ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอให้ ✖ (ไม่) ใช่รัก || [เปิดจอง Re-print : วันนี้ - 30 มิ.ย. 61]  (อ่าน 90025 ครั้ง)

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เชียร์โอ๊ตละกัน 55

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
สู้นะเฮีย พร้อมเร็ว เเละรักจริงๆให้ได้สักที

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 16
‘สงสาร’


     หนึ่งคงจำเรื่องที่มันพูดไม่ได้แน่ๆ หรือไม่เช่นนั้น หรือไม่ก็คงเป็นเพราะมันไม่ได้มองว่าสิ่งที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่สำหลักสำคัญขนาดนั้น

     มันตื่นมากอดโถส้วมอ้วกอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินไปทิ้งตัวลงนอน จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเที่ยงๆ ถามผมว่ามีอะไรกินบ้าง นั่นทำให้ผมรู้ว่า คำพูดของมันที่มีอิทธิพลกับผมขนาดนั้น ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับเจ้าเด็กมากปัญหาเลยแม้แต่นิดเดียว

     ผมเข้าสู่ช่วงไฟนอลอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ค่อยได้กลับห้อง หมกตัวอยู่ที่ห้องสมุดกับหอพักของเพื่อนเพื่อช่วยติวต่างๆ และผมสบายใจนิดหน่อยที่เห็นว่าพอใกล้สอบแล้ว หลายคนก็ยังมาขอพึ่งใบบุญผมเหมือนเดิมแม้ว่าเราจะไม่ได้สนิทกัน หรือผู้หญิงบางคนยังเขม่นผมอยู่เลยตอนทำให้เจ้าหล่อนร้องไห้
   
     “อีกตัวเดียว...อีกตัวเดียว”

     ไอ้ภีมบ่นงึมงำอยู่ตรงกันข้ามเพียงโต๊ะกั้น หลังจากเงียบไปพักใหญ่เพราะหมกมุ่นกับหนังสือตรงหน้า (หรือบางทีอาจจะหลับในก็ได้ ผมไม่มั่นใจนัก)

     ผมเอาปึกชีทเรียนตีหัวมันไปที “มึงก็รีบๆ อ่าน”

     “คร้าบบบบ พ่อ” มันรับเสียงยานคาง

     ไอ้กันต์ไม่ได้อยู่กับพวกผม วันนี้มันบอกว่าขออ่านหนังสือคนเดียวก่อนแล้วพรุ่งนี้ช่วงเช้าจะมาให้ผมติวอีกที พอไอ้กันต์ไม่อยู่ ผมกับไอ้ภีมก็ไม่ค่อยมีคนมายุ่งด้วยเท่าไหร่นัก เลยได้แต่อ่านกันอยู่สองคนในห้องสมุดเงียบๆ ของคณะ

     “เออ” มันร้องเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “สรุปมึงไม่ไป Summer แล้วเหรอวะ”

     ผมครางรับในลำคอ “ ‘โทษที” ตอนแรกผมเล็งว่าจะไปเรียน summer ที่อังกฤษพร้อมๆ กับมัน แต่เพราะเกิดเหตุการณ์หลายๆ อย่างในช่วงรับสมัครจนผมลืมไป ไม่ได้ส่งใบสมัครเสียอย่างนั้น

     “ช่างเถอะ กูก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น” มันเอามือปัดไปมา “แค่ลืมเหรอวะ”

     “ก็ใช่สิ” คำพูดของมันทำให้ผมขมวดคิ้ว “มีอะไร”

     “เปล่า คิดว่าเผื่ออยากอยู่ใกล้ใคร ไม่อยากไปเพราะอะไรประมาณนี้” ไอ้ภีมว่า ขึ้นเสียงสูงแทบจะทุกคำลงท้ายอยู่แล้ว

     ผมเค้นหัวเราะ “ก็แย่แล้ว”

     อันที่จริงผมรู้สึกแย่นิดหน่อยกับตัวเองที่ลืมอะไรสำคัญแบบนี้ ปิดเทอมจะขึ้นปีสี่น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะไปเรียน summer ต่างประเทศ ก่อนหน้านี้จังหวะก็ไม่ค่อยมีสักทีเพราะมีกิจกรรมมหาวิทยาลัยตลอดกระทั่งปิดเทอม พอมีโอกาสแล้วก็ดันลืมเสียได้ พอคิดขึ้นมาได้ว่ากรอกใบสมัครเสร็จแล้วแต่ไม่ได้ส่งไปก็เลยไม่อยากหาโครงการอื่น สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไม่ไปเสียเลย

     “แล้วปิดเทอมนี้จะทำอะไรวะ”

     “กินๆ นอนๆ” ผมตอบไปตามจริง “ให้ที่บ้านเห็นหน้ากูบ้างเถอะ เขาจะตัดกูออกจากกองมรดกแล้ว”

     “ให้มันจริงเถอะไอ้คุณชาย”

     ผมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำนั้นเท่าไหร่ ยอมรับว่าบ้านผมมีอิทธิพลพอตัว มีเงินให้ใช้ได้ค่อนสบายๆ แต่เพราะที่บ้านเลี้ยงมาอย่างประหยัด มัธยัสถ์พอควร ข้าวของเครื่องใช้ผมก็ไม่ได้แพงอะไร คนภายนอกเขาไม่ค่อยคิดหรอกว่าผมเป็นคุณชาย

     ...จะมีก็แต่ไอ้หนึ่งที่ชอบประชดประชันเรื่องที่ผมเป็นลูกคุณหนูเสียกระมัง

     “แล้ววันนี้มานอนห้องกูปะวะ” ไอ้ภีมถามต่อ เปลี่ยนประเด็นไปจากเดิมแทบจะสามร้อยหกสิบองศา

     ผมกรุ่นคิดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้า “อืม”

     

     ‘กูนอนหอเพื่อน’

     ผมมองข้อความที่ผมส่งไปบอกหนึ่งตั้งแต่ตัดสินใจไปนอนห้องไอ้ภีมสำหรับเตรียมการสอบวันสุดท้าย ยังไม่มีข้อความใดตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่คำว่า Read ผมไม่มั่นใจว่ามันรับรู้หรือยังด้วยซ้ำ แต่จะโทรไปขัดก็คงใช้เรื่อง

     มีเพื่อนอีกสองสามคนมานอนด้วย ไอ้กันต์เองก็โผล่หน้ามาด้วยตอนที่ผมบอกว่าจะไป บรรยากาศในห้องครึกครื้นแบบแปลกๆ ยกเว้นแต่ผมที่ทำตัวสวนบรรยากาศ

     “มึงทำอะไรวะ” เจ้าของห้องเดินมานั่งข้างๆ ผม

     “เปล่า” ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ วางไว้ที่โต๊ะ

     ภีมมองหน้าผมเหมือนกับอยากถามว่าผมคุยกับใคร แต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา คาดว่ามันคงเห็นหน้าจอไลน์นั่นแหละแต่ไม่เห็นว่าผมแชตกับใครเท่านั้น

     “ไอ้เอกมันขี้เสร็จหรือยังจะได้ติวต่อ” เพื่อนคนหนึ่งตะโกนถามเข้าไปในห้องน้ำ

     “แป๊บนึงเว้ยยยย” นั่นคือเสียงที่ตอบกลับมา แล้วทุกคนก็ระเบิดหัวเราะ

     กว่าจะได้ติวกันจริงๆ จังๆ ก็ผ่านไปประมาณค่อนคืน เดี๋ยวก็ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็อยากหาอะไรกิน เดี๋ยวก็คุยกับเมีย จนผมต้องยื่นคำขาดว่าให้ทุกคนเอาโทรศัพท์ปิดเครื่องวางบนโต๊ะเดี๋ยวนี้ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปูเรื่องพื้นฐานที่เพื่อนบางคนลืมไปแล้ว (หรืออาจจะไม่เคยจำมาก่อน) กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็แทบจะรุ่งสาง โชคดีเหลือเกินที่ตัวนี้สอบในตอนบ่าย พวกเราเลยมีเวลาในการนอนพักเอาแรงบ้าง

     ผมนอนหลับไปสักสามชั่วโมงเห็นจะได้ ตอนตื่นมาจึงบอกคนอื่นๆ ว่าเดี๋ยวขอไปเปลี่ยนชุดที่หอตัวเองซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วไปเจอกันที่คณะเลย

     ใช้เวลาขับมอเตอร์ไซค์ตัวเองแป๊บเดียวก็มาถึง พอขึ้นไปถึงห้องแล้วก็พบว่าห้องเงียบสงบ

     จะว่าไปแล้ว... หนึ่งยังไม่ตอบไลน์ผมเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังไม่ได้ไปดูว่ามันอ่านที่ผมบอกไปหรือยัง

     ผมพ่นลมหายใจ ช่างมันเถอะ เดินเข้าไปในบริเวณห้องนอนเพื่อที่จะหยิบเสื้อผ้าและอาบน้ำ ก่อนที่จะพบว่าเจ้าตัวปัญหานอนอยู่ที่เตียงพร้อมกับหนังสือกองโตแบบผิดวิสัย

     ห้องนี้มีโต๊ะอ่านหนังสือของผมอยู่แค่โต๊ะเดียว ปกติแล้วหนึ่งไม่ค่อยได้อ่านหนังสือที่นี่เท่าไหร่นัก มักจะแบกเป็นงานกลับมาที่นี่มากกว่า แต่ไม่คิดว่ามันจะเอาหนังสือมาอ่านบนเตียง แถมยังหลับลึกเสียด้วย

     ถ้าผมเป็นโจร ปานนี้มันคงโดนฆ่าปาดคอตายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

     ผมส่ายหน้า เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยและจัดการดึงหนังสือที่อยู่ในมือของมันออก เอาดินสอใกล้ๆ นั้นมาคั่นหน้าไว้ให้ เป็นอีหรอบนี้สงสัยมันคงหลับคาหนังสือ ไม่ได้อ่านอะไรจริงจังขนาดนั้นหรอก

     “พี่เต้ย...”

     ชื่อที่หลุดออกมาจากปากมันทำให้ผมชะงัก

     หนึ่งสะลึมสะลือ พลิกตัวเป็นนอนตะแคงอีกฝั่ง เหมือนกับนั่นเป็นเพียงสิ่งที่ละเมอออกมา ผมสูดลมหายใจลึก ในใจก็คิดว่าการปลุกมันเพื่อถามว่าอะไรทำให้มันละเมอชื่อนี้ออกมาก็คงจะเป็นการทำเกินกว่าเหตุ จึงตัดสินใจไปหยิบเสื้อผ้าและเดินเข้าห้องน้ำไปเสียก่อน

     ตอนผมอาบน้ำเสร็จแล้ว หนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งอยู่บนเตียงแทน

     “วันนี้สอบไหม” ผมเอ่ยปากถาม

     “ไม่” น้ำเสียงที่ตอบมายังเจือความงัวเงียอยู่เล็กน้อย “พรุ่งนี้สอบอีกสองตัว วันนี้ว่าง”

     “อืม...”

     “เฮียจะไปสอบเหรอ”

     “เออ” ผมตอบไปตามจริง “ตัวสุดท้าย”

     “แล้วเฮียจะกลับบ้านวันไหน”

     สิ่งนั้นทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ “ถามทำไม?”

     “อ้าว ถามเฉยๆ ไม่ได้เหรอ” หนึ่งทำหน้างุนงงเล็กน้อย

     ผมรู้ตัวว่าตัวเองระแวงเกินไป แต่ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวแล้วหนึ่งเตรียมตัวจะหนีไปกับไอ้แฟนมากปัญหาของมันคนเก่าเหลือเกิน หนึ่งเองก็ไม่ได้เลิกกับกริชมานานขนาดนั้น แถมจบไม่สวยเสียด้วย มันคงไม่ตกลงปลงใจกับใครเร็วขนาดนั้นหรอก

     ผมสลัดความคิดนั้นออก ตอบมันไปตรงๆ “คงพรุ่งนี้ล่ะมั้ง มึงล่ะ”

     “หนึ่งต้องเตรียมค่ายติวน้องว่ะ คงกลับไปช่วงกลางๆ เดือนเลย”

     ผมไม่แปลกใจ เด็กปีหนึ่งมีกิจกรรมเยอะเสมอ พวกค่ายอะไรที่เตรียมรับน้องเองก็ด้วย ขนาดตอนปีผม ไม่ได้เป็นเด็กกิจกรรมเองก็ยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมพวกนี้อยู่ดี

     เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก หนึ่งเพ่งความสนใจกับหนังสือใหม่แต่อ่านไปสักพักก็หาวจนผมต้องบอกให้มันไปล้างหน้าล้างตา ก่อนที่ผมจะเดินออกไปเพื่อหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวันและเข้าสอบวิชาสุดท้ายให้เสร็จเสียที
   
     ไม่มีอะไรหรอก...หนึ่งอาจจะแค่ฝันถึงพี่รหัสมันก็ได้


     
     เพื่อนๆ ในเซคชวนกันไปกินร้านชาบูแถวๆ ต่างคณะ ครั้งนี้ผมไม่ได้ปฏิเสธอะไร พอสอบเสร็จแล้วก็ต้องมีความรู้สึกอยากฉลองบ้าง

     “เบียร์หน่อยไหม”

     “ไม่” ผมรีบเบรกไอ้กันต์ “มึงหยุดเทอะไรให้กูเลยนะ”

     “ครับพ่อพระ” อีกฝ่ายประชดประชันด้วยใบหน้ายิ้ม หันไปเทเบียร์ใส่แก้วตัวเองและแก้วเพื่อนๆ แทน

     ผมไม่ได้ถือศีลอะไรหรอกแต่ไม่ค่อยชอบเบียร์เท่าไหร่นัก มันทำให้ผมเมาได้เร็วกว่าเหล้าทั้งๆ ที่มีแอลกอฮอล์น้อยกว่า นี่ก็กินไปแล้วแก้วสองสามแก้ว เลยต้องรีบเบรกเพื่อนไว้ก่อน เพราะรู้ว่ายังไงๆ เดี๋ยวก็ต้องเทมาอีก ยิ่งผมต้องขับมอเตอร์ไซค์กลับเองด้วยคงไม่ดีเท่าไหร่

     และสุดท้ายก็เป็นไปดั่งคาด นั่งกินอยู่สามชั่วโมง ผมน่าจะกินเบียร์ไปสักห้าหกแก้วได้ พอรู้ว่าใกล้ถึงลิมิตตัวเองผมเลยขอตัวกลับก่อน ตอนนี้ก็น่าจะสักสองทุ่มแล้ว

     ผมขับมอเตอร์ไซค์ช้ากว่าปกติเพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุง่ายๆ พอไปถึงห้องตัวเองที่ไม่เห็นเงาของเพื่อนร่วมห้องก็ไปทิ้งตัวนอนทันทีอย่างผิดวิสัยตนเอง ปกติผมไม่ชอบไปกินอะไรมาแล้วมานอนแบบนี้หรอก

     จำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปกี่ชั่วโมง หรืออาจจะไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ ตอนตื่นมาก็คือตอนที่หนึ่งเดินมาสะกิดผม

     “เฮีย...เฮียป้องๆ” ผมหันไป ค่อยๆ ลืมตา พบว่าหนึ่งอยู่ใกล้กันเกินไปหน่อยแต่อีกฝ่ายก็ถอยหลังไปทันที “กินข้าวแล้วเหรอ”

     ผมส่งเสียงตอบรับไปในลำคอ ไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่นัก

     “งั้นหนึ่งไปนะ”

     “ไปไหน”

     “หอพี่เต้ย”

     คำตอบของหนึ่งทำให้ผมลุกขึ้นมาโดยฉับพลัน “มึงไม่ได้เพิ่งกลับมาเหรอ แล้วจะไปทำไม”

     “วันนี้นัดกันไปติวที่หอพี่เต้ยว่ะ นี่ก็ว่าจะค้างเลย กลับมาเอาของเฉยๆ” หนึ่งตอบหน้าซื่อเหมือนกับยังงุนงงว่ามีอะไรเกิดขึ้น

     “แล้วทำไมต้องไปหอมัน มันอยู่ปีสองไม่ใช่เหรอ”

     “พี่เต้ยอยู่หอเดียวกับแก้วตา ไปติวกับแก้วตาแหละ แต่เดี๋ยวหนึ่งไปนอนที่ห้องพี่เต้ย”

     ก็ดูเป็นคำพูดที่ดูมีเหตุผลดีอยู่หรอก ผมเลยจนคำพูด ไม่รู้จะว่าอย่างไรต่อ แม้จะสงสัยว่าทำไมชื่อของพี่รหัสมันนี่มาให้ผมได้ยินบ่อยๆ ในช่วงนี้

     “เออ” หนึ่งที่จัดกระเป๋าอยู่พูดเหมือนกับนึกอะไรออก แต่พอเราสบตากันมันก็เงียบไป “ยังไม่เอาดีกว่า”

     “อะไร”

     “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวค่อยบอกก็ได้”

     ท่าทางมีพิรุธเช่นนั้นทำให้ผมถามย้ำ “หนึ่ง มีเรื่องอะไร”

     อีกฝ่ายมองหน้าผม ผลุบตาลงต่ำ เม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกับลังเลใจที่จะพูดอยู่พักหนึ่ง ปล่อยให้ผมลุ้นเพราะความเงียบที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างเรา

     “เทอมหน้า...” ในที่สุดมันก็พูดออกมา หากแต่เว้นช่วงไปพักหนึ่งเลยทีเดียว หนึ่งสูดหายใจลึกราวกับใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะพูดออกมา “เทอมหน้าหนึ่งย้ายไปอยู่กับพี่เต้ยนะ”

     “อะไรนะ” สิ้นคำ ผมก็ถามเสียงขุ่นทันที “มึงจะไปทำไม”

     “รูมเมทพี่เต้ยจบแล้วอ่ะ”

     นั่นไม่ใช่คำตอบเสียหน่อย “แล้วมึงจะไปทำไม มันเกี่ยวอะไรกับมึง”

     “เฮียเขาก็กำลังหาเมทอยู่ไง” หนึ่งทำหน้างุนงง “นี่เฮียหงุดหงิดอะไรแล้วมาลงกับหนึ่งรึเปล่า”

     “เปล่า” มีแต่เรื่องมันเท่านั้นแหละที่อยู่ในหัวผมตอนนี้ ไม่มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น “อยู่ห้องนี้ค่าหออะไรมึงก็ไม่ต้องจ่าย แล้วทำไมมึงต้องไปอยู่กับมัน มันจะอยู่คนเดียวก็ช่างหัวมันสิ”

     “เฮียป้อง”

     “หรือว่า...มึงอยากไปอยู่กับมัน”

     ผมห้ามปากตัวเองไม่ได้แล้ว เป็นอะไรที่มันหลุดออกมาเหมือนกับการอาเจียน ผมรู้ว่านี่ไม่ดีเลยแต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้จริงๆ

     “เฮียป้อง!” หนึ่งตวาดผมเสียงดัง “มันเกี่ยวอะไรกันวะ นั่นพี่รหัสนะ”

     “พี่รหัสจริงๆ หรือไง หรือว่าเป็นแฟนใหม่ เมื่อกลางวันนี้มึงก็เรียกชื่อมัน นี่มึงไม่ได้เอามันมาที่ห้องกูใช่ไหม”

     “ไอ้เวร!” หนึ่งโยนกระเป๋าออกไปอีกทาง กระโจนข้ามเตียงมาผลักผมลงเตียง กระชากข้อเสื้อผมไว้อย่างแรง แววตามันสั่นไหวแบบที่ผมอยากจะได้อะไรสักอย่างมาย้อนเวลากลับไป ดึงคำพูดตัวเองกลับมา “เฮียจะดูถูกหนึ่งมากไปไหม คิดว่าหนึ่งจะไม่ให้เกียรติเฮียขนาดนั้นหรือยังไง!”

     “แต่ตอนกับไอ้กริช มึงก็ทำ!”

