ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]  (อ่าน 90028 ครั้ง)

ออฟไลน์ mynamejnkf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เข้ามารอค่ะ ตอนแรกก็งงๆคิดว่าน้องหนึ่งกับเฮียนี่ยังไง

เหมือนเฮียเองก็คิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะปกป้องน้องได้

ส่วนน้องเองก็คิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอให้เฮียมาดูแลด้วยความสงสาร

จริงๆแล้วสองคนนี้น่าจะชอบกันมานานแล้ว แต่ไม่ยอมพูด เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบ และตัวเองไม่ดีพอ

ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆค่ะ

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเป็นนิยายรัก อ่านแล้วหายใจคล่องขึ้น ซึ่งตอนที่บีบคั้นก็ชอบไปอีกแบบนะคะ เหลือด่านของครอบครัวอีกสินะ สู้ๆนะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้  :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เสียใขกับไร้ทด้วยที่สูญเสียเพื่อนสี่ขา   :mew4::mew6:
เหมือนจะเริ่มเข้าใจกัน ดีกันหน่อยๆและ :katai2-1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 23
‘ไว้ใจ’


     ความกังวลของผมไม่จางหายไป แถมดูเหมือนหนึ่งเองก็เริ่มรู้สึกแย่เหมือนกันตอนที่ผมไปเตือนมันถึงทริปที่จะเกิดขึ้น

     “หนึ่งไม่ไปแล้วได้ไหม” มันถามผมแบบนั้น สีหน้าฉายแววกังวลอย่างปิดบังไม่มิด “หนึ่ง... ยังไม่กล้า”

     “ไม่เป็นไรหรอก” ผมพยายามปลอบ เอื้อมมือไปลูบหลังมือมันเบาๆ แต่คิ้วของหนึ่งก็ยังขมวดชนกันอย่างกับจะผูกเงื่อนพิรอดอย่างไรอย่างนั้น “ยังไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”

     “...เฮีย” มันเงยหน้ามองผม ริมฝีปากบดเข้าหากันแน่นจนผมต้องเอื้อมมือไปใช้นิ้วหัวแม่มือคลายมันออก

     ผมถอนหายใจ “ไม่เอาน่า กินข้าวเถอะ”

     “ป้าเกดจะรับได้เหรอ” มันพูดออกมาเสียงแผ่ว ไม่ได้ฟังเลยว่าผมอยากหยุดประเด็นนี้ไว้ตรงนี้ก่อนที่มื้ออาหารจะกร่อยไปกว่านี้ “แล้ว... แล้วเฮียก็เป็นลูกชายคนเดียวด้วยนะ ถ้า...”

     “หนึ่ง” ผมรีบตัดบทก่อนที่มันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

     เจ้าของชื่อมองหน้าผม สีหน้าแย่เต็มทีจนผมต้องบอกให้มันจัดการกินข้าว ขืนยังพูดเรื่องนี้ต่อ สุกี้คงจะอืดหมดและพวกเราคงไม่อยากจะกินอะไรกันพอดี

     ผมมองหนึ่งที่ใช้ตะเกียบเขี่ยวุ้นเส้นในชามตัวเอง สุดท้ายมันก็กินไปประมาณครึ่งจานทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนกินจุไม่ใช่น้อย แต่ผมจะพูดอะไรได้ ขืนเราหยิบประเด็นนี้มาพูดอีกรั้งแต่จะทำให้บรรยากาศแย่ลงเท่านั้น

     “ป้าเกดจะรับได้เหรอ”

     ผมคิดถึงสิ่งที่หนึ่งพูดแล้วถอนหายใจอีกครา แม้จะรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ผมกลับคิดว่าคนที่ผมกลัวจะรับไม่ได้ไม่ใช่แม่ของผม

     ...แต่เป็นน้ากานดาต่างหาก




     คืนก่อนเดินทางหนึ่งมาค้างบ้านผม น้ากานดาตามมาสมทบที่บ้านผมตอนเช้า ตลอดช่วงเวลานั้นหนึ่งกังวลจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง แสดงพิรุธออกมาขนาดที่ว่าแม่ผมเองก็คงจะจับสังเกตได้แต่ท่านยังไม่ได้พูดอะไรออกมา

     ทริปนี้กินเวลาสามวันสองคืน วันแรกมีแค่แม่ของผม ผม น้ากานดาและหนึ่งไปเท่านั้น ส่วนพี่ลูกปลากับท่านนายพลพ่อผมจะตามไปสมทบพรุ่งนี้เช้าด้วยเครื่องบินเนื่องจากทั้งสองเคลียร์ตารางเวลาให้ตรงกับพวกเราไม่ได้

     “หนึ่งกินนี่ไหมจ๊ะ”

     หนึ่งสะดุ้งเฮือก แต่ก็หันไปรับแก้วน้ำจากแม่ของผมแล้วยิ้มให้ท่านนิดหน่อย “ขะ ขอบคุณครับ”
 
     ทุกการกระทำของมันอยู่ในสายตาผมทั้งสิ้นแม้ว่าผมกับมันจะนั่งคนละฝั่งของรถตู้ก็ตาม

     น้ากานดากับแม่ของผมนั่งตำแหน่งหลังคนขับรถตู้ คุยกันสนุกสนานเรื่องนู้นเรื่องนี้ที่ผมไม่เข้าใจ ส่วนผมนั่งข้างหลังแม่ ในขณะที่หนึ่งนั่งชิดผนังอีกฝั่งของรถ มันใส่หูฟังดูอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ เหลือบสายตามองมาทางผมเป็นระยะ และทุกครั้งที่เราสบตากันมันก็จะเบือนหน้าไปอีกฝั่งเสมอ

     ผมคิดว่าหนึ่งไม่อยากดู ‘สนิท’ กับผมมากนัก แต่คงไม่รู้ตัวว่านั่นแหละที่เป็นพิรุธ

     ถึงผมกับหนึ่งจะไม่ได้เจอหน้ากันต่อหน้าพ่อแม่นานแล้ว แต่ครั้งล่าสุดก็ไม่ได้ดู ‘ห่างเหิน’ กันขนาดนี้ นี่มันมากมายเสียจนคนนอกมองก็รู้ตัว ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทะเลาะกันแท้ๆ

     คุณแม่ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสในขณะที่พวกเราเงียบกริบกันอย่างกับเป็นป่าช้า หนึ่งหลับไปแล้วทั้งๆ ที่หูฟังยังคาหูอยู่ ลำบากผมที่ต้องเอื้อมมือไปหยิบออกอย่างแผ่วเบา กลัวว่ามันจะตื่น แถมมือถือก็จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ ผมเลยจัดการย้ายมาวางบนเบาะข้างๆ

     จังหวะนั้นที่หนึ่งลืมตาขึ้น เอียงคอมองหน้าผมและทำท่าจะสะบัดมือออกแต่ผมออกแรงบีบมือไว้

     “เดี๋ยวมือถือมึงก็ตกหรอก นอนดีๆ สิ”

     หนึ่งเม้มริมฝีปากแน่น แต่พอแม่ของมันหันมามองก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น วางโทรศัพท์ไว้ที่เบาะเฉยๆ แล้วหลับตาลงใหม่

     “หนึ่งย้ายหอไปได้คุยกับหนึ่งบ้างรึเปล่าจ๊ะป้อง” น้ากานดาเอ่ยปากถามผม

     “ก็มีบ้างครับ” ผมตอบไปตามจริง อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นความจริงทั้งหมดหรอก...แค่ไม่โกหกเท่านั้น

     “งั้นเหรอจ๊ะ เรียนหนักไหม”

     น้ากานดาชวนผมคุยเรื่องเปื่อยโดยไม่ได้หันหลังมาคุยกับผมตรงๆ ผมเองก็ได้แค่ตอบไปตามจริง ปล่อยให้หนึ่งนอนหลับทั้งๆ ที่ขมวดคิ้วจนมาถึงคำถามที่ทำให้ผมชะงักไป

     “เห็นแม่บอกว่าป้องมีแฟนแล้วเหรอจ๊ะ”

     ผมเห็นจากหางตาว่างหนึ่งขมวดคิ้วมากขึ้น ขบริมฝีปากล่างอย่างวิตกกังวลจนผมต้องเลื่อนมือไปสัมผัสกับมือของมันเบาๆ

     หนึ่งสะดุ้ง ทำท่าจะสะบัดมือออกแต่ผมกำมันให้แน่นกว่าเดิม

     “แม่บอกเหรอครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ เยื้อมือกับหนึ่งอยู่โดยที่ไม่มีใครหันมามอง

     “แหงสิยะ” แม่ของผมตอบมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ไม่โผล่หน้ามาอย่างนี้ วันหลังฉันต้องโผล่ไปเซอร์ไพรส์ที่คอนโดเลยหรือเปล่าถึงจะได้เห็นหน้า”

     “ผมอาจจะไม่มีก็ได้นะ”

     “แหม อย่าโกหกแม่เขาเลยจ้ะป้อง” น้ากานดาสมทบ สงสัยโดนแม่ผมบ่นเรื่องนี้ให้ฟังมาแล้วแน่ๆ “เรียนคณะไหนล่ะลูก”

     ผมไม่ตอบอะไร เหลือบสายตามองหนึ่งที่ลืมตาขึ้นมาแสดงสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด มันขยับปากด่าอะไรผมสักอย่างที่จับศัพท์ไม่ได้ สะบัดมือผมออกเต็มแรงจนผมต้องยอมแพ้ แต่ดูเหมือนจะพลาดไปหน่อยเลยกลายเป็นการโดนเบาะที่แม่ของมันนั่งอยู่ไปโดยปริยาย

     น้ากานดาชะโงกหน้าขึ้นมา “มีอะไรเหรอหนึ่ง”

     “ขอโทษทีแม่... หนึ่งเมื่อยเลยบิดขี้เกียจ” มันโกหกด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยพิรุธ แต่น้ากานดากลับไม่สนใจ

     “แล้วหนึ่งรู้จักแฟนของป้องบ้างหรือเปล่าลูก”

     มันจะร้องไห้อยู่แล้ว

     ผมถอนหายใจ “ไม่มีใครรู้หรอกครับ”

     “นะ นั่นสิป้าเกด เฮียป้องไม่ยอมเปิดตัวให้เห็นสักที” หนึ่งรีบเอ่ยปาก “ไม่รู้จะปิดไปถึงไหน” ตามด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ

     แม่กับน้ากานดาแซวผมต่ออีกสองสามประโยค บอกว่าถ้าคบนานหน่อยก็เปิดตัวให้เห็นจริงๆ จังๆ สักที ก่อนที่ประเด็นจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นจนถึงที่เราพักกินข้าว แต่หนึ่งไม่นอนหลับอีกแล้ว ตามันแดงนิดหน่อยด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความง่วง

     ผมเอื้อมมือไปใกล้มือมัน ปลายนิ้วสัมผัสปลายนิ้ว เพียงเสี้ยววินาทีมันก็ชักมือกลับ

     ...ไม่ดีเท่าไหร่เลย

     ผมอดไม่ได้ที่จะรำพันในใจ รู้อยู่ว่ามันกลัวอะไรแต่เห็นทีต้องคุยกันจริงๆ จังๆ สักทีว่าถ้าหากหนึ่งอยากปิดบัง มันต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าเพราะเดิมทีผมไม่ใช่คนแสดงออกเยอะด้วยหรือเปล่าถึงสามารถทำเหมือนเดิมได้โดยไม่มีอะไร

     ว่าก็ว่าเถอะ... ผมคิดอยู่แล้วว่าที่ผ่านมามันง่ายเกินไป แต่ผมไม่อยากให้หนึ่งกังวลเสียขนาดนี้

     การที่มันปฏิเสธผมชัดเจน...ทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว



   
     โรงแรมที่เราพักเป็นหนึ่งในเครือที่บ้านผมอยู่แล้ว เราจองห้องพักแบบห้องนอนสาม ห้องน้ำสาม ถือว่าไม่มากไปไม่น้อยไปสำหรับเรา พอมาถึง นั่งๆ นอนๆ จนไปกินอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว คุณแม่ทั้งสองก็เกิดอยากไปซุปเปอร์มาเก็ตมาเตรียมของสำหรับการทำบาร์บีคิวพรุ่งนี้เสียอย่างนั้น

     “จะออกไปไหนโทรมาบอกแม่ด้วยนะหนึ่ง”

     “ครับ”

     ผมมองน้ากานดาที่กำชับหนึ่งอยู่นานก่อนที่จะออกจากห้อง

     พอคุณแม่ทั้งสองออกจากห้องไป หนึ่งก็เดินกลับมานั่งที่โซฟา ตำแหน่งห่างกับผมเช่นเดิมจนผมต้องหันไปเอ่ยปากถาม

     “ต้องนั่งห่างขนาดนั้นเลยเหรอ”

     หนึ่งเหลือบตามอง “ก็มัน...”

     “พูดดังๆ หน่อยสิ” ผมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วว่าเช่นนั้น มันพูดอะไรที่ผมจับศัพท์ไม่ได้ และนี่ไม่ควรเป็นเวลาที่เราจะต้องเดากันเสียหน่อยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     หนึ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เฮีย...” น้ำเสียงดูอ่อนแรงไม่ใช่น้อย “ไม่เอาแบบเมื่อกลางวันแล้วนะ ถ้าแม่เห็นจะทำยังไง”

     “หนึ่ง ขอร้อง... กูแค่จับมือ”

     “แต่มันก็ไม่ปกติ!” มันเริ่มเปลี่ยนมาเสียงแข็ง “ปกติเฮียจับมือหนึ่งหรือยังไงกัน แล้ว... แล้วป้าเกดก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเฮียมีแฟน”

     “แล้วยังไงล่ะ”

     อีกฝ่ายผลุบตาต่ำ เม้มกลีบปากเข้าหากันแบบที่แสดงออกได้ชัดเจนว่าในหัวเล็กๆ ของมันกำลังคิดมากมาย จนบางทีมันก็มากเกินไปด้วยซ้ำ ผมไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะคิดว่าหนึ่งเป็นคน ‘คิดมาก’ แต่เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ ก่อนหน้านี้ผมเองก็ ‘คิดมาก’ แต่ไม่มากพอที่จะสังเกตว่าจริงๆ แล้วมันคิดหลายเรื่องแค่ไหนขณะที่มันแสดงออกเหมือนกับไม่คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

     “หนึ่ง... ไม่เหมาะเป็นแฟนเฮียเลย”

     คำนั้นแผ่วเบาอย่างกับจะพูดกับสายลม

     แต่ความเจ็บปวดในนั่นเด่นชัดมากกว่าคำพูดเสียอีก

     ผมเม้มริมฝีปากแน่น นับเลขจากหนึ่งจนถึงสิบในใจ วนมาที่หนึ่งใหม่สักสองสามรอบก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมา

     “เราต้องพูดเรื่องนี้กันอีกกี่ครั้งกัน” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด ขยับกายเข้าไปใกล้นิดหน่อยมันก็เอาหน้าซุกหมอนอิง “หนึ่ง”

     “...ไม่รู้” อีกคนตอบกลับมาเสียงอู้อี้

     “เงยหน้าขึ้นมาสิ”   

     “ไม่เอา”

     ผมผ่อนลมหายใจยาว เอื้อมมือไปดึงหมอนอิงแต่อีกฝ่ายขืนไว้ ยื้อแย้งกันอยู่นิดหน่อยจนมันก็ยอมปล่อยดีๆ

     “นี่เล่นตัวแค่เป็นพิธีหรือไง”

     “เฮียแม่ง...” มันขว้างค้อนให้กันวงใหญ่ ตาแดงแบบที่ทำให้ผมใจแกว่งนิดหน่อยแต่ไม่ยักกะมีน้ำตา “หนึ่งจริงจังอยู่นะ”

     “กูก็จริงจังอยู่เหมือนกัน”

     หนึ่งทำหน้าง้ำงอ ย่นจมูกจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบมันนิดหน่อย “ไม่เป็นไรน่า มึงทำให้มันดูมีพิรุธมากเกินไปแล้ว”

     “หนึ่งทำตัวไม่ถูก” มันซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง “หนึ่งแค่ไม่อยากให้ป้าเกดรู้ หนึ่งเป็นผู้ชาย หนึ่ง...”

