▼ツ▼หนุ่มเขี้ยวเปรี้ยวใจ ☂ My Canine Loverตอนที่ 4 คะแนนสงสาร คานิน...ผมว่าจะช่วยน้องสาวดูแลหลานตอนที่นึ่งข้าวเหนียวซะหน่อย พอเกิดเรื่องอย่างนี้จึงต้องรีบแจ้นมาโรงพยาบาล หลังจากที่ส่งไลน์ถามเป็งไปว่าอยู่ที่ไหน ผมจึงพาตัวเองมาจนถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เป็งนอนพักอยู่ เป็งให้รายละเอียดมาในไลน์หมดแล้ว ผมแค่แจ้งชื่อและหมายเลขห้องแล้วขึ้นมาเยี่ยมเป็งได้เลย
พอเปิดประตูเข้าไปในห้องจึงเห็นหนุ่มตี๋นอนหน้าซีดเซียวพร้อมกับสายน้ำเกลือห้อยอยู่ ผมปรี่เข้าไปหาแล้วย่อตัวลงนั่งข้างๆ เตียง สีหน้าแสดงความรู้สึกผิดอย่างเต็มที่
"คุณเป็งเป็นไงบ้างครับ"
แม้จะอ่อนแรงแต่เป็งยังอุตส่าห์ยิ้มให้เมื่อเห็นผมมาหา "ดีขึ้นแล้ว พอออกมาจากอพาร์ทเมนท์ของคานิน ผมขับรถหาปั๊มแทบไม่ทัน เข้าห้องน้ำไปหลายรอบเลย พอดีขึ้นหน่อยเลยขับมาโรงพยาบาลเอง"
เป็งพูดอย่างอารมณ์ดีเหมือนกับไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
"คุณเป็ง ผมขอโทษนะครับ" ผมทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ สงสารคนถูกแกล้งจับจิตจับใจ
เป็งสบตากับผม ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มบางๆ ให้ "ขอโทษทำไม"
"อ้าว ผมแกล้งให้คุณเป็งกินอาหารอีสานเผ็ดๆ จนท้องเสียไงครับ"
"ถ้าผมจะไม่กินซะอย่าง คานินจะแกล้งผมได้เหรอ คานินไม่ได้จับกรอกปากผมซะหน่อย" เป็งว่าพลางขำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ จากนั้นจึงพูดสืบไป "ผมรู้ว่ามันเผ็ด กินแล้วท้องเสีย ตอนเรียนเพื่อนเคยชวนกินเหมือนกัน แล้วท้องเสียแบบนี้แหละ"
ถึงเป็งจะหัวเราะ แต่ผมกลับไม่ขำด้วย ได้แต่ทำหน้ารู้สึกผิดกับฝีมือตัวเอง เป็งก็ช่างดีเหลือใจ แก้ต่างให้คนผิดอย่างผมซะงั้น
"ผมโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะคานิน ถ้าจะปฏิเสธผมก็ปฏิเสธได้ ผมเลือกที่จะกินต่อเองต่างหาก"
"คุณเป็ง" ผมเรียกชื่อหนุ่มตี๋เบาๆ อย่างซาบซึ้งใจ เป็งไม่โทษผมแม้แต่คำเดียวทั้งที่ทำได้
"คานินรู้สึกผิดเหรอ" เป็งถามราวกับอ่านความคิดผมออก
ผมพยักหน้ายอมรับตามตรง "ยังไงๆ ผมก็ผิดนั่นแหละที่คะยั้นคะยอให้คุณเป็งกินจนเป็นแบบนี้"
"อย่าคิดมากสิ ผมบอกแล้วไงว่าผมกินเอง" เป็งยังคงยืนยันอย่างเดิม "ถ้าผมไม่เอาเข้าปากตัวเอง ใครก็เอาเข้าปากผมไม่ได้หรอก"
ผมไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเพราะเป็งช่วยแก้ตัวให้หรอก แต่เพราะความใจกว้างของเป็งต่างหาก "ยังไงๆ ผมก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละครับ เอาอย่างงี้ละกัน ให้ผมช่วยออกค่ารักษาคุณเป็งได้ไหมครับ"
"อย่าเลย" เป็งร้องห้ามทันที
"ทำไมล่ะครับ มันแพงเหรอ"
เป็งพยักหน้า "คืนหนึ่งก็หมื่นกว่าบาทแล้ว"
ผมหน้าเหวอเมื่อรู้ราคา นึกไม่ถึงว่านอนให้น้ำเกลือแค่นี้ต้องจ่ายเป็นหมื่นๆ ต่อคืน
"ขนาดนั้นเลยเหรอครับ งั้น...ให้ผมผ่อนจ่ายได้ไหม นะครับคุณเป็ง"
"ไม่เป็นไรหรอกคานิน"
"แล้วคุณเป็งจะให้ผมทำยังไงถึงจะพอไถ่โทษได้ล่ะครับ ยังไงๆ ผมควรต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ไม่งั้นผมคงไม่สบายใจหรอก" ผมยืนกรานด้วยสีหน้าสำนึกผิด
เป็งมองหน้าผมแล้วยิ้มแปลกๆ "มีอยู่นะ แต่ก่อนที่ผมจะบอกคานินเรื่องนั้น ผมมีเรื่องอยากถามคานินซักหน่อย"
"อะไรครับ"
"คานินบอกว่าเราสองคนต่างกันมากใช่ไหม"
ผมพยักหน้าแล้วรอฟังเป็งพูดต่อ
"ใช่...ผมยอมรับว่าเราสองคนต่างกันเยอะนะ ต่างกันแทบทุกเรื่องเลย เพราะอย่างงี้ใช่ไหม...คานินถึงคิดว่าเรา...เอ่อ...เป็นเพื่อนกันไม่ได้"
เป็งถามด้วยสีหน้าจริงจัง คราวนี้ผมไม่รู้จะตอบยังไง อันที่จริงคงไม่กล้าฟันธงขนาดนั้นหรอก
"เราสองคนรู้กันได้หรือเปล่าคานิน" เป็งถามย้ำอีกครั้ง
ผมอึกๆ อักๆ แล้วพูดเฉไป "ไม่รู้สิครับ"
"ตอบแบบนี้ แสดงว่าไม่ได้ใช่ไหม" เป็งเริ่มทำหน้าเครียด จ้องหน้าผมเขม็ง
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ" ผมแบ่งรับแบ่งสู้
เป็งทำท่าเหมือนไม่ค่อยพอใจคำตอบสักเท่าไร แต่สักพักสีหน้ากลับดูอ่อนลง
"ไม่เป็นไร วันนี้เป็นแค่วันแรกที่ผมกับคานินมาทำความรู้จักกัน เรายังต้องพิสูจน์อะไรกันอีกเยอะ แต่ผมอยากบอกคานินไว้อย่างหนึ่งนะว่า...คนเราไม่ควรปิดกั้นตัวเองมากเกินไป คานินเห็นไหม ผมไม่เคยมีเพื่อนต่างฐานะกันมากๆ มาก่อน แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ทำไมเราไม่ลองดูก่อนล่ะคานิน"
"ลองอะไรเหรอครับ" ผมถามอย่างงงๆ เมื่อกี้เป็งพูดยาวจนผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง จึงกลัวว่าตอบรับไปแล้วจะกลายเป็นเอาเชือกมาผูกคอตัวเองจนได้
เป็งกัดริมฝีปากล่าง มองหน้าผมแล้วครุ่นคิด ทำให้ผมอดระแวงไม่ได้อีกเพราะกลัวหนุ่มตี๋จะจีบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่แปลกเหมือนกัน แม้กลัวถูกผู้ชายจีบ ผมกลับไม่ปฏิเสธหรือถอยหนี แถมยังมานั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงนี้อีก คงเป็นเพราะคืนนั้นที่เป็งส่งร่มให้ผมแล้วตัวเองยอมเดินตากฝนทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักกัน จะว่าเป็นความประทับใจคงไม่ผิดนัก แค่นั้นก็ได้ใจผมไปเยอะแล้ว
"คานินบอกว่าอยากไถ่โทษใช่ไหม" เป็งไม่ตอบคำถามผม แต่กลับย้อนมาถามเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไว้แทน
ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ
"ถ้างั้น...วันพรุ่งนี้ เลิกงานแล้วคานินไปหาผมที่คอนโดได้หรือเปล่า"
ผมเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน อดคิดพิเรนทร์ๆ ไม่ได้ว่าเป็งวางแผนจะทำมิดีมิร้ายผมหรือเปล่า "ทำไมต้องไปที่คอนโดคุณเป็งด้วยล่ะครับ ที่นี่แล้วก็ตอนนี้ไม่ได้เหรอ"
"ก็ผมป่วยอยู่"
"ห๊า! คุณเป็งจะทำอะไรผมเหรอครับ" ผมตกใจจนหน้าเหวอ คิดไปไกลถึงไหนต่อไหน
"เปล่าๆๆ ขอโทษที ทำให้กลัวไปเลย" เป็งนึกได้แล้วขำใหญ่ "ไม่มีอะไร ผมแค่มีเรื่องอยากจะถาม อยากคุยกับคานินยาวหน่อย คุยคืนนี้ไม่ค่อยสะดวกหรอก ผมกินยาแล้วมันง่วงๆ"
"ค่อยยังชั่วหน่อย" ผมทำหน้าโล่งอก "อ้อ ขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณเป็ง ถ้างั้นผมว่าผมกลับเลยดีกว่า"
"เดี๋ยวก่อนสิ"
เป็งพูดพร้อมกับคว้าข้อมือผมไว้ในขณะที่ผมกำลังลุกขึ้นยืน
"ทำไมล่ะครับ" ผมมองดูมือของตัวเองที่ถูกจับไว้แล้วค่อยๆ นั่งลงตามเดิม
เป็งค่อยๆ ปล่อยมือผมแล้วทวง "รับปากผมมาก่อนสิว่าจะไปหาผมที่คอนโดพรุ่งนี้หลังเลิกงาน"
"แต่ผมเลิกดึกนะ" ผมพยายามหาข้ออ้าง
"ดึกแค่ไหนก็จะรอ ไปหาผมนะคานิน"
ผมทำท่าลังเลและทำเป็นเงียบๆ
"อยากไถ่โทษไม่ใช่เหรอ ผมจะให้โอกาสคานินไถ่โทษแล้วไง"
ไอ้อยากก็อยากอยู่หรอก แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องไปไถ่โทษที่คอนโดด้วย
สุดท้ายผมกลับพยักหน้าตกลงตามที่เป็งเสนอซะงั้น ถือว่าเป็นการวัดใจกันไปเลยละกัน ผมจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าถ้าเกิดถูกผู้ชายจีบจริงๆ ผมจะโอเคกับเรื่องนี้หรือเปล่า ที่สำคัญ ผมจะได้รู้ว่าเป็งเป็นคนที่ไว้ใจได้มากแค่ไหนด้วย
เป็งยิ้มพอใจกับการตอบรับนั้น ผมค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วแย้มยิ้มให้เป็งเช่นเดียวกัน "งั้น...ผมกลับก่อนนะครับคุณเป็ง"
เป็งพยักหน้า "ครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคานิน อย่าลืมมาให้ได้ล่ะ"
ผมพยักหน้าแทนการรับปาก ก่อนจะค่อยๆ หันหลังแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ
"ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะคานิน"
เสียงพูดนั้นทำให้ผมหยุดชะงักแล้วหันไปมอง ยิ้มเขินและยืนเก้ๆ กังๆ เหมือนกับไม่รู้จะไปทางไหน แต่พอนึกได้ว่าควรจะต้องกลับบ้าน ผมจึงรีบหันหลังแล้วเปิดประตูออกไปทันที
ทำไมหัวใจของผมถึงเต้นไม่เป็นส่ำแบบนี้หนอ หวังว่านายจะไม่เผลอชอบเขาไปล่ะคานิน ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า แต่ผมรู้สึกดีจริงๆ ที่เป็งไม่เอาเรื่องผม แถมยังไม่โทษผมแม้แต่คำเดียว ถ้าทำเพื่อเรียกคะแนนสงสารคงได้ไปเต็มร้อย เผลอๆ ผมอาจจะแถมไปให้อีกเท่าตัว
เป็ง..."ไอ้ภู กูทำได้แล้วโว้ย"
พอบึ่งรถออกมาจากโรงพยาบาลในตอนสายๆ ผมรีบโทรไปรายงานผลเพื่อนรักเป็นคนแรกอย่างตื่นเต้น
"อะไรของมึงวะไอ้เป็ง กูจะรู้เรื่องกับมึงไหม" ภูริชคงงงเพราะนานๆ ทีจะเห็นผมตื่นเต้นขนาดนี้
"ที่เพื่อนมึงแนะนำกูน่ะ ใช้ได้เลยผลเลยนะเว้ย"
ผมยังคงเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้อธิบายให้เพื่อนเข้าใจเลยด้วยซ้ำ
"อะไรวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่มึงไปจีบผู้ชาย"
"เออดิ พรุ่งนี้คานินจะมาหากูที่คอนโดหลังเลิกงาน" ผมแจ้งความคืบหน้าอย่างภูมิใจ
"เฮ้ย! ไอ้เป็ง มึงรู้จักเขาได้ไม่กี่วัน จะเผด็จศึกเลยเหรอวะ ใจเย็นๆ ก่อนเพื่อน"
"มึงคิดไปได้นะไอ้ภู กูแค่จะพาคานินมาคุยด้วยเฉยๆ ยังไม่ได้คิดจะทำอะไรซะหน่อย"
"อ๋อเหรอ แล้วทำไมมึงถึงไม่พาไปคุยที่อื่นล่ะวะ ทำไมต้องพามาคอนโดด้วยล่ะ"
"คานินเลิกงานดึก สี่ทุ่มโน่น แล้วมึงจะให้ไปเจอที่ไหนวะ อีกอย่าง...คอนโดกูอยู่ใกล้ๆ ตรงนั้นพอดี"
"เออๆ กูเชื่อๆ ว่าแต่ว่า...ไหนมึงเล่าให้กูฟังหน่อยซิว่ามึงไปทำอะไรมามั่งเขาถึงได้ยอมมาหามึง"
"มึงจะเอาไปจีบผู้ชายมั่งเหรอ" ผมแซวเพื่อนแล้วหัวเราะชอบใจ
"ไอ้บ้า กูไม่ได้ชอบผู้ชายซะหน่อย ว่าแต่มึงน่ะ เอาจริงเหรอวะไอ้เป็ง"
"เออดิ คนอย่างกูเคยทำอะไรเล่นๆ ที่ไหน มึงรู้จักกูดีนี่ไอ้ภู"
"เออๆ กูแค่ถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นแหละ ว่าแต่เมื่อไหร่มึงจะตอบคำถามกูซะทีวะว่ามึงไปทำอะไรมามั่ง"
ผมหัวเราะเมื่อเห็นว่าเพื่อนอยากรู้จนต้องทวงอีกรอบ
"ทำอย่างที่เพื่อนมึงบอกนั่นแหละ อย่างแรกเลยนะ ทำให้เขาประทับใจ หรือเฟิร์สอิมเพรสชั่น อย่างที่สอง ให้ของๆ เราไปอยู่ที่บ้านเขาดูต่างหน้า อย่างที่สาม...เรียกคะแนนสงสาร พิสูจน์ความจริงใจ"
"โห...มึงทำครบเลยนะเนี่ย แล้วแต่ละอย่างนี่มึงทำอะไรมั่งวะ"
"กำลังจะเล่าอยู่นี่ไง มึงใจร้อนไปได้" ผมว่าเพื่อนไม่จริงจังนักแล้วเล่าต่อ
"อย่างแรกนะเว้ย เมื่อสองคืนก่อนฝนตกใช่ไหม กูแวะไปหาคานินที่ร้าน เห็นเขายืนหลบฝนอยู่กลับบ้านไม่ได้ กูเลยพาไปส่งที่ป้ายรถเมล์ แล้วให้ร่มคานินไป ส่วนกูเดินตากฝนกลับคอนโด"
"โห...นี่มึงลงทุนขนาดนี้เลยเหรอไอ้เป็ง" เพื่อนผมสัพยอกแล้วหัวเราะ
"เออ เอ้าต่อ...อย่างที่สอง ร่มกูอยู่ที่คานิน มีของไว้ให้เขาดูต่างหน้า เป๊ะเลยไหม" ผมบอกอย่างภูมิใจ
"เออๆ มึงรีบเล่าต่อเหอะ กูอยากรู้" ภูริชเร่งเร้า ผมเลยขำนิดหน่อยแล้วจึงเล่าต่อ
"ส่วนอย่างที่สามนะเว้ย คานินท้าว่าคนรวยๆ อย่างกูกินอาหารข้างถนนกับเขาไม่ได้หรอก กูเลยกินให้ดู ทั้งส้มตำปูปลาร้า น้ำตก ซุปหน่อไม้ ต้มแซ่บ ท้องเสียเลย เนี่ย...กูเพิ่งออกจากโรงพยาบาลสดๆ ร้อนๆ เพิ่งขับรถออกมาเมื่อกี้นี้เอง"
"หา! มึงทุ่มสุดตัวขนาดนี้เลยเหรอวะเป็ง ท่าจะเป็นเอามากนะมึง" ภูริชร้องอุทานตกใจ
"อย่าว่าแต่มึงเลยไอ้ภู กูยังงงตัวเองเลย" ผมบอกแล้วขำ "แต่ที่เพื่อนมึงแนะนำมาสามอย่างน่ะ ได้ผลจริงๆ นะเว้ย แต่ไม่ใช่ว่ากูแค่ทำตามเฉยๆ เท่านั้น มันมาจากอินเนอร์ข้างในด้วย"
"เออ ถ้าไม่มีอินเนอร์มึงคงไม่ทำขนาดนั้นหรอก กูถามมึงตรงๆ ละกัน ถ้าเขามาหามึงที่คอนโดคืนนี้ มึงจะเผด็จศึกเขาเลยหรือเปล่าวะ"
ฟังคำถามของเพื่อนแล้วผมอยากจะหัวเราะเป็นภาษาสโลเวเนียซะจริงๆ "กูเนี่ยทั้งโสดทั้งซิงมาตั้งหลายปี ถ้าเป็นผู้หญิงนี่กูยังพอนึกออกว่าจะทำยังไงนะเว้ย แต่พอเป็นผู้ชาย กูบอกตรงๆ ว่า...กูทำไม่เป็นว่ะ"
เพื่อนผมหัวเราะก๊ากใหญ่เลยพอผมพูดจบ ผมจึงเคืองนิดหน่อย "มึงขำอะไรวะไอ้ภู"
"ขำมึงนั่นแหละ แล้วงี้จะเอาไง จะปรึกษาเพื่อนกูอีกไหมเรื่องนี้ มันน่าจะสอนมึงได้อยู่หรอก" ภูริชพูดไปขำไป
"ไม่เอาเว้ย" ผมรีบแย้ง "เรื่องนี้กูหาข้อมูลเองได้ อีกอย่าง กูยังไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างงั้นเร็วๆ นี้ซะหน่อย ศึกษาดูใจกันก่อนสิวะ"
"เออๆ แล้วแต่มึงละกัน เรื่องของมึงนี่หว่า จะทำเมื่อไหร่ที่ไหนก็ตามสบายละกัน"
"อือ ยังไงๆ กูขอบคุณมึงมากเลยนะเว้ยที่ช่วยหาเพื่อนมาให้คำแนะนำดีๆ แบบนี้"
"ไม่เป็นไร มึงอย่าลืมโทรไปเล่าให้เพื่อนกูฟังด้วยละกัน มันจะได้ดีใจ บอกตรงๆ นะเว้ย ตอนแรกที่กูฟังเนี่ย กูนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันจะได้ผล"
"ถ้ามันมีอินเนอร์ด้วยซะอย่าง ยังไงๆ มันต้องได้ผลอยู่แล้ว จริงไหม" ผมทำเป็นคุยโว
"เออ...กูก็ว่างั้น"
"แล้วนี่มึงอยู่ไหน" ผมเปลี่ยนเรื่องถาม
"เพิ่งจะมาถามเอาตอนนี้นะมึง อยู่ฟิตเนสในคอนโดนี่แหละ แล้วมึงล่ะ วันนี้จะไปไหน"
"มีประชุมเตรียมงานอบรมทั้งบ่ายเลยว่ะ คราวนี้ไปจัดให้องค์กรใหญ่โคตร มีคนอบรมเป็นร้อยเลย กำลังวางแผนว่าจะซอยออกเป็นสามรอบดีหรือเปล่า ทำทีเดียวร้อยคนไม่ไหวหรอก"
"โห...งั้นงานนี้คงได้เงินเยอะสิ"
"อืม...พอตัวอยู่ เออๆ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะเว้ย ทีมงานกูโทรตามกูละ สงสัยกลัวว่ากูจะลืม"
"เออๆ ไว้ค่อยคุยกันเพื่อน ขอให้มึงโชคดีคืนนี้ละกัน"
คำอวยพรของภูริชถูกใจผมไม่น้อย ผมจึงอวยพรมันกลับบ้าง "กูก็ขอให้มึงหาแฟนใหม่ได้เร็วๆ ด้วยละกันไอ้ภู"
คานิน...กว่าผมจะเสร็จงานวันนี้ก็ปาเข้าไปห้าทุ่ม ลูกค้ามาเยอะเป็นพิเศษกว่าทุกวันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จึงใช้เวลาเก็บกวาดและจัดการค่อนข้างมาก ขยะเยอะกว่าปกติอีกด้วย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าผมโดนลูกค้าด่าอีกแล้ว คราวนี้เป็นฝรั่งเสียด้วย แถมผู้จัดการยังด่าซ้ำอีกรอบ เป็นอย่างนี้บ่อยๆ คงมีผลกระทบกับงานที่นี่แน่
ผมจึงต้องแบกหน้าเครียดๆ มาหาเป็งที่คอนโด ตอนแรกว่าจะโทรไปยกเลิกแล้วเพราะไม่มีกะจิตกะใจจะมา แต่คิดไปคิดมา รับปากแล้วไม่ควรจะโยกโย้โยเยเหมือนเด็กๆ เดี๋ยวจะขาดความน่าเชื่อถือ
ดูเหมือนการปรากฎตัวในล็อบบี้คอนโดสุดหรูกลางกรุงของผมจะเป็นที่แปลกประหลาดต่อธารกำนัลมากทีเดียว ใครผ่านไปมาต่างพากันมองผมแปลกๆ คงสงสัยว่าแต่งตัวแบบนี้สามารถมีห้องหรือเพื่อนอยู่ที่นี่ได้ด้วยหรือ โชคดีที่เป็งนั่งรอผมอยู่ตรงล็อบบี้อยู่แล้ว พอผมมาถึงจึงตรงรี่เข้ามาทักทันที ผมจึงรู้สึกไม่ขัดเขินนานเกินไป
"คานิน ทำไมมาช้าจังล่ะ เพิ่งเลิกงานเหรอ" นั่นคือคำถามแรกของเป็ง
ผมพยักหน้าแล้วหันไปมองรอบๆ ที่นี่ดูหรูหรามากเสียจนทำให้ผมตัวลีบเล็กไปเลย ให้มาคนเดียวคงไม่กล้ามาแน่ๆ
"ไปเลยไหม" เป็งถามเมื่อเห็นผมยังคงสนใจอย่างอื่นอยู่
ผมหยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองแล้วหันมาพยัก จากนั้นเป็งจึงเดินนำผมไปที่บริเวณลิฟต์ ก่อนจะกดปุ่มและพาผมหายเข้าไปในกล่องเหล็ก จนสุดท้ายมาหยุดยืนอยู่ในห้องของเป็ง
"นั่งก่อนสิ คานินกินอะไรมาหรือยัง"
ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟาชุดรับแขกแล้วมองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่แบ่งเป็นสัดส่วนไว้เป็นอย่างดี เห็นความหรูหราของห้องนี้แล้วผมนึกไม่ออกเลยว่ามันจะแพงขนาดไหน ห้องผมเทียบไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
"ยังครับ" ผมบอกเป็งไปตามตรง
"งั้นกินอะไรหน่อยไหม พอดีผมเพิ่งทำสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสเสร็จเมื่อกี้นี้เอง ไม่รู้ว่าคานินจะชอบกินหรือเปล่า"
"คุณเป็งทำเองเหรอครับ" ผมถามอย่างทึ่งๆ
"ใช่ ผมชอบทำอาหารกินเอง งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาให้นะ ผมจะกินด้วย ยังไม่ได้กินเหมือนกัน"
ผมพยักหน้าแล้วมองตามแผ่นหลังของเป็งที่เดินลิ่วหายเข้าไปในครัว ไม่นานจึงเดินถือจานสองจานออกมา พอวางจานลงตรงหน้าผมจึงอวดใหญ่
"ผมชอบกินสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสมาก ทำง่ายด้วย ผมทำอร่อยนะ ลองกินดู สูตรนี้ได้มาจากอิตาลี ส่วนผสมทุกอย่างมาจากอิตาลีหมดเลย ทำเป็นพิเศษให้คานินโดยเฉพาะเลยนะ"
ผมได้แต่ยิ้มน้อยๆ อดตื้นตันใจหน่อยๆ ไม่ได้ที่เป็งดูใส่ใจผมมากขนาดนี้ ผมใช้ส้อมพันเส้นสปาเก็ตตี้ขึ้นมาชิมแล้วยิ่งอดทึ่งในรสชาติไม่ได้
"อร่อยไหม" เป็งถามและคอยลุ้น
ผมพยักหน้าและยิ้มพอใจ "อร่อยครับ"
ถึงผมจะกินอาหารบ้านๆ เป็นหลัก แต่พอกินอาหารฝรั่งเป็นอยู่บ้าง เพราะมักได้อาหารหรือขนมที่เหลือจากร้านไปกินเป็นประจำ พอช่วยให้คุ้นเคยกับอาหารฝรั่งอยู่บ้าง ไม่ถึงกับรู้สึกแปลกแยก
เป็งตักกินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเดียวกัน เรากินไปคุยกันไปนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมจิตใจผมยังไม่ค่อยปกตินัก พอกินเสร็จผมจึงอาสาไปล้างจานให้ ตอนแรกเป็งไม่ยอม แต่ผมถือวิสาสะหยิบจานไปล้างเสียเลย เป็งจึงมายืนดูผมล้างจานข้างๆ แล้วชวนคุย
"ทำไมวันนี้คานินดูเงียบๆ มีใครว่าอะไรคานินอีกหรือเปล่า"
แน่ะ! มีญาณวิเศษหรือไงหนอถึงได้รู้ดีขนาดนี้
"โดนด่านิดหน่อยครับ" ผมแค่นหัวเราะ รู้สึกสมเพชตัวเองหน่อยๆ
"ล้างจานเสร็จแล้วเล่าให้ผมฟังได้นะ ถ้าอยากเล่า" เป็งบอกพร้อมกับยื่นมือมาขอรับจานที่ผมล้างเสร็จแล้วไปคว่ำให้
- - + - - + - - + - - + - - + - - + - - + - - + - - +
เสร็จจากล้างจานแล้ว ผมกับเป็งมานั่งที่โซฟาคุยกันที่โซฟาตามเดิม นั่งลงแล้วผมมองไปรอบๆ ห้องเพราะยังไม่รู้จะคุยอะไรดี
"ว่าไง อยากเล่าให้ผมฟังหรือเปล่า ผมฟังได้นะ เผื่อจะช่วยให้คานินสบายใจขึ้น" เป็งไม่ลืมทวงถาม
เห็นเป็งอยากฟังขนาดนั้นผมจึงต้องเล่าให้ฟังตามคำขอ "วันนี้มีลูกค้าสั่งกาแฟแล้วบอกว่าผมทำให้ผิดสูตร เขาบอกว่าที่เคยกินที่อเมริกาไม่ใช่รสชาติแบบนี้ ผมพยายามอธิบายว่าสูตรของไทยไม่เหมือนอเมริกา แต่เขาไม่ฟัง หาว่าผมทำให้ผิด ด่าผมว่าโง่ด้วย"
เป็งตกใจไม่น้อยตรงประโยคสุดท้าย "ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วคนไทยหรือฝรั่งล่ะ"
"ฝรั่งครับ แล้วเขาให้ผมเรียกผู้จัดการมาคุยด้วย สุดท้ายตกลงว่าจะให้ทำให้ใหม่ แต่ก็นั่นแหละ ผมโดนผู้จัดการด่าอีก ให้ผมชดใช้ค่ากาแฟแก้วนั้นด้วย มีเรื่องบ่อยๆ แบบนี้ผมไม่รู้จะผ่านโปรหรือเปล่า" ผมบอกด้วยสีหน้ากังวล
เป็งจึงส่งยิ้มมาให้กำลังใจ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรผมกลับชิงพูดก่อน
"ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่ว่า...คุณเป็งจะให้ผมชดใช้เรื่องที่ผมทำคุณเป็งท้องเสียจนเข้าโรงพยาบาลยังไงล่ะครับ"
ผมชวนเข้าเรื่องเสียเลย ตอนนี้ดึกมากแล้ว ผมคงอยู่นานมากไม่ได้
"อ้อ จะคุยเลยเหรอ" เป็งถามอย่างไม่แน่ใจ
"ครับ พอดีผมเลิกดึกไปหน่อย คงคุยนานไม่ได้ เดี๋ยวจะกลับดึก พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก"
"อ้อ จริงด้วยสิ เอางี้ละกัน ความจริงคานินไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่ตอบคำถามผมมาตรงๆ ก็พอ"
ผมขมวดคิ้วมองคนที่นั่งเอามือประสานกันตรงหน้าอย่างแปลกใจ หนุ่มตี๋คิ้วหนายิ้มเจ้าเล่ห์จนผมนึกระแวง
"คานินสัญญาผมนะว่าจะตอบคำถามผมตรงๆ ตามความเป็นจริงทุกอย่าง"
ผมพยักหน้ายอมรับข้อตกลงไปก่อน แม้ว่ายังไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องอะไร "ครับ"
"วินไม่ใช่ลูกของคานินใช่ไหม"
ว่าแล้วไหมล่ะ ผมนึกอยู่แล้วเชียวว่าเป็งคงสงสัยเรื่องนี้ ผมจึงได้แต่หน้าเหวอและอ้าปากค้าง อาการเศร้าสลดหดหู่เมื่อสักครู่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่สัญญาไปแล้วคงต้องพูดความจริง
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น มองหน้าเป็งแล้วยิ้มแหยๆ ก่อนจะส่ายหน้าแทนการตอบคำถาม
"แล้วคานินโกหกผมทำไม" เป็งถามต่อทันที คงกะไม่ให้ผมได้พักหายใจหายคอกันเลย
"เอ่อ...คือ..." ผมไม่รู้จะตอบยังไง
"กลัวผมจีบเหรอ"
ผมตกใจจนแทบตกโซฟาพอเป็งพูดตรงจุดเป๊ะ "เอ่อ..."
"ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าคานินไม่เต็มใจ...แค่บอกผมว่าไม่ชอบ ผมก็แค่ผิดหวังแค่นั้นแหละ รู้ไหม...ผมเคยชอบสาวมีเขี้ยวก็จริงนะ แต่พอเจอหนุ่มมีเขี้ยวอย่างคานิน ผมลืมสาวมีเขี้ยวในฝันไปเลย ผมชอบคานินตั้งแต่แรกเจอเลยนะ เอาอย่างงี้ดีไหม คานินบอกผมมาคำเดียวว่า...คานินอยากลองคบกับผมดูหรือเปล่า ถ้าอยาก...ผมก็จะเดินหน้า แต่ถ้าไม่อยาก...ผมก็จะถอย"
เจอรุกเข้าไปเต็มๆ แบบนี้ผมยิ่งเหวอจนหน้าเหลอ ให้กลับบ้านตอนนี้ไม่รู้ว่าจะกลับถูกหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไป เป็งอาจโดนผมเตะจนล้มคว่ำไปแล้ว แต่ทำไมผมไม่ทำอย่างนั้น? ผมควรเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมนั่งเฉยให้ผู้ชายคนนี้แทะโลมอยู่ได้! แปลว่าผมโอเคที่ถูกผู้ชายจีบหรือเปล่า?
'ต่อต้านสิคานิน ทำไมไม่ต่อต้านผู้ชายคนนี้วะ ทำไมไม่ต่อยให้หน้าคว่ำไปเลย!' ผมคิดในใจ แต่กลับทำได้แค่คิดเท่านั้น
"ว่าไงล่ะคานิน คานินรู้สึกดีๆ กับผมมากพอที่จะลองคบกับผมดูหรือเปล่า"
ว่าแล้วเป็งจึงเขยิบจากโซฟาฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างๆ ผม คอยจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ น้ำลายผมเหนียวจนแทบกลืนลงคอไม่ได้ มือไม้เย็นจนแทบชาและสั่นหน่อยๆ มิหนำซ้ำหัวใจยังเต้นรัวยังกะกลองรบจนแทบหลุดออกมาเต้นข้างนอก
"ผมยอมรับว่ามันเร็วไปที่ถามอย่างงี้ แต่ถ้าเรารู้สึกดีๆ ต่อกัน เราก็จะได้ลองสานสัมพันธ์กันไง เผื่อเราสองคนจะได้เจอความรักที่ตามมามาตั้งนานแล้วก็ได้ คานินรู้สึกดีกับผม...เหมือนที่ผมรู้สึกดีกับคานินหรือเปล่า"
เป็งถามเป็นรอบที่สาม ผมรู้ว่าคงถ่วงเวลาให้นานกว่านี้อีกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะลำบากใจที่ต้องตอบหรอก ผมรู้สึกเขินต่างหาก อยู่ดีๆ จะให้บอกว่ารู้สึกดีๆ กับผู้ชายก็กระไรอยู่ ขนาดผู้หญิงผมยังอายเลย นับประสาอะไรกับผู้ชาย
พอรวบรวมความกล้าได้แล้วผมจึงตัดสินใจตอบไปว่า...
"จะถามทำไมตั้งหลายรอบล่ะครับ ถ้าผมไม่รู้สึกดีๆ คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก"
TBC...