▼ツ▼หนุ่มเขี้ยวเปรี้ยวใจ ☂ My Canine Loverตอนที่ 8 อย่าจับแขนแฟนผม
"จ. - ความจริงลื้อไม่ต้องมาก็ได้นะอาเป็ง อั๊วกับพี่ชายลื้อแก้ปัญหาให้ลื้อแล้ว ขืนรอลื้อก็เจ๊งกันพอดี"
เดินเข้าบ้านมายังไม่ถึงสามก้าว เตี่ยผมก็ล้งเล้งใส่ผมเป็นภาษาจีนทันที ผมจึงหยุดกึกอยู่กลางบ้าน
คราวที่แล้วได้พี่ชายกับม๊าช่วยห้ามทัพไว้ให้ สงบศึกกันไปได้หลายเดือน แต่ดูท่าว่าจะเริ่มอีกแล้ว
"จ. - ลูกชายอากิมอีจะลาออกจากงานแล้วมาช่วยเป็นลูกมือให้ อั๊วไปคุยกับอีมาแล้ว
พออีทำเป็นหมดทุกอย่าง อั๊วก็จะให้อากิมพักผ่อน ให้ลูกชายอีทำแทน ลูกชายอีเป็นคนขยัน หัวไว
สอนไม่นานก็เป็น ที่สำคัญ อีเป็นคนไว้ใจได้ ฝีมือทำอาหารของอีก็พอใช้ได้อยู่"
สีหน้าดุของเตี่ยทำให้ผู้เป็นแม่ที่เดินมาพร้อมกับลูกชายต้องออกโรงปกป้องอีกตามเคย
"จ. - อาเฮียก้อ อาเป็งอีเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ให้อีพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนสิอาเฮีย ไป...อาเป็ง
ลื้อขึ้นไปพักผ่อนบนห้องของลื้อก่อน เดี๋ยวถึงเวลาอาหารเย็นแล้วหม่าม๊าจะให้คนไปตาม"
ตั้งแต่ผมกลับมาจากอเมริกาและหันมาทำอาชีพอบรมเรื่องการสื่อสารอย่างสันติ เตี่ยก็ไม่ชอบใจนัก
แกเรียกงานที่ผมทำว่า "งานบ้าๆ บอๆ" จึงพยายามตะล่อมให้ผมเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น
แต่ผมก็ยังดื้อตาใสเหมือนไม่เข้าใจ เคยทะเลาะกันเรื่องนี้มาสองสามครั้งแล้ว แต่ผมก็ตีมึนตลอด
"จ. - ไปสิอาเป็ง" ม๊าเตือนผมอีกรอบ แต่พอม๊ารุนหลังให้ผมขึ้นไปบนห้อง เตี่ยผมก็รีบชิงพูดขึ้นก่อน
"จ. - อั๊วบอกลื้อกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าไปทำอาชีพอย่างงั้น ได้เงินนิดๆ หน่อยๆ ลื้อจะทำให้เหนื่อยทำไม
ถ้าลื้ออยากอยู่กรุงเทพ ไม่อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน ลื้อก็เปิดร้านทำธุรกิจอะไรก็ได้ เดี๋ยวอั๊วลงทุนให้
ทำไมไม่รู้จักฟังกันเลยห๊ะอาเป็ง วันหนึ่งลื้อก็จะรู้ว่ามันเหนื่อยเปล่า คนจีนอย่างเราไม่ควรขายแรง
เราควรจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ไปรับจ้างเขาอย่างงั้น ลื้อรู้ไหม..ถ้าลื้อเชื่ออั๊วนะอาเป็ง
อั๊วจะยอมให้ลื้อทำอะไรก็ได้ที่ลื้ออยากทำ ลื้ออยากมีแฟนไม่มีแฟน อยากแต่งงานไม่อยากแต่งงาน
อั๊วก็จะไม่ว่าอะไรลื้อเลย ลื้อจะแต่งกับใครอั๊วก็ไม่ว่า"
ที่บ้านผมรู้เรื่องที่ผมไม่ยอมมีแฟนมาเป็นสิบๆ ปีเป็นอย่างดี แน่นอนว่าย่อมถูกสงสัยว่าผิดปกติ
คนในบ้านจึงสงสัยกันใหญ่ว่าผมเป็เกย์หรือเปล่า ผมทำได้แค่ตอบว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่คำให้บรรดาคนที่สงสัยหายสงสัยได้
"จ. - จริงเหรอครับเตี่ย เตี่ยจะให้อั๊วทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ"
ปกติผมมักจะเลี่ยงพูดคุยกับเตี่ยเรื่องนี้ แต่พอได้ยินว่าเตี่ยจะให้ผมทำอะไรก็ได้ หูผมก็ผึ่งทันที
"จ. - อั๊วเป็นเตี่ยลื้อนะอาเป็ง ลื้อคิดว่าอั๊วจะพูดเล่นๆ กับลื้องั้นเหรอ"
พ่อผมตอบเสียงดุกลับมา แต่สีหน้าก็ดูอ่อนลงไปพอสมควร ปกติเตี่ยผมไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ หรอก
