CHAPTER 27
‘แพ้’ ผมกอดอก เคาะนิ้วเป็นจังหวะอย่างนึกโมโห ก่อนหน้านี้สักหนึ่งชั่วโมงมันเป็นความรู้สึกร้อนรนใจหากแต่ช่วงนี้กลับกลายเป็นไม่พอใจมากกว่า
สักพักประตูห้องก็เปิดออก เจ้าตัวปัญหาสะดุ้งเล็กน้อยยามเห็นผมนั่งอยู่บนโซฟา เพื่อนสนิทสองสามคนของมันทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างผงกหัวทักทายผมเล็กน้อย ไม่เอ่ยเป็นคำพูดเหมือนปกติ คงเป็นเพราะคิ้วที่ขมวดบนหน้าผากของผมนี่กระมัง
ผมหันเหความสนใจจากหนึ่งไปทางเพื่อนผู้หญิงสองคนของมัน ท่าทางเมาแอ๋กว่าปกติ
“แป้งกับแก้วตากลับบ้านยังไง”
“เดี๋ยวไอ้โอ๊ตไปส่งค่ะ ไม่ต้องกังวล” เจ้าหล่อนเอ่ยปาก ยิ้มแหยให้ผมพลางดันหลังเจ้าตัวปัญหาให้เข้ามาในห้อง “งั้นเดี๋ยวขอตัวเลยนะเฮีย”
“อืม... กลับดีๆ ล่ะ”
ทั้งสามคนพยักหน้ารับคำแล้วหันกลับไปหลังจากดันเพื่อนตนเองเข้าห้อง จัดการปิดประตูให้เสร็จสรรพ ถือเป็นเพื่อนที่น่ารักพอตัว
หนึ่งยังยืนนิ่งไม่ไหวติงในขณะที่ผมมองสำรวจมันตั้งแต่หัวจรดเท้า มีรอยช้ำบริเวณข้างแก้มเล็กน้อยให้นึกหงุดหงิดใจ บรรยากาศตึงเครียดที่ติดค้างกันตั้งแต่เมื่อเช้าพาลทำให้ในห้องไม่น่าอยู่เท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เลยจะไม่กลับห้องเหมือนมันเสียหน่อย
“มานี่” ผมเรียกอีกฝ่าย ตบเบาะบนโซฟาเบาๆ แต่มันก็ยังยืนอยู่ที่เดิม “หนึ่ง”
“...รู้แล้ว” เจ้าตัวปัญหาบ่นงุบงิบอย่างไม่พอใจ ถึงกระนั้นมันก็ยังเดินมาแต่โดยดี
ผมผ่อนลมหายใจตอนหนึ่งนั่งระดับเดียวกัน เมื่อใบหน้าของมันอยู่ตรงหน้าผม เอาแผลจากการถูกต่อยมาให้เห็นชัดๆ ก็พาลให้หงุดหงิดมากกว่าเดิมเพราะเพิ่งเห็นว่ามีปากแตกเล็กน้อยด้วย ผมจึงหยิบเครื่องมือทำแผลที่เอามาเตรียมไว้ตั้งแต่ติดต่อมันได้ จัดการกดแผลตรงนั้นหนักเสียหน่อยจนหนึ่งร้องคราง
“เจ็บไหมล่ะ” ผมถามเสียงเรียบ
มันเบือนหน้าหนี ผมเลยนับหนึ่งถึงสิบก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนู ชุบน้ำอุ่นบิดให้มาดๆ แล้วยื่นให้อีกฝ่าย “ประคบซะ... แล้วมันใช่เรื่องไหมที่กูต้องมาทำแผลให้มึง”
“ก็ไม่ต้องทำสิ” มันเถียงเสียงเบา
ผมเลิกคิ้ว “ก็ไม่ต้องตีกับชาวบ้านสิ” ย้อนกลับอย่างอารมณ์เสีย
พอเป็นเช่นนั้นหนึ่งก็จนคำพูด ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟานั่นแหละ
ผมกับหนึ่งทะเลาะกันมาตั้งแต่เช้า มันเป็นเรื่องเล็กๆ เนื่องจากหนึ่งกินเอ็มร้อยห้าสิบ ผมพยายามทำความเข้าใจว่ามันต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากในการทำโปรเจ็กอะไรสักอย่างในคณะมัน แต่เราก็เคยตกลงกันแล้วว่าผมไม่อยากให้ทำแบบนี้บ่อย เมื่อเช้าตอนตื่นมาเห็นขวดเครื่องดื่มชูกำลังสามขวดในสองวันเล่นเอาลมแทบจับ ผมเอ่ยปราม หนึ่งอยู่ในสภาพที่ต้องปั่นงานให้เสร็จ ไม่ได้นอน แถมยังหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่างานจะผ่านรึเปล่ากลายเป็นว่าเราพูดจาไม่ดีใส่กัน จากนั้นก็ทะเลาะกัน บรรยากาศน่าปวดหัวยังคงอยู่แม้ผมไปส่งมันที่คณะ เพื่อนๆ มันก็คงรับรู้แล้ว