     “ตอนนั้น...!” ผมคิดว่าหนึ่งอยากจะเถียง แต่มันก็เถียงไม่ออกเพราะตอนนั้นมันทำจริงๆ “แต่พี่เต้ยมันไม่เกี่ยวปะวะ เขาก็เป็นพี่รหัส ไม่ใช่แฟนหนึ่งแบบกริชสักหน่อย” น้ำเสียงมันอ่อนลงมาเล็กน้อย

     “แล้วมีสาเหตุอะไรที่ทำให้มึงต้องย้ายไป... อยู่กับกูมันทำให้มึงอึดอัดมากขนาดนั้นเลยหรือยังไง

     ผมไม่มั่นใจนักว่าผมพูดประโยคนั้นไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน

     เราเงียบใส่กัน ผมมองลึกเข้าไปในแววตาของหนึ่ง แววตาที่เคยร้องไห้หลายครั้งหลายครา ในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้ว่าเรากำลังสบตากัน หนึ่งเองก็คงมองในตาผมเหมือนกัน และผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันมองเห็นอะไรในนั้น

     “อึดอัด” หนึ่งพูดออกมาเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนไม่ใช่ประชด หากแต่เป็นคำพูดที่มาจากใจมันจริงๆ “และเฮียทำเพราะว่าสงสาร...มันยิ่งอึดอัด”

     ผมนิ่งเงียบ กล่าวให้ถูกคือไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไป หรือขยับร่างกายส่วนไหน หนึ่งยังอยู่บนร่างผม มองตาผมด้วยแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าของมันอยู่ห่างไปเพียงนิดเดียวจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นจากคนข้างบน

     นานทีเดียวที่เราทั้งสองเป็นอย่างนั้น ก่อนที่มันจะผละออกไป เดินคว้ากระเป๋าตนเองที่มันเป็นคนโยนทิ้งเมื่อกี้ และเดินออกไปโดยการปิดประตูเสียงดัง

     ‘สงสาร’

     เป็นถ้อยคำที่กำลังดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวผมทำให้ผมกัดริมฝีปากจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ มือของผมกำเข้าหากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ผมจะสบถคำผรุสวาทออกมาอย่างหัวเสีย ในยามนี้ ผมนึกโกรธทั้งตัวหนึ่งและตัวเอง

     ทำไมไม่ลองคิดให้ดีกว่านี้ว่าที่ผมทำไปมันเพียงเพราะสิ่งนี้จริงหรือ
   




-------------------------------
สัมผัสได้ว่าจะโดนด่า
...ไม่ใช่เรานะ เฮียป้องเนี่ยแหละ ฮาา :ruready

#ขอให้ไม่ใช่รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2016 19:58:15 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
อ่านแล้วเจ็บและอึดอัด ทำไมเข้าใจกันยากจัง แล้วตอนนี้ปกป้องเข้าใจตัวเองหรือยัง

เจอคำผิดตรงนี้ค่ะ

แก้ เรื่อ เป็น เรื่อง

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
เราอายุมากแล้วนะ  อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจป้องมากกว่าหนึ่ง
มองตามหลักความจริงไม่ว่าปกป้องจะรู้สึกยังไงกับหนึ่งก็ตาม  การที่ป้องยื่นมือเข้ามาช่วยหนึ่งเราถือว่าเป็นสิ่งที่ดี   ครอบครัวป้องให้โอกาสให้ชีวิตหนึ่งกับแม่อีกครั้ง  แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมหนึ่งแสดงออกกับป้องแบบนี้   ทั้งๆที่อย่างมีเรื่องคราวกริชก็เป็นป้องที่ยื่นมือเข้าไปช่วย   หนึ่งอาจจะไม่ได้ขอแต่ก็ไม่ควรมองว่าการยื่นมือเข้ามาช่วยของคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสมอไป   เรื่องเต้ยเรายังมองว่าเต้ยชอบหนึ่งด้วยซ้ำ   ถ้าหากว่าจะออกไปอยู่คนเดียวก็ควรรู้ตัวเองด้วยว่าสกิลการเอาตัวรอดของตัวเองมีอยู่ขนาดไหน   หนึ่งอาจจะอึดอัดที่อยู่กับป้องแล้วป้องไม่ยอมล้ำเส้นตามใจตัวเอง  ส่วนตัวมองว่าป้องไม่ได้แค่สงสารแต่หนึ่งเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในชีวิตป้อง    หนึ่งน่าจะมีเหตุผลที่แสดงออกแบบนี้แต่มันไม่งามค่ะ    ไม่ว่าหนึ่งจะเอาเต้ยมาเป็นเครื่องมือหรือไม่  เท่าที่ป้องทำได้ก็แค่ปล่อยมือไป    อายุยังน้อยกันก็มองแต่จุดที่ขาดมากกว่าจุดที่มีสินะคะ

ขอบคุณที่มาอัพค่ะ

ป.ล เราชอบป้องนะ  เป็นคนที่รับผิดชอบตัวเองได้ดีมากๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2016 03:53:02 โดย Freja »

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึมครึมในอารมณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยอ่านมา ขอชื่นชมคนเขียนว่ารายละเอียดดีมาก ตอนอ่านนี่พลาดพฤติกรรมตัวละครไม่ได้เลย แบบว่าเล็กๆน้อยๆนี่ต้องตามเก็บเอาไปคิดตลอด ฮ่าๆ

หนึ่งอึดอัดใจจริงๆแหละ แล้วเขาก็ต้องการความรัก
เฮียป้องหนาเฮียป้อง ถ้าเส้นของเฮียมันอยู่ตรงนั้น แล้วทำยังไงถึงจะข้ามไปได้?

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 17
‘คนเห็นแก่ตัว’


     ผมไม่ได้เจอหนึ่งมานานกว่าจำนวนนิ้วมือของตัวเอง

     วันนั้นหนึ่งออกไป ไม่กลับมาที่ห้องจนผมกลับมาที่บ้าน คิดว่ามันคงจะไปอยู่กับเพื่อนมันสักคน หรือไม่ก็พี่รหัสตัวดีของมันนั่นแหละ ตอนนี้มันกลับห้องหรือยังผมก็ไม่รู้

     ดีเสียอีกไม่ต้องเปลืองไฟ มันเป็นผู้ชาย ไม่เห็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้นเลย

     พอคิดแบบนั้นเสร็จ นิ่งไปพักหนึ่ง ก็ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิดว่าการหาเหตุผลมาบอกตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงมันเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าผมยังเป็นห่วงมันอยู่

     ผมทิ้งตัวลงบนเตียง พอกลับมาบ้านแล้วชีวิตว่างอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆ ก็ตอนกลางวัน พอเย็นๆ บางทีแม่ก็บอกให้ผมไปออกงานสังคมกับพี่สาว หรือพ่อบ้าง ถึงจะเรียกว่าบอก แต่แท้จริงมันก็คือการบังคับ แม่คงจะไม่อยากให้คนลืมกระมังว่าที่บ้านก็มีลูกชายคนเล็กอยู่อีกคนเพราะผมไม่ได้ไปออกหน้าออกตามานานมากแล้ว ถึงผมจบมาผมจะไม่ได้มีส่วนในด้านบริหาร แต่การมีคนรู้จักเยอะๆ ก็คงช่วยให้โลกง่ายขึ้น

     ความจริงก็เป็นแบบนี้

     ช่วงที่ใส่สูท แต่งผม ออกงาน ยิ้มตลอดงานเพื่อคุยกับแขกผู้ใหญ่ หรือกระทั่งลูกๆ ของคนเหล่านั้นก็ทำให้ผมเหนื่อยไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

     วันนี้คงไม่มีอะไรอีกเพราะเมื่อคืนเพิ่งไปงานวันเกิดลูกสาวคุณหญิงคนหนึ่ง เป็นลูกนายพลใหญ่ที่รู้จักกับพ่อผม จัดงานหรูหรา กลับมาตั้งดึกแถมเจ้าหล่อนตัวติดผมเป็นตังเมเพราะเราเรียนสายคล้ายๆ กัน หล่อนเรียนเภสัชศาสตร์ อายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี

     ขณะที่ผมนอนหลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยเสียงแม่

     “ป้อง” แม่เปิดประตูเข้ามา “พรุ่งนี้...”

     “ไม่ไปครับ” ผมตัดบทแทบจะในทันที ให้ไปงานวันเว้นวันก็ไม่ไหว

     “เอ๊ะไอ้นี่” แม่เท้าสะเอวก่อนที่จะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ข้างๆ ผมที่หยัดกายขึ้นมา “จะบอกว่าแม่ของหนึ่งเปิดร้านแล้วนะ”

     “...” ชื่อของหนึ่งทำให้ใจผมกระตุกนิดหน่อย

     “จะไปไหม คงไปมื้อกลางวัน”

     ผมลังเลไปนิดหน่อย พยายามคิดว่ามีข้ออ้างใดที่เป็นไปได้บ้าง ไอ้การที่ยอมไปงานเลี้ยงนู่นนี่แต่ไม่ยอมไปร้านของคนสนิทๆ มันก็คงแปลกไปหน่อย ผมเลยตอบรับไป

     “ก็ได้ครับ”

     “โอเค ออกจากบ้านแปดโมง จัดการให้เสร็จนะ”

     “ครับ” พอเห็นผมว่าเช่นนั้นแม่ก็พยักหน้า น่าแปลกที่ท่านไม่เดินออกไป ทำเพียงมองหน้าผมเงียบๆ เท่านั้น “มีอะไรเหรอแม่”

     “อกหักเหรอเรา” คำพูดของแม่ทำให้ผมผงะไปชั่วครู่ “ทำหน้าแบบนี้แปลว่าฉันพูดถูกล่ะสิ”

     “ไม่ใช่ครับ”

     ไม่เรียกว่าอกหักเสียหน่อย...เป็นความรักที่ไม่มีหวังตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ

     แม่หัวเราะ ดูเหมือนว่าการที่ลูกชายคนเดียวอกหักจะทำให้แม่มีความสุขมาก เธอเอื้อมมือมาขยี้หัวผม พูดจากลั้วหัวเราะ

     “มีแฟนแล้วก็บอกแม่ล่ะ หรืออยากให้แม่หาให้”

     “ก็แย่แล้ว” ผมถอนหายใจ ยิ้มออกมานิดหน่อยเพียงเพราะคำพูดของแม่

     ทุกครั้งเวลามองครอบครัวเรา ผมนึกขอบคุณพระเจ้า ผมหมายถึง... ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่พวกท่านดูแลพวกเราอย่างอบอุ่น แต่ก็ไม่เข้มงวดจนไร้อิสระ สมัยเด็ก ผมคิดมาตลอดว่าทุกครอบครัวเป็นแบบเรา จนโตขึ้นถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ ผมจึงยิ่งขอบคุณทั้งพ่อแม่และพี่ปลาอยู่เสมอที่ครอบครัวช่วยรับฟังปัญหาของผม

     “สมมุตินะแม่...” ผมเอ่ยออกมาเสียงเบา “เป็นเรื่องของเพื่อน”

     แม่ทำหน้าเหลือเชื่ออย่างมีจริต แต่ก็พยักหน้าราวกับจะบอกให้ผมพูดต่อได้เลย

     “ถ้ามันคิดว่ามันยังไม่ดีพอสำหรับเขา แต่ไม่อยากให้เขามีใคร ควรทำยังไงดี”

     แม่เงียบไปชั่วครู่ในขณะที่ผมแทบจะกลั้นหายใจรอคำตอบ คนตรงหน้าส่งเสียงในลำคอนิดหน่อยก่อนที่จะตอบด้วยคำถามที่ทำให้ผมอึ้งไป

     “แบบนั้นก็เห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ?”

     เป็นคำที่ผมไม่เคยแม้แต่นึกมาก่อน... ‘เห็นแก่ตัว’ อย่างงั้นหรือ

     พอเห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไร แม่ก็พูดต่อ “มันก็เรื่องง่ายๆ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับเขา ทำไมไม่ปล่อยเขาไปให้เจอคนที่ดีพอซะ ตระกะนี้มันง่ายๆ เลยนะ”

     “ถ้าคนใหม่ของเขามันไม่ดีพอล่ะ”

     “ไม่ดีพอจริงๆ หรือว่าคิดไปเอง” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผมอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็มีอีกเรื่องที่ง่ายกว่า”

     “...”

     “เป็นคนที่ดีพอสำหรับเขาซะสิ” ผมไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใด แม่มองหน้าผม ยิ้มแปลกๆ แต่ให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนแบบที่ผมได้รับมาตั้งแต่เด็กถูกส่งมอบมาให้ “แต่แม่ก็ไม่เห็นว่าเราจะเป็นคนที่ไม่ดีเลยนะป้อง”

     “เรื่องของเพื่อนครับ”

     “จ้า” แม่ลากเสียงยาวคล้ายจะล้อเลียน “สมมุติว่าเพื่อนของเราเป็นเหมือนเรา ใครจะมาบอกว่าเราเป็นคนไม่ดีนี่แม่จะด่าให้ ไม่ต้องเอาเข้าบ้าน” แม่พูดระคนหัวเราะ “เรียนก็ไม่เคยแย่ เหล้าก็ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ตั้งแต่เกิดมาไม่ยักกะเคยเห็นสร้างปัญหาให้ที่บ้านจริงๆ จังๆ สักที”

     “เรื่องของเพื่อน แม่” ผมย้ำคำเดิมอีกครั้ง แต่คล้ายว่าจะไม่เข้าหูคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

     “แม่มองว่าปัญหาของเราคือเรื่องเครียดเกินไปมากกว่า นิสัยนี้ล่ะได้พ่อมาเยอะเชียว อ๋อ... รวมเรื่องเถรตรงด้วย” ท่านว่าไปเรื่อย “มีความรับผิดชอบก็ดี แต่อะไรที่มันช่วยไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ปล่อยๆ ไปบ้างเถอะ หรืออยากให้พาเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมซะบ้าง”

     “ไม่เกี่ยวแล้วแม่” ผมรีบเบรกท่านไว้ก่อน

     “จ้ะพ่อคุณ” แม่ว่าเสียงประชด ก้มลงหอมแก้มผมหนึ่งทีก่อนที่จะผละออกไป เดินออกจากห้องไป

     ผมถอนหายใจ แม่ไม่เชื่อแน่ๆ…แต่คำพูดแบบนั้นก็ดูโง่เง่าเกินกว่าใครจะเชื่อ เป็นข้ออ้างที่สั่วมากจริงๆ

     ไม่ทันไรแม่ก็เปิดประตูกลับมาอีก “ขอโทษที ลืมไปว่ามันเป็นเรื่องของเพื่อนลูกเนอะ”

     ผมกลอกตา แม่ช่างหาวิธีมาซ้ำเติมผมได้เจ็บแสบอย่างนุ่มนวลเกินไปจริงๆ

     ประตูถูกปิดไปอีกครั้ง ครั้งนี้คงไม่มีใครเปิดเข้ามาอีกแล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนตามเดิม มองเพดานห้องที่ได้มองมาตั้งแต่แยกห้องกับพ่อแม่ตอนเข้าประถม ไม่รู้ว่าเพราะเพดานโล่งเช่นนี้หรือเปล่า ผมถึงเผลอคิดถึงหน้าของหนึ่ง

     ผมไม่มั่นใจว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อหนึ่งมันลึกซึ้งถึงขนาดนี้ตอนไหน แต่ผมก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกสงสาร หากมันเป็นเช่นนั้นจริง มันไม่เพียงพอหรอกกับสิ่งที่ผมใส่ใจมันมาตลอด

     ก่อนหน้านี้ที่เก็บงำความรู้สึกมาตลอดเป็นเพราะผมคิดว่าหนึ่งรังเกียจความรักประเภทนี้ ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนึ่งจะชอบผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อก่อนหน้านี้หนึ่งเคยโดนกระทำต่างๆ ในอดีต เพราะฉะนั้น ผมยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น คิดว่าสักวันหนึ่งจะมีแฟนเป็นผู้หญิงสักคน แต่งงาน และมีความสุข
 
     ผมเคยคิดแบบนั้นมาก่อน... จนวันที่เจอมันอยู่กับกริช

     ผมไม่รู้มาก่อนว่าหนึ่งชอบผู้ชายแถมคบกันมาเป็นเดือนแล้ว ความรู้สึกที่กดไว้ตลอดเลยคล้ายจะปริแตกมาทุกเมื่อยามคิดว่าตัวเองมีหวัง แต่ผมก็ไม่สามารถลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่ปล่อยผ่านมาตลอดได้

     พี่ปลาบอกว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม... ทุกคนก็บอกแบบนั้น และผมเองก็รู้

     แต่สำหรับผม หนึ่งเป็นคนที่ผมอยากถนอม ไม่อยากแตะต้องหรือสัมผัสเพราะกลัวจะยั้งมือไว้ไม่ได้ ไม่อยากทำลายความเชื่อใจที่ทั้งหนึ่งและคนรอบข้างมอบให้มาตลอด ความเปราะบางของหนึ่งมีมาก ผมเกรงว่าแค่เอื้อมมือไปแตะต้องมันจะพังครืดลงต่อหน้าต่อตา

     เพราะอะไร...ทำไมคนเหล่านั้นที่เข้ามาในชีวิตหนึ่งไม่เคยคิดถึงตรงนี้กันบ้างเลย

     ‘เป็นคนที่ดีพอสำหรับเขาซะสิ’

     พูดง่าย...แต่ทำยากเหลือเกิน

     หากผมไม่เอาหนามที่ปักอกออก เกรงว่าผมคงยอมรับตัวเองไม่ได้สักที



     วันนี้เป็นวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการของน้ากานดา

     อันที่จริงเปิดให้ลูกค้าเข้ามาสักสองอาทิตย์แล้ว แต่วันนี้เป็นวันทำบุญ มีแขกมาประมาณสามสิบคน งานเริ่มสิบโมงแต่แม่มาช่วยน้ากานดาจัดการอะไรเสียก่อน เลยมาถึงที่ร้านนี้ราวแปดโมงครึ่ง

     “มาแล้วเหรอครับ”

     ผมผงะไปนิดหน่อย ทันทีที่เปิดประตูเข้าร้านมาก็เจอหนึ่งทันที อีกฝ่ายเองก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหันไปคุยกับแม่ของผมอย่างสนิทสนม เรียกได้ว่ามองผ่านผมไปเลย

     คุยกันอยู่พักหนึ่ง แม่ผมก็เอ่ยปาก “ไปคุยกับป้องก่อนลูก เดี๋ยวป้าไปช่วยแม่เราก่อน”

     หนึ่งยิ้มให้แม่ของผมที่เดินเข้าไปในห้องครัว แล้วจึงหันมามองผม รอยยิ้มนั้นหุบลงทันที เดินออกไปคุยกับคนอื่นๆ ที่น่าจะเป็นคนงาน

     เมินกันเต็มรูปแบบ

     ก็คิดไว้แล้วแหละว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมพยายามไม่ใส่ใจ เดินไปช่วยคนอื่นๆ จัดเก้าอี้ จัดโต๊ะ แต่งานก็ไม่ได้มีมากอะไร ส่วนใหญ่เป็นงานในห้องครัวที่ผมเข้าไปช่วยรั้งแต่จะทำให้ปวดหัว ก็เลยไปนั่งอยู่เฉยๆ ที่มุมร้าน ไม่นานก็มีคนมาทิ้งกายนั่งข้างๆ แต่ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา

     “อะไร” ผมเอ่ยปากถาม “ค่ายเสร็จแล้วเหรอ”

     “เสร็จแล้ว” หนึ่งตอบเสียงห้วน

     จากนั้นก็เงียบ ไม่มีอะไรคุยกันอีก

     โชคดีที่น้ากานดาเดินมาเรียกให้ไปช่วยยกจานผมเลยถือจังหวะนั้นเดินออกมา หยิบข้าวของออกมาจากครัวอยู่พักหนึ่ง คนเดินเข้าออกกันเป็นพัลวันเมื่อเห็นว่าใกล้เวลางานแล้ว

     “น้าไปรับแขกก็ได้นะครับ” ผมเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าแขกเริ่มมาเยอะ “เดี๋ยวผมอยู่ช่วยตรงนี้เอง”

     “ขอบคุณมากจ้ะ” น้ากานดาคลี่ยิ้ม แต่ไม่ได้เดินออกไปไหน จัดการจัดขนมชั้นในจานให้ดูดี “ป้องจ๊ะ”

     “ครับ?”