เป็นผู้นำครอบครัวที่ลูกๆ อยากอยู่ใกล้มากกว่าอยู่ห่าง ผมเองยังคุยกับเตี่ยบ่อยกว่าม๊าอีก
"จ. - จริงนะครับเตี่ย" ผมขอคำยืนยันอีกครั้ง ยิ้มตาโตอย่างดีใจ
เตี่ยกับม๊ามองหน้ากันงงๆ สักพักก็หันมามองผมพร้อมกัน คงสงสัยว่าผมกำลังดีใจเรื่องอะไร
"จ. - ลื้อเป็นอะไรของลื้อน่ะอาเป็ง"
"จ. - เปล่าครับเตี่ย" ผมรีบบอกไป แล้วก็หันไปมองไปรอบๆ บ้าน "จ. - เฮียปิงยังไม่กลับอีกเหรอครับ"
"จ. - ยัง ดึกๆ นั่นแหละถึงจะกลับ อีพาแฟนของอีไปเที่ยวในเมือง"
พอถามถึงลูกชายคนโต ม๊าของผมก็ยิ้มมีความสุข แสดงคงถูกใจว่าที่ลูกสะใภ้ไม่น้อย
ผมพยักหน้ารับรู้พร้อมกับรู้สึกแปลกใจไปด้วย แต่พอรู้ว่าพี่ชายมีแฟนแล้วก็โล่งใจไปอีกโข
ความกดดันที่ครอบครัวมีต่อผมก็จะพลอยลดลงไปด้วย
"จ. - อีกไม่นานอาปิงอีก็จะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว เมื่อไหร่ลื้อจะคิดเรื่องนี้สักทีล่ะอาเป็ง"
ผมหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อโดนเตี่ยทวงทั้งๆ ที่เพิ่งสัญญาว่าจะให้ผมทำอะไรก็ได้ไปหยกๆ
"จ. - อะไรกันครับเตี่ย เตี่ยสัญญาแล้วนะว่าจะให้อั๊วทำอะไรก็ได้ แล้วอีกอย่าง...ถ้าอั๊วจะมีแฟน
เตี่ยกับม๊าไม่ต้องห่วงหรอก อั๊วไม่ทำให้เตี่ยกับม๊าผิดหวังแน่นอน"
เตี่ยผมขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ แล้วก็ย่างเท้าเข้ามามายืนใกล้ๆ ผม
"จ. - ลื้อพูดอย่างงี้หมายความว่าไงวะอาเป็ง อย่าบอกนะว่าลื้อมีแฟนแล้ว"
เตี่ยจ้องผมเขม็ง แต่ผมกลับรู้สึกว่าหน้าตาท่าทางที่พยายามทำให้ดูดุกลับดูตลกจนผมเกือบหลุดหัวเราะ
ปกติเตี่ยผมเป็นคนตลก เป็นคนเดียวในบ้านที่เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างได้มากกว่าใครๆ
แต่บทจะดุก็เอาเรื่องเหมือนกัน เหมือนอย่างวันนี้ที่ผมเพิ่งกลับมาถึงบ้านก็โดนซะแล้ว
กระนั้น เตี่ยผมก็มักเป็นคนที่หายโกรธไว อารมณ์แจ่มใสมากกว่าอารมณ์เสีย ชอบหัวเราะสนุกสนาน
"จ. - จริงเหรออาเป็ง" ม๊าผมก็พลอยสงสัยไปด้วย ทั้งสองคนจ้องหน้าผมเขม็งด้วยความอยากรู้
ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี บรรยากาศที่ดูตึงเครียดเมื่อกี้เปลี่ยนไปจนผมเองก็ยังงงๆ
"จ. - แล้วแฟนลื้อ...เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายวะอาเป็ง"
"จ. - ทำไมลื้อถามอย่างงั้นล่ะอาเฮีย" ม๊าหันไปดุเตี่ย ท่าทางดูจะตกใจกับคำถามของเตี่ยไม่น้อย
"จ. - เอ๊...ลื้อก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าอาเป็งอีไม่จีบผู้หญิง แล้วอีก็ไม่มีแฟนมาเป็นสิบปี อั๊วน่ะทำใจมาตั้งนานแล้ว
อย่าบอกนะว่าลื้อน่ะยังทำใจไม่ได้" เตี่ยผมทำเสียงดุใส่ม๊าคืนบ้าง
ผมแทบจะอ้าปากค้าง ไม่เคยคิดเลยว่าเตี่ยยอมรับเรื่องนี้ได้ ผมนึกว่าถ้าเตี่ยรู้แล้วจะเกิดปัญหาใหญ่ซะอีก
เตี่ยยกมือขึ้นตบไหล่ผมเบาๆ สองสามครั้งพร้อมกับยิ้มอย่างอบอุ่น
"จ. - อั๊วไม่ว่าลื้อหรอกนะอาเป็ง อั๊วขออย่างเดียว ลื้อหาอาชีพทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวซะทีเถอะ
ไม่ทำร้านอาหารก็ไม่เป็นไร ให้พี่ชายลื้อทำไป แล้วถ้าแฟนลื้อเป็นคนดี ขยัน ช่วยกันทำมาหากินได้
อีจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายอั๊วก็ไม่ขัดข้องหรอก อั๊วขอแค่ให้ลื้อทำธุรกิจอะไรสักอย่างก็พอแล้ว"
"จ. - ได้ครับเตี่ยๆ"
ผมรับคำละล่ำละลักทั้งๆ ที่คอยเลี่ยงเรื่องนี้มาตลอด ถ้ามีข้อเสนอดีๆ แบบนี้ผมคงยอมไปนานแล้ว
ใบหน้าของคานินลอยเข้ามาในความคิดของผม ถ้าเราสองคนทำธุรกิจด้วยกันที่กรุงเทพคงจะดีไม่น้อย
คานินจะได้ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟนั่นให้เสียสุขภาพจิต เราสองคนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นด้วย
"จ. - อาเป็ง ตกลงแฟนลื้อเป็นผู้ชายจริงๆ เหรอ" ม๊าคาดคั้นค่าที่อยากรู้คำตอบให้แน่ชัด
ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับอย่างช้าๆ "จ. - ครับม๊า"
"จ. - อาเป็ง...ลื้อไม่ได้ล้ออั๊วเล่นใช่ไหม"
ดูเหมือนม๊าจะตกใจอยู่คนเดียว ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นม๊าของผมหรือเปล่าที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้
ที่ผ่านมาม๊ามักแก้ตัวแทนผมบ่อยๆ ว่าผมยังเด็ก ยังไม่คิดเรื่องมีแฟน ใครถามม๊าก็มักบอกอย่างนี้เสมอ
ผมเคยเข้าใจว่าม๊าอาจเป็นคนแรกที่ทำใจได้ก่อนเตี่ยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว
"จ. - ลื้อนี่ยังไง ก็อีเป็นแบบนี้แล้วลื้อจะให้อีทำไง ไปๆ อาเป็ง ลื้อขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อน
เดี๋ยวอั๊วจัดการม๊าของลื้อเอง"
การณ์กลับกลายเป็นว่าเตี่ยเป็นคนรุนหลังให้ผมขึ้นไปอาบน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับม๊าผมซะเอง
ผมจึงรีบเดินขึ้นบ้านไปอย่างงงๆ แต่ก็เชื่อว่าเตี่ยผมน่าจะสามารถจัดการพูดให้ม๊าเข้าใจได้ไม่ยาก
ห้องนอนของผมถูกจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างดีแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้มานอนที่นี่เท่าไหร่
กระเป๋าเดินทางของผมก็ถูกนำมาวางไว้ในห้องแล้วโดยคนงานในบ้าน ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
ความจริงอยู่บ้านก็สบายดีอยู่หรอก แต่ผมก็ยังมีสิ่งที่ท้าท้ายและอยากทำให้สำเร็จที่กรุงเทพ
ก็เลยไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านหลังจากที่เรียนจบ
ร้านอาหารสองร้านที่เตี่ยตั้งใจจะแบ่งให้ผมกับพี่ชายคนละร้านผมก็ไม่ได้มาดูแลเท่าไหร่
สุดท้ายเตี่ยก็เลยช่วยดูแลร้านที่เป็นของผมไปก่อน ส่วนอีกร้านก็ให้พี่ชายผมดูแลเต็มตัวไปเลย
แต่ผมก็ไม่ถึงกับไม่สนใจใยดีขนาดนั้น เพราะรายได้ของผมส่วนใหญ่ก็มาจากร้านอาหารนี่แหละ
จะว่าไปก็เยอะกว่ารายได้จากงานอบรมของผมหลายเท่า ผมจึงต้องกลับมาดูแลบ้างเป็นครั้งคราว
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วก็กดโทรหาพี่ชาย กะว่าจะแซวเล่นซะหน่อย
"เฮียปิง อั๊วถึงบ้านแล้วนะ ไม่เจอเฮียเลย" ผมกรอกเสียงลงไปเมื่ออีกฝ่ายรับสาย
"อ้อ เฮียออกมาข้างนอก อยู่ที่ไร่ชาฉุยฟง เป็งมาถึงนานหรือยัง"
