทยาลัยผมถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าบางทีหนึ่งอาจจะจงใจให้ผมมาส่งก็ได้

     “อ้าว พาพ่อมาด้วยเหรอวะ” พี่รหัสของมันถามคำแรกทันทีที่พวกเราเดินเข้ามา

     ผมพ่นลมหายใจ บอกตัวเองว่าอย่าด่าไอ้เด็กนี่แม้ว่าปากมันควรค่าแก่การโดนสักครั้งก็ตาม

     “โทษทีพี่” ไอ้หนึ่งเอ่ยกับพี่รหัสมันแบบนั้น แต่ดูไม่ได้รู้สึกผิดเหมือนคำพูดเท่าไหร่ “หนึ่งชวนเฮียมาเอง”

     “เหรอ...” พี่เต้ยของหนึ่งพยักหน้า ใบหน้าแสดงความงุนงงอย่างเห็นได้ชัด “กูว่าจะซื้อพวกลิ้นชักสักตัว พี่ตี๋แม่งเอาของมันกลับบ้านไปเยอะเลยว่ะ ถ้ามึงมาอยู่คงต้องหาของมาเติมเยอะหน่อย”

     จากนั้นสายรหัสก็คุยงุงิของพวกมันสองคน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผมเป็นคนนอก

     ผมเดินตามพวกมันเข้าแผนกเฟอร์นิเจอเงียบๆ ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความแม้ข้างในมีความรู้สึกขมุกขมัวเพราะภาพสองคนนั้นถามนู่นถามนี่ก็ตาม

     หนึ่งกับพี่รหัสใช้เวลาที่บริเวณนี้นานกว่าที่คิดจนมันหันมาเอ่ยปากถามผม “เฮีย ไปไหนก่อนก็ได้นะ”

     “อะไร”

     “ก็เฮียจะมาเดินตามหนึ่งต้อยๆ แบบนี้เหรอวะ”

     “มึงชวนกูมานะ”

     หนึ่งถลึงตา “หนึ่งเห็นเฮียไม่เอนจอยนะถึงบอกให้ไปที่อื่นก่อนก็ได้ ถ้าเฮียอยากเดินก็เดินมาดิ”

     ผมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างนึกหงุดหงิด ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ยิ่งเห็นพี่รหัสมันมองมาด้วยสีหน้างุนงงยิ่งทำให้ผมไม่สบอารมณ์ ไม่นานหนึ่งกับพี่เต้ยของมันก็ไปจัดการจ่ายเงิน ได้ตู้ที่ต้องเอาไปต่อเองกลับมาหนึ่งกล่อง โดยพี่รหัสมันเป็นคนจะเอากลับไปเพราะมีรถ

     “ไปกินข้าวกันปะ”   

     หนึ่งเหลือบสายตามามองผม “ไม่อ่ะ หนึ่งยังไม่หิว”

     “เหรอ” พี่มันก็ดูเข้าใจอะไรง่ายดี “งั้นเดี๋ยวกูไปกินข้าวนะ มึงจะกลับเลยรึเปล่า”

     “กูจะไปซื้อของหน่อย” ผมพูดสวนขึ้นมาในทันที

     หนึ่งยิ้มเจื่อนให้พี่รหัส “ก็นั่นแหละ เดี๋ยวหนึ่งไปกับเฮียแล้วค่อยกลับ”

     ผมปล่อยให้สองพี่น้องจัดการล่ำลากันให้เสร็จ ดูจะคุยนู่นคุยนี่กันจนเวลายืดเยื้อแต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาให้มันดูแย่มากเกินไป พอพี่เต้ยของหนึ่งเดินแยกไปอีกทาง ไอ้คนที่นั่งข้างๆ ผมก็หันมาถาม

     “ไม่หิวเหรอเฮีย”

     “มึงไม่หิว”

     หนึ่งทำปากเบ้ “หนึ่งถามว่าเฮียไม่หิวเหรอ”

     “ก็ไม่ได้หิวอะไรมาก” ผมว่าเสียงเรียบ เดินนำมันลิ่วๆ แต่หนึ่งก็ก้าวตามขึ้นมาจนทัน เล่นเอาผมรู้สึกแปลกใจเสียจนต้องเอ่ยปากถาม “มึงต้องการอะไรกันแน่ฮะ”

     หนึ่งชะงักไปชั่วครู่ “เปล่า เฮียจะไปดูอะไร”

     “หนังสือ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

     “ทำไมไม่แยกกันเดินตอนนั้นวะ”

     คำพูดของหนึ่งทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ผมไม่ยักกะรู้ว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายขนาดนี้ ปกติผมเป็นคนใจเย็นแท้ๆ แต่พอเป็นเรื่องของมัน...ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที

     ผมหยุดเดิน หันไปมองหน้ามันตรงๆ

     “สรุปมึงชวนกูมาด้วยทำไม ให้กูเป็นสารถีเหรอ”

     หนึ่งชะงัก ขมวดคิ้วเสียจนหัวคิ้วชนกัน “เฮียอย่าชวนหนึ่งทะเลาะได้ไหม นี่เฮียจะเอายังไง”

     “กูมากกว่าไหมที่จะต้องถามว่ามึงจะเอายังไง กูไม่เข้าใจว่าทำไมมึงถึงชวนกูมาด้วย”

     “แต่เฮียก็มา”

     “หนึ่ง” ผมกัดฟันกรอด แสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หนึ่งเลี้ยงข้าวเฮียเอง”

     “ในโอกาสอะไร” คราวนี้เป็นผมเองที่รู้สึกงุนงง ร้อยวันพันปีหนึ่งถึงจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องอะไรพวกนี้ออกมา

     “วันเกิดเฮีย”

     นั่นไม่อยู่ในความคิดผมเลยแม้แต่น้อย

     หนึ่งพูดออกมาแบบไม่มีลังเลแต่มันกลับทำให้ผมเลิกคิ้ว วันเกิดผมเป็นช่วงสัปดาห์หน้า ถึงปกติผมจะกลับบ้านแต่เราก็ไม่เคยฉลองวันเกิดด้วยกันอยู่แล้ว

     “เฮียอย่าทำหน้าแบบนั้นได้ไหมวะ” หนึ่งแหวพลางเอามือเกาท้ายทอย

     “แค่นั้นเหรอ” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม มันมีอะไรแปลกๆ

     พอโดนผมหรี่ตามอง สีหน้าของหนึ่งก็เจื่อนลงนิดหน่อย มือค่อยๆ ลดลงและเอ่ยปากตอบออกมาเสียงเบา

     “วันเกิดเฮียขึ้นเดือนหน้าแล้วใช่ไหมล่ะ”

     “เออ” วันเกิดของผมคือวันที่เจ็ดในเดือนที่จะถึงนี้

     “หนึ่งอาจจะไปนอนกับพี่เต้ยแล้วอ่ะ”

     สิ้นคำพูดนั้น มือของผมก็กำเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

     เห็นหนึ่งบอกว่าจะค่อยๆ ย้ายเข้า แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นึกย้อนไปเมื่อวานมันก็บอกอยู่แล้วว่าจะเริ่มช่วยพี่เต้ยของมันจ่ายเงินเดือนหน้า แต่ว่า...

     “นี่มึงจงใจย้ายให้เร็วขึ้นเหรอ”

     หนึ่งเบือนหน้าหนี ไม่ตอบอะไรสักคำ

     ผมคิดว่านั่นคือคำตอบที่ดีที่สุด

     นี่มันไม่ใช่เรื่องน่าดีใจเลย เมื่อคืนผมรู้สึกมีความสุขจนตัวแทบลอย รู้สึกว่าตัวเองหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าความรู้สึกของผมเป็นอย่างไร และเผลอคิดไปว่าหนึ่งน่าจะรู้สึกคล้ายกัน ถึงผมยังไม่พูดอะไรให้ชัดเจนแต่ผมนึกว่ามันจะชัดเจนพอเสียแล้ว

     “เฮีย... หนึ่งไม่ได้...”

     “ช่างมัน” ผมตัดบท “อยากกินร้านไหนก็เข้าไป”

     “เฮียไม่ไปดูหนังสือแล้วเหรอ”

     “ช่างมัน” ผมย้ำคำเดิมอีกครั้ง

     หนึ่งมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่นานก่อนที่มันจะเริ่มออกเดิน รอบนี้ผมปล่อยให้มันเดินนำและผมเดินตาม มีคำถามที่ผมถามกับตัวเองระหว่างนั้น และคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้คำตอบจนกว่าจะได้ถามออกไป

     ...สรุปว่าเรารู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า

     หากผมยังหาคำตอบส่วนนั้นไม่ได้ ผมอาจจะไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากขอร้อง ให้มันอยู่กับผมต่อไป




-------------------------------
 
#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 20 - คำถาม (18.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 19-05-2016 20:16:11
อ่านตอนแรกคล้ายจะก้าวหน้า สุดท้ายก็ถอยหลัง
เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 20 - คำถาม (19.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: aukuzt ที่ 20-05-2016 07:22:48
ไม่เข้าใจว่าหนึ่งคิดอะไรอยู่ อยากอ่านพาร์ทของหนึ่งจัง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 20 - เอาแต่ใจ (23.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 23-05-2016 20:48:55
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 21
‘เอาแต่ใจ’




     สถานการณ์ช่างน่าอึดอัด

     พวกเรากินข้าวโดยไม่พูดอะไรสักคำ กลับมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ และเข้านอนโดยไม่พูดอะไรสักคำ ปราศจากคำพูดใดระหว่างเรา ใช่ว่าเราไม่มองกันหรืออยากจะถาม หากแต่พอไม่มีใครเป็นคนทำลายความเงียบก่อน พวกเราก็ปล่อยผ่านมันไปเท่านั้น

     หนึ่งเหมือนจงใจจะประชดประชัน เพราะวันถัดมาเป็นวันเปิดเทอม หนึ่งหายหน้าไปก่อนที่ผมจะตื่นนอนทั้งที่มันก็ไม่ได้เป็นคนตื่นเช้า กลับมาตอนสามทุ่มพร้อมกับกลิ่นละมุดหึ่งแต่ยังประคองสติได้ และจัดการอาบน้ำเข้านอนเลย พอวันอังคารมันก็ไม่ยอมลุกจากเตียงจนผมต้องออกจากหอไปเรียน

     เราเมินเฉยกันมาสามวันแล้ว มันทำให้ผมเหนื่อยใจ ตั้งคำถามกับตนเองว่าเราจะงอนกันเป็นเด็กๆ ไปถึงเมื่อไหร่

     พอเข้าวันที่สี่เราก็ยังไม่คุยกันก่อนออกจากห้อง พอกลับมาผมก็พบว่าหนึ่งกำลังจัดการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เล่นเอาผมหน้าตึงขึ้นมาทันควัน ยิ่งอีกฝ่ายปรายสายตามองแล้วไม่เอ่ยคำใดยิ่งทำให้ผมรู้สึกโมโห

     ผมสูดลมหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่าน

     “มึงทำอะไร” น้ำเสียงของผมดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

     หนึ่งหันมามอง มือผอมของมันหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่มันจะเบือนหน้าหนีราวกับไม่ใส่ใจ “เฮียเห็นว่าหนึ่งทำอะไรล่ะ ทอดไข่เจียวเหรอ”

     “หนึ่ง” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเขียว “ถามดีๆ... อย่ามาประชด”

     พวกเราสาดความเงียบเข้าหากันอีกแล้ว... และมันยิ่งกว่าการระเบิดอารมณ์เสียอีก ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ สุดท้ายก็วนกลับมาที่เลขหนึ่งใหม่ เป็นแบบนั้นอยู่หลายรอบกว่าจะถอนหายใจออกมาและเอ่ยพูดเสียงอ่อนกว่าเดิม

     “มึงไปวันไหน”

     หนึ่งหลบตา เม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะตอบออกมาเสียงแผ่ว “วันอาทิตย์นี้”

     ผมพ่นลมหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว วันเสาร์ผมคงกลับบ้านเพื่อไปทำบุญที่บ้านในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเกิดของผม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจงใจไม่พูดถึง

     “อืม...” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีสิทธิ์พูดคำใดก่อนมันไปหรือเปล่า “แล้วรีบเก็บของจังนะ”

     “เก็บนิดๆ หน่อยๆ ไว้ก่อน คงค่อยๆ เอาเข้า” มันว่าเสียงเรียบ ลดมือที่จัดการพับเสื้อผ้าของตัวเอง ผมใช้จังหวะนั้นมองไปที่ตู้เสื้อผ้าใกล้ๆ อย่างน้อยก็ยังเหลือชุดอยู่ในนั้นบ้าง ไม่ใช่น้อยจนน่าใจหาย

     “แล้วทำไมไม่ไปจัดอย่างอื่นก่อน”

     “หนึ่งไม่ได้มีของมากขนาดนั้นสักหน่อย” คนอายุน้อยกว่าว่าเช่นนั้น “ยังไงของในห้องนี้ก็เป็นของเฮียทั้งห้องนั่นแหละ”

     ก็จริงอย่างที่หนึ่งพูด ของที่มันเคยเอาเข้ามามันก็หอบย้ายไปตอนไปอยู่กับกริช แถมไอ้เจ้าคนอารมณ์ร้ายนั่นทำลายห้องซะไม่มีอะไรเหลือ หนึ่งเลยกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้า แต่ผมก็คิดว่าอย่างน้อย ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมาพักใหญ่นี่น่าจะมีอะไรของมันมากกว่าเดิมบ้าง

     “เฮียกินข้าวมารึยัง”

     “กินมาแล้ว” แล้วพวกเราก็เงียบอีกครั้ง

     ผมแกล้งทำเป็นเมินเฉย เดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อเปิดโน้ตบุ๊กตัวเอง จัดการกับงานที่โดนสั่งมาตั้งแต่เปิดเทอมแต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่กระเตื้องเท่าไหร่ ยามได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกันจากคนข้างหลัง นานอยู่เหมือนกันกว่าจะได้ยินเสียงเหมือนหนึ่งเดินออกไปนอกห้อง

     บทสนทนาของเราก็สิ้นสุดอยู่แค่นั้น




     ทุกอย่างเรียบร้อยดี...จนน่าขนลุก

     ผมคิดว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก ผมก็ยังเป็นผม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแม้จะรู้ดีว่าพอกลับไปจะไม่มีมันในห้องอีกแล้ว แต่ผมก็ยังอยู่กับครอบครัวและปล่อยเรื่องของมันไว้ข้างหลัง เป็นแบบนั้นจนวันช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่แม่ให้ผมยืมรถมาขับกลับคอนโด

     “เออ จริงสิ หนึ่งย้ายออกไปรึยัง”

     แม่ที่นั่งข้างๆ ผมเอ่ยปากถาม และนั่นทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามไม่ใส่ใจมาตลอดเกือบวันหายไปหมด โดยที่แม่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

     “ย้ายไปวันนี้แหละ”

     “งั้นเหรอ” แม่เปรยเบาๆ “งั้นเดี๋ยวต้องให้คนไปช่วยย้ายของอะไรไหม”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธ “มันคงยังเอาของไปไม่หมดหรอก ผมก็ไม่ได้มีของเยอะอะไรด้วย”

     แม่พยักหน้า ไม่ถามอะไรให้มากความ

     ผิดกับผมที่กำลังกำพวงมาลัยอยู่ ต้องมีเรื่องของมันโผล่มาทุกๆ ไฟแดงจนผมถึงหอ ผมคิดนู่นนี่ไปเรื่อย นั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าทุกวันนี้ที่ผมรู้สึกแย่เป็นเพราะว่าหนึ่งแสดงอาการให้ผมเห็นชัดเจนว่ามันไม่อยากจะอยู่กับผมต่อจนผมรู้ตัวว่าตัวเองอกหัก หรือว่าเป็นเพราะมันกำลังจะย้ายไปอยู่กับใครกันแน่

     แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบนั้น จนกระทั่งแม่จัดการหอมแก้มผมซ้ายขวาก่อนที่ผมจะลงรถและให้ท่านเป็นคนมาขับรถแทน เห็นบอกว่ามีนัดเจอกับคุณหญิงสักคนตอนช่วงเย็น คงจะไปเตรียมตัวก่อน

     ผมขึ้นไปจนถึงห้องตัวเอง จัดการไขกุญแจเข้าไป ตอนเปิดประตูมาแล้วพบว่าในห้องนี้เงียบกว่าที่เคยไม่ทำให้รู้สึกดีเท่าไหร่นัก

     หนึ่งคงไปแล้วจริงๆ ผมถอนหายใจ เดินไปหยิบขวดน้ำที่แช่เย็นไว้มาดื่ม ตั้งใจจะไปทิ้งตัวลงนอนแล้วค่อยตื่นมาทำงานต่อตอนเย็นๆ แต่พอเดินไปที่ห้องกลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้วยังนอนอยู่บนเตียง

     ...และเป็นเตียงของผมเสียด้วย

     ผมเดินเข้าไปใกล้ ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าผมพยายามทำเสียงเดินให้กว่าปกติ แต่คนบนเตียงกลับสะดุ้งกายตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

     “หนึ่ง...หนึ่ง...” คิดว่ามันกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวอยู่ “หนึ่งเบลอ โทษที นี่กี่โมงแล้ว” มันไม่ยอมสบตาผมเลยด้วยซ้ำ แถมยังเอามือปะป่ายไปทั่วอีกต่างหาก

     “สามโมง...จะสี่โมง” ผมตอบไปตามจริง “มึงไม่ไปเหรอ”

     มันทำเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ทำท่าจะลุกขึ้นแต่ผมเลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนแทบจะชิด พอมันยืนตัวขึ้นทำให้ใบหน้าของเราใกล้กันกว่าที่คิด มันทำท่าเหมือนกับจะทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียง แต่ผมรั้งแขนมันไว้มันเลยทำแบบนั้นไม่ได้

     “ฮะ... เฮีย”

     ลมหายใจของหนึ่งร้อนเสียจนผมรับรู้ได้ รวมถึงจังหวะการหายใจที่ไม่ปกตินั่นด้วย

     “มาทำอะไรบนเตียงกู” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

     หนึ่งแสดงอาการลอกแลกอออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเบือนหน้าหนี ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย สักพักใบหน้าของมันก็เริ่มขึ้นสีทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว ถ้าเป็นปกติผมคงตั้งคำถามว่ามันกำลังโกรธหรืออาย แต่สถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีทางที่จะเป็นอย่างแรกแน่

     “หนึ่ง... นัดพี่เต้ยไว้” มันพูดเสียงเบาหวิว

     ผมมองริมฝีปากของมัน พวงแก้ม เรื่อยไปจนแววตาที่ไม่ยอมมองมาที่ผมแม้แต่นิดเดียว พออยู่ใกล้กันขนาดนี้โดยที่ผมไม่อยากปล่อยมันเดินออก และมันเองก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน มันทำให้ในหัวของผมฟุ้งซ่านเสียจนเผลอพูดสิ่งที่คิดลึกๆ ออกมา

     “ถ้า...กูบอกไม่ให้มึงไป...” เสียงของผมเบา แต่หนักแน่นกว่าครั้งไหน “มึงจะอยู่ไหม?”

     คราวนี้หนึ่งหันหน้ามามองผมเต็มๆ ตา

     มันนิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้าฉายแววไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะเริ่มเอาฟันขบริมฝีปากเบาๆ จนผมต้องเลื่อนปลายนิ้ว ทันทีที่สัมผัสกับกลีบปากมัน หนึ่งก็สะดุ้งเล็กน้อย

     ผมไม่รู้ตัวเท่าไหร่ตอนที่ตัวเองไล้ปลายนิ้วลงบนมุมปากของมัน หนึ่งผลุบตาลงต่ำแต่ไม่ขยับไปไหนจนผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่านั่นคือการยินยอมหรือมันทำอะไรไม่ถูก จนผมออกแรงแตะหัวไหล่มันเบาๆ หนึ่งก็ล้มลงไปกองบนเตียงและผมไม่รอให้มันลุกขึ้นมา

     “ฮะ...เฮีย” หนึ่งเรียกผมด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อยเช่นเดียวกับหัวไหล่ของมันตอนที่ผมคร่อมร่างมันไว้และใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับมัน

     นั่นมันไม่ดีเลย

     “รู้ไหม” ผมพูดเสียงเบา มือหนึ่งหยัดตัวเองบนเตียง อีกมือหนึ่งแตะบริเวณคอเรื่อยไปจนกกหูของคนข้างใต้ “ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง...”

     “...”

     “หนึ่ง” ผมเรียกมันเบาๆ

     เจ้าของชื่อกัดมุมปากอีกครั้ง หลับตาปี๋ชั่วครู่สั้นๆ แต่ช่วงเวลาที่มันเงียบเหมือนจะยาวนานเหลือเกิน

     “...หนึ่งรู้แล้ว” มันเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา เบือนหน้าไปอีกทางแต่ผมก็เอามือไปจับให้มันมองตรงมาที่ผม

     เรามองหน้ากันอยู่นาน ผมเห็นใบหน้าของผมที่ใกล้กว่าทุกครั้งในแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อยของมัน ไม่รู้ว่าหนึ่งเห็นมันในตาผมเหมือนกันหรือเปล่า

     “งั้นบอกหน่อยสิ”

     “...”

     “ตอนนี้กูอกหักแล้วเหรอ”

     หนึ่งเงียบ ไม่ได้ตอบคำใดอยู่พักหนึ่ง ส่วนผมกลับกลั้นหายใจอย่าลืมตัวด้วยซ้ำตอนที่รอคำตอบของมัน

     “เปล่า...” เสียงของคนใต้ร่างแผ่วเบา แทบจะกลายเป็นการกระซิบ หากแต่มันก็ชัดเจนพอสำหรับผม “ไม่ใช่เสียหน่อย”

     พอได้ยินเช่นนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวจะลอย ใจหนึ่งผมอยากจะทิ้งสติและกดจูบลงบนอีกฝ่ายหากแต่ทำเช่นนั้นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่

     หนึ่งใช้จังหวะนั้นในการผลักผมออกเบาๆ แล้วจึงดันตัวขึ้น เปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งมองหน้ากันตรงๆ บนเตียง

     “แต่หนึ่งจะย้ายหอ”

     บอลลูนแห่งความดีใจแตกกลางอากาศในทันที ผมเหมือนโดนเหวี่ยงลงมาจากเครื่องบิน “ทำไม”

     “หนึ่ง...ไม่ชอบตัวเอง” มันกระพริบตาที่เริ่มแดงของตัวเองถี่ๆ เอ่ยปากพูดเสียงเบา ก่อนจะสูดลมหายใจลึก “หนึ่งดีใจที่เฮียรู้สึกแบบนั้นกับหนึ่ง” คาดว่าอีกฝ่ายจงใจหลีกเลี่ยงคำนั้นเต็มที่ “แต่มันทำให้หนึ่งคิดว่าหนึ่งไม่มีอะไรดีพอให้เฮียเลย”

     “มึงจะเลิกพูด...”

     “หนึ่งพูดก่อน” อีกฝ่ายตัดบทโดยผมยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ “เฮียไม่คิดเหรอ หนึ่งเจออะไรหนึ่งก็หนีมาหาเฮีย เฮียช่วยหนึ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ เรื่องไอ้กริชเฮียก็เอาแต่ช่วยหนึ่ง เหมือนหนึ่งยืนด้วยขาของตัวเองไม่เป็น”

     “...”

     “หนึ่งไม่ชอบตัวเองแบบนั้น”

     มันสบตาผมตรงๆ เสียงสั่นเล็กน้อย สักพักก็เงยหน้าเหมือนกับไล่ไม่ให้น้ำตาไหลลงมาให้เห็น

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากันแน่นด้วยความหงุดหงิดใจ “แล้วทำไมต้องเป็นมัน มึงย้ายไปอยู่คนเดียวไม่ได้หรือยังไง หรือไอ้โอ๊ต...”

     “โอ๊ตมันอยู่บ้าน แล้วทำไมหนึ่งต้องอยู่คนเดียว เปลืองเงิน”

     “แต่...” ผมรู้สึกจนคำพูด “ก็ไม่เห็นต้องเป็นมัน”

     ผมรู้ตัวในตอนนี้เองว่าผมก็ ‘เด็ก’ ไม่แพ้มัน ผมไม่อยากให้หนึ่งถูกดูแลโดยใคร ไม่อยากให้ใครเอาใจมันมากกว่าผม ไม่อยากให้มันไปใช้ชีวิตร่วมกับใครนอกจากผม เหมือนเป็นเด็กที่หวงของเล่น

     หนึ่งผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่เต้ยไม่ได้เป็นเกย์นะ... ถึงพี่มันจะชอบเลี้ยงหนึ่งก็เถอะ หนึ่งยืนยันได้จริงๆ นะเฮีย”

     “ไม่เกี่ยวสักหน่อย” ผมบ่นพึมพำออกมาเสียงเบา ทิ้งศีรษะลงบนหัวไหล่เล็กของอีกฝ่ายอย่างนึกหงุดหงิดใจ

     หนึ่งเงียบ ผมไม่รู้ว่ามันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่พอๆ กับไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจหรือไม่... จริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นความรู้สึกที่แย่อะไรเลย เพียงแต่พอคิดว่าหนึ่งอยากจะยืนด้วยขาของตัวเองเพราะความรู้สึกของผม มันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมควรทำแบบไหน

     ตอนที่มันพยายามโตขึ้น... ผมจะทำตัวเป็นเด็กได้อย่างไร

     ทั้งที่ปกติผมต้องเป็นคนเรียกมันว่า ‘เด็ก’ แท้ๆ แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้... สถานะของเราดันกลับกันเสียได้

     “เฮีย” มันเรียกผมเสียงเบา “สรุป...”