     ผมไม่อยากให้มันพูดอะไรต่อเลยใช้ฝ่ามือตัวเองปิดปากมันเสีย หนึ่งชะงักไปนิดหน่อย เหลือบตามองผมอย่างงุนงงก่อนที่ผมจะค่อยๆ ปล่อยมือออก

     ผมค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วลงไปที่มุมปาก เรื่อยไปจนถึงแก้ม จัดการปัดผมหน้าม้าที่ยาวๆ ของมันทิ้งเสีย รู้ดีว่านี่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่และพวกเราควรจะคุยกันให้มากกว่านี้แต่ดูเหมือนสถานการณ์มันเป็นใจ ผมจรดปลายจมูกของผมกับปลายจมูกของอีกฝ่ายที่เริ่มผลุบตาลงต่ำอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ กดจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย

     ใช่ว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยจูบกันเสียหน่อย แต่มันน้อยเต็มที ผมเคยชินกับการที่อาศัยอยู่กับมันโดยไม่แตะเนื้อต้องตัวแต่หนึ่งไม่ใช่ มันไม่ได้แตะตัวผมมาก แต่บ่อยครั้งที่พอเราอยู่ในสถานะที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่าให้ต่างฝ่ายต่างมีความยับยั้งชั่งใจน้อยลงทุกที

     ครั้งนี้แปลกไป ผมรู้ดีตอนที่รู้ตัวว่าผละริมฝีปากตนเองไม่ได้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่แค่ปากเราแตะกันไม่นานเราก็ไปต่อกันไม่ถูก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือของมันเอื้อมมาคล้องคอผมไว้หลวมๆ

     “ฮะ... เฮียป้อง”

     ลมหายใจร้อนๆ ของมันอยู่ข้างหูตอนที่ผมผละริมฝีปากออกแต่ยังไม่ผละกายไปไหนเพราะหนึ่งยังไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ทำให้ผมกดริมฝีปากลงบนตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

     แย่จริง

     ผมรู้สึกว่านี่เริ่ม ‘ไม่ดี’ จริงๆ เสียแล้ว เหมือนมัวเมา... หยุดไม่ได้... และมันเริ่มถลำลึกขึ้นไปทุกที หนึ่งที่ผมเคยมองว่าเป็นเด็กไม่ประสา เห็นทีผมต้องคิดใหม่เสียหน่อย ทั้งที่มือปะป่ายไปมาบนตัวผมแต่คล้ายว่ามันจะทำให้ผมขาดสติได้ทุกเมื่อ ไม่มั่นใจเสียแล้วว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะผมหลงมันมากหรือเป็นเพราะมันเรียนรู้เรื่องผู้ใหญ่ได้ดีกันแน่

     หลังของหนึ่งแนบสนิทกับโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอๆ กับเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าตัวผมแนบทับบนตัวของมันตอนไหนกันแน่ เราผละออกจากกันไม่ได้ และมันไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ

     ผมรู้สึกเหมือนตัวเองตัดขาดจากโลกภายนอกไปทั้งหมด จนตอนที่รู้สึกว่ามีแรงกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงและพอผมเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด

     “แม่...”

     นั่นเป็นเสียงพึมพำจากหนึ่ง

     ผมรู้สึกว่าในหัวรวนไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วมีมือเล็กๆ ตบหน้าของผมจนหน้าหันแต่ไม่ได้แรงเพราะเป็นแรงของผู้หญิงวัยกลางคนตัวเล็กเท่านั้น ในหัวรู้สึกอื้ออึงไปหมด ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนแต่สู้กับเสียงแหลมของคนเป็นแม่ไม่ได้

     “น้าไว้ใจป้อง! น้าไว้ใจป้องว่าป้องจะไม่ทำอะไรน้อง!”

     ผมยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูกปล่อยให้น้ากานดาตบตีผมเต็มที่ ทั้งเล็บที่จิกลงมาบนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนทุกอย่างมันมึนงงไปหมด

     “แม่! หยุดนะ แม่!”

     “ปล่อยแม่นะ!” น้ากานดากรีดร้องตอนที่ลูกชายพยายามจับมือสองข้างของตนไว้ “ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้! บอกแม่สิว่ามันทำอะไรลูกบ้าง! บอกแม่สิว่าลูกโดนบังคับ!”

     “แม่!”

     ร่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายเซลง เกือบจะล้มลงกองที่พื้น น้ำตาไหลนองหน้า ปลายนิ้วจิกเกร็งที่ไหล่ของผมอย่างแรงแต่ผมคิดว่ามันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายได้รับ

     หนึ่งยึดยื้อกับแม่ตนเองไม่หยุด สักพักก็เป็นแม่ผมที่เดินเข้ามา อุทานอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของน้ากานดา

     “น้าไว้ใจป้อง! แต่ป้องกลับทำแบบนี้กับน้องอย่างงั้นเหรอ!”

     

--------------------------------------------------
รักทุกคนค่ะ  :katai5:

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ค่ะ  สมควรตบมากๆเลยค่ะ คุณกานดา  ป้องเลวจริงชั่วจริง  คนอะไรไว้ใจไม่ได้เลย  ให้ดูแลลูกเพื่อนแม่ที่อาศัยใบบุญฉุดตัวเองกับลูกออกมาจากนรกที่ผัวตัวเองก่อแล้วลุกก็มารับกรรมด้วย    โกรธค่ะ  ส่วนตัวเกลียดคนแบบนี้มากๆ   ไม่ฟังไม่สดับอะไรเลย  กรี๊ดก่อนลงมือก่อน  เรื่องของหนึ่งรู้ว่านางเป็นห่วงแต่ช่วยดูก่อนได้ไหม?   คนที่ช่้วยนางมาตลอดเลย  เราเป็นครอบครัวป้องเราเป็นได้โกรธจนไม่มองหน้าเลยทีเดียว  ป้องเองก็แบกรับปัญหาของหนึ่งมาตั้งเท่าไหร่  พ่อแม่ป้องช่วยนางเท่าไหร่   นางไม่พยายามอะไรเองเลย   นึกว่าหนึ่งจะป่วยทางใจที่ไหนได้แม่นางเป็นมากเสียกว่า   หนึ่งเป็นได้หนีแน่ๆว่าจะดีแล้วเชียว

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1

ขุ่นแม่นี่แบบบบบบ โอยยยยยยย อ่านแล้วอยากโดดเข้าไปช่วยป้อง ตบขุ่นแม่กานดาคืนเลยอะ
ยัยป้านี่ต้องมีคนช่วยดึงสติหน่อยนะ 

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ฉากตอนแอบกุมมือ แล้วมีสะบัดมือหนี และพิรุธอื่นๆ นี่เหมือนจริงมากนะ เคยอยู่ในสถานการณ์แอบคบมาก่อน ยืนยันได้ว่าประมาณนี้แหละ มีประโยคที่ชอบมากอยู่หลายประโยคเลยค่ะ ฉากจูบทำเอาเซอร์ไพร้ส แหม ปกป้องมีฉากหวานประมาณนี้เป็นด้วย
ส่วนการมองโลกแบบน้ากานดา มันเป็นความรักลูก ที่ทำให้ลูกกดดันจังเลย

ช่วยแก้คำผิดค่ะ เยื้อมือ แก้เป็น ยื้อ ค่ะ
สนุกขึ้นเรื่อยๆเลย มีฉากหวานๆมาหยอดอีกนะคะ จะได้มีแรงสู้กะดราม่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เพิ่งเข้ามาอ่าน รวดเดียวถึงตอนที่ 23 สนุกมากค่ะ
หลากหลายอารมณ์มาก ทั้งร้องให้ ทั้งฟิน เป็นกำลังใจให้ค่ะ


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
น้ากานดาลองคิดดูนะ อะไรก็ฝากป้องๆตัวเองเหมือนไม่ได้พยายามอะไรเลย สิ่งที่ป้องทำดูแลน้องมาตลอด คือต้องแบกทุกอย่างไว้กับคำว่าฝากน้องด้วยนะ ยั้งตัวเองมาตั้งนาน ช่วยคิดถึงเหตุผลแต่ล่ะอย่างด้วยค่ะ  แค่นี้ก็สงสารปกป้องกับน้องแล้ว   :katai1:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อีป้า ..  อีบ้า

ลูกตัวเองดูแลไม่เป็นยังจะมาว่าเค้าอีก
สงสารหนึ่งมีแม่แบบนี้

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 24
‘ความจริง’


     ท่ามกลางความเงียบ มีเสียงสะอึกสะอื้นที่ยังไม่หยุดของน้ากานดา นานทีเดียวกว่าพวกเราจะนั่งประจันหน้ากันได้ แม่ผมเป็นคนเดียวที่จัดการสถานการณ์ได้อยู่หมัด

     “เอาล่ะ” แม่สูดลมหายใจลึก “ช่วยเล่าความเป็นมาให้ฟังได้ไหม แม่งงไปหมดแล้ว”

     “ก็ลูกชายพี่ทำแบบนั้นก็หนึ่ง!” น้ากานดาว่าเสียงดังแหลม แทบจะเป็นการตะโกน “แล้ว... แล้วก่อนหน้านี้...”

     “กานดา” คนที่เอ่ยปรามไม่ใช่ลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ น้ากานดา แต่เป็นแม่ของผมที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผม “ใจเย็นๆ”

     น้ากานดาปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง พอเป็นเช่นนั้นแม่ก็นิ่งเงียบ ตั้งแต่พวกเราหันหน้าชนกันแบบนี้ แม่ไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งก็เอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่รู้ว่ามันกำลังร้องไห้เหมือนกับแม่มันหรือเปล่า เพียงแค่คิดเท่านั้นผมก็เผลอกำมือแน่นกว่าเดิม

     นานกว่าน้ากานดาจะพูดจารู้เรื่อง แม่ของหนึ่งจัดการเล่าทุกอย่างว่าลืมรายการข้าวของที่ต้องซื้อกับกระเป๋าสตางค์ไว้เลยกลับมาเอา หาที่บริเวณหน้าห้องไม่เจอ เดินลึกเข้ามาหน่อยก็เป็นโซฟาที่ตอนนั้นผมกับหนึ่งกำลัง...จูบกันอยู่ หลังจากนั้นน้ากานดาก็ร้องไห้อีกรอบ

     “สรุปแล้ว... จะบอกว่าลูกชายพี่ล่วงเกินน้องหนึ่งเหรอ”

     “ก็ใช่น่ะสิคะ!” หล่อนสวนทันควัน ขณะที่แม่ผมถอนหายใจยาวเหยียด “หนึ่งจะยอมได้ยังไง ในเมื่อตอนนั้น... หนึ่งเคยโดน...”

     “กานดา” แม่ผมเรียกชื่อคนที่พูดไม่หยุดอีกหน เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็หุบปากฉับ

     ผมไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใด รู้ดีว่าตอนนี้แสดงทีท่าใดๆ ไปน้ากานดาก็ไม่ฟังอีกแล้ว ที่หวาดหวั่นมากกว่าคือลูกชายของน้ากานดา...ที่มันเงียบเช่นนั้นมันคิดอะไรบ้างในหัว

     ผมรู้ว่าหนึ่งรักแม่มาก แม้ว่าน้ากานดาจะรักหนึ่งเสียจนไม่ยอมปล่อยให้ไปเจอโลกภายนอก หนึ่งก็ยังรักท่านมากอยู่ดี มันไม่เคยขัดแม่เลยสักอย่างไม่ว่าน้ากานดาจะสั่งอะไร

     ...ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน คำตอบมันเห็นอยู่ทนโท่ว่าหนึ่งไม่พร้อมที่จะให้แม่ของมันรับรู้เรื่องนี้ แต่ผมกลับทำให้ท่านเห็นภาพที่เลวร้ายมากที่สุด

     นานทีเดียวกว่าน้ากานดาจะหยุดสะอึกสะอื้น เอ่ยพูดออกมาเสียงแข็ง

     “พี่เกด... ครั้งนี้ฉันจะเอาเรื่อง”

     “ใจเย็นๆ นะ” แม่ของผมพยายามเอ่ยปราม แต่ดูจะไร้ผล

     “ฉันจะใจเย็นได้ยังไง! ลูกฉันมาเจอเรื่องแบบนี้นะ!”

     “ตอนนี้ลูกพี่ก็โดนโยนความผิดให้โดยที่ไม่ได้พิสูจน์เหมือนกันนะ” คำพูดของแม่ที่เริ่มแสดงถึงความไม่พอใจทำให้น้ากานดาเงียบอีกครั้ง “ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาคุยกันใหม่ไหม เด็กๆ ตกใจกันหมดแล้ว แถมคุยตอนนี้ไปก็ไม่รู้เรื่องกันอยู่ดี”

     “ฉันจะพาลูกกลับบ้าน”

     “ตอนนี้กี่ทุ่ม กว่าจะกลับถึงตั้งกี่ทุ่ม ถ้าอยากได้แบบนั้นเดี๋ยวพี่ติดต่อเปิดห้องใหม่ให้ พักที่นี่ไปก่อน”

     น้ากานดาเม้มริมฝีปากแน่น มองผมด้วยแววตาที่แตกต่างออกไปจากเมื่อชั่วโมงก่อน แต่มันก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่าที่แม่ผมเสนอแล้ว น้ากานดาเลยรีบฉุดมือหนึ่งให้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป และแม่ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่ลืมจะทิ้งท้ายคำพูดให้ผม

     “แม่กลับมา เราต้องคุยกันยาวเลยนะป้อง”

     ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบไปเสียงแผ่ว “...ครับ”




     กว่าแม่จะกลับมาก็ตอนเกือบห้าทุ่มเข้าไปแล้ว สีหน้าอิดโรยจนผมหมดคำพูดใดด้วยความรู้สึกผิด ท่านบอกว่าเดี๋ยวไปอาบน้ำก่อน และพ่อจัดการเลื่อนเที่ยวบินมาเป็นตอนเช้าแล้วเพื่อที่จะคุยกับน้ากานดาเรื่องนี้

     “เอาล่ะ” แม่เดินมานั่งประจันหน้ากับผม “เล่าให้แม่ฟังสิ... ตั้งแต่ต้นเลย”

     ผมถอนหายใจ “ตั้งแต่ตอนไหนดีครับ”

     “ช่วยยืนยันกับแม่ทีว่าเราไม่ได้ทำอะไรน้องเขา”

     “ผม...” ริมฝีปากผมบดเข้าหากันแน่น

     เพียงเท่านั้นแม่ก็ขมวดคิ้ว สีหน้าตกใจแต่ยังคุมสติไว้ถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อยเท่านั้น “ป้อง... ลูกทำน้องเหรอ”

     “ถ้าจูบก็ใช่ครับ”

     แม่นิ่งไปชั่วครู่ ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “โอ๊ย ฉันต้องตกใจอะไรอีกเนี่ย” บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะเงยหน้ามามองผม “คบกันเหรอ?”