ปกติผมกับพี่ชายคุยกันเป็นภาษาไทย เดี๋ยวนี้ลูกคนจีนส่วนมากไม่ค่อยพูดภาษาจีนกันแล้ว
พวกเราเรียนกับคนไทย ใช้ชีวิตกับเพื่อนคนไทย ก็เลยถูกกลืนไปโดยปริยาย
ถึงกระนั้น คนจีนที่ดอยแม่สะลองก็ยังคงรักษาการพูดภาษาจีนไว้ได้ค่อนข้างดี
ที่นี่ยังมีชุมชนคนจีนที่ใช้ชีวิตคล้ายจีนแท้ๆ อยู่มาก บางคนอยู่มานานแต่ยังคุยกับคนไทยไม่รู้เรื่องเลย
"เพิ่งถึงนี่แหละครับ เฮียไปกับแฟนเหรอ"
"รู้ได้ไง ม๊าบอกเหรอ"
"ใช่ แล้วเฮียจะเขินไปทำไม มีแฟนแล้วก็ไม่ยอมบอกกันเลยนะเฮีย เก็บเงียบเชียว"
ผมหยอกเย้าอย่างสนุก พี่ชายผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา วันๆ ก็อยู่แต่ในครัว ไม่ค่อยไปไหน
ที่ผมไม่อยากกลับมาทำธุระกิจที่บ้านก็เพราะอย่างนี้แหละ ถึงจะมีเงิน แต่ก็ไม่มีเวลาไปใช้เงิน
รู้จักแต่เรื่องทำมาหากิน แต่ไม่รู้เรื่องอื่นๆ คงจะมีแค่ผมกับน้องสาวเท่านั้นที่ได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก
แล้วก็ดูท่าว่าจะไม่อยากกลับมาสานต่อธุรกิจของที่บ้านด้วยกันทั้งคู่เลย จนเตี่ยกับม้าระอาใจพอๆ กัน
"อั๊วไม่มีเวลาว่างเยอะขนาดนั้นนี่หว่า แล้วคราวนี้จะมาอยู่กี่วัน"
พี่ชายผมพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงแฟน ผมก็เลยหัวเราะอย่างรู้ทัน
"ตอนแรกกะว่าจะมาอยู่จนกว่าจะแก้ปัญหาเสร็จนั่นแหละ แต่เมื่อกี้เตี่ยบอกว่าแก้ปัญหาให้แล้ว
อั๊วก็เลยว่าจะอยู่อีกสักสองสามวันแล้วค่อยกลับ"
"อืม...ก็ดี มาอยู่กับเตี่ยกับม๊ามั่ง พี่น้องเราไม่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนานแล้ว ปองนี่ก็อีกคน
ไปเรียนเมืองนอกก็ไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านหรอก นี่ปองไปกี่ปีแล้วเนี่ย"
พี่ชายผมถือโอกาสบ่นซะหน่อย ส่วนปองก็คือน้องสาวคนสุดท้องของเรา ตอนนี้เรียนอยู่ที่อเมริกา
"สองปีแล้ว" ผมบอก "แล้วแฟนเฮียเป็นใครล่ะ คบกันมานานหรือยัง สวยเปล่า" ผมวกกลับมาเรื่องเดิม
"ก็...หลานสาวอาเหม่เกว่ไง"
"อ๋อ...คนที่ขายเนื้อหมูรมควันตรงใกล้ๆ แยกนั่นน่ะเหรอ"
"ใช่"
ผมเคยเจอผู้หญิงคนนี้ตอนเด็กๆ แต่พอไปเรียนที่กรุงเทพและอเมริกาก็ไม่ได้เจออีกเลย
ที่ผมจำได้เพราะผมชอบไปซื้อเนื้อหมูรมควันที่ร้านนี้มากินบ่อยๆ สมัยที่ยังเรียนประถมที่นี่
นึกแล้วก็ว่าจะแวะไปอุดหนุนก่อนกลับซะหน่อย
"ดีแล้วเฮีย เขาน่าจะเป็นคนขยันนะ ถึงว่าเตี่ยกับม๊าถึงได้ชอบ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยตอนพูดถึง
อ้อ...อั๊วก็มีเรื่องอยากจะบอกเฮียเหมือนกัน เฮียพอมีเวลาคุยหรือเปล่า อั๊วรบกวนไหม"
"ว่ามา คุยได้ๆ"
พอพี่ชายเปิดทางให้ผมก็ยิ้มร่า
"คืองี้ครับเฮีย เมื่อกี้เตี่ยบอกอั๊วว่าถ้าอั๊วทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่กรุงเทพ เตี่ยจะไม่บังคับอั๊ว
อั๊วจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนก็ได้ จะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ได้ จะแต่งกับใครก็ได้ แล้วแต่อั๊ว
จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ อั๊วก็เลย..."