พอตอนเย็น ผมก็หงุดหงิดซ้ำสอง ลงมาจากแลป คิดว่าจะได้เจอมันที่เดินมายิ้มร่าบอกว่างานผ่านแล้ว กลายเป็นมันไลน์บอกห้วนๆ
‘งานผ่าน ไปกินเหล้านะ’ ไอ้เรื่องเหล้านี่ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไร หนึ่งไม่ใช่คนกินบ่อยแต่กินทีเมาหัวทิ่มจนน่าปวดหัว ไอ้ผมก็นึกว่ามันคงจะมานอนที่หอเหมือนปกติ (หลังจากมาอยู่ห้องผมเพราะข้าวของเยอะเกินกว่าจะแบกกลับไปในห้องนั้นมาแล้วสองสามวัน) แต่พอเที่ยงคืนก็ยังติดต่อไม่ได้ ไลน์ไปไม่ตอบ พอตีหนึ่งผมก็เริ่มหงุดหงิด ตัดสินใจโทรหาไอ้โอ๊ต ได้ยินเสียงมันถามเพื่อนมันว่าหนึ่งอยู่ไหน จากนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย จับศัพท์ได้ว่ามีเรื่องตีกัน แถมยังได้ยินชื่อไอ้ตัวปัญหาดังมาในลำโพงเสียอีก
คิดว่าถ้าผมไม่บังเอิญไปอยู่ในจังหวะนั้นพอดี หนึ่งคงปิดบังเรื่องนี้อีกตามเคย แต่เจอแบบนี้ไปยังไงก็ปิดบังไม่อยู่ ผมเลยไลน์ไปบอกว่าให้รีบกลับมา จากนั้นไม่นานมันก็กลับมานี่ไง
ผมมองร่างของอีกฝ่ายที่นอนขดตัวบนโซฟา “จะนอนตรงนี้หรือไง”
มันเงียบ
“โอเค ตามสบายเลย” ผมถอนหายใจอีกครั้ง “มึงอยากทำอะไรก็ทำเลย กูจะนอนแล้ว”
ผมอดไม่ได้ที่จะว่าเช่นนั้น หนึ่งก็ยังเงียบอีก ผมเลยเดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงฝั่งตัวเองเพราะเราลากเตียงมาติดกันและวันนี้คงไม่มีแรงลากเตียงออก หนึ่งคงไม่อยากจะนอนกับผมมั้ง พอคิดเช่นนั้นแล้วเลยหงุดหงิดขึ้นอีกนิดหน่อย ลงแรงกับการกดปิดไฟและเตะข้าวของแถวเตียงเป็นการระบายอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ
เพราะความคุกกรุ่นสุมอกเลยนอนไม่หลับ แม้รู้ดีว่าพรุ่งนี้มีเรียนตั้งแต่เก้าโมงผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี อาจจะเป็นผลพวงมาจากการนอนดึกติดต่อกันหลายวันด้วย
สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู จังหวะเหยียบย่างที่ยั้งเท้าเบาๆ ของอีกฝ่าย
“เฮีย...หลับแล้วเหรอ” มันพูดเสียงแผ่ว
ผมไม่ตอบอะไร
ได้ยินเสียงหนึ่งถอนหายใจ ตามมาด้วยเสียงเปิดตู้เสื้อผ้า สักพักก็เป็นเสียงเปิดประตูห้องน้ำ ทุกอย่างทำอย่างเงียบเชียบผิดกับปกติของมัน ได้ยินเสียงฝักบัวไม่นานมันก็เดินออกมา ทิ้งกายนอนข้างๆ ผมจนผมสัมผัสได้ถึงหยดน้ำจากตัวอีกฝ่าย
“ไปเช็ดผมให้แห้ง” ผมเอ่ยปราม
หนึ่งดันกายขึ้น ชะโงกตัวมาทางผมที่นอนหันหลังให้มันอยู่ “เฮียยังไม่นอนนี่”
“นี่ใช่สิ่งที่มึงควรพูดเหรอ?” คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง “...ขอโทษครับ” ก่อนที่จะเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
ได้ยินในสิ่งที่อยากฟังแล้วผมจึงหันไปมองหน้าอีกฝ่าย หนึ่งนอนตะแคงข้างหันมาทางผม เส้นผมเปียกชื้นแนบลู่ใบหน้า
“ไปเช็ดผมไป เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก”
“หนึ่งง่วงนี่นา”
“ถ้าง่วงทำไมไม่กลับมานอนตั้งแต่ต้น” อีกฝ่ายย่นจมูก เอาหน้าซุกลงกับหมอนราวกับจะหนีคำบ่นจนผมต้องเอื้อมมือไปดึงมันขึ้นมา “ไปเป่าผม ไม่งั้นก็ยังไม่ต้องนอน”
“ทำไมต้องทำตัวเป็นพ่อด้วยเนี่ย”
“มึงยังไม่ชินอีกหรือยังไง ลุก!”