     “น้องทำอะไร...ให้ป้องไม่พอใจรึเปล่าจ๊ะ”

     คำถามของน้ากานดาทำให้ผมนิ่งไป รู้ดีว่าน้องที่น้ากานดาเอ่ยหมายถึงลูกชายตัวเอง แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ากานดาถึงมาถามแบบนี้

     ผมขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบอะไร น้ากานดาจึงพูดต่อ

     “เห็นหนึ่งบอกว่ากลัวป้องไม่สะดวกเลยขอย้ายหอ น้าเลยกลัวว่าหนึ่งกับป้องทะเลาะกันหรือเปล่า”

     “ปะ...” ปากผมจะตอบว่าเปล่า แต่พอคิดว่าไม่ใช่ สถานการณ์แบบนี้อาจจะกล่าวได้ว่าทะเลาะกันจริงๆ แล้วก็เลยยั้งปากไว้และกลืนคำนั้นลงคอไปเสีย น้ากานดามองผม แววตาเศร้าเพราะการกระทำผมเป็นการตอบโดยไร้เสียงว่าใช่ไปเสียแล้ว

     “งั้นเหรอจ๊ะ” น้ากานดาผลุบตาต่ำ “คืนดีกันเร็วๆ นะ”

     เป็นจังหวะที่น้าแกจัดขนมชั้นเสร็จพอดี ผมเลยเอามันออกไปวางให้ ปล่อยให้น้ากานดาล้างมือก่อนที่จะไปพบแขกคนอื่นๆ

     ส่วนใหญ่แขกที่มาเป็นคนรู้จักของน้ากานดาและแม่ของผม แต่ผมไม่ค่อยรู้จัก หนึ่งเองก็ดูมีสีหน้าโล่งใจตอนที่แม่มารับแขกคนอื่นๆ ให้ อย่างว่า มันไม่ใช่คนที่เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่เก่งเท่าไหร่นัก ขนาดพ่อของผม หนึ่งยังไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่เลย

     พิธีต่างๆ ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ผมไม่ได้คุยอะไรกับสองแม่ลูกอีกเพราะเอาแต่ช่วยเหลือในพิธี เนื่องจากไม่ค่อยมีแขกที่เป็นผู้ชายเท่าไหร่นัก

     จนถึงช่วงเวลาที่แขกกลับ ผมเลยไปช่วยน้ากานดาแบ่งอาหารและขนมหวานที่เหลือให้แขกทั้งหลายเอากลับบ้านไป เหลือเพียงแค่ผมกับแม่ เจ้าของร้านและลูกมือที่ช่วยจัดการไม่เท่าไหร่ ในร้านก็สงบลงไปทันตา

     ผมอาสาไปล้างจานในครัวให้ ปล่อยให้น้ากานดาคุยกับแม่ของผมอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันเสร็จ ประตูห้องครัวก็เปิดออกพร้อมกับหนึ่งที่แบกจานชุดใหญ่มาอีกชุดหนึ่ง

     “วางไว้ตรงนั้นแหละ”

     “เฮียพูดอะไรกับแม่”

     ผมเงยหน้าขึ้น มองหนึ่งที่มองผมด้วยแววตาที่แฝงความเศร้าสร้อยเล็กน้อย “อะไร?”

     “แม่บอกว่าหนึ่งย้ายออกก็ได้ เฮียพูดอะไรกับแม่รึเปล่า เมื่อวานแม่ยังไม่ยอมอยู่เลย”

     คำตอบของมันทำให้ผมครางอ๋อในใจ แต่ไม่คิดว่าน้ากานดาจะยอมให้หนึ่งย้ายหอออกไปจริงๆ ทั้งที่ประคบประหงมลูกชายยิ่งกว่าลูกสาวเสียอีก

     “เปล่านี่” ผมไม่ได้โกหก “น้ากานดาคงคิดว่ากูทะเลาะกับมึงมั้ง”

     หนึ่งเงียบไป ผมจึงเอ่ยปากถามต่อ

     “แล้วสรุปมึงจะย้ายไปอยู่กับพี่รหัสมึงเหรอ”

     “อื้อ” คำตอบของมันทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่แม้ว่ามือจะยังไม่หยุดล้างจานก็ตาม “แต่คงย้ายไปหลังเปิดเทอมสักพัก”

     ผมล้างน้ำชามในมือ วางไว้ที่ตะแกรงข้างๆ ก่อนที่จะหันกายมาสบตากับมันตรงๆ “นั่นไม่ใช่แฟนใหม่มึงจริงๆ ใช่ไหม”

     คนตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่น “ไม่ใช่” ตอบมาแทบจะในทันที “ไม่ใช่แน่ๆ” แถมยังย้ำให้อีกรอบอีกต่างหาก

     ผมไม่รู้จะพูดอะไรแม้จะรู้สึกโล่งอกมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ปล่อยวาง หนึ่งเงียบกริบ มองหน้าผมโดยไม่เอ่ยคำใดจนผมต้องหันกลับไปล้างจานต่อ

     “กู...” ผมนิ่งไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึกและเอ่ยปากออกมา “ไม่ได้สงสาร”

     “...”

     “มันไม่ใช่ความสงสาร”

     ข้างหลังเงียบกริบ ผมไม่รู้ว่ามันทำสีหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่ามันเข้าใจในสิ่งที่สื่อหรือเปล่า แต่รู้ว่ามันยังอยู่ในห้องนี้เพราะยังไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยแม้แต่น้อย

     “เฮียป้อง” ผมหันไปมองต้นเสียง หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังของผมจนแทบจะชิดกันด้วยซ้ำ มันมองผมด้วยแววตาราวกับคาดหวังอะไรบางอย่าง สูดลมหายใจและเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ถ้าไม่ใช่สงสาร...”

     “...”

     “แล้วมันเป็นแบบไหน”

     เราสบตากัน

     บางทีก็นึกแปลกใจ หนึ่งเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเชื่อฟังเดี๋ยวก็ดื้อ เป็นคนนิสัยผีเข้าผีออกชอบกล ยามที่มันมองผม แววตาเหมือนกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง ผมไม่มั่นใจว่ามันเฝ้ารออะไร มันแค่อยากให้ผมยืนยันว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ความสงสารและฉุดมันขึ้นมาจากเหวลึกที่มันผลักตัวเองลงไป หรืออยากให้ผมบอกอะไรให้ชัดเจนกว่านี้

     “ลองคิดดูสิ” ผมเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

     หนึ่งเอื้อมมือมาสัมผัสที่ช่วงแขนผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ พูดเสียงเบาคล้ายจะกระซิบจนผมไม่มั่นใจว่านั่นคือคำที่พูดกับผมหรือตัวเอง

     “...หนึ่งไม่อยากคิดไปเอง”

     คำพูดนั้นทำให้ผมจับมือของหนึ่ง เลื่อนมันลงจากแขนตัวเอง ไล้ช่วงแขนเล็กไปจนถึงผ่ามือและบีบมันเบาๆ

     หนึ่งไม่ตั้งคำถามอีก ผมรู้สึกว่าลมหายใจของผมขาดช่วงแต่ไม่มั่นใจว่ามันรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ สายตาของอีกฝ่ายสั่นไหว มองผมอย่างไม่มั่นใจนัก

     ผมดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมา ใช้มืออีกข้างวาดวงแขนให้มันเข้ามาใกล้ เพียงเท่านั้นหนึ่งก็ก้มหน้าลงต่ำ สักพักก็เห็นใบหน้าที่ไม่ได้ขาวจัดของมันเริ่มขึ้นสีกว่าปกติ พอๆ กับลมหายใจของอีกฝ่ายที่เริ่มไม่เป็นจังหวะอย่างเห็นได้ชัด ผมก้มหน้าลงบนหัวไหล่ของอีกฝ่าย ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด

     ...เห็นแก่ตัวเหลือเกิน

     ผมกระชับอ้อมกอด รั้งกายมันเข้ามาใกล้ ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้ว่ามันผอมหากแต่ก็ไม่ได้นุ่มนวลเฉกเช่นสัมผัสผู้หญิงแต่อย่างใด

     “ทีนี้...” เอ่ยเสียงเบาแทบจะเป็นกระซิบ “พอจะเดาได้หรือยัง”

     ...ว่าความรู้สึกที่มีคืออะไร...







-------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่ะ
ชอบอ่านคอมเม้นยาวๆ มากเลย
มันทำให้มองเห็นทัศนคติที่แตกต่างกันของแต่ละคน
ขอบคุณนะคะ  :mew1:

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
จุดพลุ อย่างน้อยก็มาถึงจุดที่เราลุ้นไว้แล้ว  :sad4: จากนี้เรื่องจะไปทางไหนก็จะไม่บ่นพี่ป้องแล้ว
เจอคำผิดสองที่ค่ะ ตรรกะ และ พังครืน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
ก้อยังปากแข๊งเหมือนเดิม

เห็นแก่ตัวมากๆๆล่ะ

จะได้มีความสุขเยอะๆ

หึหึ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
คงอีกนานกว่าจะชัด เพราะเส้นขอบเขตความสัมพันธ์มันเหลื่อมล้ำกันไปหมดแล้ว   
ป้องเองก็อยู่ระหว่างความรักกับความรู้สึกผิด  เรามองว่ามันจะเป็นตัวแปรสำคัญที่คอยคุมโทนความสัมพันธ์ของป้องกับหนึ่ง  เพราะรักเพราะห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยน้องได้เมื่อก่อน ป้องถึงได้พยายามอย่างมากๆ  เป็นผู้ใหญ่เกินตัว  คุมหนึ่งยังกับว่าเป็นพ่อ  Control Freak เลย   ป้องพยายามมากเกินไปที่จะเป็นคนที่ปกป้องหนึ่งได้จนกลัวว่าถ้าหากวันหนึ่งน้องเกิดได้เจอคนที่เหนือกว่าป้อง   เราว่าป้องจะถอยให้ในทันทีที่รู้ตัวว่าเทียบไม่ได้  มาวันนี้ป้องเปิดเผยตัวออกมาสักนิดแล้ว  ไม่รู้ว่าเพื่อรั้งน้องไว้หรือเปล่า?  มันสั้นเกินไปที่จะเข้าใจคำแนะนำของแม่นะเราว่า

หนึ่งที่มองว่าป้องเป็นแสงสว่าง  อ่านที่หนึ่งว่ากริชเหมือนพ่อ  สะอึกในใจเลยค่ะ   ใช่ค่ะ เหมือนมากๆ ทั้งในเรื่องการทารุณกรรมด้วย   ว่ากันว่าคนที่เคยตกเป็นเหยื่อของการถูกทารุณโดยคนใกล้ชิดจะมีเซ๊นส์ที่สามารถรับรู้ได้ว่าคนๆนั้นเป็นแบบนี้  บางรายอาจจะไม่รู้ตัวเองเลยก็ได้  เหมือนโดนแม่เหล็กดึงดูดให้เข้าใกล้  ไม่ได้อยากโดนทำร้ายหรอกค่ะ  แต่เป็นเพราะเหมือนเป็นการทดแทนทางใจว่าลองอีกครั้งแล้วคราวนี้ฉันจะทำสำเร็จ ฉันจะสามารถเปลี่ยนเขาได้แล้วทุกอย่างจะโอเค     หนึ่งควรจะรักตัวเองมากกว่านี้ ความกลัวของหนึ่งที่ว่าคนใกล้ชิดจะเสียใจ  จะรังเกียจว่าตัวเองสกปรก   เราว่าจริงๆแล้วตัวหนึ่งเองตางหากที่คิดว่าตัวเองสกปรกถึงได้ทำตัวไม่น่ารัก  การดื้อดึงไปอยู่กับเต้ยดูๆไปรู้สึกเหมือนกับว่าบีบป้องอยู่รำไร

แม่หนึ่งเองก็อาศัยป้อง เอาภาระมากองที่ไหล่ป้องมากเกินไป  ป้องยังไงก็อายุไม่มาก  ตัวกานดาเองต่างหากที่ต้องพยายามมากกว่านี้  ต้องยืนด้วยตัวเองให้มากกว่านี้   ต้องพยายามให้มากกว่านี้ทั้งหนึ่งกับแม่เลย

เห็นจุดหนึ่งที่ป้องลืมตัวเอ่ยถึงสิ่งที่หนึ่งเคยประสบมาแล้วหนึ่งเจ็บ ป้องโกรธตัวเอง อยากจะบอกว่าการเลี่ยงที่จะพูดถึงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำหรอกค่ะ  เพราะเป็นการกลบขยะไว้ใต้พรมเท่านั้นเอง   ขยะมันไม่ได้ไปไหน  ยังอยุ่ที่เดินรอคนมาสะดุดพรมให้มันโผล่มาเท่านั้นเอง     ปัญหาเรื่องนี้ก็เหมือนมีหลุมอยู่เต็มพื้น ต้องพยายามเดินหลบไปหลบมา  วันไหนซวยก็ตกหลุมกันไป   ทางที่ดีก็คือต้องคุยค่ะ  ต้องพูดถึงมันว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มันแก้ไขไม่ได้แล้ว  ต้องยอมรับมันแล้วำยายามเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก  ไม่งั้นก็อยุ่ในหลุมนั้นไปชั่วชีวิต  อันนี้หมายถึงหนึ่งและทุกคนที่อยุ่ใกล้หนึ่งนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ  เราเมนท์ยาวเป็นมหากิ๊บก๊าบอีกแล้ว  ขออภัยค่ะ มันมากับวัยค่ะ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 18
‘ทำไม’


     ผมนึกสับสนตัวเองนิดหน่อย

     ในวินาทีที่มีมันอยู่ในอ้อมกอด ผมอยากให้หนึ่งผลักไสผมเสีย แต่ก็ไม่มั่นว่าถ้าหากมันทำแบบนั้นจริงๆ ผมจะดื้อรั้นที่จะกอดกกมันไว้หรือไม่ หรือจะปล่อยมันไปเลย

     ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมยังซุกหน้าลงบริเวณลำคอของหนึ่ง แขนยังคงโอบมันไว้ คงเพราะระยะห่างของเราเหลือน้อยเต็มที มันเลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับรู้ว่าชีพจรของหนึ่งมีจังหวะเร็วกว่าปกติ หนึ่งไม่ได้กอดผมไว้แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่แสดงอาการต่อต้านใดๆ

     “เฮีย...” ผมได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกอยากแผ่วเบา “นะ หนึ่งต้องไปช่วยแม่”

     พอโดนข้ออ้างแบบนั้นผมเลยคลายอ้อมกอด เมื่อได้เห็นหน้ามันตรงๆ ก็เห็นชัดว่าหนึ่งหน้าแดงไปจนถึงหูทั้งที่ไม่ใช่คนผิวขาวขนาดที่พอเลือดสูบฉีดแล้วเห็นชัดขนาดนั้น อย่างน้อยก็บอกได้ว่าหนึ่งใจเต้นแรงมากจริงๆ

     ผมไม่ได้ตอบอะไร หนึ่งรีบกุลีกุจอเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา ไม่ยอมปิดประตูจนต้องเดินย้อนกลับมาปิดประตูทีหลังแถมยังปิดเสียงดังปัง เป็นอาการที่ไม่ได้ทำให้ผมยิ้ม แค่คิดในใจว่า...หนึ่งเองก็มีมุมที่ดูน่ารักแบบนั้นเหมือนกัน

     สรุปแล้ววันนั้นแม่ผมยังอยู่คุยเรื่องนั้นนี้กับน้ากานดาไปจนถึงมื้อเย็น เราฝากท้องที่ร้านอีกหนึ่งมื้อ รอบนี้เป็นน้ากานดาลงมือทำเอง แต่ตลอดวันนั้นแม้ผมกับหนึ่งจะได้คุยกันบ้าง มันก็เป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ถามคำตอบคำ และหนึ่งไม่ยอมแม้แต่จะสบตามผมเลยด้วยซ้ำ

     ผมไม่ได้เจ็บ...รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ หากแต่ก็รู้สึกชาที่หัวใจนิดหน่อยกับการแสดงออกว่า ‘แปลกไป’ อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น

     พอเราขึ้นรถกลับมาบ้าน แม่ก็เอ่ยปากถามผมทันที “หนึ่งจะย้ายหอเหรอ เห็นกานดาบอก”

     “ครับ” ผมไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรต้องปิดบัง “ทำไมเหรอ”

     แม่หรี่ตามองผมแต่ก็บอกว่าช่างเถอะ ถ้าหากฟังมาจากน้ากานดาคงคิดว่าผมกับหนึ่งมีเรื่องผิดใจกันในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเป็นแน่แท้ ท่านสตาร์ทรถ พอขับออกถนนใหญ่และเจอรถติดก็เลยเอ่ยปากพูดเรื่องเดิม

     “จริงๆ ให้น้องไปอยู่ที่อื่นก็ดีนะ เพราะน้องเรียนคณะสถาปัตย์ด้วย เห็นว่างานเยอะนี่ แล้วเดี๋ยวเราก็ขึ้นปีสี่แล้ว คงจะยุ่งไม่ใช่เหรอ” แม่พูดเรื่อยเปื่อย “แต่แม่ก็แปลกใจเหมือนกันนะ ที่แม่ของหนึ่งยอมปล่อยไป...”

     ผมเงียบ ไม่ได้เอ่ยอะไร ปล่อยให้คนเป็นแม่พูดพลางเคาะพวงมาลัยรถไปด้วย

     “เรายังไม่ได้พูดเลยว่าที่หนึ่งเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่เพราะเรื่องทะเลาะกับเพื่อน”

     พอแม่เอ่ยปากออกมาแบบนั้นผมก็สูดลมหายใจลึก นั่นเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเราไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาพูด ตัวผมและหนึ่งก็ยุ่งกับการเรียนที่มหาวิทยาลัย น้ากานดาเองก็ยุ่งกับการเปิดร้าน ทุกคนเลยลืมไปเลยว่าเราทำเพียงซุกปัญหาไว้ใต้พรมเท่านั้น

     ผมกลืนน้ำลาย “ถ้าเราไม่บอก...”