     ผมพยักหน้าอีกครั้ง เพียงเท่านั้นแม่ก็เอามือกุมขมับ

     “เล่ามาให้หมดเลยนะปกป้อง!”

     ผมรู้ดีว่าไม่สามารถปิดบังอะไรได้ก็จัดการบอกแม่ตามจริงว่าเราเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ไม่นาน เพิ่งรู้ว่าเรื่องของผมกับหนึ่งไม่ได้มีความน่าปวดหัวอะไรขนาดนั้นเพราะใช้เวลาเล่าออกมาเพียงนิดเดียว น่าจะเป็นเพราะเราต่างคิดกันมากเกินจนวุ่นวาย เสียเวลาไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

     “จบแล้วเหรอ?”

     “จบแล้วครับ”

     เพียงผมตอบเช่นนั้นแม่ก็เงียบกริบ เล่นเอาใจผมเริ่มเสีย ที่ผ่านมาผมไม่เคยปิดบังอะไรแม่แต่ก็ไม่ได้เล่าทุกเรื่องในชีวิต ทุกสิ่งที่ผมคิดว่าจัดการเองได้ก็ไม่ได้บอกท่าน แต่นี่มันเรื่องใหญ่จริงๆ... อย่างน้อยก็ใหญ่พอที่ทำให้แม่หน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้

     ผมก้มหน้าอยู่นานจนแม่เอ่ยปาก

     “เงยหน้าขึ้นสิ” แม่พูดเสียงเรียบ ไม่มีทางที่ผมจะขัดได้ “สรุปนี่... ฉันมีลูกชายเป็นเกย์เหรอ?”

     คำพูดของแม่ทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก สักพักแม่ก็เอามือกุมขมับและนวดเบาๆ

     “...มีเรื่องให้ตกใจหลายเรื่องเกินไปแล้ว ถ้าฉันเป็นโรคหัวใจฉันจะช็อกตายไหมปกป้อง!”

     “ขอโทษครับ”

     ผมเอ่ยเสียงอ่อยแต่อย่างน้อยก็ยิ้มได้บ้าง แม่กลับมาพูดจาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของท่านแล้ว มันเหมือนกับเอาภูเขาที่ผมแบกไว้บนบ่ามานานออกไป แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้

     “แม่ไม่โกรธใช่ไหม...?”

     แม่มองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ลดมือมาเป็นการกอดอก

     “ทั้งชีวิตนี้แกไม่เห็นเคยสร้างปัญหาให้พ่อแม่ตามล้างตามเช็ดเท่าไหร่เลย พ่อแม่สบายตลอดด้วยซ้ำมีแกเป็นลูก แค่คบกับผู้ชายมันจะมีปัญหาอะไรให้ฉันขนาดนั้นเหรอ” แม่เอานิ้วมาดันหน้าผากผมเบาๆ ถึงจะเจ็บนิดหน่อยแต่ก็ทำให้ยิ้มได้ “แต่ถ้าเดินมาบอกแม่ก่อนมันจะวุ่นวายเท่านี้ไหม แม่จะได้ค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามกานดา ดูสิ... เปิดมาก็โป๊ะแตกเลย”

     “ขอโทษครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอีกที

     แม่เอามือปัดไปมาตรงหน้า “ช่างมันเถอะ... กานดาเขาก็ห่วงหนึ่งเป็นเรื่องปกติ พอแม่ลองคิดว่าถ้าแกเคยโดนทำอะไรอย่างนั้น แม่เองก็คงห่วงมากกว่าตอนนี้เหมือนกัน”

     มันก็จริงอย่างที่แม่ว่า... ผมเองก็เข้าใจในจุดนั้น รู้ดีอยู่แล้วว่าน้ากานดารักและถนอมหนึ่งมากแค่ไหน ภาพที่เห็นผมคร่อมหนึ่งอยู่มันคงทำให้น้ากานดาสติแตกไม่น้อยเลยจริงๆ

     ยิ่งคิดยิ่งทำให้ผมถอนหาใจออกมา พร่ำด่าในความโง่เง่าของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะนั้นแม่ก็เอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ เหมือนกับลูบหัวสุนัข

     “เอาเถอะ ยังไงก็ยังเป็นเด็กนี่นะ”

     “...”

     “คราวนี้ก็ให้ผู้ใหญ่เขาช่วยจัดการบ้าง เข้าใจไหม?”




     ผมตื่นมาในตอนเช้าตรู่ กล่าวให้ถูกคือไม่เรียกว่านอนหลับด้วยซ้ำเพราะผมพลิกกายไปมาตลอด บางครั้งก็เลือกที่จะเดินมานั่งให้ยุงกัดเล่นๆ ที่ระเบียงทั้งที่รู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้น

     ‘ขอโทษ’

     นั่นเป็นข้อความสั้นๆ ที่ผมส่งไปตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนผ่านไลน์เพราะโทรหาหนึ่งแล้วพบว่ามันไม่รับสาย แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ ไม่มีแม้แต่สัญญาณบ่งบอกว่ามันอ่านคำขอโทษของผมแล้วด้วยซ้ำ

     ประมาณแปดโมงครึ่ง พ่อของผมถึงมาถึงที่โรงแรม แม่ถึงเรียกพ่อไปคุยในห้องนอน ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่ตั้งใจจะ ‘ตกลง’ กันว่าอย่างไร ที่รู้ๆ คือผมไม่ชอบใจตัวเอง...ที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม่ไม่บอกผมด้วยซ้ำว่าน้ากานดากับหนึ่งพักที่ห้องไหน คงเป็นเพราะกลัวว่าผมจะไปหามันนั่นแหละ

     ...แย่เป็นบ้า

     พ่อเข้าไปคุยกับแม่ไม่นาน เดินออกมาก็บอกว่าเดี๋ยวน้ากานดากับหนึ่งจะมาคุยที่ห้องนี้ เล่นเอาผมเกร็งไม่ใช่น้อย

     “อะไร” พ่อถามเสียงห้วน “ทำไมทำหน้าอย่างงั้น”

     “จะให้ผมยิ้มเป็นแป๊ะยิ้มหรือไง”

     “ปากดีนี่” ทั้งที่เป็นคำด่าแต่พ่อกลับยิ้ม ท่านนายพลเอื้อมมือมาตบบ่าผมนิดหน่อยราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร

     ครอบครัวผมดีมากจนน่าใจหาย พอคิดว่าหนึ่งไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบผมแล้ว มันก็ไม่ได้น่ายิ้มออกมาเท่าไหร่นัก

     สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู น้ากานดากับหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยดวงตาแดงก่ำ โดยเฉพาะคนเป็นแม่ที่ตาบวมเป่งราวกับผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน ในขณะที่หนึ่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา สีหน้าไม่เจือความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว

     ...ผมทำมันพัง

     ‘ผม’ จริงๆ ที่ทำให้มันทุกข์ใจ

     น้ากานดากับลูกชายนั่งตำแหน่งเดิมกับเมื่อวาน ประจันหน้ากับผมและแม่ ส่วนพ่อนั่งอยู่ตรงกลาง

     “ผมรู้เรื่องแล้วครับ” พ่อของผมเป็นคนเอ่ยปากออกมา “เรื่องเมื่อวาน...”

     “ท่านนายพลจะให้ฉันปล่อยไปหรือคะ” น้ากานดาเอ่ยขึ้นมาเสียงสั่น “เรื่องแบบนี้เกิดกับลูกชาย จะให้ฉันปล่อยไปไม่เอาเรื่องหรือคะ”

     พ่อของผมผงะ “คุณกานดาใจเย็นๆ นะ เด็กสองคนรักชอบกัน...”

     “หนึ่งเป็นลูกชายนะคะ” อีกฝ่ายพูดเสียงแข็ง “หนึ่งเป็นผู้ชาย จะ...จะรักกับป้องเขาได้ยังไง”

     ผมเห็นหนึ่งกำมือแน่นขึ้น ก้มหน้าลงราวกับสำนึกผิดเพียงเพราะคำนั้นของแม่ตัวเอง

     แม่ของผมถอนหายใจยาว “ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันก็มีให้เห็นตั้งเยอะแยะ คนก็ยอมรับ”

     “แต่หนึ่งไม่ใช่!”

     พวกเราเงียบกริบเมื่อจู่ๆ น้ากานดาก็แหวขึ้นมาเสียงดัง

     หนึ่งเริ่มตัวสั่น ผมอยากจะเอื้อมมือไปกอดมันไว้เหมือนที่เคยทำเวลามันร้องไห้ ไม่รู้เลยว่าแค่ระยะห่างที่มีโต๊ะเล็กๆ คั่นกลางมันจะทำให้ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้

     “คุณกานดา... ถามลูกชายคุณหรือยัง?”

     คำถามของพ่อทำให้ทุกคนมองไปที่หนึ่ง

     “ไม่ใช่หรอกค่ะ... หนึ่งพูดเพราะ... เพราะ...” คนเป็นแม่อึกอัก พูดได้ไม่จบประโยคเสียทีจนหันไปคุยกับลูกชายตัวเอง “ใช่ไหม... หนึ่ง”

     “...”

     “หนึ่ง”

     ทั้งที่นั่นเป็นแค่การเรียกชื่อ ผมกลับรู้ดีว่าเจ้าของชื่อคงได้รับความกดดันมหาศาล ทั้งจากแม่ที่ตัวเองรักและเทิดทูน ไหนจะจากทุกคนที่รอฟังคำตอบ

     “คุณกานดา” ท่านนายพลเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “อย่ากดดันลูกเลย”

     “แต่...แต่”

     “ลูกชายผมไม่ดีตรงไหนหรือ?” คำพูดของพ่อทำให้ผมกำมือแน่น ยามน้ากานดาเบือนหน้าหนีมันทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่ใช่น้อย ผมคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานคงทำให้ความไว้ใจของน้ากานดาพังทลายลงในพริบตา “ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ช่วยเหลือหนึ่งตั้งหลายเรื่องไม่ใช่หรือไงกัน?”

     “...”

     “เขาอยู่ในสายตาคุณกานดามาตั้งหลายปี ทำไมถึงพูดเหมือนลูกชายผมไม่มีดีอะไรแบบนั้นล่ะ”

     พอถูกท่านนายพลไล่ต้อนมากเข้า น้ากานดาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่แววตายังฉายความไม่เชื่อถือผมอยู่อย่างชัดเจน

     พวกเราเงียบกันอยู่พักใหญ่ ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของผู้คนที่น่าอึดอัด บ้านของพวกเราสนิทกันมาก น้ากานดาเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ เพราะงั้นเลยไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะต้องรู้สึก ‘อึดอัด’ เวลาอยู่ตรงหน้าท่าน

     “หนึ่ง” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย “เงยหน้าขึ้นสิ”

     หนึ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แววตาแดงก่ำ ริมฝีปากบดเข้าหากันแน่น สีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ทุกอย่างของมันในตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกแย่

     ผมย้อนคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาในชีวิตหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผมไม่สามารถปกป้องได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...รั้งจะร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำไป ผมกำมือแน่นด้วยความอัดอั้น ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่เคยอยากแต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เคยเป็นไปตามที่ผมต้องการเลยสักครั้ง

     “ป้องไม่บังคับได้เราใช่ไหม?”

     “...”

     “สองคนคบกันจริงๆ ใช่หรือเปล่า”

     ผมกลัว

     ช่วงเวลาที่หนึ่งเงียบไปนั้นอาจจะสั้นนิดเดียวแต่ความกลัวที่เข้าเกาะกุมจนทุกส่วนของร่างกายชาดิกทำให้ผมรู้สึกเหมือนมันนาน กลัวเหลือเกินว่ามันจะหนีอย่างที่เราต่างเคยทำในอดีต ผมกลัวว่าเรื่องของเราที่ดูเหมือนจะดีขึ้นจะพังลงตรงนี้ มันทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วผมเองก็ยังเป็นเด็กที่หวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

     “...ครับ”

     คำพูดของหนึ่งแผ่วเบา...ไม่ได้หนักแน่น...ไม่ยอมสบตากับใครสักคนแต่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากมายแล้วสำหรับคนที่เคยวิ่งมาตลอด

     น้ากานดาเงียบกริบ ก้มหน้าลงสักพักพวกเราก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น หนึ่งเองก็ได้แต่มองแม่ตัวเองอย่างเจ็บปวด น้ำตาคลอเบ้า นั่นก็ทำให้ผมเจ็บปวดไม่ใช่น้อยหากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้

     สักพักก็เป็นพ่อของผมที่ลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องนอนก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับแฟ้มใสขนาดเอสี่ทั่วไป

     “คุณกานดา” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น ในขณะที่ท่านนายพลยื่นแฟ้มนั่นให้ “ผมอยากให้อ่านนี่”

     น้ากานดาจัดการปาดน้ำตาเล็กน้อย รับแฟ้มในมือมาก่อนที่จะค่อยๆ หยิบกระดาษจำนวนไม่มากไม่น้อยออกมา ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เมื่อหนึ่งมองมัน หนึ่งก็เงยหน้าสบตากับพ่อของผม

     “คุณลุง...”

     พ่อของผมทำเพียงส่ายหน้า

     น้ากานดานั่งอ่านกระดาษเหล่านั้นเงียบๆ แผ่นแล้วแผ่นเล่าขณะที่หนึ่งก้มหน้าเงียบงัน ปล่อยให้ผมได้แต่สงสัยว่าในนั้นคืออะไร จนน้ากานดาอ่านเสร็จ อีกฝ่ายกลับไม่ร้องไห้เลยแม้แต่น้อย ทำเพียงจัดกระดาษทั้งหมดใส่แฟ้ม วางมันไว้เช่นเดิมและลุกขึ้น

     “ฉันจะกลับบ้านค่ะ”

     “แม่...”

     “หนึ่งจะกลับหรืออยู่ที่นี่”

     พอถูกถามเช่นนั้น หนึ่งก็หันกลับมามองผม เงียบอยู่นานก่อนที่จะลุกขึ้นเดินตามแม่ตนเองไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

     ผมใช้เวลานานกว่าจะตั้งสติ แม่เป็นคนเข้ามาลูบหัวผม “ให้เวลาทางนั้นหน่อย”

     “ครับ” ผมทำอะไรได้มากกว่านั้นด้วยเหรอ?

     พอเป็นเช่นนั้นผมก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนที่จะมองเห็นแฟ้มที่น้ากานดาเพิ่งดูเมื่อกี้ในสายตาจึงคว้ามันมาดู สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมไร้คำพูดใด

     มันคือหลักฐานทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับหนึ่งตอนที่มันเข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุด ตอนที่หนึ่งโดนทำร้ายจากกริช

     และผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าน้ากานดาจะรู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชาย แถมหนึ่งยังพยายามปิดบังมันไว้

     ...แต่ความจริงก็คือความจริง

     มันไม่เคยหายไป




--------------------------------------------------
คอมเม้นเผ็ดมากเลยค่ะตอนที่แล้ว...

เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ขอโทษค่ะยิ่งอ่านตอนนี้ความคิดที่มีให้กานดานี่ดิ่งลงเหวเลยค่ะ
นางเฟลมากๆในฐานะแม่  ในฐานะเพื่อน ในฐานะผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ  ในฐานะของคนที่ติดหนี้น้ำใจจากคนอื่น

ลูกชายนางอย่างหนึ่งต้องมาคอยปกป้องแม่จากความจริง   คนที่ซ้ำเติมหนึ่งมากที่สุดตั้งแต่คราวที่โดนที่โรงเรียนก็คือตัวกานดาที่เป็นแม่หนึ่งเอง   หนึ่งต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงจากแม่ตัวเอง   ตลอดเวลาที่ผ่านมากานดารับน้ำใจจากตระกูลของป้องทำตัวเป็นคนที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้   ในขณะเดียวกันผลักภาระทุกอย่างมาที่ป้อง   พอมาตอนนี้ นางแผลงฤทธิ์ออกมาทีเดียวกับผู้มีพระคุณ   กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำเพื่อลูกนางมากกว่าที่ตัวนางเคยทำมา  พอมาเจอความจริงก็รับไม่ได้   ขอทีเถอะคนแบบนี้  ไม่มีกระดูกสันหลังบ้างหรือไง?  ขอโทษค่ะ  เราอินมากๆ  เกลียดคนแบบนี้ที่สุดแบมือรับทั้งๆที่คนอื่นไม่จำเป็นที่ต้องยื่นมือช่วยด้วยซ้ำ   

ปัญหากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนึ่งนั้น   เหมือนกับมีหลุมดำอยู่ทุกที่ๆหนึ่งอยู่   คนเราไม่สามารถที่จะเดินเฉียดไปเฉียดมาตลอดได้หรอก   ต้องเปิดใจรับความจริงแล้วก็ทำมห้ปัญหานี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตให้ได้ ถ้าหากว่าไม่สามารถก้าวข้ามไปได้  ก็จมปลีกอยู่ตรงนี้นั่นแหละ

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
แค่หนึ่งพูดว่า ครับ เราก็ชื่นใจแล้ว
พ่อและแม่ของปกป้องเท่มาก
และความกดดันของหนึ่งแย่มาก กลัวว่าหนึ่งจะทนไม่ไหว อดทนนะหนูนะ ต้องเข้มแข็งนะ ต้องเปลี่ยนแม่ของตัวเองให้ได้นะ
ตอนนี้ทำให้ลุ้นมากว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง

น่าจะตกคำตรงนี้นะคะ  คนที่วิ่งมาตลอด ต้องเป็น คนที่วิ่งหนี หรือเปล่าคะ

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อ่านตอนนี้แล้วอึดอัดมากเลยอะค่ะ ทั้งแม่หนึ่งและตัวหนึ่งเอง
ตัวแม่นี่ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ร้องไห้และโวยวาย ทำได้แค่นั้นจริงๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่มีวุฒิภาวะของคนที่เป็นแม่อย่างเห็นได้ชัด เข้าใจว่าเคยผ่านอะไรมาเยอะ แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว แปลว่าที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงสาเหตุของปัญหาเลย กวาดซ่อนไว้ใต้พรม พอเหมือนว่ามันเกิดจะขึ้นอีกรอบ ก็ตีโพยตีพาย ไม่คิดถึงความเป็นไปได้และพฤติกรรมของป้องที่ผ่านๆ มาบ้างเลย ดูลืมบุญคุณมากอะค่ะ บอกตรงๆ เหมือนจะไม่สำนึกเลยว่าบ้านนี้ช่วยและดูแลทั้งตัวเองและลูกไว้มากแค่ไหน

ส่วนหนึ่ง...ปากอมอะไรไว้เหรอลูก ปล่อยให้พี่เค้าโดนแม่ตัวเองตบตีทั้งที่ไม่มีความผิด โอเค ตกใจ แต่พอตอนเคลียร์กัน ทำไมไม่พูดอะไรบ้างลูกกกกกก นึกว่าไปอยู่กับแม่มาคืนนึงจะพูดอะไรออกไปมั่ง อธิบายให้แม่เข้าใจ ก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น คุณกานดายังคงปักใจว่าลูกตัวเองถูกบังคับ มันคืออัลไล!!!!!

รักและเทิดทูนแม่มากกก ไม่อยากให้แม่เสียใจ ก็พอเข้าใจได้นะ แต่พฤติกรรมที่ผ่านมา ตอนโจ๊ะพรึมๆ กับกริช ทั้งที่ตอนป้องเข้ามาเห็นในห้อง ตอนทะเลาะกับป้อง พฤติกรรมหนูดูเป็นคนแรงๆ ไม่ยี่หระกับสิ่งใดมากเลยอะจ้ะ แล้วนี่อะไรลูกกกกกก อมพะนำอะไร ทำไมไม่พูด อ่านแล้วอึดอัดมากกกกกกก

ไปๆ มาๆ ชักสงสารป้องแล้วอะ มันจะดีจริงหรือที่ได้คนๆ นี้มาเป็นแฟน

อินเกิ๊นนนนนนนนนนเนอะ ฮ่าฮ่า

อายยยยยยยจุงเบยยยยย  :katai5:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หวังว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นนะ จับมือกันแน่นๆ :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 25
‘ฉุดรั้ง’


(NUENG’s Part)

     แม่ไม่พูดกับผมเลยตั้งแต่วันนั้น

     และผมไม่ได้คุยกับเฮียเลยตั้งแต่วันนั้นเหมือนกัน

     ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้แต่ยังไม่กล้าพอที่จะโทรหาเฮีย...แค่รับสายผมก็ทำไม่ได้ รู้สึกละอายใจเหลือเกินที่ไม่สามารถเคลียร์ปัญหาของครอบครัวตัวเองได้

     ใช่ว่าผมไม่พยายาม ในคืนนั้นที่เกิดเรื่อง ผมพยายามแล้วที่จะบอกให้แม่ฟังว่าผมไม่ได้ถูกเฮียบังคับขืนใจ ต้องเรียกว่าผมเต็มใจให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่แม่ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย  แม่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าแม่ไม่น่าปล่อยให้ผมไปอยู่หอเลยด้วยซ้ำ

     ผมไม่กล้าเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักของแม่... ผมไม่ได้บอกว่าแม่ไม่รักผม แต่สิ่งนี้มันมากเกินไปจนทำให้ผมอึดอัดใจ มันเหมือนเป็นเพียงความรู้สึกผิดที่ทับถมแม่ตอนที่แม่ไม่เคยรู้ตอนผมโดน ‘บังคับ’ ในสมัยมัธยม

     “แม่”

     แม่ทำเพียงเงยหน้าขึ้นจากทีวีที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจดู ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดกับผมสักคำ ผมเลยทำได้เพียงพูดออกไป เสียงแหบแห้งกว่าที่คิดไว้

     “เดี๋ยวพรุ่งนี้... หนึ่งกลับมหา’ ลัยแล้วนะ”
   
     แม่ไม่ตอบรับ เหมือนไม่สนใจใดๆ ด้วยซ้ำ

     นี่ผมกลายเป็นธาตุอากาศสำหรับแม่แล้วหรือไร?

     ผมเคยชินกับการที่แม่ดูแลผมเกินวัย พวกเราไม่เคยทะเลาะกันด้วยซ้ำเพราะแม่ชอบย้ำว่าเรามีกันแค่สองคน ญาติที่ไหนก็ไม่มี สนิทหน่อยก็คือบ้านของเฮียเท่านั้น

     โลกของผมมีแค่ไม่กี่คนในนั้น สูญเสียใครสักคนไปก็เป็นการสูญเสียที่มากมายมหาศาล

     พอคิดว่าตัวเองไม่สามารถจัดการเหตุการณ์นี้ได้ เป็นคนกลางนอกจากอึดอัดยังเจ็บปวด ผมยอมให้แม่ตบตีหรือด่าผมมากกว่าทำเหมือนผมเป็นเพียงเศษฝุ่นไร้ค่าในพื้นบ้านแบบนี้เสียอีก ความเจ็บปวดแล่นริ้วจนล้นปรี่ในอก ผมยอมแพ้ เดินกลับเข้าไปในห้องตัวเองเพื่อจัดของเตรียมตัวกลับหอ




     ผมกลับหอในเช้าวันจันทร์ การเรียนตอนเช้าวันจันทร์ถูกยกเลิกเพราะอาจารย์ติดธุระด่วน ชดเชยไปครั้งหน้าแทน ตอนกลับไปที่หอ พี่รหัสของผมก็ออกไปเรียน เหลือแค่ซากขยะให้ผมจัดการเก็บกวาดเท่านั้น ถ้าเป็นปกติผมคงเอ่ยปากบ่นเสียหน่อยแล้วกองๆ มันทิ้งไว้ แต่ตอนนี้ผมนึกขอบคุณที่ไม่ให้ผมอยู่เงียบๆ คนเดียว

     จัดการทุกอย่างเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ห้องแคบๆ ที่อยู่กับพี่เต้ยไม่เหมือนกับตอนอยู่กับเฮียป้องที่มีกลิ่นสะอาดๆ ของเฮียแทรกอยู่ทุกที่ ที่นี่มีแต่ความสกปรกซกมก เป็นห้องของผู้ชายที่หาได้ทั่วไปตามคณะของผมนั่นแหละ

     ...คิดถึง

     แค่หลับตาคำนั้นก็แวบเข้ามาในหัว ผมขดตัวงอให้มากขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะจัดการปัญหาคนเดียวบ้าง ไม่งอแงอ้อนเฮียเป็นเด็กๆ เหมือนแต่ก่อน คล้ายว่าทุกอย่างจะไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย

     ผมคิดไม่ออกว่าตัวเองจะจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร มันเร็วเกินไป ไม่มีสัญญาณเตือน แถมยังเป็นการบอกผู้ใหญ่ที่เลวร้ายกว่าที่คิดไว้ตั้งหลายเท่า แค่บอกกับแม่ดีๆ ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าท่านจะยอมรับมันได้ไหม การทำให้ท่านรับรู้โดยไม่ได้บอกแบบนี้มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องกริชที่ป้าเกดอุตส่าห์ปิดบังให้อีก

     ผมต้องทำยังไงให้แม่เข้าใจเรื่องของเรา?

     ครอบครัวเฮียยอมรับผมได้จริงๆ เหรอ?

     ถ้าแม่ไม่ยอมรับผมต้องเลิกกับเฮียไหม?

     คำถามต่างๆ วิ่งผ่านไปมาในหัวไปหมดแต่ไม่ยักกะมีคำตอบสักเรื่อง บางครั้งผมคิดว่าจะเลิกกับเฮียให้ปัญหาจบเลยดีหรือไม่ แต่มันก็เหมือนเป็นการหนีปัญหาที่โง่มากและไม่โตเสียที

     ผมเหมือนพายเรือวนในอ่าง หาคำตอบอะไรไม่ได้เสียที กว่าจะรู้ตัวก็เหลืออีกแค่สิบนาทีก่อนเข้าเรียน ดูก็รู้ว่าต้องไปสายแน่ๆ ไม่มีคนโทรมาเตือนเหมือนครั้งอื่นที่ผมโดดช่วงเช้าเพราะผมเปิด airplane โหมดไว้ตลอดนับตั้งแต่วันนั้น

     “มึงไปไหนมา”

     พอเดินเข้าในคลาสปุ๊บก็เห็นไอ้โอ๊ตหน้านิ่วคิ้วขมวดถามผมด้วยน้ำเสียงเชิงดุเล็กน้อย สาวเจ้าอีกสองคนที่นั่งถัดไปก็เช่นกัน

     “กูเพิ่งมาจากหอ” ผมตอบไปตามจริง

     “เฮียป้องมา บอกว่าติดต่อมึงไม่ได้” แป้งว่าเสียงเรียบ สีหน้าไม่ดีเลยแม้แต่น้อย “ก็คิดว่าจะเป็นอะไรไปเสียอีก”

     เห็นเจ้าหล่อนเป็นแบบนั้นผมก็เลยได้แต่พูดเสียงเบา “ขอโทษนะ”

     “ทะเลาะกันเหรอ”

     พอโดนคำถามนี้ยิงมา ผมเองก็หมดคำพูด

     จะเรียกว่า ‘ทะเลาะ’ หรือเปล่าไม่มั่นใจ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเฮีย เฮียเองก็คงไม่มีปัญหาอะไรกับผม แต่ตอนนี้เราเจอปัญหากันอย่างไม่ต้องสงสัย

     พอผมเงียบไป บรรยากาศก็หนักอึ้งขึ้นทันที เพื่อนเลยต้องพยายามกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น สักพักก็บอกให้สนใจอาจารย์ (ที่เด็กทั้งห้องไม่ได้สนใจ) หน้าห้องเสียบ้าง ประเด็นนี้ไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดอีกจนหมดคาบ

     ขณะที่เรากำลังจะแยกย้าย เมื่อผมเดินมาจนถึงบริเวณหน้าคณะผมกลับเจอมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นตา และเจ้าของยืนอยู่ตรงนั้น

     บทสนทนาต่างๆ เองก็หยุดไปทันทีเมื่อเพื่อนเห็นว่าผมสายตาของผมหยุดอยู่ที่ไหน ไม่นานอีกฝ่ายก็หันมาเห็นและสาวเท้าเข้ามาใกล้

     ...หนึ่ง... สอง...

     ผมทำได้แต่นับก้าวเดินของอีกคน ตอนแรกก็นึกตั้งคำถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จนได้คำตอบว่าผมไม่กล้าเงยหน้ามองเฮียเลยทำได้มองแค่เท้าเฮียเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้า

     “เดี๋ยวไปไหนกันหรือเปล่า” ไม่ได้ยินเสียงแค่สองวันแท้ๆ ผมกลับคิดว่าเสียงของเฮียแปลกหูไป

     “ไม่ค่ะ” เสียงที่ตอบมาคือเสียงของแก้วตา “เอ่อ เดี๋ยวไปด้วยกัน...”

     “อื้อ”

     “งั้นพวกเราขอตัวนะคะ”

     จากนั้นเพื่อนสามคนก็เดินออกไปโดยทิ้งผมที่ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไว้ตรงนั้น บางทีผมก็คิดว่าเพื่อนๆ ผมยกธงขาวง่ายเสียเหลือเกิน ตอนกริชไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ค่อยชอบให้ผมอยู่กับแฟนเท่าไหร่ พอเป็นเฮียแล้วกลับตรงกันข้าม พวกมันดูเหมือนไม่ค่อยอยากยื่นมือมาขัดเฮียเท่าไหร่นัก

     “...ไปคอนโดกัน”

     เฮียป้องว่าแบบนั้น ไม่ถามความเห็นผมสักคำแต่เอื้อมมือมากึ่งลากกึ่งจูงผมไปที่มอเตอร์ไซค์

     มือเฮียร้อน นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึกตัว ตอนแรกผมไม่มั่นใจว่าคิดไปเองไหมแต่สักพักก็ได้ยินเสียงไอค่อกๆ แค่กๆ จากคนตรงหน้า ประกอบกับความคิดในตอนต้นว่าเฮียเสียงเปลี่ยน ทำให้ผมอนุมานได้อย่างเดียว

     “เฮียไม่สบายเหรอ”

     “นิดหน่อย” เฮียตอบอ้อมแอ้ม จัดการโยนหมวกกันน็อคให้ผมใส่ “ใส่ซะ”
   
     ผมผลุบตาต่ำ “ไม่ไปได้ไหม”
   
     คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเงียบกริบ ก่อนที่จะถอนหายใจยาวเหยียด มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ทุกครั้ง เหมือนกับเฮียเหนื่อยใจที่จะพูดกับผมแล้ว

     “ไปคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม... หืม?”