พอผมขึ้นเสียงเข้าหน่อย เจ้าตัวปัญหาก็ยอมลุกจากเตียงแต่โดยดี มันทำหน้ามุ่ยหยิบไดร์เป่าผม (ของผม) ไปใช้เสียเสร็จสรรพ เหมือนจงใจกวนกันว่าถ้าผมไม่ยอมให้มันนอน ก็ทนตื่นเพราะเสียงไดร์ไปก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ช่างเป็นเด็กที่น่าปวดหัวเสียจริง “มาทำอะไรที่นี่”
ผมอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เดินลงจากตึกเรียนมากลับเจอหนึ่งนั่งอยู่พร้อมกับแก้วกาแฟเย็นที่ใต้ตึกโดยไม่นัดกันไว้ ...ไอ้นี่ก็กินแต่คาเฟอีน บอกให้ลดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักฟัง
เจ้าตัวหันมายิ้ม “มาหาสิ วันนี้หนึ่งว่างๆ”
“เอาเวลาว่างไปทำงานบ้างนะ จะได้ไม่ปั่นลืมตายอีก”
ผมอดประชดถึงนิสัยการทำงานของมันไม่ได้ พอบ่นมันก็บอกว่าอารมณ์ยังไม่มา วันๆ เอาแต่ดองงานไว้ พอใกล้ๆ ค่อยมาทำงานทั้งวี่วัน นั่งหลังขดหลังแข็งทำงานที่เขาให้เป็นเดือนในหนึ่งอาทิตย์
“ว้าว” เสียงสอดรู้สอดเห็นดังมาจากเพื่อนที่เดินลงมาด้วยกัน
ผมหันไป “ว้าวอะไร”
“เปล่าจ้า เปล่าเลยยยย” ไอ้กันต์ลากเสียงยาว แววตานี่เป็นประกายเหมือนจะล้อเลียน จริงๆ ก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าล้อไปผมก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี “แปลกใจไง แบบอยู่ๆ ก็เห็นคนดังคณะอื่นโผล่หน้ามาที่คณะหมอหมา”
ผมกลอกตาเล็กน้อย หันไปอีกข้างก็เจอไอ้ภีมมองหนึ่งที่นั่งอยู่ด้วยแววตาล้อเลียน ไอ้เจ้าเด็กมากปัญหาคงเข้าใจเลยหัวเราะแห้งๆ แล้วเอามือเกาท้ายท้อยอย่างเก้อเขิน
“งั้นนัดไปกินข้าวพวกกูคงไม่ต้องไปแล้วเนอะ” ไอ้กันต์มิวายแซวต่อ
“อ้าว เฮียจะไปกับเพื่อนเหรอ” หนึ่งแทรกขึ้นมาทันที
ผมหันไป “กูยังไม่ได้ตกลงเลยนะ”
เพียงเท่านั้นเพื่อนทั้งสองคนก็ทำหน้าปูเลี่ยน ไอ้ภีมเอามือทาบอก ไอ้กันต์แทบจะมองบน
เปล่าพูดผิดเสียหน่อย... ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย แค่นั่งฟังพวกมันสองคนจะไปกินเงียบๆ เท่านั้น เรียกว่ายังอยู่ในระยะตัดสินใจต่างหาก พอหนึ่งมาถึงนี่ก็ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
ผมรีบขอตัวออกมาเพราะเกรงว่าถ้าหนึ่งอยู่ในวงล้อมนั้นอีกนาน จะโดนแซวเสียจนไปต่อไม่เป็น พวกนี้ไม่เหมือนเพื่อนของหนึ่งที่ดูให้เกียรติผมมากจนไม่กล้าแซวอะไรเสียหน่อย
หนึ่งบอกผมว่าจะมาติดรถผมแบกข้าวของส่วนหนึ่งจากคอนโดกลับหอพัก มันคงจะกลับไปนอนห้องของพี่เต้ยเหมือนปกติแล้วหลังงานเสร็จ ได้ยินเช่นนั้นผมก็อดเอ่ยปากไม่ได้
“คอนโดกูก็เป็นหลุมหลบภัยเท่านั้นสินะ”
มันยิ้มขำ “งอนเหรอ”
“อยู่กับกูมานาน ยังไม่รู้อีกหรือไง”
เพียงเท่านั้นมันก็ระเบิดหัวเราะ คว้าเอวผมไปกอดไว้ตอนผมสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับไปที่คอนโด