"เป็งมีแฟนแล้วเหรอ" น้ำเสียงถามมาอย่างแปลกใจระคนตื่นเต้น
"ครับเฮีย" ผมยอมรับตามตรง
"ห๊า! จริงเหรอเป็ง โห...ดีใจด้วยว่ะไอ้น้องชาย ขายออกกับเขาซะที ที่บ้านนึกว่าเป็นเกย์กันหมดแล้ว"
พี่ชายผมพูดซะเสียงดัง คงจะดีใจมากที่น้องชายขายออกแล้ว แต่ผมกลับหน้าเสียเพราะประโยคหลัง
"แล้วถ้าผมเป็นเกย์ล่ะเฮีย"
ทุกอย่างเงียบกริบทันใด ได้ยินแต่เสียงคนคุยกันและเสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังอยู่ไกลๆ
เข้าใจว่าน่าจะเป็นเสียงคนกินอาหาร เฮียของผมคงช็อกไปแล้วแน่ๆ เลย
"อะไรนะอาเป็ง ลื้อกำลังจะบอกอะไรอั๊ว"
น้ำเสียงแข็งๆ อย่างนี้ดูท่าจะไม่ได้การเสียแล้ว ผมคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่
"เอางี้ละกันครับเฮีย เดี๋ยวเฮียกลับบ้านแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า"
ความจริงผมก็แค่อยากอวดพี่ชายว่าผมก็มีแฟนเหมือนกันเท่านั้น แต่เอาเถอะ
ยังไงๆ ผมก็มั่นใจว่าพี่ชายจะฟังผม เราเติบโตมาด้วยกัน สนิทกันมาก คุยกันได้ทุกเรื่อง
แม้ว่าหลังๆ จะไม่ค่อยได้คุยกันบ่อย แต่ผมก็ยังเชื่อว่าผมสามารถคุยเปิดใจกับพี่ชายได้เสมอ
มันน่าแปลกไหมล่ะที่มีแต่เตี่ยเท่านั้นที่ดูจะเข้าใจผมมากกว่าใครๆ!?
คิดไปคิดมา ผมก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเตี่ยถึงได้เข้าใจผมง่ายดายอย่างนี้
ปกติคนเป็นพ่อมักจะไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ง่ายๆ แต่เตี่ยผมกลับเป็นในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ทุกอย่างคงมีเหตุผลของมัน คิดเองคงไม่ได้คำตอบ ถ้าอยากรู้ก็คงต้องถามเตี่ยเอาเอง
การปรากฎตัวของผมอย่างไม่คาดฝันทำให้บาริสต้าหนุ่มเขี้ยวทำหน้ายังกับโดนผีหลอก
สักพักก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แม้ว่าจะพยายามเก็บอาการแต่ก็ดูจะปิดความดีใจไม่มิด
แม้ไม่ถึงกับลิงโลด แต่รอยยิ้มที่เผยให้เห็นเขี้ยวเสน่ห์นั้นบ่งบอกความดีใจข้างในได้ดีทีเดียว
"รับอะไรดีครับ"
"เหมือนเดิม ไปเสิร์ฟที่โต๊ะด้วยนะครับ" ผมบอกพร้อมกับยิ้มและจ้องตาคนขายจนเขินไปเลย
"ครับ"
พอจ่ายเงินแล้วผมจึงเดินหาโต๊ะว่างๆ นั่ง ช่วงเช้าหาได้ไม่ยากนักเพราะคนยังไม่ค่อยออกมา
ถ้าบ่ายไปแล้วจะหายากหน่อย
ผมนั่งรออยู่ไม่ถึงสิบนาที หนุ่มบาริสตาเขี้ยวเสน่ห์ก็เดินถือถาดอาหารตรงมายังโต๊ะของผม
มาถึงก็จัดแจงวางอาหารที่ผมสั่งลงบนโต๊ะให้ ทำท่าทางเหมือนคนไม่รู้จักกันยังไงยังงั้น
แต่ผมก็พอเข้าใจว่าพนักงานไม่ควรทำตัวสนิทสนมกับลูกค้าคนใดคนหนึ่งมากเกินไป
"คิดถึงผมหรือเปล่า"
คานินถือจานแซนด์วิชแฮมชีสสไตล์ฝรั่งเศสค้างไว้ หันมองซ้ายขวา พอเห็นว่าไม่มีใครมองก็พยักหน้า