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากันแน่น ไอ้การลากเสียงยาวในลำคอนั่นแหละที่เฮียใช้เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองยอมอ่อนลงเวลาเราทะเลาะกัน และมันก็ทำให้ผมใจอ่อนทุกครั้ง ขนาดครั้งนี้ที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นมากกว่าปัญหาขี้หมูขี้หมาที่ผ่านมา มันยังใช้ได้ผลอยู่เลย...ใจผมอ่อนยวบยาบไปหมด

     สุดท้ายแล้วผมก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เฮียมาเหมือนเดิม ตอนที่กอดเฮียไว้แล้วเราวิ่งผ่านถนนเส้นเดิมๆ มันทำให้ผมตั้งคำถามว่าผมทำแบบนี้ต่อไปได้ไหม แค่หนี แค่ปิดบัง แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกเราก็มาถึงคอนโดแล้ว

     เฮียทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ซื้อโจ๊กใกล้ๆ คอนโดที่เพิ่งตั้งร้านสองถุง ไข่ลวกอีกหนึ่งฟอง ก่อนที่พวกเราจะขึ้นไปในห้อง

     ทันทีที่ปิดประตูที่เพิ่งใช้เดินเข้ามา เฮียก็เอ่ยปาก “นี่เราทะเลาะกันไปด้วยเหรอ?”

     “เปล่าเสียหน่อย” ผมตอบอ้อมแอ้ม

     “แล้วทำไมมึงถึงติดต่อไม่ได้ ใจคอจะไม่ให้กูรู้เลยเหรอว่ามึงเป็นยังไงบ้าง หรือมึงรู้สึกแย่แค่ไหน” เฮียพูดรัวเร็วมากกว่าครั้งไหนๆ โยนข้าวของไว้ทางหนึ่ง มือก็เอื้อมเข้ามาบีบแขนผม “มึงรู้ไหมว่ากูรู้สึกยังไงตอนที่โทรไปได้ยินแต่เสียงฝากข้อความ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ ตอนเช้ากูไปหามึงที่คณะก็ไม่เจอ พวกโอ๊ตก็ติดต่อมึงไม่ได้ แล้ว...”

     มือเฮียสั่น เสียงของเฮียก็เหมือนกัน

     จากนั้นเฮียก็ไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงรวบตัวผมไปกอด รัดแน่นราวกับผมจะหนีหายไปไหน ซึ่งสำหรับเฮียแล้ว...ก่อนหน้านี้เฮียอาจจะกลัวผมหนีไปจริงๆ ก็ได้

     ผมหลับตาลงตอนที่รู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อน ไม่อยากจะร้องไห้งอแงออกมาเหมือนครั้งก่อนๆ

     พวกเรากอดกันอย่างนั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำจนเฮียเริ่มไออีกครั้งเฮียถึงผละผมออก บ่นงึมงำเบาๆ แต่ก็ชัดเจนพอที่จะได้ยินว่ากลัวผมเป็นหวัด

     “มานั่งก่อนมา” เฮียลากผมไปนั่งที่โซฟา มุมเดิมที่เราชอบนั่งกันประจำ

     “มือเฮียร้อนนะ” ผมอดเปรยขึ้นมาไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ยังสบายดีนี่นา”

     “เออน่า ช่างมันก่อนได้ไหมหนึ่ง”

     น้ำเสียงเฮียป้องเริ่มมีน้ำโหนิดหน่อยแล้ว ผมเลยหุบปากฉับ ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ

     เฮียเอามือของผมไปลูบเล่นๆ เล่นปลายนิ้วผมอย่างที่อีกฝ่ายชอบทำ ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาท่ามกลางความเงียบ “น้ากานดาว่ายังไงบ้าง”

     “...ไม่รู้สิ” ผมตอบเสียงเบา “แม่ไม่พูดอะไรเลย”

     “ที่บ้านกูโอเคกับเรื่องนี้นะหนึ่ง” เฮียเงยหน้าขึ้นมองผมตรงๆ พูดมันออกมาชัดๆ ราวกับจะปลอบประโลมว่าไม่ต้องเป็นกังวล “แม่กูก็เอ็นดูมึงจะตาย ทีนี้เขาจะได้รักมึงมากกว่าเดิมอีก ลืมลูกคนนี้ไปเลย” ทั้งที่มันเป็นเรื่องน่ายินดีแท้ๆ แต่ผมก็รู้ดีว่าตอนนี้เราทั้งคู่ยิ้มไม่ออก

     ยิ่งที่บ้านเฮียยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกแย่ ผมทำได้แค่ก้มหน้า บดริมฝีปากเข้าหากันแน่น

     “เฮีย...”

     “ไม่ต้องพูดนะ” เฮียพูดออกมาก่อนที่ผมจะพูดจบเสียอีก “ถ้า... มึงจะบอกว่าเราเลิกกันไหม หรือจะด่าตัวเอง มึงไม่ต้องพูดอะไรนะ”

     ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่คอเพียงเฮียพูดแบบนั้น น้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้อ่อนโยนแต่มันทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาดังๆ ตรงนี้เสียเลย

     เฮียรู้จักผมดีเกินไป ทั้งความอ่อนแอและโง่งี่เง่าของผม เฮียก็รับรู้ดีทุกอย่าง มันทำให้เฮียแบกภาระไว้คนเดียว ทั้งๆ ที่ผมอยากจะโตขึ้นบ้าง แบ่งภาระเฮียบ้าง ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากพอแต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อไหร่ผมจะเลิกอ้อนเฮียแบบนี้เสียที

     ผมไม่รู้ว่าน้ำตาไหลตอนไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เฮียก้มลงเอาริมฝีปากร้อนๆ มาแตะต้องที่เปลือกตาผมนั่นแหละ อีกฝ่ายเอาแต่ละเลียดจูบผมเบาๆ อยู่แบบนั้น ทุกครั้งที่เฮียถนอมผม มันทำให้ผมตั้งคำถามเสมอว่าเฮียรักผมมากขนาดไหนถึงดูแลรักษาของที่ผุพังและผ่านมือใครต่อใครมาดีแบบนี้ และพอรู้สึกว่าความรู้สึกอีกฝ่ายมีค่ามากแค่ไหน ผมก็พาลอยากร้องไห้ออกมาทุกครั้ง

     “ไม่เป็นไรนะ” เฮียกระซิบเบาๆ กดศีรษะผมลงกับบ่าของตน “มึงร้องไห้ทีไร ใจกูไม่ดีเลย”

     “...รู้แล้ว” ผมตอบไปเสียงอู้อี้ วาดวงแขนกอดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ “เฮียตัวร้อนจัง”

     “อื้อ” มีเพียงเสียงตอบรับเบาๆ จากอีกคน หลังจากนั้นก็เหลือแค่ความเงียบโอบล้อมเราไว้

     ผมใช้เวลาไม่นานที่จะหยุดน้ำตาตัวเอง ว่ากันตามจริงนี่ก็ไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟายที่หนักหนาอะไรอยู่แล้ว แต่เฮียก็ยังกอดผมไว้ไม่ปล่อยจนผมอดที่จะถามอีกฝ่ายไม่ได้

     “เฮียไม่เหนื่อยเหรอ” เสียงของผมอู้อี้นิดหน่อย “คบกับหนึ่งแบบนี้... ไม่เหนื่อยหรือยังไงกัน?”

     “กูเหนื่อยตั้งแต่ก่อนคบมึงอีก มึงจะคิดอะไรเยอะ”

     “อื้อ” ผมเม้มปากแน่น ขยับตัวซุกหน้าลงบนซอกคออีกคนจนรู้สึกถึงไอร้อนที่สูงกว่าปกติจากคนที่กอดผมไว้ “แล้วทำไมไม่ทิ้งๆ หนึ่งไปสักที...”

     “...”

     “หนึ่งอยู่ตรงนี้ มีแต่จะรั้งเฮียไว้” เสียงผมแผ่วเบา “ทั้งงี่เง่า...เอาแต่ใจ แล้วไหนจะที่บ้านหนึ่งอีก”

     “เงียบน่า” เฮียเอ่ยปากขัดก่อนที่ผมจะพูดจบเสียอีก

     “แล้วหนึ่งก็...” ผมเว้นไปเล็กน้อย “ไม่ได้สะอาดด้วย”

     เฮียถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะดันตัวผมออกห่างแล้วมองหน้าผมตรงๆ “มึงอย่ามาว่าแฟนกูได้ไหม?”

     ผมถึงกับหลุดหัวเราะ คำพูดของเฮียน่ารักเกินกว่าที่ผมจะตั้งรับได้ เฮียเอามือผมไปเล่นอีกครั้ง สักพักก็เปลี่ยนเป็นกุมมือผมไว้หลวมๆ เอาหน้าผากโขกหน้าผากผมเบาๆ และไม่ขยับไปไหน

     “มึงจะมองว่ามันโง่หรือบ้าก็ช่าง... ถึงมึงจะบอกว่ามึงรั้งกูไว้ แต่กูไม่อยากไปไหนอยู่แล้วต่างหาก” คำพูดที่น่าขวยเขินแต่พอเฮียพูดด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรแบบนั้นแล้ว กลับกลายเป็นผมเองที่รู้สึกใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่ได้ “ถ้ามองว่ามึงรั้งกูไว้ขนาดนั้น... ค่อยๆ พยายามก็ได้ กูรอไหว”

     บ้าจริง... ผมอยากจะร้องไห้อีกแล้ว

     “ใครสอนให้พูดอะไรแบบนี้กัน” ผมว่าเสียงอู้อี้ “เฮียโตกว่าหนึ่งกี่ปีเอง”

     เฮียหลุดขำเบาๆ รอยยิ้มน้อยๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่ายทำให้ผมยิ้มได้บ้างหลังจากยิ้มไม่ออกมาหลายวัน เฮียป้องมีอิทธิพลกับผมมากขนาดไหนกันแน่นะ

     “เอาไว้น้ากานดาใจเย็นแล้ว ไปคุยกับแกใหม่นะ”

     “อื้อ”

     “ไว้ว่างๆ ไปกินข้าวกับบ้านกูด้วย”

     “อื้อ”

     ตัวตนของเฮียใหญ่มากในโลกของผม

     ตั้งแต่เด็กจนโต ตอนที่ผมรู้สึกแย่หรือรู้สึกไม่ดี เฮียก็เป็นคนแรกที่ผมนึกถึงเสมอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่... ครั้งแรกที่เราเจอกันเลยหรือเปล่าที่เฮียป้องทำให้ผมรู้สึกว่าผม ‘ไม่เป็นไร’ เวลามีเฮียอยู่ข้างๆ ยิ่งไปกว่านั้น เฮียทำให้ผมอยากจะพัฒนาตัวเองให้ยืนข้างๆ เฮียได้ด้วยขาตัวเอง ไม่ใช่แค่นอนกองอยู่ที่พื้นแล้วมีเฮียมาดึงให้ลุกขึ้น

     หนึ่งจะพยายาม...รอหน่อยนะเฮีย




--------------------------------------------------
ถ้ามีคนรักที่ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้นและทำให้เรารู้สึกรักตัวเอง
สำหรับคนอย่างหนึ่ง มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ เลยนะคะ

จริงๆ เราว่ามันก็ดีสำหรับทุกคนนั่นแหละ แต่หนึ่งก็ต้องการมากๆ

ส่วนว่าเฮียป้องอาจจะโชคไม่ดีที่มีหนึ่งเป็นแฟน
เฮียบอกเองเนอะว่ารอไหวจนถึงวันที่เขาจะรู้สึกว่าโชคดี
ปล่อยให้เขารอไปค่ะ ฮาาา  :hao7:

เจอกันใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เขียนได้ละเอียดอ่อนดีจัง หวาน เป็นความหวานแบบที่เราเดาทางไม่ออก step ของความใกล้ชิดและแตะเนื้อต้องตัว ไม่เหมือนเรื่องอื่นเลย  เราชอบประเด็น ที่หนึ่งพยายามจะโตขึ้นด้วย

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ปรับความเข้าใจกันแล้ว จับมือแน่นๆแล้วก้าวไปด้วยกันนะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 26
‘ภาระ’


     หนึ่งยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และยิ่งเห็นมันไม่ร่าเริง ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย

     มันพยายามมากที่จะไม่แสดงออกให้ผมเห็นแต่บางทีเวลาอยู่ด้วยกันมันก็เหม่อ เสียงหัวเราะที่ได้ยินช่วงนี้ไม่ได้ดูมีความสุขเท่าไหร่นัก คาดว่ามาจากเรื่องที่บ้านนั่นแหละ

     สัปดาห์สองสัปดาห์หลังจากนั้นผมไม่ได้กลับบ้าน สัปดาห์แรกเพราะยังไม่หายดี สัปดาห์ที่สองเพราะติดติวให้เพื่อนเนื่องจากมีสอบย่อยในวันจันทร์ ช่วงที่ผ่านมาเลยมีแค่หนึ่งที่กลับไปหาน้ากานดา พอเราเจอกันหลังมันกลับบ้าน หนึ่งก็ทำได้แค่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย บอกว่าไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยแม่ก็เริ่มกลับมาคุยกับมันแล้วแต่ยังไม่ยอมพูดเรื่องของเราอยู่ดีว่ายอมรับหรือไม่

     “แม่ทำเหมือนแม่ไม่รู้...แต่อย่างน้อยแม่ก็ไม่ขอให้เราเลิกกันนะเฮีย”

     มันพูดแบบนั้น หัวเราะน้อยๆ และเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เบาลงจนเหลือเพียงรอยยิ้มเจื่อนๆ

     “ไม่เห็นต้องฝืนเลย”

     พอผมพูดแบบนั้นพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวมัน หนึ่งก็สวมกอดผมโดยไม่พูดอะไร ไม่ร้องไห้หรือสะอึกสะอื้น ทำเพียงแค่กอดกันเท่านั้น



   
     “หนึ่ง ไปค้างบ้านกูไหม?”