“ทำมาบอกว่าหนึ่งติดเฮีย... จริงๆ แล้วเฮียติดหนึ่งต่างหาก!” ทั้งที่เป็นความจริงที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่พอโดนคนถือไพ่เหนือกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความยินดีเช่นนี้แล้วรู้สึกแพ้ชอบกล
เอาเถอะ... ยังไงผมก็ ‘แพ้’ อยู่แล้ว พวกเราซื้อข้าวจากร้านใต้หอขึ้นไปสำหรับมื้อเย็น บอกมันว่ากินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจัดการย้ายข้าวของต่างๆ นานาของมันไป หนึ่งทำงานทีไร ห้องผมรกเสียจนดูไม่ได้จนมันแบกข้าวของกลับไปนั่นแหละ จากนั้นห้องของผมก็จะสะอาดจนกว่ามันจะแบกของมาพักใหม่
“เออ จริงสิ” มันเอ่ยปากระหว่างมื้ออาหาร “เห็นสัปดาห์นี้แม่จะแวะมาหานะ”
ผมพยักหน้า น้ากานดาไม่ได้ติดต่อมาหาผมเหมือนแต่ก่อน แต่มักจะติดต่อผ่านแม่ของผม หรือหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ทำอาหารมาให้เหมือนตอนที่หนึ่งยังอยู่นี่ คงเป็นเพราะน้ากานดารู้แล้วว่าหนึ่งมาพักห้องผมอยู่บ่อยๆ บางครั้งแม่ยังเอ่ยปากอยู่เลย
“หนึ่งไม่ย้ายมาอยู่กับป้องเสียเลยล่ะ” เจ้าตัวที่กินข้าวอยู่ไอค่อกแค่กเมื่อแม่ผมพูดเช่นนั้น ในขณะที่ผมเองก็ยังขมวดคิ้วมุ่น พอแม่จับพิรุธได้ท่านเลยเอามือส่ายไปมา
“อุ๊ย แม่ไม่ได้ตั้งใจจะสู่ขอนะลูก” เล่นเอาหนึ่งไอหน้าดำหน้าแดงกว่าเดิมเสียอีก
“ไม่ได้หรอกครับ พอดีตกลงกับพี่รหัสไว้แล้ว คงจะอยู่ที่นู่นจนพี่เขาเบื่อไปข้าง” นั่นเป็นข้ออ้างเดิมที่ผมได้ยินจนเบื่อ หนึ่งคงจะอยู่กับพี่รหัสของมันจนกว่าพี่รหัสมันจะย้ายกลับบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นตอนที่ฝ่ายนั้นเรียนอยู่ปีห้า เพราะวิชาเรียนลดลง
หนึ่งบนโต๊ะอาหารผลุบตาต่ำ
“แล้วก็...” ลากเสียงยาวเสียจนทั้งครอบครัวผมเองก็สนใจใคร่รู้ไปด้วย
“แม่คงไม่อยากให้มาอยู่กับเฮียป้องตลอดด้วยน่ะครับ” เจอเหตุผลนี้เข้าไป ทั้งผมทั้งแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เข้าใจว่าแม่ของหนึ่งยังคงงุนงงและทำใจยอมรับได้ไม่เต็มรูปแบบ อาจจะต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกไม่น้อยเลยทีเดียวว่าผมสามารถ ‘ดูแล’ มันได้
“หืม?” ดูเหมือนผมจ้องอีกฝ่ายนานไปเสียหน่อย มันเลยเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างงุนงง “จ้องอะไรเนี่ย”
“จ้องคนตะกละ”
เพียงเท่านั้นมันก็ถลึงตาใส่ จัดการตักกับจานกลางใส่ในจานข้าวผมให้สองช้อน ท่าทางเหมือนทำให้จบๆ ไปแต่ก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
...อืม ผมหลงมัน เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