รอยยิ้มที่ระบายออกมาเพียงเล็กน้อยจากริมฝีปากได้รูปช่างเย้ายวนใจผมเสียจริงๆ
"ทำไมกลับมาก่อนล่ะครับ ไม่เห็นโทรมาบอกเลย" คานินถามแล้วก็วางจานแซนด์วิชลงบนโต๊ะผม
"ก็อยากให้เซอร์ไพรส์ไง แล้วคืนนี้ว่างหรือเปล่า ไปไหนไหม"
"ไม่ว่างครับ"
คานินตอบมาแทบจะทันที ผมชะงักมองพร้อมกับขมวดคิ้ว
"วันนี้มีงานวันเกิดเพื่อนที่ทำงานครับ"
ผมค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย ตอนแรกนึกว่าคานินมีนัดกับคนอื่นแล้วเสียอีก
"แล้วจะไปกี่โมง"
"สามทุ่มครับ"
"ผมไปด้วยคนได้ไหม"
คานินทำท่าทางครุ่นคิดแต่ก็ยังไม่ตอบ
"ให้ผมไปส่งก็ได้ แล้วผมก็จะอยู่รอรับกลับด้วย ดึกก็ไม่เป็นไรหรอก ผมรอได้ ผมอยากอยู่กับคานิน
คานินไม่อยากอยู่กับผมเหรอ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้วนะ ผมคิดถึงคานิน ให้ผมไปด้วยนะ"
ผมใส่ลูกอ้อนเข้าไปสุดฤทธิ์ คะยั้นคะยอเข้าไปสุดเดช ไม่ได้อยู่ด้วยกันคืนนี้ก็ให้มันรู้ไป
คานินพยักหน้าตกลงอย่างช้าๆ เท่านี้ผมก็พอยิ้มออกแล้ว
"งั้นสามทุ่มผมจะมารอที่หน้าร้านนะ"
บอกแล้วผมก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหนุ่มเขี้ยวเสน่ห์ เจ้าตัวคงจะเขินเลยเสหลบตา
"ครับ" คานินรับคำ
จากนั้นผมจึงปล่อยให้คานินกลับไปทำงานตามเดิม เพราะขืนคุยกับผมนานๆ คงโดนเพ่งเล็งเป็นแน่
แต่ถึงกระนั้น ผมก็นั่งกินไปมองบาริสตาคนน่ารักของผมไปด้วย แม้จะไม่ขาวและไม่ดูหล่อมาก
แต่องค์ประกอบโดยรวมก็ทำให้คานินดูน่ารักและมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
เขาเรียกว่า "พรหมลิขิต" หรือเปล่าหนอที่ทำให้ผมได้มาเจอกับคานิน
โชคดีที่คนในครอบครัวผมบางคนเริ่มเข้าใจแล้ว การสานต่อความสัมพันธ์ของผมกับคานินคงง่ายขึ้น
ก่อนกลับผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับเตี่ยสองคน ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเตี่ยถึงไม่รังเกียจเกย์
เตี่ยเล่าให้ฟังว่าน้องชายของเตี่ยที่เสียชีวิตไปนานแล้วเป็นเกย์ ผมตกใจมากทีเดียวที่ได้รู้
อากงกับอาม่าของผมรับเรื่องนี้ไม่ได้ จึงหาทางกดดันอากู๋ของผมต่างๆ นาๆ ให้มีแฟนเป็นผู้หญิง
แต่อากู๋ก็ไม่ยอม จึงถูกอากงอาม่าด่าทอ ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมรับ ถูกรังเกียจเดียดฉันท์
เหลือแต่เตี่ยผมที่คอยให้กำลังใจ ให้
วันหนึ่งอากู๋ของผมก็ผูกคอตายในห้องนอน เตี่ยของผมเสียใจมากเพราะรักน้องชายคนนี้มาก
แทบจะเรียกได้ว่าช่วยเลี้ยงดูแทนอากงอาม่าเลย
เรื่องของอากู๋สุดท้องของผมจึงกลายเป็นเรื่องเล่าขานในหมู่ญาติพี่น้อง แต่ก็ไม่มีใครบอกสาเหตุที่แท้จริง
ผมจึงรับรู้แค่ว่าอากู๋ผูกคอตายเพราะน้อยใจที่อากงกับอาม่ารักน้อยกว่าคนอื่นๆ เท่านั้น