     ตะเกียบของคู่สนทนาชะงักอยู่ที่ตรงหน้าหม้อชาบู ก่อนที่มันจะจัดการคีบเนื้อชิ้นบางมาใส่ไว้ในชามของผม “พูดอะไรบ้าๆ”

     “บ้าที่ไหนล่ะ” ผมเลิกคิ้ว ดูก็รู้ว่ามันอิ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่มีการคีบให้ผมหรอก “ก็บอกแล้วนี่ว่าไปกินข้าวด้วยกันบ้าง แม่กูอยากเห็นหน้าลูกสะใภ้ใจจะขาด”

     “เฮีย!” มันหน้าง้ำงอ

     ที่พูดไปไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ถึงจะเคยคุยกับมันบ้างว่าถ้าเรื่องเรียบร้อยแล้วให้มันทำตัวเหมือนปกติ แต่แม่ผมก็พูดแบบนั้นจริงๆ ยังไงท่านก็เอ็นดูหนึ่งเหมือนลูกในไส้มาตั้งนานแล้ว พอรู้ว่าผมกับหนึ่งคบกันก็เหมือนทวีคูณความเอ็นดูมากขึ้นเป็นสามเท่าอย่างไรอย่างนั้น

     ผมคิดว่าแม่ก็คงเป็นห่วงเรื่องน้ากานดาด้วยเลยอยากทำให้หนึ่งรู้สึกสบายใจมากที่สุดน่ะนะ

     ลอบมองคนตรงข้าม สีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่ สาบานว่าไม่ได้มาจากการที่มันกินมากเกินไปแต่มาจากเรื่องที่เราพูดกันเมื่อกี้ต่างหาก

     “ไม่อยากไปเหรอ”

     อีกฝ่ายผลุบตาต่ำ “อื้อ”

     ผมวางตะเกียบลง เอื้อมมือไปแตะมืออีกฝ่าย “กูตามใจมึงนะ เข้าใจว่ามันยัง... ลำบาก” ผมพยายามหาคำที่เหมาะสมที่สุด “งั้นเดี๋ยวกูบอกแม่ก่อนแล้วกันเนอะว่ามึงไม่ว่าง”

     “...หวังว่าป้าเกดไม่มาถึงนี่นะ”

     “ก็ไม่แน่” ผมหัวเราะเบาๆ แม่ผมอาจจะทำแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ “แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้กลับบ้านหรือเปล่า”

     “กลับสิ” พอพูดเรื่องนี้แล้วอีกฝ่ายสีหน้าแย่ลงเล็กน้อย เหมือนมันจะรู้ตัวเลยเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผมกว้างกว่าเดิม “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ”

     “อื้อ”

     “เออใช่ เดี๋ยวหนึ่งต้องไปเอาของที่หอว่ะ จะเอาหนังสือกลับไปอ่าน”

     หนึ่งรีบเปลี่ยนเรื่องชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ เรื่อยเปื่อย ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจนจบมื้ออาหาร แล้วจึงไปส่งมันที่หอพัก ก่อนที่ผมจะกลับไปที่ห้องตัวเอง โทรบอกแม่ว่าหนึ่งยังไม่สะดวกไปเจอแล้วก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากผู้หญิงวัยกลางคน

     “แย่จัง อยากจะพาน้องไปกินซูชิจังเลยนะ”

     “โอ้โห... เวลาลูกไม่ไปหานี่ไม่เห็นบ่นขนาดนี้” ผมอดไม่ได้ที่จะประชด

     “รู้ก็ดีว่าตัวเองตกกระป๋องแล้ว” แม่หัวเราะคิกคัก ชวนผมคุยไม่นานก่อนที่จะวางสาย ไม่ลืมย้ำคำเดิมว่าให้ผมกลับบ้านพรุ่งนี้

     พอวางสายผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ครอบครัวผมยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายจนน่าตกใจ ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งที่เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยหรือเปล่า ถึงมันจะเป็นเรื่องน่าดีใจแต่ผมก็ยังอดกังวลไม่ได้ ครอบครัวผมยอมรับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ยิ่งเหมือนผลักภาระไปที่หนึ่งมากขึ้นเท่านั้น




     ผมกลับบ้านตอนบ่ายวันอาทิตย์หลังจากที่อยู่กับครอบครัวเสียจนเหนื่อย กลับบ้านครั้งนี้ไม่ได้เรียกเต็มปากเต็มคำว่ากลับบ้านเท่าไหร่นักเพราะผมโดนพี่ลูกปลาควงไปออกงานในคืนวันเสาร์ พอวันอาทิตย์ก็ไปช่วยคุณแม่ถือของตามประสาคุณนายที่อยากออกไปช็อปปิ้งกับเพื่อนเสียอย่างนั้น กว่าจะปลีกตัวจากเหล่าคุณนายกลับมาได้ก็เหนื่อยเอาเรื่อง เล่นเอาปวดขาไปหมด นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงเดินเล่นได้นานนัก

     ‘กลับมาคอนโดแล้วนะ’

     ผมอ่านข้อความที่ส่งให้หนึ่งตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงตอนนี้ ผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่การเปิดอ่านจนผมนึกแปลกใจนิดหน่อย จริงอยู่ที่ช่วงวันหยุดมันจะตอบช้าเป็นพิเศษเพราะช่วยงานที่ร้านของน้ากานดา แต่เราไม่ได้คุยกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วยซ้ำ

     พอคิดแบบนั้นผมเลยตัดสินใจกดโทรศัพท์หาหนึ่ง สัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้นแต่ไม่มีใครรับจนตัดสายไป ผมลังเลเล็กน้อยว่าจะโทรไปอีกรอบดีไหม จะดูเป็นการตามติดอีกฝ่ายไปหรือเปล่า แต่ไม่ทันไรก็มีสายเข้า เป็นเบอร์ของหนึ่งนั่นเอง

     “ยุ่งอยู่...”

     ผมเอ่ยคำถามไม่ทันจบ ปลายสายก็ตอบกลับมา

     “หนึ่งอยู่โรงพยาบาล”

     น้ำเสียงที่ไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์แต่คุ้นชินมากพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ ไหนจะเนื้อความประโยคอีก

     ...โรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ?

     “หนึ่งเป็นอะไรไปหรือครับ น้ากานดา” ผมเอ่ยปากถาม พยายามควบคุมสติไว้ให้ได้

     “อุบัติเหตุนิดหน่อย”

     คำพูดห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงแตกต่างจากทุกครั้งทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นชิน อันที่จริง การที่อีกฝ่ายพูดคุยกับผมก็เป็นแนวโน้มที่ดีมากพอ แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องการใส่ใจในส่วนนั้น

     “ไม่หนักมากใช่ไหมครับ”

     “...จ้ะ”

     ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นพวกเราก็เงียบ ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรสักคำจนผมนึกว่าน้ากานดาจะตัดสายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอเอาโทรศัพท์ออกจากหู หน้าจอก็ยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้วางสาย

     “ป้องจะ...มารับหนึ่งไหมจ๊ะ”

     คำถามไม่น่าเชื่อหลุดมาจากปากอีกคนเล่นเอาผมงุนงงพอควร แต่ก็จัดการถามอีกฝ่ายก่อนว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาลใด ปรากฏว่าหนึ่งอยู่โรงพยาบาลที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก...ก็โรงพยาบาลที่มันไปพักตอนเกิดเรื่องไอ้กริชนั่นแหละ ผมเลยบอกไปว่าเดี๋ยวจะไปรับ

     “จ้ะ” น้ากานดาตอบรับนั้นก่อนที่จะวางสายไป




     หนึ่งข้อมือซ้น

     ‘งี่เง่าเหลือเกิน’ เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจบ หนึ่งกับน้ากานดาไปกินข้าวด้วยกันระหว่างทางกลับบ้านแล้วมีมอเตอร์ไซค์ขับสวนมาอย่างเร็วตอนที่กำลังลงจากรถแท็กซี่ไปชนกับรถคันหน้า มันไม่ได้โดนอะไรแต่หลบจนล้มก้นจ้ำเบ้า แถมยังลงผิดท่าไปหน่อยจนได้รับบาดเจ็บ อาการไม่หนักมากแต่อย่างใด แค่เกิดจากการตื่นตูมของผู้คนรอบข้างเพราะมีคนบาดเจ็บสองสามคน เลยจัดการหามส่งโรงพยาบาลทั้งหมดเลย

     พอเห็นเช่นนี้ก็หมดห่วง หนึ่งยังยิ้มได้ ร่าเริงดีไม่มีปัญหาใด การมาโรงพยาบาลครั้งนี้เลยมีแค่รับยาและพันข้อมือไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น

     แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือหลังจากนี้ต่างหาก

     น้ากานดายังอยู่กับหนึ่ง อยู่ข้างๆ ตลอดเวลาที่มันเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบาง ทำเพียงแค่นั่งเงียบๆ ไม่สบตาผม มีเพียงแค่รับไหว้ตอนเจอกันเท่านั้น

     “แล้วนี่ได้ยาหรือยัง”

     “ยังเลย” มันส่ายหน้า “ขอโทษนะที่ให้รอ”

     “ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

     หนึ่งเหลือบสายตาดูแม่ตัวเองที่มองเราสองคนเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองผมอย่างตั้งคำถาม แววตาฉายความกังวลใจอย่างไม่ปิดบัง

     “ฮะ เฮียไปซื้ออะไรกินก่อนไหม เดี๋ยวหนึ่งรอยาเอง” คงอึดอัดพอควรเลยหนึ่งถึงพูดออกมาอย่างนี้ “เห็นมีพวกร้านกาแฟอยู่ชั้นล่างนี่ด้วย”

     ผมลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบตกลง ถามหนึ่งว่าอยากได้อะไรไหมแต่มีเพียงการส่ายหน้านิดหน่อยจากอีกฝ่าย พอถามไปถึงน้ากานดา คำตอบกลับทำให้ผมงุนงงมากกว่าเก่าเสียอีก

     “เดี๋ยวน้าไปซื้อเองดีกว่า”

     เพราะแบบนั้น ผมจึงเดินลงข้างล่างมาพร้อมๆ กับน้ากานดาเสียแล้ว

     ผมใช้จังหวะที่พวกเราเงียบใส่กันเหลือบมองอีกฝ่าย น้ากานดาดูแก่ขึ้นกว่าครั้งก่อน คงเป็นเพราะใบหน้าที่ตอบลงและรูปร่างที่ดูผอมกว่าเดิมเล็กน้อย ครั้นจะหาบทสนทนาไม่ให้รู้สึกอึดอัดก็ไม่รู้จะหยิบยกอะไรขึ้นมาคุยเลยแม้แต่น้อย

     ร้านกาแฟที่โรงพยาบาลมีมากพอควรแต่ส่วนใหญ่มาซื้อแบบ Take Home เลยมีที่ว่างเยอะแยะไปหมด น้ากานดาจัดการสั่งเครื่องดื่มพร้อมๆ กับผม

     “ทานที่นี่หรือกลับบ้านคะ?”

     ผมเกือบตอบพนักงานไปว่ากลับบ้าน แต่น้ากานดาเป็นฝ่ายชิงตอบ “ที่นี่ค่ะ”

     ไร้คำแย้งใดๆ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นั่งประจันหน้ากับอีกฝ่ายรอพนักงานเอากาแฟมาเสิร์ฟนั่นแหละ ผมนึกไปถึงหนึ่งที่รออยู่ข้างบนแล้วอึดอัดเล็กน้อย เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่ทำผิดแล้วโดนแม่ทำโทษ แม่ของผมเวลาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้วจะไม่พูดกับผมทั้งวัน แต่ติดแค่ครั้งนี้ผมไม่ได้ทำผิด และอีกฝ่ายไม่ใช่แม่ของผมเท่านั้นเอง

     “กับหนึ่ง...” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ผมเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “ป้องได้...ทำอะไรน้องไปหรือยัง?”

     คำว่า ‘อะไร’ ที่ว่าทำให้ผมเกร็งกว่าเดิมเสียอีก “ไม่ครับ”

     พอตอบเช่นนั้น หญิงวัยกลางคนตรงหน้าก็ค่อยๆ ยกแก้วชา จิบอย่างแผ่วเบา “งั้นหรือ”

     “ครับ...” ผมทำได้แค่นั้น

     อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ ใบหน้าตอบแสดงความรู้สึกที่ดูโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
 
     “น้าไม่เคยรู้เลยว่าหนึ่งเจอกับเรื่องแบบนั้นที่มหา’ ลัยอีก” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา “หนึ่งต้องคิดว่าน้าเป็นแม่ที่แย่มากแน่ๆ”

     “ไม่หรอกครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “หนึ่งไม่มีทางคิดแบบนั้นหรอก”

     “...งั้นหรือ?” น้ากานดาเม้มปาก “แต่น้าก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นแม่ที่แย่อยู่ดี”

     ผมเห็นน้ากานดามาตั้งแต่เด็ก ภาพที่จำได้คือน้ากานดาเป็นผู้หญิงที่ใจดีกว่าแม่ผมหลายเท่าและทำอาหารได้เก่งมาก ถือเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับผมมากกว่าพวกลุงป้าน้าอาเสียอีก เพราะงั้นการจะเอ่ยปากซ้ำเติมหรือตั้งคำถามว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่เข้าใจเรื่องของผมกับลูกชายของตนก็ดูเป็นเรื่องที่ยากเต็มที แม้ว่าจะทำมันแค่ในใจก็รู้สึกผิดไม่ใช่น้อย

     น้ากานดาไม่ใช่แม่ของผม หนึ่งไม่ใช่ลูกของแม่ มันไม่แปลกหากเราจะเติบโตมาคนละแบบ เรียนรู้ที่จะแสดงออกคนละอย่าง และมีทัศนคติที่แตกต่างกัน ที่มั่นใจได้คือ หนึ่งไม่ได้มองว่าน้ากานดาเป็นแม่ที่แย่อย่างแน่นอน

     “น้าเคยคิดว่าหนึ่งจะโตขึ้น มีงานการดีๆ ทำ มีคนรักสักคน...” หล่อนเว้นไปชั่วครู่ “แล้วก็แต่งงาน...มีลูกมีหลาน มีครอบครัวที่อบอุ่น เพราะน้ารู้ว่าหนึ่งไม่มีวันตัดสินใจพลาดเหมือนที่น้าเคยตัดสินใจยอมพ่อของเขา” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาและสั่นเครือเล็กน้อยแต่ผมก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน

     เจ้าหล่อนก้มหน้า ห่อไหล่เล็กลง เล่นเอาผมคิดว่าแม่ลูกคู่นี้เหมือนกันไม่มีผิด... เอาแต่กล่าวโทษตัวเองในสิ่งที่บางทีก็ควบคุมไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันก็มีสิ่งที่ควบคุมได้อยู่ตรงหน้า

     น้ากานดาสูดลมหายใจ “น้านี่บ้าเนอะ พล่ามอะไรก็ไม่รู้ อย่าสนใจคนแก่ๆ เลยจ้ะ”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมทำได้แค่ยิ้ม

     อีกฝ่ายมองผม น้ำตาคลอ “จริงๆ แล้ว... น้าก็รู้แหละ ว่าป้องไม่ใช่คนที่แย่เลย ถ้าเทียบกันลูกชายน้าเสียอีกที่คงจะเป็นภาระ”

     “ไม่ใช่ภาระหรอกครับ” ผมเอ่ยปากขึ้นมา พูดให้มันชัดเจนต่อหน้าอีกฝ่ายที่มองผมแววตาสั่นไหว เต็มไปด้วยความกังวลใจของผู้หญิงที่เป็นแม่ “หนึ่งไม่มีทางเป็นภาระหรอกครับ”

     น้ากานดาเงียบ ผมเงียบ พวกเราเงียบ และในความเงียบเหล่านั้นมีความเจ็บปวดระคนสับสนอยู่ในนั้นเสมอ

     “ถ้าน้าบอกป้องว่าช่วยดูแลหนึ่งด้วยนะ... ก็กลายเป็นน้าผลักทุกอย่างให้เราอีกสินะ” คำนั้นของอีกฝ่ายเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าผม สักพักเจ้าหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าเหมือนจะหัวเราะ ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับจะร้องไห้ “เพราะงั้นน้าจะไม่พูดแล้ว”

     “...”