     “กูเคยขัดใจมึงได้ด้วยเหรอ” ผมพูดเสียงอู้อี้ด้วยความไม่สบอารมณ์ คล้ายจะมีความสุขแต่ก็มีความสุขได้ไม่สุด ถึงกระนั้นผมก็ไม่อยากทำให้มันรู้สึกแย่...หนึ่งคงใช้ความพยายามมากที่จะพูดมันออกมากับผมตรงๆ

     “งั้นปล่อยสิ” มันขืนตัวเล็กน้อย

     ผมคว้าหมับที่เอวของมัน ออกแรงกอดรัดเล็กน้อยมันก็ไม่แสดงท่าทีจะหนีอีกทั้งที่มันก็สู้แรงผมได้สบายๆ

     “โทรไปหาพี่มึง เลื่อนไปอาทิตย์หน้าซะ”

     คนในอ้อมแขนเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่าย “เฮียแม่งเอาแต่ใจ”

     ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก...คนเอาแต่ใจจริงๆ มันมึงต่างหาก หนึ่ง




-------------------------------
 ช่วงนี้ที่หายไปเพราะว่าเตรียมรูปเล่มของอีกนามปากกาค่ะ
สามารถดูรายละเอียดได้นะคะ ขออนุญาตฝากหน่อย : )

[Pre-Order] นิยายเรื่องรักหลังเลนส์ :
http://goo.gl/forms/CKirAHAUFqQQPVWG3

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 21 - เอาแต่ใจ (23.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 23-05-2016 21:00:27
ตอนนี้สนุก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 21 - เอาแต่ใจ (23.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 24-05-2016 20:36:41

ตอนแรกมองข้าม แต่พอได้อ่านเท่านั้นล่ะ เรื่องนี้ช่าง "ดีงาม"

เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะจ๊ะ ^^  :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 21 - เอาแต่ใจ (23.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 25-05-2016 16:31:22
เย้ อย่างน้อยก็รักกันแล้วววววววว เฮียขอคบเลยๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 21 - เอาแต่ใจ (23.05.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-05-2016 19:33:59
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 05-06-2016 22:35:59
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 22
‘แฟร์’


     ผมเริ่มกลับมาวนเวียนแถวคณะของหนึ่งอีกครั้ง แม้จะไม่บ่อยเท่าครั้งก่อน

     “อ้าว เฮียมาอีกแล้วเหรอ”

     โอ๊ตเงยหน้าขึ้นมามองผม ใต้ตาคล้ำอย่างเห็นได้ชัด มองซากข้าวของตรงหน้าพวกมันแล้วนึกสงสารชอบกล บนโต๊ะที่นั่งกันห้าหกคนมือข้างหนึ่งถือกระดาษ อีกข้างถือกรรไกร สีหน้าแย่กันทุกคนแต่ดันมีคนหนึ่งนอนฟุบกินแรงเพื่อนอยู่

     “เอ้า” ผมยื่นถุงขนมที่ซื้อมาเผื่อคนอื่น พร้อมกับกระทิงแดงที่หนึ่งบอกว่าเพื่อนมันฝากซื้อด้วย “กูไปแล้วนะ”

     “ไม่คุยกับหนึ่งก่อนเหรอเฮีย”

     “ช่างมันเถอะ ปล่อยให้มันนอนไป” แถมนี่ก็ใกล้เวลาเข้าแลปแล้วด้วย ถึงมันตื่นขึ้นมาก็คงคุยกันได้ไม่นาน ไม่กวนจะเป็นการดีกว่า

     “แหม...เฮีย” แก้วตาเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง ทั้งที่ใบหน้าโทรมกว่าปกติแต่ก็ยังอุตส่าห์มีแรงแซว “จะมาแค่เห็นมันนอนเลยเหรอ ลงทุนจัง”

     ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่ยิ้มขำให้อีกฝ่าย สาวเจ้าก็ทำเอามือกุมหน้าอกบ่นพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมจับศัพท์ไม่ได้ ผมคุยกับไอ้โอ๊ตอยู่สองสามคำว่าอย่าให้มันกินแรงชาวบ้านมากนัก และให้มันตื่นมากินข้าวปลาอาหารด้วย ระหว่างพูดก็เล่นผมมันที่เริ่มจะยาวขึ้นไปพลาง หนึ่งหลับลึกจริงๆ ถึงไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย

     “อ๋อ” ผมนึกบางอย่างออก “บอกมันด้วยว่าถ้าจะมานอนหอให้บอกก่อน”

     “โอเคเลยเฮีย”

     ผมพยักหน้า ลูบศีรษะของหนึ่งที่ยังไม่มีท่าทางจะตื่นง่ายๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกมาจากโต๊ะนั้น ได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกันอย่างออกรสนิดหน่อย จะว่าไป...ผมเองก็เริ่มชินแล้วเหมือนกัน

     วงจรชีวิตของผมกับหนึ่งเริ่มมาวนเวียนใกล้ๆ กันอีกครั้ง นับตั้งแต่มันย้ายหอไปเดือนก่อน หนึ่งยังกลับมานอนห้องผมเป็นครั้งคราว บางทีก็บอกว่าพี่รหัสมันพาเพื่อนมาช่วยงาน บางทีก็บอกว่าห้องรกเกินไปจนนอนไม่ได้ ผมไม่มั่นใจหรอกว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันจริงไหม แต่ผมก็ยินดีทุกครั้งที่มันมา

     หนึ่งเรียนหนัก ผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยิ่งคณะเราอยู่ห่างกันจนต้องขับมอเตอร์ไซค์มายิ่งไม่ต้องพูดถึง นานๆ ครั้งเราถึงจะโผล่มาเจอกันที่คณะสักที

     “เดี๋ยวนี้ไปคณะสถาปัตย์ฯ บ่อยนะ”

     ทันทีที่เจอหน้ากันเพื่อนก็เอ่ยปากทักกันเช่นนี้ทันควัน คำแซวต่างๆ เพิ่งเริ่มกลับมาเมื่อเร็วๆ นี้หลังจากพวกมันเงียบปากไว้นาน

     ผมหรี่ตา “รู้มาจากไหนล่ะ”

     “สายข่าวกูเยอะ”

     ผมเค้นหัวเราะ ไอ้กันต์เลยพล่ามนู่นพล่ามนี่ไม่หยุด นินทาไปถึงไอ้ภีมที่ตอนนี้เที่ยวโผล่หน้าไปแถวคณะวิศวกรรมศาสตร์บ่อยเพราะจีบสาวสวยจากคณะนั้นอยู่ มันพูดไปเรื่อยจนกระทั่งพวกเราเตรียมตัวจะทำแลป พอผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหน่อย ไอ้กันต์ก็หยุดพูดแต่ชะโงกหน้ามาดู

     “ดูขนาดนี้เอาแชทไปดูเลยไหม” ผมอดขอดไม่ได้

     ไอ้กันต์หัวเราะแห้งๆ “ไรวะ กูก็อยากรู้ความเป็นไปของมึงบ้าง”

     ผมขยับปากด่าคำว่าเสือกอย่างไร้เสียง ก้มลงดูข้อความจากคนที่ตั้งใจจะไปเจอก่อนหน้านี้แต่เล่นไม่ได้คุยกันสักคำ

     ‘วันหลังปลุกหนึ่งไม่ได้ไงวะ’ ตามมาด้วยสติ๊กเกอร์กระต่ายทำหน้ากระฟัดกระเฟียด

     ผมยิ้มขำ พิมพ์ตอบกลับไป ‘ตื่นก็ดี ไปช่วยเพื่อนทำงาน’

     ‘เอออออออ’

     พวกเราไม่ได้คุยกันมากกว่านั้นตอนที่ผมบอกว่าต้องไปทำแลปแล้ว แต่ข้อความสุดท้ายของมันก็ทำให้ไอ้กันต์แทบจะเหลือกตามองผมเลยด้วยซ้ำ

     ‘คืนนี้งานเสร็จแล้วหนึ่งไปนอนด้วย’




     ตอนแรกผมกังวลใจนิดหน่อยเพราะแลปลากยาว กว่าจะเสร็จก็ล่อไปเกือบสองทุ่มแต่หนึ่งก็ไม่ได้โทรมา พอผมโทรไป หนึ่งก็บอกว่างานยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ

     “เฮียไปกินข้าวก่อนไป หนึ่งกินแล้ว...แล้วกลับห้องไปเลยนะ”

     “งานเสร็จกี่โมง”

     “เสร็จแล้ว เก็บของอยู่” มันตอบผมคำหนึ่งก่อนที่จะไปตะโกนคุยอะไรกับเพื่อนสักอย่างที่ผมฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ “แค่นี้นะ”

     “กินข้าวเสร็จจะไปรับ”

     ปลายสายถอนหายใจยาว “เฮีย...”

     “ไม่รู้แหละ รอที่นั่นแล้วกัน”

     ผมจัดการตัดบทเสร็จสรรพ ขืนคุยต่อหนึ่งจะสรรหาเหตุผลร้อยแปดบอกให้ผมไม่ต้องรอมันทั้งๆ ที่มันบอกว่ากำลังเก็บของอยู่ ซึ่งแปลว่าจะเสร็จแล้ว

     ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันอยากพึ่งตัวเอง แต่นิสัยเดิมก็ใช่ว่าแก้ได้ง่ายๆ ผมปล่อยมันมากกว่าที่เคยทำตั้งเยอะ บางครั้งบางคราก็อยากจะเอาแต่ใจกับมันบ้างเหมือนกัน ถือเป็นการเอาคืนที่หนึ่งเอาแต่ใจกับผมตลอดเวลาที่ผ่านมาก็แล้วกัน

     ผมไปฝากท้องที่ร้านต้มเลือดหมูใกล้ๆ คณะของเด็กดื้ออย่างหนึ่งเพราะมีเหลือไม่กี่ร้าน พอผ่านไปสักพักจึงเดินเข้าไปในคณะ ไม่ทันที่หนึ่งจะรับสายก็เห็นเพื่อนๆ มันอยู่ในบริเวณเดิมที่เจอเมื่อกลางวัน

     “เสร็จยัง” ผมชะโงกหน้าถามแป้งที่อยู่ใกล้ที่สุด

     “ยังค่ะ” หล่อนตอบ “แต่กลับเลยก็ได้นะคะ”

     ผมเหลือบสายตามอง หาหนึ่งไม่เจอ สักพักก็เห็นมันกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจากอีกทางหนึ่งพร้อมกับเพื่อนๆ มัน พอเจอหน้าผมมันก็เบ้หน้า

     “น้อยๆ หน่อย” ผมอดไม่ได้ที่จะเตือน แต่หนึ่งไม่สนใจสักนิด มันสะบัดหน้าไปอีกทางเพื่อช่วยเพื่อนๆ มันต่อ

     เห็นแบบนี้จะให้ผมยืนรอมันเฉยๆ ก็คงไม่ได้เลยไปช่วยหยิบนู่นหยิบนี่ใส่ถุงขยะไปด้วย เพื่อนหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าเกรงกับผมพอตัว แต่ถ้าเป็นสามคนที่เจอหน้ากันบ่อยๆ ก็แทบจะตีหัวกันอยู่แล้ว

     ไม่นานก็จัดการทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อย หนึ่งจึงบอกลาเพื่อนๆ และเดินไปที่มอเตอร์ไซค์กับผมโดยไม่เอ่ยคำใด

     “เป็นอะไร”

     “อะไรล่ะ” มันขมวดคิ้วมุ่น

     “อย่าดื้อได้ไหม กลับฟรีแล้วยังจะมาทำหน้าแบบนี้อีก” ผมอดไม่ได้ที่จะจิ้มหน้าผากมันไปแรงๆ สักที

     หนึ่งถึงกับชักสีหน้าทำปากคว่ำ “ก็ไม่ได้ขอนี่”

     ผมเอื้อมมือไปบีบจมูกมันอีกทีก่อนที่จะจัดการสวมหมวกกันน็อกให้อีกฝ่าย หนึ่งหน้าง้ำงอเสียจนผมอดไม่ได้ที่จะตบศีรษะมันเบาๆ อีกที

     “เฮีย!” มันโวยวาย เสียงขึ้นสูงจนจากคำว่าเฮียกลายเป็นสัตว์สี่เท้าอีกหน

     “เงียบๆ น่า”

     “หนึ่งไม่อยากให้เฮียขับรถตอนกลางคืนมันเข้าใจยากตรงไหนวะ”

     คำพูดของมันทำให้ผมหันขวับ

     หนึ่งสบถเบาๆ ตอนที่เราสบตากัน เบือนหน้าไปทางอื่นก่อนที่จะขว้างค้อนให้กันวงใหญ่ ท่าทางของมันพาลทำให้ผมรู้สึก ‘ดี’ อย่างบอกไม่ถูกเท่าไหร่ ไม่ทันที่จะพูดอะไร หนึ่งก็แหกปากอีกหน

     “เออ! เออ! ก็เหนื่อยๆ มาหนึ่งก็อยากให้พักไหม” มันมองผมด้วยแววตาไม่พอใจ “รีบกลับห้องเลย”

     ท่าทางของมันทำให้ผมนึกขอบคุณที่ตอนนี้เป็นกลางคืนชอบกล ขืนหนึ่งเห็นว่าผมกำลังยิ้มอยู่แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ




     หากบอกว่าระหว่างเราไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยก็คงเป็นการโกหกคำโต

     หนึ่งเดือนนี้ นับตั้งแต่เราปรับความเข้าใจกัน (อันที่จริงมันไม่ใช่การปรับความเข้าใจหรอก แต่ผมพยายามใช้คำที่ใกล้เคียงที่สุด) หลายๆ อย่างก็ดูจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดดแม้ว่าหนึ่งยังจะชอบแหกปากโวยวายเหมือนเดิม หรือผมจะบ่นมันเพราะนิสัยส่วนนั้นของมันเหมือนเดิมก็ตามที

     เราไม่ได้พูดกันให้ชัดเจน...แต่มันก็ถือว่าชัดเจนพอควร

     เล่นเอาผมเสียการควบคุมตัวเองไปบ่อยครั้งกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

     “ดูอะไร”

     ผมเดินเช็ดศีรษะตัวเองเดินไปที่โซฟาที่หนึ่งกำลังนั่งกินเลย์ (ของผม) อยู่ ถามไปงั้นทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดเจนว่าบนทีวีคือการแข่งบาสเก็ตบอล

     พวกเรานั่งลุ้นกีฬากันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง จนถึงช่วงเบรก หนึ่งก็หันมาหาผมทั้งๆ ที่หัวคิ้วขมวดจนชนกัน

     “เฮีย เช็ดผมดิ”

     “ก็เช็ดอยู่...ทำไม”

     “น้ำมันหยดโดนหนึ่ง” อีกฝ่ายว่าอย่างนั้น

     ก็จริงอย่างที่มันบอก ผมเบียดตัวเข้าใกล้มันมากเกินไปเสียหน่อยตอนนี้เลยเห็นว่าบริเวณหัวไหล่ของหนึ่งมีรอยหยดน้ำเป็นวงๆ ดังที่มันว่า

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยื่นผ้าขนหนูที่เริ่มเปียกให้มัน

     หนึ่งขมวดคิ้วอีกครั้ง “อะไรวะ”

     “เช็ดให้ที”

     ผมได้ยินคนตรงหน้าอุทานเบาๆ ว่าพ่อมึง สีหน้าตื่นอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่นี่ไม่ใช่เรื่องน่าตระหนกขนาดนั้นแท้ๆ สักพักหนึ่งก็เม้มปากแน่น ขยับปากไปมาแต่ก็รับผ้าขนหนูไปโดยดี ผมจึงเปลี่ยนที่ไปนั่งที่พื้น หันหลังให้หนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา

     “เฮีย”

     “อื้อ?”

     “เฮียแม่ง...” เสียงจากคนข้างหลังตามมาด้วยคำผรุสวาทหยาบคายเล็กน้อยจนผมหันกลับไป แต่หนึ่งกลับคว้าศีรษะผมอย่างแรง “ไม่ต้องหันมา!”

     ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มตัวเองกับนิสัยที่นับวันยิ่งแสดงให้เห็นของมัน หนึ่งขี้อาย เวลาอายมีสองอย่างที่มันทำคือทำร้ายร่างกายผมกับด่า แถมยังพยายามปิดบังอาการทั้งๆ ที่มันแสดงให้เห็นได้ง่ายนิดเดียว

     ก็แฟร์ดี

     ...ผมก็ไม่ชอบยิ้มให้มันเห็น เวลาเห็นมันน่ารักเหมือนกัน




     บางทีเวลาที่เราอยู่ด้วยกันก็สั้นเกินไปหน่อย

     “ไม่กลับได้ไหม”

     หนึ่งที่กำลังล้างจานข้าวที่พวกเราทั้งสองคนเพิ่งกินเมื่อกี้หันขวับมามองผมด้วยสีหน้างุนงง “อะไรนะ”

     “นอนที่นี่ต่ออีกสักวัน” ผมขยายความอีกนิดหน่อยแต่หนึ่งกลับทำเพียงมองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเท่านั้น

     ผมไม่รู้ว่าเดิมทีผมเป็นคนงี่เง่าคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ไหม หรือว่าเพราะตอนนี้เราเริ่มเผยความรู้สึกให้อีกฝ่ายเห็นกันมากขึ้นผมเลยสามารถพูดกับมันตรงๆ ได้แบบนี้

     หนึ่งจัดการล้างจานที่เหลืออยู่เงียบๆ จนเสร็จ ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งโซฟาข้างๆ ผม

     “หนึ่งไม่เคยรู้ว่าเฮียเป็นขนาดนี้” มันว่าคล้ายจะขำนิดหน่อยแต่มือกลับเกาต้นคอราวกับรู้สึกประหม่า “นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก”

     เจอคำพูดเช่นนี้แล้วเล่นเอาผมอยากงอแงใส่อีกฝ่ายเหลือเกิน

     ผมเงียบ ไม่ได้ตอบคำใด จริงอย่างที่หนึ่งพูดว่าเราตกลงกันแล้ว ทุกครั้งที่หนึ่งโผล่หน้ามาที่ห้องนี้มักจะเป็นวันศุกร์ มันจะอยู่กับผมจนถึงเย็นวันอาทิตย์ถึงเดินทางกลับไปห้องรกๆ ของมันกับพี่รหัส ถึงคุยกันแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะยืดเวลาที่เราอยู่กันสองคนไปอีกสักหน่อยทั้งที่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่าปกติแท้ๆ

     “เฮียป้อง...” เมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรนานเข้ามันก็เรียกชื่อผมเสียงยานคาง

     ผมถอนหายใจ “เออ กูรู้แล้ว”

     “ดีมาก” หนึ่งยิ้มกริ่ม คล้ายว่านานวันบทบาทเราจะสลับกันชอบกล

     ผมปล่อยให้หนึ่งเข้าไปหยิบข้าวของเล็กๆ น้อยๆ กลับหอที่มันใช้พักอยู่อย่างจริงจังก่อนที่จะขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่หอนู้น ซึ่งใกล้กับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมันมากกว่า หนึ่งให้ผมขึ้นไปส่งถึงในห้อง เปิดประตูไปแล้วเหนื่อยใจชอบกล ทั้งๆ ที่ห้องมันขนาดพอๆ กับคอนโดของผม แต่สภาพกลับรกเสียจนดูไม่ได้

     “อ้าวเฮีย มาส่งหนึ่งอีกละเหรอ” พี่รหัสหนึ่งที่ถอดเสื้อเล่นมือถืออยู่บนเตียงโงหัวขึ้นมาทันควัน “เข้ามานั่งก่อนไหมเฮีย”

     ...นี่มันคิดจะให้ผมไปนั่งตรงไหน

     อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอดสภาพห้องของมันในใจ ห้องของหนึ่งกับพี่รหัสมันรกมากทั้งที่เป็นห้องขนาดกว้างพอตัวและไม่แบ่งโซน แต่ข้าวของในการเรียนของมันอยู่ทางหนึ่ง อุปกรณ์ต่างๆ กองอยู่บนพื้น ยังไม่นับเศษซากกระดาษที่ถูกตัดทั้งหลายแหล่นั่นอีก

     “ไม่เป็นไร” ผมตอบปฏิเสธ “เดี๋ยวกลับแล้ว”

     “ขอบใจมากเฮีย”

     ผมพยักหน้า แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นที่เกือบจะเป็นการสอดรู้สอดเห็นของพี่รหัสไอ้หนึ่งไปเสีย แล้วขอตัวกลับเลย ตอนเดินออกมาได้ยินหนึ่งโวยวาย จับศัพท์ได้ไม่มากที่รู้ว่ามีคำว่า ‘อย่าแซว’ อยู่ในนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเต้ยพูดอะไรไป

     ผมเดินลงมาจนถึงข้างล่าง กำลังจะสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับหอตัวเองแล้วจู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่น

     ‘แม่’

      ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ตัดสินใจรับสายทันที “ว่าไงครับแม่”

     “จ้ะพ่อคุณ” แม่พูดจาน้ำเสียงประชดประชันตั้งแต่คำแรกกันเลยทีเดียว “จะกลับมาบ้านบ้างไหมเนี่ย เดี๋ยวนี้ไม่ยอมโผล่หน้ามาเลยนะ ติดแฟนหรือยังไง”

     ผมหุบปากฉับ สาเหตุที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านเป็นเพราะหนึ่งมานอนที่คอนโดวันเสาร์ – อาทิตย์ และผมไม่อยากจะให้ใครมาทำลายช่วงเวลาเหล่านั้นเท่าไหร่

     “ช่างเถอะ” แม่พูดเองเออเองเสร็จสรรพ “กานดาโทรมาบอกว่าวันหยุดอาทิตย์หน้าที่จะไปกระบี่ บ้านนู้นจะไปด้วยนะ”

     ผมเงียบไปนิดหน่อย “งั้นหรือครับ”

     “ก็ใช่น่ะสิ วันไหนเจอน้องก็บอกด้วยนะ ไม่รู้ว่าน้องรู้หรือยัง”

     “ที่โทรมามีเรื่องแค่นี้เหรอครับ” ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้

     “เปล่าย่ะ โทรมาเตือนเฉยๆ ว่าต้องกลับบ้านบ้าง ไม่กลับมากี่สัปดาห์แล้วล่ะ!” แม่แหวใส่ผมเสียงดัง “แถมยังไม่ค่อยโทรมาคุยกับแม่อีกนะ”

     ผมเอ่ยปากขอโทษอีกสองสามคำ บอกว่าเดี๋ยวจะขับมอเตอร์ไซค์ ถ้ากลับถึงหอแล้วจะโทรไปคุยด้วย สัญญามั่นเหมาะอีกไม่นานแล้วจึงกดวางสาย

     มันไม่ดีนัก แต่ตอนกดวางสาย ผมเผลอถอนหายใจออกมา ต้องยอมรับว่าผมไม่พร้อมที่จะเจอน้ากานดากับแม่ตัวเองพร้อมๆ กับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย

   ...เราจะปิดบังพวกท่านได้จริงๆ น่ะหรือ?



-------------------------------
 ขอยอมรับทุกข้อกล่าวหาค่ะ

ขออภัยมากที่ช้าขนาดนี้ค่ะ
ทั้งปิดรูปเล่มนิยาย ทั้งเรื่องสุนัขที่เลี้ยงมาสิบกว่าปีเสียไป
ยอมรับว่าเป๋ไปเหมือนกัน

ต้องขอบคุณทุกคนที่รอก่อนนะคะ :กอด1:
เจอกันในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 05-06-2016 23:14:02
หมาที่เลี้ยงมาเจ็ดปีก็เพิ่งเสียค่ะ เราเข้าใจ ฮือ คนเขียนสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 06-06-2016 18:13:45
เข้ามารอค่ะ ตอนแรกก็งงๆคิดว่าน้องหนึ่งกับเฮียนี่ยังไง

เหมือนเฮียเองก็คิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะปกป้องน้องได้

ส่วนน้องเองก็คิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้เฮียมาดูแลด้วยความสงสาร

จริงๆแล้วสองคนนี้น่าจะชอบกันมานานแล้ว แต่ไม่ยอมพูด เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบ และตัวเองไม่ดีพอ

ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 06-06-2016 18:55:40
ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเป็นนิยายรัก อ่านแล้วหายใจคล่องขึ้น ซึ่งตอนที่บีบคั้นก็ชอบไปอีกแบบนะคะ เหลือด่านของครอบครัวอีกสินะ สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-06-2016 19:09:12
สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-06-2016 19:44:50
เสียใขกับไร้ทด้วยที่สูญเสียเพื่อนสี่ขา   :mew4::mew6:
เหมือนจะเริ่มเข้าใจกัน ดีกันหน่อยๆและ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-06-2016 14:31:14
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 22 - แฟร์ (05.06.2016) - Pg. 3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 10-06-2016 23:32:57
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 23
‘ไว้ใจ’


     ความกังวลของผมไม่จางหายไป แถมดูเหมือนหนึ่งเองก็เริ่มรู้สึกแย่เหมือนกันตอนที่ผมไปเตือนมันถึงทริปที่จะเกิดขึ้น

     “หนึ่งไม่ไปแล้วได้ไหม” มันถามผมแบบนั้น สีหน้าฉายแววกังวลอย่างปิดบังไม่มิด “หนึ่ง... ยังไม่กล้า”

     “ไม่เป็นไรหรอก” ผมพยายามปลอบ เอื้อมมือไปลูบหลังมือมันเบาๆ แต่คิ้วของหนึ่งก็ยังขมวดชนกันอย่างกับจะผูกเงื่อนพิรอดอย่างไรอย่างนั้น “ยังไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”

     “...เฮีย” มันเงยหน้ามองผม ริมฝีปากบดเข้าหากันแน่นจนผมต้องเอื้อมมือไปใช้นิ้วหัวแม่มือคลายมันออก

     ผมถอนหายใจ “ไม่เอาน่า กินข้าวเถอะ”

     “ป้าเกดจะรับได้เหรอ” มันพูดออกมาเสียงแผ่ว ไม่ได้ฟังเลยว่าผมอยากหยุดประเด็นนี้ไว้ตรงนี้ก่อนที่มื้ออาหารจะกร่อยไปกว่านี้ “แล้ว... แล้วเฮียก็เป็นลูกชายคนเดียวด้วยนะ ถ้า...”

     “หนึ่ง” ผมรีบตัดบทก่อนที่มันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

     เจ้าของชื่อมองหน้าผม สีหน้าแย่เต็มทีจนผมต้องบอกให้มันจัดการกินข้าว ขืนยังพูดเรื่องนี้ต่อ สุกี้คงจะอืดหมดและพวกเราคงไม่อยากจะกินอะไรกันพอดี

     ผมมองหนึ่งที่ใช้ตะเกียบเขี่ยวุ้นเส้นในชามตัวเอง สุดท้ายมันก็กินไปประมาณครึ่งจานทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนกินจุไม่ใช่น้อย แต่ผมจะพูดอะไรได้ ขืนเราหยิบประเด็นนี้มาพูดอีกรั้งแต่จะทำให้บรรยากาศแย่ลงเท่านั้น

     “ป้าเกดจะรับได้เหรอ”

     ผมคิดถึงสิ่งที่หนึ่งพูดแล้วถอนหายใจอีกครา แม้จะรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ผมกลับคิดว่าคนที่ผมกลัวจะรับไม่ได้ไม่ใช่แม่ของผม

     ...แต่เป็นน้ากานดาต่างหาก




     คืนก่อนเดินทางหนึ่งมาค้างบ้านผม น้ากานดาตามมาสมทบที่บ้านผมตอนเช้า ตลอดช่วงเวลานั้นหนึ่งกังวลจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แสดงพิรุธออกมาขนาดที่ว่าแม่ผมเองก็คงจะจับสังเกตได้แต่ท่านยังไม่ได้พูดอะไรออกมา

     ทริปนี้กินเวลาสามวันสองคืน วันแรกมีแค่แม่ของผม ผม น้ากานดาและหนึ่งไปเท่านั้น ส่วนพี่ลูกปลากับท่านนายพลพ่อผมจะตามไปสมทบพรุ่งนี้เช้าด้วยเครื่องบินเนื่องจากทั้งสองเคลียร์ตารางเวลาให้ตรงกับพวกเราไม่ได้

     “หนึ่งกินนี่ไหมจ๊ะ”

     หนึ่งสะดุ้งเฮือก แต่ก็หันไปรับแก้วน้ำจากแม่ของผมแล้วยิ้มให้ท่านนิดหน่อย “ขะ ขอบคุณครับ”
 
     ทุกการกระทำของมันอยู่ในสายตาผมทั้งสิ้นแม้ว่าผมกับมันจะนั่งคนละฝั่งของรถตู้ก็ตาม

     น้ากานดากับแม่ของผมนั่งตำแหน่งหลังคนขับรถตู้ คุยกันสนุกสนานเรื่องนู้นเรื่องนี้ที่ผมไม่เข้าใจ ส่วนผมนั่งข้างหลังแม่ ในขณะที่หนึ่งนั่งชิดผนังอีกฝั่งของรถ มันใส่หูฟังดูอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ เหลือบสายตามองมาทางผมเป็นระยะ และทุกครั้งที่เราสบตากันมันก็จะเบือนหน้าไปอีกฝั่งเสมอ

     ผมคิดว่าหนึ่งไม่อยากดู ‘สนิท’ กับผมมากนัก แต่คงไม่รู้ตัวว่านั่นแหละที่เป็นพิรุธ

     ถึงผมกับหนึ่งจะไม่ได้เจอหน้ากันต่อหน้าพ่อแม่นานแล้ว แต่ครั้งล่าสุดก็ไม่ได้ดู ‘ห่างเหิน’ กันขนาดนี้ นี่มันมากมายเสียจนคนนอกมองก็รู้ตัว ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทะเลาะกันแท้ๆ

     คุณแม่ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสในขณะที่พวกเราเงียบกริบกันอย่างกับเป็นป่าช้า หนึ่งหลับไปแล้วทั้งๆ ที่หูฟังยังคาหูอยู่ ลำบากผมที่ต้องเอื้อมมือไปหยิบออกอย่างแผ่วเบา กลัวว่ามันจะตื่น แถมมือถือก็จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ ผมเลยจัดการย้ายมาวางบนเบาะข้างๆ

     จังหวะนั้นที่หนึ่งลืมตาขึ้น เอียงคอมองหน้าผมและทำท่าจะสะบัดมือออกแต่ผมออกแรงบีบมือไว้

     “เดี๋ยวมือถือมึงก็ตกหรอก นอนดีๆ สิ”

     หนึ่งเม้มริมฝีปากแน่น แต่พอแม่ของมันหันมามองก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น วางโทรศัพท์ไว้ที่เบาะเฉยๆ แล้วหลับตาลงใหม่

     “หนึ่งย้ายหอไปได้คุยกับหนึ่งบ้างรึเปล่าจ๊ะป้อง” น้ากานดาเอ่ยปากถามผม

     “ก็มีบ้างครับ” ผมตอบไปตามจริง อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นความจริงทั้งหมดหรอก...แค่ไม่โกหกเท่านั้น