เพราะอย่างนี้นี่เอง พอเห็นผมไม่ยอมมีแฟน เตี่ยจึงดูเหมือนเป็นคนเดียวในบ้านที่กดดันผมน้อยที่สุด
เพราะว่าเตี่ยคงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยอีกครั้ง
ก็เหลือแค่ม๊ากับพี่ชายของผมนี่แหละ แต่ถ้าเตี่ยโอเคแล้วผมก็รู้ว่าคนอื่นๆ ไม่กล้าขัดแน่นอน
ถ้าพูดเรื่องเป็นเกย์ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า ผมยังไม่คิดถึงขนาดนั้น
ที่ผมรับความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นกับคานินได้ไวเป็นเพราะผมเคยอยู่ในประเทศเสรีอย่างอเมริกามาก่อน
เพื่อนๆ ของผมล้วนแล้วแต่มีหัวคิดสมัยใหม่ รับเรื่องอย่างนี้ได้มากกว่าคนรุ่นก่อน
ผมก็เลยซึมซับความคิดนี้มาด้วย
พอใกล้ถึงเวลานัดหมาย ผมก็ขับรถออกจากคอนโดมารอคานินตรงริมฟุตบาทหน้าร้าน
รอไม่นานก็เห็นคานินวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากร้านตรงมาที่รถผม
"ขอโทษทีครับ ช้าหน่อย"
คานินบอกขณะที่เปิดประตูเข้ามานั่งในรถ ท่าทางดูเหนื่อยมากทีเดียว เห็นแล้วผมก็ชักสงสาร
ผมส่งยิ้มให้เผื่อว่าจะช่วยให้คนที่เพิ่งมานั่งลงข้างๆ มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
"เช็ดหน้าก่อน จะได้สดชื่น"
ผมบอกพลางส่งผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กที่ชุบน้ำอุ่นและบิดหมาดๆ ให้คานิน ผ้าผืนนี้ผมเตรียมให้อย่างดี
ใส่น้ำหอมกลิ่นสดชื่นๆ มาให้ด้วย รับรองว่าเช็ดแล้วสดชื่นแน่นอน
"ขอบคุณครับ"
คานินรับไปแล้วก็ลงมือเช็ดหน้าเช็ดตา จังหวะนั้นเจ้าสี่ล้อคันงามก็เคลื่อนที่ออกไปด้วยฝีมือของผม
"หอมจังเลยครับ"
ผมหันไปยิ้มกับคานินที่สูดดมกลิ่นจากผ้าผืนนั้นอย่างมีความสุข
"น้ำหอมกลิ่นนี้ ผมเลือกเป็นพิเศษให้คานินเลยนะ สดชื่นดีไหม"
คานินหันมายิ้มและพยักหน้า
"คืนนี้คานินมานอนกับผมที่คอนโดนะ แล้วตอนเช้าค่อยไปขายหมูปิ้งด้วยกัน ผมจะได้ไปหาวินด้วย
ซื้อของมาฝากวินกับแนนเยอะแยะเลย"
"พรุ่งนี้ผมไม่ได้ขายครับคุณเป็ง" คานินเช็ดมือแล้วก็วางผ้าลงข้างๆ ตัว
"ทำไมล่ะ" ผมถามอย่างแปลกใจ
"พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ไงครับ ผมไม่ขายวันอาทิตย์เพราะว่าคนไม่ออกไปทำงานตอนเช้าไง"
"อ๋อ...เข้าใจละ"
"พรุ่งนี้ผมหยุดนะครับ พอดีเพื่อนที่ทำงานขอสลับวันหยุดกับผม"
"จริงเหรอ งั้นดีเลย เราไปเที่ยวกันนะคานิน พาแนนกับวินไปด้วย อ้อ เดี๋ยวผมจะชวนเพื่อนไปด้วยคนหนึ่ง
ไปหลายๆ คนจะได้สนุก แล้ว...คานินรู้ไหมว่าแนนอยากไปที่ไหน"
"ห้างครับ เขาบอกว่าไม่ได้ไปเที่ยวห้างหลายเดือนแล้ว เขาอยากไปดูหนังแล้วก็ซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วย"