     “แต่... คบกันดีๆ นะจ๊ะ”

     คำพูดนั้นเบาหวิว เหมือนเจ้าตัวเองก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก แต่มากเพียงพอแล้วสำหรับผม เชื่อเลยว่าถ้าหากหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วยมันคงได้ตื้นตันจนร้องไห้แน่

     “ครับ” ผมพยักหน้า

     น้ากานดายิ้ม ยังมีร่องรอยความเจ็บปวดอยู่นิดหน่อย จิบกาแฟกันไม่ทันไรหนึ่งก็โทรศัพท์มาบอกว่ารับยาเสร็จแล้ว จะเดินลงมาหาที่ร้านกาแฟเลย ตอนมันเดินมาก็มีสีหน้างุนงงระคนกังวลใจฉายชัดมาแต่ไกล จนน้ากานดาขอตัวกลับก่อนและบอกให้พวกเรากลับหอดีๆ

     “ไว้วันหลังมากินข้าวที่ร้านนะจ๊ะป้อง”

     “ครับ” ผมพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม

     พอน้ากานดาเดินออกไป หนึ่งถึงกับหันมามองหน้า ไม่ต้องตั้งคำถามใดๆ และผมก็ไม่ได้พูดอะไรทำเพียงแค่ยิ้มให้ อีกฝ่ายก็เม้มปากแน่นและเงยหน้ามองฟ้า

     “จะร้องไห้เลยเหรอ”

     “เออ เฮียไม่รู้หรอก...” มันบ่นเสียงอู้อี้ “หนึ่งมีความสุขจะตาย”

     ผมเค้นยิ้ม ไม่ได้ตอบคำใดแค่เอื้อมมือไปแตะศีรษะมันเบาๆ ใจจริงอยากจะกอดมันไว้เลยด้วยซ้ำแต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ที่จะทำมันในตอนนี้

     ...ผมก็มีความสุขเหมือนกัน



--------------------------------------------------
หายไปนานคือไปเที่ยวมาค่ะ
ขอโทษด้วยนะคะ แฮ่... :katai5:

ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ : )

แต่ยังเจอกันได้ใน #ขอให้ไม่ใช่รัก นะคะ

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ยังไม่ให้จบได้ไหมคะ พอจะเริ่มอ่านไปหายใจคล่องไปก็จะจบเสียแล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม่หนึ่ง เข้าใจลูก เข้าใจป้อง
ยอมปล่อยวางบ้างทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันดีขึ้น

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 27
‘แพ้’


     ผมกอดอก เคาะนิ้วเป็นจังหวะอย่างนึกโมโห ก่อนหน้านี้สักหนึ่งชั่วโมงมันเป็นความรู้สึกร้อนรนใจหากแต่ช่วงนี้กลับกลายเป็นไม่พอใจมากกว่า

     สักพักประตูห้องก็เปิดออก เจ้าตัวปัญหาสะดุ้งเล็กน้อยยามเห็นผมนั่งอยู่บนโซฟา เพื่อนสนิทสองสามคนของมันทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างผงกหัวทักทายผมเล็กน้อย ไม่เอ่ยเป็นคำพูดเหมือนปกติ คงเป็นเพราะคิ้วที่ขมวดบนหน้าผากของผมนี่กระมัง

     ผมหันเหความสนใจจากหนึ่งไปทางเพื่อนผู้หญิงสองคนของมัน ท่าทางเมาแอ๋กว่าปกติ

     “แป้งกับแก้วตากลับบ้านยังไง”

     “เดี๋ยวไอ้โอ๊ตไปส่งค่ะ ไม่ต้องกังวล” เจ้าหล่อนเอ่ยปาก ยิ้มแหยให้ผมพลางดันหลังเจ้าตัวปัญหาให้เข้ามาในห้อง “งั้นเดี๋ยวขอตัวเลยนะเฮีย”

     “อืม... กลับดีๆ ล่ะ”

     ทั้งสามคนพยักหน้ารับคำแล้วหันกลับไปหลังจากดันเพื่อนตนเองเข้าห้อง จัดการปิดประตูให้เสร็จสรรพ ถือเป็นเพื่อนที่น่ารักพอตัว

     หนึ่งยังยืนนิ่งไม่ไหวติงในขณะที่ผมมองสำรวจมันตั้งแต่หัวจรดเท้า มีรอยช้ำบริเวณข้างแก้มเล็กน้อยให้นึกหงุดหงิดใจ บรรยากาศตึงเครียดที่ติดค้างกันตั้งแต่เมื่อเช้าพาลทำให้ในห้องไม่น่าอยู่เท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เลยจะไม่กลับห้องเหมือนมันเสียหน่อย

     “มานี่” ผมเรียกอีกฝ่าย ตบเบาะบนโซฟาเบาๆ แต่มันก็ยังยืนอยู่ที่เดิม “หนึ่ง”

     “...รู้แล้ว” เจ้าตัวปัญหาบ่นงุบงิบอย่างไม่พอใจ ถึงกระนั้นมันก็ยังเดินมาแต่โดยดี

     ผมผ่อนลมหายใจตอนหนึ่งนั่งระดับเดียวกัน เมื่อใบหน้าของมันอยู่ตรงหน้าผม เอาแผลจากการถูกต่อยมาให้เห็นชัดๆ ก็พาลให้หงุดหงิดมากกว่าเดิมเพราะเพิ่งเห็นว่ามีปากแตกเล็กน้อยด้วย ผมจึงหยิบเครื่องมือทำแผลที่เอามาเตรียมไว้ตั้งแต่ติดต่อมันได้ จัดการกดแผลตรงนั้นหนักเสียหน่อยจนหนึ่งร้องคราง

     “เจ็บไหมล่ะ” ผมถามเสียงเรียบ

     มันเบือนหน้าหนี ผมเลยนับหนึ่งถึงสิบก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนู ชุบน้ำอุ่นบิดให้มาดๆ แล้วยื่นให้อีกฝ่าย “ประคบซะ... แล้วมันใช่เรื่องไหมที่กูต้องมาทำแผลให้มึง”

     “ก็ไม่ต้องทำสิ” มันเถียงเสียงเบา

     ผมเลิกคิ้ว “ก็ไม่ต้องตีกับชาวบ้านสิ” ย้อนกลับอย่างอารมณ์เสีย

     พอเป็นเช่นนั้นหนึ่งก็จนคำพูด ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟานั่นแหละ

     ผมกับหนึ่งทะเลาะกันมาตั้งแต่เช้า มันเป็นเรื่องเล็กๆ เนื่องจากหนึ่งกินเอ็มร้อยห้าสิบ ผมพยายามทำความเข้าใจว่ามันต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากในการทำโปรเจ็กอะไรสักอย่างในคณะมัน แต่เราก็เคยตกลงกันแล้วว่าผมไม่อยากให้ทำแบบนี้บ่อย เมื่อเช้าตอนตื่นมาเห็นขวดเครื่องดื่มชูกำลังสามขวดในสองวันเล่นเอาลมแทบจับ ผมเอ่ยปราม หนึ่งอยู่ในสภาพที่ต้องปั่นงานให้เสร็จ ไม่ได้นอน แถมยังหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่างานจะผ่านรึเปล่ากลายเป็นว่าเราพูดจาไม่ดีใส่กัน จากนั้นก็ทะเลาะกัน บรรยากาศน่าปวดหัวยังคงอยู่แม้ผมไปส่งมันที่คณะ เพื่อนๆ มันก็คงรับรู้แล้ว

     พอตอนเย็น ผมก็หงุดหงิดซ้ำสอง ลงมาจากแลป คิดว่าจะได้เจอมันที่เดินมายิ้มร่าบอกว่างานผ่านแล้ว กลายเป็นมันไลน์บอกห้วนๆ

     ‘งานผ่าน ไปกินเหล้านะ’

     ไอ้เรื่องเหล้านี่ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไร หนึ่งไม่ใช่คนกินบ่อยแต่กินทีเมาหัวทิ่มจนน่าปวดหัว ไอ้ผมก็นึกว่ามันคงจะมานอนที่หอเหมือนปกติ (หลังจากมาอยู่ห้องผมเพราะข้าวของเยอะเกินกว่าจะแบกกลับไปในห้องนั้นมาแล้วสองสามวัน) แต่พอเที่ยงคืนก็ยังติดต่อไม่ได้ ไลน์ไปไม่ตอบ พอตีหนึ่งผมก็เริ่มหงุดหงิด ตัดสินใจโทรหาไอ้โอ๊ต ได้ยินเสียงมันถามเพื่อนมันว่าหนึ่งอยู่ไหน จากนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย จับศัพท์ได้ว่ามีเรื่องตีกัน แถมยังได้ยินชื่อไอ้ตัวปัญหาดังมาในลำโพงเสียอีก

     คิดว่าถ้าผมไม่บังเอิญไปอยู่ในจังหวะนั้นพอดี หนึ่งคงปิดบังเรื่องนี้อีกตามเคย แต่เจอแบบนี้ไปยังไงก็ปิดบังไม่อยู่ ผมเลยไลน์ไปบอกว่าให้รีบกลับมา จากนั้นไม่นานมันก็กลับมานี่ไง

     ผมมองร่างของอีกฝ่ายที่นอนขดตัวบนโซฟา “จะนอนตรงนี้หรือไง”

     มันเงียบ

     “โอเค ตามสบายเลย” ผมถอนหายใจอีกครั้ง “มึงอยากทำอะไรก็ทำเลย กูจะนอนแล้ว”

     ผมอดไม่ได้ที่จะว่าเช่นนั้น หนึ่งก็ยังเงียบอีก ผมเลยเดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงฝั่งตัวเองเพราะเราลากเตียงมาติดกันและวันนี้คงไม่มีแรงลากเตียงออก หนึ่งคงไม่อยากจะนอนกับผมมั้ง พอคิดเช่นนั้นแล้วเลยหงุดหงิดขึ้นอีกนิดหน่อย ลงแรงกับการกดปิดไฟและเตะข้าวของแถวเตียงเป็นการระบายอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ

     เพราะความคุกกรุ่นสุมอกเลยนอนไม่หลับ แม้รู้ดีว่าพรุ่งนี้มีเรียนตั้งแต่เก้าโมงผมก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี อาจจะเป็นผลพวงมาจากการนอนดึกติดต่อกันหลายวันด้วย

     สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู จังหวะเหยียบย่างที่ยั้งเท้าเบาๆ ของอีกฝ่าย

     “เฮีย...หลับแล้วเหรอ” มันพูดเสียงแผ่ว

     ผมไม่ตอบอะไร

     ได้ยินเสียงหนึ่งถอนหายใจ ตามมาด้วยเสียงเปิดตู้เสื้อผ้า สักพักก็เป็นเสียงเปิดประตูห้องน้ำ ทุกอย่างทำอย่างเงียบเชียบผิดกับปกติของมัน ได้ยินเสียงฝักบัวไม่นานมันก็เดินออกมา ทิ้งกายนอนข้างๆ ผมจนผมสัมผัสได้ถึงหยดน้ำจากตัวอีกฝ่าย

     “ไปเช็ดผมให้แห้ง” ผมเอ่ยปราม

     หนึ่งดันกายขึ้น ชะโงกตัวมาทางผมที่นอนหันหลังให้มันอยู่ “เฮียยังไม่นอนนี่”

     “นี่ใช่สิ่งที่มึงควรพูดเหรอ?”

     คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง “...ขอโทษครับ” ก่อนที่จะเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

     ได้ยินในสิ่งที่อยากฟังแล้วผมจึงหันไปมองหน้าอีกฝ่าย หนึ่งนอนตะแคงข้างหันมาทางผม เส้นผมเปียกชื้นแนบลู่ใบหน้า

     “ไปเช็ดผมไป เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก”

     “หนึ่งง่วงนี่นา”

     “ถ้าง่วงทำไมไม่กลับมานอนตั้งแต่ต้น” อีกฝ่ายย่นจมูก เอาหน้าซุกลงกับหมอนราวกับจะหนีคำบ่นจนผมต้องเอื้อมมือไปดึงมันขึ้นมา “ไปเป่าผม ไม่งั้นก็ยังไม่ต้องนอน”

     “ทำไมต้องทำตัวเป็นพ่อด้วยเนี่ย”

     “มึงยังไม่ชินอีกหรือยังไง ลุก!”

     พอผมขึ้นเสียงเข้าหน่อย เจ้าตัวปัญหาก็ยอมลุกจากเตียงแต่โดยดี มันทำหน้ามุ่ยหยิบไดร์เป่าผม (ของผม) ไปใช้เสียเสร็จสรรพ เหมือนจงใจกวนกันว่าถ้าผมไม่ยอมให้มันนอน ก็ทนตื่นเพราะเสียงไดร์ไปก่อนอย่างไรอย่างนั้น

     ช่างเป็นเด็กที่น่าปวดหัวเสียจริง

     


     “มาทำอะไรที่นี่”

     ผมอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เดินลงจากตึกเรียนมากลับเจอหนึ่งนั่งอยู่พร้อมกับแก้วกาแฟเย็นที่ใต้ตึกโดยไม่นัดกันไว้ ...ไอ้นี่ก็กินแต่คาเฟอีน บอกให้ลดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักฟัง

     เจ้าตัวหันมายิ้ม “มาหาสิ วันนี้หนึ่งว่างๆ”

     “เอาเวลาว่างไปทำงานบ้างนะ จะได้ไม่ปั่นลืมตายอีก”

     ผมอดประชดถึงนิสัยการทำงานของมันไม่ได้ พอบ่นมันก็บอกว่าอารมณ์ยังไม่มา วันๆ เอาแต่ดองงานไว้ พอใกล้ๆ ค่อยมาทำงานทั้งวี่วัน นั่งหลังขดหลังแข็งทำงานที่เขาให้เป็นเดือนในหนึ่งอาทิตย์

     “ว้าว” เสียงสอดรู้สอดเห็นดังมาจากเพื่อนที่เดินลงมาด้วยกัน

     ผมหันไป “ว้าวอะไร”

     “เปล่าจ้า เปล่าเลยยยย” ไอ้กันต์ลากเสียงยาว แววตานี่เป็นประกายเหมือนจะล้อเลียน จริงๆ ก็น่าจะรู้ได้แล้วว่าล้อไปผมก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี “แปลกใจไง แบบอยู่ๆ ก็เห็นคนดังคณะอื่นโผล่หน้ามาที่คณะหมอหมา”

     ผมกลอกตาเล็กน้อย หันไปอีกข้างก็เจอไอ้ภีมมองหนึ่งที่นั่งอยู่ด้วยแววตาล้อเลียน ไอ้เจ้าเด็กมากปัญหาคงเข้าใจเลยหัวเราะแห้งๆ แล้วเอามือเกาท้ายท้อยอย่างเก้อเขิน

     “งั้นนัดไปกินข้าวพวกกูคงไม่ต้องไปแล้วเนอะ” ไอ้กันต์มิวายแซวต่อ

     “อ้าว เฮียจะไปกับเพื่อนเหรอ” หนึ่งแทรกขึ้นมาทันที

     ผมหันไป “กูยังไม่ได้ตกลงเลยนะ”

     เพียงเท่านั้นเพื่อนทั้งสองคนก็ทำหน้าปูเลี่ยน ไอ้ภีมเอามือทาบอก ไอ้กันต์แทบจะมองบน

     เปล่าพูดผิดเสียหน่อย... ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย แค่นั่งฟังพวกมันสองคนจะไปกินเงียบๆ เท่านั้น เรียกว่ายังอยู่ในระยะตัดสินใจต่างหาก พอหนึ่งมาถึงนี่ก็ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะ

     ผมรีบขอตัวออกมาเพราะเกรงว่าถ้าหนึ่งอยู่ในวงล้อมนั้นอีกนาน จะโดนแซวเสียจนไปต่อไม่เป็น พวกนี้ไม่เหมือนเพื่อนของหนึ่งที่ดูให้เกียรติผมมากจนไม่กล้าแซวอะไรเสียหน่อย

     หนึ่งบอกผมว่าจะมาติดรถผมแบกข้าวของส่วนหนึ่งจากคอนโดกลับหอพัก มันคงจะกลับไปนอนห้องของพี่เต้ยเหมือนปกติแล้วหลังงานเสร็จ ได้ยินเช่นนั้นผมก็อดเอ่ยปากไม่ได้

     “คอนโดกูก็เป็นหลุมหลบภัยเท่านั้นสินะ”

     มันยิ้มขำ “งอนเหรอ”

     “อยู่กับกูมานาน ยังไม่รู้อีกหรือไง”

     เพียงเท่านั้นมันก็ระเบิดหัวเราะ คว้าเอวผมไปกอดไว้ตอนผมสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับไปที่คอนโด

     “ทำมาบอกว่าหนึ่งติดเฮีย... จริงๆ แล้วเฮียติดหนึ่งต่างหาก!”
   