บางทีผมก็นึกแปลกใจกับการที่ตัวเองแสดงออกอย่างเปิดเผยแบบนี้เหมือนกัน หรือเพราะก่อนหน้านี้มันถูกกดไว้นาน มีโอกาสระบายออกแล้วเลยต้องใช้ให้เต็มที แต่เรื่องนี้คงไม่ต้องบอกให้มันรู้หรอก
แค่นี้ผมก็แพ้หนึ่งมาตั้งนานแล้วบทส่งท้าย
“แม่ครับ~”
ผมจัดการวางข้าวของที่แบกมาจากหอพัก ปิดเทอมครั้งนี้ไม่เหมือนปีหนึ่งที่ต้องทำกิจกรรมที่นู่นเสียจนไม่ได้กลับบ้าน แต่น่าจะได้กลับบ้านมานอนพักยาวๆ สักที ถึงสุดท้ายก็คงจะไปช่วยงานที่ร้านอาหารของแม่ก็เถอะ
แม่ชะโงกหน้าขึ้นมา “กลับมาแล้วเหรอ”
“กลับมาแล้วครับ”
ผมตอบกลับพลางเดินไปหาอีกฝ่ายกำลังหยิบรีโมทดูละครเรื่อยเปื่อย ทิ้งตัวนั่งข้างๆ แก
“ต้มข่าไก่ที่อยากกิน ไว้ค่อยกินตอนเย็นนะ”
เพียงเท่านั้นผมก็ยิ้มกว้างกว่าเก่า เอนตัวเข้าไปเอาศีรษะหนุนบนตักแม่อย่างออดอ้อน เมื่อวานแค่เปรยไปเฉยๆ ว่าอยากกินต้มข่าไก่ ไม่คิดว่าแม่จะทำให้กินทันทีขนาดนี้
แม่ชวนผมคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่แค่เรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องเพื่อนและชีวิตความเป็นอยู่ที่นู่น นิสัยขี้เป็นห่วงและวิตกกังวลมากเกินไปกลับมาอีกครั้งตั้งแต่แม่รู้เรื่องของกริช ช่วงนี้ก็ทุเลาลงบ้างแล้ว จะว่าแม่ก็ไม่ได้ในเมื่อผมเองก็ปิดบังท่านเสียนาน
“แล้วปกป้องล่ะ”
คำพูดของแม่พาลเอาผมเบ้หน้า “หนึ่งลูกแม่นะ”
“รู้แล้ว” แม่เอารีโมทเคาะหัวผมเบาๆ “จะได้รู้ไงว่าเราไปสร้างปัญหาอะไรให้พี่เขาหรือเปล่า”
“โหย... หนึ่งออกจะเป็นคนน่ารักขนาดนี้” ผมโกหกคำโต ขืนเฮียป้องมาได้ยินคงจะทำหน้าระอาใจใส่ผมแน่
ผมนั่งคุยกับแม่อยู่สักชั่วโมงก่อนที่จะขอตัวไปอาบน้ำ บ้านเล็กๆ เงียบๆ ของผมมีแค่ผมกับแม่ ถึงบ้านข้างๆ จะมีผัวเมียทะเลาะกันบ่อยๆ ก็เถอะ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมไปอยู่ที่หอแม่จะเหงาขนาดไหน ยังดีที่ปกติแม่จะหมกตัวที่ร้านให้ได้ครึกครื้นเสียบ้าง ช่วงหลังๆ ท่านก็เริ่มไปคุยกับน้ากานดาเหมือนเดิมแล้ว หลังจากที่ห่างหายกันไปนาน ผมคิดเองว่ามันเป็นการเข้าหน้ากันไม่ติดเพราะก่อนหน้านี้ แม่ผมโวยวายเรื่องของผมกับลูกชายป้าเกดเสียจนแทบตัดขาดกัน
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ หยิบโทรศัพท์มาเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์ ข้อความที่เด้งมาอยู่บนๆ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ จากเฮียป้อง
‘กูกลับถึงบ้านแล้วนะ’ ผมพิมพ์ตอบไป ‘เหมือนกัน แม่ถามถึงเฮียด้วยนะ’
บางทีพวกเราก็คุยกันแบบไม่มีคำถาม พูดขึ้นมาเรื่อยเปื่อย อย่างเรื่องที่แม่ถามถึงเฮียผมเองก็อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้จะได้รู้สึกดีขึ้น คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าการแสดงออกของแม่ผมทำให้เฮียลำบากใจไม่น้อยไปกว่าผม