     “งั้นเหรอจ๊ะ เรียนหนักไหม”

     น้ากานดาชวนผมคุยเรื่องเปื่อยโดยไม่ได้หันหลังมาคุยกับผมตรงๆ ผมเองก็ได้แค่ตอบไปตามจริง ปล่อยให้หนึ่งนอนหลับทั้งๆ ที่ขมวดคิ้วจนมาถึงคำถามที่ทำให้ผมชะงักไป

     “เห็นแม่บอกว่าป้องมีแฟนแล้วเหรอจ๊ะ”

     ผมเห็นจากหางตาว่างหนึ่งขมวดคิ้วมากขึ้น ขบริมฝีปากล่างอย่างวิตกกังวลจนผมต้องเลื่อนมือไปสัมผัสกับมือของมันเบาๆ

     หนึ่งสะดุ้ง ทำท่าจะสะบัดมือออกแต่ผมกำมันให้แน่นกว่าเดิม

     “แม่บอกเหรอครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ เยื้อมือกับหนึ่งอยู่โดยที่ไม่มีใครหันมามอง

     “แหงสิยะ” แม่ของผมตอบมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ไม่โผล่หน้ามาอย่างนี้ วันหลังฉันต้องโผล่ไปเซอร์ไพรส์ที่คอนโดเลยหรือเปล่าถึงจะได้เห็นหน้า”

     “ผมอาจจะไม่มีก็ได้นะ”

     “แหม อย่าโกหกแม่เขาเลยจ้ะป้อง” น้ากานดาสมทบ สงสัยโดนแม่ผมบ่นเรื่องนี้ให้ฟังมาแล้วแน่ๆ “เรียนคณะไหนล่ะลูก”

     ผมไม่ตอบอะไร เหลือบสายตามองหนึ่งที่ลืมตาขึ้นมาแสดงสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด มันขยับปากด่าอะไรผมสักอย่างที่จับศัพท์ไม่ได้ สะบัดมือผมออกเต็มแรงจนผมต้องยอมแพ้ แต่ดูเหมือนจะพลาดไปหน่อยเลยกลายเป็นการโดนเบาะที่แม่ของมันนั่งอยู่ไปโดยปริยาย

     น้ากานดาชะโงกหน้าขึ้นมา “มีอะไรเหรอหนึ่ง”

     “ขอโทษทีแม่... หนึ่งเมื่อยเลยบิดขี้เกียจ” มันโกหกด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยพิรุธ แต่น้ากานดากลับไม่สนใจ

     “แล้วหนึ่งรู้จักแฟนของป้องบ้างหรือเปล่าลูก”

     มันจะร้องไห้อยู่แล้ว

     ผมถอนหายใจ “ไม่มีใครรู้หรอกครับ”

     “นะ นั่นสิป้าเกด เฮียป้องไม่ยอมเปิดตัวให้เห็นสักที” หนึ่งรีบเอ่ยปาก “ไม่รู้จะปิดไปถึงไหน” ตามด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ

     แม่กับน้ากานดาแซวผมต่ออีกสองสามประโยค บอกว่าถ้าคบนานหน่อยก็เปิดตัวให้เห็นจริงๆ จังๆ สักที ก่อนที่ประเด็นจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นจนถึงที่เราพักกินข้าว แต่หนึ่งไม่นอนหลับอีกแล้ว ตามันแดงนิดหน่อยด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความง่วง

     ผมเอื้อมมือไปใกล้มือมัน ปลายนิ้วสัมผัสปลายนิ้ว เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ชักมือกลับ

     ...ไม่ดีเท่าไหร่เลย

     ผมอดไม่ได้ที่จะรำพันในใจ รู้อยู่ว่ามันกลัวอะไรแต่เห็นทีต้องคุยกันจริงๆ จังๆ สักทีว่าถ้าหากหนึ่งอยากปิดบัง มันต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าเพราะเดิมทีผมไม่ใช่คนแสดงออกเยอะด้วยหรือเปล่าถึงสามารถทำเหมือนเดิมได้โดยไม่มีอะไร

     ว่าก็ว่าเถอะ... ผมคิดอยู่แล้วว่าที่ผ่านมามันง่ายเกินไป แต่ผมไม่อยากให้หนึ่งกังวลเสียขนาดนี้

     การที่มันปฏิเสธผมชัดเจน...ทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว



   
     โรงแรมที่เราพักเป็นหนึ่งในเครือที่บ้านผมอยู่แล้ว เราจองห้องพักแบบห้องนอนสาม ห้องน้ำสาม ถือว่าไม่มากไปไม่น้อยไปสำหรับเรา พอมาถึง นั่งๆ นอนๆ จนไปกินอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว คุณแม่ทั้งสองก็เกิดอยากไปซุปเปอร์มาเก็ตมาเตรียมของสำหรับการทำบาร์บีคิวพรุ่งนี้เสียอย่างนั้น

     “จะออกไปไหนโทรมาบอกแม่ด้วยนะหนึ่ง”

     “ครับ”

     ผมมองน้ากานดาที่กำชับหนึ่งอยู่นานก่อนที่จะออกจากห้อง

     พอคุณแม่ทั้งสองออกจากห้องไป หนึ่งก็เดินกลับมานั่งที่โซฟา ตำแหน่งห่างกับผมเช่นเดิมจนผมต้องหันไปเอ่ยปากถาม

     “ต้องนั่งห่างขนาดนั้นเลยเหรอ”

     หนึ่งเหลือบตามอง “ก็มัน...”

     “พูดดังๆ หน่อยสิ” ผมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วว่าเช่นนั้น มันพูดอะไรที่ผมจับศัพท์ไม่ได้ และนี่ไม่ควรเป็นเวลาที่เราจะต้องเดากันเสียหน่อยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     หนึ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เฮีย...” น้ำเสียงดูอ่อนแรงไม่ใช่น้อย “ไม่เอาแบบเมื่อกลางวันแล้วนะ ถ้าแม่เห็นจะทำยังไง”

     “หนึ่ง ขอร้อง... กูแค่จับมือ”

     “แต่มันก็ไม่ปกติ!” มันเริ่มเปลี่ยนมาเสียงแข็ง “ปกติเฮียจับมือหนึ่งหรือยังไงกัน แล้ว... แล้วป้าเกดก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเฮียมีแฟน”

     “แล้วยังไงล่ะ”

     อีกฝ่ายผลุบตาต่ำ เม้มกลีบปากเข้าหากันแบบที่แสดงออกได้ชัดเจนว่าในหัวเล็กๆ ของมันกำลังคิดมากมาย จนบางทีมันก็มากเกินไปด้วยซ้ำ ผมไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะคิดว่าหนึ่งเป็นคน ‘คิดมาก’ แต่เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ ก่อนหน้านี้ผมเองก็ ‘คิดมาก’ แต่ไม่มากพอที่จะสังเกตว่าจริงๆ แล้วมันคิดหลายเรื่องแค่ไหนขณะที่มันแสดงออกเหมือนกับไม่คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

     “หนึ่ง... ไม่เหมาะเป็นแฟนเฮียเลย”

     คำนั้นแผ่วเบาอย่างกับจะพูดกับสายลม

     แต่ความเจ็บปวดในนั่นเด่นชัดมากกว่าคำพูดเสียอีก

     ผมเม้มริมฝีปากแน่น นับเลขจากหนึ่งจนถึงสิบในใจ วนมาที่หนึ่งใหม่สักสองสามรอบก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมา

     “เราต้องพูดเรื่องนี้กันอีกกี่ครั้งกัน” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด ขยับกายเข้าไปใกล้นิดหน่อยมันก็เอาหน้าซุกหมอนอิง “หนึ่ง”

     “...ไม่รู้” อีกคนตอบกลับมาเสียงอู้อี้

     “เงยหน้าขึ้นมาสิ”   

     “ไม่เอา”

     ผมผ่อนลมหายใจยาว เอื้อมมือไปดึงหมอนอิงแต่อีกฝ่ายขืนไว้ ยื้อแย้งกันอยู่นิดหน่อยจนมันก็ยอมปล่อยดีๆ

     “นี่เล่นตัวแค่เป็นพิธีหรือไง”

     “เฮียแม่ง...” มันขว้างค้อนให้กันวงใหญ่ ตาแดงแบบที่ทำให้ผมใจแกว่งนิดหน่อยแต่ไม่ยักกะมีน้ำตา “หนึ่งจริงจังอยู่นะ”

     “กูก็จริงจังอยู่เหมือนกัน”

     หนึ่งทำหน้าง้ำงอ ย่นจมูกจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบมันนิดหน่อย “ไม่เป็นไรน่า มึงทำให้มันดูมีพิรุธมากเกินไปแล้ว”

     “หนึ่งทำตัวไม่ถูก” มันซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง “หนึ่งแค่ไม่อยากให้ป้าเกดรู้ หนึ่งเป็นผู้ชาย หนึ่ง...”

     ผมไม่อยากให้มันพูดอะไรต่อเลยใช้ฝ่ามือตัวเองปิดปากมันเสีย หนึ่งชะงักไปนิดหน่อย เหลือบตามองผมอย่างงุนงงก่อนที่ผมจะค่อยๆ ปล่อยมือออก

     ผมค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วลงไปที่มุมปาก เรื่อยไปจนถึงแก้ม จัดการปัดผมหน้าม้าที่ยาวๆ ของมันทิ้งเสีย รู้ดีว่านี่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่และพวกเราควรจะคุยกันให้มากกว่านี้แต่ดูเหมือนสถานการณ์มันเป็นใจ ผมจรดปลายจมูกของผมกับปลายจมูกของอีกฝ่ายที่เริ่มผลุบตาลงต่ำอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ กดจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย

     ใช่ว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยจูบกันเสียหน่อย แต่มันน้อยเต็มที ผมเคยชินกับการที่อาศัยอยู่กับมันโดยไม่แตะเนื้อต้องตัวแต่หนึ่งไม่ใช่ มันไม่ได้แตะตัวผมมาก แต่บ่อยครั้งที่พอเราอยู่ในสถานะที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่าให้ต่างฝ่ายต่างมีความยับยั้งชั่งใจน้อยลงทุกที

     ครั้งนี้แปลกไป ผมรู้ดีตอนที่รู้ตัวว่าผละริมฝีปากตนเองไม่ได้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่แค่ปากเราแตะกันไม่นานเราก็ไปต่อกันไม่ถูก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือของมันเอื้อมมาคล้องคอผมไว้หลวมๆ

     “ฮะ... เฮียป้อง”

     ลมหายใจร้อนๆ ของมันอยู่ข้างหูตอนที่ผมผละริมฝีปากออกแต่ยังไม่ผละกายไปไหนเพราะหนึ่งยังไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ทำให้ผมกดริมฝีปากลงบนตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

     แย่จริง

     ผมรู้สึกว่านี่เริ่ม ‘ไม่ดี’ จริงๆ เสียแล้ว เหมือนมัวเมา... หยุดไม่ได้... และมันเริ่มถลำลึกขึ้นไปทุกที หนึ่งที่ผมเคยมองว่าเป็นเด็กไม่ประสา เห็นทีผมต้องคิดใหม่เสียหน่อย ทั้งที่มือปะป่ายไปมาบนตัวผมแต่คล้ายว่ามันจะทำให้ผมขาดสติได้ทุกเมื่อ ไม่มั่นใจเสียแล้วว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะผมหลงมันมากหรือเป็นเพราะมันเรียนรู้เรื่องผู้ใหญ่ได้ดีกันแน่

     หลังของหนึ่งแนบสนิทกับโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอๆ กับเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าตัวผมแนบทับบนตัวของมันตอนไหนกันแน่ เราผละออกจากกันไม่ได้ และมันไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ

     ผมรู้สึกเหมือนตัวเองตัดขาดจากโลกภายนอกไปทั้งหมด จนตอนที่รู้สึกว่ามีแรงกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงและพอผมเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด

     “แม่...”

     นั่นเป็นเสียงพึมพำจากหนึ่ง

     ผมรู้สึกว่าในหัวรวนไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วมีมือเล็กๆ ตบหน้าของผมจนหน้าหันแต่ไม่ได้แรงเพราะเป็นแรงของผู้หญิงวัยกลางคนตัวเล็กเท่านั้น ในหัวรู้สึกอื้ออึงไปหมด ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนแต่สู้กับเสียงแหลมของคนเป็นแม่ไม่ได้

     “น้าไว้ใจป้อง! น้าไว้ใจป้องว่าป้องจะไม่ทำอะไรน้อง!”

     ผมยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูกปล่อยให้น้ากานดาตบตีผมเต็มที่ ทั้งเล็บที่จิกลงมาบนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนทุกอย่างมันมึนงงไปหมด

     “แม่! หยุดนะ แม่!”

     “ปล่อยแม่นะ!” น้ากานดากรีดร้องตอนที่ลูกชายพยายามจับมือสองข้างของตนไว้ “ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้! บอกแม่สิว่ามันทำอะไรลูกบ้าง! บอกแม่สิว่าลูกโดนบังคับ!”

     “แม่!”

     ร่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายเซลง เกือบจะล้มลงกองที่พื้น น้ำตาไหลนองหน้า ปลายนิ้วจิกเกร็งที่ไหล่ของผมอย่างแรงแต่ผมคิดว่ามันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายได้รับ

     หนึ่งยึดยื้อกับแม่ตนเองไม่หยุด สักพักก็เป็นแม่ผมที่เดินเข้ามา อุทานอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของน้ากานดา

     “น้าไว้ใจป้อง! แต่ป้องกลับทำแบบนี้กับน้องอย่างงั้นเหรอ!”

     

--------------------------------------------------
รักทุกคนค่ะ  :katai5:

#ขอให้ไม่ใช่รัก
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 11-06-2016 00:24:58
ค่ะ  สมควรตบมากๆเลยค่ะ คุณกานดา  ป้องเลวจริงชั่วจริง  คนอะไรไว้ใจไม่ได้เลย  ให้ดูแลลูกเพื่อนแม่ที่อาศัยใบบุญฉุดตัวเองกับลูกออกมาจากนรกที่ผัวตัวเองก่อแล้วลุกก็มารับกรรมด้วย    โกรธค่ะ  ส่วนตัวเกลียดคนแบบนี้มากๆ   ไม่ฟังไม่สดับอะไรเลย  กรี๊ดก่อนลงมือก่อน  เรื่องของหนึ่งรู้ว่านางเป็นห่วงแต่ช่วยดูก่อนได้ไหม?   คนที่ช่้วยนางมาตลอดเลย  เราเป็นครอบครัวป้องเราเป็นได้โกรธจนไม่มองหน้าเลยทีเดียว  ป้องเองก็แบกรับปัญหาของหนึ่งมาตั้งเท่าไหร่  พ่อแม่ป้องช่วยนางเท่าไหร่   นางไม่พยายามอะไรเองเลย   นึกว่าหนึ่งจะป่วยทางใจที่ไหนได้แม่นางเป็นมากเสียกว่า   หนึ่งเป็นได้หนีแน่ๆว่าจะดีแล้วเชียว
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 11-06-2016 09:57:08

ขุ่นแม่นี่แบบบบบบ โอยยยยยยย อ่านแล้วอยากโดดเข้าไปช่วยป้อง ตบขุ่นแม่กานดาคืนเลยอะ
ยัยป้านี่ต้องมีคนช่วยดึงสติหน่อยนะ 
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-06-2016 18:09:46
 :L2: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 11-06-2016 23:00:13
ฉากตอนแอบกุมมือ แล้วมีสะบัดมือหนี และพิรุธอื่นๆ นี่เหมือนจริงมากนะ เคยอยู่ในสถานการณ์แอบคบมาก่อน ยืนยันได้ว่าประมาณนี้แหละ มีประโยคที่ชอบมากอยู่หลายประโยคเลยค่ะ ฉากจูบทำเอาเซอร์ไพร้ส แหม ปกป้องมีฉากหวานประมาณนี้เป็นด้วย
ส่วนการมองโลกแบบน้ากานดา มันเป็นความรักลูก ที่ทำให้ลูกกดดันจังเลย

ช่วยแก้คำผิดค่ะ เยื้อมือ แก้เป็น ยื้อ ค่ะ
สนุกขึ้นเรื่อยๆเลย มีฉากหวานๆมาหยอดอีกนะคะ จะได้มีแรงสู้กะดราม่า
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 11-06-2016 23:48:19
เพิ่งเข้ามาอ่าน รวดเดียวถึงตอนที่ 23 สนุกมากค่ะ
หลากหลายอารมณ์มาก ทั้งร้องให้ ทั้งฟิน เป็นกำลังใจให้ค่ะ

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-06-2016 01:39:49
น้ากานดาลองคิดดูนะ อะไรก็ฝากป้องๆตัวเองเหมือนไม่ได้พยายามอะไรเลย สิ่งที่ป้องทำดูแลน้องมาตลอด คือต้องแบกทุกอย่างไว้กับคำว่าฝากน้องด้วยนะ ยั้งตัวเองมาตั้งนาน ช่วยคิดถึงเหตุผลแต่ล่ะอย่างด้วยค่ะ  แค่นี้ก็สงสารปกป้องกับน้องแล้ว   :katai1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 23 - ไว้ใจ (10.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 12-06-2016 02:19:57
อีป้า ..  อีบ้า

ลูกตัวเองดูแลไม่เป็นยังจะมาว่าเค้าอีก
สงสารหนึ่งมีแม่แบบนี้
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 15-06-2016 22:38:49
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 24
‘ความจริง’


     ท่ามกลางความเงียบ มีเสียงสะอึกสะอื้นที่ยังไม่หยุดของน้ากานดา นานทีเดียวกว่าพวกเราจะนั่งประจันหน้ากันได้ แม่ผมเป็นคนเดียวที่จัดการสถานการณ์ได้อยู่หมัด

     “เอาล่ะ” แม่สูดลมหายใจลึก “ช่วยเล่าความเป็นมาให้ฟังได้ไหม แม่งงไปหมดแล้ว”

     “ก็ลูกชายพี่ทำแบบนั้นก็หนึ่ง!” น้ากานดาว่าเสียงดังแหลม แทบจะเป็นการตะโกน “แล้ว... แล้วก่อนหน้านี้...”

     “กานดา” คนที่เอ่ยปรามไม่ใช่ลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ น้ากานดา แต่เป็นแม่ของผมที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผม “ใจเย็นๆ”

     น้ากานดาปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง พอเป็นเช่นนั้นแม่ก็นิ่งเงียบ ตั้งแต่พวกเราหันหน้าชนกันแบบนี้ แม่ไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งก็เอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่รู้ว่ามันกำลังร้องไห้เหมือนกับแม่มันหรือเปล่า เพียงแค่คิดเท่านั้นผมก็เผลอกำมือแน่นกว่าเดิม

     นานกว่าน้ากานดาจะพูดจารู้เรื่อง แม่ของหนึ่งจัดการเล่าทุกอย่างว่าลืมรายการข้าวของที่ต้องซื้อกับกระเป๋าสตางค์ไว้เลยกลับมาเอา หาที่บริเวณหน้าห้องไม่เจอ เดินลึกเข้ามาหน่อยก็เป็นโซฟาที่ตอนนั้นผมกับหนึ่งกำลัง...จูบกันอยู่ หลังจากนั้นน้ากานดาก็ร้องไห้อีกรอบ

     “สรุปแล้ว... จะบอกว่าลูกชายพี่ล่วงเกินน้องหนึ่งเหรอ”

     “ก็ใช่น่ะสิคะ!” หล่อนสวนทันควัน ขณะที่แม่ผมถอนหายใจยาวเหยียด “หนึ่งจะยอมได้ยังไง ในเมื่อตอนนั้น... หนึ่งเคยโดน...”

     “กานดา” แม่ผมเรียกชื่อคนที่พูดไม่หยุดอีกหน เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็หุบปากฉับ

     ผมไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใด รู้ดีว่าตอนนี้แสดงทีท่าใดๆ ไปน้ากานดาก็ไม่ฟังอีกแล้ว ที่หวาดหวั่นมากกว่าคือลูกชายของน้ากานดา...ที่มันเงียบเช่นนั้นมันคิดอะไรบ้างในหัว

     ผมรู้ว่าหนึ่งรักแม่มาก แม้ว่าน้ากานดาจะรักหนึ่งเสียจนไม่ยอมปล่อยให้ไปเจอโลกภายนอก หนึ่งก็ยังรักท่านมากอยู่ดี มันไม่เคยขัดแม่เลยสักอย่างไม่ว่าน้ากานดาจะสั่งอะไร

     ...ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน คำตอบมันเห็นอยู่ทนโท่ว่าหนึ่งไม่พร้อมที่จะให้แม่ของมันรับรู้เรื่องนี้ แต่ผมกลับทำให้ท่านเห็นภาพที่เลวร้ายมากที่สุด

     นานทีเดียวกว่าน้ากานดาจะหยุดสะอึกสะอื้น เอ่ยพูดออกมาเสียงแข็ง

     “พี่เกด... ครั้งนี้ฉันจะเอาเรื่อง”

     “ใจเย็นๆ นะ” แม่ของผมพยายามเอ่ยปราม แต่ดูจะไร้ผล

     “ฉันจะใจเย็นได้ยังไง! ลูกฉันมาเจอเรื่องแบบนี้นะ!”

     “ตอนนี้ลูกพี่ก็โดนโยนความผิดให้โดยที่ไม่ได้พิสูจน์เหมือนกันนะ” คำพูดของแม่ที่เริ่มแสดงถึงความไม่พอใจทำให้น้ากานดาเงียบอีกครั้ง “ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาคุยกันใหม่ไหม เด็กๆ ตกใจกันหมดแล้ว แถมคุยตอนนี้ไปก็ไม่รู้เรื่องกันอยู่ดี”

     “ฉันจะพาลูกกลับบ้าน”

     “ตอนนี้กี่ทุ่ม กว่าจะกลับถึงตั้งกี่ทุ่ม ถ้าอยากได้แบบนั้นเดี๋ยวพี่ติดต่อเปิดห้องใหม่ให้ พักที่นี่ไปก่อน”

     น้ากานดาเม้มริมฝีปากแน่น มองผมด้วยแววตาที่แตกต่างออกไปจากเมื่อชั่วโมงก่อน แต่มันก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่าที่แม่ผมเสนอแล้ว น้ากานดาเลยรีบฉุดมือหนึ่งให้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป และแม่ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่ลืมจะทิ้งท้ายคำพูดให้ผม

     “แม่กลับมา เราต้องคุยกันยาวเลยนะป้อง”

     ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบไปเสียงแผ่ว “...ครับ”




     กว่าแม่จะกลับมาก็ตอนเกือบห้าทุ่มเข้าไปแล้ว สีหน้าอิดโรยจนผมหมดคำพูดใดด้วยความรู้สึกผิด ท่านบอกว่าเดี๋ยวไปอาบน้ำก่อน และพ่อจัดการเลื่อนเที่ยวบินมาเป็นตอนเช้าแล้วเพื่อที่จะคุยกับน้ากานดาเรื่องนี้

     “เอาล่ะ” แม่เดินมานั่งประจันหน้ากับผม “เล่าให้แม่ฟังสิ... ตั้งแต่ต้นเลย”

     ผมถอนหายใจ “ตั้งแต่ตอนไหนดีครับ”

     “ช่วยยืนยันกับแม่ทีว่าเราไม่ได้ทำอะไรน้องเขา”

     “ผม...” ริมฝีปากผมบดเข้าหากันแน่น

     เพียงเท่านั้นแม่ก็ขมวดคิ้ว สีหน้าตกใจแต่ยังคุมสติไว้ถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยเท่านั้น “ป้อง... ลูกทำน้องเหรอ”

     “ถ้าจูบก็ใช่ครับ”

     แม่นิ่งไปชั่วครู่ ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “โอ๊ย ฉันต้องตกใจอะไรอีกเนี่ย” บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะเงยหน้ามามองผม “คบกันเหรอ?”

     ผมพยักหน้าอีกครั้ง เพียงเท่านั้นแม่ก็เอามือกุมขมับ

     “เล่ามาให้หมดเลยนะปกป้อง!”

     ผมรู้ดีว่าไม่สามารถปิดบังอะไรได้ก็จัดการบอกแม่ตามจริงว่าเราเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ไม่นาน เพิ่งรู้ว่าเรื่องของผมกับหนึ่งไม่ได้มีความน่าปวดหัวอะไรขนาดนั้นเพราะใช้เวลาเล่าออกมาเพียงนิดเดียว น่าจะเป็นเพราะเราต่างคิดกันมากเกินจนวุ่นวาย เสียเวลาไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

     “จบแล้วเหรอ?”

     “จบแล้วครับ”

     เพียงผมตอบเช่นนั้นแม่ก็เงียบกริบ เล่นเอาใจผมเริ่มเสีย ที่ผ่านมาผมไม่เคยปิดบังอะไรแม่แต่ก็ไม่ได้เล่าทุกเรื่องในชีวิต ทุกสิ่งที่ผมคิดว่าจัดการเองได้ก็ไม่ได้บอกท่าน แต่นี่มันเรื่องใหญ่จริงๆ... อย่างน้อยก็ใหญ่พอที่ทำให้แม่หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้

     ผมก้มหน้าอยู่นานจนแม่เอ่ยปาก

     “เงยหน้าขึ้นสิ” แม่พูดเสียงเรียบ ไม่มีทางที่ผมจะขัดได้ “สรุปนี่... ฉันมีลูกชายเป็นเกย์เหรอ?”

     คำพูดของแม่ทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก สักพักแม่ก็เอามือกุมขมับและนวดเบาๆ

     “...มีเรื่องให้ตกใจหลายเรื่องเกินไปแล้ว ถ้าฉันเป็นโรคหัวใจฉันจะช็อกตายไหมปกป้อง!”

     “ขอโทษครับ”

     ผมเอ่ยเสียงอ่อยแต่อย่างน้อยก็ยิ้มได้บ้าง แม่กลับมาพูดจาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของท่านแล้ว มันเหมือนกับเอาภูเขาที่ผมแบกไว้บนบ่ามานานออกไป แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้

     “แม่ไม่โกรธใช่ไหม...?”

     แม่มองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ลดมือมาเป็นการกอดอก

     “ทั้งชีวิตนี้แกไม่เห็นเคยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ตามล้างตามเช็ดเท่าไหร่เลย พ่อแม่สบายตลอดด้วยซ้ำมีแกเป็นลูก แค่คบกับผู้ชายมันจะมีปัญหาอะไรให้ฉันขนาดนั้นเหรอ” แม่เอานิ้วมาดันหน้าผากผมเบาๆ ถึงจะเจ็บนิดหน่อยแต่ก็ทำให้ยิ้มได้ “แต่ถ้าเดินมาบอกแม่ก่อนมันจะวุ่นวายเท่านี้ไหม แม่จะได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามกานดา ดูสิ... เปิดมาก็โป๊ะแตกเลย”

     “ขอโทษครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอีกที

     แม่เอามือปัดไปมาตรงหน้า “ช่างมันเถอะ... กานดาเขาก็ห่วงหนึ่งเป็นเรื่องปกติ พอแม่ลองคิดว่าถ้าแกเคยโดนทำอะไรอย่างนั้น แม่เองก็คงห่วงมากกว่าตอนนี้เหมือนกัน”

     มันก็จริงอย่างที่แม่ว่า... ผมเองก็เข้าใจในจุดนั้น รู้ดีอยู่แล้วว่าน้ากานดารักและถนอมหนึ่งมากแค่ไหน ภาพที่เห็นผมคร่อมหนึ่งอยู่มันคงทำให้น้ากานดาสติแตกไม่น้อยเลยจริงๆ

     ยิ่งคิดยิ่งทำให้ผมถอนหาใจออกมา พร่ำด่าในความโง่เง่าของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะนั้นแม่ก็เอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ เหมือนกับลูบหัวสุนัข

     “เอาเถอะ ยังไงก็ยังเป็นเด็กนี่นะ”

     “...”

     “คราวนี้ก็ให้ผู้ใหญ่เขาช่วยจัดการบ้าง เข้าใจไหม?”




     ผมตื่นมาในตอนเช้าตรู่ กล่าวให้ถูกคือไม่เรียกว่านอนหลับด้วยซ้ำเพราะผมพลิกกายไปมาตลอด บางครั้งก็เลือกที่จะเดินมานั่งให้ยุงกัดเล่นๆ ที่ระเบียงทั้งที่รู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้น

     ‘ขอโทษ’

     นั่นเป็นข้อความสั้นๆ ที่ผมส่งไปตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนผ่านไลน์เพราะโทรหาหนึ่งแล้วพบว่ามันไม่รับสาย แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ ไม่มีแม้แต่สัญญาณบ่งบอกว่ามันอ่านคำขอโทษของผมแล้วด้วยซ้ำ

     ประมาณแปดโมงครึ่ง พ่อของผมถึงมาถึงที่โรงแรม แม่ถึงเรียกพ่อไปคุยในห้องนอน ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่ตั้งใจจะ ‘ตกลง’ กันว่าอย่างไร ที่รู้ๆ คือผมไม่ชอบใจตัวเอง...ที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม่ไม่บอกผมด้วยซ้ำว่าน้ากานดากับหนึ่งพักที่ห้องไหน คงเป็นเพราะกลัวว่าผมจะไปหามันนั่นแหละ

     ...แย่เป็นบ้า

     พ่อเข้าไปคุยกับแม่ไม่นาน เดินออกมาก็บอกว่าเดี๋ยวน้ากานดากับหนึ่งจะมาคุยที่ห้องนี้ เล่นเอาผมเกร็งไม่ใช่น้อย

     “อะไร” พ่อถามเสียงห้วน “ทำไมทำหน้าอย่างงั้น”

     “จะให้ผมยิ้มเป็นแป๊ะยิ้มหรือไง”

     “ปากดีนี่” ทั้งที่เป็นคำด่าแต่พ่อกลับยิ้ม ท่านนายพลเอื้อมมือมาตบบ่าผมนิดหน่อยราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร

     ครอบครัวผมดีมากจนน่าใจหาย พอคิดว่าหนึ่งไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบผมแล้ว มันก็ไม่ได้น่ายิ้มออกมาเท่าไหร่นัก

     สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู น้ากานดากับหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยดวงตาแดงก่ำ โดยเฉพาะคนเป็นแม่ที่ตาบวมเป่งราวกับผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน ในขณะที่หนึ่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่เจือความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว

     ...ผมทำมันพัง

     ‘ผม’ จริงๆ ที่ทำให้มันทุกข์ใจ

     น้ากานดากับลูกชายนั่งตำแหน่งเดิมกับเมื่อวาน ประจันหน้ากับผมและแม่ ส่วนพ่อนั่งอยู่ตรงกลาง

     “ผมรู้เรื่องแล้วครับ” พ่อของผมเป็นคนเอ่ยปากออกมา “เรื่องเมื่อวาน...”

     “ท่านนายพลจะให้ฉันปล่อยไปหรือคะ” น้ากานดาเอ่ยขึ้นมาเสียงสั่น “เรื่องแบบนี้เกิดกับลูกชาย จะให้ฉันปล่อยไปไม่เอาเรื่องหรือคะ”

     พ่อของผมผงะ “คุณกานดาใจเย็นๆ นะ เด็กสองคนรักชอบกัน...”

     “หนึ่งเป็นลูกชายนะคะ” อีกฝ่ายพูดเสียงแข็ง “หนึ่งเป็นผู้ชาย จะ...จะรักกับป้องเขาได้ยังไง”

     ผมเห็นหนึ่งกำมือแน่นขึ้น ก้มหน้าลงราวกับสำนึกผิดเพียงเพราะคำนั้นของแม่ตัวเอง

     แม่ของผมถอนหายใจยาว “ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันก็มีให้เห็นตั้งเยอะแยะ คนก็ยอมรับ”

     “แต่หนึ่งไม่ใช่!”

     พวกเราเงียบกริบเมื่อจู่ๆ น้ากานดาก็แหวขึ้นมาเสียงดัง

     หนึ่งเริ่มตัวสั่น ผมอยากจะเอื้อมมือไปกอดมันไว้เหมือนที่เคยทำเวลามันร้องไห้ ไม่รู้เลยว่าแค่ระยะห่างที่มีโต๊ะเล็กๆ คั่นกลางมันจะทำให้ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้

     “คุณกานดา... ถามลูกชายคุณหรือยัง?”

     คำถามของพ่อทำให้ทุกคนมองไปที่หนึ่ง

     “ไม่ใช่หรอกค่ะ... หนึ่งพูดเพราะ... เพราะ...” คนเป็นแม่อึกอัก พูดได้ไม่จบประโยคเสียทีจนหันไปคุยกับลูกชายตัวเอง “ใช่ไหม... หนึ่ง”

     “...”

     “หนึ่ง”

     ทั้งที่นั่นเป็นแค่การเรียกชื่อ ผมกลับรู้ดีว่าเจ้าของชื่อคงได้รับความกดดันมหาศาล ทั้งจากแม่ที่ตัวเองรักและเทิดทูน ไหนจะจากทุกคนที่รอฟังคำตอบ

     “คุณกานดา” ท่านนายพลเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “อย่ากดดันลูกเลย”

     “แต่...แต่”

     “ลูกชายผมไม่ดีตรงไหนหรือ?” คำพูดของพ่อทำให้ผมกำมือแน่น ยามน้ากานดาเบือนหน้าหนีมันทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่ใช่น้อย ผมคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานคงทำให้ความไว้ใจของน้ากานดาพังทลายลงในพริบตา “ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ช่วยเหลือหนึ่งตั้งหลายเรื่องไม่ใช่หรือไงกัน?”

     “...”

     “เขาอยู่ในสายตาคุณกานดามาตั้งหลายปี ทำไมถึงพูดเหมือนลูกชายผมไม่มีดีอะไรแบบนั้นล่ะ”

     พอถูกท่านนายพลไล่ต้อนมากเข้า น้ากานดาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่แววตายังฉายความไม่เชื่อถือผมอยู่อย่างชัดเจน

     พวกเราเงียบกันอยู่พักใหญ่ ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของผู้คนที่น่าอึดอัด บ้านของพวกเราสนิทกันมาก น้ากานดาเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ เพราะงั้นเลยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะต้องรู้สึก ‘อึดอัด’ เวลาอยู่ตรงหน้าท่าน

     “หนึ่ง” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย “เงยหน้าขึ้นสิ”

     หนึ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แววตาแดงก่ำ ริมฝีปากบดเข้าหากันแน่น สีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ทุกอย่างของมันในตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกแย่

     ผมย้อนคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาในชีวิตหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผมไม่สามารถปกป้องได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...รั้งจะร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำไป ผมกำมือแน่นด้วยความอัดอั้น ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่เคยอยากแต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เคยเป็นไปตามที่ผมต้องการเลยสักครั้ง

     “ป้องไม่บังคับได้เราใช่ไหม?”

     “...”

     “สองคนคบกันจริงๆ ใช่หรือเปล่า”

     ผมกลัว

     ช่วงเวลาที่หนึ่งเงียบไปนั้นอาจจะสั้นนิดเดียวแต่ความกลัวที่เข้าเกาะกุมจนทุกส่วนของร่างกายชาดิกทำให้ผมรู้สึกเหมือนมันนาน กลัวเหลือเกินว่ามันจะหนีอย่างที่เราต่างเคยทำในอดีต ผมกลัวว่าเรื่องของเราที่ดูเหมือนจะดีขึ้นจะพังลงตรงนี้ มันทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วผมเองก็ยังเป็นเด็กที่หวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

     “...ครับ”

     คำพูดของหนึ่งแผ่วเบา...ไม่ได้หนักแน่น...ไม่ยอมสบตากับใครสักคนแต่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากมายแล้วสำหรับคนที่เคยวิ่งมาตลอด

     น้ากานดาเงียบกริบ ก้มหน้าลงสักพักพวกเราก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น หนึ่งเองก็ได้แต่มองแม่ตัวเองอย่างเจ็บปวด น้ำตาคลอเบ้า นั่นก็ทำให้ผมเจ็บปวดไม่ใช่น้อยหากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้

     สักพักก็เป็นพ่อของผมที่ลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องนอนก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับแฟ้มใสขนาดเอสี่ทั่วไป

     “คุณกานดา” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น ในขณะที่ท่านนายพลยื่นแฟ้มนั่นให้ “ผมอยากให้อ่านนี่”

     น้ากานดาจัดการปาดน้ำตาเล็กน้อย รับแฟ้มในมือมาก่อนที่จะค่อยๆ หยิบกระดาษจำนวนไม่มากไม่น้อยออกมา ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เมื่อหนึ่งมองมัน หนึ่งก็เงยหน้าสบตากับพ่อของผม

     “คุณลุง...”

     พ่อของผมทำเพียงส่ายหน้า

     น้ากานดานั่งอ่านกระดาษเหล่านั้นเงียบๆ แผ่นแล้วแผ่นเล่าขณะที่หนึ่งก้มหน้าเงียบงัน ปล่อยให้ผมได้แต่สงสัยว่าในนั้นคืออะไร จนน้ากานดาอ่านเสร็จ อีกฝ่ายกลับไม่ร้องไห้เลยแม้แต่น้อย ทำเพียงจัดกระดาษทั้งหมดใส่แฟ้ม วางมันไว้เช่นเดิมและลุกขึ้น

     “ฉันจะกลับบ้านค่ะ”

     “แม่...”

     “หนึ่งจะกลับหรืออยู่ที่นี่”

     พอถูกถามเช่นนั้น หนึ่งก็หันกลับมามองผม เงียบอยู่นานก่อนที่จะลุกขึ้นเดินตามแม่ตนเองไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

     ผมใช้เวลานานกว่าจะตั้งสติ แม่เป็นคนเข้ามาลูบหัวผม “ให้เวลาทางนั้นหน่อย”

     “ครับ” ผมทำอะไรได้มากกว่านั้นด้วยเหรอ?

     พอเป็นเช่นนั้นผมก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนที่จะมองเห็นแฟ้มที่น้ากานดาเพิ่งดูเมื่อกี้ในสายตาจึงคว้ามันมาดู สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมไร้คำพูดใด

     มันคือหลักฐานทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับหนึ่งตอนที่มันเข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุด ตอนที่หนึ่งโดนทำร้ายจากกริช

     และผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าน้ากานดาจะรู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชาย แถมหนึ่งยังพยายามปิดบังมันไว้

     ...แต่ความจริงก็คือความจริง

     มันไม่เคยหายไป




--------------------------------------------------
คอมเม้นเผ็ดมากเลยค่ะตอนที่แล้ว...

เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-06-2016 01:48:36
ขอโทษค่ะยิ่งอ่านตอนนี้ความคิดที่มีให้กานดานี่ดิ่งลงเหวเลยค่ะ
นางเฟลมากๆในฐานะแม่  ในฐานะเพื่อน ในฐานะผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ  ในฐานะของคนที่ติดหนี้น้ำใจจากคนอื่น

ลูกชายนางอย่างหนึ่งต้องมาคอยปกป้องแม่จากความจริง   คนที่ซ้ำเติมหนึ่งมากที่สุดตั้งแต่คราวที่โดนที่โรงเรียนก็คือตัวกานดาที่เป็นแม่หนึ่งเอง   หนึ่งต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงจากแม่ตัวเอง   ตลอดเวลาที่ผ่านมากานดารับน้ำใจจากตระกูลของป้องทำตัวเป็นคนที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้   ในขณะเดียวกันผลักภาระทุกอย่างมาที่ป้อง   พอมาตอนนี้ นางแผลงฤทธิ์ออกมาทีเดียวกับผู้มีพระคุณ   กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำเพื่อลูกนางมากกว่าที่ตัวนางเคยทำมา  พอมาเจอความจริงก็รับไม่ได้   ขอทีเถอะคนแบบนี้  ไม่มีกระดูกสันหลังบ้างหรือไง?  ขอโทษค่ะ  เราอินมากๆ  เกลียดคนแบบนี้ที่สุดแบมือรับทั้งๆที่คนอื่นไม่จำเป็นที่ต้องยื่นมือช่วยด้วยซ้ำ   

ปัญหากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนึ่งนั้น   เหมือนกับมีหลุมดำอยู่ทุกที่ๆหนึ่งอยู่   คนเราไม่สามารถที่จะเดินเฉียดไปเฉียดมาตลอดได้หรอก   ต้องเปิดใจรับความจริงแล้วก็ทำมห้ปัญหานี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตให้ได้ ถ้าหากว่าไม่สามารถก้าวข้ามไปได้  ก็จมปลีกอยู่ตรงนี้นั่นแหละ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 16-06-2016 05:43:04
แค่หนึ่งพูดว่า ครับ เราก็ชื่นใจแล้ว
พ่อและแม่ของปกป้องเท่มาก
และความกดดันของหนึ่งแย่มาก กลัวว่าหนึ่งจะทนไม่ไหว อดทนนะหนูนะ ต้องเข้มแข็งนะ ต้องเปลี่ยนแม่ของตัวเองให้ได้นะ
ตอนนี้ทำให้ลุ้นมากว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง

น่าจะตกคำตรงนี้นะคะ  คนที่วิ่งมาตลอด ต้องเป็น คนที่วิ่งหนี หรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 16-06-2016 10:32:16
อ่านตอนนี้แล้วอึดอัดมากเลยอะค่ะ ทั้งแม่หนึ่งและตัวหนึ่งเอง
ตัวแม่นี่ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ร้องไห้และโวยวาย ทำได้แค่นั้นจริงๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่มีวุฒิภาวะของคนที่เป็นแม่อย่างเห็นได้ชัด เข้าใจว่าเคยผ่านอะไรมาเยอะ แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว แปลว่าที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงสาเหตุของปัญหาเลย กวาดซ่อนไว้ใต้พรม พอเหมือนว่ามันเกิดจะขึ้นอีกรอบ ก็ตีโพยตีพาย ไม่คิดถึงความเป็นไปได้และพฤติกรรมของป้องที่ผ่านๆ มาบ้างเลย ดูลืมบุญคุณมากอะค่ะ บอกตรงๆ เหมือนจะไม่สำนึกเลยว่าบ้านนี้ช่วยและดูแลทั้งตัวเองและลูกไว้มากแค่ไหน

ส่วนหนึ่ง...ปากอมอะไรไว้เหรอลูก ปล่อยให้พี่เค้าโดนแม่ตัวเองตบตีทั้งที่ไม่มีความผิด โอเค ตกใจ แต่พอตอนเคลียร์กัน ทำไมไม่พูดอะไรบ้างลูกกกกกก นึกว่าไปอยู่กับแม่มาคืนนึงจะพูดอะไรออกไปมั่ง อธิบายให้แม่เข้าใจ ก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น คุณกานดายังคงปักใจว่าลูกตัวเองถูกบังคับ มันคืออัลไล!!!!!

รักและเทิดทูนแม่มากกก ไม่อยากให้แม่เสียใจ ก็พอเข้าใจได้นะ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา ตอนโจ๊ะพรึมๆ กับกริช ทั้งที่ตอนป้องเข้ามาเห็นในห้อง ตอนทะเลาะกับป้อง พฤติกรรมหนูดูเป็นคนแรงๆ ไม่ยี่หระกับสิ่งใดมากเลยอะจ้ะ แล้วนี่อะไรลูกกกกกก อมพะนำอะไร ทำไมไม่พูด อ่านแล้วอึดอัดมากกกกกกก

ไปๆ มาๆ ชักสงสารป้องแล้วอะ มันจะดีจริงหรือที่ได้คนๆ นี้มาเป็นแฟน

อินเกิ๊นนนนนนนนนนเนอะ ฮ่าฮ่า

อายยยยยยยจุงเบยยยยย  :katai5:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-06-2016 23:18:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 16-06-2016 23:24:33
หวังว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นนะ จับมือกันแน่นๆ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 24 - ความจริง (15.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 20-06-2016 20:15:36
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 25
‘ฉุดรั้ง’


(NUENG’s Part)

     แม่ไม่พูดกับผมเลยตั้งแต่วันนั้น

     และผมไม่ได้คุยกับเฮียเลยตั้งแต่วันนั้นเหมือนกัน

     ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้แต่ยังไม่กล้าพอที่จะโทรหาเฮีย...แค่รับสายผมก็ทำไม่ได้ รู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ไม่สามารถเคลียร์ปัญหาของครอบครัวตัวเองได้

     ใช่ว่าผมไม่พยายาม ในคืนนั้นที่เกิดเรื่อง ผมพยายามแล้วที่จะบอกให้แม่ฟังว่าผมไม่ได้ถูกเฮียบังคับขืนใจ ต้องเรียกว่าผมเต็มใจให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่แม่ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย  แม่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าแม่ไม่น่าปล่อยให้ผมไปอยู่หอเลยด้วยซ้ำ

     ผมไม่กล้าเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักของแม่... ผมไม่ได้บอกว่าแม่ไม่รักผม แต่สิ่งนี้มันมากเกินไปจนทำให้ผมอึดอัดใจ มันเหมือนเป็นเพียงความรู้สึกผิดที่ทับถมแม่ตอนที่แม่ไม่เคยรู้ตอนผมโดน ‘บังคับ’ ในสมัยมัธยม

     “แม่”

     แม่ทำเพียงเงยหน้าขึ้นจากทีวีที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจดู ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดกับผมสักคำ ผมเลยทำได้เพียงพูดออกไป เสียงแหบแห้งกว่าที่คิดไว้

     “เดี๋ยวพรุ่งนี้... หนึ่งกลับมหา’ ลัยแล้วนะ”
   
     แม่ไม่ตอบรับ เหมือนไม่สนใจใดๆ ด้วยซ้ำ

     นี่ผมกลายเป็นธาตุอากาศสำหรับแม่แล้วหรือไร?

     ผมเคยชินกับการที่แม่ดูแลผมเกินวัย พวกเราไม่เคยทะเลาะกันด้วยซ้ำเพราะแม่ชอบย้ำว่าเรามีกันแค่สองคน ญาติที่ไหนก็ไม่มี สนิทหน่อยก็คือบ้านของเฮียเท่านั้น

     โลกของผมมีแค่ไม่กี่คนในนั้น สูญเสียใครสักคนไปก็เป็นการสูญเสียที่มากมายมหาศาล

     พอคิดว่าตัวเองไม่สามารถจัดการเหตุการณ์นี้ได้ เป็นคนกลางนอกจากอึดอัดยังเจ็บปวด ผมยอมให้แม่ตบตีหรือด่าผมมากกว่าทำเหมือนผมเป็นเพียงเศษฝุ่นไร้ค่าในพื้นบ้านแบบนี้เสียอีก ความเจ็บปวดแล่นริ้วจนล้นปรี่ในอก ผมยอมแพ้ เดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองเพื่อจัดของเตรียมตัวกลับหอ




     ผมกลับหอในเช้าวันจันทร์ การเรียนตอนเช้าวันจันทร์ถูกยกเลิกเพราะอาจารย์ติดธุระด่วน ชดเชยไปครั้งหน้าแทน ตอนกลับไปที่หอ พี่รหัสของผมก็ออกไปเรียน เหลือแค่ซากขยะให้ผมจัดการเก็บกวาดเท่านั้น ถ้าเป็นปกติผมคงเอ่ยปากบ่นเสียหน่อยแล้วกองๆ มันทิ้งไว้ แต่ตอนนี้ผมนึกขอบคุณที่ไม่ให้ผมอยู่เงียบๆ คนเดียว

     จัดการทุกอย่างเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ห้องแคบๆ ที่อยู่กับพี่เต้ยไม่เหมือนกับตอนอยู่กับเฮียป้องที่มีกลิ่นสะอาดๆ ของเฮียแทรกอยู่ทุกที่ ที่นี่มีแต่ความสกปรกซกมก เป็นห้องของผู้ชายที่หาได้ทั่วไปตามคณะของผมนั่นแหละ

     ...คิดถึง

     แค่หลับตาคำนั้นก็แวบเข้ามาในหัว ผมขดตัวงอให้มากขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะจัดการปัญหาคนเดียวบ้าง ไม่งอแงอ้อนเฮียเป็นเด็กๆ เหมือนแต่ก่อน คล้ายว่าทุกอย่างจะไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย

     ผมคิดไม่ออกว่าตัวเองจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร มันเร็วเกินไป ไม่มีสัญญาณเตือน แถมยังเป็นการบอกผู้ใหญ่ที่เลวร้ายกว่าที่คิดไว้ตั้งหลายเท่า แค่บอกกับแม่ดีๆ ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าท่านจะยอมรับมันได้ไหม การทำให้ท่านรับรู้โดยไม่ได้บอกแบบนี้มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องกริชที่ป้าเกดอุตส่าห์ปิดบังให้อีก

     ผมต้องทำยังไงให้แม่เข้าใจเรื่องของเรา?

     ครอบครัวเฮียยอมรับผมได้จริงๆ เหรอ?

     ถ้าแม่ไม่ยอมรับผมต้องเลิกกับเฮียไหม?

     คำถามต่างๆ วิ่งผ่านไปมาในหัวไปหมดแต่ไม่ยักกะมีคำตอบสักเรื่อง บางครั้งผมคิดว่าจะเลิกกับเฮียให้ปัญหาจบเลยดีหรือไม่ แต่มันก็เหมือนเป็นการหนีปัญหาที่โง่มากและไม่โตเสียที

     ผมเหมือนพายเรือวนในอ่าง หาคำตอบอะไรไม่ได้เสียที กว่าจะรู้ตัวก็เหลืออีกแค่สิบนาทีก่อนเข้าเรียน ดูก็รู้ว่าต้องไปสายแน่ๆ ไม่มีคนโทรมาเตือนเหมือนครั้งอื่นที่ผมโดดช่วงเช้าเพราะผมเปิด airplane โหมดไว้ตลอดนับตั้งแต่วันนั้น

     “มึงไปไหนมา”

     พอเดินเข้าในคลาสปุ๊บก็เห็นไอ้โอ๊ตหน้านิ่วคิ้วขมวดถามผมด้วยน้ำเสียงเชิงดุเล็กน้อย สาวเจ้าอีกสองคนที่นั่งถัดไปก็เช่นกัน

     “กูเพิ่งมาจากหอ” ผมตอบไปตามจริง

     “เฮียป้องมา บอกว่าติดต่อมึงไม่ได้” แป้งว่าเสียงเรียบ สีหน้าไม่ดีเลยแม้แต่น้อย “ก็คิดว่าจะเป็นอะไรไปเสียอีก”

     เห็นเจ้าหล่อนเป็นแบบนั้นผมก็เลยได้แต่พูดเสียงเบา “ขอโทษนะ”

     “ทะเลาะกันเหรอ”

     พอโดนคำถามนี้ยิงมา ผมเองก็หมดคำพูด

     จะเรียกว่า ‘ทะเลาะ’ หรือเปล่าไม่มั่นใจ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเฮีย เฮียเองก็คงไม่มีปัญหาอะไรกับผม แต่ตอนนี้เราเจอปัญหากันอย่างไม่ต้องสงสัย

     พอผมเงียบไป บรรยากาศก็หนักอึ้งขึ้นทันที เพื่อนเลยต้องพยายามกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น สักพักก็บอกให้สนใจอาจารย์ (ที่เด็กทั้งห้องไม่ได้สนใจ) หน้าห้องเสียบ้าง ประเด็นนี้ไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดอีกจนหมดคาบ

     ขณะที่เรากำลังจะแยกย้าย เมื่อผมเดินมาจนถึงบริเวณหน้าคณะผมกลับเจอมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นตา และเจ้าของยืนอยู่ตรงนั้น

     บทสนทนาต่างๆ เองก็หยุดไปทันทีเมื่อเพื่อนเห็นว่าผมสายตาของผมหยุดอยู่ที่ไหน ไม่นานอีกฝ่ายก็หันมาเห็นและสาวเท้าเข้ามาใกล้

     ...หนึ่ง... สอง...

     ผมทำได้แต่นับก้าวเดินของอีกคน ตอนแรกก็นึกตั้งคำถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จนได้คำตอบว่าผมไม่กล้าเงยหน้ามองเฮียเลยทำได้มองแค่เท้าเฮียเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้า

     “เดี๋ยวไปไหนกันหรือเปล่า” ไม่ได้ยินเสียงแค่สองวันแท้ๆ ผมกลับคิดว่าเสียงของเฮียแปลกหูไป

     “ไม่ค่ะ” เสียงที่ตอบมาคือเสียงของแก้วตา “เอ่อ เดี๋ยวไปด้วยกัน...”

     “อื้อ”

     “งั้นพวกเราขอตัวนะคะ”

     จากนั้นเพื่อนสามคนก็เดินออกไปโดยทิ้งผมที่ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไว้ตรงนั้น บางทีผมก็คิดว่าเพื่อนๆ ผมยกธงขาวง่ายเสียเหลือเกิน ตอนกริชไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ค่อยชอบให้ผมอยู่กับแฟนเท่าไหร่ พอเป็นเฮียแล้วกลับตรงกันข้าม พวกมันดูเหมือนไม่ค่อยอยากยื่นมือมาขัดเฮียเท่าไหร่นัก

     “...ไปคอนโดกัน”

     เฮียป้องว่าแบบนั้น ไม่ถามความเห็นผมสักคำแต่เอื้อมมือมากึ่งลากกึ่งจูงผมไปที่มอเตอร์ไซค์

     มือเฮียร้อน นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึกตัว ตอนแรกผมไม่มั่นใจว่าคิดไปเองไหมแต่สักพักก็ได้ยินเสียงไอค่อกๆ แค่กๆ จากคนตรงหน้า ประกอบกับความคิดในตอนต้นว่าเฮียเสียงเปลี่ยน ทำให้ผมอนุมานได้อย่างเดียว

     “เฮียไม่สบายเหรอ”

     “นิดหน่อย” เฮียตอบอ้อมแอ้ม จัดการโยนหมวกกันน็อคให้ผมใส่ “ใส่ซะ”
   
     ผมผลุบตาต่ำ “ไม่ไปได้ไหม”
   
     คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเงียบกริบ ก่อนที่จะถอนหายใจยาวเหยียด มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ทุกครั้ง เหมือนกับเฮียเหนื่อยใจที่จะพูดกับผมแล้ว

     “ไปคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม... หืม?”

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากันแน่น ไอ้การลากเสียงยาวในลำคอนั่นแหละที่เฮียใช้เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองยอมอ่อนลงเวลาเราทะเลาะกัน และมันก็ทำให้ผมใจอ่อนทุกครั้ง ขนาดครั้งนี้ที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นมากกว่าปัญหาขี้หมูขี้หมาที่ผ่านมา มันยังใช้ได้ผลอยู่เลย...ใจผมอ่อนยวบยาบไปหมด

     สุดท้ายแล้วผมก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เฮียมาเหมือนเดิม ตอนที่กอดเฮียไว้แล้วเราวิ่งผ่านถนนเส้นเดิมๆ มันทำให้ผมตั้งคำถามว่าผมทำแบบนี้ต่อไปได้ไหม แค่หนี แค่ปิดบัง แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกเราก็มาถึงคอนโดแล้ว

     เฮียทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ซื้อโจ๊กใกล้ๆ คอนโดที่เพิ่งตั้งร้านสองถุง ไข่ลวกอีกหนึ่งฟอง ก่อนที่พวกเราจะขึ้นไปในห้อง

     ทันทีที่ปิดประตูที่เพิ่งใช้เดินเข้ามา เฮียก็เอ่ยปาก “นี่เราทะเลาะกันไปด้วยเหรอ?”

     “เปล่าเสียหน่อย” ผมตอบอ้อมแอ้ม

     “แล้วทำไมมึงถึงติดต่อไม่ได้ ใจคอจะไม่ให้กูรู้เลยเหรอว่ามึงเป็นยังไงบ้าง หรือมึงรู้สึกแย่แค่ไหน” เฮียพูดรัวเร็วมากกว่าครั้งไหนๆ โยนข้าวของไว้ทางหนึ่ง มือก็เอื้อมเข้ามาบีบแขนผม “มึงรู้ไหมว่ากูรู้สึกยังไงตอนที่โทรไปได้ยินแต่เสียงฝากข้อความ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ ตอนเช้ากูไปหามึงที่คณะก็ไม่เจอ พวกโอ๊ตก็ติดต่อมึงไม่ได้ แล้ว...”