     ทั้งที่เป็นความจริงที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่พอโดนคนถือไพ่เหนือกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความยินดีเช่นนี้แล้วรู้สึกแพ้ชอบกล

     เอาเถอะ... ยังไงผมก็ ‘แพ้’ อยู่แล้ว




     พวกเราซื้อข้าวจากร้านใต้หอขึ้นไปสำหรับมื้อเย็น บอกมันว่ากินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจัดการย้ายข้าวของต่างๆ นานาของมันไป หนึ่งทำงานทีไร ห้องผมรกเสียจนดูไม่ได้จนมันแบกข้าวของกลับไปนั่นแหละ จากนั้นห้องของผมก็จะสะอาดจนกว่ามันจะแบกของมาพักใหม่

     “เออ จริงสิ” มันเอ่ยปากระหว่างมื้ออาหาร “เห็นสัปดาห์นี้แม่จะแวะมาหานะ”

     ผมพยักหน้า น้ากานดาไม่ได้ติดต่อมาหาผมเหมือนแต่ก่อน แต่มักจะติดต่อผ่านแม่ของผม หรือหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ทำอาหารมาให้เหมือนตอนที่หนึ่งยังอยู่นี่ คงเป็นเพราะน้ากานดารู้แล้วว่าหนึ่งมาพักห้องผมอยู่บ่อยๆ บางครั้งแม่ยังเอ่ยปากอยู่เลย

     “หนึ่งไม่ย้ายมาอยู่กับป้องเสียเลยล่ะ” เจ้าตัวที่กินข้าวอยู่ไอค่อกแค่กเมื่อแม่ผมพูดเช่นนั้น ในขณะที่ผมเองก็ยังขมวดคิ้วมุ่น พอแม่จับพิรุธได้ท่านเลยเอามือส่ายไปมา “อุ๊ย แม่ไม่ได้ตั้งใจจะสู่ขอนะลูก”

     เล่นเอาหนึ่งไอหน้าดำหน้าแดงกว่าเดิมเสียอีก

     “ไม่ได้หรอกครับ พอดีตกลงกับพี่รหัสไว้แล้ว คงจะอยู่ที่นู่นจนพี่เขาเบื่อไปข้าง”
         
     นั่นเป็นข้ออ้างเดิมที่ผมได้ยินจนเบื่อ หนึ่งคงจะอยู่กับพี่รหัสของมันจนกว่าพี่รหัสมันจะย้ายกลับบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นตอนที่ฝ่ายนั้นเรียนอยู่ปีห้า เพราะวิชาเรียนลดลง

     หนึ่งบนโต๊ะอาหารผลุบตาต่ำ “แล้วก็...” ลากเสียงยาวเสียจนทั้งครอบครัวผมเองก็สนใจใคร่รู้ไปด้วย “แม่คงไม่อยากให้มาอยู่กับเฮียป้องตลอดด้วยน่ะครับ”

     เจอเหตุผลนี้เข้าไป ทั้งผมทั้งแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เข้าใจว่าแม่ของหนึ่งยังคงงุนงงและทำใจยอมรับได้ไม่เต็มรูปแบบ อาจจะต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกไม่น้อยเลยทีเดียวว่าผมสามารถ ‘ดูแล’ มันได้

     “หืม?” ดูเหมือนผมจ้องอีกฝ่ายนานไปเสียหน่อย มันเลยเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างงุนงง “จ้องอะไรเนี่ย”

     “จ้องคนตะกละ”

     เพียงเท่านั้นมันก็ถลึงตาใส่ จัดการตักกับจานกลางใส่ในจานข้าวผมให้สองช้อน ท่าทางเหมือนทำให้จบๆ ไปแต่ก็ยังดูน่ารักอยู่ดี

     ...อืม ผมหลงมัน เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

     บางทีผมก็นึกแปลกใจกับการที่ตัวเองแสดงออกอย่างเปิดเผยแบบนี้เหมือนกัน หรือเพราะก่อนหน้านี้มันถูกกดไว้นาน มีโอกาสระบายออกแล้วเลยต้องใช้ให้เต็มที แต่เรื่องนี้คงไม่ต้องบอกให้มันรู้หรอก

     แค่นี้ผมก็แพ้หนึ่งมาตั้งนานแล้ว





บทส่งท้าย

     “แม่ครับ~”

     ผมจัดการวางข้าวของที่แบกมาจากหอพัก ปิดเทอมครั้งนี้ไม่เหมือนปีหนึ่งที่ต้องทำกิจกรรมที่นู่นเสียจนไม่ได้กลับบ้าน แต่น่าจะได้กลับบ้านมานอนพักยาวๆ สักที ถึงสุดท้ายก็คงจะไปช่วยงานที่ร้านอาหารของแม่ก็เถอะ

     แม่ชะโงกหน้าขึ้นมา “กลับมาแล้วเหรอ”

     “กลับมาแล้วครับ”

     ผมตอบกลับพลางเดินไปหาอีกฝ่ายกำลังหยิบรีโมทดูละครเรื่อยเปื่อย ทิ้งตัวนั่งข้างๆ แก

     “ต้มข่าไก่ที่อยากกิน ไว้ค่อยกินตอนเย็นนะ”

     เพียงเท่านั้นผมก็ยิ้มกว้างกว่าเก่า เอนตัวเข้าไปเอาศีรษะหนุนบนตักแม่อย่างออดอ้อน เมื่อวานแค่เปรยไปเฉยๆ ว่าอยากกินต้มข่าไก่ ไม่คิดว่าแม่จะทำให้กินทันทีขนาดนี้

     แม่ชวนผมคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่แค่เรื่องเรียน เรื่องสอบ เรื่องเพื่อนและชีวิตความเป็นอยู่ที่นู่น นิสัยขี้เป็นห่วงและวิตกกังวลมากเกินไปกลับมาอีกครั้งตั้งแต่แม่รู้เรื่องของกริช ช่วงนี้ก็ทุเลาลงบ้างแล้ว จะว่าแม่ก็ไม่ได้ในเมื่อผมเองก็ปิดบังท่านเสียนาน

     “แล้วปกป้องล่ะ”

     คำพูดของแม่พาลเอาผมเบ้หน้า “หนึ่งลูกแม่นะ”

     “รู้แล้ว” แม่เอารีโมทเคาะหัวผมเบาๆ “จะได้รู้ไงว่าเราไปสร้างปัญหาอะไรให้พี่เขาหรือเปล่า”

     “โหย... หนึ่งออกจะเป็นคนน่ารักขนาดนี้” ผมโกหกคำโต ขืนเฮียป้องมาได้ยินคงจะทำหน้าระอาใจใส่ผมแน่

     ผมนั่งคุยกับแม่อยู่สักชั่วโมงก่อนที่จะขอตัวไปอาบน้ำ บ้านเล็กๆ เงียบๆ ของผมมีแค่ผมกับแม่ ถึงบ้านข้างๆ จะมีผัวเมียทะเลาะกันบ่อยๆ ก็เถอะ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมไปอยู่ที่หอแม่จะเหงาขนาดไหน ยังดีที่ปกติแม่จะหมกตัวที่ร้านให้ได้ครึกครื้นเสียบ้าง ช่วงหลังๆ ท่านก็เริ่มไปคุยกับน้ากานดาเหมือนเดิมแล้ว หลังจากที่ห่างหายกันไปนาน ผมคิดเองว่ามันเป็นการเข้าหน้ากันไม่ติดเพราะก่อนหน้านี้ แม่ผมโวยวายเรื่องของผมกับลูกชายป้าเกดเสียจนแทบตัดขาดกัน

     ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ หยิบโทรศัพท์มาเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์ ข้อความที่เด้งมาอยู่บนๆ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ จากเฮียป้อง

     ‘กูกลับถึงบ้านแล้วนะ’

     ผมพิมพ์ตอบไป ‘เหมือนกัน แม่ถามถึงเฮียด้วยนะ’

     บางทีพวกเราก็คุยกันแบบไม่มีคำถาม พูดขึ้นมาเรื่อยเปื่อย อย่างเรื่องที่แม่ถามถึงเฮียผมเองก็อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้จะได้รู้สึกดีขึ้น คิดว่าผมไม่รู้หรือว่าการแสดงออกของแม่ผมทำให้เฮียลำบากใจไม่น้อยไปกว่าผม

     เฮียป้องไม่ได้ตอบในทันที เป็นผู้ชายไม่ติดโทรศัพท์ มือถือของเฮียเหมือนมีค่าแค่ไลน์และโทรเข้า – โทรออก รวมถึงใช้อ่านหนังสือต่างๆ นานาของเฮียตามประสาคนขยัน นอกจากนั้นก็เป็นเกมที่ผมโหลดมาเล่น ถือเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อโดยสิ้นเชิง

     ถึงพูดเช่นนั้นก็เถอะ... ต่อให้เฮียเป็นคนน่าเบื่ออย่างไร ผมก็คิดว่ามีไม่กี่เรื่องให้บ่นเฮียเท่านั้น หน้าตาเฮียค่อนไปทางดี เชื่อเถอะว่าถ้าดูแลให้ดีกว่านี้ นิสัยเป็นกันเองให้มากกว่านี้ เฮียคงจะมีสาวๆ เดินตามเป็นพรวน นิสัยเป็นระเบียบมีแบบแผนในชีวิตของเฮียนั่นก็น่าชื่นชม ถึงจะดูขี้บ่นแต่ก็เป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน ซึ่งก็คงต้องมอบความดีความชอบทั้งหมดนี้ให้ครอบครัวของเฮียนั่นแหละ

     ผมในวัยเด็กรู้สึกว่าเฮียเท่มาก... ทุกวันนี้ก็รู้สึกอยู่ เห็นบ้านของเฮียแล้วเหมือนกำลังดูละครที่ทุกคนต่างมีความสุขและเข้าใจกัน เพียงแต่มันไม่ได้มีฉากหลังแต่อย่างใด

     ทำไมคนเพอร์เฟ็กแบบเฮียถึงมาชอบผมกันนะ?

     ทุกวันนี้ผมยังอดเผลอตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองไม่ได้

     ดูอย่างปิดเทอมคราวก่อนสิ ผมยังวิ่งหนีเฮียอยู่เลยทั้งที่ไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธ...ผมแค่ไม่มั่นใจ พอคิดว่าตัวเองไม่ดีพอกับอีกฝ่าย หากวันใดเขาจะเดินจากไป ผมคงใจสลายไม่เป็นผู้เป็นคนกว่าแต่ก่อนเสียอีก

     แต่มันก็เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว ผมเอาแต่กลัวว่าตัวเองจะเจ็บ ไม่ได้รู้เลยว่าเฮียเจ็บเพราะความกลัวของผม

     เอาแต่ร้องขอให้ความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เป็น เพียงเพราะคิดว่าเราไม่คู่ควรพอกับความรัก แต่พอได้รู้ว่าคนที่แสนดีอย่างเฮียกลับคิดว่าไม่เหมาะสมกับผม มันก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเสียจนหยุดไม่ได้

     บางทีเรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้

     ผมรักเฮียแต่คิดว่าตัวเองต่ำต้อย เฮียรักผมแต่คิดว่าตนไม่ดีพอ ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเราไม่ดีพอสำหรับความรักด้วยเหตุผลนานาประการ จริงๆ เราแค่หวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พอเราเข้าใจกันแล้วมันเลยเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะลืมความกลัวนั้น ค่อยๆ เปิดใจให้ยอมรับตัวเองเพียงเพราะ เขา ‘รัก’ เรา

     แล้วความรู้สึกที่กักเก็บไว้ก็ฉายชัดเสียจนปิดบังไม่ไหว

     จากร่ำร้องด้วยความหวาดหวั่น... ขอให้มันไม่ใช่ความรักเพราะตนไม่ดีพอ ก็เปลี่ยนเป็นเรียนรู้ที่จะพยายามเป็นคนที่ดีพอสำหรับ ‘ความรัก’

     เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4
เปิดเรื่อง : 16.01.2016
ปิดเรื่อง : 04.07.2016
รวมเป็น 6 เดือน 18 วัน

     ใจหายค่ะ

     เป็นความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ การเขียนนิยายเรื่องนี้เราพยายามจะทำความเข้าใจตัวละครเยอะมาก แถมยังเป็นการเขียน ‘การเติบโต’ ขึ้นมาของในตัวละครอีก เพราะงั้นเลยรู้สึกเหมือนเราได้โตไปพร้อมกัน ถือว่าน่าใจหายพอควรที่ต้องยอมรับว่านิยายเรื่องนี้จบแล้ว

     จะบอกว่าตัวละครที่ร่างจริงๆ ในครั้งแรก คิดไว้ในหัวคนแรกเลยไม่ใช่หนึ่ง หรือเฮียป้อง แต่เป็นน้ากานดาค่ะ (ฮา) และก็พบว่าเป็นตัวละครที่ทำให้ทุกคนคอมเม้นได้ยาวมาก น่าจะเป็นการประสบความสำเร็จเนอะ ช่วงพีคๆ ของเรื่องสามารถอ่านคอมเม้นได้อย่างสนุกสนานมากจริงๆ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ <3

     ประเด็นของนิยายเรื่องนี้ที่นิวให้โจทย์ตัวเองไว้คือ ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ และ ‘การล่วงละเมิดทางเพศ’ ค่ะ คาดว่าคงจะชัดเจนอยู่ โดยเฉพาะอย่างหลัง รวมถึงเป็นการตั้งคำถามว่าทำไมเด็กอย่างหนึ่งถึงโตมาเป็นแบบนั้น และแนวทางการเติบโตของเขาจะเป็นแบบไหน (เพราะงี้แหละถึงได้บอกว่าใจหายมากเวลาเขียนจบ ฮือ...) ทั้งความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ได้ส่งผลแค่กับผู้ถูกกระทำ แต่มักจะส่งผลในบุคคลรอบข้างด้วยค่ะ อย่างน้ากานดาและเฮียปกป้องเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการรับผลกระทบเลย นอกจากนี้ยังส่งผลต่อทัศนคติ การตัดสินใจ และการใช้ชีวิตของคนที่โดนกระทำด้วย นิวพยายามไม่เขียนถึงในส่วนที่เป็นแพทย์นัก เนื่องจากเนื้อหาที่ศึกษาจะเป็นส่วนของจิตวิทยามากกว่า ต้องขอโทษด้วยนะคะ

     บอกตรงๆ ว่านิยายเรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ตีพิมพ์หรือเปล่า ถ้ามีข่าวดีอย่างไรจะมาแจ้งให้ทราบกัน (ถ้าเป็นข่าวร้ายก็มาแจ้งให้ทราบแหละค่ะ ฮา) ถ้านิยายเรื่องนี้ทำให้ทุกคนมีความสุข อิ่มเอม แฮปปี้ เราเองก็มีความสุขมากค่ะ

     สุดท้ายนี้ ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ รวมถึงเจ้าหมาอ้วนที่ตอนนี้ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ทั้งเพื่อนและผู้คนที่ให้ความช่วยเหลือตลอดมา

     และขอบคุณนักอ่านที่อ่านที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ



                                                                                                                             เอ็นเอ็น
                                                                                                       (www.facebook.com/ninewnnfanpage)

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ มันเรียบเรื่อยแต่แฝงอารมณ์เยอะมาก มีรายละเอียด ชนิดที่บางอย่างเราคิดว่า โห คิดได้ยังไง เราชอบเรื่องนี้มาก ดีใจทุกครั้งที่เห็นว่ามาอัพ พอจบแล้วก็ใจหายนิดหน่อย
รอเรื่องต่อๆไปนะคะ

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด