▼ツ▼หนุ่มเขี้ยวเปรี้ยวใจ ☂ My Canine Loverตอนที่ 1 ฝากร่มฝากรัก ผมนั่งจิบกาแฟไปพร้อมกับคอยมองดูคานินที่กำลังบริการลูกค้าที่เคาน์เตอร์ไปด้วยอย่างเพลินๆ ผู้ชายคนนี้ไม่หล่อมากหรอก ผิวไม่คล้ำแต่ไม่ขาว เวลายิ้มเห็นเขี้ยวแลดูน่ารัก ท่าทางที่คล่องแคล่วว่องไวและท่าทียิ้มแย้มแจ่มใสทำให้ผมเผลอคอยมองจนลืมตัว หัวใจผมแทบละลายทุกครั้งที่เจ้าตัวยิ้มแล้วเห็นเขี้ยวเสน่ห์
ความจริงชอบคนน่ารักคงไม่แปลกหรอก แต่มันแปลกที่คนน่ารักที่ผมแอบมองเป็นผู้ชายนี่แหละ ผมไม่เคยมีประวัติชอบผู้ชายมาก่อนเลย ไม่เคยอยู่ในความคิดแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ ดันมาหลงเสน่ห์ผู้ชายมีเขี้ยวซะแล้ว ถ้าเกิดเพื่อนๆ ผมรู้เข้าคงหัวเราะขบขันกันน่าดูเลย จะไม่น่าขำได้ยังไง เพราะสาวเขี้ยวเสน่ห์ในฝันของผมกลายเป็นขั้วตรงข้ามไปซะแล้ว ภาพสาวน้อยคนนั้นเมื่อหลายปีก่อนแทบจะหายไปจากภาพในความทรงจำของผมเลยก็ว่าได้ เหลือแต่เขี้ยวเสน่ห์ของนายคานินที่ผมเห็นอยู่ไม่ไกลนี่แหละที่เข้ามาแทนที่ได้เกือบสนิท
ผมละสายตาจากคานินแล้วใช้มีดตัดชิ้นขนมปังให้เป็นชิ้นขนาดพอดีคำแล้วส่งเข้าปาก กินไปสองสามคำจึงหันไปมองหาคานินอีก แต่คราวนี้เจ้าตัวไม่อยู่ที่เคาน์เตอร์แล้ว มีคนอื่นมาอยู่แทน
ผมชะเง้อหาสักพักจึงเลิกสนใจ หันกลับมากินกาแฟและขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสของโปรดของผมต่อ สักครู่ใหญ่ๆ ผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากโต๊ะข้างๆ คล้ายเสียงผู้หญิงที่คงไม่พอใจอะไรสักอย่าง
"ตาบอดหรือไง ก็เห็นอยู่ว่านั่งอยู่ตรงนี้ นี่ถุงใส่ขยะนะคะ ให้โดนตัวลูกค้าได้ยังไง ยี้"
"ผมขอโทษครับ"
"ฉันไม่รับคำขอโทษจากคนไร้การศึกษาแล้วก็ทำงานต่ำๆ อย่างงี้หรอก ผู้จัดการอยู่ไหน ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ไปเรียกผู้จัดการออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย"
เสียงด่าดังลั่นไปทั่วร้าน ใครๆ ต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน แม้กระทั่งผมยังอดอยากรู้ไม่ได้ พอหันไปดูจึงเห็นคานินหน้าซีดเหลือแค่สองนิ้ว ยืนถือถุงคล้ายถุงขยะอยู่ น่าจะกำลังเอาไปทิ้งพอดี
"ไปเรียกผู้จัดการมาสิยะ ยืนเซ่ออะไรอยู่ล่ะ"
เสียงตวาดแหวทำให้หนุ่มเขี้ยวเสน่ห์ของผมหน้าซีดด้วยความกลัวจนดูน่าสงสาร ตั้งแต่ผมมากินกาแฟที่ร้านนี้หลายปี ครั้งนี้เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าคนแต่งตัวดีและดูมีการศึกษากล้าด่าคนอื่นเสียๆ หายๆ ในที่สาธารณะด้วย
"ครับๆ เดี๋ยวผมไปเรียกผู้จัดการให้ครับ"
ก่อนคานินจะเดินเข้าไปตามผู้จัดการในร้านออกมาคุยกับผู้หญิงวัยกลางคนสองคนที่กำลังโวยวายอยู่ สายตาของเราบังเอิญมาเจอกัน แม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ผมทันได้เห็นแววตาที่น่าสงสารนั้น ผมยิ้มอ่อนโยนให้คานินอย่างเห็นใจ เจ้าตัวคงอายมากที่ถูกใครไม่รู้ด่าทอในที่สาธารณะเสียๆ หายๆ
ไม่นานผู้จัดการของร้านจึงเดินออกมาพบกับผู้หญิงสองคนนั้นด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
"อบรมพนักงานยังไงคะ ไม่มีมารยาท ไม่เป็นมืออาชีพเลย พวกเรานั่งทนโท่อยู่แท้ๆ ทำไมไม่รู้จักระวัง นั่นมันถุงขยะนะคะ ไม่ควรจะให้มาโดนตัวลูกค้า"
หญิงวัยกลางคนคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอกง่ายๆ ผู้จัดการหนุ่มจึงโดนด่าหน้าซีดไปด้วยอีกคน
"ทางเราต้องขอโทษจริงๆ ครับ พอดีน้องเขาเพิ่งมาใหม่"
"แล้วทางร้านไม่ได้อบรมพนักงานก่อนเหรอคะ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่น่าพลาดนะคะ ถ้าบริการแย่อย่างงี้ ต่อไปคงไม่มากินที่นี่อีกแล้วค่ะ..."
หญิงสองคนนั้นช่วยกันรุมด่าผู้จัดการหนุ่มอีกชุดใหญ่ ก่อนจะลุกออกไปจากร้านอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่นานร้านจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ผมไม่เห็นคานินแล้ว คงโดนผู้จัดการเทศนาอีกรอบแน่ๆ
คิดแล้วผมอดสงสารไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะร้ายแรงถึงขั้นให้ออกหรือจะมีผลต่อการผ่านโปรหรือเปล่า แต่จะว่าไป...ผมจะไปห่วงชีวิตคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จักทำไม เป็นใครยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมผมยังคิดถึงแววตาเศร้าๆ ของคานินเมื่อกี้อีกหนอ ป่านนี้คงขวัญกระเจิงไปแล้ว หวังว่าจะยังอยู่ให้ผมเห็นหน้าต่อไปนะคานิน เข้มแข็งเข้าไว้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ดื่มกาแฟเสร็จแล้วผมจึงเดินกลับมาที่คอนโด ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีเพราะคอนโดอยู่ใกล้ๆ ผมแค่เดินออกไปปากซอยนิดเดียวก็จะถึงร้านกาแฟร้านโปรด
พอเข้ามาในตัวอาคารได้แล้ว ในหัวของผมยังอดคิดถึงหนุ่มเขี้ยวเสน่ห์ผู้น่าสงสารไม่ได้ ถ้าผมโดนแบบคานินบ้างคงอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เผลอๆ วันรุ่งขึ้นผมคงยื่นใบลาออกไปแล้ว ผู้หญิงสองคนนั้นก็เหลือเกิน
ผมไม่ได้เข้าห้องพักแต่ขึ้นไปยังลานจอดรถ ไม่นานจึงขับรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีขาวคันโปรดออกไป เวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือต้องการคนปรึกษา ผมมักไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมบ่อยๆ ไม่รู้ว่าอยู่ที่คอนโดหรือเปล่า แต่ผมชอบไปหาโดยบอกล่วงหน้าไม่เกินครึ่งชั่วโมงเป็นประจำ แต่เพื่อนผมคนนี้ไม่เคยว่าอะไร แถมยังอนุญาตให้ผมไปนอนกลิ้งที่ห้องมันได้เป็นวันๆ อีกด้วย
พอมาถึงห้องเพื่อน ผมทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาในห้องมันอย่างคุ้นเคย หยิบหมอนมากอดเล่นด้วย เพื่อนผมเดินตามลงมานั่งแล้วยิ้มเอ็นดู คงขำที่ผมทำยังกะเป็นห้องของตัวเองยังไงยังงั้น
"ดีนะมึงที่วันนี้กูไม่มีธุระไปไหน"
"ปกติกูมาหามึงแบบนี้บ่อยๆ นี่หว่า เห็นมึงอยู่ทุกที"
"แล้ววันนี้มึงไม่ทำอะไรเหรอ"
"ไม่อ่ะ พอดีกูมีเรื่องอยากจะปรึกษามึงหน่อยว่ะไอ้ภู"
เพื่อนผมชื่อภูริช มีชื่อเล่นเหมือนกันแต่ผมไม่ชอบเรียก ชอบเรียกว่าภูมากกว่า
"อะไรวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องสาวมีเขี้ยวอีก กูเห็นมึงคลั่งมาตั้งแต่มอสามแล้ว ไม่เห็นเจอซักกะคน กูว่าดวงมึงคงไม่เหมาะกับคนมีเขี้ยวหรอกเป็ง หาแฟนธรรมดาๆ ได้แล้ว จะรอให้เหงาไปทำไมวะ" เพื่อนผมพูดอย่างรู้ทัน
"กูคิดว่ากูเจอแล้ว" ผมบอกพลางดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ภูริชทำหน้าตกใจใหญ่เลย
"จริงเหรอวะ!"