     มือเฮียสั่น เสียงของเฮียก็เหมือนกัน

     จากนั้นเฮียก็ไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงรวบตัวผมไปกอด รัดแน่นราวกับผมจะหนีหายไปไหน ซึ่งสำหรับเฮียแล้ว...ก่อนหน้านี้เฮียอาจจะกลัวผมหนีไปจริงๆ ก็ได้

     ผมหลับตาลงตอนที่รู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อน ไม่อยากจะร้องไห้งอแงออกมาเหมือนครั้งก่อนๆ

     พวกเรากอดกันอย่างนั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำจนเฮียเริ่มไออีกครั้งเฮียถึงผละผมออก บ่นงึมงำเบาๆ แต่ก็ชัดเจนพอที่จะได้ยินว่ากลัวผมเป็นหวัด

     “มานั่งก่อนมา” เฮียลากผมไปนั่งที่โซฟา มุมเดิมที่เราชอบนั่งกันประจำ

     “มือเฮียร้อนนะ” ผมอดเปรยขึ้นมาไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ยังสบายดีนี่นา”

     “เออน่า ช่างมันก่อนได้ไหมหนึ่ง”

     น้ำเสียงเฮียป้องเริ่มมีน้ำโหนิดหน่อยแล้ว ผมเลยหุบปากฉับ ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ

     เฮียเอามือของผมไปลูบเล่นๆ เล่นปลายนิ้วผมอย่างที่อีกฝ่ายชอบทำ ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาท่ามกลางความเงียบ “น้ากานดาว่ายังไงบ้าง”

     “...ไม่รู้สิ” ผมตอบเสียงเบา “แม่ไม่พูดอะไรเลย”

     “ที่บ้านกูโอเคกับเรื่องนี้นะหนึ่ง” เฮียเงยหน้าขึ้นมองผมตรงๆ พูดมันออกมาชัดๆ ราวกับจะปลอบประโลมว่าไม่ต้องเป็นกังวล “แม่กูก็เอ็นดูมึงจะตาย ทีนี้เขาจะได้รักมึงมากกว่าเดิมอีก ลืมลูกคนนี้ไปเลย” ทั้งที่มันเป็นเรื่องน่ายินดีแท้ๆ แต่ผมก็รู้ดีว่าตอนนี้เราทั้งคู่ยิ้มไม่ออก

     ยิ่งที่บ้านเฮียยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกแย่ ผมทำได้แค่ก้มหน้า บดริมฝีปากเข้าหากันแน่น

     “เฮีย...”

     “ไม่ต้องพูดนะ” เฮียพูดออกมาก่อนที่ผมจะพูดจบเสียอีก “ถ้า... มึงจะบอกว่าเราเลิกกันไหม หรือจะด่าตัวเอง มึงไม่ต้องพูดอะไรนะ”

     ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่คอเพียงเฮียพูดแบบนั้น น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้อ่อนโยนแต่มันทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาดังๆ ตรงนี้เสียเลย

     เฮียรู้จักผมดีเกินไป ทั้งความอ่อนแอและโง่งี่เง่าของผม เฮียก็รับรู้ดีทุกอย่าง มันทำให้เฮียแบกภาระไว้คนเดียว ทั้งๆ ที่ผมอยากจะโตขึ้นบ้าง แบ่งภาระเฮียบ้าง ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากพอแต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อไหร่ผมจะเลิกอ้อนเฮียแบบนี้เสียที

     ผมไม่รู้ว่าน้ำตาไหลตอนไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เฮียก้มลงเอาริมฝีปากร้อนๆ มาแตะต้องที่เปลือกตาผมนั่นแหละ อีกฝ่ายเอาแต่ละเลียดจูบผมเบาๆ อยู่แบบนั้น ทุกครั้งที่เฮียถนอมผม มันทำให้ผมตั้งคำถามเสมอว่าเฮียรักผมมากขนาดไหนถึงดูแลรักษาของที่ผุพังและผ่านมือใครต่อใครมาดีแบบนี้ และพอรู้สึกว่าความรู้สึกอีกฝ่ายมีค่ามากแค่ไหน ผมก็พาลอยากร้องไห้ออกมาทุกครั้ง

     “ไม่เป็นไรนะ” เฮียกระซิบเบาๆ กดศีรษะผมลงกับบ่าของตน “มึงร้องไห้ทีไร ใจกูไม่ดีเลย”

     “...รู้แล้ว” ผมตอบไปเสียงอู้อี้ วาดวงแขนกอดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ “เฮียตัวร้อนจัง”

     “อื้อ” มีเพียงเสียงตอบรับเบาๆ จากอีกคน หลังจากนั้นก็เหลือแค่ความเงียบโอบล้อมเราไว้

     ผมใช้เวลาไม่นานที่จะหยุดน้ำตาตัวเอง ว่ากันตามจริงนี่ก็ไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟายที่หนักหนาอะไรอยู่แล้ว แต่เฮียก็ยังกอดผมไว้ไม่ปล่อยจนผมอดที่จะถามอีกฝ่ายไม่ได้

     “เฮียไม่เหนื่อยเหรอ” เสียงของผมอู้อี้นิดหน่อย “คบกับหนึ่งแบบนี้... ไม่เหนื่อยหรือยังไงกัน?”

     “กูเหนื่อยตั้งแต่ก่อนคบมึงอีก มึงจะคิดอะไรเยอะ”

     “อื้อ” ผมเม้มปากแน่น ขยับตัวซุกหน้าลงบนซอกคออีกคนจนรู้สึกถึงไอร้อนที่สูงกว่าปกติจากคนที่กอดผมไว้ “แล้วทำไมไม่ทิ้งๆ หนึ่งไปสักที...”

     “...”

     “หนึ่งอยู่ตรงนี้ มีแต่จะรั้งเฮียไว้” เสียงผมแผ่วเบา “ทั้งงี่เง่า...เอาแต่ใจ แล้วไหนจะที่บ้านหนึ่งอีก”

     “เงียบน่า” เฮียเอ่ยปากขัดก่อนที่ผมจะพูดจบเสียอีก

     “แล้วหนึ่งก็...” ผมเว้นไปเล็กน้อย “ไม่ได้สะอาดด้วย”

     เฮียถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะดันตัวผมออกห่างแล้วมองหน้าผมตรงๆ “มึงอย่ามาว่าแฟนกูได้ไหม?”

     ผมถึงกับหลุดหัวเราะ คำพูดของเฮียน่ารักเกินกว่าที่ผมจะตั้งรับได้ เฮียเอามือผมไปเล่นอีกครั้ง สักพักก็เปลี่ยนเป็นกุมมือผมไว้หลวมๆ เอาหน้าผากโขกหน้าผากผมเบาๆ และไม่ขยับไปไหน

     “มึงจะมองว่ามันโง่หรือบ้าก็ช่าง... ถึงมึงจะบอกว่ามึงรั้งกูไว้ แต่กูไม่อยากไปไหนอยู่แล้วต่างหาก” คำพูดที่น่าขวยเขินแต่พอเฮียพูดด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรแบบนั้นแล้ว กลับกลายเป็นผมเองที่รู้สึกใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่ได้ “ถ้ามองว่ามึงรั้งกูไว้ขนาดนั้น... ค่อยๆ พยายามก็ได้ กูรอไหว”

     บ้าจริง... ผมอยากจะร้องไห้อีกแล้ว

     “ใครสอนให้พูดอะไรแบบนี้กัน” ผมว่าเสียงอู้อี้ “เฮียโตกว่าหนึ่งกี่ปีเอง”

     เฮียหลุดขำเบาๆ รอยยิ้มน้อยๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่ายทำให้ผมยิ้มได้บ้างหลังจากยิ้มไม่ออกมาหลายวัน เฮียป้องมีอิทธิพลกับผมมากขนาดไหนกันแน่นะ

     “เอาไว้น้ากานดาใจเย็นแล้ว ไปคุยกับแกใหม่นะ”

     “อื้อ”

     “ไว้ว่างๆ ไปกินข้าวกับบ้านกูด้วย”

     “อื้อ”

     ตัวตนของเฮียใหญ่มากในโลกของผม

     ตั้งแต่เด็กจนโต ตอนที่ผมรู้สึกแย่หรือรู้สึกไม่ดี เฮียก็เป็นคนแรกที่ผมนึกถึงเสมอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่... ครั้งแรกที่เราเจอกันเลยหรือเปล่าที่เฮียป้องทำให้ผมรู้สึกว่าผม ‘ไม่เป็นไร’ เวลามีเฮียอยู่ข้างๆ ยิ่งไปกว่านั้น เฮียทำให้ผมอยากจะพัฒนาตัวเองให้ยืนข้างๆ เฮียได้ด้วยขาตัวเอง ไม่ใช่แค่นอนกองอยู่ที่พื้นแล้วมีเฮียมาดึงให้ลุกขึ้น

     หนึ่งจะพยายาม...รอหน่อยนะเฮีย




--------------------------------------------------
ถ้ามีคนรักที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นและทำให้เรารู้สึกรักตัวเอง
สำหรับคนอย่างหนึ่ง มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ เลยนะคะ

จริงๆ เราว่ามันก็ดีสำหรับทุกคนนั่นแหละ แต่หนึ่งก็ต้องการมากๆ

ส่วนว่าเฮียป้องอาจจะโชคไม่ดีที่มีหนึ่งเป็นแฟน
เฮียบอกเองเนอะว่ารอไหวจนถึงวันที่เขาจะรู้สึกว่าโชคดี
ปล่อยให้เขารอไปค่ะ ฮาาา  :hao7:

เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 25 - ฉุดรั้ง (20.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 20-06-2016 21:16:13
เขียนได้ละเอียดอ่อนดีจัง หวาน เป็นความหวานแบบที่เราเดาทางไม่ออก step ของความใกล้ชิดและแตะเนื้อต้องตัว ไม่เหมือนเรื่องอื่นเลย  เราชอบประเด็น ที่หนึ่งพยายามจะโตขึ้นด้วย
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 25 - ฉุดรั้ง (20.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 20-06-2016 21:49:04
ปรับความเข้าใจกันแล้ว จับมือแน่นๆแล้วก้าวไปด้วยกันนะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 25 - ฉุดรั้ง (20.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 27-06-2016 20:12:10
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 26
‘ภาระ’


     หนึ่งยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และยิ่งเห็นมันไม่ร่าเริง ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย

     มันพยายามมากที่จะไม่แสดงออกให้ผมเห็นแต่บางทีเวลาอยู่ด้วยกันมันก็เหม่อ เสียงหัวเราะที่ได้ยินช่วงนี้ไม่ได้ดูมีความสุขเท่าไหร่นัก คาดว่ามาจากเรื่องที่บ้านนั่นแหละ

     สัปดาห์สองสัปดาห์หลังจากนั้นผมไม่ได้กลับบ้าน สัปดาห์แรกเพราะยังไม่หายดี สัปดาห์ที่สองเพราะติดติวให้เพื่อนเนื่องจากมีสอบย่อยในวันจันทร์ ช่วงที่ผ่านมาเลยมีแค่หนึ่งที่กลับไปหาน้ากานดา พอเราเจอกันหลังมันกลับบ้าน หนึ่งก็ทำได้แค่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย บอกว่าไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยแม่ก็เริ่มกลับมาคุยกับมันแล้วแต่ยังไม่ยอมพูดเรื่องของเราอยู่ดีว่ายอมรับหรือไม่

     “แม่ทำเหมือนแม่ไม่รู้...แต่อย่างน้อยแม่ก็ไม่ขอให้เราเลิกกันนะเฮีย”

     มันพูดแบบนั้น หัวเราะน้อยๆ และเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เบาลงจนเหลือเพียงรอยยิ้มเจื่อนๆ

     “ไม่เห็นต้องฝืนเลย”

     พอผมพูดแบบนั้นพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวมัน หนึ่งก็สวมกอดผมโดยไม่พูดอะไร ไม่ร้องไห้หรือสะอึกสะอื้น ทำเพียงแค่กอดกันเท่านั้น



   
     “หนึ่ง ไปค้างบ้านกูไหม?”

     ตะเกียบของคู่สนทนาชะงักอยู่ที่ตรงหน้าหม้อชาบู ก่อนที่มันจะจัดการคีบเนื้อชิ้นบางมาใส่ไว้ในชามของผม “พูดอะไรบ้าๆ”

     “บ้าที่ไหนล่ะ” ผมเลิกคิ้ว ดูก็รู้ว่ามันอิ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่มีการคีบให้ผมหรอก “ก็บอกแล้วนี่ว่าไปกินข้าวด้วยกันบ้าง แม่กูอยากเห็นหน้าลูกสะใภ้ใจจะขาด”

     “เฮีย!” มันหน้าง้ำงอ

     ที่พูดไปไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ถึงจะเคยคุยกับมันบ้างว่าถ้าเรื่องเรียบร้อยแล้วให้มันทำตัวเหมือนปกติ แต่แม่ผมก็พูดแบบนั้นจริงๆ ยังไงท่านก็เอ็นดูหนึ่งเหมือนลูกในไส้มาตั้งนานแล้ว พอรู้ว่าผมกับหนึ่งคบกันก็เหมือนทวีคูณความเอ็นดูมากขึ้นเป็นสามเท่าอย่างไรอย่างนั้น

     ผมคิดว่าแม่ก็คงเป็นห่วงเรื่องน้ากานดาด้วยเลยอยากทำให้หนึ่งรู้สึกสบายใจมากที่สุดน่ะนะ

     ลอบมองคนตรงข้าม สีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่ สาบานว่าไม่ได้มาจากการที่มันกินมากเกินไปแต่มาจากเรื่องที่เราพูดกันเมื่อกี้ต่างหาก

     “ไม่อยากไปเหรอ”

     อีกฝ่ายผลุบตาต่ำ “อื้อ”

     ผมวางตะเกียบลง เอื้อมมือไปแตะมืออีกฝ่าย “กูตามใจมึงนะ เข้าใจว่ามันยัง... ลำบาก” ผมพยายามหาคำที่เหมาะสมที่สุด “งั้นเดี๋ยวกูบอกแม่ก่อนแล้วกันเนอะว่ามึงไม่ว่าง”

     “...หวังว่าป้าเกดไม่มาถึงนี่นะ”

     “ก็ไม่แน่” ผมหัวเราะเบาๆ แม่ผมอาจจะทำแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ “แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้กลับบ้านหรือเปล่า”

     “กลับสิ” พอพูดเรื่องนี้แล้วอีกฝ่ายสีหน้าแย่ลงเล็กน้อย เหมือนมันจะรู้ตัวเลยเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผมกว้างกว่าเดิม “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ”

     “อื้อ”

     “เออใช่ เดี๋ยวหนึ่งต้องไปเอาของที่หอว่ะ จะเอาหนังสือกลับไปอ่าน”

     หนึ่งรีบเปลี่ยนเรื่องชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ เรื่อยเปื่อย ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจนจบมื้ออาหาร แล้วจึงไปส่งมันที่หอพัก ก่อนที่ผมจะกลับไปที่ห้องตัวเอง โทรบอกแม่ว่าหนึ่งยังไม่สะดวกไปเจอแล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากผู้หญิงวัยกลางคน

     “แย่จัง อยากจะพาน้องไปกินซูชิจังเลยนะ”

     “โอ้โห... เวลาลูกไม่ไปหานี่ไม่เห็นบ่นขนาดนี้” ผมอดไม่ได้ที่จะประชด

     “รู้ก็ดีว่าตัวเองตกกระป๋องแล้ว” แม่หัวเราะคิกคัก ชวนผมคุยไม่นานก่อนที่จะวางสาย ไม่ลืมย้ำคำเดิมว่าให้ผมกลับบ้านพรุ่งนี้

     พอวางสายผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ครอบครัวผมยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายจนน่าตกใจ ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยหรือเปล่า ถึงมันจะเป็นเรื่องน่าดีใจแต่ผมก็ยังอดกังวลไม่ได้ ครอบครัวผมยอมรับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ยิ่งเหมือนผลักภาระไปที่หนึ่งมากขึ้นเท่านั้น




     ผมกลับบ้านตอนบ่ายวันอาทิตย์หลังจากที่อยู่กับครอบครัวเสียจนเหนื่อย กลับบ้านครั้งนี้ไม่ได้เรียกเต็มปากเต็มคำว่ากลับบ้านเท่าไหร่นักเพราะผมโดนพี่ลูกปลาควงไปออกงานในคืนวันเสาร์ พอวันอาทิตย์ก็ไปช่วยคุณแม่ถือของตามประสาคุณนายที่อยากออกไปช็อปปิ้งกับเพื่อนเสียอย่างนั้น กว่าจะปลีกตัวจากเหล่าคุณนายกลับมาได้ก็เหนื่อยเอาเรื่อง เล่นเอาปวดขาไปหมด นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงเดินเล่นได้นานนัก

     ‘กลับมาคอนโดแล้วนะ’

     ผมอ่านข้อความที่ส่งให้หนึ่งตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงตอนนี้ ผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่การเปิดอ่านจนผมนึกแปลกใจนิดหน่อย จริงอยู่ที่ช่วงวันหยุดมันจะตอบช้าเป็นพิเศษเพราะช่วยงานที่ร้านของน้ากานดา แต่เราไม่ได้คุยกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วยซ้ำ

     พอคิดแบบนั้นผมเลยตัดสินใจกดโทรศัพท์หาหนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้นแต่ไม่มีใครรับจนตัดสายไป ผมลังเลเล็กน้อยว่าจะโทรไปอีกรอบดีไหม จะดูเป็นการตามติดอีกฝ่ายไปหรือเปล่า แต่ไม่ทันไรก็มีสายเข้า เป็นเบอร์ของหนึ่งนั่นเอง

     “ยุ่งอยู่...”

     ผมเอ่ยคำถามไม่ทันจบ ปลายสายก็ตอบกลับมา

     “หนึ่งอยู่โรงพยาบาล”

     น้ำเสียงที่ไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์แต่คุ้นชินมากพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ ไหนจะเนื้อความประโยคอีก

     ...โรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ?

     “หนึ่งเป็นอะไรไปหรือครับ น้ากานดา” ผมเอ่ยปากถาม พยายามควบคุมสติไว้ให้ได้

     “อุบัติเหตุนิดหน่อย”

     คำพูดห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงแตกต่างจากทุกครั้งทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นชิน อันที่จริง การที่อีกฝ่ายพูดคุยกับผมก็เป็นแนวโน้มที่ดีมากพอ แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องการใส่ใจในส่วนนั้น

     “ไม่หนักมากใช่ไหมครับ”

     “...จ้ะ”

     ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นพวกเราก็เงียบ ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรสักคำจนผมนึกว่าน้ากานดาจะตัดสายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอเอาโทรศัพท์ออกจากหู หน้าจอก็ยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้วางสาย

     “ป้องจะ...มารับหนึ่งไหมจ๊ะ”

     คำถามไม่น่าเชื่อหลุดมาจากปากอีกคนเล่นเอาผมงุนงงพอควร แต่ก็จัดการถามอีกฝ่ายก่อนว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาลใด ปรากฏว่าหนึ่งอยู่โรงพยาบาลที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก...ก็โรงพยาบาลที่มันไปพักตอนเกิดเรื่องไอ้กริชนั่นแหละ ผมเลยบอกไปว่าเดี๋ยวจะไปรับ

     “จ้ะ” น้ากานดาตอบรับนั้นก่อนที่จะวางสายไป




     หนึ่งข้อมือซ้น

     ‘งี่เง่าเหลือเกิน’ เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจบ หนึ่งกับน้ากานดาไปกินข้าวด้วยกันระหว่างทางกลับบ้านแล้วมีมอเตอร์ไซค์ขับสวนมาอย่างเร็วตอนที่กำลังลงจากรถแท็กซี่ไปชนกับรถคันหน้า มันไม่ได้โดนอะไรแต่หลบจนล้มก้นจ้ำเบ้า แถมยังลงผิดท่าไปหน่อยจนได้รับบาดเจ็บ อาการไม่หนักมากแต่อย่างใด แค่เกิดจากการตื่นตูมของผู้คนรอบข้างเพราะมีคนบาดเจ็บสองสามคน เลยจัดการหามส่งโรงพยาบาลทั้งหมดเลย

     พอเห็นเช่นนี้ก็หมดห่วง หนึ่งยังยิ้มได้ ร่าเริงดีไม่มีปัญหาใด การมาโรงพยาบาลครั้งนี้เลยมีแค่รับยาและพันข้อมือไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น

     แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือหลังจากนี้ต่างหาก

     น้ากานดายังอยู่กับหนึ่ง อยู่ข้างๆ ตลอดเวลาที่มันเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบาง ทำเพียงแค่นั่งเงียบๆ ไม่สบตาผม มีเพียงแค่รับไหว้ตอนเจอกันเท่านั้น

     “แล้วนี่ได้ยาหรือยัง”

     “ยังเลย” มันส่ายหน้า “ขอโทษนะที่ให้รอ”

     “ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

     หนึ่งเหลือบสายตาดูแม่ตัวเองที่มองเราสองคนเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองผมอย่างตั้งคำถาม แววตาฉายความกังวลใจอย่างไม่ปิดบัง

     “ฮะ เฮียไปซื้ออะไรกินก่อนไหม เดี๋ยวหนึ่งรอยาเอง” คงอึดอัดพอควรเลยหนึ่งถึงพูดออกมาอย่างนี้ “เห็นมีพวกร้านกาแฟอยู่ชั้นล่างนี่ด้วย”

     ผมลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบตกลง ถามหนึ่งว่าอยากได้อะไรไหมแต่มีเพียงการส่ายหน้านิดหน่อยจากอีกฝ่าย พอถามไปถึงน้ากานดา คำตอบกลับทำให้ผมงุนงงมากกว่าเก่าเสียอีก

     “เดี๋ยวน้าไปซื้อเองดีกว่า”

     เพราะแบบนั้น ผมจึงเดินลงข้างล่างมาพร้อมๆ กับน้ากานดาเสียแล้ว

     ผมใช้จังหวะที่พวกเราเงียบใส่กันเหลือบมองอีกฝ่าย น้ากานดาดูแก่ขึ้นกว่าครั้งก่อน คงเป็นเพราะใบหน้าที่ตอบลงและรูปร่างที่ดูผอมกว่าเดิมเล็กน้อย ครั้นจะหาบทสนทนาไม่ให้รู้สึกอึดอัดก็ไม่รู้จะหยิบยกอะไรขึ้นมาคุยเลยแม้แต่น้อย

     ร้านกาแฟที่โรงพยาบาลมีมากพอควรแต่ส่วนใหญ่มาซื้อแบบ Take Home เลยมีที่ว่างเยอะแยะไปหมด น้ากานดาจัดการสั่งเครื่องดื่มพร้อมๆ กับผม

     “ทานที่นี่หรือกลับบ้านคะ?”

     ผมเกือบตอบพนักงานไปว่ากลับบ้าน แต่น้ากานดาเป็นฝ่ายชิงตอบ “ที่นี่ค่ะ”

     ไร้คำแย้งใดๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นั่งประจันหน้ากับอีกฝ่ายรอพนักงานเอากาแฟมาเสิร์ฟนั่นแหละ ผมนึกไปถึงหนึ่งที่รออยู่ข้างบนแล้วอึดอัดเล็กน้อย เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่ทำผิดแล้วโดนแม่ทำโทษ แม่ของผมเวลาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วจะไม่พูดกับผมทั้งวัน แต่ติดแค่ครั้งนี้ผมไม่ได้ทำผิด และอีกฝ่ายไม่ใช่แม่ของผมเท่านั้นเอง

     “กับหนึ่ง...” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “ป้องได้...ทำอะไรน้องไปหรือยัง?”

     คำว่า ‘อะไร’ ที่ว่าทำให้ผมเกร็งกว่าเดิมเสียอีก “ไม่ครับ”

     พอตอบเช่นนั้น หญิงวัยกลางคนตรงหน้าก็ค่อยๆ ยกแก้วชา จิบอย่างแผ่วเบา “งั้นหรือ”

     “ครับ...” ผมทำได้แค่นั้น

     อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ ใบหน้าตอบแสดงความรู้สึกที่ดูโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
 
     “น้าไม่เคยรู้เลยว่าหนึ่งเจอกับเรื่องแบบนั้นที่มหา’ ลัยอีก” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา “หนึ่งต้องคิดว่าน้าเป็นแม่ที่แย่มากแน่ๆ”

     “ไม่หรอกครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “หนึ่งไม่มีทางคิดแบบนั้นหรอก”

     “...งั้นหรือ?” น้ากานดาเม้มปาก “แต่น้าก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นแม่ที่แย่อยู่ดี”

     ผมเห็นน้ากานดามาตั้งแต่เด็ก ภาพที่จำได้คือน้ากานดาเป็นผู้หญิงที่ใจดีกว่าแม่ผมหลายเท่าและทำอาหารได้เก่งมาก ถือเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับผมมากกว่าพวกลุงป้าน้าอาเสียอีก เพราะงั้นการจะเอ่ยปากซ้ำเติมหรือตั้งคำถามว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่เข้าใจเรื่องของผมกับลูกชายของตนก็ดูเป็นเรื่องที่ยากเต็มที แม้ว่าจะทำมันแค่ในใจก็รู้สึกผิดไม่ใช่น้อย

     น้ากานดาไม่ใช่แม่ของผม หนึ่งไม่ใช่ลูกของแม่ มันไม่แปลกหากเราจะเติบโตมาคนละแบบ เรียนรู้ที่จะแสดงออกคนละอย่าง และมีทัศนคติที่แตกต่างกัน ที่มั่นใจได้คือ หนึ่งไม่ได้มองว่าน้ากานดาเป็นแม่ที่แย่อย่างแน่นอน

     “น้าเคยคิดว่าหนึ่งจะโตขึ้น มีงานการดีๆ ทำ มีคนรักสักคน...” หล่อนเว้นไปชั่วครู่ “แล้วก็แต่งงาน...มีลูกมีหลาน มีครอบครัวที่อบอุ่น เพราะน้ารู้ว่าหนึ่งไม่มีวันตัดสินใจพลาดเหมือนที่น้าเคยตัดสินใจยอมพ่อของเขา” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาและสั่นเครือเล็กน้อยแต่ผมก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน

     เจ้าหล่อนก้มหน้า ห่อไหล่เล็กลง เล่นเอาผมคิดว่าแม่ลูกคู่นี้เหมือนกันไม่มีผิด... เอาแต่กล่าวโทษตัวเองในสิ่งที่บางทีก็ควบคุมไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันก็มีสิ่งที่ควบคุมได้อยู่ตรงหน้า

     น้ากานดาสูดลมหายใจ “น้านี่บ้าเนอะ พล่ามอะไรก็ไม่รู้ อย่าสนใจคนแก่ๆ เลยจ้ะ”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมทำได้แค่ยิ้ม

     อีกฝ่ายมองผม น้ำตาคลอ “จริงๆ แล้ว... น้าก็รู้แหละ ว่าป้องไม่ใช่คนที่แย่เลย ถ้าเทียบกันลูกชายน้าเสียอีกที่คงจะเป็นภาระ”

     “ไม่ใช่ภาระหรอกครับ” ผมเอ่ยปากขึ้นมา พูดให้มันชัดเจนต่อหน้าอีกฝ่ายที่มองผมแววตาสั่นไหว เต็มไปด้วยความกังวลใจของผู้หญิงที่เป็นแม่ “หนึ่งไม่มีทางเป็นภาระหรอกครับ”

     น้ากานดาเงียบ ผมเงียบ พวกเราเงียบ และในความเงียบเหล่านั้นมีความเจ็บปวดระคนสับสนอยู่ในนั้นเสมอ

     “ถ้าน้าบอกป้องว่าช่วยดูแลหนึ่งด้วยนะ... ก็กลายเป็นน้าผลักทุกอย่างให้เราอีกสินะ” คำนั้นของอีกฝ่ายเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าผม สักพักเจ้าหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าเหมือนจะหัวเราะ ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับจะร้องไห้ “เพราะงั้นน้าจะไม่พูดแล้ว”

     “...”

