CHAPTER 18
‘ทำไม’ ผมนึกสับสนตัวเองนิดหน่อย
ในวินาทีที่มีมันอยู่ในอ้อมกอด ผมอยากให้หนึ่งผลักไสผมเสีย แต่ก็ไม่มั่นว่าถ้าหากมันทำแบบนั้นจริงๆ ผมจะดื้อรั้นที่จะกอดกกมันไว้หรือไม่ หรือจะปล่อยมันไปเลย
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมยังซุกหน้าลงบริเวณลำคอของหนึ่ง แขนยังคงโอบมันไว้ คงเพราะระยะห่างของเราเหลือน้อยเต็มที มันเลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับรู้ว่าชีพจรของหนึ่งมีจังหวะเร็วกว่าปกติ หนึ่งไม่ได้กอดผมไว้แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่แสดงอาการต่อต้านใดๆ
“เฮีย...” ผมได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกอยากแผ่วเบา “นะ หนึ่งต้องไปช่วยแม่”
พอโดนข้ออ้างแบบนั้นผมเลยคลายอ้อมกอด เมื่อได้เห็นหน้ามันตรงๆ ก็เห็นชัดว่าหนึ่งหน้าแดงไปจนถึงหูทั้งที่ไม่ใช่คนผิวขาวขนาดที่พอเลือดสูบฉีดแล้วเห็นชัดขนาดนั้น อย่างน้อยก็บอกได้ว่าหนึ่งใจเต้นแรงมากจริงๆ
ผมไม่ได้ตอบอะไร หนึ่งรีบกุลีกุจอเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา ไม่ยอมปิดประตูจนต้องเดินย้อนกลับมาปิดประตูทีหลังแถมยังปิดเสียงดังปัง เป็นอาการที่ไม่ได้ทำให้ผมยิ้ม แค่คิดในใจว่า...หนึ่งเองก็มีมุมที่ดูน่ารักแบบนั้นเหมือนกัน
สรุปแล้ววันนั้นแม่ผมยังอยู่คุยเรื่องนั้นนี้กับน้ากานดาไปจนถึงมื้อเย็น เราฝากท้องที่ร้านอีกหนึ่งมื้อ รอบนี้เป็นน้ากานดาลงมือทำเอง แต่ตลอดวันนั้นแม้ผมกับหนึ่งจะได้คุยกันบ้าง มันก็เป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ถามคำตอบคำ และหนึ่งไม่ยอมแม้แต่จะสบตามผมเลยด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้เจ็บ...รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ หากแต่ก็รู้สึกชาที่หัวใจนิดหน่อยกับการแสดงออกว่า ‘แปลกไป’ อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น
พอเราขึ้นรถกลับมาบ้าน แม่ก็เอ่ยปากถามผมทันที “หนึ่งจะย้ายหอเหรอ เห็นกานดาบอก”
“ครับ” ผมไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรต้องปิดบัง “ทำไมเหรอ”
แม่หรี่ตามองผมแต่ก็บอกว่าช่างเถอะ ถ้าหากฟังมาจากน้ากานดาคงคิดว่าผมกับหนึ่งมีเรื่องผิดใจกันในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเป็นแน่แท้ ท่านสตาร์ทรถ พอขับออกถนนใหญ่และเจอรถติดก็เลยเอ่ยปากพูดเรื่องเดิม
“จริงๆ ให้น้องไปอยู่ที่อื่นก็ดีนะ เพราะน้องเรียนคณะสถาปัตย์ด้วย เห็นว่างานเยอะนี่ แล้วเดี๋ยวเราก็ขึ้นปีสี่แล้ว คงจะยุ่งไม่ใช่เหรอ” แม่พูดเรื่อยเปื่อย “แต่แม่ก็แปลกใจเหมือนกันนะ ที่แม่ของหนึ่งยอมปล่อยไป...”
ผมเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไร ปล่อยให้คนเป็นแม่พูดพลางเคาะพวงมาลัยรถไปด้วย
“เรายังไม่ได้พูดเลยว่าที่หนึ่งเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะเรื่องทะเลาะกับเพื่อน”
พอแม่เอ่ยปากออกมาแบบนั้นผมก็สูดลมหายใจลึก นั่นเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเราไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูด ตัวผมและหนึ่งก็ยุ่งกับการเรียนที่มหาวิทยาลัย น้ากานดาเองก็ยุ่งกับการเปิดร้าน ทุกคนเลยลืมไปเลยว่าเราทำเพียงซุกปัญหาไว้ใต้พรมเท่านั้น
ผมกลืนน้ำลาย “ถ้าเราไม่บอก...”
“ไม่ได้หรอกป้อง นั่นน่ะเป็นปัญหานะ” แม่ดักทางโดยที่ผมยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ “เดี๋ยวรอจังหวะดีๆ ค่อยพูดแล้วกัน” ท่านว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ผมเงียบกริบ ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดคำใด รู้ดีว่าหนึ่งไม่ปรารถนาให้น้ากานดารู้แต่ก็เข้าใจมุมมองของผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากจะปิดบังเรื่องนี้ไปตลอด เพราะมันก็เป็น ‘ปัญหา’ จริงอย่างที่แม่ของผมว่า
ผมมองไปนอกหน้าต่าง ในหัวคิดอะไรหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในหัวก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กมากปัญหาอย่างหนึ่งโดยตรง และได้แต่เฝ้าภาวนาให้เรื่องร้ายๆ ในชีวิตของหนึ่งหมดสิ้นไปเสียที
เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก ผมไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่นัก เดิมทีเราก็ไม่ใช่คนประเภทที่คุยกันทุกวันอยู่แล้วด้วยซ้ำ ปิดเทอมที่ไม่มีธุระเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นที่หนึ่งจะไลน์มาหาผม หรือผมจะต้องโทรไปหามันเลยสักนิด จนผมใกล้กลับหอพักเนื่องจากปิดเทอมกำลังจะหมดลง ผมจึงไลน์ไปบอกมันว่าผมจะกลับไปวันนี้
หนึ่งอ่าน แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมเลยนึกสงสัยว่ามันกำลังจะทำอะไรระหว่างหนีออกไปนอนกับเพื่อน หรืออาจจะเป็นพี่รหัสมันสักคน นั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องกลับไปถึงจะรู้
“แล้วเดี๋ยวสัปดาห์หน้ากลับมาด้วยล่ะ” แม่บอกแบบนั้นก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน
“ไม่กลับไม่ได้หรือครับ”
แต่พอบ่นแค่นั้นแม่กลับเอื้อมมือมาตีผมดังเพียะ ถลึงตาใส่ “วันเกิดเรานี่ไม่คิดจะกลับมาหาพ่อแม่บ้างเลยรึยังไง”
ผมไม่พูดอะไร เมื่อกี้แค่บ่นเฉยๆ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็ต้องกลับมาอยู่ดี
ใกล้ถึงวันเกิดของผมแล้ว มันไม่ใช่อะไรที่พิเศษมากมายแต่ก็ถือว่าเป็นวันสำคัญเพราะพอเป็นวันเกิดของสมาชิกในบ้าน ทุกคนต้องไปทำบุญด้วยกันที่วัด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เป็นเรื่องที่บ้านผมทำกันเป็นปกติ ทั้งวันเกิดพี่ปลา ไปจนถึงวันเกิดของพ่อแม่
แม่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ผมขึ้นรถพี่สาวตัวเองที่อาสาไปส่งที่หอ
เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงรถก็มาจอดที่ถนนใหญ่หน้าหอ ผมหยิบเป้ออก ขอบใจพี่ปลาและบอกว่าเดี๋ยวจะเดินเท้าไปถึงหอเอง เนื่องจากไม่ได้ไกลมากอะไร
“โอเค กลับดีๆ นะเว้ย”
ผมพยักหน้า โบกมือลาพี่สาวตัวเองที่ขับรถออกไป เห็นว่าจะไปเอาชุดเพื่อนเจ้าสาวเพราะเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมแต่งงานแล้ว แต่พี่ของผมไม่ได้แต่งเสียที
ระหว่างเดินกลับหอผมก็เปิดไลน์ดู หนึ่งยังไม่ตอบกลับ คงจะไม่คิดตอบแล้วจริงๆ
เมื่อมาถึงหอแล้วผมก็เปิดประตู ในห้องเงียบสงบอย่างน่าประหลาด เดินไปก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง ผมถอนหายใจ หนึ่งคงจงใจจะหลบหน้ากันจริงๆ ไม่รู้หรือยังไงว่าการทำเช่นนั้น พอเราต้องเจอหน้ากันมันิ่งทำให้ทุกอย่างกระอักกระอ่วน
ผมไม่ได้โทรหา ตัดสินใจจัดการเสื้อผ้าที่เอามาจากบ้านมาจัดใส่ตู้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปทำโจ๊กสำเร็จรูปกิน แต่พอเปิดตู้เย็นไปก็พบว่ามีขวดเหล้าเบียร์วางอยู่อย่างผิดสังเกต ไม่ได้มาจากผมแน่นอน เพราะฉะนั้นก็คงเป็นหนึ่ง หากซื้อของมาทิ้งไว้เช่นนี้แปลว่าวันนี้คงจะกลับมาแน่ๆ
จู่ๆ ก็มีความต้องการบางอย่างที่ร้อยวันพันปีไม่นึกถึง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหารูมเมทที่หายไปของตัวเอง ไม่นานปลายสายก็รับ หากแต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ปล่อยให้เราใช้เวลาเปล่าๆ ไปเกือบสิบวินาที
“เฮียจะเงียบอีกนานไหม” หนึ่งเป็นคนทำลายความเงียบ มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นนิดหน่อย หรือผมอาจจะคิดไปเองก็ได้
“อยู่ไหน”
“ออกมากินข้าวกับพวกแป้ง”
ผมครางในลำคอเป็นการตอบรับ เหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว “คืนนี้กลับมานอนหรือเปล่า”
“...” มันเงียบ
“หนึ่ง” ผมเรียกอีกที ที่แน่ๆ คือสัญญาณไม่ขาดไปไหน
“ปะ ไป” มันว่าเสียงสั่น “เฮียโทรมาแค่นี้เหรอ...หนึ่งจะวางแล้วนะ”
“เหล้าในห้องนี่ของมึงใช่ไหม”
ผมได้ยินปลายสายอุทานออกมาเบาๆ “โทษที วันก่อนหนึ่งซื้อมาจะเอาไปกินกับเพื่อน หนึ่งไม่ได้เอาคนไปที่ห้องนะ สาบานได้” พอได้ยินอีกฝ่ายกุลีกุจอบอกแบบนั้นผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ คิดถึงหน้าตาตื่นๆ ของมัน คงเพราะผมเคยย้ำหนักย้ำหนาว่าอย่าพาใครมาเมาเละที่ห้องนี้
“ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัด “ซื้อเข้ามาเพิ่มด้วย หาแกล้มให้ด้วยก็ดี”
“ฮะ?” ปลายสายเอ่ยเสียงฉงน
“กูอยากดื่มสักหน่อย”
กว่ามันจะกลับถึงห้องก็ราวๆ ตอนสองทุ่มเห็นจะได้ พอเดินเข้าห้องมาปุ๊บก็เจอผมนั่งอยู่ที่โซฟา มันก็แสดงอาการตกใจแบบปิดไม่มิด ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะมา ยังจะมาทำหน้าเหมือนเห็นผีเสียอีก
หนึ่งก็ยังเหมือนเดิม ผอมอย่างไรก็ผอมอย่างนั้น ดีไม่ดีดูผอมกว่าเดิมด้วยซ้ำ อาจจะเป็นผลมาจากกิจกรรมที่เยอะและเส้นผมของมันที่ยาวขึ้นจนทำให้ใบหน้าดูตอบขึ้นเท่านั้น
“เฮียจะดื่มจริงๆ เหรอ” มันถามพลางชูถุงจากร้านสะดวกซื้อให้เห็น “เอาจริงสิ?”
“เออ” ผมรู้ดีว่านี่มันบ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงอยากขึ้นมา
หนึ่งทำหน้าเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตา มันจัดการเอาขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มันซื้อมาใส่ตู้เย็นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดฝักบัว แสดงอาการชัดเจนว่าระหว่างเรามันน่าอึดอัดจริงๆ
ผมถอนหายใจ
ขนาดไม่ได้เอ่ยปากให้ชัดเจนหนึ่งยังแสดงอาการออกมาขนาดนี้ ผมไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าพูดออกไปตรงๆ หนึ่งจะแสดงท่าทีเช่นไรออกมา
ผมนั่งอยู่ที่เดิม ในหัวคิดอะไรหลายอย่าง จนหนึ่งออกมาจากห้องน้ำมันก็ไม่โผล่หน้ามาที่ซึ่งผมนั่งอยู่เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายผมจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเอง
ผมชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าหนึ่งกำลังใส่เสื้อ แผ่นหลังผอมๆ กับรอยสักรูปนกของมันเป็นสิ่งแรกที่ผมจับจ้องไป อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะรีบสวมเสื้อและหันมา
“มะ ไม่ดื่มแล้วเหรอ” มันถามโดยไม่สบตาผมแม้แต่น้อย
“ยังไม่ได้ดื่มเลย” ผมว่าตามจริง “แล้วมึงจะไปวันไหนนะ?”
“ค่อยๆ ย้ายเข้า เริ่มช่วยพี่เต้ยจ่ายเดือนหน้า” มันว่าเช่นนั้น เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็ปิด ไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะลุกขึ้นมา “เฮียมีอะไรรึเปล่า”
“ไปดื่มด้วยกันไหม”
หนึ่งขมวดคิ้วมุ่นแต่ไม่ยักกะปฏิเสธ มันเป็นคนชอบดื่ม ชอบปาร์ตี้อยู่แล้ว สุดท้ายมันก็เดินตามผมต้อยๆ เข้ามาที่โต๊ะกินข้าว ทิ้งตัวนั่งลงและปล่อยให้ผมหยิบขวดหยิบแก้วให้เอง
“วันนี้เฮียแปลกๆ นะ” หนึ่งเอ่ยปาก หัวเราะเจื่อนๆ แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม
“มาบอกกูแปลก... มึงแปลกกว่ากูอีก”
“แค่ก!” ดูเหมือนคำพูดของผมจะตรงไปเสียหน่อย เจ้าเด็กตรงหน้าเลยถึงกับสำลัก
หนึ่งเบือนหน้าไปทางอื่น ผมเองก็ไม่คิดจะรุกล้ำกำแพงของมันไปมากกว่านี้ ยกแก้วขึ้นดื่มให้รสชาติของเครื่องดื่มไหลผ่านคอไป
หนึ่งกินเหล้าเร็ว กระดกเรื่อยๆ ในขณะที่ผมค่อยๆ กิน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคอแข็งพอตัวเพราะเราเริ่มมีน้ำเสียงอู้อี้เวลาไม่ต่างกันนักเท่าไหร่ ระหว่างที่ดื่ม เราคุยกันได้สองสามคำ ประเด็นของบทสนทนาไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่นัก และหนึ่งเป็นฝ่ายตัดจบมันทุกครั้ง
ยิ่งพอมันเริ่มเมา หนึ่งจะเงยหน้ามองผม แต่พอผมเงยหน้ามองมันกลับมันก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมเหนื่อยใจบ่อยครั้ง
เพราะจำได้ว่าช่องเคเบิ้ลทีวีฉายหนังเรื่องเก่า พวกเราเลยย้ายไปนั่งกันที่โซฟาและดูทีวีกันเงียบๆ มือก็หยิบเครื่องดื่มมึนเมากระดกไปเรื่อยๆ จนหนังจบ พอหันไปก็เห็นว่าเจ้าคนมากปัญหาหลับตาพริ้มเสียแล้ว
“หนึ่ง” ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเสียงที่เรียกชื่อมันเมื่อกี้เป็นเสียงของผม ฟังดูอ้อแอ้แบบบอกไม่ถูก
ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเมามากนักแม้รู้ตัวว่าร่างกายเริ่มไม่ฟังคำสั่งแล้ว แต่สมองยังรับรู้อยู่ทุกประการ พอเห็นว่าเรียกมันอยู่สองสามรอบแล้วหนึ่งไม่ตอบอะไร คงหลับไปแล้วจริงๆ เลยเดินพยุงมันไปที่เตียง (บอกตรงๆ ว่าผมในตอนนี้อุ้มมันไม่ไหวหรอก) ปล่อยให้มันทิ้งกายอย่างอ่อนแรง
ใจหนึ่งผมก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนเหมือนกัน แต่เพราะไม่อยากให้ห้องดูรกเลยพยายามพาตัวเองไปที่โต๊ะ จัดการข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วจึงกลับมาที่ห้องนอนและพบว่าคนที่ควรจะนอนอยู่กลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
“ไอ้หนึ่ง” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองผมแววตาฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้า “ทำไมยังไม่นอน”
มันหลับตาปี๋อยู่พักหนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ราวกับกำลังจูนสติตัวเอง “กี่โมงแล้วเฮีย”
ผมหันไปมองนาฬิกา “ตีสอง” อันที่จริงเกือบตีสองครึ่งแล้วด้วยซ้ำ นึกแปลกใจนิดหน่อยที่พวกเราดื่มกันหนักขนาดนั้น
หนึ่งครางตอบรับในลำคอก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียง นอนขดกายและดึงผ้าห่มขึ้นมาแทบจะกลายเป็นคลุมโปง
ผมเห็นมันเป็นแบบนั้นแล้วจึงจัดการปิดไฟ เดินไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ แต่พอเดินออกมาก็เห็นว่าคนที่ควรจะหลับไปแล้วกลับมานั่งท่าเดิมบนเตียง
“มึงคิดว่ากูจะตกใจไหมตอนเห็นมึงนั่งแบบนี้มืดๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะว่าอย่างประชดประชัน
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย “เฮียป้อง”
“อะไรของมึง”
แสงสว่างเดียวมาจากไฟห้องน้ำที่ผมยังไม่ได้ปิด ในห้องมืดสลัว แต่กระนั้นผมก็ยังเห็นหนึ่งเม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะเอ่ยปาก
“เฮียมีอะไรจะพูดกับหนึ่งไหม” ...อย่างนี้ก็ได้หรือ... นั่นเป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัวผม ทั้งก่อนหน้านี้หรือตอนนี้ก็ตาม หนึ่งรู้เรื่องอยู่แล้วแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถามออกมา ทำเพียงหยิบยื่นให้ผมพูดออกไปจนผมนึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย หากแต่ผมก็ทำได้เพียงผ่อนลมหายใจออกมา
“มึงอยากให้กูพูดอะไรล่ะ?” หนึ่งสะอึกไป ก้มหน้ามองต่ำราวกับคำพูดของผมจี้ใจดำ
ผมไม่ได้ปิดไฟจากห้องน้ำ ทำเพียงแค่เดินเข้าไปใกล้มันที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ก้มหน้ามองมันเพื่อเค้นคำตอบแม้รู้ดีว่าหนึ่งคงไม่พูดมันออกมา
ผมเดาใจหนึ่งไม่ออก หากกล่าวจริงๆ คงจะเป็นเช่นนั้น ผมไม่สามารถเดาใจมันได้ว่ามันต้องการอะไร ไม่รู้ว่ามันอยากก้าวเข้ามาหรืออยากจะวิ่งหนี มันทำให้ผมไม่กล้าเดินหน้า ผมนึกหวั่นใจว่าถ้าหากก้าวเข้าไปหนึ่งจะถอยห่าง แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากมีความรู้สึกหลายอย่างจากเหตุการณ์ในอดีตที่บดบังทางเดิน ไม่ให้ผมถอยหลังกลับไป
ผมรู้ว่าหนึ่งระแคะระคาย...รู้ว่ามันรู้ว่าผมพร้อมที่จะเดินเข้าหา เพราะฉะนั้นผมถึงไม่ทำ
ผมมองหน้ามัน มันมองข้างใต้ตัวเอง พวกเราทำแบบนั้นในความเงียบ ปราศจากเสียงใด สักพักก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจออกมา
“หนึ่ง...” มันเอ่ยออกมาเสียงเบาแล้วก็เงียบไป เล่นเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง “ไม่มีอะไร”
ผมกำมือแน่น
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทิ้งตัวนั่งข้างๆ มัน น่าจะเป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เพิ่งกินไปตั้งเยอะเสียล่ะมั้ง มันสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เตียงยวบลงเพราะน้ำหนักของผม หลังตั้งตรงเสียจนเห็นได้ชัด ผมพูดอะไรไม่ออก อันที่จริงมีหลายอย่างที่จะพูดแต่เลือกที่จะเก็บงำมันเอาไว้ ทำได้เพียงเอื้อมมือไปสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา หนึ่งก็เบือนหน้าไปอีกทาง ผมจึงต้องเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของมันให้หันกลับมา
หนึ่งหันกลับมาจริงๆ แต่เราสบตากันเพียงไม่นานมันก็ผลุบตาลงต่ำ ในขณะที่ผมได้แค่เลื่อนมือลงมา จากแก้มสู่ลำคอ หัวไหล่ไปจนถึงแอ่งชีพจร
“ฮะ เฮีย...” เสียงของมันสั่น แต่นั่นไม่ใช่คำห้ามเสียหน่อย
ผมมองมันที่หลับตาปี๋ ริมฝีปากเผยอออกมาเล็กน้อย ลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัดอย่างเห็นได้ชัดและทุกอย่างของมันทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
ผมรู้ว่านี่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ระยะห่างของเราลดลงเรื่อยๆ จากเป็นสิบเซนติเมตรก็เหลือศูนย์ตอนจมูกเราสัมผัสกัน หนึ่งไม่เบือนหน้าหนี ผมไม่มั่นใจนักว่านั่นเป็นเพราะมันไม่อยากทำหรือตอนนี้มันกำลังทำอะไรไม่ถูกกันแน่ และผมก็ไม่ใช่คนดีถึงขนาดจะค้นหาคำตอบเลยไม่หยุดการกระทำตนเองอันที่จริงผมไม่ค่อยชอบตัวเองแบบนี้เท่าไหร่ แต่นานวันเข้า ผมรู้สึกว่าระเบิดเวลาในตัวเองใกล้จะระเบิดทุกที
ผมค่อยๆ หลับตา กำลังจะสัมผัสมันอย่างที่ใจปรารถนา แต่สุดท้ายมือของหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมาดันหัวไหล่ของผมออก
“หนึ่ง...ขอโทษ” คำนั้นเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
หากแต่ชัดเจนพอในความรู้สึกของผม ผมผละกายออกทันทีและเห็นว่าหนึ่งกำมือแน่นเสียจนหัวไหล่สันเทิ้ม มันไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงทีท่ารังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ไม่ได้มองมาที่ผมเลยแม้แต่นิดเดียว
“หนึ่ง... หนึ่งขอโทษ” มันย้ำคำเดิมอีกครั้ง “หนึ่งขอโทษจริงๆ เฮีย”
“...ทำไม?” คำถามของผมหมายถึงหนึ่งจะขอโทษทำไม แต่ไม่ทันที่จะได้อธิบายอะไร หนึ่งกลับเข้าใจเป็นอีกอย่างและพูดออกมาน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“มี...คนดีกว่าหนึ่งตั้งเยอะ...” “...”
“...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”-------------------------------
ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันค่ะ
ขอโทษที่มาช้านะคะ ไปเที่ยวมา
#ขอให้ไม่ใช่รัก