ผมพยักหน้าแต่กลับทำสีหน้าคล้ายยุ่งยากใจ "อืม...กูก็คิดว่างั้น"
"อ้าว แล้วทำไมมึงทำหน้างั้น ไม่ดีใจเหรอวะที่เจอซะที กูเห็นมึงตามหามาเป็นสิบปีแล้วนะเว้ย"
"ไอ้ดีใจก็ดีใจอยู่หรอก แต่...กูไม่รู้ว่าจะบอกมึงว่ายังไงว่ะ"
"ทำไมวะ เค้ามีเขี้ยวแต่ว่าฟันหรอเหรอ" ภูริชพูดแล้วหัวเราะตลก
"เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้น เอางี้ กูถามอะไรมึงหน่อย" ผมหยุดเว้นจังหวะเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง
"มึง...รู้จักกูมานานแล้วใช่มั้ยวะไอ้ภู"
"อื้อ" ภูริชพยักหน้าแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย
"แล้วมึงเคยเห็นกู....ยังไงดีล่ะ"
ผมพยามนึกหาวิธีสื่อสาร แต่กลับรู้สึกประหม่ากว่าเดิมเพราะกลัวเพื่อนตกใจ แต่ไหนๆ ถ่อสังขารมาถึงนี้แล้วคงไม่ยอมให้เสียค่าน้ำมันรถเปล่าๆ
"เอางี้ เวลามึงอยู่กับกู มึงเคยรู้สึกว่ากูแปลกๆ มั้ย"
ภูริชขมวดคิ้วมุ่น "มึงหมายถึงอะไรวะไอ้เป็ง กูไม่เห็นว่ามึงจะแปลกตรงไหนนี่หว่า"
"เหรอ ไม่แปลกเลยเหรอ"
ภูริชส่ายหน้า แต่ผมยังไม่เชื่ออยู่ดี
"เอางี้...แม่งพูดยากจริงๆ ว่ะ มึงเคยเห็นกูมีอะไรบางอย่างที่...ที่...เอ่อ...ที่ไม่เหมือนผู้ชายมั้ยวะ" ผมกลั้นใจถามออกไปจนได้ คนถูกถามถึงกับสะดุ้งโหยง หน้าเหวอยังกับโดนผีหลอก
"เฮ้ย ทำไมมึงถามกูอย่างงี้วะไอ้เป็ง!"
"มึงตอบมาก่อนสิวะ" ผมนิ่วหน้าแล้ววางหมอนลงไปข้างๆ ตัว
"ก็ไม่นี่หว่า มึงดูเหมือนผู้ชายปกตินั่นแหละ"
"จริงเหรอ"
"เออ" ภูริชยืนยัน
ผมถอนหายใจแล้วทำหน้าเครียด คิดไปคิดมาคงต้องเล่าให้เพื่อนรักฟังไปตรงๆ แล้วล่ะ
"ไม่ใช่อะไรหรอก ที่กูถามมึงอย่างงี้เพราะว่า...กูจะบอกมึงคนเดียวนะเว้ย มึงอย่าไปบอกใครล่ะ มึงน่ะ...เป็นเพื่อนที่กูไว้ใจมากรู้เปล่า ไม่งั้นกูไม่มาปรึกษามึงเรื่องนี้หรอก"
"เออๆ กูไม่เคยหักหลังมึงอยู่แล้วนี่หว่าไอ้เป็ง ว่าแต่มันเรื่องอะไรวะ ทำไมมึงดูเครียดๆ"
"จะไม่ให้กูเครียดได้ไงล่ะ วันนี้...กูไปกินกาแฟที่ร้านหน้าปากซอยแถวบ้านกูมา แล้วเจอพนักงานใหม่"
"เป็นสาวมีเขี้ยวเหรอ!" ภูริชถามอย่างตื่นเต้น
"เปล่า"
"อ้าว!"