     “ไม่ได้หรอกป้อง นั่นน่ะเป็นปัญหานะ” แม่ดักทางโดยที่ผมยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ “เดี๋ยวรอจังหวะดีๆ ค่อยพูดแล้วกัน” ท่านว่าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     ผมเงียบกริบ ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดคำใด รู้ดีว่าหนึ่งไม่ปรารถนาให้น้ากานดารู้แต่ก็เข้าใจมุมมองของผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากจะปิดบังเรื่องนี้ไปตลอด เพราะมันก็เป็น ‘ปัญหา’ จริงอย่างที่แม่ของผมว่า

     ผมมองไปนอกหน้าต่าง ในหัวคิดอะไรหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในหัวก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กมากปัญหาอย่างหนึ่งโดยตรง และได้แต่เฝ้าภาวนาให้เรื่องร้ายๆ ในชีวิตของหนึ่งหมดสิ้นไปเสียที




     เราไม่ได้คุยอะไรกันอีก ผมไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่นัก เดิมทีเราก็ไม่ใช่คนประเภทที่คุยกันทุกวันอยู่แล้วด้วยซ้ำ ปิดเทอมที่ไม่มีธุระเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นที่หนึ่งจะไลน์มาหาผม หรือผมจะต้องโทรไปหามันเลยสักนิด จนผมใกล้กลับหอพักเนื่องจากปิดเทอมกำลังจะหมดลง ผมจึงไลน์ไปบอกมันว่าผมจะกลับไปวันนี้

     หนึ่งอ่าน แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมเลยนึกสงสัยว่ามันกำลังจะทำอะไรระหว่างหนีออกไปนอนกับเพื่อน หรืออาจจะเป็นพี่รหัสมันสักคน นั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องกลับไปถึงจะรู้

     “แล้วเดี๋ยวสัปดาห์หน้ากลับมาด้วยล่ะ” แม่บอกแบบนั้นก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน

     “ไม่กลับไม่ได้หรือครับ”

     แต่พอบ่นแค่นั้นแม่กลับเอื้อมมือมาตีผมดังเพียะ ถลึงตาใส่ “วันเกิดเรานี่ไม่คิดจะกลับมาหาพ่อแม่บ้างเลยรึยังไง”

     ผมไม่พูดอะไร เมื่อกี้แค่บ่นเฉยๆ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็ต้องกลับมาอยู่ดี

     ใกล้ถึงวันเกิดของผมแล้ว มันไม่ใช่อะไรที่พิเศษมากมายแต่ก็ถือว่าเป็นวันสำคัญเพราะพอเป็นวันเกิดของสมาชิกในบ้าน ทุกคนต้องไปทำบุญด้วยกันที่วัด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เป็นเรื่องที่บ้านผมทำกันเป็นปกติ ทั้งวันเกิดพี่ปลา ไปจนถึงวันเกิดของพ่อแม่

     แม่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้ผมขึ้นรถพี่สาวตัวเองที่อาสาไปส่งที่หอ

     เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงรถก็มาจอดที่ถนนใหญ่หน้าหอ ผมหยิบเป้ออก ขอบใจพี่ปลาและบอกว่าเดี๋ยวจะเดินเท้าไปถึงหอเอง เนื่องจากไม่ได้ไกลมากอะไร

     “โอเค กลับดีๆ นะเว้ย”

     ผมพยักหน้า โบกมือลาพี่สาวตัวเองที่ขับรถออกไป เห็นว่าจะไปเอาชุดเพื่อนเจ้าสาวเพราะเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมแต่งงานแล้ว แต่พี่ของผมไม่ได้แต่งเสียที

     ระหว่างเดินกลับหอผมก็เปิดไลน์ดู หนึ่งยังไม่ตอบกลับ คงจะไม่คิดตอบแล้วจริงๆ

     เมื่อมาถึงหอแล้วผมก็เปิดประตู ในห้องเงียบสงบอย่างน่าประหลาด เดินไปก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง ผมถอนหายใจ หนึ่งคงจงใจจะหลบหน้ากันจริงๆ ไม่รู้หรือยังไงว่าการทำเช่นนั้น พอเราต้องเจอหน้ากันมันิ่งทำให้ทุกอย่างกระอักกระอ่วน

     ผมไม่ได้โทรหา ตัดสินใจจัดการเสื้อผ้าที่เอามาจากบ้านมาจัดใส่ตู้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปทำโจ๊กสำเร็จรูปกิน แต่พอเปิดตู้เย็นไปก็พบว่ามีขวดเหล้าเบียร์วางอยู่อย่างผิดสังเกต ไม่ได้มาจากผมแน่นอน เพราะฉะนั้นก็คงเป็นหนึ่ง หากซื้อของมาทิ้งไว้เช่นนี้แปลว่าวันนี้คงจะกลับมาแน่ๆ

     จู่ๆ ก็มีความต้องการบางอย่างที่ร้อยวันพันปีไม่นึกถึง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหารูมเมทที่หายไปของตัวเอง ไม่นานปลายสายก็รับ หากแต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว ปล่อยให้เราใช้เวลาเปล่าๆ ไปเกือบสิบวินาที

     “เฮียจะเงียบอีกนานไหม” หนึ่งเป็นคนทำลายความเงียบ มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นนิดหน่อย หรือผมอาจจะคิดไปเองก็ได้

     “อยู่ไหน”

     “ออกมากินข้าวกับพวกแป้ง”   

     ผมครางในลำคอเป็นการตอบรับ เหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว “คืนนี้กลับมานอนหรือเปล่า”

     “...” มันเงียบ

     “หนึ่ง” ผมเรียกอีกที ที่แน่ๆ คือสัญญาณไม่ขาดไปไหน

     “ปะ ไป” มันว่าเสียงสั่น “เฮียโทรมาแค่นี้เหรอ...หนึ่งจะวางแล้วนะ”

     “เหล้าในห้องนี่ของมึงใช่ไหม”

     ผมได้ยินปลายสายอุทานออกมาเบาๆ “โทษที วันก่อนหนึ่งซื้อมาจะเอาไปกินกับเพื่อน หนึ่งไม่ได้เอาคนไปที่ห้องนะ สาบานได้” พอได้ยินอีกฝ่ายกุลีกุจอบอกแบบนั้นผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ คิดถึงหน้าตาตื่นๆ ของมัน คงเพราะผมเคยย้ำหนักย้ำหนาว่าอย่าพาใครมาเมาเละที่ห้องนี้

     “ช่างมันเถอะ” ผมตอบปัด “ซื้อเข้ามาเพิ่มด้วย หาแกล้มให้ด้วยก็ดี”

     “ฮะ?” ปลายสายเอ่ยเสียงฉงน

     “กูอยากดื่มสักหน่อย”


   
   
     กว่ามันจะกลับถึงห้องก็ราวๆ ตอนสองทุ่มเห็นจะได้ พอเดินเข้าห้องมาปุ๊บก็เจอผมนั่งอยู่ที่โซฟา มันก็แสดงอาการตกใจแบบปิดไม่มิด ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะมา ยังจะมาทำหน้าเหมือนเห็นผีเสียอีก

     หนึ่งก็ยังเหมือนเดิม ผอมอย่างไรก็ผอมอย่างนั้น ดีไม่ดีดูผอมกว่าเดิมด้วยซ้ำ อาจจะเป็นผลมาจากกิจกรรมที่เยอะและเส้นผมของมันที่ยาวขึ้นจนทำให้ใบหน้าดูตอบขึ้นเท่านั้น

     “เฮียจะดื่มจริงๆ เหรอ” มันถามพลางชูถุงจากร้านสะดวกซื้อให้เห็น “เอาจริงสิ?”

     “เออ” ผมรู้ดีว่านี่มันบ้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงอยากขึ้นมา

     หนึ่งทำหน้าเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตา มันจัดการเอาขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มันซื้อมาใส่ตู้เย็นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนทันที ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดฝักบัว แสดงอาการชัดเจนว่าระหว่างเรามันน่าอึดอัดจริงๆ

     ผมถอนหายใจ

     ขนาดไม่ได้เอ่ยปากให้ชัดเจนหนึ่งยังแสดงอาการออกมาขนาดนี้ ผมไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าพูดออกไปตรงๆ หนึ่งจะแสดงท่าทีเช่นไรออกมา   

     ผมนั่งอยู่ที่เดิม ในหัวคิดอะไรหลายอย่าง จนหนึ่งออกมาจากห้องน้ำมันก็ไม่โผล่หน้ามาที่ซึ่งผมนั่งอยู่เลยแม้แต่น้อย สุดท้ายผมจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเอง

     ผมชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าหนึ่งกำลังใส่เสื้อ แผ่นหลังผอมๆ กับรอยสักรูปนกของมันเป็นสิ่งแรกที่ผมจับจ้องไป อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะรีบสวมเสื้อและหันมา

     “มะ ไม่ดื่มแล้วเหรอ” มันถามโดยไม่สบตาผมแม้แต่น้อย

     “ยังไม่ได้ดื่มเลย” ผมว่าตามจริง “แล้วมึงจะไปวันไหนนะ?”

     “ค่อยๆ ย้ายเข้า เริ่มช่วยพี่เต้ยจ่ายเดือนหน้า” มันว่าเช่นนั้น เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็ปิด ไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะลุกขึ้นมา “เฮียมีอะไรรึเปล่า”

     “ไปดื่มด้วยกันไหม”

     หนึ่งขมวดคิ้วมุ่นแต่ไม่ยักกะปฏิเสธ มันเป็นคนชอบดื่ม ชอบปาร์ตี้อยู่แล้ว สุดท้ายมันก็เดินตามผมต้อยๆ เข้ามาที่โต๊ะกินข้าว ทิ้งตัวนั่งลงและปล่อยให้ผมหยิบขวดหยิบแก้วให้เอง

     “วันนี้เฮียแปลกๆ นะ” หนึ่งเอ่ยปาก หัวเราะเจื่อนๆ แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม

     “มาบอกกูแปลก... มึงแปลกกว่ากูอีก”

     “แค่ก!” ดูเหมือนคำพูดของผมจะตรงไปเสียหน่อย เจ้าเด็กตรงหน้าเลยถึงกับสำลัก

     หนึ่งเบือนหน้าไปทางอื่น ผมเองก็ไม่คิดจะรุกล้ำกำแพงของมันไปมากกว่านี้ ยกแก้วขึ้นดื่มให้รสชาติของเครื่องดื่มไหลผ่านคอไป

     หนึ่งกินเหล้าเร็ว กระดกเรื่อยๆ ในขณะที่ผมค่อยๆ กิน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคอแข็งพอตัวเพราะเราเริ่มมีน้ำเสียงอู้อี้เวลาไม่ต่างกันนักเท่าไหร่ ระหว่างที่ดื่ม เราคุยกันได้สองสามคำ ประเด็นของบทสนทนาไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่นัก และหนึ่งเป็นฝ่ายตัดจบมันทุกครั้ง

     ยิ่งพอมันเริ่มเมา หนึ่งจะเงยหน้ามองผม แต่พอผมเงยหน้ามองมันกลับมันก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ท่าทางแบบนั้นทำเอาผมเหนื่อยใจบ่อยครั้ง

     เพราะจำได้ว่าช่องเคเบิ้ลทีวีฉายหนังเรื่องเก่า พวกเราเลยย้ายไปนั่งกันที่โซฟาและดูทีวีกันเงียบๆ มือก็หยิบเครื่องดื่มมึนเมากระดกไปเรื่อยๆ จนหนังจบ พอหันไปก็เห็นว่าเจ้าคนมากปัญหาหลับตาพริ้มเสียแล้ว

     “หนึ่ง” ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเสียงที่เรียกชื่อมันเมื่อกี้เป็นเสียงของผม ฟังดูอ้อแอ้แบบบอกไม่ถูก

     ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเมามากนักแม้รู้ตัวว่าร่างกายเริ่มไม่ฟังคำสั่งแล้ว แต่สมองยังรับรู้อยู่ทุกประการ พอเห็นว่าเรียกมันอยู่สองสามรอบแล้วหนึ่งไม่ตอบอะไร คงหลับไปแล้วจริงๆ เลยเดินพยุงมันไปที่เตียง (บอกตรงๆ ว่าผมในตอนนี้อุ้มมันไม่ไหวหรอก) ปล่อยให้มันทิ้งกายอย่างอ่อนแรง

     ใจหนึ่งผมก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนเหมือนกัน แต่เพราะไม่อยากให้ห้องดูรกเลยพยายามพาตัวเองไปที่โต๊ะ จัดการข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วจึงกลับมาที่ห้องนอนและพบว่าคนที่ควรจะนอนอยู่กลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

     “ไอ้หนึ่ง” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองผมแววตาฉ่ำเยิ้มเพราะฤทธิ์เหล้า “ทำไมยังไม่นอน”

     มันหลับตาปี๋อยู่พักหนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ราวกับกำลังจูนสติตัวเอง “กี่โมงแล้วเฮีย”

     ผมหันไปมองนาฬิกา “ตีสอง” อันที่จริงเกือบตีสองครึ่งแล้วด้วยซ้ำ นึกแปลกใจนิดหน่อยที่พวกเราดื่มกันหนักขนาดนั้น

     หนึ่งครางตอบรับในลำคอก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเตียง นอนขดกายและดึงผ้าห่มขึ้นมาแทบจะกลายเป็นคลุมโปง

     ผมเห็นมันเป็นแบบนั้นแล้วจึงจัดการปิดไฟ เดินไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ แต่พอเดินออกมาก็เห็นว่าคนที่ควรจะหลับไปแล้วกลับมานั่งท่าเดิมบนเตียง

     “มึงคิดว่ากูจะตกใจไหมตอนเห็นมึงนั่งแบบนี้มืดๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะว่าอย่างประชดประชัน

     แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย “เฮียป้อง”

     “อะไรของมึง”

     แสงสว่างเดียวมาจากไฟห้องน้ำที่ผมยังไม่ได้ปิด ในห้องมืดสลัว แต่กระนั้นผมก็ยังเห็นหนึ่งเม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะเอ่ยปาก

     “เฮียมีอะไรจะพูดกับหนึ่งไหม”   

     ...อย่างนี้ก็ได้หรือ...

     นั่นเป็นคำแรกที่แวบเข้ามาในหัวผม ทั้งก่อนหน้านี้หรือตอนนี้ก็ตาม หนึ่งรู้เรื่องอยู่แล้วแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถามออกมา ทำเพียงหยิบยื่นให้ผมพูดออกไปจนผมนึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย หากแต่ผมก็ทำได้เพียงผ่อนลมหายใจออกมา

     “มึงอยากให้กูพูดอะไรล่ะ?”

     หนึ่งสะอึกไป ก้มหน้ามองต่ำราวกับคำพูดของผมจี้ใจดำ

     ผมไม่ได้ปิดไฟจากห้องน้ำ ทำเพียงแค่เดินเข้าไปใกล้มันที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ก้มหน้ามองมันเพื่อเค้นคำตอบแม้รู้ดีว่าหนึ่งคงไม่พูดมันออกมา

     ผมเดาใจหนึ่งไม่ออก

     หากกล่าวจริงๆ คงจะเป็นเช่นนั้น ผมไม่สามารถเดาใจมันได้ว่ามันต้องการอะไร ไม่รู้ว่ามันอยากก้าวเข้ามาหรืออยากจะวิ่งหนี มันทำให้ผมไม่กล้าเดินหน้า ผมนึกหวั่นใจว่าถ้าหากก้าวเข้าไปหนึ่งจะถอยห่าง แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากมีความรู้สึกหลายอย่างจากเหตุการณ์ในอดีตที่บดบังทางเดิน ไม่ให้ผมถอยหลังกลับไป

     ผมรู้ว่าหนึ่งระแคะระคาย...รู้ว่ามันรู้ว่าผมพร้อมที่จะเดินเข้าหา เพราะฉะนั้นผมถึงไม่ทำ

     ผมมองหน้ามัน มันมองข้างใต้ตัวเอง พวกเราทำแบบนั้นในความเงียบ ปราศจากเสียงใด สักพักก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจออกมา

     “หนึ่ง...” มันเอ่ยออกมาเสียงเบาแล้วก็เงียบไป เล่นเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง “ไม่มีอะไร”

     ผมกำมือแน่น

     ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทิ้งตัวนั่งข้างๆ มัน น่าจะเป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เพิ่งกินไปตั้งเยอะเสียล่ะมั้ง มันสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เตียงยวบลงเพราะน้ำหนักของผม หลังตั้งตรงเสียจนเห็นได้ชัด ผมพูดอะไรไม่ออก อันที่จริงมีหลายอย่างที่จะพูดแต่เลือกที่จะเก็บงำมันเอาไว้ ทำได้เพียงเอื้อมมือไปสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา หนึ่งก็เบือนหน้าไปอีกทาง ผมจึงต้องเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของมันให้หันกลับมา   

     หนึ่งหันกลับมาจริงๆ แต่เราสบตากันเพียงไม่นานมันก็ผลุบตาลงต่ำ ในขณะที่ผมได้แค่เลื่อนมือลงมา จากแก้มสู่ลำคอ หัวไหล่ไปจนถึงแอ่งชีพจร

     “ฮะ เฮีย...” เสียงของมันสั่น แต่นั่นไม่ใช่คำห้ามเสียหน่อย

     ผมมองมันที่หลับตาปี๋ ริมฝีปากเผยอออกมาเล็กน้อย ลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัดอย่างเห็นได้ชัดและทุกอย่างของมันทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

     ผมรู้ว่านี่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ผมเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ระยะห่างของเราลดลงเรื่อยๆ จากเป็นสิบเซนติเมตรก็เหลือศูนย์ตอนจมูกเราสัมผัสกัน หนึ่งไม่เบือนหน้าหนี ผมไม่มั่นใจนักว่านั่นเป็นเพราะมันไม่อยากทำหรือตอนนี้มันกำลังทำอะไรไม่ถูกกันแน่ และผมก็ไม่ใช่คนดีถึงขนาดจะค้นหาคำตอบเลยไม่หยุดการกระทำตนเองอันที่จริงผมไม่ค่อยชอบตัวเองแบบนี้เท่าไหร่ แต่นานวันเข้า ผมรู้สึกว่าระเบิดเวลาในตัวเองใกล้จะระเบิดทุกที

     ผมค่อยๆ หลับตา กำลังจะสัมผัสมันอย่างที่ใจปรารถนา แต่สุดท้ายมือของหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมาดันหัวไหล่ของผมออก

     “หนึ่ง...ขอโทษ”

     คำนั้นเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา หากแต่ชัดเจนพอในความรู้สึกของผม

     ผมผละกายออกทันทีและเห็นว่าหนึ่งกำมือแน่นเสียจนหัวไหล่สันเทิ้ม มันไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงทีท่ารังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ไม่ได้มองมาที่ผมเลยแม้แต่นิดเดียว

     “หนึ่ง... หนึ่งขอโทษ” มันย้ำคำเดิมอีกครั้ง “หนึ่งขอโทษจริงๆ เฮีย”

     “...ทำไม?”

     คำถามของผมหมายถึงหนึ่งจะขอโทษทำไม แต่ไม่ทันที่จะได้อธิบายอะไร หนึ่งกลับเข้าใจเป็นอีกอย่างและพูดออกมาน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

     “มี...คนดีกว่าหนึ่งตั้งเยอะ...”

     “...”