     “แต่... คบกันดีๆ นะจ๊ะ”

     คำพูดนั้นเบาหวิว เหมือนเจ้าตัวเองก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก แต่มากเพียงพอแล้วสำหรับผม เชื่อเลยว่าถ้าหากหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วยมันคงได้ตื้นตันจนร้องไห้แน่

     “ครับ” ผมพยักหน้า

     น้ากานดายิ้ม ยังมีร่องรอยความเจ็บปวดอยู่นิดหน่อย จิบกาแฟกันไม่ทันไรหนึ่งก็โทรศัพท์มาบอกว่ารับยาเสร็จแล้ว จะเดินลงมาหาที่ร้านกาแฟเลย ตอนมันเดินมาก็มีสีหน้างุนงงระคนกังวลใจฉายชัดมาแต่ไกล จนน้ากานดาขอตัวกลับก่อนและบอกให้พวกเรากลับหอดีๆ

     “ไว้วันหลังมากินข้าวที่ร้านนะจ๊ะป้อง”

     “ครับ” ผมพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม

     พอน้ากานดาเดินออกไป หนึ่งถึงกับหันมามองหน้า ไม่ต้องตั้งคำถามใดๆ และผมก็ไม่ได้พูดอะไรทำเพียงแค่ยิ้มให้ อีกฝ่ายก็เม้มปากแน่นและเงยหน้ามองฟ้า

     “จะร้องไห้เลยเหรอ”

     “เออ เฮียไม่รู้หรอก...” มันบ่นเสียงอู้อี้ “หนึ่งมีความสุขจะตาย”

     ผมเค้นยิ้ม ไม่ได้ตอบคำใดแค่เอื้อมมือไปแตะศีรษะมันเบาๆ ใจจริงอยากจะกอดมันไว้เลยด้วยซ้ำแต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ที่จะทำมันในตอนนี้

     ...ผมก็มีความสุขเหมือนกัน



--------------------------------------------------
หายไปนานคือไปเที่ยวมาค่ะ
ขอโทษด้วยนะคะ แฮ่... :katai5:

ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ : )

แต่ยังเจอกันได้ใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 26 - ภาระ (27.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 27-06-2016 22:38:47
ยังไม่ให้จบได้ไหมคะ พอจะเริ่มอ่านไปหายใจคล่องไปก็จะจบเสียแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 26 - ภาระ (27.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-06-2016 23:28:12
แม่หนึ่ง เข้าใจลูก เข้าใจป้อง
ยอมปล่อยวางบ้างทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้น
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 26 - ภาระ (27.06.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 04-07-2016 18:45:38
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
CHAPTER 27
‘แพ้’


     ผมกอดอก เคาะนิ้วเป็นจังหวะอย่างนึกโมโห ก่อนหน้านี้สักหนึ่งชั่วโมงมันเป็นความรู้สึกร้อนรนใจหากแต่ช่วงนี้กลับกลายเป็นไม่พอใจมากกว่า

     สักพักประตูห้องก็เปิดออก เจ้าตัวปัญหาสะดุ้งเล็กน้อยยามเห็นผมนั่งอยู่บนโซฟา เพื่อนสนิทสองสามคนของมันทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างผงกหัวทักทายผมเล็กน้อย ไม่เอ่ยเป็นคำพูดเหมือนปกติ คงเป็นเพราะคิ้วที่ขมวดบนหน้าผากของผมนี่กระมัง

     ผมหันเหความสนใจจากหนึ่งไปทางเพื่อนผู้หญิงสองคนของมัน ท่าทางเมาแอ๋กว่าปกติ

     “แป้งกับแก้วตากลับบ้านยังไง”

     “เดี๋ยวไอ้โอ๊ตไปส่งค่ะ ไม่ต้องกังวล” เจ้าหล่อนเอ่ยปาก ยิ้มแหยให้ผมพลางดันหลังเจ้าตัวปัญหาให้เข้ามาในห้อง “งั้นเดี๋ยวขอตัวเลยนะเฮีย”

     “อืม... กลับดีๆ ล่ะ”

     ทั้งสามคนพยักหน้ารับคำแล้วหันกลับไปหลังจากดันเพื่อนตนเองเข้าห้อง จัดการปิดประตูให้เสร็จสรรพ ถือเป็นเพื่อนที่น่ารักพอตัว

     หนึ่งยังยืนนิ่งไม่ไหวติงในขณะที่ผมมองสำรวจมันตั้งแต่หัวจรดเท้า มีรอยช้ำบริเวณข้างแก้มเล็กน้อยให้นึกหงุดหงิดใจ บรรยากาศตึงเครียดที่ติดค้างกันตั้งแต่เมื่อเช้าพาลทำให้ในห้องไม่น่าอยู่เท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เลยจะไม่กลับห้องเหมือนมันเสียหน่อย

     “มานี่” ผมเรียกอีกฝ่าย ตบเบาะบนโซฟาเบาๆ แต่มันก็ยังยืนอยู่ที่เดิม “หนึ่ง”

     “...รู้แล้ว” เจ้าตัวปัญหาบ่นงุบงิบอย่างไม่พอใจ ถึงกระนั้นมันก็ยังเดินมาแต่โดยดี

     ผมผ่อนลมหายใจตอนหนึ่งนั่งระดับเดียวกัน เมื่อใบหน้าของมันอยู่ตรงหน้าผม เอาแผลจากการถูกต่อยมาให้เห็นชัดๆ ก็พาลให้หงุดหงิดมากกว่าเดิมเพราะเพิ่งเห็นว่ามีปากแตกเล็กน้อยด้วย ผมจึงหยิบเครื่องมือทำแผลที่เอามาเตรียมไว้ตั้งแต่ติดต่อมันได้ จัดการกดแผลตรงนั้นหนักเสียหน่อยจนหนึ่งร้องคราง

     “เจ็บไหมล่ะ” ผมถามเสียงเรียบ

     มันเบือนหน้าหนี ผมเลยนับหนึ่งถึงสิบก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนู ชุบน้ำอุ่นบิดให้มาดๆ แล้วยื่นให้อีกฝ่าย “ประคบซะ... แล้วมันใช่เรื่องไหมที่กูต้องมาทำแผลให้มึง”

     “ก็ไม่ต้องทำสิ” มันเถียงเสียงเบา

     ผมเลิกคิ้ว “ก็ไม่ต้องตีกับชาวบ้านสิ” ย้อนกลับอย่างอารมณ์เสีย

     พอเป็นเช่นนั้นหนึ่งก็จนคำพูด ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟานั่นแหละ

     ผมกับหนึ่งทะเลาะกันมาตั้งแต่เช้า มันเป็นเรื่องเล็กๆ เนื่องจากหนึ่งกินเอ็มร้อยห้าสิบ ผมพยายามทำความเข้าใจว่ามันต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากในการทำโปรเจ็กอะไรสักอย่างในคณะมัน แต่เราก็เคยตกลงกันแล้วว่าผมไม่อยากให้ทำแบบนี้บ่อย เมื่อเช้าตอนตื่นมาเห็นขวดเครื่องดื่มชูกำลังสามขวดในสองวันเล่นเอาลมแทบจับ ผมเอ่ยปราม หนึ่งอยู่ในสภาพที่ต้องปั่นงานให้เสร็จ ไม่ได้นอน แถมยังหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่างานจะผ่านรึเปล่ากลายเป็นว่าเราพูดจาไม่ดีใส่กัน จากนั้นก็ทะเลาะกัน บรรยากาศน่าปวดหัวยังคงอยู่แม้ผมไปส่งมันที่คณะ เพื่อนๆ มันก็คงรับรู้แล้ว

     พอตอนเย็น ผมก็หงุดหงิดซ้ำสอง ลงมาจากแลป คิดว่าจะได้เจอมันที่เดินมายิ้มร่าบอกว่างานผ่านแล้ว กลายเป็นมันไลน์บอกห้วนๆ

     ‘งานผ่าน ไปกินเหล้านะ’

     ไอ้เรื่องเหล้านี่ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไร หนึ่งไม่ใช่คนกินบ่อยแต่กินทีเมาหัวทิ่มจนน่าปวดหัว ไอ้ผมก็นึกว่ามันคงจะมานอนที่หอเหมือนปกติ (หลังจากมาอยู่ห้องผมเพราะข้าวของเยอะเกินกว่าจะแบกกลับไปในห้องนั้นมาแล้วสองสามวัน) แต่พอเที่ยงคืนก็ยังติดต่อไม่ได้ ไลน์ไปไม่ตอบ พอตีหนึ่งผมก็เริ่มหงุดหงิด ตัดสินใจโทรหาไอ้โอ๊ต ได้ยินเสียงมันถามเพื่อนมันว่าหนึ่งอยู่ไหน จากนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย จับศัพท์ได้ว่ามีเรื่องตีกัน แถมยังได้ยินชื่อไอ้ตัวปัญหาดังมาในลำโพงเสียอีก

     คิดว่าถ้าผมไม่บังเอิญไปอยู่ในจังหวะนั้นพอดี หนึ่งคงปิดบังเรื่องนี้อีกตามเคย แต่เจอแบบนี้ไปยังไงก็ปิดบังไม่อยู่ ผมเลยไลน์ไปบอกว่าให้รีบกลับมา จากนั้นไม่นานมันก็กลับมานี่ไง

     ผมมองร่างของอีกฝ่ายที่นอนขดตัวบนโซฟา “จะนอนตรงนี้หรือไง”

     มันเงียบ

     “โอเค ตามสบายเลย” ผมถอนหายใจอีกครั้ง “มึงอยากทำอะไรก็ทำเลย กูจะนอนแล้ว”

     ผมอดไม่ได้ที่จะว่าเช่นนั้น หนึ่งก็ยังเงียบอีก ผมเลยเดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงฝั่งตัวเองเพราะเราลากเตียงมาติดกันและวันนี้คงไม่มีแรงลากเตียงออก หนึ่งคงไม่อยากจะนอนกับผมมั้ง พอคิดเช่นนั้นแล้วเลยหงุดหงิดขึ้นอีกนิดหน่อย ลงแรงกับการกดปิดไฟและเตะข้าวของแถวเตียงเป็นการระบายอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ

     เพราะความคุกกรุ่นสุมอกเลยนอนไม่หลับ แม้รู้ดีว่าพรุ่งนี้มีเรียนตั้งแต่เก้าโมงผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี อาจจะเป็นผลพวงมาจากการนอนดึกติดต่อกันหลายวันด้วย

     สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู จังหวะเหยียบย่างที่ยั้งเท้าเบาๆ ของอีกฝ่าย

     “เฮีย...หลับแล้วเหรอ” มันพูดเสียงแผ่ว

     ผมไม่ตอบอะไร

     ได้ยินเสียงหนึ่งถอนหายใจ ตามมาด้วยเสียงเปิดตู้เสื้อผ้า สักพักก็เป็นเสียงเปิดประตูห้องน้ำ ทุกอย่างทำอย่างเงียบเชียบผิดกับปกติของมัน ได้ยินเสียงฝักบัวไม่นานมันก็เดินออกมา ทิ้งกายนอนข้างๆ ผมจนผมสัมผัสได้ถึงหยดน้ำจากตัวอีกฝ่าย

     “ไปเช็ดผมให้แห้ง” ผมเอ่ยปราม

     หนึ่งดันกายขึ้น ชะโงกตัวมาทางผมที่นอนหันหลังให้มันอยู่ “เฮียยังไม่นอนนี่”

     “นี่ใช่สิ่งที่มึงควรพูดเหรอ?”

     คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง “...ขอโทษครับ” ก่อนที่จะเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

     ได้ยินในสิ่งที่อยากฟังแล้วผมจึงหันไปมองหน้าอีกฝ่าย หนึ่งนอนตะแคงข้างหันมาทางผม เส้นผมเปียกชื้นแนบลู่ใบหน้า

     “ไปเช็ดผมไป เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก”

     “หนึ่งง่วงนี่นา”

     “ถ้าง่วงทำไมไม่กลับมานอนตั้งแต่ต้น” อีกฝ่ายย่นจมูก เอาหน้าซุกลงกับหมอนราวกับจะหนีคำบ่นจนผมต้องเอื้อมมือไปดึงมันขึ้นมา “ไปเป่าผม ไม่งั้นก็ยังไม่ต้องนอน”

     “ทำไมต้องทำตัวเป็นพ่อด้วยเนี่ย”

     “มึงยังไม่ชินอีกหรือยังไง ลุก!”

     พอผมขึ้นเสียงเข้าหน่อย เจ้าตัวปัญหาก็ยอมลุกจากเตียงแต่โดยดี มันทำหน้ามุ่ยหยิบไดร์เป่าผม (ของผม) ไปใช้เสียเสร็จสรรพ เหมือนจงใจกวนกันว่าถ้าผมไม่ยอมให้มันนอน ก็ทนตื่นเพราะเสียงไดร์ไปก่อนอย่างไรอย่างนั้น

     ช่างเป็นเด็กที่น่าปวดหัวเสียจริง

     


     “มาทำอะไรที่นี่”

     ผมอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เดินลงจากตึกเรียนมากลับเจอหนึ่งนั่งอยู่พร้อมกับแก้วกาแฟเย็นที่ใต้ตึกโดยไม่นัดกันไว้ ...ไอ้นี่ก็กินแต่คาเฟอีน บอกให้ลดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักฟัง

     เจ้าตัวหันมายิ้ม “มาหาสิ วันนี้หนึ่งว่างๆ”

     “เอาเวลาว่างไปทำงานบ้างนะ จะได้ไม่ปั่นลืมตายอีก”

     ผมอดประชดถึงนิสัยการทำงานของมันไม่ได้ พอบ่นมันก็บอกว่าอารมณ์ยังไม่มา วันๆ เอาแต่ดองงานไว้ พอใกล้ๆ ค่อยมาทำงานทั้งวี่วัน นั่งหลังขดหลังแข็งทำงานที่เขาให้เป็นเดือนในหนึ่งอาทิตย์

     “ว้าว” เสียงสอดรู้สอดเห็นดังมาจากเพื่อนที่เดินลงมาด้วยกัน

     ผมหันไป “ว้าวอะไร”

     “เปล่าจ้า เปล่าเลยยยย” ไอ้กันต์ลากเสียงยาว แววตานี่เป็นประกายเหมือนจะล้อเลียน จริงๆ ก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าล้อไปผมก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี “แปลกใจไง แบบอยู่ๆ ก็เห็นคนดังคณะอื่นโผล่หน้ามาที่คณะหมอหมา”

     ผมกลอกตาเล็กน้อย หันไปอีกข้างก็เจอไอ้ภีมมองหนึ่งที่นั่งอยู่ด้วยแววตาล้อเลียน ไอ้เจ้าเด็กมากปัญหาคงเข้าใจเลยหัวเราะแห้งๆ แล้วเอามือเกาท้ายท้อยอย่างเก้อเขิน

     “งั้นนัดไปกินข้าวพวกกูคงไม่ต้องไปแล้วเนอะ” ไอ้กันต์มิวายแซวต่อ

     “อ้าว เฮียจะไปกับเพื่อนเหรอ” หนึ่งแทรกขึ้นมาทันที

     ผมหันไป “กูยังไม่ได้ตกลงเลยนะ”

     เพียงเท่านั้นเพื่อนทั้งสองคนก็ทำหน้าปูเลี่ยน ไอ้ภีมเอามือทาบอก ไอ้กันต์แทบจะมองบน

     เปล่าพูดผิดเสียหน่อย... ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย แค่นั่งฟังพวกมันสองคนจะไปกินเงียบๆ เท่านั้น เรียกว่ายังอยู่ในระยะตัดสินใจต่างหาก พอหนึ่งมาถึงนี่ก็ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะ

     ผมรีบขอตัวออกมาเพราะเกรงว่าถ้าหนึ่งอยู่ในวงล้อมนั้นอีกนาน จะโดนแซวเสียจนไปต่อไม่เป็น พวกนี้ไม่เหมือนเพื่อนของหนึ่งที่ดูให้เกียรติผมมากจนไม่กล้าแซวอะไรเสียหน่อย

     หนึ่งบอกผมว่าจะมาติดรถผมแบกข้าวของส่วนหนึ่งจากคอนโดกลับหอพัก มันคงจะกลับไปนอนห้องของพี่เต้ยเหมือนปกติแล้วหลังงานเสร็จ ได้ยินเช่นนั้นผมก็อดเอ่ยปากไม่ได้

     “คอนโดกูก็เป็นหลุมหลบภัยเท่านั้นสินะ”

     มันยิ้มขำ “งอนเหรอ”

     “อยู่กับกูมานาน ยังไม่รู้อีกหรือไง”

     เพียงเท่านั้นมันก็ระเบิดหัวเราะ คว้าเอวผมไปกอดไว้ตอนผมสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับไปที่คอนโด

     “ทำมาบอกว่าหนึ่งติดเฮีย... จริงๆ แล้วเฮียติดหนึ่งต่างหาก!”
   
     ทั้งที่เป็นความจริงที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่พอโดนคนถือไพ่เหนือกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความยินดีเช่นนี้แล้วรู้สึกแพ้ชอบกล

     เอาเถอะ... ยังไงผมก็ ‘แพ้’ อยู่แล้ว




     พวกเราซื้อข้าวจากร้านใต้หอขึ้นไปสำหรับมื้อเย็น บอกมันว่ากินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจัดการย้ายข้าวของต่างๆ นานาของมันไป หนึ่งทำงานทีไร ห้องผมรกเสียจนดูไม่ได้จนมันแบกข้าวของกลับไปนั่นแหละ จากนั้นห้องของผมก็จะสะอาดจนกว่ามันจะแบกของมาพักใหม่

     “เออ จริงสิ” มันเอ่ยปากระหว่างมื้ออาหาร “เห็นสัปดาห์นี้แม่จะแวะมาหานะ”

     ผมพยักหน้า น้ากานดาไม่ได้ติดต่อมาหาผมเหมือนแต่ก่อน แต่มักจะติดต่อผ่านแม่ของผม หรือหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ทำอาหารมาให้เหมือนตอนที่หนึ่งยังอยู่นี่ คงเป็นเพราะน้ากานดารู้แล้วว่าหนึ่งมาพักห้องผมอยู่บ่อยๆ บางครั้งแม่ยังเอ่ยปากอยู่เลย

     “หนึ่งไม่ย้ายมาอยู่กับป้องเสียเลยล่ะ” เจ้าตัวที่กินข้าวอยู่ไอค่อกแค่กเมื่อแม่ผมพูดเช่นนั้น ในขณะที่ผมเองก็ยังขมวดคิ้วมุ่น พอแม่จับพิรุธได้ท่านเลยเอามือส่ายไปมา “อุ๊ย แม่ไม่ได้ตั้งใจจะสู่ขอนะลูก”

     เล่นเอาหนึ่งไอหน้าดำหน้าแดงกว่าเดิมเสียอีก

     “ไม่ได้หรอกครับ พอดีตกลงกับพี่รหัสไว้แล้ว คงจะอยู่ที่นู่นจนพี่เขาเบื่อไปข้าง”
         
     นั่นเป็นข้ออ้างเดิมที่ผมได้ยินจนเบื่อ หนึ่งคงจะอยู่กับพี่รหัสของมันจนกว่าพี่รหัสมันจะย้ายกลับบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นตอนที่ฝ่ายนั้นเรียนอยู่ปีห้า เพราะวิชาเรียนลดลง

     หนึ่งบนโต๊ะอาหารผลุบตาต่ำ “แล้วก็...” ลากเสียงยาวเสียจนทั้งครอบครัวผมเองก็สนใจใคร่รู้ไปด้วย “แม่คงไม่อยากให้มาอยู่กับเฮียป้องตลอดด้วยน่ะครับ”

     เจอเหตุผลนี้เข้าไป ทั้งผมทั้งแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เข้าใจว่าแม่ของหนึ่งยังคงงุนงงและทำใจยอมรับได้ไม่เต็มรูปแบบ อาจจะต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกไม่น้อยเลยทีเดียวว่าผมสามารถ ‘ดูแล’ มันได้

     “หืม?” ดูเหมือนผมจ้องอีกฝ่ายนานไปเสียหน่อย มันเลยเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างงุนงง “จ้องอะไรเนี่ย”

     “จ้องคนตะกละ”

     เพียงเท่านั้นมันก็ถลึงตาใส่ จัดการตักกับจานกลางใส่ในจานข้าวผมให้สองช้อน ท่าทางเหมือนทำให้จบๆ ไปแต่ก็ยังดูน่ารักอยู่ดี

     ...อืม ผมหลงมัน เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

     บางทีผมก็นึกแปลกใจกับการที่ตัวเองแสดงออกอย่างเปิดเผยแบบนี้เหมือนกัน หรือเพราะก่อนหน้านี้มันถูกกดไว้นาน มีโอกาสระบายออกแล้วเลยต้องใช้ให้เต็มที แต่เรื่องนี้คงไม่ต้องบอกให้มันรู้หรอก

     แค่นี้ผมก็แพ้หนึ่งมาตั้งนานแล้ว





บทส่งท้าย

     “แม่ครับ~”

     ผมจัดการวางข้าวของที่แบกมาจากหอพัก ปิดเทอมครั้งนี้ไม่เหมือนปีหนึ่งที่ต้องทำกิจกรรมที่นู่นเสียจนไม่ได้กลับบ้าน แต่น่าจะได้กลับบ้านมานอนพักยาวๆ สักที ถึงสุดท้ายก็คงจะไปช่วยงานที่ร้านอาหารของแม่ก็เถอะ

     แม่ชะโงกหน้าขึ้นมา “กลับมาแล้วเหรอ”

     “กลับมาแล้วครับ”

     ผมตอบกลับพลางเดินไปหาอีกฝ่ายกำลังหยิบรีโมทดูละครเรื่อยเปื่อย ทิ้งตัวนั่งข้างๆ แก

     “ต้มข่าไก่ที่อยากกิน ไว้ค่อยกินตอนเย็นนะ”

     เพียงเท่านั้นผมก็ยิ้มกว้างกว่าเก่า เอนตัวเข้าไปเอาศีรษะหนุนบนตักแม่อย่างออดอ้อน เมื่อวานแค่เปรยไปเฉยๆ ว่าอยากกินต้มข่าไก่ ไม่คิดว่าแม่จะทำให้กินทันทีขนาดนี้

     แม่ชวนผมคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่แค่เรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องเพื่อนและชีวิตความเป็นอยู่ที่นู่น นิสัยขี้เป็นห่วงและวิตกกังวลมากเกินไปกลับมาอีกครั้งตั้งแต่แม่รู้เรื่องของกริช ช่วงนี้ก็ทุเลาลงบ้างแล้ว จะว่าแม่ก็ไม่ได้ในเมื่อผมเองก็ปิดบังท่านเสียนาน

     “แล้วปกป้องล่ะ”

     คำพูดของแม่พาลเอาผมเบ้หน้า “หนึ่งลูกแม่นะ”

     “รู้แล้ว” แม่เอารีโมทเคาะหัวผมเบาๆ “จะได้รู้ไงว่าเราไปสร้างปัญหาอะไรให้พี่เขาหรือเปล่า”

     “โหย... หนึ่งออกจะเป็นคนน่ารักขนาดนี้” ผมโกหกคำโต ขืนเฮียป้องมาได้ยินคงจะทำหน้าระอาใจใส่ผมแน่

     ผมนั่งคุยกับแม่อยู่สักชั่วโมงก่อนที่จะขอตัวไปอาบน้ำ บ้านเล็กๆ เงียบๆ ของผมมีแค่ผมกับแม่ ถึงบ้านข้างๆ จะมีผัวเมียทะเลาะกันบ่อยๆ ก็เถอะ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมไปอยู่ที่หอแม่จะเหงาขนาดไหน ยังดีที่ปกติแม่จะหมกตัวที่ร้านให้ได้ครึกครื้นเสียบ้าง ช่วงหลังๆ ท่านก็เริ่มไปคุยกับน้ากานดาเหมือนเดิมแล้ว หลังจากที่ห่างหายกันไปนาน ผมคิดเองว่ามันเป็นการเข้าหน้ากันไม่ติดเพราะก่อนหน้านี้ แม่ผมโวยวายเรื่องของผมกับลูกชายป้าเกดเสียจนแทบตัดขาดกัน

     ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ หยิบโทรศัพท์มาเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์ ข้อความที่เด้งมาอยู่บนๆ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ จากเฮียป้อง

     ‘กูกลับถึงบ้านแล้วนะ’

     ผมพิมพ์ตอบไป ‘เหมือนกัน แม่ถามถึงเฮียด้วยนะ’

     บางทีพวกเราก็คุยกันแบบไม่มีคำถาม พูดขึ้นมาเรื่อยเปื่อย อย่างเรื่องที่แม่ถามถึงเฮียผมเองก็อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้จะได้รู้สึกดีขึ้น คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าการแสดงออกของแม่ผมทำให้เฮียลำบากใจไม่น้อยไปกว่าผม

     เฮียป้องไม่ได้ตอบในทันที เป็นผู้ชายไม่ติดโทรศัพท์ มือถือของเฮียเหมือนมีค่าแค่ไลน์และโทรเข้า – โทรออก รวมถึงใช้อ่านหนังสือต่างๆ นานาของเฮียตามประสาคนขยัน นอกจากนั้นก็เป็นเกมที่ผมโหลดมาเล่น ถือเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อโดยสิ้นเชิง

     ถึงพูดเช่นนั้นก็เถอะ... ต่อให้เฮียเป็นคนน่าเบื่ออย่างไร ผมก็คิดว่ามีไม่กี่เรื่องให้บ่นเฮียเท่านั้น หน้าตาเฮียค่อนไปทางดี เชื่อเถอะว่าถ้าดูแลให้ดีกว่านี้ นิสัยเป็นกันเองให้มากกว่านี้ เฮียคงจะมีสาวๆ เดินตามเป็นพรวน นิสัยเป็นระเบียบมีแบบแผนในชีวิตของเฮียนั่นก็น่าชื่นชม ถึงจะดูขี้บ่นแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน ซึ่งก็คงต้องมอบความดีความชอบทั้งหมดนี้ให้ครอบครัวของเฮียนั่นแหละ

     ผมในวัยเด็กรู้สึกว่าเฮียเท่มาก... ทุกวันนี้ก็รู้สึกอยู่ เห็นบ้านของเฮียแล้วเหมือนกำลังดูละครที่ทุกคนต่างมีความสุขและเข้าใจกัน เพียงแต่มันไม่ได้มีฉากหลังแต่อย่างใด

     ทำไมคนเพอร์เฟ็กแบบเฮียถึงมาชอบผมกันนะ?

     ทุกวันนี้ผมยังอดเผลอตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองไม่ได้

     ดูอย่างปิดเทอมคราวก่อนสิ ผมยังวิ่งหนีเฮียอยู่เลยทั้งที่ไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธ...ผมแค่ไม่มั่นใจ พอคิดว่าตัวเองไม่ดีพอกับอีกฝ่าย หากวันใดเขาจะเดินจากไป ผมคงใจสลายไม่เป็นผู้เป็นคนกว่าแต่ก่อนเสียอีก

     แต่มันก็เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว ผมเอาแต่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บ ไม่ได้รู้เลยว่าเฮียเจ็บเพราะความกลัวของผม

     เอาแต่ร้องขอให้ความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เป็น เพียงเพราะคิดว่าเราไม่คู่ควรพอกับความรัก แต่พอได้รู้ว่าคนที่แสนดีอย่างเฮียกลับคิดว่าไม่เหมาะสมกับผม มันก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเสียจนหยุดไม่ได้

     บางทีเรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้

     ผมรักเฮียแต่คิดว่าตัวเองต่ำต้อย เฮียรักผมแต่คิดว่าตนไม่ดีพอ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเราไม่ดีพอสำหรับความรักด้วยเหตุผลนานาประการ จริงๆ เราแค่หวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พอเราเข้าใจกันแล้วมันเลยเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะลืมความกลัวนั้น ค่อยๆ เปิดใจให้ยอมรับตัวเองเพียงเพราะ เขา ‘รัก’ เรา

     แล้วความรู้สึกที่กักเก็บไว้ก็ฉายชัดเสียจนปิดบังไม่ไหว

     จากร่ำร้องด้วยความหวาดหวั่น... ขอให้มันไม่ใช่ความรักเพราะตนไม่ดีพอ ก็เปลี่ยนเป็นเรียนรู้ที่จะพยายามเป็นคนที่ดีพอสำหรับ ‘ความรัก’

     เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 04-07-2016 18:48:27
เปิดเรื่อง : 16.01.2016
ปิดเรื่อง : 04.07.2016
รวมเป็น 6 เดือน 18 วัน

     ใจหายค่ะ

     เป็นความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ การเขียนนิยายเรื่องนี้เราพยายามจะทำความเข้าใจตัวละครเยอะมาก แถมยังเป็นการเขียน ‘การเติบโต’ ขึ้นมาของในตัวละครอีก เพราะงั้นเลยรู้สึกเหมือนเราได้โตไปพร้อมกัน ถือว่าน่าใจหายพอควรที่ต้องยอมรับว่านิยายเรื่องนี้จบแล้ว

     จะบอกว่าตัวละครที่ร่างจริงๆ ในครั้งแรก คิดไว้ในหัวคนแรกเลยไม่ใช่หนึ่ง หรือเฮียป้อง แต่เป็นน้ากานดาค่ะ (ฮา) และก็พบว่าเป็นตัวละครที่ทำให้ทุกคนคอมเม้นได้ยาวมาก น่าจะเป็นการประสบความสำเร็จเนอะ ช่วงพีคๆ ของเรื่องสามารถอ่านคอมเม้นได้อย่างสนุกสนานมากจริงๆ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ <3

     ประเด็นของนิยายเรื่องนี้ที่นิวให้โจทย์ตัวเองไว้คือ ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ และ ‘การล่วงละเมิดทางเพศ’ ค่ะ คาดว่าคงจะชัดเจนอยู่ โดยเฉพาะอย่างหลัง รวมถึงเป็นการตั้งคำถามว่าทำไมเด็กอย่างหนึ่งถึงโตมาเป็นแบบนั้น และแนวทางการเติบโตของเขาจะเป็นแบบไหน (เพราะงี้แหละถึงได้บอกว่าใจหายมากเวลาเขียนจบ ฮือ...) ทั้งความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้ส่งผลแค่กับผู้ถูกกระทำ แต่มักจะส่งผลในบุคคลรอบข้างด้วยค่ะ อย่างน้ากานดาและเฮียปกป้องเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการรับผลกระทบเลย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อทัศนคติ การตัดสินใจ และการใช้ชีวิตของคนที่โดนกระทำด้วย นิวพยายามไม่เขียนถึงในส่วนที่เป็นแพทย์นัก เนื่องจากเนื้อหาที่ศึกษาจะเป็นส่วนของจิตวิทยามากกว่า ต้องขอโทษด้วยนะคะ

     บอกตรงๆ ว่านิยายเรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ตีพิมพ์หรือเปล่า ถ้ามีข่าวดีอย่างไรจะมาแจ้งให้ทราบกัน (ถ้าเป็นข่าวร้ายก็มาแจ้งให้ทราบแหละค่ะ ฮา) ถ้านิยายเรื่องนี้ทำให้ทุกคนมีความสุข อิ่มเอม แฮปปี้ เราเองก็มีความสุขมากค่ะ

     สุดท้ายนี้ ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ รวมถึงเจ้าหมาอ้วนที่ตอนนี้ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ทั้งเพื่อนและผู้คนที่ให้ความช่วยเหลือตลอดมา

     และขอบคุณนักอ่านที่อ่านที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ



                                                                                                                             เอ็นเอ็น
                                                                                                       (www.facebook.com/ninewnnfanpage)
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 04-07-2016 19:30:48
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ มันเรียบเรื่อยแต่แฝงอารมณ์เยอะมาก มีรายละเอียด ชนิดที่บางอย่างเราคิดว่า โห คิดได้ยังไง เราชอบเรื่องนี้มาก ดีใจทุกครั้งที่เห็นว่ามาอัพ พอจบแล้วก็ใจหายนิดหน่อย
รอเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 05-07-2016 11:50:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-07-2016 16:06:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-07-2016 09:28:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 06-07-2016 22:26:29
ขอบคุณมากนะคะ ดำเนินเรื่องได้น่าติดตามมากค่ะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: AiiiKoiii ที่ 10-07-2016 16:25:00
เป็นเรื่องที่ดำเนินไปแบบเป็นเหตุเป็นผลดีนะคะ
นึกภาพตามออก เข้าใจความคิดของตัวละคร
ไม่หวือหวาแร่ว่ามันสมูททททททดี
:):):):)
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 10-07-2016 21:42:56
เฮียน่ารัก ไม่ไปไหนจริงๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 11-07-2016 04:58:34
กว่าจะเข้าใจกันได้ ลุ้นแทบแย่ นี่เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่อ่านที่พ่อมียศแต่รักและเข้าใจลูก อยากให้ชีวิตจริงเป็นแบบนี้จัง   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-07-2016 06:07:45
จบแล้ว สมชื่อเลย
ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก ก็เลยไม่มีฉากสวิต วิ้ดวิ้ว หวานๆ ของป้องกับหนึ่งเลย
ขอไร้ท บ้าง  :mew2:  ขอตอนพิเศษ นะะะะ  :mew1: :mew1: :mew1:
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 11-07-2016 13:50:47
อ่านจบแล้ว นั่งอ่านไปอึดอัดไปแทบแย่
อารมณ์เหมือนกลั้นหายใจดำน้ำอยู่ยังไงยังงั้นแหละ

อ่านจบก็โล่งเหมือนได้สูดออกซิเจนกลับคืนสู่ปอดอีกครั้ง
สุดท้ายขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่นำมาแบ่งปันฮะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-07-2016 20:48:12
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ อินมาก จัดไปซะเยอะเลย ภาษาดีงาม เนื้อเรื่องสมบูรณ์แบบมากค่ะ ชอบตัวละครทุกตัว เรารู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีความกลัวในตัวเอง จะแนะนำให้คนอื่นมาอ่านแน่นอนค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 13-07-2016 14:46:39
 ยกนิ้วให้เลยค่ะ  o13 o13 o13
ชื่นชมค่ะ พล็อตดี ภาษาดี ตัวละครก็ดี
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 13-07-2016 17:03:13
แปลกใจที่มีคนอ่านน้อยนะครับ
ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเรื่องหนึ่ง

ดราม่าช่วงแรกอึดอัด และเครียดไปบ้าง
แต่ทำให้เรื่องนี้สมจริงขึ้นไปอีก
คงเหมาะกับสายดราม่าละครับ

สนุก เขียนได้ดี ลื่นไหล ไม่ได้อ่านเรื่องดีๆมานานแล้ว
ขอบคุณครับผู้แต่ง สำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-07-2016 07:15:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 15-07-2016 21:23:39
ยอมรับก่อนเลยว่าป้าอ่านชื่อเรื่องผิด เข้าใจว่าเรื่องนี้คือ ขอมีsexไม่ได้ขอให้มารัก รู้สึกอับอายเล็กๆค่ะ^^
ช่วงแรกเข้าใจว่าตัวปัญหาคือพี่ป้อง นึกว่าน้องรักพี่กลัวพี่รังเกียจ จึงพยายามเพิ่มระยะห่างเพื่อรักษาความเป็นพี่น้องไว้
อ่านๆไปพี่ป้องเริ่มเปิดเผยความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าน้องต่างหากที่ไม่กล้า เพราะตีค่าตัวเองต่ำไป
พอเปิดเผยว่าที่แท้คนป่วยที่อาการหนักสุดคือคุณแม่ จบปึ้งปมคลายหายสงสัย
เรื่องปัญหาความบอบช้ำทางจิตใจที่ตกค้างอยู่ภายในแต่ไม่ได้รับการเยียวยาของคุณแม่นั้น"สาหัส"มาก
ในสายตาของป้านะ(ไม่ได้เรียนจิตวิทยามา^^) คนที่ถูกทำร้ายแล้วยังยอมทนไม่แก้ไขหรือหลีกเลี่ยง
สถานการณ์ความรุนแรงนั้นน่ะเป็นคนป่วยนะ เชื่อว่าคุณแม่โทษตัวเองมาตั้งแต่ที่พ่อทำร้ายน้อง
โชคดีได้รับความช่วยเหลือจนหลุดพ้นมาได้ แต่ก็ยังมาเจอปัญหาที่โรงเรียนอีก
คุณแม่จึงเหมือนได้รับการตอกย้ำลงไปซ้ำๆว่า เป็นความผิดของตัวเองเป็นเพราะตัวเองดูแลลูกได้ไม่ดีพอ
วิธีการแก้ปัญหาจึงเหมือนปัดภาระไปให้คนอื่นรับผิดชอบแทน ซึ่งเป็นอะไรที่เบๆมาก
เพราะธรรมชาติคนมักจะมองหาสักคนสักอย่างเพื่อเอาไว้กล่าวโทษ เมื่อเกิดความผิดพลาดใดๆขึ้นมา
ตัวเองจะได้ไม่ทรมารเพราะถูกความรู้สึกผิดที่ลงโทษตัวเองอยู่ทำให้กลายเป็นบ้าไป
น้องที่รับรู้ความเจ็บปวดที่คุณแม่เฝ้าแต่ตำหนิตัวเองอยู่ตลอดๆนั้น จึงเหมือนถูกกดดันให้ไม่กล้าจะทำอะไร
ที่จะเป็นเหตุให้คุณแม่ผิดหวังเพราะรู้ว่าคุณแม่ต้องโทษตัวเองอย่างแน่นอน
นับว่าน้องนิวยังไม่ใจร้ายเกินไป ที่ให้คุณแม่ทำใจได้ในเร็ววันแบบนี้
เรื่องนี้ป้าว่านิวแต่งได้สนุกดีนะ ป้าอ่านไม่ถึงชั่วโมงก็จบเพราะว่าเขียนได้น่าติดตาม ไม่งี่เง่าร่ำไรดี
รู้สึกแนวเรื่องแปลกใหม่ไม่ซ้ำซาก(ป้าเพิ่งรู้ตัวว่าชอบอ่านYได้ไม่ถึงปีนี่เองค่ะ)หรือป้าอาจจะยังอ่านไม่มากพอ??55
ที่ชอบและรู้สึกแปลกใหม่อีกอย่าง คือการไม่ยอมรับจากพ่อแม่(ในกรณีนี้คือแม่ของน้องคนเดียว)
คือเป็นเหตุผลการไม่ยอมรับที่แตกต่างอย่างโดดเด่นมากๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ชอบนะ
ไม่โมโหคุณแม่เลยเพราะเข้าใจ เราคาดหวังปฏิกริยาปกติจากคนป่วยไม่ได้หรอกค่ะว่าจะมีเหตุผลอย่างที่ควรจะเป็น
เพราะอาการบอบช้ำทางจิตใจที่ไม่ได้รับการรักษา คุณแม่จึงไม่สามารถเข้าใจว่ารสนิยมทางเพศมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาได้
และเพราะจิตใจที่ไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกผิดได้อีกแล้ว
จึงไม่แปลกเลยสักนิดที่คุณแม่จะหันไปโทษพี่ป้องยิ่งกว่า100%
นี่น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของผลเสียที่คนไทยบางคนยังคิดว่าคนป่วยทางจิตเป็นคนบ้า
การพูดคุยปรึกษากับจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องที่คนดีๆเขาทำกัน"คุณต้องบ้าเท่านั้น"
แต่จริงๆป้าว่าถ้ากลัวคนอื่นว่าบ้าเพราะมีบาดแผลทางจิตใจ แต่ไม่อยากหาจิตแพทย์
ธรรมะช่วยได้นะคะ^^(จากประสบการณ์ตรงน่ะค่ะ) สวดมนต์นั่งสมาธิ ถูกกว่าและได้ผลกว่าหาหมอกินยาเยอะเลย

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 19-07-2016 15:17:32
ขอบคุณค่ะ

ถึงจะขัดใจกับตัวละครในบางอย่าง  แต่สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 21-07-2016 01:20:14
เป็นอีกเรื่องที่ดี  o13


 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 27-07-2016 23:14:13
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
SPECIAL 1
‘ฝันดีนะ’


     หนึ่งเอาใจยาก...เป็นความจริงที่ผมรับรู้มาตั้งนานแล้ว

     “หนึ่งบอกเฮียแล้วใช่ไหมให้ไปนอน” มันพล่ามเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปมาข้างหูของผม “แล้วเนี่ย เฮียก็หงุดหงิด นอนไม่พอ... ทั้งที่หนึ่งบอกเฮียแล้วนะ”

     “กูว่าอะไรมึงสักคำหรือยัง” พอโดนผมสวนเช่นนั้น เจ้าเด็กมากปัญหาที่ทำหน้าง้ำงออยู่แล้วก็ยิ่งหน้างอมากกว่าเดิมเสียอีก มันหุบปากฉับ เถียงอะไรไม่ออกสักคำแต่ดูปุ๊บก็รู้ว่าไม่พอใจ “กูนอนดึกเพราะช่วยมึง แทนที่มึงจะขอบคุณ มึงกลับบ่นกูงี้เหรอ?”

     “ก็...” อีกฝ่ายจนคำพูด “หนึ่ง...หนึ่งไม่อยากเห็นเฮียหงุดหงิดนี่”

     “กูหงุดหงิดตอนไหน”

     “ตอนนี้ไง”

     ผมถอนหายใจยาว เด็กดื้อก็ยังคงเถียงคอเป็นเอ็น “กูไม่ได้หงุดหงิด”

     “เฮียนอนดึก ตื่นไม่ทัน เข้าคาบเช้าสาย...และเฮียก็หงุดหงิด” หนึ่งจัดการแจกแจงเป็นฉากๆ “หรือหนึ่งพูดผิด”
คราวนี้ผมจนคำพูดเสียงเอง

     ที่หนึ่งพูดก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว อันที่จริงก็ถูก แต่สาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิดอย่างจริงจังไม่ใช่การตื่นสายจนต้องรีบบึ่งไปที่คณะ ไม่ใช่การโดนเช็กชื่อว่าเข้าสาย แต่เป็นการโดนอีกฝ่ายมางอแง บอกผมว่าผมไม่ควรช่วยมันตัดกระดาษ ทำโมเดลของอีกฝ่ายต่างหาก

     ผมอยากช่วยมันถึงผมไม่ถนัด...แล้วมันผิดตรงไหน

     ผมพยายามเข้าใจว่าหนึ่งไม่ชอบที่ผมช่วยเหลือมันบ่อยๆ คงเพราะมันไม่สามารถช่วยอะไรของผมได้ ช่วงหลังๆ มันก็
ระเห็จไปอยู่กับเพื่อนมันหรือพี่รหัสของมันบ่อยครั้ง แต่ถ้าทางนั้นมีงานเหมือนกันก็ตัวใครตัวมัน มันก็จะแบกของกลับมาที่ห้องผมแทนเสียเอง

     เมื่อวานก็เหมือนกัน เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนแล้วสำหรับส่งงานตอนบ่ายนี้ หนึ่งไม่ได้ให้ผมช่วยทุกวันแม้ผมจะอาสาทุกวัน พอมันเป็นวันใกล้ส่ง หนึ่งก็ยอมให้ผมช่วยจนถึงตีสองตีสาม ทำจนเสร็จแล้วผมตื่นไปเรียนตอนแปดโมงเช้า ส่วนมันก็นอนยาว ตื่นมาก่อนพรีเซ้นต์เพียงสองสามชั่วโมงเพื่อเตรียมตัวเท่านั้น

     พอมันตื่นมาคำถามแรกของมันก็คือผมไปเรียนทันไหม ตัวผมก็ไม่ได้โกหก แค่ไม่ตอบ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวในที่สุด จากนั้นมันก็หยิบคำพูดที่ว่ามันเคยบอกให้ผมรีบนอนขี้นมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเช่นนั้นจริงๆ อย่างที่บอก เพียงแต่ผมไม่ฟังเอง

     เรามองหน้ากัน ตะโกนใส่กันในความเงียบ สุดท้ายคนผ่อนลมหายใจคือมัน

     “หนึ่งจะเอาของไปเก็บหอ”

     ผมไม่เสนอตัวจัดการขับรถไปให้อย่างทุกที อีกฝ่ายเองก็ไม่รอฟังคำนั้น มันแค่เดินออกจากห้องไปพร้อมกับข้าวของที่ทำให้ห้องผมรกเงียบๆ คนเดียว



     ผมไม่ชินเวลาหนึ่งเงียบ ทั้งที่มันเป็นคนพูดจ้อ พล่ามเรื่องไร้สาระไม่มีหยุด

     อย่างน้อยๆ ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าห้องของผมที่ไม่มีมันสงบอย่างพิลึกพิลัน ไม่ชวนสบายใจ แต่ถ้าหากมีมันอยู่ในห้องแต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแบบนี้กลับแย่ยิ่งกว่าเสียอีก บวกกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างเรา ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะยิ้มได้เลย

     เราแค่นั่งหันหลังใส่กัน ผมอ่านหนังสือที่แทบจะไม่มีสิ่งใดซึมซับเข้าไปในหัว ส่วนหนึ่งนั่งบี้โทรศัพท์มือถือในมือ บางครั้งบางคราก็โยนมันไปอีกฝั่ง สักพักก็ไปหยิบมาใหม่เหมือนกับไม่มีอะไรให้ทำไปมากกว่านี้แล้ว

     คนข้างหลังเงยหน้าขึ้นเมื่อผมเลื่อนเก้าอี้ออกจากโต๊ะ แต่ไม่ยอมพูดอะไร ผมเองก็เช่นกัน

     ตอนออกมาจากห้องน้ำ หนึ่งทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเราที่ถูกเคลื่อนมาให้ชิดกันเรียบร้อย แต่ก็ยังเงยหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม

     “คุยกับใคร”

     “น้อง” ผมเดาะลิ้นเบาๆ เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้น “ทำไม”

     “เปล่านี่”

     ผมตอบปฏิเสธไป เข้าใจอยู่ว่าตอนนี้หนึ่งกำลังจะเป็นพี่ปีสอง คนอย่างมันแตกต่างกับผม หนึ่งตื่นเต้นมากตอนที่ไปร่วมกิจกรรมต่างๆ คงตั้งหน้าตั้งตารอตอนน้องๆ ได้เป็นเฟรชชี่ไม่ไหวแล้ว

     เพียงบทสนทนาสั้นๆ นั้นจบลง ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือใหม่ หนึ่งก็ยังคงกดโทรศัพท์ แน่นอนว่าผมเอาแต่จับจ้องมันผ่านเงาสลัวๆ ที่สะท้อนบนหน้าต่างตรงหน้าแทนที่จะเป็นหนังสือ ตั้งคำถามในใจว่าเรากำลังจะทำอะไรต่อไป เงียบแล้วค่อยๆ ให้เวลาทำให้เราหายหงุดหงิดอย่างนั้นเหรอ

     “เฮีย...” เสียงเรียกจากคนข้างหลังทำให้ผมรู้สึกตัว

     ผมเลิกคิ้ว ไม่หันกลับไป “อะไร”

     “ตอนนี่เที่ยงคืนแล้ว”

     “อืม...” ผมครางตอบรับในลำคอ

     “เที่ยงคืนแล้วนะ” มันย้ำคำเดิม “เมื่อคืนเฮียนอนตั้งดึก ไม่ต้องอ่านก็ได้มั้งหนังสือน่ะ”

     คราวนี้ผมไม่ได้พูดอะไร จับความเป็นห่วงได้จางๆ จากคำพูดที่อ้อมค้อมไปมาของอีกฝ่าย สักพักก็ได้ยินเสียงขยับผ้าห่ม พร้อมกับเสียงหาวของมัน

     “หนึ่งนอนแล้วนะ” จากนั้นก็เงียบไปพักใหญ่

     อีกฝ่ายที่นอนตะแคงข้างหันกลับมาให้ผมเห็นหน้ามู่ทู้ของมันผ่านเงาในหน้าต่าง เล่นเอาผมแทบหลุดอมยิ้ม หนึ่งไม่รู้ตัวอยู่พักหนึ่งจนอีกฝ่ายสบตาผมผ่านหน้าต่าง มันก็แผดเสียงร้อง

     “เฮีย!”

     ผมอมยิ้ม แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “อะไร?”

     “มานอนได้แล้ว”

     อันที่จริงการอ่านหนังสือได้ไม่จบเป้าหมายของผมเนี่ย ไม่ใช่นิสัยเลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ทำตัวว่าง่าย ลุกจากเก้าอี้ไปทิ้งตัวนอนข้างๆ มันที่ม้วนตัวเองกับผ้าห่มอย่างกับหนอน สีหน้าโทรมไม่ใช่น้อย อันที่จริง เด็กคณะมันก็หน้าโทรมตลอดเวลานั่นแหละ

     “เฮียมานอนเถอะ” มันพูดเสียงเบา คล้ายกระซิบนิดหน่อย

     “กูยังอ่านไม่จบเลย”

     “ขยันจริงๆ จะเอาเกียรตินิยมหรือไง” อีกฝ่ายบ่นอุบอิบ “นอน!”

     ผมมองหน้าอีกฝ่าย ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของมันเบาๆ จนหนึ่งตั้งตัวไม่ทัน พอรู้ตัวก็ถลึงตาใส่ผม “ทำเล่นอีก!”

     “เปล่าสักหน่อย” ผมเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มของมันให้ห่มตัวดีๆ คนขี้ร้อนอย่างหนึ่งกลับชอบนอนขดตัวพันไว้ พอกลางดึกนี่เอาออกแทบไม่ทัน “นอนไป”

     “หนึ่งไม่ใช่ลูกนะ!”

     “รู้แล้วน่า”

     “หนึ่ง...” มันกัดปากเล็กน้อย “แค่อยากให้เฮียรีบๆ นอน เหนื่อยมาตั้งเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ”

     คำพูดตรงไปตรงมาของมันทำให้ผมอมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

     หนึ่งเป็นแบบนี้เสมอ แสดงความเป็นห่วงโดยการพูดอ้อมไปมา ใช่ว่าไม่เข้าใจหรือรู้สึกแย่ แต่มีบ้างทีผมอยากให้มันพูดตรงๆ ใช้คำพูดีๆ น่าฟัง ผมรู้แหละว่าตอนที่เราทะเลาะกันก่อนหน้านี้ หนึ่งก็พูดด้วยความเป็นห่วงทั้งนั้น ผมเองก็รู้... ความหวังดีของมันชัดเจน แต่กลับถูกทำให้ขุ่นมัวด้วยคำพูดเสมอ

     “เฮีย...” มันส่งเสียงออดอ้อนอีกครา “นอนนะ”

     ผมเค้นยิ้ม “หัดพูดแบบนี้ง่ายๆ บ้างสิ”

     มันขยับกายหนี ห่อผ้าห่มไปเพื่อจัดการปิดไฟ เหมือนกับเป็นการบังคับกลายๆ ให้ผมรีบนอนตามที่มันว่า

     หนึ่งมากปัญหา แสดงออกไม่เป็น พูดไม่เก่งแถมยังชอบหาเรื่องอีกต่างหาก เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากฟังอะไรที่รื่นหูบ้างในเวลาที่หงุดหงิด

     คนในอ้อมกอดซุกตัวลงมาใกล้

     “หนึ่งเป็นห่วง” กระซิบคำแผ่วเบาที่ดังชัดเจนไปเสียหมด

     ...ถึงก่อนหน้านั้นจะนอนไม่เต็มอิ่ม เจอแบบนี้ไป ผมก็รู้สึกว่าตัวเองจะฝันดีตามที่มันพูดจริงๆ



 
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || บทที่ 27 + บทส่งท้าย (04.07.2016) - Pg. 4
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 27-07-2016 23:18:34
น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 06-08-2016 15:49:18
ไม่ชอบนายเอกเลย

 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-08-2016 20:16:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 06-08-2016 20:34:17
กว่าจะยอมรับกันได้
ลุ้นมากค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 06-08-2016 20:56:47
ึก็ทนไปนะเฮียป้อง รักไปแล้ว ดีละที่หนึ่งมีเฮียป้อง ไม่งั้นคงไม่มีใครทนนิสัยเสียๆนี่ได้ อืม
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 15-03-2017 14:22:16
ตามมาจากรีทวิตในทวิตเตอร์ค่า สนุกมากเลย ทุกคนต่างก็มีปัญหาและได้รับผลกระทบด้วยกันทุกคนนะคะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-03-2017 01:44:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ - ฝันดีนะ (27.07.2016) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 18-03-2017 23:41:33
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
SPECIAL 2
‘เรื่องเล็กๆ’




     ความคิดที่ว่าผมเป็นคนดื้อ และเฮียเป็นคนขี้ตามใจเป็นเรื่องผิดถนัด

     เฮียป้องห่างไกลจากการเป็น ‘คนขี้ตามใจ’ อยู่หลายขุม...จริงอยู่ว่าเฮียป้องนั้นเวลาใจดีก็ใจดีเสียจนน่าใจหาย แต่ พอเราพูดคุยเรื่องความรู้สึกของเราให้ชัดเจนมากขึ้น เรื่องบางเรื่องของเฮียก็ทำให้ผมเหนื่อยใจอยู่บ้าง

     “หนึ่ง ไปกินข้าว”

     “หนึ่ง ไปอาบน้ำ”

     “หนึ่ง อย่านอนดึกให้มาก”

     เคยมีสักครั้งไหมที่เฮียจะไม่ออกคำสั่ง!

     ผมรู้อยู่แล้วว่าเฮียป้องเป็นพวกระเบียบจัด เป็นคนเคร่งครัดเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเฮียป้องไม่ได้อยู่กับผม เฮียหารูมเมทไม่ได้ตลอดชีวิต หรือถ้าจะมีผู้หญิงสักคนยอมแต่งงานกับเฮีย ก็คงเป็นพวกหัวอ่อน ไม่หือไม่อือ ไม่คิดต่อต้านทุกคำพูดของเฮียป้องเหมือนผมแน่ๆ

     จริงๆ ชีวิตนักศึกษาคณะสัตวแพทย์ฯ กับคณะสถาปัตฯ เป็นสองคณะที่ไม่ควรโคจรมาพบกันมากถึงมากที่สุด พอผมขึ้นปีสอง ก็เหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่กับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ แบกข้าวของไปส่งตอนเก้าโมง เรียนต่อยันสามโมงแล้วกลับมานอน ตื่นมาอีกทีตอนฟ้ามืด ส่วนเฮียน่ะตรงกันข้าม ตื่นแต่เช้า นอนไม่เกินเที่ยงคืน แต่พอตอนนี้เฮียขึ้นปีสี่ ก็เริ่มอยู่ห้องของตัวเองน้อยลงขณะที่ผมยึดห้องนี้มากขึ้นแทน

     มันน่าน้อยใจไหมล่ะ... บางครั้งผมก็อยากให้เฮียกลับมา ตรงปรี่มากอดผมเหมือนที่ผมอยากกระโดดเข้าไปกอดเฮีย ชวนไปทานข้าวด้วยกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่บ่นๆๆๆ ใส่

     วันนี้ก็เหมือนเดิม เฮียเดินเข้ามาหน้ายุ่งในขณะที่ผมกำลังจัดการกับโมเดลงานวิชาดีไซน์

     “ทำไมยังไม่เก็บขยะจากคราวก่อน” เฮียป้องถามเสียงขุ่น ชี้ไปที่ถุงขยะที่ผมวางไว้ปลายเตียง

     “เก็บแล้วไง” ผมเถียงกลับ “แค่ยังไม่เอาลงไปทิ้ง”

     “แล้วทำไมไม่เอาไปทิ้ง”

     ผมเริ่มพ่นลมหายใจ “ก็แยกไว้แล้ว เดี๋ยวหนึ่งเอาไปทิ้ง จะให้หนึ่งปีนขึ้นๆ ลงๆ ทำไมล่ะ ไม่ใช่ของที่จะเสียหรือมดจะขึ้นเสียหน่อย นั่นกระดาษนะ!”

     เฮียป้องจ้องผมตาเขม็ง ส่วนผมเองก็ไม่ยอมแพ้ ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างเรา ไม่นานผมเองก็เป็นฝ่ายวางข้าวของในมือ ลุกขึ้นคว้าถุงขยะจากกระดาษสองถุงนั่นและเดินออกจากห้องไป

     เฮียป้องแม่ง ไม่น่ารักเลย!

     ผมรู้สึกเหนื่อย ทำไมพวกเราเจอกันแต่ละครั้ง ในสถานที่ที่มีแต่เรา เราต้องตึงใส่กันด้วย ทำไมเราต้องคอยมาหงุดหงิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของกันและกัน ทำไมเราพูดกันดีๆ สักชั่วโมงไม่ได้ เวลาที่ผมไม่ได้ทำงานหรือเฮียไม่ได้อ่านหนังสือเราเองก็สบายดีแท้ๆ แต่พอเรามีความเครียดสะสมจากเรื่องอื่นๆ รอบตัวก็พาลเป็นแบบนี้ไปหมด

     ผมเดินออกมาจากห้อง อารมณ์หงุดหงิดจนเขวี้ยงขยะที่ถังขยะใหญ่ประจำชั้น อยากจะเดินกลับไปในห้องแต่ก็ถือทิฐิเสียจนไม่อยากเจอหน้า ความคิดแรกคือผมควรลงไปซื้ออะไรมากิน แต่ดูเหมือนผมจะไม่ได้แบกอะไรออกมาเลย ทั้งโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์

     แย่ไปหมด ผมเริ่มรู้สึกว่าวันนี้เป็น bad day ของผมอีกแล้ว ท้ายที่สุดผมก็นั่งเก้าอี้ยาวหน้าลิฟต์ ขบคิดเรื่องต่างๆ เรื่อยเปื่อย

     เฮียเคยเหนื่อยแบบที่ผมรู้สึกบ้างไหม เวลาเราไม่ตรงกัน ทัศนคติเราแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมไม่ฉลาดพอจะเข้าใจงานของเฮีย และเฮียเองก็ไร้ศิลปะเกินกว่าจะเข้าใจงานของผม เฮียเคยคิดบ้างไหมว่าแค่เราเรียนมหาวิทยาลัยยังทำให้เราเป็นได้ขนาดนี้... ตอนเราทำงานจะอยู่ด้วยกันได้ขนาดไหน

     ถ้าเฮียไม่เคยคิดเลย...เป็นเพราะเฮียหวังว่าเราจะไปกันรอดแน่ๆ หรือเฮียคิดว่าเราอาจจะคบกันได้ไม่นานพอถึงช่วงทำงานด้วยซ้ำ?

     ผมเพ้อเจ้อ แต่ทุกอย่างทำให้ผมมีอาการบีบรัดในอก เจ็บเสียจนจะล้นปรี่ออกมาเป็นน้ำตารอมร่อ

     “หนึ่ง” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อจู่ๆ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น “ไปกินข้าวกัน”

     “...” ปิดปากเงียบสนิท รู้ว่านี่ไม่ใช่นิสัยที่เฮียชอบแต่ก็ยังทำ

     “งานเร่งไหม” เฮียป้องว่าเสียงอ่อนลงกว่าตอนในห้องลิบลับ “ไปกินข้าวกันก่อนจะได้ไหม”

     ทั้งที่บอกว่าอย่าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นแล้วแท้ๆ ทำแบบนี้ใจผมก็อ่อนยวบยาบกันหมดน่ะสิ

     “...ได้”

     ทั้งที่ผมพูดแบบนั้นแต่เฮียก็ไม่ขยับไปไหน จ้องหน้าผมนิ่งๆ ก่อนที่จะเริ่มไล้ปลายนิ้วลงบนแก้มของผมเบาๆ แต่ทำให้ใจผมสั่นไหวไปทั้งดวง

     “ขอโทษที... ช่วงนี้หงุดหงิดน่ะ แลปมันมีปัญหานิดหน่อย”

     “อื้อ” ผมพยักหน้า “หนึ่งไม่ยอมทำให้เรียบร้อยเอง”

     พวกเราไม่พูดอะไรกันอีก นานอยู่ทีเดียวที่ผมรู้สึกว่าเราใช้ความเงียบพินิจพิจารณาทั้งเรื่องที่เราผิด และเรื่องข้อบกพร่องของอีกฝ่าย จนเฮียป้องลุกขึ้นยืน

     “ไปกินข้าวกันเถอะ”

     มือผมไปก่อนความคิด ผมคว้าชายแขนเสื้อของเฮียป้องไว้ในขณะที่ปากของผมอ้ำอึ้ง “เดี๋ยว... เฮีย”

     อีกฝ่ายหันมาขมวดคิ้วมุ่น

     “เฮียเคยไม่อยากอยู่กับหนึ่งไหม”

     คำถามผมแผ่วเบา...เหมือนจะลอยไปกับสายลม

     คนอายุมากกว่าเงียบกริบแต่ไม่ได้แสดงทีท่าราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด เขาคงแค่ทบทวน แต่เป็นการทบทวนที่ทำให้ผมหวาดกลัวเหลือเกิน

     “หนึ่ง...” ผมพูด เสียงสั่นเล็กน้อย “หนึ่งเข้าใจว่าหนึ่งไม่เป็นระเบียบ นอนดึก ทำตัวไม่น่ารัก และชีวิตเฮียก็คงไม่ค่อยเจออะไรแบบนี้ ส่วนเฮียก็ตรงข้ามกับหนึ่งทุกอย่าง” เหมือนมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ แต่ผมก็ยังพูดอยู่ “เฮียเคยเหนื่อยไหม...ที่เราอยู่กันแบบนี้”

     “เคย” คำตอบสั้นๆ มาพร้อมเสียงถอนหายใจนั่นทำให้ผมเม้มปากแน่น “เคยเหนื่อยน่ะใช่...แต่เรื่องเคยอยากไล่มึงไปอยู่ที่อื่นน่ะ ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ”

     “...”

     “ไม่งั้นกูจะพยายามเรียกมึงมาอยู่ขลุกกับกูทุกสัปดาห์ทำไม จะอาสาทำโมเดลง่อยๆ ให้มึงทั้งที่กูตัดกระดาษไม่ตรงทำไม มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอ...หรืออยากได้ยินชัดๆ”

     “...”

     “ขอโทษที่ขี้บ่น” เฮียพูดอ้อมแอ้ม ไม่ยอมสบตาผมด้วยซ้ำ “กูอาจจะทนสภาพรกๆ นั่นไม่ได้...แต่กูคงทนไม่ได้มากกว่าถ้าไม่ได้อยู่กับมึง”

     “บ้าจริง” ผมกระซิบเสียงแผ่ว ทำได้แต่ก่นด่าอีกฝ่ายในใจว่าขี้โกง มีก้อนความสุขมาจ่ออยู่ที่คอกับสิ่งที่เฮียป้องไม่ค่อยพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ยุติธรรมเลย”

     เฮียป้องกำลังเอามือเกาท้ายทอยแก้เก้อ ในขณะที่ผมแทบจะม้วนตัว ไม่นานเฮียป้องก็ทำลายบรรยากาศด้วยถ้อยคำแสนธรรมดา

     “ไปกินข้าวกัน กูหิวแล้ว”
   



--------------------------------------------------
นี่ก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงเลือกเรียนวิศวะ
ยุ่งมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่มีเวลาเขียนนิยายเลย
นานๆ จะได้เปิดคอมแบบที่ไม่ใช่มานั่งจดเลคเชอร์หรือดูคลิปสอนพิเศษ

ปล. นี่เรียนดรออิ้งด้วยค่ะ แค่ตัวเดียวยังขนาดนี้ นังหนึ่งที่เรียนสถาปัตย์เจอแบบดรออิ้งหลายๆ ตัวหนูทนได้ไงคะ?

เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ

(กรี๊ด ไม่ได้พิมพ์แบบนี้นานแล้ว มีความสุข!)
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: isBelle__ ที่ 19-03-2017 00:16:53
ทำไมต้องน่ารักกันขนาดนี้ หนึ่งเอ้ยรู้ตัวไว้เถอะว่าพี่เค้ารักมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 19-03-2017 20:06:25
ตบไหล่  เอาน่า อยู่ด้วยกันมันก็มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ค่อยๆปรับตัวกันไปเนอะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 21-03-2017 19:37:00
 :mew1: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-04-2017 20:00:17
ชอบความชีวิตประจำวันของเรื่องนี้ ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็ยังทำเป็นเรื่องราวให้เราอ่านแล้วสัมผัสได้ว่าเฮียรักหนึ่ง ขอบคุณมากนะคะ ว่างๆก็แวะมาแต่งตอนพิเศษอีกนะคะ จะรออ่านค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 09-06-2017 10:29:27
ชอบการบรรยายของเรื่องนี้มาก ไหลรื่นดี

อ่านแล้วไม่สะดุดในสำนวนเลย

ไม่หวือหวา ไม่มุ่งมิ้งมาก แต่อ่านแล้วชอบ

เคลียร์ปมต่างๆให้กระจ่างได้ดี

ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 11-06-2017 01:02:27
อ่านจนจบ รวดเดียวยาว ๆ

ปัญหามันเริ่มจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศตอนเด็ก แล้วก็ถูกปกป้องจนมากเกินไปจากแม่ แม่หนึ่งที่รักมากจนเกินไป พยามปกป้องลูก จนทำให้หนึ่งเป็นเด็กหวาดกลัว เราว่าหนึ่งน่าสงสาร แต่คนที่น่าสงสารกว่าคือปกป้อง คนที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดเวลา ทั้งที่รักมาก แต่ยื่นมือไปทำอะไรไม่เคยได้

ยิ่งตอนที่กานดามาโวยวายว่าป้องล่วงละเมิดทางเพศ สิ่งแรกที่แว๊บในหัวเรา เออ ไม่แปลกใจละทำไมหนึ่งตีค่าตัวเองไว้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพราะมีแม่เป็นแบบนี้ แม่ที่คอยแต่จะมองว่าลูกถูกรังแกตลอดเวลา ไม่มองว่าลูกพร้อมที่จะเข้มแข็งและก้าวเดินด้วยตัวเอง

มันก็อึน ๆ อ่านไปคิดตามไปตลอดเลย ชอบพ่อกับแม่ปกป้องสุดละ รู้สึกว่าสมกับเป็นพ่อแม่ที่ดีจริง ๆ ไม่แปลกหรอกที่ปกป้องจะมีนิสัยสมชื่อ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || ตอนพิเศษ 2 - เรื่องเล็กๆ (18.03.2017) - Pg. 5
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 11-06-2017 10:25:30
เป็นนิยายที่อึมครึมและอึดอัดมากค่ะ มีอ่านแบบสบายใจอยู่สองสามตอน แต่สนุกดีค่ะ ชอบปกป้องมากเลย  :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง + ปก/รายละเอียด P.6/30-06-17]
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 30-06-2017 21:15:17
(http://upic.me/i/gw/pre-view.png)

Title :: ขอให้ (ไม่) ใช่รัก
Category :: BL
Author :: เอ็นเอ็น

รายละเอียดหนังสือ
- หนังสือขนาด A5
- เนื้อหาประมาณ 380 หน้า
- ราคา 430 บาท (หนังสือ 390 บาท ค่าส่งลงทะเบียน 40 บาท)
- กรณีสั่งมากกว่า 1 เล่ม ค่าส่งคิดชุดถัดไปเป็นชุดละ 415 บาท (หนังสือ 390 บาท ค่าส่งลงทะเบียน 25 บาท)
เช่น สั่งหนังสือ 2 เล่ม คิดเป็น 430 + 415 = 845 บาท
       สั่งหนังสือ 3 เล่ม คิดเป็น 430 + 2(415) = 1,260 บาท
- ของแถมคือที่คั่น 1 อัน/เล่มค่ะ ถ้ายอดจองพอ อาจจะแถมอย่างอื่นอีก
เนื้อหาในเล่ม ::
เนื้อเรื่องหลักจำนวน 27 ตอน   
ตอนพิเศษจำนวน 6 ตอน
- ฝันดีนะ (ลงในเว็บ)
- เรื่องเล็กๆ (ลงในเว็บ)
- ในฐานะแม่
- ครั้งแรก
- คนขี้หึง VS คนขี้หวง
- แสนรัก

พิเศษ! สำหรับคนโอน 20 อันดับแรก รับมินิโนเวล MIDSUMMER's ICE CREAM (รีไรท์)

หมายเหตุ :: หนังสือน่าจะได้รับช่วงปลายเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

สั่งจองหนังสือ :: https://goo.gl/forms/Ns8yl0J77ULqnBTs2
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจองหนังสือ P.6/21-06-17]
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 07-07-2017 23:01:46
(http://upic.me/i/z5/irso5.png)
SPOIL ตอนพิเศษ

ในฐานะแม่


     กานดาเป็นแม่ที่แย่ ถึงลูกชายหล่อนไม่พูดออกมา หล่อนก็รับรู้ได้โดยดี

     เธอไม่มั่นใจว่าเธอเป็นคนที่แย่ถึงเพียงนี้ได้ตอนไหน ชีวิตวัยสาวเธอมีผู้คนมาให้เลือกมากมาย แต่คล้ายว่าสายตาของเธอจะมีปัญหา ถึงไปเลือกใช้ชีวิตร่วมกับคนอารมณ์ร้อนที่เป็นลูกจ้างในไร่ในสวน นอกจากเธอต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวแล้ว ยังแทบไม่มีเงินเก็บเพราะผู้ชายคนนั้นเอาเงินของเธอลงขวดเหล้าไปหมด

     เธอคิดมาตลอดว่าเขาจะเปลี่ยนเมื่อมีลูกเหมือนคำรักที่เขาเคยกระซิบพรอดให้ฟัง แต่คล้ายว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด มันเลวร้ายกว่าเดิมเสียอีก

.

.

.

     กานดาเอาแต่รำพันกับตัวเองว่าหล่อนพลาดไปตอนไหน เพราะเหตุใดหล่อนจึงไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ส่งมาจากลูกชาย สัญญาณขอ
ความช่วยเหลือของหนึ่ง...เหตุใดเธอจึงไม่รับรู้มัน เหตุใดเธอจึงปล่อยให้ลูกชายเจอเรื่องราวพรรค์นี้อยู่คนเดียว เพราะเธอกำลังพยายามสร้างตัวใหม่หรือ เพราะเธอกำลังวุ่นวายกับการงานอย่างงั้นหรือ เพราะเธอไม่มีเวลาให้ลูกอย่างงั้นหรือ

     คำถามต่างๆ ถาโถมเข้าหาหล่อนอย่างไม่จบไม่สิ้น กลบฝังร่างเธอไว้ภายใต้ความเจ็บปวดและน้ำตาจากหัวใจที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีตอนที่ได้ยินข่าวครานั้น

.

.

.

     “หนึ่ง” เสียงขานชื่อลูกคนเดียวของเธอเบาไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

     ลูกรักของหล่อนกำลังคุยกับ ‘เฮียป้อง’ ของอีกฝ่าย ตอนแรกก็ยิ้มหัวเราะให้กันดี แต่พอได้ยินเสียงของกานดา กลับกลายเป็นว่าสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาสีหน้าลำบากใจอย่างปิดไม่มิด

     กานดาไม่มั่นใจว่าเธอยิ้มหรือเปล่า แต่ในอกวูบโหวงเหลือเกิน

     แม้ไม่ได้ต่อต้าน แต่เรื่องแบบนี้เองก็ไม่ได้ง่ายที่จะทำใจยอมรับสักหน่อย

.

.

.



ครั้งแรก


     นานพอดูเหมือนกันที่เราจูบกัน จนผมเริ่มสะดุ้งยามเฮียไล้มือเย็นๆ ของตัวเองไปโดนหัวไหล่ของผมที่โผล่พ้นเสื้อกล้าม รู้สึกจั๊กจี้ระคนมวนในท้องอย่างบอกไม่ถูก

     เฮียผละออก ส่วนผมกดจูบลงไปใหม่เพราะรู้สึกว่านี่ยังไม่เพียงพอ มันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเกิดขึ้นจากใครก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกที มือของผมก็ปะป่ายอยู่บนหลังของเฮีย ส่วนหลังของผมแนบไปกับผ้าปูที่นอนเสียแล้ว

     ผมสัมผัสได้ถึงความมวนในช่องท้อง รู้สึกคล้ายจะ ‘รู้สึก’ อะไรขึ้นมาที่ตำแหน่งกึ่งกลางร่างกายเสียอย่างนั้น

     .

     .

     .

     ผมอยากจะกดจูบหนักๆ ใส่อีกฝ่ายให้พูดอะไรไม่ได้อีกเลย แต่ปล่อยให้เฮียพูดไปท่าจะน่ารักดี หูของเฮียปกป้องเริ่มแดง อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาปิดปาก คาดว่าน่าจะอายมากจริงๆ แต่ผมน่ะ ทั้งดีใจที่เฮียอยากสัมผัสผม เลิกอายที่รับรู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองคนเดียว และเสี้ยวหนึ่งก็ดีใจที่ในที่สุดอีกฝ่ายก็เสียฟอร์มเสียที

     ผมเอื้อมแขนไปกอดเฮียไว้หลวมๆ ซบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย เสียงหัวใจเฮียเต้นดังมาถึงนี่ให้ผมได้ยินเลยด้วยซ้ำ

     “เฮียป้อง” ผมก้มลงจุมพิตไหปลาร้าของอีกคนเบา

     เจ้าของชื่อครางฮึ่มในลำคอ “หนึ่ง... ไม่เอาน่า” เอื้อมมือพยายามผละผมออกอย่างไม่จริงจัง แต่สิ่งที่ผมทำมีเพียงกดจูบลงฝ่ามือ “พรุ่งนี้ว่าจะให้ตื่นเช้า...”

     ผมอยากจะบอกเฮียไปว่า ‘ช่างแม่งเถอะน่า’ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น เพียงพรมจูบลงบนหัวไหล่แกร่งและต้นแขนของอีกฝ่าย  พอเงยหน้ามองอีกทีก็เห็นประกายวาววับในสายตาอีกคนแบบที่ไม่เห็นบ่อยนัก เล่นเอาก้อนเนื้อในอกสั่นไหวเสียจนแทบลืมทุกสิ่ง เฮียป้องเป็นฝ่ายจับใบหน้าของผมบ้าง จากนั้นก็ก้มลงมาแนบริมฝีปาก ร้อนแรงกว่าสิ่งใดๆ ที่เราเคยทำ

     ผมรู้ในตอนนั้นเองว่าพรุ่งนี้เฮียคงไม่มีโอกาสบ่นเรื่องผมตื่นสายในเช้าวันพรุ่งนี้ เพราะผมจะทำให้เฮียตื่นสายไปพร้อมๆ กันเนี่ยแหละ

     .

     .

     .

     
คนขี้หึง VS คนขี้หวง


     บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่นัก อย่างน้อยๆ ผมก็เข้าใจมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่คนขี้หึง แต่ดูเหมือนผมในตอนนี้จะไม่เป็นแบบนั้นเท่าไหร่

     หนึ่งนั่งอยู่กับหลานรหัสของมัน หัวเราะคิกคักไปพลางขณะที่หลานรหัสมันกำลังประกอบโมเดล หน้าที่ที่ผมไม่สามารถช่วยได้ ก็ใช่สิ ผมมันขาดทักษะด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์โดยสิ้นเชิง จะให้มาจัดวางส่วนประกอบตามแปลนที่หนึ่งสร้างไว้ก็คงทำไม่ได้หรอก ที่ทำได้ก็แค่การใช้คัตเตอร์กับกรรไกรโง่ๆ อยู่ตรงนี้เท่านั้น

     “เฮีย พรุ่งนี้ไปคลีนิกกี่โมงนะ” เหมือนเจ้าตัวรู้ตัวว่าผมไม่พอใจ หนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมาถามผมที่กำลังตัดกระดาษให้เงียบๆ

     “เจ็ดโมงครึ่ง” ผมตอบไปตามจริง

     “เฮียไปนอนไหม” ผมนิ่งงัน ไม่ทันที่จะพูดอะไรออกมาหนึ่งก็อธิบายเสร็จสรรพ “เดี๋ยวหนึ่งให้ไอ้เค้กช่วยเอง”

     “ได้นะพี่ ผมอยู่ได้อีกยาวๆ” หลานรหัสชื่อขนมหวานมันก็ดูจะเห็นดีเห็นงามด้วยเหลือเกินกับการให้ผมไปนอน

     ผมรู้น่าว่านี่มันงี่เง่า ไม่สมเป็นผมเลยสักนิดแต่จะทำอย่างไรได้ เห็นทีผมต้องยอมรับจริงๆ แล้วตำแหน่งคนช่วยงานหนึ่งเนี่ย...ไม่อยากจะยกให้ใครเลย

     .

     .

     .

     เฮียป้องควรทำตัวให้ฉลาดในชีวิตจริงเหมือนในตำราที่เอาแต่อ่านบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ควรรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงคนไหนเข้ามาเป็นรุ่นพี่หรือมาอ่อย

     ‘น้องป้องถึงบ้านหรือยังคะ? พี่ถึงบ้านแล้วนะ’

     ยิ่งมองข้อความที่ส่งมายิ่งชวนให้ผมรู้สึกโมโห ความขุ่นเคืองใจวิ่งแล่นไปทั่วร่างแบบที่เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่ได้ ผมไม่ได้เกลียดเวลาเฮียป้องมีเพื่อนหรอก จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมดีใจด้วยซ้ำกับการที่เฮียทำตัวเข้าสังคมเสียบ้าง แต่บางทีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนอย่างเฮียป้องที่หน้าตาค่อนไปทางดี ฐานะดี กำลังฝึกงานในฐานะสัตวแพทย์ แถมเกรดตอนนี้ก็สอยเกียรตินิยมได้แบบไม่ต้องลุ้น ถือว่าเป็นผู้ชายที่เป็นที่ต้องการของตลาดมากๆ

     ก็เพราะแบบนี้แหละ...กระทั่งหมอที่คลีนิกยังอ่อยเฮียขนาดนี้เลย ผมจะนิ่งนอนใจได้ยังไงวะ ทำไมไม่หัดรู้ตัวสักทีวะเฮียป้อง!

     .

     .

     .
แสนรัก
   
     
     “ปกป้อง ไหนมานี่สิ”
   
     “ครับ” ผมขานรับ วางปากกาจากการตรวจเช็กข้อมูลทั้งหมดเพื่อเดินไปหาอาจารย์ที่ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นเจ้าของคลีนิกในทันที ลองเรียกแบบนี้แล้ว ไม่น่าจะใช่เรื่องดีได้เลย
   
     อาจารย์ไตรภพเดินมาหน้ากรงสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย ที่นี่เป็นคลีนิกเล็กๆ มีที่สำหรับสัตว์นอนค้างได้ไม่เกิน 2-3 วัน ถ้าเห็นอาการไม่ดี ส่วนใหญ่ก็แนะนำให้เจ้าของพาไปโรงพยาบาลสัตว์ดีกว่า
   
     ผมเตรียมตัวจะโดนอาจารย์ว่าแล้ว แม้คิดว่ายังไม่มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องใหญ่ก็เถอะ แต่สิ่งที่อาจารย์ทำคือชี้นิ้วไปที่กรงริมซ้ายสุด
   
     “เจ้าตัวนี้เอายังไง?”
   
     ...เป็นกรงที่มีลูกแมวสีส้มหนึ่งตัว...
   
     .
   
     .
   
     .
   
     “แล้วเฮียจะเลี้ยงจริงๆ เหรอ”
   
     “ชั่วคราว” ผมแก้คำให้ถูกต้อง เหลือบสายตามองหนึ่งที่กำลังเล่นกับลูกแมวตัวเล็กอยู่แล้วอดเตือนไม่ได้ “อย่าบีบมันแรงล่ะ ตัวยังเล็กอยู่เลย...อย่าให้ของกินสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยนะ”
   
     หนึ่งหันมาถอนหายใจ “ครับพ่อ” พูดคำเดิมแบบนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว

     ขอโทษแล้วกันที่ขี้บ่นเหมือนพ่อ

     แต่พอมองหนึ่งเล่นกับลูกแมวขนาดแทบจะเท่าฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้วอดเหนื่อยใจไม่ได้ ปรามไว้หน่อยท่าจะดีเพราะแมวสีส้มที่กำลังทำท่าเคลิ้มเวลาหนึ่งลูบ ผิดวิสัยแมวทั่วไปที่มักจะไม่ยอมให้ผู้คนมาเล่นด้วย แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ถ้าเจ้าลูกแมวตัวนี้เป็นแมวจรคงไม่แปลกที่จะยอมให้หนึ่งเล่นกับมันแบบนี้

     “แล้วน้องชื่ออะไรล่ะเฮีย”

     ผมเลิกคิ้วอีกครั้งกับสรรพนามที่หนึ่งแทนเจ้าตัวเล็กนั่น มองกระดาษที่กรอกข้อมูลในมือแล้วพาลเหนื่อยใจกับชื่อ

     “แสนรัก”
     .

     .
     
     .

     .

อ่านรายละเอียด / สั่งจองหนังสือ
https://goo.gl/forms/Ns8yl0J77ULqnBTs2




หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง+สปอย+ปก P.6/07-07-17]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 09-07-2017 19:54:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง+สปอย+ปก P.6/07-07-17]
เริ่มหัวข้อโดย: Republic_ ที่ 09-07-2017 21:03:23
อปป้าปกป้อง  :o8:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง+สปอย+ปก P.6/07-07-17]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-09-2017 08:10:48
ตามมาจากกระทู้แนะนำนิยาย สนุกมากเลย ชอบมากกกกก  o13  มันค่อยๆ ลำดับไล่ความรู้สึกกันขึ้นมา ความบีบ ความหน่วงมันกำลังพอดี ไม่มากไม่น้อย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง+สปอย+ปก P.6/07-07-17]
เริ่มหัวข้อโดย: khungyf ที่ 18-12-2017 11:29:00
คิดถึงเฮียป้องกับน้องหนึ่งงงงงง
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง+สปอย+ปก P.6/07-07-17]
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 28-04-2018 19:11:34
สนุกมากกกก
ชอบเฮียป้องมาก เป็นเด็กดีจริงๆ เลยน้า ว่าที่คุณหมอคนนี้. ตอนที่แม่เกดพูดประมาณว่า เราไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้พ่อกับแม่เลย แค่จะเป็นเกย์มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสักหน่อย.
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 21-05-2018 21:47:17
(http://upic.me/i/48/x2vxn.png)

Title :: ขอให้ (ไม่) ใช่รัก
ฺCategory :: BL
Author :: เอ็นเอ็น
ตัวอย่างนิยาย :: https://writer.dek-d.com/nnsone/writer/view.php?id=1440764

เปิดจองตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 30 มิถุนายน 2018

รายละเอียดหนังสือ
- หนังสือขนาด A5
- เนื้อหาจำนวน 386 หน้า
- ราคาชุดละ 430 บาท รวมส่งลงทะเบียน
- เนื้อหาในเล่ม ::
            เนื้อเรื่องหลักจำนวน 27 ตอน
            ตอนพิเศษจำนวน 6 ตอน
                             - ฝันดีนะ (ลงในเว็บ)
                             - เรื่องเล็กๆ (ลงในเว็บ)
                             - ในฐานะแม่
                             - ครั้งแรก
                             - คนขี้หึง VS คนขี้หวง
                             - แสนรัก
- ของแถม :: ที่คั่นหนังสือ 1 อัน
- หนังสือจะจัดส่งประมาณหลังปิดจอง 1-2 อาทิตย์นะคะ

พิเศษ! คนโอนเงิน 20 คนแรก เปลี่ยนเป็นจัดส่ง EMS ฟรี

สั่งจอง :: //goo.gl/hDACnp 
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 05-06-2018 23:46:45
อ่านจบแล้วเราไม่ค่อยชอบหนึ่งเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับได้ ขอให้เฮียมีความสุขนะคะ รักเฮียถึงจะขี้บ่นไปหน่อยก็เถอะ555555
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 09-06-2018 08:17:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 22-06-2018 19:16:18
อ่านรวดเดียวจบ มันหน่วงแต่ก็เบาๆ สงสารทั้งน้องสงสารทั้งเฮีย
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 16-09-2018 16:27:24
 o13
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 20-09-2018 18:09:08
เฮียป้อง~~

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 23-09-2018 19:28:11
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: AvvyLady ที่ 18-02-2019 21:34:53
ขออนุญาตแปะไว้ก่อนนะคะ รีวิวดีมากเราจะกลับมาอ่านแน่นอนนน

Sent from my CPH1611 using Tapatalk

หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 17-03-2019 17:03:01
 o13 :really2:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: ขอบฟ้าสีจาง ที่ 19-04-2019 20:36:15
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่านนะคะ  สนุกมากเลยค่ะ  ถึงจะขี้บ่นแต่พี่ป้องน่ารักมากๆเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-04-2019 22:57:19
ชอบความมีที่มาที่ไปของตัวละครมาก ชอบครอบครัวอบอุ่นของพี่ปกป้องมาก ชอบหลายๆ เหตุผลที่เป็นค่ะ
คุณนักเขียนเก่งมากๆ เลยค่ะ สำนวนการอ่านไหลลื่นมาก ชอบมากเลย
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
เริ่มหัวข้อโดย: BORA ที่ 10-08-2019 16:02:03
ภาษาดี  เนื้อเรื่องพาน้ำไหลพรากเหมือนกันนะคะ  เป็นความรักแบบมีคงามอึดอัด  แต่ก็ไปด้วยกันได้