ผมทำท่าลังเลใจ พอจะบอกไปตรงๆ กลับกลัวว่าเพื่อนจะไม่เข้าใจ
"ถ้าไม่ใช่สาว...ก็ต้องเป็นผู้ชายสิ"
ผมถึงกับหน้าเหวอเมื่อภูริชเดาถูก แต่สดท้ายจึงพยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ
"ผู้ชายมีเขี้ยวเหรอ" ภูริชถามทวนให้แน่ใจ
ผมพยักหน้ายืนยันอีกรอบ จะว่าไปก็อายเหมือนกันที่เพื่อนรักรู้เรื่องนี้
"กูว่า...กูน่าจะชอบพนักงานที่มาใหม่คนนี้เข้าให้แล้วว่ะ"
"มึงชอบผู้ชายเหรอ!" ภูริชพูดเสียงดังแถมยังทำตาค้างอีก
"เฮ้ย...แล้วมึงจะพูดเสียงดังทำหอกอะไรวะ" ผมว่าเพื่อนอย่างไม่จริงจังนัก
"ไอ้เป็ง มึงแน่ใจนะเว้ย" ภูริชทำหน้าแหย
"กูไม่รู้ว่ะ แต่กูเห็นเค้าแล้วกูใจสั่น ตอนต่อคิวซื้อกาแฟนะมึง เค้าถามกูว่ากูจะเอาอะไรกูก็ไม่ได้ยิน จนคนที่ยืนต่อคิวข้างหลังต้องเอามือมาสะกิดกูเลย กูตกตะลึงตาค้างขนาดนั้น มึงจะให้กูคิดว่าไงวะ แถมตอนกูไปนั่งกินกาแฟ กูยังคอยมองเขาอีก"
"จริงเหรอวะไอ้เป็ง มึงเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ" ภูริชทำหน้าไม่เชื่อ
"เออสิวะ กูจะโกหกมึงไปเพื่ออะไรล่ะ"
ผมทำหน้าเศร้า มองหน้าเพื่อนที่ยังคงอึ้งอย่างประหม่า ก่อนจะตัดสินใจถามอีก
"ไอ้ภู มึงรับได้หรือเปล่าวะถ้ากู...ชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ใช่มึงนะเว้ย"
ผมรีบออกตัวก่อนเพราะกลัวภูริชระแวงผม คราวนี้เพื่อนรักผมคิดหนัก แต่สักพักกลับยิ้มเม้มปาก
"ไอ้รับได้น่ะมันรับได้อยู่แล้ว มึงไม่ได้ชอบกูนี่หว่า"
"รับได้ง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอ" ผมเลิกคิ้ว
ภูริชพยักหน้า "เออ แล้วทำไมกูต้องคิดมากด้วยล่ะ กูไม่ได้ชอบผู้ชายนี่"
"ไอ้เวร" ผมว่าเพื่อนไม่จริงจังนักแล้วจึงพูดต่อ "กูไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนเลยนะเว้ย"
"อืม...กูรู้ แล้วมึงจะจีบเค้าเหรอวะ"
"ไม่รู้ว่ะ สงสัยจะอย่างงั้นแหละ เนี่ย...หน้าเขายังลอยไปลอยมาในหัวกูอยู่เลย"
"แล้วมึงจีบผู้ชายเป็นเหรอวะ"
ผมอึ้งไปทันที ก่อนจะส่ายหน้าเดียะ "หึ! ไม่เป็น ผู้หญิงกูยังไม่เคยจีบเลย จะจีบผู้ชายได้ไงวะ"
"มึงอย่าบอกนะว่าที่มึงมาหากูวันนี้เพราะว่ามึงจะปรึกษากูเรื่องจีบผู้ชาย"
ภูริชถามอย่างรู้ทัน ผมจึงพยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ "เออ"
"ไอ้บ้า กูเคยจีบผู้ชายที่ไหนล่ะ จีบไม่เป็นเว้ย"
"แล้วมึงรู้จักใครที่จีบผู้ชายเป็นมั่งมั้ยวะ"
ภูริชครุ่นคิด สักพักจึงนึกออก "กูมีเพื่อนเกย์อยู่สองสามคน เท่าที่ยอมเปิดเผย ส่วนที่ยังไม่เปิดเผยนี่กูไม่รู้"
ผมสะดุ้งนิดหน่อยเพราะกลัวตัวเองจะเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ "ยังไม่เปิดเผย"
"งั้นดีเลย" ผมบอกอย่างตื่นเต้น "มึงช่วยนัดให้กูหน่อยดิ กูอยากปรึกษาเพื่อนมึงเรื่องนี้"
"วันนี้เหรอ" ภูริชคงอึ้งไปเหมือนกันที่ผมใจร้อนขนาดนี้
"เออ วันนี้เลย เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าวเย็นก็ได้ กูเป็นเจ้ามือเอง อยากจีบน้องเขาจะแย่อยู่แล้วนานๆ กูจะเจอคนถูกใจซะที ช่วยกูหน่อยละกันเพื่อน มึงไม่อยากเห็นกูมีแฟนเหรอ"
"เป็นเอามากนะมึง เออๆ เดี่ยวกูลองโทรนัดดูก่อนนะเว้ย ถ้าไม่ได้วันนี้เป็นวันอื่นได้มั้ยวะ"
"เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้" ผมบอกเสียงหนักแน่น
ภูริชหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาเพื่อนที่ว่า คุยกันอยู่สักพักจึงวางสายไปแล้วหันมายิ้มกว้างให้ผม
"มันว่างเย็นนี้พอดีเลย มึงจะไปร้านไหน เดี๋ยวกูจะได้โทรไปบอกมันอีกที"
"สุดยอดเลยเพื่อน" ผมตะโกนออกมาด้วยอาการตื่นเต้น แทบจะกระโดดกอดเพื่อนเลย
"เว่อร์แล้วมึง จะดีใจอะไรขนาดนั้นวะไอ้เป็ง มึงอยากจีบผู้ชายขนาดนั้นเลยเหรอ"
ผมหัวเราะแหะๆ อย่างอายๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะลืมตัวได้ขนาดนี้ "เออ นั่นสิ"
ดูท่าผมจะกู่ไม่กลับซะแล้ว ไม่เคยเป็นเอามากถึงขนาดนี้เลย กระนั้น ผมยังสงสัยตัวเองนิดหน่อย ระหว่างสาวมีเขี้ยวกับหนุ่มมีเขี้ยว ใครจะทำให้ผมใจเต้นรัวได้มากกว่ากัน!?
ผมคุยปรึกษากับเพื่อนของภูริชจนถึงสามทุ่ม ได้คำแนะนำดีๆ มาเยอะเลย คุยเพลินจนห้างปิด กลับมาถึงคอนโดเกือบๆ สี่ทุ่ม ปรากฎว่าฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทันที่ที่เข้ามาในซอย เดี๋ยวนี้ฤดูกาลในบ้านเราชักเพี้ยนไปกันใหญ่ ช่วงนี้ควรเป็นหน้าหนาวแท้ๆ แต่ดันมีฝนตกยังกับพายุเข้า
พอลงจากรถและกำลังจะขึ้นไปบนห้องตามความเคยชิน ผมพลันนึกถึงคานินขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ว่าแล้วจึงหยิบร่มในรถติดมือมาด้วย ก่อนจะลงลิฟต์มาที่ชั้นล่าง จากนั้นจึงกางร่มเดินออกไปปากซอย
ไม่นานนักจึงมาถึงร้านกาแฟชื่อดังที่ผมชอบมากินบ่อยๆ ร้านคงปิดไปตั้งแต่สองทุ่มแล้ว แต่กว่าพนักงานจะเคลียร์ทุกอย่างและทำความสะอาดเสร็จคงดึกกว่านั้น
ฝนลดลงบ้างแต่ยังตกหนักพอสมควร พื้นทางเท้าเปียกฝนสะท้อนแสงไฟหลากสีเป็นประกายระยิบระยับ คนสัญจรบนทางเท้าบางตาลงไปมาก ต่างคนต่างรีบเร่งหรือไม่ก็หาที่หลบซ่อนฝนเท่าที่จะพอหาได้ ทุลักทุเลกันหน่อยเพราะส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมร่มมา คงเป็นเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าฝนจะตกคืนนี้
ผมสอดส่ายสายตามองหาคนที่อยากเจอแต่ไม่เห็น ไฟในร้านปิดสนิท คนในร้านน่าจะกลับบ้านหมดแล้ว พอรู้ว่าไม่มีหวัง ผมจึงตัดสินใจเดินกลับ แต่สายตาพลันเหลือบไปเห็นเงาดำๆ ของใครสักคนไม่ไกลนัก
ผมเพ่งดูเงาตะคุ่มๆ ที่ยืนหลบฝนอยู่ใต้ร่มสีเขียวๆ สำหรับบังแดดให้ลูกค้าที่ชอบนั่งกินกาแฟด้านนอก พอรู้ว่าใช่คนที่ผมกำลังมองหาจึงยิ้มดีใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาพร้อมกับร้องเรียก
"คานิน ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ"
คนถูกเรียกหันมามองผมแล้วทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ด้วยท่าทางประหม่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นผมเป็นลูกค้ามีระดับหรือเปล่า
"รอฝนหยุดอยู่ครับ พอดีผมไม่ได้เอาร่มมา ไม่คิดว่าฝนจะตกคืนนี้"
"อ้อ แล้วจะไปที่ไหนล่ะ ให้ผมเดินไปส่งเอามั้ย ผมมีร่ม" ผมอาสา
เห็นหน้าเศร้าๆ แล้วนึกถึงเหตุการณ์ตอนสายๆ ผมนึกอยากปลอบใจคนตรงหน้าขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวฝนก็หยุดแล้ว"
"ไม่ต้องเกรงใจหรอก แล้วปกติกลับยังไงล่ะ" ผมถามเสียงดังแข่งกับเสียงฝนตก
คานินยังคงดูประหม่า ปกติคนที่มากินกาแฟที่ร้านในซอยนี้มักมีฐานะหรือได้เงินเดือนสูง ต่างจากพนักงานในร้านที่เป็นเพียงคนธรรมดา จึงไม่แปลกที่คานินจะมีระยะห่างกับผม
"รถเมล์ครับ" คานินตอบในที่สุด
"ถ้างั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ละกัน"
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเป็ง"
ผมอดยิ้มดีใจไม่ได้ที่คานินจำชื่อผมได้อยู่ แสดงว่าคงมีบางอย่างสำคัญจนให้คานินจำผมได้
"มาๆๆ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ดึกแล้ว คานินจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องมาทำงานอีก"
เมื่อผมยืนยันเป็นมั่นเหมาะ คานินจึงพยักหน้าตกลง แม้จะดูเกรงใจอยู่ก็ตามที
พอร่างของคนตรงหน้าเดินเข้ามาอยู่ในร่มเดียวกันกับผม หัวใจของผมพลันเต้นสั่นหวั่นไหวใครเห็นหน้าและรอยยิ้มของผมตอนนี้คงเดาได้ไม่ยากว่ากำลังคิดอะไรกับคนข้างๆ
ในระหว่างที่เดินไปที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ผมจึงชวนคานินคุยไปด้วย
"แล้วเพื่อนๆ คนอื่นๆ ล่ะ กลับกันหมดแล้วเหรอ ทำไมเหลือคานินคนเดียวล่ะ"
"กลับกันหมดแล้วครับ"
"อ้าว แล้วทำไมคานินกลับช้ากว่าคนอื่นล่ะ"
คานินแค่นหัวเราะเบาๆ "เรื่องเมื่อตอนสายนั่นแหละครับ ผมโดนลงโทษให้เอาขยะไปทิ้งคนเดียวทั้งวัน เลยได้กลับเป็นคนสุดท้าย"
ผมหยุดเดินแล้วมองหน้าคานินด้วยความเห็นใจ แม้ว่าผมไม่เคยลำบากถึงขนาดนั้น แต่เหตุการณ์เมื่อตอนสายทำให้ผมพอเข้าใจชีวิตของคนที่โอกาสน้อยกว่าว่าลำบากแค่ไหน ไม่ใช่ลำบากเพราะทำงานหนักอย่างเดียว แต่ยังโดนคนที่ไม่มีความคิดดูถูกเอาอีกด้วย
"ผู้หญิงสองคนนั้นแย่นะ เรื่องเล็กแค่นี้ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลย แล้วผู้จัดการโกรธมากหรือเปล่า"
คานินยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะแค่นหัวเราะอีก "ก็โมโหพอสมควรครับ ไม่รู้ว่าผมจะผ่านโปรหรือเปล่า"
"สู้ๆ นะคานิน"
ผมยิ้มให้กำลังใจ ยังไม่สนิทกันมากพอจึงไม่รู้จะให้กำลังใจมากกว่านี้ได้ยังไง คานินพยักหน้าแล้วยิ้มตอบกลับมา เผยให้เห็นเขี้ยวเสน่ห์ที่ทำเอาผมใจสั่นจนแทบลืมหายใจ
"แล้วมาทำงานที่นี่นานหรือยัง น่าจะไม่นานนะ เพราะผมมากินที่นี่บ่อยๆ เพิ่งเห็นวันนี้เอง"
ผมสาวเท้าเดินสบายๆ ไม่รีบมาก ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะพอทำได้
"อาทิตย์เดียวครับ ผมอยากเป็นบาริสต้าเลยลองมาสมัคดู พอทำจริงไม่ได้เป็นแค่บาริสต้าอย่างเดียวหรอก บางทีต้องช่วยทำอย่างอื่นด้วย อย่างเช่น เอาถุงขยะไปทิ้งนี่แหละ"
ผมพยักหน้ารับรู้
"แล้วคุณเป็งล่ะ อยู่แถวๆ นี้เหรอครับ" คานินเป็นฝ่ายถามผมกลับบ้าง
"ครับ คอนโดผมอยู่ในซอยนี่เอง เดินไปไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว"
"โห...คอนโดแถวๆ นี้เหรอครับ ผมได้ยินมาว่าราคาเป็นสิบๆ ล้านเลย" คานินทำตาโต
ผมพยักหน้าแล้วขำเบาๆ "อย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลย แล้วคานินล่ะ พักอยู่ที่ไหน"
"อพาร์ทเมนต์แถวๆ ลาดพร้าวครับ แต่...ค่าเช่าไม่กี่พันหรอก"
"รถไฟฟ้าใต้ดินไปถึงไหม ทำไมไม่ใช้รถไฟฟ้ามาทำงานล่ะ ไวกว่าด้วย"
"มันแพงครับ"
พอได้ยินอย่างนั้นผมจึงชะงักไปเล็กน้อย
"อ้อ" คงแพงสำหรับคนรายได้ประมาณนี้ แต่สำหรับผมถือว่าถูกมากๆ ใช้บ่อยกว่ารถยนต์ด้วยซ้ำ
พอเดินมาถึงป้ายรถเมล์แล้ว รถเมล์สายที่คานินต้องการมาถึงพอดีราวกับนัดไว้ล่วงหน้า
"เอาร่มไปด้วยนะคานิน"
"ไม่เป็นไรครับคุณเป็ง" คานินหันมาบอกอย่างเกรงใจ
ผมจับมือคานินมาแล้วยัดร่มสีขาวใส่มือให้ ก่อนจะเดินแกมวิ่งออกมาและหันไปโบกมือให้
"เอาไว้มาคืนวันหลังนะ แล้วเจอกันนะคานิน" ผมตะโกนบอก ไม่ถึงกับดังมาก แค่พอให้ได้ยิน
คานินยืนมองผมอย่างงงๆ แต่ไม่มีเวลาให้คิดนานจึงต้องรีบก้าวขาขึ้นรถเมล์ก่อนมันจะวิ่งออกไป ไม่อย่างนั้นคงต้องรออีกนานกว่าจะได้กลับบ้าน
ผมหยุดยืนมองคานินที่อยู่ในรถเมล์ที่กำลังวิ่งออกไปอย่างช้าๆ หนุ่มเขี้ยวเสน่ห์หันมาเจอผมพอดียิ้มเขินๆ นั้นทำให้ผมเผลอยิ้มตามอย่างลืมตัว เราโบกมือให้กันเป็นเวลาสั้นๆเพียงครู่เดียวรถเมล์คันนั้นจึงหายลับตาไปกับสายฝน
ฝากร่มสื่อรักเอาไว้ก่อนนะคานิน แล้ววันหลังจะกลับมาเอาคืน!
TBC...