สีหน้าของคานินเวลาพูดถึงน้องสาวกับหลานดูเศร้าจนสังเกตเห็นได้ เป็นผมก็คงเศร้าเหมือนกัน
แนนคงเหงามากที่ถูกสามีทิ้ง แถมยังต้องรับภาระเลี้ยงลูกคนเดียวอีก ไปไหนก็ไม่ได้
"ไปห้างก็ดีเหมือนกัน มีทุกอย่าง จะได้ไม่ต้องไปหลายๆ ที่"
"ครับ" คานินรับคำ สีหน้าดูครุ่นคิดจนผมสงสัย แต่ก็ยังไม่อยากถามอะไรมากตอนนี้
บ้านที่จัดงานวันเกิดนั้นอยู่แถวๆ ดินแดงแต่เข้าทางถนนรัชดาภิเษก มีลักษณะเป็นบ้านไม้
อยู่ท่ามกลางตึกสูง คอนโดและอพาร์ทเมนท์หรูๆ ไม่น่าเชื่อว่าบ้านหลังนี้หลุดรอดจากการกว้านซื้อมาได้
เชื่อว่าคงมีนายทุนมาขอเจรจาซื้อบ้านหลังนี้เอาไปทำคอนโดหลายเจ้า แต่เจ้าของบ้านคงใจแข็งน่าดู
ผมจอดรถไว้ข้างทางในซอยแล้วก็พาคานินเดินไปที่บ้านของเพื่อนคานิน เสียงดนตรีดังมาแต่ไกลเลย
พอมาถึงก็พบว่าประตูหน้าบ้านเปิดไว้แล้ว สนามหน้าหญ้าหน้าบ้านถูกจัดเป็นสถานที่จัดเลี้ยงอาหาร
มีคนนั่งรายล้อมตามโต๊ะต่างๆ ราวๆ สิบกว่าคน ดึกแล้วจึงเริ่มกินเหล้ามากกว่ากินข้าว พอได้ที่ก็ชักเสียงดัง
พอเราก้าวเข้ามาในพื้นที่บ้านก็กลายเป็นเป้าสายตาในฐานะผู้มาใหม่ทันที เหลียวซ้ายแลขวาไม่นาน
เจ้าของงานวันเกิดก็เดินดุ่มๆ ออกมาหาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
"พี่คานิน เชิญเลยค่ะๆ"
พอเห็นหน้าแล้วผมก็จำเธอได้เพราะเจอที่ร้านกาแฟบ่อยๆ
"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับอัญ" คานินบอกพลางส่งกล่องของขวัญเล็กเท่าๆ กล่องนาฬิกาให้
"ขอบคุณมากค่ะพี่คานิน กินอะไรมาหรือยังคะ ไปนั่งด้วยกันดีกว่า" บอกพลางยิ้มระรื่น
อัญญาไม่ยื่นมือมารับของขวัญด้วยซ้ำ แต่คว้าข้อมือคานินแล้วก็ทำท่าเหมือนจะลากไปด้วย
แทบจะไม่สนใจเลยว่าคานินมากับใคร จนคานินต้องขืนตัวไว้แล้วรีบบอก
"อัญ...พี่พาคุณเป็งมาด้วย"
หญิงสาวที่คานินเรียกว่า "อัญ" หยุดแล้วหันมามองผม ผมมองดูมือเธอที่จับข้อมือของคานินไว้อย่างสนใจ
"อ้อ...งั้น...เชิญด้วยกันเลยค่ะ" อัญญาบอกพลางยิ้มให้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาพยาบาทของผมหรือเปล่า อัญญาปล่อยมือคานินออกเป็นอิสระอย่างเกรงๆ
ผมจึงได้เห็นสีหน้าของคานินที่ลดความกระอักกระอ่วนใจลงไปได้บ้าง
ผมส่งกล่องของขวัญที่เตรียมมาให้อัญญาตามธรรมเนียม จะได้ไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป
"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ครับ"
"ขอบคุณค่ะคุณเป็ง" อัญญารับกล่องของขวัญจากผมไปอย่างงงๆ
เห็นอัญญากับคานินแล้วผมก็ชักตะหงิดใจ ยิ่งเห็นสายตาของอัญญาที่มองคานินแล้วผมก็ยิ่งสงสัย
ท่าทางผมคงจะปล่อยคานินให้อยู่ห่างๆ ผมไม่ได้เสียแล้วคืนนี้!
TBC...ป.ล. จ. = พูดเป็นภาษาจีน