เฮียป้องไม่ได้ตอบในทันที เป็นผู้ชายไม่ติดโทรศัพท์ มือถือของเฮียเหมือนมีค่าแค่ไลน์และโทรเข้า – โทรออก รวมถึงใช้อ่านหนังสือต่างๆ นานาของเฮียตามประสาคนขยัน นอกจากนั้นก็เป็นเกมที่ผมโหลดมาเล่น ถือเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อโดยสิ้นเชิง
ถึงพูดเช่นนั้นก็เถอะ... ต่อให้เฮียเป็นคนน่าเบื่ออย่างไร ผมก็คิดว่ามีไม่กี่เรื่องให้บ่นเฮียเท่านั้น หน้าตาเฮียค่อนไปทางดี เชื่อเถอะว่าถ้าดูแลให้ดีกว่านี้ นิสัยเป็นกันเองให้มากกว่านี้ เฮียคงจะมีสาวๆ เดินตามเป็นพรวน นิสัยเป็นระเบียบมีแบบแผนในชีวิตของเฮียนั่นก็น่าชื่นชม ถึงจะดูขี้บ่นแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน ซึ่งก็คงต้องมอบความดีความชอบทั้งหมดนี้ให้ครอบครัวของเฮียนั่นแหละ
ผมในวัยเด็กรู้สึกว่าเฮียเท่มาก... ทุกวันนี้ก็รู้สึกอยู่ เห็นบ้านของเฮียแล้วเหมือนกำลังดูละครที่ทุกคนต่างมีความสุขและเข้าใจกัน เพียงแต่มันไม่ได้มีฉากหลังแต่อย่างใด
ทำไมคนเพอร์เฟ็กแบบเฮียถึงมาชอบผมกันนะ? ทุกวันนี้ผมยังอดเผลอตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองไม่ได้
ดูอย่างปิดเทอมคราวก่อนสิ ผมยังวิ่งหนีเฮียอยู่เลยทั้งที่ไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธ...ผมแค่ไม่มั่นใจ พอคิดว่าตัวเองไม่ดีพอกับอีกฝ่าย หากวันใดเขาจะเดินจากไป ผมคงใจสลายไม่เป็นผู้เป็นคนกว่าแต่ก่อนเสียอีก
แต่มันก็เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว ผมเอาแต่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บ ไม่ได้รู้เลยว่าเฮียเจ็บเพราะความกลัวของผม
เอาแต่ร้องขอให้ความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เป็น เพียงเพราะคิดว่าเราไม่คู่ควรพอกับความรัก แต่พอได้รู้ว่าคนที่แสนดีอย่างเฮียกลับคิดว่าไม่เหมาะสมกับผม มันก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเสียจนหยุดไม่ได้
บางทีเรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้
ผมรักเฮียแต่คิดว่าตัวเองต่ำต้อย เฮียรักผมแต่คิดว่าตนไม่ดีพอ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเราไม่ดีพอสำหรับความรักด้วยเหตุผลนานาประการ จริงๆ เราแค่หวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พอเราเข้าใจกันแล้วมันเลยเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะลืมความกลัวนั้น ค่อยๆ เปิดใจให้ยอมรับตัวเองเพียงเพราะ เขา ‘รัก’ เรา
แล้วความรู้สึกที่กักเก็บไว้ก็ฉายชัดเสียจนปิดบังไม่ไหว
จากร่ำร้องด้วยความหวาดหวั่น... ขอให้มันไม่ใช่ความรักเพราะตนไม่ดีพอ
ก็เปลี่ยนเป็นเรียนรู้ที่จะพยายามเป็นคนที่ดีพอสำหรับ ‘ความรัก’ เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