     “...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”





-------------------------------
ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกันค่ะ
ขอโทษที่มาช้านะคะ ไปเที่ยวมา  :mew6:

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ต่างก็คิดว่า ตนไม่ดีพอ แล้วคนที่ยังไม่ดีพอทั้งสองคนจะรักกันได้หรือเปล่าคะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าจะไปถึงจุดที่มีความสุขด้วยกันได้ยากมากเลย ทั้งๆที่คิดว่าเรื่องมันคลายตั้งแต่เมื่อตอนที่แล้ว จริงๆแล้วไม่ใช่เลย มีปมและปัญหา ที่เราก็เดาต่อไปไม่ถูกว่าคืออะไร แค่รู้สึกว่า ถ้าเราเป็นป้องหรือหนึ่ง เราอาจจะหยุดมันไว้แค่ตรงนี้

เจอคำตกค่ะ แก้ แกล้ม เป็น กับแกล้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2016 20:26:44 โดย treenature »

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ใจจริงอยากจะทลายกำแพงที่กั้นอยู่ให้เหมือนกำแพงเบอร์ลิน  แต่สำนึกกลับบอกว่าอย่า ไม่ควรทำ หยุดตรงนี้   ขนาดใช้น้ำเปลี่ยนนิสัย  ละลายสำนึกแล้วก็ยังไม่พอที่จะทำให้หน้ามืดเดินหน้าตามใจตัวเองได้  นอกจากความรู้สึกผิดแล้ว ความคิดที่ว่าไม่คู่ควร  ไม่อยากสูญเสียก็สำคัญนะ   ท่าหนึ่งก็คงเดินหน้ามีแฟนเป็นพี่รหัส   มีป้องเป็นพี่เชิงพ่อเป็นแสงสว่าง  ป้องก็เดินหน้าเป็นพี่ที่สามารถปกป้องหนึ่งได้  ถ้าสามารถจำกัดกันได้แค่นี้นะ  ไม่ต้องเสียอะไรไป ไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นแฟนหรือพี่น้อง  มโนค่ะ  มโนเองล้วนๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
จะบอกว่าสองคนนี้ไม่คุยกันก็ไม่ใช่ คุยกันแล้วแต่เข้าใจกันคนละเรื่อง คุยกันคนละทิศคนละทาง หนึ่งเหมือนเดินออกไปแต่ก็เดินเข้าหา ป้องเหมือนจะไม่สนใจแต่โคตรสนใจ เอายังดี จะแก้จุดๆนี้ยังไงดี เลิกโทษตัวเอง? มันจะดีขึ้นไหม


ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
ถ้าไม่เป็นหนึ่งเฮียป้องก็ไม่รู้สึกแบบนี้หรอก ต้องหนึ่งเท่านั้นแหละ

เป็นคู่ที่ค่อยเป็นค่อยไปมากเลย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 19
‘ไม่ใช่รัก’


(NUENG’s Part)

     ผมไม่ชอบยามเฮียป้องสัมผัสผมอย่างทะนุถนอม แตะต้องผมราวกับเป็นของล้ำค่า

     ผมไม่ใช่สิ่งล้ำค่า...ห่างไกลกับคำนั้นด้วยซ้ำ ชีวิตของผมมีแต่สิ่งที่ผิดพลาดเต็มไปหมดแถมยังเป็นสิ่งที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง

     ผมนึกเกลียดความเป็นเด็กของตัวเองที่เฮียป้องชอบย้ำหนักย้ำหนา ไม่ชอบที่ตัวเองไม่เป็นดั่งใจนึก อยากจะทำตัวเป็นคนสุภาพ คุยกับเฮียป้องดีๆ แต่สุดท้ายเราก็คุยดีๆ กันได้ไม่เกินสองสามประโยคด้วยซ้ำ และเป็นผมเองที่ขึ้นก่อนตลอด ทั้งที่รู้ดีว่าเฮียป้องเป็นพวกปากร้ายใจดี

     สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงการออดอ้อนเฮีย อยู่กับเฮียป้องแล้วผมจะเป็นเด็กแค่ไหนก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ผมจะโต แถมไอ้การ ‘เป็นเด็ก’ แบบนี้ยังทำให้เฮียโดนครหาจากคนรอบข้างเสียอีก พอพี่รหัสตัวเองถามว่าผมอยากย้ายไปอยู่ด้วยกันไหมเพราะรูมเมทย้ายออกพอดี ผมก็อยากรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ เผื่อว่าตัวเองจะได้โตขึ้นสักที

     “ถ้าไม่ใช่สงสาร...แล้วมันเป็นแบบไหน”

     ผมนึกอับอายที่ตัวเองถามคำถามสิ้นคิดแบบนั้น

     แต่พอคิดถึงเหตุการณ์ถัดจากนั้น ตอนที่เฮียป้องโอบกอดผมไว้ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึก ‘อาย’ มากกว่าเดิมเสียอีก

     เฮียไม่ได้บอกผมตรงๆ ทั้งที่ปกติพูดตรงเสียจนเรียกว่าขวานผ่าซาก สำหรับครั้งนั้นถือเป็นการกระทำที่ทำให้ผมสั่นไหวมากกว่าครั้งไหน ใช่ว่าไม่เคยรับรู้ว่าเฮียดูแลผมดีมากแค่ไหน หากแต่ผมคิดมาตลอดว่ามันเป็นสิ่งที่คนความรับผิดชอบสูงอย่างเฮียแบกไว้เพราะคำพูดของแม่ผม

     พอมาคิดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น...ผมก็ทำตัวไม่ถูก

     ตัวผมในยามแรกที่รู้สึกตัว คล้ายว่าเป็นบอลลูนที่ถูกสูบลมเข้าไปแล้วก็ถูกเข็มเจาะจนแตก ผมนึกขอบคุณกับสิ่งที่เฮียป้องทำให้ตลอดมา แต่ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก

     ในวันที่ผมกลับมานอนคอนโดของเฮีย มีความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวชนิดที่ทำให้ผมตกใจ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองเป็นคนคิดมากจนกระทั่งคืนนั้นนั่นแหละ ผมคิดทบทวนความรู้สึกตัวเอง ความรู้สึกเฮีย การกระทำต่างๆ ของพวกเรา ทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

     สุดท้ายผมต้องไปชวนไอ้โอ๊ตกินเหล้าบ่อยๆ เพื่อลืมความคิดต่างๆ ไปชั่วข้ามคืน ตื่นมาก็คิดถึงใหม่ ผมอยากจะปรึกษาใครสักคนแต่คงไม่ใช่เรื่องดีนัก สุดท้ายก็เลือกไปกินเหล้าใหม่อีกที

     จนในคืนก่อน ผมถึงได้เผลอหลุดปากออกไป

     “มึงเลิกกินเถอะหนึ่ง เดี๋ยวเฮียป้องก็มาฉีกอกกูหรอก ทำน้องรักเป็นตับแข็ง”

     แค่ไอ้โอ๊ตเอาชื่อเฮียป้องมาพูดผมก็รู้สึกมวนในท้องยิ่งกว่าเก่า พยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพราะกินแอลกอฮอล์เยอะเกินไปแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

     “กูเบื่อเฮียจริง...” อยากตบปากตัวเอง เหตุใดจึงพูดอะไรไปอย่างนั้น

     เพื่อนที่ช่วยดูแลเก็บซากศพทุกครั้งที่เมาเลิกคิ้ว “เบื่อทำไมวะ? ช่วงนี้ก็ไม่ได้เจอเฮียไม่ใช่เหรอ”

     “ก็ใช่... แต่เฮียแม่ง...ชอบทำให้กูสับสน”


     “อะไรนะ” น้ำเสียงไอ้โอ๊ตดูตกใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว “สับสน?”

     “เออ!”
ผมกระแทกเสียง จัดการรินเหล้าให้ตัวเองแต่โดนไอ้โอ๊ตรั้งมือไว้ก่อน

     “คุยกับกูให้เคลียร์ก่อน อะไรคือสับสน มึงจะบอกว่ามึงชอบเฮียป้องแล้วเหรอ”

     “...”

     “...”

     “ไม่ใช่”
ผมเอ่ยออกไปเสียงแผ่วเบา เหมือนไม่ได้บอกกับเพื่อนที่นั่งตรงกันข้าม แต่บอกกับตัวเอง “กูไม่ได้ชอบเฮียสักหน่อย”

     ไอ้โอ๊ตนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะปล่อยมือ ปล่อยให้ผมรินเหล้าให้ตัวเองอีกครั้ง มันเท้าคางเดาะลิ้นด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้พร้อมกับเอ่ยปากออกมา

     “แล้วทำไมมึงถึงคิดอะไรเยอะ?”

     สติอันน้อยนิดของผมบอกว่าอย่าบอก แต่ปากผมไม่ค่อยสัมพันธ์กับสมองเสียเท่าไหร่

     “กูคิดว่าเฮียเขา...ชอบกู...”

     “โอ้โห...”
คราวนี้ไอ้โอ๊ตไม่ได้ทำหน้าแปลกใจแบบคราวที่แล้วเท่าไหร่ มันทำแค่เพียงร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะนิ่งเฉย ฟังดีๆ คล้ายจะเป็นการประชดกันเสียด้วยซ้ำ “ในที่สุดมึงก็รู้สึกตัว”

     “มึงแม่ง...” ผมอดไม่ได้ที่จะสบถอย่างหัวเสีย “กูคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ ก่อนหน้านี้มันก็แค่การสงสัยแวบไปแวบมา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่”

    “แล้วมึงจะคิดอะไรเยอะวะ ทีไอ้ดลมันชอบมึง มึงยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้เลย”

     ไอ้ดลที่ไอ้โอ๊ตพูดถึงคือเพื่อนในเซค สนิทกันมากพอควร ถึงไม่ได้ตัวติดกันตลอดแต่ก็ถือว่าไปไหนมาไหนกันในระดับหนึ่ง มันแสดงออกให้เห็นแต่แรกแล้วว่าชอบผมตั้งแต่ผมคบกับกริชไม่นาน แต่ผมก็แกล้งปล่อยผ่านมันไปทุกครั้ง

     “ไม่เหมือนกันสักหน่อย”

     “ตรงไหน?”

     “มึงกล้าเอาเฮียมาเปรียบเทียบกับไอ้ดลได้ยังไงวะ”


     พอผมพูดเช่นนั้นไอ้โอ๊ตก็ถอนหายใจพรืดใหญ่ “เรื่องมากจริง ถ้าเขามาชอบมึง...”

     “เขาอาจจะไม่ชอบกูก็ได้”

     “เอ้า อะไรของมึงเนี่ย” ผมกระดกให้รสขมพร่าไหลผ่านลำคออีกครั้งโดยไม่ตอบอะไรสักคำ ไอ้โอ๊ตมองหน้าผมด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยพูดด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน “ถ้าเขามาชอบมึง มึงจะคิดอะไรเยอะวะ คิดแค่ว่ามึงชอบเฮียเขาไหมก็จบแล้ว”

     ...พูดง่ายเสียเหลือเกิน

     มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย ไอ้โอ๊ตไม่รู้ลึกตื้นหนาบางถึงความสัมพันธ์ของผมกับเฮียเท่าไหร่นักและผมไม่อยากเปิดปากไปมากกว่านี้ เลยเอาแต่ยกเหล้าซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็เมาแอ๋จนลำบากเพื่อนที่ต้องแบกผมกลับไปนอนกับมันอีกตามเคย




     พอตื่นขึ้นมาไอ้โอ๊ตก็แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิดแต่มีมารยาทมากพอที่จะไม่ถามมันออกมาตรงๆ มันก็แค่เลียบๆ เคียงๆ และผมเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย

     ผมอยู่กับมันอีกสองวัน ตอนแรกตั้งใจจะอยู่ยาวไปเลยเพราะเฮียป้องเล่นไลน์มาบอกว่าจะกลับหอแล้ว ผมไม่อยากเจอหน้าเฮีย แต่พอเฮียโทรมาความคิดต่างๆ ก็มลายหายไปหมดสิ้น ผมบอกไอ้โอ๊ตว่าเดี๋ยวจะกลับแล้วมันก็ทำหน้างุนงง

     “อ้าว ไหนมึงบอกไม่อยากเจอเฮียป้องเขาวะ”

     “ก็เฮียเรียก”

     “มึงนี่มีความย้อมแย้งในตัวเองสูงดีนะ” มันเปรย แววตาฉายความไม่เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม

     ผมไม่สามารถตอบอะไรได้เลยเพราะตัวเองก็รู้ดีว่ามันเป็นแบบนั้น ราวกับสมองกับสิ่งที่ผมต้องการมันไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่

     ตอนที่ผมกลับไปถึงคอนโด ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความคิดที่พลาดมาก เจอเฮียปุ๊บผมก็รู้สึกว่าตัวเองวูบไหวง่ายกว่าเก่า มองหน้าเฮียแล้วคิดถึงคำพูดที่ตีความง่ายๆ แต่ลำบากอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับผม เฮียชวนผมกินเหล้าทั้งที่ตัวเองไม่ค่อยแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราดูหนังกันเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร จนตอนที่ผมเมาแอ๋เฮียก็เป็นคนพาผมมาที่เตียง จัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพเสียผมนึกอยากร้องไห้

     “เฮียมีอะไรจะพูดกับหนึ่งไหม”

     ผมไม่กล้าถามตรงๆ นั่นเป็นคำถามที่ดีที่สุดสำหรับหัวสมองทึบๆ ของผมแล้ว

     แต่เฮียทำเพียงมองผมเล็กน้อย หยิบยื่นคำถามที่เป็นคำตอบให้

     “มึงอยากให้กูพูดอะไรล่ะ?”

     คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกอับอาย ผมรู้สึกถึงความขี้ขลาดของตัวเองและรู้สึกว่าทุกๆ อย่างของเราขึ้นอยู่กับผมทั้งหมด ผมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าตนเองเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าแต่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้อะไรเลย

     เฮียป้องตามใจผมทุกอย่าง...ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรู้สึกของเฮีย

     พอคิดแบบนี้ผมก็อยากร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ผมไม่ได้คู่ควรกับสิ่งที่เฮียมอบให้เลยแม้แต่นิดเดียว

     ผมได้แต่ก้มมองเท้าตัวเอง รู้สึกถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของตัวเองทุกครั้งที่อยู่กับเฮียป้อง เพราะฉะนั้นผมเลยยิ่งรู้สึกแย่เวลาที่เฮียป้องดูแลผม แตะต้องผมอย่างแผ่วเบาราวกับหวาดกลัว เหมือนผมเป็นพวกแก้วคริสตัลที่หากหนักมือหรือทำอะไรพลาดไปผมจะพังทลาย

     แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น... เป็นเพียงของที่ผู้คนทิ้งขว้าง ยับเยิบเสียจนไม่ควรค่ากับการกระทำที่แสนอ่อนโยนของเฮียเลยแม้แต่น้อย

     เพราะเตียงที่ยวบลงมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้น เฮียป้องค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วมาแตะต้องตัวผมอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบาพอทำให้ผมสั่นไหว

     เฮียค่อยๆ โน้มหน้าลงมาจนผมเห็นตัวเองอยู่ในแววตาของเฮียอย่างชัดเจน

     ผมเกือบจะโอนอ่อนแล้ว หากแต่อะไรในหัวกลับกรีดร้องออกมาว่าไม่ได้ หยุดเดี๋ยวนี้! ทำให้แขนของผมผลักเฮียออก แววตางุนงงและผิดหวังของอีกฝ่ายทำให้ผมรำพันคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมา

     ผมกล้าดียังไงทำให้เฮียเสียใจ...ทั้งที่ผมไม่ได้ดีเด่อะไร เหตุใดถึงกล้าดีทำเช่นนั้น

     “...ทำไม?”

     คำถามที่แผ่วเบาของเฮียทำให้ผมเม้มริมฝีปากแน่น

     “มี...คนดีกว่าหนึ่งตั้งเยอะ”

     มีอีกหลายคนที่เหมาะสมกับเฮีย ทั้งสถานะที่บ้านและเพศ เฮียเหมาะกับผู้หญิงที่จะเป็นแม่ของลูกในขณะที่เฮียเป็นผู้นำของครอบครัว ไม่จำเป็นต้องเป็นผมที่มีประวัติด่างพร้อย ชีวิตไม่มีอะไรดีเด่อะไรเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย

     คนอย่างเฮียเหมาะกับของล้ำค่า ไม่ใช่สิ่งของที่คนกระทำมาจนพังยับเยิน

     “...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”

     ผมอยากร้องไห้ หากแต่ร้องไม่ออก

     หากผมร้องไห้ออกมาตรงนี้เฮียป้องคงรู้สึกแย่อีกแน่ๆ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แค่ทุกวันนี้เฮียก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ทั้งที่ผมไม่มีสิทธิ์ทำมันแท้ๆ

     พวกเราเงียบอยู่นาน ไร้คำพูดใดในขณะที่ผมยังกำมือแน่น เผลอตัวกัดริมฝีปากจนรู้สึกถึงรสชาติปะแล่มของเลือดในช่องปากตัวเอง

     “นั่น...” เฮียป้องเป็นคนทำลายความเงียบก่อน “นั่นเป็นสิ่งที่มึงคิดมาตลอดเหรอ?”

     ผมเบือนหน้าหนี ไม่เอ่ยคำใดแต่เฮียป้องกลับเอื้อมมือให้ผมหันไปสบตากับเฮียตรงๆ แววตาที่อ่านไม่ออกทำให้ผมหายใจติดขัด ทุกครั้งที่มองหน้าเฮียตรงๆ มันทำให้ผมอยากลืมทุกอย่างทั้งๆ ที่ลืมไม่ได้แม้แต่น้อย

     “หนึ่ง”

     “...”

     “...ถ้าไม่เป็นมึง... กูไม่มีทางรู้สึกอะไรแบบนี้หรอกนะ”

     ทั้งที่ผมบอกตัวเองเป็นร้อยพันครั้งว่าอย่าร้องไห้ แต่คำพูดที่หนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ ของเฮียทำให้ผมรู้สึกร้อนที่กระบอกตาอย่างเสียไม่ได้

     “หนึ่ง...หนึ่ง...” คำพูดต่างๆ ติดอยู่ที่ปาก

     ผมคิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่ในหัวมันตีกันยุ่งไปหมด สุดท้ายผมก็กลืนทุกอย่างลงคอไปจนหมดสิ้นด้วยความรู้สึกที่อยากจะอาเจียน

     ผมอยากจะขย้อนความรู้สึกทุกอย่างออกมา หากต้องสั่งห้ามไม่ให้ตัวเองเป็นแบบนั้น

     เฮียไล้ปลายนิ้วบนแก้มผม เกลี่ยเบาๆ และนั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าน้ำตาของผมไหลออกมาแล้ว ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ให้ร้องไห้แต่คล้ายว่าร่างกายตัวเองไม่ฟังเลย

     คนตรงหน้าจัดการปาดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน แผ่วเบา แต่มากพอที่ทำให้ผมรู้สึกสั่นไหวไปทั้งอก เฮียค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตที่เปลือกตาของผม

     เป็นการกระทำที่อ่อนโยนแบบที่ไม่เหมาะสมกับผมเลยสักนิด

     ผมอยากจะผลักเฮียออก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเสียแล้วเลยจับข้อมือของผมไว้ทั้งสองข้าง ทั้งที่เฮียก็ไม่ได้เป็นคนแข็งแรง แรงเราน่าจะใกล้เคียงกันเสียด้วยซ้ำ แต่พอถูกเฮียทำแบบนั้นแล้วผมก็รู้ว่าผมไม่มีแรงจะขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น

     “อย่าดูถูกตัวเองได้ไหม”
     
     เฮียพูดด้วยประโยคคำถามที่คล้ายว่าจะเป็นประโยคขอร้อง มันเป็นคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนความรู้สึกในอกพร้อมจะปริแตกได้ทุกเมื่อ

     “มึงมีค่าสำหรับกู”

     “...”

     “มึงมีค่าสำหรับกูมาก...หนึ่ง”

     น้ำตาที่ผมคิดว่าหยุดไปแล้วไหลออกมาเป็นสาย เฮียโอบกอดผมไว้ ลูบหลังของผมเบาๆ และรั้งผมไปซบบนไหล่กว้างเก้งก้างของอีกฝ่าย

     เหตุใดจึงบอกว่าผมมีค่า ผมด้อยค่ากว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำไป

     ผมได้ยินเสียงหัวใจในอกของตัวเองเต้นดังขึ้น...ดังขึ้น มันช่างน่ารำคาญเพราะผมพยายามเพิกเฉยต่อมันมาตลอดแต่มันกลับดังขึ้นเสียจนผมเมินเฉยไม่ได้

     เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้

     ทั้งที่ผมร้องขอมาตลอด... ขอให้ความรู้สึกในอกนี้ไม่ใช่ความรัก

     แต่มันก็เป็นคำขอที่ไม่มีวันเป็นจริง






-------------------------------
มาช้าอีกแล้วค่ะ  :mew2:
แต่ตอนนี้อาจจะได้เผยสาเหตุของเรื่องสักที

ปล. นิยายเรื่องนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไปจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษด้วยค่ะ

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เราชอบตอนนี้มากกว่าตอนไหนๆเลยค่ะ เพราะสิ่งที่แอบตั้งเป้าไว้ ดำเนินมาถึงเสียที วันที่ป้องพูดอะไรชัดแบบนี้ และสิ่งที่หนึ่งสารภาพกับคนอ่านในท้ายตอนด้วย ที่แปลกใจมากคือ ไม่คิดว่าหนึ่งจะคิดว่าตัวเองมีค่าต่ำในระดับนั้น ในระดับที่เรานึกไม่ถึงเลย (คือรู้ว่า หนึ่งคิดว่าตัวเองไม่มีค่า แต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนั้นค่ะ) และที่แปลกใจอีกอย่างคือ การที่ป้องตามใจหนึ่งในเรื่องความรู้สึก ประเด็นนี้มันซ่อนอยู่ตลอดมาเลยใช่ไหมคะ คงต้องกลับไปย้อนอ่านตอนเก่าดีๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 20
‘คำถาม’




     ผมไม่ชอบที่หนึ่งร้องไห้...ใครจะชอบกัน

     แต่สิ่งที่ไม่ชอบมากกว่าคือการที่มันไม่โวยวาย ไม่หือไม่อือ ร้องไห้แบบที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเดียวเสียจนหลับไป ทุกอย่างที่หนึ่งทำเมื่อคืนนั่นแหละคือสิ่งที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย

     ผมนอนไม่หลับ กล่าวได้ว่าสร่างเมาเต็มรูปแบบแม้ว่ายังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ก็ตาม

     หนึ่งหลับเหมือนตายอยู่บนเตียงของมันเอง คงจะไม่ตื่นง่ายๆ เพราะเมื่อคืนเองก็กินเหล้าไปไม่ใช่น้อย แถมยังเสียแรงกับการร้องไห้อีก แววตามันบวมแดงอย่างเห็นได้ชัดจนผมนึกขัดใจ และหงุดหงิดใจมากขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นสาเหตุของรอยแดงนั้น

     “...ไม่เห็นต้องเป็นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ...”

     ผมนั่งคิดถึงคำพูดของหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาตลอดคืน

     ว่ากันตามตรง ผมคิดว่าการที่หนึ่งในวัยเด็กก็ไม่ได้เป็นเด็กที่มีความมั่นใจมาก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ตัวเล็กไปจนถึงสถานการณ์ทางบ้าน ทำให้หนึ่งเป็นเด็กที่ขาดความมั่นใจ และเหตุการณ์ตอนวัยรุ่นที่เกิดขึ้นกับมันอาจจะเป็นสาเหตุให้หนึ่งรู้สึก ‘ไม่ดี’ กับตัวเองอยู่เสมอ

     ผมไม่ได้เรียนด้านนี้ ไม่เข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ แถมเรื่องด้านจิตวิทยาในประเทศไทยก็หาข้อมูลลำบากเล็กน้อย ต่อให้ผมชื่นชอบในการดูซีรี่ส์ฝรั่งด้านนี้ยังไง ผมก็ไม่ได้มีความรู้มากเท่าไหร่เลย

     ที่รู้ๆ คือผมไม่ชอบให้หนึ่งพูดแบบนั้นกับตัวเอง...ไม่ชอบมาก

     และพอมันพูดแบบนั้นออกมา บอกว่าไม่ใช่มันก็ได้ พูดเหมือนกับกดตัวเองลงไปมันทำให้ผมย้อนดูตัวเอง

     ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับมันเพราะเวลาเกิดเรื่องร้ายๆ กับหนึ่ง ผมไม่เคยจะยื่นมือเข้าไปช่วยมันได้ทันเวลา หนึ่งเลยมีคนซ้ำแผลเก่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     แต่พอมานั่งคิดดีๆ แล้ว...มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น

     ผมมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่ดี ไม่มีปัญหากินเหล้าเมายา รับผิดชอบเรื่องการเรียนมาตลอดและก็ไม่ได้ขาดต้นทุนในชีวิต (เรียกว่ามีมากด้วยซ้ำ) มันทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าหากคนที่ผมชอบไม่ใช่หนึ่ง...ผมคงไม่ขยักขย้อนความรู้สึกตัวเองแบบที่ทำอยู่เช่นนี้ใช่หรือไม่

     คำตอบคือ ใช่

     ...บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ จนน่าใจหาย แค่คืนเดียวทำให้ผมจัดการความรู้สึกตัวเองได้ แต่นั่นไม่รวมไปถึงการกระทำ ผมให้คำตอบตัวเองได้แล้วว่าผมชอบหนึ่งจริงๆ และผมก็มีสิทธิ์ที่จะชอบมันด้วย...แล้วยังไงต่อล่ะ?

     คำถามที่ตามมาในตอนนี้ผมยังหาคำตอบไม่ได้ มองเห็นหมอกมัวๆ ตลอดทาง จะก้าวเดินต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดี จะถอยกลับก็เป็นไปไม่ได้ บางทีอาจจะต้องรอให้หนึ่งตื่นขึ้นมาก่อนก็เป็นได้

     ประมาณเที่ยงวันแล้วหนึ่งก็ยังไม่ตื่น เล่นเอาผมเริ่มหงุดหงิดใจเบาๆ ต้องเดินไปชะโงกหน้าดูที่เตียงมันบ่อยขึ้น ถึงจะเปิดทีวีและนั่งอยู่ตรงหน้าโซฟา จิตใจของผมก็ไม่ได้จดจ่อกับหนังใหญ่ที่ฉายอยู่เลยแม้แต่น้อย

     ผมไปอุ่นสปาเก็ตตี้สำเร็จรูปที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานมากินหน้าทีวี ระหว่างที่เดินผ่านส่วนห้องนอนทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ผ้าห่มก็ถูกกระชากกลับไปคลุมโปงเสียใหม่

     ผมจัดการวางจานอาหารบนโต๊ะ เดินเข้าไปตรงปลายเตียงของหนึ่งและส่งเสียง

     “หนึ่ง” ผมเริ่มจากการเรียกเบาๆ “เที่ยงแล้วนะ”

     “...”

     “ไอ้หนึ่ง!”

     “…”

     เป็นความเงียบที่ค่อนข้างผิดปกติ ผมเลยจัดการดึงผ้าห่มจากปลายเตียง ได้ผลในทันทีเมื่อผ้าห่มถูกยื้อไม่ให้กระชากออก ผมเลยรู้ว่าคนที่นอนอยู่บนนั้นตื่นแล้วแน่ๆ

     “ข้าวปลาไม่กิน” ผมเดินไปที่หัวเตียง จัดการกระชากผ้าห่มผืนหนาที่มันคลุมโปงอยู่ในครั้งเดียว

     หนึ่งใต้ผ้าห่มทำหน้าตาตื่น จะดึงผ้าห่มคืนก็ดูท่าจะไม่ทันมันเลยคว้าหมอนขึ้นมา คาดว่าจะปาใส่หน้าผมแต่พลาดเป้าไปเยอะเลยทีเดียว

     “เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” อดไม่ได้ที่จะบ่น “มึงไม่อยากอาบน้ำ อยากอ้วกบ้างเหรอวะ”

     “ไม่!” อีกฝ่ายกัดฟัน หน้าหงิกงอ

     “ลุกได้แล้ว เก็บเตียงด้วย กูจะกินข้าว”

     ผมว่าเช่นนั้นแล้วโยนหมอนที่อยู่บนพื้นขึ้นไป กระแทกหน้ามันอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่หนึ่งกลับเรียกชื่อผมเสียงเขียวแบบที่คำนำหน้าจาก ‘เฮีย’ จะกลายเป็น ‘เหี้ย’ ในฉับพลัน เพราะรู้ว่าต่อล้อต่อเถียงไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยย้ำคำเดิมอีกครั้งว่าให้มันไปอาบน้ำ แล้วผมถึงเดินออกมากินข้าวเที่ยง

     หนึ่งไม่ยอมโผล่หน้ามาเลยจนผมกินเสร็จแม้ว่ามันจะอาบน้ำเสร็จแล้วก็ตาม ผมก็พอคิดออกว่าสาเหตุคืออะไร

     น่าจะเป็นเรื่องวางตัวไม่ถูก

     เมื่อวานความรู้สึกของผมมันค่อนข้างจะ ‘ชัดเจน’ กว่าคราวที่แล้ว ขนาดครั้งก่อนที่ผมแค่กอดและบอกให้มันไปลองคิดดู มันก็หนีหน้าผมเสียจนไม่รู้จะยังไง เจอเรื่องเมื่อคืนไปเลยทำให้ไม่อยากคุยกัน

     พอคิดถึงสาเหตุได้แล้วก็ถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงทำตัวเป็นปกติได้นักทั้งที่ตามสถานการณ์แล้ว คนที่ควรจะรู้สึกสู้หน้าอีกฝ่ายไม่ได้ควรจะเป็นผมเสียมากกว่า

     ผมไม่อยากเข้าไปรบเร้าหนึ่งเพราะคิดว่าอีกฝ่ายหิวก็คงจะออกมาเอง และมันก็เป็นไปดั่งคาด ประมาณบ่ายสองหนึ่งก็เดินออกมาจากบริเวณห้องนอน ตรงดิ่งมาที่ตู้เย็นโดยมองผ่านผมที่นั่งๆ นอนๆ บนโซฟาไปเลย

     “มีโจ๊ก” ผมเอ่ยปากอย่างเสียไม่ได้

     หนึ่งชะงักแต่ไม่ปรายสายตามาหาผมเลย มันหยิบไข่ออกมาจากตู้เย็น เดินไปหยิบซองมาม่าในตู้ที่จัดเก็บไว้แล้วเริ่มต้ม

     ขณะที่กลิ่นหอมของมาม่าเริ่มโชยมาแตะจมูกก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของหนึ่งร้องลั่น ที่รู้เพราะว่าโทรศัพท์ของผมอยู่ในมือให้ผมดูซีรี่ส์อยู่สบายๆ

     “ฮัลโหล... เออ ว่าไงพี่เต้ย” ชื่อที่หลุดออกมาจากปากหนึ่งทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองมันในทันที “ต้มมาม่าอยู่ ไม่กินแล้วเว้ย ทำไมไม่โทรมาให้เร็วกว่านี้วะ”

     รู้สึกว่ามือของผมจะเผลอกำโทรศัพท์แน่นกว่าเก่า

     “อ๋อ... จะไปซื้อเหรอ” หนึ่งปรายสายตามามองผม ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าแสดงคำถามว่าผมจะจ้องมันอยู่เพื่ออะไร “ก็ได้ เดี๋ยวไปด้วย เออๆ สักชั่วโมงอ่ะ เจอที่นู่นเลยก็ได้”

     มันจัดการว่าเสร็จสรรพและตัดสาย ก่อนที่จะหันหน้ามาหาผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด

     “เฮียจะจ้องหนึ่งทำไมวะ”

     “เปล่า” ผมเบือนหน้าหนี “จะไปไหน”

     “ซื้อตู้เพิ่ม” มันว่าเช่นนั้น จัดการเทมาม่าจากหม้อมาใส่ชาม

     “กับใคร”

     “พี่เต้ย”   

     ไม่ทันที่ผมจะรู้ตัวผมก็เผลอเค้นหัวเราะไปเสียแล้ว และนั่นทำให้บรรยากาศของเราแย่ลงในทันตา หนึ่งไม่พูดอะไร มันทำเพียงหย่อนกายนั่งบนโต๊ะกินข้าวและกินอาหารมื้อแรกของวันไปเงียบๆ

     ให้ตายสิ ผมไม่ชอบใจตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

     หนึ่งเดินหายไปในห้องหลังจากล้างจานเสร็จ เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขายาวกับเสื้อยืด

     “หนึ่งไปแล้วนะ” ผมไม่ได้ขานรับอะไร รู้สึกหงุดหงิดแบบบอกไม่ถูกแต่ไม่รู้จะเอาอะไรไปบ่นมันในสถานการณ์แบบนี้ “เฮียป้อง”

     “อะไร?”

     “หนึ่งไปแล้วนะ”

     มันย้ำคำเดิมอีกครั้งและผมก็ไม่ได้ตอบไปเหมือนเดิม ผมได้ยินคนที่ยืนอยู่หน้าประตูถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินย้อนกลับมาข้างๆ แล้วเอ่ยปากคำที่ผมไม่คิดว่ามันจะพูด

     “...ไปด้วยกันไหมเฮีย”



   
     ผมนึกขันตัวเองเหลือเกิน แค่มันถามว่าไปด้วยกันไหม ผมก็ยอมลุกจากโซฟามาจัดการตัวเอง พอมานึกๆ ดูแล้วก็งงกับสิ่งที่มันทำหลายอย่าง เหมือนไม่อยากจะเข้าใกล้แต่ก็มาตั้งคำถามแบบนี้ จนมาถึงห้างใกล้มหาวิทยาลัยผมถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าบางทีหนึ่งอาจจะจงใจให้ผมมาส่งก็ได้

     “อ้าว พาพ่อมาด้วยเหรอวะ” พี่รหัสของมันถามคำแรกทันทีที่พวกเราเดินเข้ามา

     ผมพ่นลมหายใจ บอกตัวเองว่าอย่าด่าไอ้เด็กนี่แม้ว่าปากมันควรค่าแก่การโดนสักครั้งก็ตาม

     “โทษทีพี่” ไอ้หนึ่งเอ่ยกับพี่รหัสมันแบบนั้น แต่ดูไม่ได้รู้สึกผิดเหมือนคำพูดเท่าไหร่ “หนึ่งชวนเฮียมาเอง”

     “เหรอ...” พี่เต้ยของหนึ่งพยักหน้า ใบหน้าแสดงความงุนงงอย่างเห็นได้ชัด “กูว่าจะซื้อพวกลิ้นชักสักตัว พี่ตี๋แม่งเอาของมันกลับบ้านไปเยอะเลยว่ะ ถ้ามึงมาอยู่คงต้องหาของมาเติมเยอะหน่อย”

     จากนั้นสายรหัสก็คุยงุงิของพวกมันสองคน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผมเป็นคนนอก

     ผมเดินตามพวกมันเข้าแผนกเฟอร์นิเจอเงียบๆ ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความแม้ข้างในมีความรู้สึกขมุกขมัวเพราะภาพสองคนนั้นถามนู่นถามนี่ก็ตาม

     หนึ่งกับพี่รหัสใช้เวลาที่บริเวณนี้นานกว่าที่คิดจนมันหันมาเอ่ยปากถามผม “เฮีย ไปไหนก่อนก็ได้นะ”

     “อะไร”

     “ก็เฮียจะมาเดินตามหนึ่งต้อยๆ แบบนี้เหรอวะ”

     “มึงชวนกูมานะ”

     หนึ่งถลึงตา “หนึ่งเห็นเฮียไม่เอนจอยนะถึงบอกให้ไปที่อื่นก่อนก็ได้ ถ้าเฮียอยากเดินก็เดินมาดิ”

     ผมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างนึกหงุดหงิด ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ยิ่งเห็นพี่รหัสมันมองมาด้วยสีหน้างุนงงยิ่งทำให้ผมไม่สบอารมณ์ ไม่นานหนึ่งกับพี่เต้ยของมันก็ไปจัดการจ่ายเงิน ได้ตู้ที่ต้องเอาไปต่อเองกลับมาหนึ่งกล่อง โดยพี่รหัสมันเป็นคนจะเอากลับไปเพราะมีรถ

     “ไปกินข้าวกันปะ”   

     หนึ่งเหลือบสายตามามองผม “ไม่อ่ะ หนึ่งยังไม่หิว”

     “เหรอ” พี่มันก็ดูเข้าใจอะไรง่ายดี “งั้นเดี๋ยวกูไปกินข้าวนะ มึงจะกลับเลยรึเปล่า”

     “กูจะไปซื้อของหน่อย” ผมพูดสวนขึ้นมาในทันที

     หนึ่งยิ้มเจื่อนให้พี่รหัส “ก็นั่นแหละ เดี๋ยวหนึ่งไปกับเฮียแล้วค่อยกลับ”

     ผมปล่อยให้สองพี่น้องจัดการล่ำลากันให้เสร็จ ดูจะคุยนู่นคุยนี่กันจนเวลายืดเยื้อแต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาให้มันดูแย่มากเกินไป พอพี่เต้ยของหนึ่งเดินแยกไปอีกทาง ไอ้คนที่นั่งข้างๆ ผมก็หันมาถาม

     “ไม่หิวเหรอเฮีย”

     “มึงไม่หิว”

     หนึ่งทำปากเบ้ “หนึ่งถามว่าเฮียไม่หิวเหรอ”

     “ก็ไม่ได้หิวอะไรมาก” ผมว่าเสียงเรียบ เดินนำมันลิ่วๆ แต่หนึ่งก็ก้าวตามขึ้นมาจนทัน เล่นเอาผมรู้สึกแปลกใจเสียจนต้องเอ่ยปากถาม “มึงต้องการอะไรกันแน่ฮะ”

     หนึ่งชะงักไปชั่วครู่ “เปล่า เฮียจะไปดูอะไร”

     “หนังสือ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

     “ทำไมไม่แยกกันเดินตอนนั้นวะ”

     คำพูดของหนึ่งทำให้ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ผมไม่ยักกะรู้ว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายขนาดนี้ ปกติผมเป็นคนใจเย็นแท้ๆ แต่พอเป็นเรื่องของมัน...ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที

     ผมหยุดเดิน หันไปมองหน้ามันตรงๆ

     “สรุปมึงชวนกูมาด้วยทำไม ให้กูเป็นสารถีเหรอ”

     หนึ่งชะงัก ขมวดคิ้วเสียจนหัวคิ้วชนกัน “เฮียอย่าชวนหนึ่งทะเลาะได้ไหม นี่เฮียจะเอายังไง”

     “กูมากกว่าไหมที่จะต้องถามว่ามึงจะเอายังไง กูไม่เข้าใจว่าทำไมมึงถึงชวนกูมาด้วย”

     “แต่เฮียก็มา”

     “หนึ่ง” ผมกัดฟันกรอด แสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ

     เพียงเท่านั้นหนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หนึ่งเลี้ยงข้าวเฮียเอง”

     “ในโอกาสอะไร” คราวนี้เป็นผมเองที่รู้สึกงุนงง ร้อยวันพันปีหนึ่งถึงจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องอะไรพวกนี้ออกมา

     “วันเกิดเฮีย”

     นั่นไม่อยู่ในความคิดผมเลยแม้แต่น้อย

     หนึ่งพูดออกมาแบบไม่มีลังเลแต่มันกลับทำให้ผมเลิกคิ้ว วันเกิดผมเป็นช่วงสัปดาห์หน้า ถึงปกติผมจะกลับบ้านแต่เราก็ไม่เคยฉลองวันเกิดด้วยกันอยู่แล้ว

     “เฮียอย่าทำหน้าแบบนั้นได้ไหมวะ” หนึ่งแหวพลางเอามือเกาท้ายทอย

     “แค่นั้นเหรอ” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม มันมีอะไรแปลกๆ

     พอโดนผมหรี่ตามอง สีหน้าของหนึ่งก็เจื่อนลงนิดหน่อย มือค่อยๆ ลดลงและเอ่ยปากตอบออกมาเสียงเบา

     “วันเกิดเฮียขึ้นเดือนหน้าแล้วใช่ไหมล่ะ”

     “เออ” วันเกิดของผมคือวันที่เจ็ดในเดือนที่จะถึงนี้

     “หนึ่งอาจจะไปนอนกับพี่เต้ยแล้วอ่ะ”

     สิ้นคำพูดนั้น มือของผมก็กำเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

     เห็นหนึ่งบอกว่าจะค่อยๆ ย้ายเข้า แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นึกย้อนไปเมื่อวานมันก็บอกอยู่แล้วว่าจะเริ่มช่วยพี่เต้ยของมันจ่ายเงินเดือนหน้า แต่ว่า...

     “นี่มึงจงใจย้ายให้เร็วขึ้นเหรอ”

     หนึ่งเบือนหน้าหนี ไม่ตอบอะไรสักคำ

     ผมคิดว่านั่นคือคำตอบที่ดีที่สุด

     นี่มันไม่ใช่เรื่องน่าดีใจเลย เมื่อคืนผมรู้สึกมีความสุขจนตัวแทบลอย รู้สึกว่าตัวเองหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าความรู้สึกของผมเป็นอย่างไร และเผลอคิดไปว่าหนึ่งน่าจะรู้สึกคล้ายกัน ถึงผมยังไม่พูดอะไรให้ชัดเจนแต่ผมนึกว่ามันจะชัดเจนพอเสียแล้ว

     “เฮีย... หนึ่งไม่ได้...”

     “ช่างมัน” ผมตัดบท “อยากกินร้านไหนก็เข้าไป”

     “เฮียไม่ไปดูหนังสือแล้วเหรอ”

     “ช่างมัน” ผมย้ำคำเดิมอีกครั้ง

     หนึ่งมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่นานก่อนที่มันจะเริ่มออกเดิน รอบนี้ผมปล่อยให้มันเดินนำและผมเดินตาม มีคำถามที่ผมถามกับตัวเองระหว่างนั้น และคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้คำตอบจนกว่าจะได้ถามออกไป

     ...สรุปว่าเรารู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า

     หากผมยังหาคำตอบส่วนนั้นไม่ได้ ผมอาจจะไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากขอร้อง ให้มันอยู่กับผมต่อไป




-------------------------------

#ขอให้ไม่ใช่รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2016 20:19:18 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
อ่านตอนแรกคล้ายจะก้าวหน้า สุดท้ายก็ถอยหลัง
เฮ้อออออ

ออฟไลน์ aukuzt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ไม่เข้าใจว่าหนึ่งคิดอะไรอยู่ อยากอ่านพาร์ทของหนึ่งจัง

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 21
‘เอาแต่ใจ’




     สถานการณ์ช่างน่าอึดอัด

     พวกเรากินข้าวโดยไม่พูดอะไรสักคำ กลับมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ และเข้านอนโดยไม่พูดอะไรสักคำ ปราศจากคำพูดใดระหว่างเรา ใช่ว่าเราไม่มองกันหรืออยากจะถาม หากแต่พอไม่มีใครเป็นคนทำลายความเงียบก่อน พวกเราก็ปล่อยผ่านมันไปเท่านั้น

     หนึ่งเหมือนจงใจจะประชดประชัน เพราะวันถัดมาเป็นวันเปิดเทอม หนึ่งหายหน้าไปก่อนที่ผมจะตื่นนอนทั้งที่มันก็ไม่ได้เป็นคนตื่นเช้า กลับมาตอนสามทุ่มพร้อมกับกลิ่นละมุดหึ่งแต่ยังประคองสติได้ และจัดการอาบน้ำเข้านอนเลย พอวันอังคารมันก็ไม่ยอมลุกจากเตียงจนผมต้องออกจากหอไปเรียน

     เราเมินเฉยกันมาสามวันแล้ว มันทำให้ผมเหนื่อยใจ ตั้งคำถามกับตนเองว่าเราจะงอนกันเป็นเด็กๆ ไปถึงเมื่อไหร่

     พอเข้าวันที่สี่เราก็ยังไม่คุยกันก่อนออกจากห้อง พอกลับมาผมก็พบว่าหนึ่งกำลังจัดการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เล่นเอาผมหน้าตึงขึ้นมาทันควัน ยิ่งอีกฝ่ายปรายสายตามองแล้วไม่เอ่ยคำใดยิ่งทำให้ผมรู้สึกโมโห

     ผมสูดลมหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่าน

     “มึงทำอะไร” น้ำเสียงของผมดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

     หนึ่งหันมามอง มือผอมของมันหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่มันจะเบือนหน้าหนีราวกับไม่ใส่ใจ “เฮียเห็นว่าหนึ่งทำอะไรล่ะ ทอดไข่เจียวเหรอ”

     “หนึ่ง” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเขียว “ถามดีๆ... อย่ามาประชด”

     พวกเราสาดความเงียบเข้าหากันอีกแล้ว... และมันยิ่งกว่าการระเบิดอารมณ์เสียอีก ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ สุดท้ายก็วนกลับมาที่เลขหนึ่งใหม่ เป็นแบบนั้นอยู่หลายรอบกว่าจะถอนหายใจออกมาและเอ่ยพูดเสียงอ่อนกว่าเดิม

     “มึงไปวันไหน”

     หนึ่งหลบตา เม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่จะตอบออกมาเสียงแผ่ว “วันอาทิตย์นี้”

     ผมพ่นลมหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว วันเสาร์ผมคงกลับบ้านเพื่อไปทำบุญที่บ้านในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเกิดของผม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจงใจไม่พูดถึง

     “อืม...” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีสิทธิ์พูดคำใดก่อนมันไปหรือเปล่า “แล้วรีบเก็บของจังนะ”

     “เก็บนิดๆ หน่อยๆ ไว้ก่อน คงค่อยๆ เอาเข้า” มันว่าเสียงเรียบ ลดมือที่จัดการพับเสื้อผ้าของตัวเอง ผมใช้จังหวะนั้นมองไปที่ตู้เสื้อผ้าใกล้ๆ อย่างน้อยก็ยังเหลือชุดอยู่ในนั้นบ้าง ไม่ใช่น้อยจนน่าใจหาย

     “แล้วทำไมไม่ไปจัดอย่างอื่นก่อน”

     “หนึ่งไม่ได้มีของมากขนาดนั้นสักหน่อย” คนอายุน้อยกว่าว่าเช่นนั้น “ยังไงของในห้องนี้ก็เป็นของเฮียทั้งห้องนั่นแหละ”

     ก็จริงอย่างที่หนึ่งพูด ของที่มันเคยเอาเข้ามามันก็หอบย้ายไปตอนไปอยู่กับกริช แถมไอ้เจ้าคนอารมณ์ร้ายนั่นทำลายห้องซะไม่มีอะไรเหลือ หนึ่งเลยกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้า แต่ผมก็คิดว่าอย่างน้อย ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมาพักใหญ่นี่น่าจะมีอะไรของมันมากกว่าเดิมบ้าง

     “เฮียกินข้าวมารึยัง”

     “กินมาแล้ว” แล้วพวกเราก็เงียบอีกครั้ง

     ผมแกล้งทำเป็นเมินเฉย เดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อเปิดโน้ตบุ๊กตัวเอง จัดการกับงานที่โดนสั่งมาตั้งแต่เปิดเทอมแต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่กระเตื้องเท่าไหร่ ยามได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกันจากคนข้างหลัง นานอยู่เหมือนกันกว่าจะได้ยินเสียงเหมือนหนึ่งเดินออกไปนอกห้อง

     บทสนทนาของเราก็สิ้นสุดอยู่แค่นั้น




     ทุกอย่างเรียบร้อยดี...จนน่าขนลุก

     ผมคิดว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก ผมก็ยังเป็นผม ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแม้จะรู้ดีว่าพอกลับไปจะไม่มีมันในห้องอีกแล้ว แต่ผมก็ยังอยู่กับครอบครัวและปล่อยเรื่องของมันไว้ข้างหลัง เป็นแบบนั้นจนวันช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่แม่ให้ผมยืมรถมาขับกลับคอนโด

     “เออ จริงสิ หนึ่งย้ายออกไปรึยัง”

     แม่ที่นั่งข้างๆ ผมเอ่ยปากถาม และนั่นทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพยายามไม่ใส่ใจมาตลอดเกือบวันหายไปหมด โดยที่แม่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

     “ย้ายไปวันนี้แหละ”

     “งั้นเหรอ” แม่เปรยเบาๆ “งั้นเดี๋ยวต้องให้คนไปช่วยย้ายของอะไรไหม”

     “ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธ “มันคงยังเอาของไปไม่หมดหรอก ผมก็ไม่ได้มีของเยอะอะไรด้วย”

     แม่พยักหน้า ไม่ถามอะไรให้มากความ

     ผิดกับผมที่กำลังกำพวงมาลัยอยู่ ต้องมีเรื่องของมันโผล่มาทุกๆ ไฟแดงจนผมถึงหอ ผมคิดนู่นนี่ไปเรื่อย นั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าทุกวันนี้ที่ผมรู้สึกแย่เป็นเพราะว่าหนึ่งแสดงอาการให้ผมเห็นชัดเจนว่ามันไม่อยากจะอยู่กับผมต่อจนผมรู้ตัวว่าตัวเองอกหัก หรือว่าเป็นเพราะมันกำลังจะย้ายไปอยู่กับใครกันแน่

     แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบนั้น จนกระทั่งแม่จัดการหอมแก้มผมซ้ายขวาก่อนที่ผมจะลงรถและให้ท่านเป็นคนมาขับรถแทน เห็นบอกว่ามีนัดเจอกับคุณหญิงสักคนตอนช่วงเย็น คงจะไปเตรียมตัวก่อน

     ผมขึ้นไปจนถึงห้องตัวเอง จัดการไขกุญแจเข้าไป ตอนเปิดประตูมาแล้วพบว่าในห้องนี้เงียบกว่าที่เคยไม่ทำให้รู้สึกดีเท่าไหร่นัก

     หนึ่งคงไปแล้วจริงๆ ผมถอนหายใจ เดินไปหยิบขวดน้ำที่แช่เย็นไว้มาดื่ม ตั้งใจจะไปทิ้งตัวลงนอนแล้วค่อยตื่นมาทำงานต่อตอนเย็นๆ แต่พอเดินไปที่ห้องกลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้วยังนอนอยู่บนเตียง

     ...และเป็นเตียงของผมเสียด้วย

     ผมเดินเข้าไปใกล้ ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าผมพยายามทำเสียงเดินให้กว่าปกติ แต่คนบนเตียงกลับสะดุ้งกายตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

     “หนึ่ง...หนึ่ง...” คิดว่ามันกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวอยู่ “หนึ่งเบลอ โทษที นี่กี่โมงแล้ว” มันไม่ยอมสบตาผมเลยด้วยซ้ำ แถมยังเอามือปะป่ายไปทั่วอีกต่างหาก

     “สามโมง...จะสี่โมง” ผมตอบไปตามจริง “มึงไม่ไปเหรอ”

     มันทำเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ทำท่าจะลุกขึ้นแต่ผมเลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนแทบจะชิด พอมันยืนตัวขึ้นทำให้ใบหน้าของเราใกล้กันกว่าที่คิด มันทำท่าเหมือนกับจะทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียง แต่ผมรั้งแขนมันไว้มันเลยทำแบบนั้นไม่ได้

     “ฮะ... เฮีย”

     ลมหายใจของหนึ่งร้อนเสียจนผมรับรู้ได้ รวมถึงจังหวะการหายใจที่ไม่ปกตินั่นด้วย

     “มาทำอะไรบนเตียงกู” ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

     หนึ่งแสดงอาการลอกแลกอออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเบือนหน้าหนี ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย สักพักใบหน้าของมันก็เริ่มขึ้นสีทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว ถ้าเป็นปกติผมคงตั้งคำถามว่ามันกำลังโกรธหรืออาย แต่สถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีทางที่จะเป็นอย่างแรกแน่

     “หนึ่ง... นัดพี่เต้ยไว้” มันพูดเสียงเบาหวิว

     ผมมองริมฝีปากของมัน พวงแก้ม เรื่อยไปจนแววตาที่ไม่ยอมมองมาที่ผมแม้แต่นิดเดียว พออยู่ใกล้กันขนาดนี้โดยที่ผมไม่อยากปล่อยมันเดินออก และมันเองก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน มันทำให้ในหัวของผมฟุ้งซ่านเสียจนเผลอพูดสิ่งที่คิดลึกๆ ออกมา

     “ถ้า...กูบอกไม่ให้มึงไป...” เสียงของผมเบา แต่หนักแน่นกว่าครั้งไหน “มึงจะอยู่ไหม?”

     คราวนี้หนึ่งหันหน้ามามองผมเต็มๆ ตา

     มันนิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้าฉายแววไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะเริ่มเอาฟันขบริมฝีปากเบาๆ จนผมต้องเลื่อนปลายนิ้ว ทันทีที่สัมผัสกับกลีบปากมัน หนึ่งก็สะดุ้งเล็กน้อย

     ผมไม่รู้ตัวเท่าไหร่ตอนที่ตัวเองไล้ปลายนิ้วลงบนมุมปากของมัน หนึ่งผลุบตาลงต่ำแต่ไม่ขยับไปไหนจนผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่านั่นคือการยินยอมหรือมันทำอะไรไม่ถูก จนผมออกแรงแตะหัวไหล่มันเบาๆ หนึ่งก็ล้มลงไปกองบนเตียงและผมไม่รอให้มันลุกขึ้นมา

     “ฮะ...เฮีย” หนึ่งเรียกผมด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อยเช่นเดียวกับหัวไหล่ของมันตอนที่ผมคร่อมร่างมันไว้และใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับมัน

     นั่นมันไม่ดีเลย

     “รู้ไหม” ผมพูดเสียงเบา มือหนึ่งหยัดตัวเองบนเตียง อีกมือหนึ่งแตะบริเวณคอเรื่อยไปจนกกหูของคนข้างใต้ “ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง...”

     “...”

     “หนึ่ง” ผมเรียกมันเบาๆ

     เจ้าของชื่อกัดมุมปากอีกครั้ง หลับตาปี๋ชั่วครู่สั้นๆ แต่ช่วงเวลาที่มันเงียบเหมือนจะยาวนานเหลือเกิน

     “...หนึ่งรู้แล้ว” มันเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา เบือนหน้าไปอีกทางแต่ผมก็เอามือไปจับให้มันมองตรงมาที่ผม

     เรามองหน้ากันอยู่นาน ผมเห็นใบหน้าของผมที่ใกล้กว่าทุกครั้งในแววตาที่สั่นไหวเล็กน้อยของมัน ไม่รู้ว่าหนึ่งเห็นมันในตาผมเหมือนกันหรือเปล่า

     “งั้นบอกหน่อยสิ”

     “...”

     “ตอนนี้กูอกหักแล้วเหรอ”

     หนึ่งเงียบ ไม่ได้ตอบคำใดอยู่พักหนึ่ง ส่วนผมกลับกลั้นหายใจอย่าลืมตัวด้วยซ้ำตอนที่รอคำตอบของมัน

     “เปล่า...” เสียงของคนใต้ร่างแผ่วเบา แทบจะกลายเป็นการกระซิบ หากแต่มันก็ชัดเจนพอสำหรับผม “ไม่ใช่เสียหน่อย”

     พอได้ยินเช่นนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวจะลอย ใจหนึ่งผมอยากจะทิ้งสติและกดจูบลงบนอีกฝ่ายหากแต่ทำเช่นนั้นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่

     หนึ่งใช้จังหวะนั้นในการผลักผมออกเบาๆ แล้วจึงดันตัวขึ้น เปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งมองหน้ากันตรงๆ บนเตียง

     “แต่หนึ่งจะย้ายหอ”

     บอลลูนแห่งความดีใจแตกกลางอากาศในทันที ผมเหมือนโดนเหวี่ยงลงมาจากเครื่องบิน “ทำไม”

     “หนึ่ง...ไม่ชอบตัวเอง” มันกระพริบตาที่เริ่มแดงของตัวเองถี่ๆ เอ่ยปากพูดเสียงเบา ก่อนจะสูดลมหายใจลึก “หนึ่งดีใจที่เฮียรู้สึกแบบนั้นกับหนึ่ง” คาดว่าอีกฝ่ายจงใจหลีกเลี่ยงคำนั้นเต็มที่ “แต่มันทำให้หนึ่งคิดว่าหนึ่งไม่มีอะไรดีพอให้เฮียเลย”

     “มึงจะเลิกพูด...”

     “หนึ่งพูดก่อน” อีกฝ่ายตัดบทโดยผมยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ “เฮียไม่คิดเหรอ หนึ่งเจออะไรหนึ่งก็หนีมาหาเฮีย เฮียช่วยหนึ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ เรื่องไอ้กริชเฮียก็เอาแต่ช่วยหนึ่ง เหมือนหนึ่งยืนด้วยขาของตัวเองไม่เป็น”

     “...”

     “หนึ่งไม่ชอบตัวเองแบบนั้น”

     มันสบตาผมตรงๆ เสียงสั่นเล็กน้อย สักพักก็เงยหน้าเหมือนกับไล่ไม่ให้น้ำตาไหลลงมาให้เห็น

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากันแน่นด้วยความหงุดหงิดใจ “แล้วทำไมต้องเป็นมัน มึงย้ายไปอยู่คนเดียวไม่ได้หรือยังไง หรือไอ้โอ๊ต...”

     “โอ๊ตมันอยู่บ้าน แล้วทำไมหนึ่งต้องอยู่คนเดียว เปลืองเงิน”

     “แต่...” ผมรู้สึกจนคำพูด “ก็ไม่เห็นต้องเป็นมัน”

     ผมรู้ตัวในตอนนี้เองว่าผมก็ ‘เด็ก’ ไม่แพ้มัน ผมไม่อยากให้หนึ่งถูกดูแลโดยใคร ไม่อยากให้ใครเอาใจมันมากกว่าผม ไม่อยากให้มันไปใช้ชีวิตร่วมกับใครนอกจากผม เหมือนเป็นเด็กที่หวงของเล่น

     หนึ่งผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่เต้ยไม่ได้เป็นเกย์นะ... ถึงพี่มันจะชอบเลี้ยงหนึ่งก็เถอะ หนึ่งยืนยันได้จริงๆ นะเฮีย”

     “ไม่เกี่ยวสักหน่อย” ผมบ่นพึมพำออกมาเสียงเบา ทิ้งศีรษะลงบนหัวไหล่เล็กของอีกฝ่ายอย่างนึกหงุดหงิดใจ

     หนึ่งเงียบ ผมไม่รู้ว่ามันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่พอๆ กับไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจหรือไม่... จริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นความรู้สึกที่แย่อะไรเลย เพียงแต่พอคิดว่าหนึ่งอยากจะยืนด้วยขาของตัวเองเพราะความรู้สึกของผม มันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมควรทำแบบไหน

     ตอนที่มันพยายามโตขึ้น... ผมจะทำตัวเป็นเด็กได้อย่างไร

     ทั้งที่ปกติผมต้องเป็นคนเรียกมันว่า ‘เด็ก’ แท้ๆ แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้... สถานะของเราดันกลับกันเสียได้

     “เฮีย” มันเรียกผมเสียงเบา “สรุป...”

     “กูเคยขัดใจมึงได้ด้วยเหรอ” ผมพูดเสียงอู้อี้ด้วยความไม่สบอารมณ์ คล้ายจะมีความสุขแต่ก็มีความสุขได้ไม่สุด ถึงกระนั้นผมก็ไม่อยากทำให้มันรู้สึกแย่...หนึ่งคงใช้ความพยายามมากที่จะพูดมันออกมากับผมตรงๆ

     “งั้นปล่อยสิ” มันขืนตัวเล็กน้อย

     ผมคว้าหมับที่เอวของมัน ออกแรงกอดรัดเล็กน้อยมันก็ไม่แสดงท่าทีจะหนีอีกทั้งที่มันก็สู้แรงผมได้สบายๆ

     “โทรไปหาพี่มึง เลื่อนไปอาทิตย์หน้าซะ”

     คนในอ้อมแขนเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่าย “เฮียแม่งเอาแต่ใจ”

     ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก...คนเอาแต่ใจจริงๆ มันมึงต่างหาก หนึ่ง




-------------------------------
ช่วงนี้ที่หายไปเพราะว่าเตรียมรูปเล่มของอีกนามปากกาค่ะ
สามารถดูรายละเอียดได้นะคะ ขออนุญาตฝากหน่อย : )

[Pre-Order] นิยายเรื่องรักหลังเลนส์ :
http://goo.gl/forms/CKirAHAUFqQQPVWG3

#ขอให้ไม่ใช่รัก

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ตอนนี้สนุก

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1

ตอนแรกมองข้าม แต่พอได้อ่านเท่านั้นล่ะ เรื่องนี้ช่าง "ดีงาม"

เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะจ๊ะ ^^  :mew1:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เย้ อย่างน้อยก็รักกันแล้วววววววว เฮียขอคบเลยๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 22
‘แฟร์’


     ผมเริ่มกลับมาวนเวียนแถวคณะของหนึ่งอีกครั้ง แม้จะไม่บ่อยเท่าครั้งก่อน

     “อ้าว เฮียมาอีกแล้วเหรอ”

     โอ๊ตเงยหน้าขึ้นมามองผม ใต้ตาคล้ำอย่างเห็นได้ชัด มองซากข้าวของตรงหน้าพวกมันแล้วนึกสงสารชอบกล บนโต๊ะที่นั่งกันห้าหกคนมือข้างหนึ่งถือกระดาษ อีกข้างถือกรรไกร สีหน้าแย่กันทุกคนแต่ดันมีคนหนึ่งนอนฟุบกินแรงเพื่อนอยู่

     “เอ้า” ผมยื่นถุงขนมที่ซื้อมาเผื่อคนอื่น พร้อมกับกระทิงแดงที่หนึ่งบอกว่าเพื่อนมันฝากซื้อด้วย “กูไปแล้วนะ”

     “ไม่คุยกับหนึ่งก่อนเหรอเฮีย”

     “ช่างมันเถอะ ปล่อยให้มันนอนไป” แถมนี่ก็ใกล้เวลาเข้าแลปแล้วด้วย ถึงมันตื่นขึ้นมาก็คงคุยกันได้ไม่นาน ไม่กวนจะเป็นการดีกว่า

     “แหม...เฮีย” แก้วตาเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง ทั้งที่ใบหน้าโทรมกว่าปกติแต่ก็ยังอุตส่าห์มีแรงแซว “จะมาแค่เห็นมันนอนเลยเหรอ ลงทุนจัง”

     ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่ยิ้มขำให้อีกฝ่าย สาวเจ้าก็ทำเอามือกุมหน้าอกบ่นพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมจับศัพท์ไม่ได้ ผมคุยกับไอ้โอ๊ตอยู่สองสามคำว่าอย่าให้มันกินแรงชาวบ้านมากนัก และให้มันตื่นมากินข้าวปลาอาหารด้วย ระหว่างพูดก็เล่นผมมันที่เริ่มจะยาวขึ้นไปพลาง หนึ่งหลับลึกจริงๆ ถึงไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย

     “อ๋อ” ผมนึกบางอย่างออก “บอกมันด้วยว่าถ้าจะมานอนหอให้บอกก่อน”

     “โอเคเลยเฮีย”

     ผมพยักหน้า ลูบศีรษะของหนึ่งที่ยังไม่มีท่าทางจะตื่นง่ายๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินออกมาจากโต๊ะนั้น ได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกันอย่างออกรสนิดหน่อย จะว่าไป...ผมเองก็เริ่มชินแล้วเหมือนกัน

     วงจรชีวิตของผมกับหนึ่งเริ่มมาวนเวียนใกล้ๆ กันอีกครั้ง นับตั้งแต่มันย้ายหอไปเดือนก่อน หนึ่งยังกลับมานอนห้องผมเป็นครั้งคราว บางทีก็บอกว่าพี่รหัสมันพาเพื่อนมาช่วยงาน บางทีก็บอกว่าห้องรกเกินไปจนนอนไม่ได้ ผมไม่มั่นใจหรอกว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันจริงไหม แต่ผมก็ยินดีทุกครั้งที่มันมา

     หนึ่งเรียนหนัก ผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยิ่งคณะเราอยู่ห่างกันจนต้องขับมอเตอร์ไซค์มายิ่งไม่ต้องพูดถึง นานๆ ครั้งเราถึงจะโผล่มาเจอกันที่คณะสักที

     “เดี๋ยวนี้ไปคณะสถาปัตย์ฯ บ่อยนะ”

     ทันทีที่เจอหน้ากันเพื่อนก็เอ่ยปากทักกันเช่นนี้ทันควัน คำแซวต่างๆ เพิ่งเริ่มกลับมาเมื่อเร็วๆ นี้หลังจากพวกมันเงียบปากไว้นาน

     ผมหรี่ตา “รู้มาจากไหนล่ะ”

     “สายข่าวกูเยอะ”

     ผมเค้นหัวเราะ ไอ้กันต์เลยพล่ามนู่นพล่ามนี่ไม่หยุด นินทาไปถึงไอ้ภีมที่ตอนนี้เที่ยวโผล่หน้าไปแถวคณะวิศวกรรมศาสตร์บ่อยเพราะจีบสาวสวยจากคณะนั้นอยู่ มันพูดไปเรื่อยจนกระทั่งพวกเราเตรียมตัวจะทำแลป พอผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหน่อย ไอ้กันต์ก็หยุดพูดแต่ชะโงกหน้ามาดู

     “ดูขนาดนี้เอาแชทไปดูเลยไหม” ผมอดขอดไม่ได้

     ไอ้กันต์หัวเราะแห้งๆ “ไรวะ กูก็อยากรู้ความเป็นไปของมึงบ้าง”

     ผมขยับปากด่าคำว่าเสือกอย่างไร้เสียง ก้มลงดูข้อความจากคนที่ตั้งใจจะไปเจอก่อนหน้านี้แต่เล่นไม่ได้คุยกันสักคำ

     ‘วันหลังปลุกหนึ่งไม่ได้ไงวะ’ ตามมาด้วยสติ๊กเกอร์กระต่ายทำหน้ากระฟัดกระเฟียด

     ผมยิ้มขำ พิมพ์ตอบกลับไป ‘ตื่นก็ดี ไปช่วยเพื่อนทำงาน’

     ‘เอออออออ’

     พวกเราไม่ได้คุยกันมากกว่านั้นตอนที่ผมบอกว่าต้องไปทำแลปแล้ว แต่ข้อความสุดท้ายของมันก็ทำให้ไอ้กันต์แทบจะเหลือกตามองผมเลยด้วยซ้ำ

     ‘คืนนี้งานเสร็จแล้วหนึ่งไปนอนด้วย’




     ตอนแรกผมกังวลใจนิดหน่อยเพราะแลปลากยาว กว่าจะเสร็จก็ล่อไปเกือบสองทุ่มแต่หนึ่งก็ไม่ได้โทรมา พอผมโทรไป หนึ่งก็บอกว่างานยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ

     “เฮียไปกินข้าวก่อนไป หนึ่งกินแล้ว...แล้วกลับห้องไปเลยนะ”

     “งานเสร็จกี่โมง”

     “เสร็จแล้ว เก็บของอยู่” มันตอบผมคำหนึ่งก่อนที่จะไปตะโกนคุยอะไรกับเพื่อนสักอย่างที่ผมฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ “แค่นี้นะ”

     “กินข้าวเสร็จจะไปรับ”

     ปลายสายถอนหายใจยาว “เฮีย...”

     “ไม่รู้แหละ รอที่นั่นแล้วกัน”

     ผมจัดการตัดบทเสร็จสรรพ ขืนคุยต่อหนึ่งจะสรรหาเหตุผลร้อยแปดบอกให้ผมไม่ต้องรอมันทั้งๆ ที่มันบอกว่ากำลังเก็บของอยู่ ซึ่งแปลว่าจะเสร็จแล้ว

     ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันอยากพึ่งตัวเอง แต่นิสัยเดิมก็ใช่ว่าแก้ได้ง่ายๆ ผมปล่อยมันมากกว่าที่เคยทำตั้งเยอะ บางครั้งบางคราก็อยากจะเอาแต่ใจกับมันบ้างเหมือนกัน ถือเป็นการเอาคืนที่หนึ่งเอาแต่ใจกับผมตลอดเวลาที่ผ่านมาก็แล้วกัน

     ผมไปฝากท้องที่ร้านต้มเลือดหมูใกล้ๆ คณะของเด็กดื้ออย่างหนึ่งเพราะมีเหลือไม่กี่ร้าน พอผ่านไปสักพักจึงเดินเข้าไปในคณะ ไม่ทันที่หนึ่งจะรับสายก็เห็นเพื่อนๆ มันอยู่ในบริเวณเดิมที่เจอเมื่อกลางวัน

     “เสร็จยัง” ผมชะโงกหน้าถามแป้งที่อยู่ใกล้ที่สุด

     “ยังค่ะ” หล่อนตอบ “แต่กลับเลยก็ได้นะคะ”

     ผมเหลือบสายตามอง หาหนึ่งไม่เจอ สักพักก็เห็นมันกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจากอีกทางหนึ่งพร้อมกับเพื่อนๆ มัน พอเจอหน้าผมมันก็เบ้หน้า

     “น้อยๆ หน่อย” ผมอดไม่ได้ที่จะเตือน แต่หนึ่งไม่สนใจสักนิด มันสะบัดหน้าไปอีกทางเพื่อช่วยเพื่อนๆ มันต่อ

     เห็นแบบนี้จะให้ผมยืนรอมันเฉยๆ ก็คงไม่ได้เลยไปช่วยหยิบนู่นหยิบนี่ใส่ถุงขยะไปด้วย เพื่อนหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าเกรงกับผมพอตัว แต่ถ้าเป็นสามคนที่เจอหน้ากันบ่อยๆ ก็แทบจะตีหัวกันอยู่แล้ว

     ไม่นานก็จัดการทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อย หนึ่งจึงบอกลาเพื่อนๆ และเดินไปที่มอเตอร์ไซค์กับผมโดยไม่เอ่ยคำใด

     “เป็นอะไร”

     “อะไรล่ะ” มันขมวดคิ้วมุ่น

     “อย่าดื้อได้ไหม กลับฟรีแล้วยังจะมาทำหน้าแบบนี้อีก” ผมอดไม่ได้ที่จะจิ้มหน้าผากมันไปแรงๆ สักที

     หนึ่งถึงกับชักสีหน้าทำปากคว่ำ “ก็ไม่ได้ขอนี่”

     ผมเอื้อมมือไปบีบจมูกมันอีกทีก่อนที่จะจัดการสวมหมวกกันน็อกให้อีกฝ่าย หนึ่งหน้าง้ำงอเสียจนผมอดไม่ได้ที่จะตบศีรษะมันเบาๆ อีกที

     “เฮีย!” มันโวยวาย เสียงขึ้นสูงจนจากคำว่าเฮียกลายเป็นสัตว์สี่เท้าอีกหน

     “เงียบๆ น่า”

     “หนึ่งไม่อยากให้เฮียขับรถตอนกลางคืนมันเข้าใจยากตรงไหนวะ”

     คำพูดของมันทำให้ผมหันขวับ

     หนึ่งสบถเบาๆ ตอนที่เราสบตากัน เบือนหน้าไปทางอื่นก่อนที่จะขว้างค้อนให้กันวงใหญ่ ท่าทางของมันพาลทำให้ผมรู้สึก ‘ดี’ อย่างบอกไม่ถูกเท่าไหร่ ไม่ทันที่จะพูดอะไร หนึ่งก็แหกปากอีกหน

     “เออ! เออ! ก็เหนื่อยๆ มาหนึ่งก็อยากให้พักไหม” มันมองผมด้วยแววตาไม่พอใจ “รีบกลับห้องเลย”

     ท่าทางของมันทำให้ผมนึกขอบคุณที่ตอนนี้เป็นกลางคืนชอบกล ขืนหนึ่งเห็นว่าผมกำลังยิ้มอยู่แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ




     หากบอกว่าระหว่างเราไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยก็คงเป็นการโกหกคำโต

     หนึ่งเดือนนี้ นับตั้งแต่เราปรับความเข้าใจกัน (อันที่จริงมันไม่ใช่การปรับความเข้าใจหรอก แต่ผมพยายามใช้คำที่ใกล้เคียงที่สุด) หลายๆ อย่างก็ดูจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดดแม้ว่าหนึ่งยังจะชอบแหกปากโวยวายเหมือนเดิม หรือผมจะบ่นมันเพราะนิสัยส่วนนั้นของมันเหมือนเดิมก็ตามที

     เราไม่ได้พูดกันให้ชัดเจน...แต่มันก็ถือว่าชัดเจนพอควร

     เล่นเอาผมเสียการควบคุมตัวเองไปบ่อยครั้งกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

     “ดูอะไร”

     ผมเดินเช็ดศีรษะตัวเองเดินไปที่โซฟาที่หนึ่งกำลังนั่งกินเลย์ (ของผม) อยู่ ถามไปงั้นทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดเจนว่าบนทีวีคือการแข่งบาสเก็ตบอล

     พวกเรานั่งลุ้นกีฬากันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง จนถึงช่วงเบรก หนึ่งก็หันมาหาผมทั้งๆ ที่หัวคิ้วขมวดจนชนกัน

     “เฮีย เช็ดผมดิ”

     “ก็เช็ดอยู่...ทำไม”

     “น้ำมันหยดโดนหนึ่ง” อีกฝ่ายว่าอย่างนั้น

     ก็จริงอย่างที่มันบอก ผมเบียดตัวเข้าใกล้มันมากเกินไปเสียหน่อยตอนนี้เลยเห็นว่าบริเวณหัวไหล่ของหนึ่งมีรอยหยดน้ำเป็นวงๆ ดังที่มันว่า

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยื่นผ้าขนหนูที่เริ่มเปียกให้มัน

     หนึ่งขมวดคิ้วอีกครั้ง “อะไรวะ”

     “เช็ดให้ที”

     ผมได้ยินคนตรงหน้าอุทานเบาๆ ว่าพ่อมึง สีหน้าตื่นอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่นี่ไม่ใช่เรื่องน่าตระหนกขนาดนั้นแท้ๆ สักพักหนึ่งก็เม้มปากแน่น ขยับปากไปมาแต่ก็รับผ้าขนหนูไปโดยดี ผมจึงเปลี่ยนที่ไปนั่งที่พื้น หันหลังให้หนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา

     “เฮีย”

     “อื้อ?”

     “เฮียแม่ง...” เสียงจากคนข้างหลังตามมาด้วยคำผรุสวาทหยาบคายเล็กน้อยจนผมหันกลับไป แต่หนึ่งกลับคว้าศีรษะผมอย่างแรง “ไม่ต้องหันมา!”

     ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มตัวเองกับนิสัยที่นับวันยิ่งแสดงให้เห็นของมัน หนึ่งขี้อาย เวลาอายมีสองอย่างที่มันทำคือทำร้ายร่างกายผมกับด่า แถมยังพยายามปิดบังอาการทั้งๆ ที่มันแสดงให้เห็นได้ง่ายนิดเดียว

     ก็แฟร์ดี

     ...ผมก็ไม่ชอบยิ้มให้มันเห็น เวลาเห็นมันน่ารักเหมือนกัน




     บางทีเวลาที่เราอยู่ด้วยกันก็สั้นเกินไปหน่อย

     “ไม่กลับได้ไหม”

     หนึ่งที่กำลังล้างจานข้าวที่พวกเราทั้งสองคนเพิ่งกินเมื่อกี้หันขวับมามองผมด้วยสีหน้างุนงง “อะไรนะ”

     “นอนที่นี่ต่ออีกสักวัน” ผมขยายความอีกนิดหน่อยแต่หนึ่งกลับทำเพียงมองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเท่านั้น

     ผมไม่รู้ว่าเดิมทีผมเป็นคนงี่เง่าคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ไหม หรือว่าเพราะตอนนี้เราเริ่มเผยความรู้สึกให้อีกฝ่ายเห็นกันมากขึ้นผมเลยสามารถพูดกับมันตรงๆ ได้แบบนี้

     หนึ่งจัดการล้างจานที่เหลืออยู่เงียบๆ จนเสร็จ ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งโซฟาข้างๆ ผม

     “หนึ่งไม่เคยรู้ว่าเฮียเป็นขนาดนี้” มันว่าคล้ายจะขำนิดหน่อยแต่มือกลับเกาต้นคอราวกับรู้สึกประหม่า “นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก”

     เจอคำพูดเช่นนี้แล้วเล่นเอาผมอยากงอแงใส่อีกฝ่ายเหลือเกิน

     ผมเงียบ ไม่ได้ตอบคำใด จริงอย่างที่หนึ่งพูดว่าเราตกลงกันแล้ว ทุกครั้งที่หนึ่งโผล่หน้ามาที่ห้องนี้มักจะเป็นวันศุกร์ มันจะอยู่กับผมจนถึงเย็นวันอาทิตย์ถึงเดินทางกลับไปห้องรกๆ ของมันกับพี่รหัส ถึงคุยกันแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะยืดเวลาที่เราอยู่กันสองคนไปอีกสักหน่อยทั้งที่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่าปกติแท้ๆ

     “เฮียป้อง...” เมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรนานเข้ามันก็เรียกชื่อผมเสียงยานคาง

     ผมถอนหายใจ “เออ กูรู้แล้ว”

     “ดีมาก” หนึ่งยิ้มกริ่ม คล้ายว่านานวันบทบาทเราจะสลับกันชอบกล

     ผมปล่อยให้หนึ่งเข้าไปหยิบข้าวของเล็กๆ น้อยๆ กลับหอที่มันใช้พักอยู่อย่างจริงจังก่อนที่จะขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่หอนู้น ซึ่งใกล้กับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมันมากกว่า หนึ่งให้ผมขึ้นไปส่งถึงในห้อง เปิดประตูไปแล้วเหนื่อยใจชอบกล ทั้งๆ ที่ห้องมันขนาดพอๆ กับคอนโดของผม แต่สภาพกลับรกเสียจนดูไม่ได้

     “อ้าวเฮีย มาส่งหนึ่งอีกละเหรอ” พี่รหัสหนึ่งที่ถอดเสื้อเล่นมือถืออยู่บนเตียงโงหัวขึ้นมาทันควัน “เข้ามานั่งก่อนไหมเฮีย”

     ...นี่มันคิดจะให้ผมไปนั่งตรงไหน

     อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอดสภาพห้องของมันในใจ ห้องของหนึ่งกับพี่รหัสมันรกมากทั้งที่เป็นห้องขนาดกว้างพอตัวและไม่แบ่งโซน แต่ข้าวของในการเรียนของมันอยู่ทางหนึ่ง อุปกรณ์ต่างๆ กองอยู่บนพื้น ยังไม่นับเศษซากกระดาษที่ถูกตัดทั้งหลายแหล่นั่นอีก

     “ไม่เป็นไร” ผมตอบปฏิเสธ “เดี๋ยวกลับแล้ว”

     “ขอบใจมากเฮีย”

     ผมพยักหน้า แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นที่เกือบจะเป็นการสอดรู้สอดเห็นของพี่รหัสไอ้หนึ่งไปเสีย แล้วขอตัวกลับเลย ตอนเดินออกมาได้ยินหนึ่งโวยวาย จับศัพท์ได้ไม่มากที่รู้ว่ามีคำว่า ‘อย่าแซว’ อยู่ในนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเต้ยพูดอะไรไป

     ผมเดินลงมาจนถึงข้างล่าง กำลังจะสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับกลับหอตัวเองแล้วจู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่น

     ‘แม่’

      ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ตัดสินใจรับสายทันที “ว่าไงครับแม่”

     “จ้ะพ่อคุณ” แม่พูดจาน้ำเสียงประชดประชันตั้งแต่คำแรกกันเลยทีเดียว “จะกลับมาบ้านบ้างไหมเนี่ย เดี๋ยวนี้ไม่ยอมโผล่หน้ามาเลยนะ ติดแฟนหรือยังไง”

     ผมหุบปากฉับ สาเหตุที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านเป็นเพราะหนึ่งมานอนที่คอนโดวันเสาร์ – อาทิตย์ และผมไม่อยากจะให้ใครมาทำลายช่วงเวลาเหล่านั้นเท่าไหร่

     “ช่างเถอะ” แม่พูดเองเออเองเสร็จสรรพ “กานดาโทรมาบอกว่าวันหยุดอาทิตย์หน้าที่จะไปกระบี่ บ้านนู้นจะไปด้วยนะ”

     ผมเงียบไปนิดหน่อย “งั้นหรือครับ”

     “ก็ใช่น่ะสิ วันไหนเจอน้องก็บอกด้วยนะ ไม่รู้ว่าน้องรู้หรือยัง”

     “ที่โทรมามีเรื่องแค่นี้เหรอครับ” ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้

     “เปล่าย่ะ โทรมาเตือนเฉยๆ ว่าต้องกลับบ้านบ้าง ไม่กลับมากี่สัปดาห์แล้วล่ะ!” แม่แหวใส่ผมเสียงดัง “แถมยังไม่ค่อยโทรมาคุยกับแม่อีกนะ”

     ผมเอ่ยปากขอโทษอีกสองสามคำ บอกว่าเดี๋ยวจะขับมอเตอร์ไซค์ ถ้ากลับถึงหอแล้วจะโทรไปคุยด้วย สัญญามั่นเหมาะอีกไม่นานแล้วจึงกดวางสาย

     มันไม่ดีนัก แต่ตอนกดวางสาย ผมเผลอถอนหายใจออกมา ต้องยอมรับว่าผมไม่พร้อมที่จะเจอน้ากานดากับแม่ตัวเองพร้อมๆ กับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย

   ...เราจะปิดบังพวกท่านได้จริงๆ น่ะหรือ?



-------------------------------
ขอยอมรับทุกข้อกล่าวหาค่ะ

ขออภัยมากที่ช้าขนาดนี้ค่ะ
ทั้งปิดรูปเล่มนิยาย ทั้งเรื่องสุนัขที่เลี้ยงมาสิบกว่าปีเสียไป
ยอมรับว่าเป๋ไปเหมือนกัน

ต้องขอบคุณทุกคนที่รอก่อนนะคะ :กอด1:
เจอกันในแท็ก #ขอให้ไม่ใช่รัก ค่ะ

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
หมาที่เลี้ยงมาเจ็ดปีก็เพิ่งเสียค่ะ เราเข้าใจ ฮือ คนเขียนสู้ๆนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด