Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 282022 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #810 เมื่อ25-10-2018 11:15:57 »

อูยยยยย..........
เอาใจช่วยทุกคู่เลย.......   :mew1: :mew1: :mew1:

อนุวัฒน์  จิงโจ้   :กอด1:

หมอเปรม  ฮาร์ฟ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ konfaibint

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #811 เมื่อ26-10-2018 11:32:57 »

มีความสุขที่ได้อ่าน  :กอด1: :L2: :L1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #812 เมื่อ03-11-2018 00:41:40 »

บทที่ 8 ลั่นทม

รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวออกจากคอนโดเข้าสู่ถนนสายหลัก วินทร์ที่ปกติจะเป็นคนขับเสมอวันนี้ต้องเปลี่ยนมานั่งที่ข้างๆ เขาหันไปมองนรกรที่ตั้งสมาธิอยู่กับท้องถนนก่อนจะหันไปมองคอนโดอีกครั้ง นึกถึงการบ้านชุดใหญ่ที่นรกรฝากฝังไว้กับเจ้าผีไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่น

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
“นี่คือเขตหวงห้ามที่สอง” วินทร์ชี้อาณาเขตห้องนอนให้ดู

“จ้า~” มันรับคำพลางหาวหวอด “ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ใช่สเปคก็ยัง…”

“มีครั้งแรกได้ก็มีครั้งที่สองได้” วินทร์ชี้หน้า “และฉันต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

“นี่แกไม่ไว้ใจแฟนแกหรือไง”

“ฉันเชื่อใจฮาร์ฟ แต่ไม่ไว้ใจแก” วินทร์ตัดบท “เลิกต่อล้อต่อเถียงแล้วก็ฟังไปเงียบๆ ซะ ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกัน”

“จ้า~” มันรับคำ

“ผมจะให้โทรศัพท์เครื่องเก่าของพี่วินทร์ไว้ใช้จะได้ตามตัวกันถูก” นรกรเข้ามาขวางการทะเลาะกันของทั้งพร้อมทั้งส่งโทรศัพท์มือถือให้

มันรีบรับไปจับๆ ดูด้วยความสนอกสนใจ “โห~ สมัยนี้โทรศัพท์เหลือเครื่องแค่นี้เองเหรอโคตรจ๊าบเลย”

“จ๊าบ?” วินทร์เลิกคิ้ว “ครั้งล่าสุดที่เคยได้ยินคนพูดคำนี้ก็สมัยเรียนประถมโน่นเลย… มันเชยแล้ว ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาใช้คำว่า ‘เท่’ หรือ ‘ชิคๆ’ ‘คูลๆ’ อะไรพวกนี้แล้ว”

มันไหวไหล่ “ทำไมล่ะก็จ๊าบดีออก”

“ผมจะโทรเข้านะเดี๋ยวคุณลองรับสายดู” นรกรหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรออก เพียงอึดใจเสียงเพลงของโทรศัพท์อีกเครื่องก็ดังขึ้น

“มันสั่นได้ด้วยล่ะ” มันร้องด้วนยความตื่นเต้น

“ผมตั้งระบบเสียงกับสั่นไว้ เผื่อคุณจะยังไม่ชินว่านี่เสียงอะไร” นรกรอธิบายต่อ “ทีนี้ก็ใช้ปลายนิ้วสไลด์ไปตรงปุ่มรับสายเบาๆ” เพราะอีกฝ่ายยังดูเงอะงะเขาจึงต้องช่วยจับมือทำ “แบบนี้แหละ… ไหนลองพูดสิ… ฮัลโหล”
มันยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูกลับหัวกลับหางจนนรกรต้องมาช่วยจับอีกที “ฮัลโหล?”

“ได้ยินชัดไหม”

“ชัดแจ๋วเลย”

“ดีมาก ทีนี้ก็วางสายแล้วคุณลองเป็นฝ่ายโทรมาบ้าง ทำแบบนี้ผมทำเมื่อกี้น่ะ”

มันพยักหน้าแล้วกดๆ อยู่อึดใจโทรศัพท์ในมือนรกรก็ส่งเสียงร้อง

“เก่งมาก” นรกรชม “ยังมีฟังค์ชั่นต่างๆ อีกหลายอย่าง คืนนี้คุณลองเล่นดู คู่มืออยู่ในนี้แล้ว แล้วผมก็เปิดไวไฟ… อินเตอร์เน็ต… เอ่อ… มันคือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อและส่งข้อมูลถึงกันได้น่ะ”

“อินเตอร์… อะไรนะ” มันทวนคำ

“Internet” นรกรพูดซ้ำ

“อ่อ อันนี้ฉันพอรู้จักนะ” มันว่า “สมัยนั้นเราเรียกว่าเครือข่ายไทยสารน่ะ มหาวิทยาลัยเพิ่งเอาเข้ามาเพื่อพัฒนางานวิจัยน่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เลย ตอนนี้มันพัฒนาไปไกลแล้วสินะ”

“ส่วนนี่คือวิธีการที่เราใช้ค้นหาข้อมูลในปัจจุบัน คุณลองพิมพ์สิ่งที่อยากรู้ลงไปแล้วกดตรงรูปแว่นขยาย” นรกรอธิบายต่อ “สมมติว่าผมจะทำข้าวไข่เจียว ผมก็พิมพ์ลงไปตรงนี้ รอสักครู่… เห็นไหมมีตัวเลือกบอกวิธีการทำเยอะแยะเลยแล้วเราก็กดเข้าไปดูได้ จะหาอะไรก็แค่พิมพ์ลงไป”

“ง่ายดีแท้ ไม่ต้องมานั่งค้นหาในหนังสือหรือตำราอะไรกันแล้วสินะ”

“สะดวกใช้ไหมล่ะ” นรกรว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกกับพี่วินทร์จะกลับดึกหน่อย ผมจะไม่ล็อกประตู ถ้าคุณยอมรับปากว่าจะช่วยอยู่เฝ้าบ้านดีๆ ไม่ออกไปไหนและห้ามเปิดประตูรับใครนอกจากพวกผมตกลงไหมครับ”

“มีไอ้เครื่องนี่ให้เล่นฉันคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ” มันว่าสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งตอนนี้มันค้นพบเกมแข่งรถอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว “พวกนายจะไปสวีทกันที่ไหนก็ไปเถอะ ตามสบายเลย”

“งั้นพวกผมไปแล้วนะครับ”

มันไถลตัวลงนอนเอกเขนกบนโซฟาก่อนจะชูมือขึ้นโบกหยอยๆ ไล่ให้พวกเขาออกจากห้อง


อันที่จริงวินทร์รู้สึกไม่วางใจเลยสักนิดที่ทิ้งมันไว้คนเดียวแบบนั้น แต่อย่างที่นรกรบอกว่าพวกเขาจะเอาก้างขวางคอมาทำไมในวันสำคัญแบบนี้ ยังไงก็ขอมีความสุขก่อนค่อยกลับมาปวดหัวทีหลังละกัน

“ตกลงเราจะไปไหนกัน” เขาหันไปถามคนที่ยึดกุญแจรถและจุดหมายปลายทางในวันนี้

“ไปวัดครับ” นรกรตอบ

“วัด?” วินทร์ถามย้ำแต่ก็ไม่ซักไซ้อะไรเพิ่มเติมอีกเพราะตกลงกันแล้วว่าจะให้สิทธิ์นรกรเลือกสถานที่ เขาจึงหันมาสารวนกับการเสนอเพลงและคลื่นวิทยุ เมื่อเลือกได้จนถูกใจแล้ว แทนที่จะปล่อยให้นักร้องได้ทำหน้าที่ขับกล่อม เจ้าตัวก็กลับแหกปากร้องแข่งประหนึ่งว่านั่นเป็นเพลงของตัวเอง

นรกรไม่ได้บ่นว่าอะไร เพียงแต่เคาะปลายนิ้วตามจังหวะไปด้วย เขาชินเสียแล้วกับโน้ตสูงๆ ต่ำๆ ตามใจฉันไม่แคร์เสียงดนตรี แต่พูดแบบไม่ลำเอียงเลย เขาก็ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้วินทร์ร้องเพลงเพราะขึ้นเยอะจริงๆ เปรียบเทียบว่าเมสมัยก่อนเป็นเสียงหมาหอนตอนนี้ก็หมาแก่พรรษาที่อยู่วัดมานานจนมีลูกเล่นลูกคอรับกับเสียงสวดมนตร์ตีกลองเพลล่ะ

ขับมาไม่นานเจ้าเต่าฟ้าที่วินทร์ชอบเรียกก็แล่นมาถึงปลายทาง ซึ่งเป็นวัดที่พวกเขามาทำบุญด้วยกันก่อนที่วินทร์จะประสบอุบัติเหตุ

“นายมาทำอะไรที่นี่” วินทร์ถาม “คงไม่ได้แค่มาทำบุญหรอกใช่ไหม”

“มาทำบุญครับ” นรกรบอกก่อนจะดับเครื่องยนตร์และเปิดประตูลงจากรถ “ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เกิดชาติหน้าเราจะได้เจอกันอีกไง”

“ว่าไปนั่น” วินทร์หัวเราะในลำคอกับคำพูดทีเล่นที่ทีจริงของอีกฝ่ายพลางเดินเคียงคู่กันไปบนถนนปูอิฐตัวหนอนที่สองข้างทางปลูกดอกลั่นทมเรียงรายไว้ แสงอาทิตย์ยามอัศดงสีอมส้มที่สาดผ่านริ้วเมฆมาเป็นสายกระทบพื้นดูสวยงามยิ่งนัก

“พี่วินทร์จำที่พระองค์นั้นบอกได้หรือเปล่าครับ” นรกรถาม “ตอนที่ท่านผูกสายสิญจน์ให้พี่วินทร์น่ะ”

“จำได้แม่นเลยล่ะ” วินทร์ตอบทันที “ท่านบอกว่า… สุขทุกข์อยู่ที่ใจหาใช่รูปกาย ให้เชื่อมั่นในหนทางที่เลือก แล้วจากนี้ไปก็ขอให้พบเจอแต่ความสุขน่ะ”

นรกรพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “วันนี้พามาขอสายสิญจน์เส้นใหม่ครับ เส้นเก่าดูเหมือนว่าจะหายไปแล้ว”

วินทร์เหลือบตามองข้อมืออีกฝ่ายที่ยังมีด้ายถักสีขาวผูกอยู่แน่นหนาก่อนจะยกข้อมือตัวเองขึ้นดู “คงขาดตอนอุบัติเหตุมั้ง ไม่ก็คงเป็นหน่วยกู้ชีพตัดออกแล้วเผลอทิ้งไปตอนพยายามช่วยชีวิตน่ะ… จะว่าไปแหวนของฉันที่พ่อนายให้มาอยู่ไหนน่ะฮาร์ฟ นายได้เก็บไว้หรือเปล่า”

“อยู่นี่ครับ” นรกรบอกพร้อมกับแหวกคอเสื้อเชิ้ตออกเล็กน้อย

วินทร์จึงได้เห็นว่าตอนนี้ลำคอขาวมีสายสร้อยสีเงินเส้นบางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนคล้องอยู่ นรกรดึงมันออกมาและสิ่งที่คล้องอยู่บนสายสร้อยนั้นคือแหวนเงินวงที่เป็นของคู่กันบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย

“รอใส่คืนให้อยู่นะครับ” นรกรบอกก่อนจะเก็บใส่ไว้ในเสื้อตามเดิม

“ก็อยากให้ทำจะแย่แล้ว”

“จะมาทำบุญก็รีบหน่อยนะโยม ใกล้จะได้เวลาปิดโบสถ์เพื่อทำวัดแล้ว” เสียงทุ้มกังวาลดังขึ้นตรงใต้ต้นลั่นทมหน้าประตูโบสถ์

“สวัสดีครับ” นรกรหันไปยกมือไหว้และนึกจำได้ทันทีว่าเป็นพระรูปเดียวกับที่ทำพิธีให้ตอนที่มาครั้งก่อน “ผมจะมาถวายสังฆทานครับ”

พระสงฆ์แก่พรรษาหน้าตาใจดีกวาดตามองผู้มาเยือนยามโพล้เพล้อยู่อึดใจก็ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน “ตามมาสิโยม”

นรกรหันไปพยักกับร่างโปร่งแสงและเดินตามเข้าไปด้านในโบสถ์ ทั้งสองนั่งลงตรงหน้าพระประธานของวัดอันเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เพราะวันนี้ไม่ได้รีบร้อนมาแบบครั้งก่อนนรกรจึงสังเกตว่าดวงตาของพระประธานที่ทอดมองลงมานั้นช่างอ่อนโยนเหลือเกิน อีกทั้งดวงหน้าผ่องใสก็ราวกับจะส่งยิ้มน้อยๆ มาให้
ทั้งสองก้มลงกราบพระประธานพร้อมกันในขณะที่พระท่านนั่งลงบนอาสนะตรงหน้าพลางเตรียมเครื่องสังฆทานและขันน้ำมนตร์สำหรับทำพิธี

กรวดน้ำพรมน้ำมนตร์เสร็จและทั้งสองก้มลงกราบเป็นครั้งสุดท้ายพระท่านก็เอ่ยขึ้น “ช่วงนี้มีเรื่องทุกข์ใจหรือโยม ทำไมหน้าตาไม่ค่อยสดใสเหมือนที่มาครั้งก่อน”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างๆ และตอบคำถาม “ก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่ครับ”

“คิดเยอะไปบางทีก็ปวดหัวเปล่า เหมือนพายเรือในอ่างวนไปวนมาหาทางออกไม่ได้” พระท่านกล่าว “โยมแค่ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อยให้ผลกรรมเป็นตามครรลองของมันน่ะแหละ”

“ครับ” นรกรรับคำ “ท่านครับ ผมขอสายสิญจน์อีกเส้นได้ไหมครับ”

“จะเอาไปทำไมหรือโยม เส้นที่ข้อมือนั้นอาตมาเพิ่งจะให้โยมไปนี่นา”

“ผมไม่ได้จะใส่เองครับ แต่จะเอาไปให้เพื่อน”

“ถ้าเป็นเพื่อนที่มาด้วยกันวันนั้น เขามีอยู่แล้ว”

“แต่ว่ามันขาด…” นรกรยังไม่ทันพูดจบประโยคพระท่านก็พูดต่อ

“เส้นนั้นอาตมาให้ไว้ป้องกันตัว ขาดไปก็ไม่เป็นไรเพราะเขามีติดตัวอยู่แล้วอีกเส้นหนึ่ง” ท่านบอก
นรกรเหลือตามองร่างโปร่งแสงข้างกายที่ยกมือสองข้างของตัวเองขึ้นดูแบบงงๆ ว่ามีอะไรมาผูกไว้ตอนไหนซึ่งมันก็ว่างเปล่า ทั้งที่คอและที่ขา ถึงขั้นลองตบๆ ดูตามกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงก็ไม่เห็นมีสายอะไรที่ว่า

“ไม่มีเครื่องรางของขลังใดที่อาตมาหรือวัดแห่งนี้มีศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าเส้นที่เขามีติดตัวอยู่แล้ว… และเขาก็ผูกมันไว้แน่นหนาทีเดียว” ท่านกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม

วินทร์หันไปทำปากขมุบขมิบบอกกับนรกร “แต่ฉันไม่มีจริงๆ นะ”

“ได้เวลาปิดโบสถ์แล้ว โยมต้องกลับแล้วล่ะ”

“ครับ” เพราะไม่อาจขัดนรกรจึงกราบลาก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอกโดยมีพระรูปนั้นเดินออกมาส่ง “เอ่อ… ผมขอถามได้ไหมครับ” เขายังคงติดใจสงสัย “เส้นที่ท่านว่ามันคืออะไรครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ผูกหรือใส่อะไรไว้”

พระท่านไม่ตอบในทันที ท่านเงยหน้าขึ้นมองร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทางเดินปูด้วยอิฐตัวหนอน ทั้งสองมองตาม ตอนนั้นเองที่สายลมพัดมาต้องกิ่งใบลู่ไปทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งกำจายไปทั่ว พลันดอกไม้สีขาวนวลดอกหนึ่งปลิวหลุดจากขั้วลงมา ท่านยื่นมือออกไปรับไว้และส่งให้
นรกรรับดอกลั่นทมนั้นมาถือไว้พลางพินิจดู “แล้วมันยังไงเหรอครับ…”
หากพอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพระรูปนั้นก็หายไปเสียแล้ว

OOOOOO

(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 00:52:07 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #813 เมื่อ03-11-2018 00:50:29 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ออกจากวัดก็พาฉันมาที่แบบนี้เนี่ยนะ” วินทร์พูดติดตลกพลางกวาดตามองไปรอบตัว “นายทำฉันปรับอารมณ์ตามไม่ทันนะฮาร์ฟ”

ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ร้านมิดไนท์ซึ่งเป็นร้านอาหารน่านั่งธรรมดาในตอนกลางวันและเปลี่ยนเป็นร้านกึ่งผับในยามกลางคืน ซึ่งตอนนี้ทั้งร้านมีผู้คนจับจองครบทุกโต๊ะ แต่พวกเขา(หรือจริงๆ คือนรกรคนเดียวตามที่พนักงานในร้านเห็น) กลับได้โต๊ะตรงได้มุมด้านในที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนักทั้งๆ ที่มาคนเดียวน่าจะต้องโดนจัดให้ไปนั่งที่บาร์แล้ว แถมตรงกลางโต๊ะยังประดับด้วยแก้วใส่กรวดเม็ดเล็กๆ สีขาวปักดอกกุหลาบที่ตัดก้านจนสั้นต่างจากโต๊ะอื่นๆ อีก
และคำตอบก็เดินมาหาตอนที่วินทร์กำลังจะถามออกไปพอดี

“จะให้ผมเริ่มเสิร์ฟอาหารเลยไหมครับหรือว่าจะรอแขกอีกท่านมาถึงก่อน” บริกรเดินมาถาม

“เสิร์ฟเลยครับ” นรกรตอบ

วินทร์ขยิบตาให้ “ร้ายนะเรา”

“ผมแค่ไม่อยากให้คนบางคนทำอาหารจนหมดแรง ไม่มีแรงทำอย่างอื่นครับ”

“หมดแรงทำอะไร” วินทร์ว่า “ตอบดีๆ นะ”

“ล้างจานครับ”

“ฉันล้างสะอาดนะ… ทั้งจานชามหม้อไห”

นรกรเหลือบตาขึ้นมองตาคนตรงหน้า นัยน์ตาพราวระยับที่สบมาบ่งบอกให้รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้ข้อความที่เอื้อนเอ่ย

“ไม่เชื่อเหรอ?”

หัวใจเต้นสะดุดกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก จนนึกอยากจะเอื้อมมือไปหยิกแขนล่ำๆ นั้นให้เขียวสักทีถ้าหากว่าทำได้ “คนลามก”

“ฉันพูดถึงเรื่องทำอาหารกับล้างจาน” วินทร์พูดหน้าตายโดยไม่หลบสายตา หากคนมองนั้นสะท้านจนสองแก้มร้อนผ่าว “ใครกันแน่ที่คิดลามก”

“ผม… เปล่าสักหน่อย…”

โชคดีที่อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดี นรกรจึงสบโอกาสหลบสายตามาสนใจสเต็กปลาตรงหน้า ส่วนของฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นเนื้อที่ย่างแบบมีเดียมแรร์แบบที่เจ้าตัวชอบกิน

บริกรเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับตะกร้าใส่ไวน์แดง

“หยุด! อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ” วินทร์รีบปราม “ฉันไม่ยอมให้นายเมาต่อหน้าคนอื่นนอกจากฉัน ไม่ใช่สิ! วันนี้นายขับรถมามันอันตราย…”

“แก้วเดียวครับ”

“ฮาร์ฟ”

นรกรไม่ฟัง เขาหันไปพยักหน้ากับบริกรก่อนจะผายมือไปด้านตรงข้าม “ผมขอน้ำเปล่าครับ”
บริกรมีท่าทีลังเลเล็กน้อยเพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าผู้ร่วมโต๊ะอาหารจะมา หากก็ไม่ได้ปริปากถามและทำตามหน้าที่จนเสร็จสิ้น

“นาย… โอเคนะ” วินทร์ถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่บริกรเดินไป “เมื่อกี้น้องเขาก็ทำหน้าแปลกๆ”
“ไม่มีใครสนใจเราหรอกครับ” นรกรบอก “มืดก็มืด เพลงก็ดัง ถึงบริกรจะดูงงๆ แต่ตราบใดที่ผมมีเงินจ่ายครบทุกบาททุกสตางค์ เขาก็ไม่มีสิทธิ์บ่น”

“แล้วนายจะทำยังไงกับอาหารส่วนของฉันล่ะ นายกินคนเดียวไหวเหรอ”

“เดี๋ยวผมสั่งให้ห่อกลับบ้าน เอาไว้อุ่นกินเป็นมื้อเที่ยงไม่ก็เย็นพรุ่งนี้ครับ พี่วินทร์จะได้ไม่ต้องลำบากใจเรื่องอาหารห้าหมู่ของผมไง” นรกรว่าพลางหยิบเฟรนซ์ฟรายซึ่งเสิร์ฟเป็นเครื่องเคียงจิ้มซอสมะเขือเทศแล้วแหย่ไปที่ปากคนตรงหน้า

วินทร์อ้าปากงับทันทีตามสัญชาติญาณแต่ก็กินไม่ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าถูกแกล้งเมื่ออีกฝ่ายส่งชิ้นมันฝรั่งทอดเข้าปากตัวเองพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“กินดีๆ ซอสเลอะปากแล้ว” กินไม่ได้แต่บ่นได้

“ตรงไหนครับ” นรกรถามพลางยกมือขึ้นแตะมุมปาก แต่ก็ไม่มีเศษอะไรติดมือมาก

“ไม่ใช่ๆ ตรงนี้ต่างหาก” วินทร์ชี้โดยอิงตำแหน่งจากริมฝีปากตัวเอง

“ไม่เห็นมีเลย”

“มีสิตรงนี้ไง” วินทร์ทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนแล้วชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาหา “ตรงนี้… เม้มปากสิ”

นรกรทำตาม ชั่วขณะที่นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งและใบหน้าห่างกันแค่คืบ ต่างคนต่างรู้ความต้องการลึกๆ ของหัวใจ เหมือนเสียงเพลงและความอึงอลของผู้คนรอบกายมันดับไปชั่วครู่ ใบหน้าค่อยขยับเข้าหากันทีละนิด… ทีละนิด… ในห้วงเวลาที่โลกนี้มีแค่เราเพียงสองคน มันช่างอบอุ่น นุ่มนวลและเคลิ้มฝันก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาแจ่มชัดด้วยเสียงของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ

“อ้าว คุณฮาร์ฟมาทำอะไรที่นี่คนเดียวครับ”

นรกรได้สติหันไปทักทายหนุ่มหน้าตี๋ที่มายืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ “สวัสดีครับคุณพาส”

“พอดีผมพาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองน่ะครับ เพิ่งเสร็จส่งขึ้นรถไปเมื่อสักครู่นี่เอง พอดีเห็นรถคุณฮาร์ฟจอดอยู่เลยเดินกลับมาดู โชคดีจังที่เจอกัน” ภาษิตบอก

“แต่ทางนี้น่ะโคตรโชคร้ายเลย” วินทร์บ่นเสียงดังพร้อมกับกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะครับ” ภาษิตกวาดตามองอาหารที่ถูกเสิร์ฟเป็นสองที่แต่มีคนนั่งทานแค่คนเดียว พลันสีหน้ายิ้มแย้มก็หมองหม่นลง “หรือว่า… เขาทิ้งคุณให้มาคนเดียวครับ”

“เปล่าครับ” นรกรรีบบอก

“ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไง” วินทร์จิ๊ปาก

“ถ้าคุณไม่ว่ากันผมขออนุญาตนั่งเป็นเพื่อนคุณแทนเขาได้ไหมครับ” ไม่พูดเปล่าภาษิตยังถือวิสาสะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นรกรจะห้ามก็ไม่ทันทำให้ร่างโปร่งแสงต้องผวาลุกหนีและหลบมายืนข้างๆ นรกรแทน “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากคุยกับคุณ ให้ผมได้นั่งเป็นเพื่อนคุณนะครับ”

“แต่ผม…” นรกรเหลือบตามองดูวินทร์ที่ยืนกอดอกจ้องตาเขม็งอยู่ หากนั่นทำให้บริกรประจำโต๊ะที่คอยดูแลอยู่เข้าใจผิดว่านรกรกำลังส่งสัญญาณเรียก

“รังเกียจผมเหรอครับ” ภาษิตถามเสียงอ่อย

“ไม่ได้รังเกียจครับ แต่แบบว่า…”

บริกรเดินมาถึงโต๊ะพอดี เขายิ้มกว้างให้ทั้งสองพร้อมกับส่งช่อดอกกุหลาบขาวที่ถือมาให้ “นี่ครับ”

“เขาไม่ใช่…” นรกรพยายามจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อดอกไม้ช่องานถูกถ่ายโอนไปสู่มือของหนุ่มหน้าตี๋
ทำหน้าที่เรียบร้อยบริการก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับกล่าวอวยพรก่อนจะจากไป “ขอให้รักกันนานๆ นะครับ”

ภาษิตมองช่อดอกไม้ที่โดนยัดใส่มือมา ก่อนจะส่งคืนให้นรกรที่ตอนนี้สีหน้าไม่สู้ดีนัก “ผมไม่กล้ามาแทนที่เขาหรอกครับ แต่อย่าลืมนะครับว่าวันใดที่เขาทิ้งคุณไป ยังมีผมอีกคนนะครับ”
นรกรไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่รับช่อดอกไม้คืนมาเงียบๆ ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความเข้าใจผิดให้ภาษิตว่านรกรโดนทิ้งจริงๆ

“เขาไม่ควรทำให้คุณเสียใจ”

“พี่วินทร์ไม่ได้ทำให้ผมเสียใจเลยครับ”

“แล้วเขาหายไปไหนล่ะครับ ทำไมเขาถึงปล่อยให้คุณมาคนเดียว แล้วทำไมคุณถึงยังทำเหมือนว่าเขาอยู่กับคุณทั้งที่…” ภาษิตตัดพ้อ “ถ้าเขาไม่รักคุณแล้ว คุณก็เลิกหลอกตัวเองเถอะครับ”

“ผมแค่อยากมาครับ แล้วเราก็ยังรักกันดี” นรกรตัดบทพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ผมขอตัวนะครับ”

ภาษิตรีบลุกขึ้นมายืนขวางหน้า “คุณฮาร์ฟครับ…”

นรกรเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินก้าวเร็วๆ ไปจ่ายเงินก่อนจะรีบออกจากร้านไป

“ฮาร์ฟ” วินทร์ที่เดินคู่กันมาส่งเสียงเรีกเป็นครั้งแรกเมื่อทั้งสองมายืนอยู่ในลานจอดรถซึ่งร้างผู้คน

นรกรหยุดฝีเท้าและหันไปหาร่างโปร่งแสงที่กำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง “ผมขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดีนะครับ… ผมไม่น่าฝืนมาเลยจริงๆ...”

“ไม่เอาน่า ไม่ใช่ความผิดนายสักหน่อย ไอ้บ้านั่นต่างหากที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้” วินทร์ปลอบ “นายเลยได้กินไปนิดเดียวเอง เดี๋ยวไปหาอะไรกินร้านสะดวกซื้อละกันนะ”

“ครับ” นรกรรับคำด้วยน้ำเสียงที่คนฟังแทบอยากดึงตัวมากอดแน่นๆ
เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ วินทร์จึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขาเหลียวมองรอบตัวอยู่อึดใจแล้วก็พูดขึ้น “เราเดทกันครั้งแรกที่นี่”

นรกรมองคนตรงหน้า

“นายจะนับหรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันนับเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราออกมาข้างนอกกันสองคนโดยไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวข้อง” วินทร์บอก “ฉันรวบรวมความกล้าชวนนายมากินเลี้ยงวันเกิดกันสองคนแล้วนายก็ตอบตกลง ตอนนั้นฉันดีใจมากเลยนะที่นายรับปากฉันน่ะ ฉันมารอนายก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมงนึงแน่ะ”

“มีเวลารอนานขนาดนั้น แต่กลับใส่เสื้อยืดตัวเก่ากับกางเกงยีนส์ขาดๆ มา” นรกรพูดขำๆ พลางนึกย้อนไป ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายหรอกที่นับว่านี่เป็นเดทแรกเขาเองก็นับเหมือนกันและนี่คือสาเหตุที่เลือกมาร้านนี้ในวันนี้ “นี่ถ้าวันนั้นพี่วินทร์ไม่ได้ใส่ชุดแบบปกติแต่แต่งตัวหล่อๆ มาผมคงเอะใจไปแล้วล่ะว่าจะจีบจริงจังน่ะ… อย่างน้อยก็โกนหนวดโกนเคราทำให้ดูพิเศษกว่าปกติหน่อย ผมก็คิดว่าพี่วินทร์ชวนไปงั้นๆ น่ะสิ”

“ก็แค่อยากลองใจน่ะว่าจะรับพี่หมีซกมกคนนี้ได้หรือเปล่า” วินทร์พูดไปขำไป “เปล่าหรอก… จริงๆ คือลองแต่งหล่อแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจน่ะ แค่ส่องกระจกก็เขินตัวเองจะแย่แล้ว ว่านี่เราทำอะไรอยู่วะ เปลี่ยนๆ ถอดๆ อยู่ตั้งหลายชุด เสื้อผ้ากองเต็มห้อง สุดท้ายก็เอาแบบปกติที่เคยเห็นๆ กันดีกว่า พอดีตอนนั้นยังไม่พร้อมแกรนด์โอเพนนิ่งด้วย แต่ใครจะไปคิดว่านายจะจัดเต็ม… ตอนนั้นก็รู้จักกันมาห้าปีแล้วนะ แต่ไม่ยักแต่งหล่อขนาดนั้นมาให้เห็นสักครั้ง นึกแล้วน่าน้อยใจไอ้ผีบ้านั่นกับปอชะมัด ตอนนั้นโกรธก็โกรธที่นายที่นายไปกับหมอนั่น แต่พอเห็นตอนที่รีบวิ่งเข้ามาในร้านนี่ทำเอาฉันใจสั่นจนพูดไม่ออกไปกันใหญ่เลย”

“ที่วันนั้นไม่ยอมพูดกับผมเพราะแบบนี้นี่เองเหรอครับ” นรกรว่า

“อือ” วินทร์พยักหน้ารับเขินๆ

“แล้วนี่ไปอิจฉาทิดกับพี่ปอทำไมครับ”

“ก็สองคนนั่นได้เห็นก่อน แล้วที่นายแต่งมาแบบนั้นเพราะว่านัดกับไอ้ปอไว้ใช่ไหมล่ะ”

“เปล่าครับ” นรกรบอก “ต่อให้ไม่มีนัดกับพี่ปอผมก็ตั้งใจใส่มาแบบนั้นอยู่แล้ว”

“พูดโกหกให้ฉันรู้สึกดีหรือเปล่าเนี่ย” วินทร์ทำปากขมุบขมิบ

“โกหกหรือเปล่า คนที่รู้จักผมดีที่สุดอย่างพี่วินทร์น่าจะตอบคำถามนี้ได้ด้วยตัวเองนะครับ”

“ก็ตอบตรงๆ ให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไงเล่า… ไอ้เราก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองนะ”

“งั้นถ้าย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ พี่วินทร์มีอะไรอยากแก้ตัว แบบว่า… อยากทำอะไรให้ผม หรืออยากให้ผมทำอะไรให้ไหม ไหนๆ เราก็มาที่นี่อีกรอบแล้ว”

“อยากจูบ” วินทร์ตอบแบบไม่ลังเล

“ทำ… อะไรนะครับ”

“ก็… ตอนที่ฉันถอดคอนแทคเลนส์ให้นายน่ะ นายหลับตาปี๋แล้วก็เกาะฉันแน่นเลยนี่นา วันนั้นฉันข่มใจจนหัวใจแทบจะเป็นเหน็บ แล้วหลังจากนั้นฉันก็สาบานกับตัวเองว่าหลังจากนี้ถ้าฉันจีบนายติดฉันจะไม่ขอทนอีกแล้ว จูบได้จูบ ปล้ำได้ปล้ำ นายจะต้องชดใช้กับสิ่งที่นายอ่อยฉันไว้มานานสองนาน”

“คนอะไรน่ากลัวจัง” นรกรว่า “แล้วตกลง… เอ่อ… จะจูบไหมครับ”

“ไม่เอาหรอก”

“อ้าว”

“ขอเป็นคำสัญญามัดจำไว้ก่อน ฉันจะรอทบต้นทบดอกรวดเดียว” วินทร์บอกยิ้มๆ “วันนี้ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไรล่ะครับ แผนผมพังไม่เป็นท่าทั้งอาหาร ดอกไม้…” นรกรหยุดพูดเมื่อวินทร์ยื่นนิ้วชี้มาปิดปาก

“แค่เราสองคนยังอยู่ด้วยกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเพอร์เฟคไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ” วินทร์บอกทั้งรอยยิ้ม

นรกรสบตาคนตรงหน้า ไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่เลือกคนๆ นี้ ริมฝีปากค่อยคลี่ออกช้าๆ กลายเป็นรอยยิ้มกว้าง

“ไม่ต้องห่วงปีหน้าฉันให้โอกาสแก้ตัว หรือถ้ายังไม่ดีก็เอาไว้ปีต่อไป ต่อไป และต่อๆ ไป ตกลงไหม หืมมม~ ว่าไง ฮาร์ฟ อย่าเอาแต่มองตาหวานแล้วยิ้มเงียบๆ สิ มันทำให้ฉันใจคอไม่ดีนะ ตกลงจะมาด้วยกันหรือเปล่า”

“พี่วินทร์ครับ” มีคำพูดและคำตอบมากมายที่อยากบอก แต่มันก็เยอะเกินกว่าที่คนพูดไม่เก่งอย่างเขาจะถ่ายทอดออกไปได้หมด

“ว่าไง”

ถ้าอย่างนั้น… เขาขอสรุปให้ฟังแค่สั้นๆ ละกัน… หวังว่าแค่นี้คงจะพอ…

“ผมรักพี่วินทร์นะครับ”

รอยยิ้มกระจายออกจากริมฝีปากไปจนถึงดวงตา “รักเหมือนกัน” และนี่คือคำตอบจากหัวใจ
ในชั่วขณะที่วินทร์กำลังสบตาคนตรงหน้าอยู่นั่นเอง เขาก็คิดว่ารู้แล้วว่าเส้นที่ติดตัวเขามาตามที่พระท่านบอกนั้นคืออะไร…  เส้นเพียงเส้นเดียวที่ยื้อตัวเขาไว้ให้ยังยืนอยู่ตรงนี้… เส้นที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันยอมปล่อยไปเด็ดขาด… และเส้นนั้นก็คือ… นายนี่เอง… พรหมลิขิตของฉัน

OOOOOO

เพียงไม่นานหลังจากที่เจ้าของห้องปิดประตูออกไป คนที่รับปากดิบดีว่าจะอยู่เฝ้าห้องก็ลุ้นขึ้นจากโซฟามองซ้ายมองขวาหาที่เก็บกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถอีกคัน เมื่อเจอแล้วก็เก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจากห้องไป
“สวัสดีค่ะอาจารย์” พยาบาลประจำหอผู้ป่วยร้องทักคนที่เพิ่งเปิดประตูเดินเข้ามา
วินทร์หรือจะพูดให้ถูกคือวิญญาณที่สิงร่างวินทร์อยู่ผงกศีรษะตอบรับก่อนจะเดินตรงไปยังห้องผู้ป่วยที่หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนที่มาแกรนด์ราวน์

...กฤตธี…
มันเดินไปหยุดข้างเตียง และจ้องดูคนที่นอนหลับสนิท มือใหญ่กำเป็นหมัดแน่นสลับกับคลายซ้ำแล้วซ้ำแล้วอีกก่อนจะยกขึ้นแตะที่ข้างแก้ม สังเกตว่าคนที่นอนอยู่ยังไม่รู้สึกตัวก็ค่อยๆ เลื่อนมือลงมาตามแนวคาง เรื่อยลงมาถึงลำคอที่ยาวระหง เขาค่อยๆ สอดนิ้วอ้อมไปทางด้านหลัง กดน้ำหนักมือลงช้าๆ

ในตอนนั้นเองที่ใครอีกคนมาปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู

“ทำอะไรอยู่เหรอ”

มันรีบชักมือกลับซุกในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันไปหาชายเจ้าของใบหน้าใจดีที่เต็มไปด้วยยิ้มเสมอ “เปล่านี่”
อาจารย์ภูมิศิลป์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยืนเคียงข้าง

“ผมแค่มาดูเคสน่ะครับ… อาจารย์” มันรีบปรับคำพูดเสียใหม่เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย

“น่าสงสารนะยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ แต่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” อาจารย์ภูมิศิลป์พึมพำพลางเอื้อมมือไปจับผ้าห่มที่ร่นลงมาดึงให้คลุมอก

“ครับ”

“ผมอยากช่วยเขาแต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน”

“ทำไมอาจารย์ถึงต้องอยากจะช่วยเขาด้วยล่ะครับ” มันถาม “เขาต่างจากคนไข้คนอื่นๆ ยังไงหรือครับ ดูอาจารย์สนใจเขาเป็นพิเศษเลยนะครับ” จงใจเน้นประโยคอย่างชัดเจน

อาจารย์ภูมิศิลป์หันมามองคนตั้งคำถาม “เขาไม่ได้พิเศษไปกว่าคนไข้คนอื่นหรอก ผมก็แค่อยากช่วยเท่าที่จะช่วยได้แค่นั้นเอง ผมเป็นประธานเครือข่ายโครงการช่วยผู้ประสบภัยบนท้องถนนนะ”

“อาจารย์ใจดีจัง” แต่ใจของมันไม่ได้ชมอย่างที่ปากว่า

“ไม่หรอก ความใจดีของผมมันเทียบไม่ได้กับที่อาจารย์สรวิชญ์ช่วยเธอไว้ตอนนั้นหรอก เจาคาดหวังกับเธอไว้สูงเพราะเหตุนี้แหละเขาถึงโกรธเธอมาก”

“แต่ผมว่าอาจารย์ก็ยังใจดีกว่าอยู่ดี” มันพยายามดึงกลับมาเรื่องเดิม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมตามน้ำเลย

“ไปขอโทษเขาอีกครั้ง… ดีๆ ผมว่าเขาพร้อมจะอภัยให้เธอนะ”

“ครับ”

อาจารย์ภูมิศิลป์ตบบ่ามันครั้งหนึ่งพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไป
มันเหลือบตามองชายหนุ่มที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว สองมือกำเป็นหมัดแน่น เห็นท่าไม่ดีที่วันนี้จะผลีผลามลงมือ… อย่างน้อยเขาก็ยังมีเวลา ถึงจะไม่เยอะหากก็มากพอจะจัดการอะไรหลายๆ อย่างให้เสร็จ… คนเจ็บในเรื่องนี้มันต้องไม่ใช่เขาคนเดียว

ทางเดินในสวนร่มรื่น ชายหนุ่มหญิงสาวเดินเคียงคู่กันมา ใบหน้าแย้มยิ้มเปี่ยมสุขกับอากัปกิริยาหัวร่อต่อกระซิกที่มีต่อกันถึงจะไม่ได้ยินบทสนทนาก็ทำให้พอเดาได้ว่าทั้งสองมีความสุขมากแค่ไหน

สายลมพัดแรงมาวูบหนึ่งทำให้เรือนผมยาวจนถึงสะโพกของเธอปลิวสยาย เขาหันมาเอาตัวช่วยบังกระแสลม
ลมสงบลงพร้อมกับที่ดอกไม้กลีบขาวปลิวมาตกที่ข้างเท้า เขาก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเรือนผมยาวของเธอขึ้นทัดหูให้ข้างหนึ่งก่อนจะประดับด้วยดอกไม้ขาวแสนสวยนั้น แก้มขาวซับสีเข้มด้วยความเขิน จนเขาอดใจไม่ไหวแนบริมฝีปากลงข้างรอยนั้น

กลิ่นแก้มผสมกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายจมูก ยามนั้นรักช่างหอมหวาน แต่เมื่อวันเวลาผันผ่าน กลับกลายเป็นขมระหมหัวใจเสียยิ่งกว่าชื่อของดอกไม้ที่เขามอบให้เธอวันนั้น


*******************************************************TBC*************************************************
Talk

เอาจริงๆ ตอนนี้ควรจะหวานนะ เริ่มแต่งBG song คือ perfect ของพี่เอ็ด ซีราน ต่อด้วยคู่ชีวิตของค็อกเทล แต่เพลย์ลิสต์มันดันจบที่ ซ่อนกลิ่นของพี่ปาล์มมี่ซะได้ มันก็เลยออกมาแบบนี้ล่ะค่ะ (ตกลงนี่นิยายรักหรือฆาตกรรม)

สปอย!!
ที่เราใช้ชื่อดอก 'ลั่นทม' แทน 'ลีลาวดี' นั้นเพราะว่า...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จะให้ติดตามตอนต่อไปค่ะ แฮร่~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2018 01:09:07 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/10/2561]
«ตอบ #814 เมื่อ03-11-2018 08:47:39 »

เอ้า...ค้างนะสิพี่นอง...งงงงงงงงงงงงงงงง      :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ พระสนมฝ่ายซ้าย

  • ❤วั ง ว น ว า ย เ วิ่ น เ ว้ อ❤
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +283/-2
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #815 เมื่อ05-11-2018 05:49:04 »

อ่านตอนพระท่านพูด จนลุกเลยค่า
ขอให้พี่วินทร์ได้กลับร่างไวๆนะคะ ทรมานมานานแล้ว TT

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #816 เมื่อ05-11-2018 07:02:01 »

คุณวิญญาณจะทำอะไรเนี่ย

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #817 เมื่อ05-11-2018 21:01:29 »

สงสัยเลยยย ไอ้เจ้าผีจะไปทำอะไรกับคนไข้ เพราะตัวเองก็ตายมานานแล้วว  :confuse:
จะทำอะไรกันแน่น้อออออ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #818 เมื่อ07-11-2018 19:36:20 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เอาใจช่วยนะคะทั้งสองคน

ออฟไลน์ z9_0

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #819 เมื่อ08-11-2018 09:36:37 »

รอจ้ารอ ลุ้นใจจะขาด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
« ตอบ #819 เมื่อ: 08-11-2018 09:36:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #820 เมื่อ10-11-2018 03:46:03 »

อาจารย์ภูมิศิลป์ คนไข้ แล้วก็วิญญาณในร่างวินทร์
นางต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ


นี่กำลังคิดไปถึงว่าวิญญาณในร่างวินทร์ คือแพทย์ที่ฮาร์ฟเคยฝันถึง ที่ช่วยลุงที่ติดเหล้าก็ได้

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #821 เมื่อ12-11-2018 14:09:21 »

 o22.ซับซ้อนจริงๆ.... หายจากเรื่องนี้ไปนาน.. ดีใจที่กลับมาได้ต่อกันอีกครั้ง.... เนื้อเรื่องดีงามน่าติดตามต่อมากๆ.... รอนะคะ...

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #822 เมื่อ13-11-2018 11:49:44 »

บทที่ 9 Past

“แหม~ ดูท่าจะสบายเกินไปแล้วนะ” วินทร์แซวคนที่ตอนนี้นอกจากจะยึดร่างตนไปแล้วยังยึดโซฟาตัวยาวกลางห้องรับแขกไปอีกด้วยการนอนเหยียดยาวกระดิกเท้าที่พาดอยู่บนที่เท้าแขน นัยน์ตาจดจ่ออยู่กับเกมรถแข่งในโทรศัพท์มือถือ ทำตัวประหนึ่งเป็นบ้านของตัวเอง “แล้วนั่นทำอะไรอยู่น่ะ”

“นอนเล่นมือถือไง ตาบอดเหรอ”

“โอ้โห! มีย้อนเว้ย ไอ้ผีบ้านี่” วินทร์ว่า

“ทานอะไรหรือยังครับ ผมซื้อข้าวมาฝากคุณด้วยนะ” นรกรที่เดินตามมาทีหลังบอกพลางชูถุงของที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ

“กินแล้วแต่กินได้อีก” มันปิดเกมพร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งและคว้าถุงไปเปิดดู พอเห็นว่าเป็นพวกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งก็หน้ามุ่ยขึ้นทันที “อะไรเนี่ย อาหารขยะพวกนี้”

“บ่นนักวันหลังก็ทำเองละกัน” วินทร์ว่าพลางโบกมือไล่ให้ขยับไปเพื่อจะนั่งด้วย

“ทำได้เหรอ ก็แฟนนายห้ามฉันเข้าใกล้ห้องครัว โดยเฉพาะตู้เย็น”

“ถ้าคุณจะทำให้สุกก่อน แล้วนั่งกินดีๆ แบบคนปกติทั่วไปเขาทำกันผมก็ไม่ห้ามหรอกครับ” นรกรบอก

มันไหวไหล่ “ขอโทษทีตอนนั้นมันหิวจริงๆ”

“แล้วนี่นายไม่ได้ไปทำอะไรแปลกๆ มาใช่ไหม” วินทร์หรี่ตามองจับพิรุธ

“อาบน้ำปะแป้งเย็นเตรียมตัวนอนนี่ถือว่าแปลกพอไหม” มันว่าพลางขยิบตาอย่างมีเลศนัยน์ส่งให้นรกรเพื่อแกล้งยั่วร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้หึง แต่ตอนนี้วินทร์ก็อารมณ์ดีเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียงด้วย

นรกรไม่สนใจอาการเขม่นกันของทั้งคู่ วางของต่างๆ ที่ถือมาลงบนโต๊ะเตรียมจะเก็บ หนึ่งในนั้นคือดอกลั่นทมที่พระที่วัดให้มา เมื่อคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเห็นก็ละความสนใจจากวินทร์และอาหารหันไปมอง นรกรสังเกตเห็นท่าทางผิดปกตินั้นจึงเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือครับ”

“นายไปเอาดอกนี่มาจากไหน” มันถามพลางหยิบดิกลั่นทมสีขาวขึ้นมาหมุนดู

“พระที่วัดท่านให้มาน่ะครับ” นรกรตอบ
“เหรอ”

นัยน์จับจ้องไปที่กลีบขาวบาง พลันภาพคนสองคนยืนคู่กันใต้ต้นลั่นทมผุดขึ้นมาให้ห้วงความคิดก่อนจะหายแวบไปเปลี่ยนเป็นอีกฉากที่มีหญิงสาวคนเดิมกับผู้ชายอีกคนอยู่ด้วยกัน มันเปลี่ยนสับไปมารวดเร็วจนเขาเริ่มเวียนหัวต้องสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อลบภาพสุดท้ายนั้นออกไป แต่ดูเหมือนว่ายิ่งอยากจะลบ อยากจะลืมเท่าใด ภาพนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“คุณนึกอะไรออกเหรอครับ” นรกรเลียบเคียงถามคนที่จู่ๆ นัยน์ตาก็เหม่อมองราวกับว่าดอกไม้กลีบขาวในมือนั้นพาข้ามผ่านกาลเวลาไปไกลแสนไกล “ตกลงกฤตธีนั่นใช่ชื่อคุณหรือเปล่า ผมจะได้เรียกถูก”

มันสะดุ้งเล็กน้อย ค่อยๆ หมุนดอกลั่นทมในมือก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจมูก เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างมันจุกแน่นอยู่ที่อกและคิดว่าการระบายให้ใครสักคนฟังอาจจะช่วยผ่อนความเจ็บปวดที่อัดแน่นนี้ออกไปได้บ้าง “นั่นไม่ใช่ชื่อฉันหรอก” มันเริ่มต้นเล่า “แต่เป็นชื่อลูกของฉันน่ะ”

“นี่นายมีลูกด้วยเหรอ ไหนบอกว่าโดนแฟนนอกใจแล้วก็ขับรถชนตายไง แล้วลูกมาได้ไง” วินทร์ถาม

“ไม่มีหรอก” มันบอก “ไม่เคยมีอะไรกันจะท้องได้ไง คนนะเว้ยไม่ใช่ปลากัด มันก็แค่… เอ่อ แค่วางแผนกันน่ะว่าหลังจากเราแต่งงานกันถ้ามีลูกชายตั้งชื่อนี้” เล่าถึงตรงนี้เสียงของมันก็เริ่มสั่นขึ้นเล็กน้อย

“กฤตธี แปลว่านักปราชญ์” นรกรพึมพำขึ้นมาทำให้มันหันไปมองเขาจึงพูดต่อ “ชื่อของผมมันไม่เหมือนคนอื่นน่ะ ตอนเด็กๆ ผมก็เลยชอบอ่านตำราการตั้งชื่อเพื่อหาความหมายชื่อของตัวเองก็เลยจำอะไรพวกนี้ได้”

“สมกับเป็นคุณสารานุกรมเคลื่อนที่ของฉันจริงๆ” วินทร์หันไปยิ้มพร้อมกับขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

“ชื่อนายแปลกจริงๆ น่ะแหละ” มันบอก “ทีแรกฉันอ่านว่านรก แต่มันคงความหมายดีสินะ ฉันรู้เพราะคงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกมีปมด้อยกับชื่อหรอก”

“มาจากคำว่า neuron กลับหัวครับ”

“นั่นไงล่ะ พ่อกับแม่นายเป็นนิวโรศัลย์นี่นา ช่างคิดจริงๆ”

“ตกลงนายชื่ออะไรแล้วเป็นใครกันแน่” วินทร์ที่เงียบฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น

“กฤต” มันบอก “ผมเคยอยู่ที่นี่ เรียนที่นี่ เจอเธอที่นี่ โดนหักหลังและก็ตายอยู่ที่นี่… ที่โรงพยาบาลนี้นี่แหละ”

“คุณเป็นหมอเหรอครับ”

มันพยักหน้า ภาพต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัว แล้วมันก็ค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง

ในโรงพยาบาลใหญ่ย่านใจกลางเมืองหลวงแห่งนี้ประกอบด้วยตึกสูงใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคืออาคารปูนแปดชั้นที่ด้านหลังเป็นสวนหย่อมให้คนไข้ ญาติและเจ้าหน้าที่ได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ตรงมุมในสุดของสวนมีต้นลั่นทมสูงใหญ่ยืนต้นแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ต้นหนึ่ง

ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นเดินต่อยฟ้าบ่นลมเป็นหมีกินผึ้งมาตามทาง หน้าตาคมสันรับกับผมและผิวสีเข้มแบบนักกีฬาบูดเบี้ยวด้วยความหงุดหงิด เขาเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นลั่นทม ทำปากบ่นขมุบขมิบก่อนจะบันดาลโทสะใส่ต้นไม้โชคร้ายด้วยการยกเท้าขึ้นถีบเต็มแรงตรงกลางลำต้นจนกิ่งสั่น

“โธ่เว้ย! ไอ้ลุงบ้านี่!! อยากตายนักก็ตายไปเลย แล้วมาโรงพยาบาลทำไมวะ! มาให้เรารักษาทำไมกันเล่า!!!”
ตะโกนจบก็ยืนหอบด้วยความโล่งใจที่ได้ระบายออกมาและตอนนั้นเองที่เสียงหวานของใครคนหนึ่งดังขึ้น

“นิสัยไม่ดีโกรธคนอื่นแล้วมาพาลลงกับต้นไม้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่”

ชายหนุ่มหันไปก่อนจะร้องเสียงดัง “เฮ้ย! ขอโทษครับเจ้าแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจลบหลู่ผมไม่คิดว่าท่านอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ต้นนี้ครับ อภัยให้ผมด้วยครับ” พร้อมกับหลับหูหลับตายกมือไหว้ท่วมหัว

“นี่หมอ! ให้มันน้อยๆ หน่อยย่ะ ผีที่ไหนจะสวยขนาดนี้”
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองทีละข้าง เห็นว่ามีเงาหัวทอดยาวไปตามพื้นแน่ๆ จึงลดมือลงทาบอกและถอนหายใจเสียงดัง “เธอก็อย่ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงสิ สวยขนาดราชินีป่าช้าวัดดอนหมาหอนต้อนรับขนาดนี้”

“ปากเสีย! ตบปากเท่าอายุเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“อายุฉันหรืออายุเธอ ถ้าอายุฉันก็สองทีถ้าอายุเธอก็…” เขาแกล้งยกมือขึ้นนับนิ้ว “โห~ ปากชาเลยนะนั่น”

หญิงสาวยกมือขึ้นทำท่าจะหลังแหวนใส่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลดมือลง ต่อล้อต่อเถียงกับเขาไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เธอหมุนตัวเดินหนีรู้สึกอารมณ์เสียที่โดนทำลายวันดีๆ ในขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่นเพลินๆ

เขามองตามหลังหญิงสาวที่เดินงอนหนีไป ผมดำสนิทเป็นมันยาวของเธอยาวเลยกลางหลังพลิ้วเบาๆ ยามสายลมพัดต้องนั่นทำให้เขาตกใจตอนเห็นครั้งแรก แต่เมื่อเขาได้มองชัดๆ ยามมันต้องแสงอาทิตย์นั้นกลับดูสวยเหลือเกิน เขาคิดว่าจะต้องได้เจอเธออีกโดยไม่ต้องพึ่งลางสังหรณ์หรือจับยามสามตา ไม่ใช่เพราะรู้จักกันมาก่อนหรือเคยเห็นหน้า แต่เมื่อสักครู่เธอเรียกเขาว่าหมอได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และนอกจากอาจารย์แพทย์แล้วสิ่งมีชีวิตเดียวที่กล้ามีปากมีเสียงกับคนวิชาชีพอย่างเขาในรั้วโรงพยาบาลนี้ก็มีแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แล้วเขาก็คิดไม่ผิดเลยเมื่อเขาได้เจอเธออีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น

“สวัสดีครับคุณเจ้าแม่ลั่นทม”

เสียงทักทายของชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นที่ดังมาจากกลุ่มนักเรียนแพทย์ที่อยู่อีกฟากห้องหอผู้ป่วยทำเอาหญิงสาวคนโดนทักรีบหลบวูบไปอยู่หลังเพื่อนๆ ในกลุ่มของเธอ

“วู้~ เธอน่ะแหละเจ้าแม่ลั่นทม เราไง ที่เจอกันวันก่อน เจ้าแม่ครับ!”

“ฉันว่าเขาเรียกแกนะพลู” เพ็ญ หญิงสาวในชุดขาวบอกกับเพื่อนที่เกาะบ่าแอบอยู่ด้านหลัง

“ไม่รู้จัก ใครก็ไม่รู้”

เพ็ญหันไปมองชายหนุ่มที่ยังคงโบกมืออย่างไม่ลดละ

“เฮ้~”

“ฉันว่าแกรีบตอบเขาไปเถอะยัยพลู จะได้จบๆ เรื่องไป คนไข้เริ่มมองแล้วเดี๋ยวอาจารย์ต้อยมาได้เม้งแตกตายกันยกกลุ่ม” พูดจบเพ็ญก็จับไหล่เพื่อนสาวดึงออกจากหลังแล้วเหวี่ยงกึ่งๆ ถีบออกไปยืนด้านหน้ากลุ่ม

“มีอะไร” เธอทำปากขมุบขมิบตอบไป

“จำเราได้ป่าว” ชายหนุ่มตะโกนตอบ

“เออ จำได้”

“เราชื่อ…”

“นายกฤต ผมว่าเช้านี้คุณมีพลังเหลือเฟือเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้นจากด้านหลังจากคนในชุดกาวน์ยาวสีขาวทำให้ขนลุกซู่ “ไปวิ่งรอบวอร์ดสักสองสามรอบไหมเผื่อแบตมันจะอ่อนลงบ้าง อ้อ! แล้วการบ้านที่ผมสั่งให้ไปหามาเมื่อวานล่ะได้ทำมาใช่ไหม”

“การบ้าน… อ้อ! ใช่ การบ้าน ทำสิครับอาจารย์ ใครจะกล้าลืมการบ้านอาจารย์ล่ะครับ” ชายหนุ่มหันไปตอบก่อนจะหันกลับมายิ้มให้หญิงสาวอีกครั้ง

“เฮ้ย! ใครวะไอ้กฤต สวยนี่หว่า ร้ายนะแก” ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นอีกคนพุ่งเข้ามากอดคอชะเง้อมองตามสาวน้อยในชุดขาวที่เดินจากไป

“ไม่บอกเว้ย! ถอยไปเลยไอ้ภูมิไม่ต้องยุ่งคนนี้ข้าจอง” เขาใช้มือผลักเพื่อนรักกระเด็นไปอีกทางก่อนจะเดินตามไป แต่ก็ยังไม่วายหันมาโบกมือพร้อมกับยิ้มให้ คนอะไรตอนปล่อยผมก็สวยตอนเก็บรวบตึงไว้ที่ท้ายทอยเหมือนเครื่องหน้าที่ปั้นปึงใส่เขานั่นก็น่ารัก “ไว้คุยกันนะ”

เธอเบะปากพร้อมกับโบกมือไล่

“แน่ะๆ ทำเป็นเล่นตัว นั่นคุณชายกฤตไม่ใช่เหรอ ฉันว่าเขาจีบแกนะยัยพลู นี่ไปรู้จักกันตอนไหนยะ” เพ็ญเข้ามาใช้ศอกกระทุ้งสีข้างแซว

“อย่ามาล้อเล่นน่า” เธอว่า “จีบกะผีน่ะสิ เขากะแกล้งให้ฉันอายมากกว่า”

“รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจไว้ใจไม่ได้” เพ็ญต่อประโยคที่เพื่อนสาวคนนี้พูดจนติดปาก “แต่เขาไม่ใช่สักข้อเลยนะ เป็นถึงว่าที่คุณหมออนาคตไกลเชียวนะ ไม่รับไว้พิจารณาบ้างเหรอ~”

“ก็ไม่เอาอยู่ดี” เธอส่ายหัว “อย่าพูดเรื่องแฟนกับฉันเลย ความรักมันไกลตัวสำหรับฉัน ฉันไม่มีเวลาไปคิดเรื่องแบบนั้นหรอกเพ็ญ นี่เราจะเรียนจบอยู่อีกไม่กี่เดือนแล้ว ฉันจะตั้งใจทำงานจะได้มีเงินส่งน้องเรียนสูงๆ”

เพ็ญถอนหายใจแรง รู้สึกเสียดายแทนเพื่นสาวที่หน้าตาออกสะสวยแต่เพราะพ่อเสียแต่เด็ก แม่ที่ทำงานหาเลี้ยงเธอมาคนเดียวก็ป่วยและเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย เธออยู่กับน้องชายที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงสองคนพี่น้อง ชีวิตที่ผ่านเรียกว่าลำบากมากเลยทีเดียว ที่เรียนมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะตั้งใจเรียนหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ผลการเรียนอยู่ในระดับดีมากจนได้ทุนเสมอมา ยามว่างก็ไปทำงานพิเศษหาเงิน ตอนเช้าปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์เย็นก็ไปเป็นลูกจ้างขายของที่ตลาด เสาร์อาทิตย์ไปเป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา

จริงอย่างที่เจ้าตัวว่านอกจากจะไม่มีเวลาคิดเรื่องความรักแล้ว เรื่องที่ลูกชายคนเดียวเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ‘สมรศรีโภชนา’ ผู้ชายรูปหล่อพ่อรวยแม่หวงดั่งไข่ในหินจะมาชอบเธอได้ยังไง มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป

แต่พรหมลิขิตก็เล่นตลก เมื่อดอกรักค่อยๆ เบ่งบานใต้ต้นลั่นทมในสวนนั่นเอง ถึงจะทะเลาะตลอดกันยามเจอกันบนหอผู้ป่วย หากในยามว่างทั้งสองกลับมานั่งคุยกันที่นี่บ่อยๆ แม้ตอนนี้เธอจะเรียนจบตามที่ฝันได้เป็นนางฟ้าในชุดขาวแล้ว การทำงานของเธอในฐานะพยาบาลน้องใหม่กับการเรียนแพทย์ในช่วงสองปีสุดท้ายของเขาที่ทั้งเข้มข้นและวุ่นวายก็ไม่ใช่อุปสรรคในการมาเจอกันของทั้งคู่

“พลูอ่านอะไรน่ะ เห็นกี่ทีก็อ่านไอ้เล่มนั้นทุกที” คนในชุดกาวน์สั้นถามคนที่นั่งพับเพียบนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ

“คู่กรรม” เธอตอบสั้นๆ

“สนุกเหรอ”

“สนุกสิ ไม่งั้นจะอ่านเหรอ” เธอตอบ “เป็นบทประพันธ์ของคุณทมยันตีที่เราชอบมากๆ เลย”

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรน่ะ”

“เรื่องเกิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พระเอกเป็นทหารญี่ปุ่นที่มาตกหลุมรักกับนางเอกซึ่งเป็นหญิงสาวชาวบ้านตอนมาสร้างสะพานผ่านไปพม่าที่ไทยน่ะ”

“อื้อหือ ฟังดูน่าสนใจแล้วจบดีไหม”

“ทั้งสองคนได้แต่งงานและมีลูกด้วยกัน แต่ก็เกิดมีเรื่องให้เข้าผิดใจกันแล้วตอนจบพระเอกก็โดนระเบิดตายน่ะ”

“ไอ้เรื่องนั้นน่ะเอง” เขาว่า “ที่พี่เบิร์ดเล่นคู่กับกวางกมลชนกใช่ไหมเห็นแม่นั่งดูอยู่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร”

“อ้าว ไหนบอกว่าไม่รู้จักไง”

“แต่ที่บ้านเรามีทีวีนี่นา” เขาบอก “หรือบ้านเธอไม่มี”

หญิงสาวส่ายหน้า “เมื่อก่อนเคยมีแต่ตอนนี้ขายไปแล้ว ต้องเอาไปจ่ายค่ารักษาน้องชายน่ะ”

เขาหน้าเสียไปเล็กน้อยเพราะกลัวว่าเธอจะอาย แต่หญิงสาวกลับไม่มีทีท่าแบบนั้นทำให้เขากล้าถามต่อ “แล้วเธอดูทีวีที่ไหน”

“เมื่อก่อนก็ที่ห้องแพนทรีของหอ หรือไม่ก็ดูกับคุณป้าเจ้าของร้านที่เราไปช่วยขายของน่ะ ส่วนตอนนี้ก็ดูกับคนไข้ที่วอร์ด”

“งั้นวันหลังมาดูบ้านเราสิ” เขารีบชวน “บ้านเราทีวีจอใหญ่สี่สิบสองนิ้วเลยนะ เห็นพี่เบิร์ดตัวใหญ่ชัดแจ๋ว”

“ไม่เอาหรอก เราเกรงใจ ได้ข่าวว่าแม่นายดุจะตาย”

“งั้นเดี๋ยวเราซื้อให้ใหม่” เขาบอกพร้อมกับคว้าข้อมือดึงให้เธอลุกขึ้นยืน

หากหญิงสาวขืนตัวไว้ “จะบ้าเหรอกฤต แพงจะตายของแบบนั้นเรารับไว้ไม่ได้หรอก”

“แต่เราอยากให้นี่นา พลูจะได้มีไว้ดูละครกับน้อง น้องพลูก็จะได้ไม่เหงาตอนพลูไม่อยู่บ้านด้วย”

“ไม่เอาหรอก พลูดูแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว กฤตไม่ต้องซื้ออะไรให้เราหรอก รู้หรอกว่าบ้านรวย แต่นั่นก็ไม่ใช่เงินกฤตนี่นา เอาไว้กฤตเรียบจบทำงานหาเงินเองได้แล้วใช้เงินตัวเองซื้อเราจะรับ”

เขายู่ปาก “ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้แล้วจะให้เราทำยังไงล่ะครับเจ้าแม่ลั่นทมถึงจะยอมตกลงกับเราสักอย่าง”
“ก็กฤตขออะไรที่มันเป็นไม่ได้นี่นา”

“งั้นถ้าเราขอเธอเป็นแฟนล่ะจะเป็นไปได้หรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ได้ไหมพลู เรารักพลูเป็นแฟนกับเรานะ”

เธอไม่ตอบได้ก้มหน้างุดซ่อนพวงแก้มขาวที่เริ่มซับสีเข้มเหมือนกับกลีบของดอกลั่นทมแดงที่กำลังแย้มกลีบบาน
ริมฝีปากคลี่ออกช้าๆ เป็นรอยยิ้ม เขาเอื้อมมือไปหยิบดอกลั่นทมที่ล่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาทัดให้ที่หูข้างหนึ่ง เธอเคยเล่าให้เขาฟังว่าชื่อพลูนี้ไม่ได้มาจากคำว่าใบชะพลูอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่มาจาก Plumeria ที่แปลว่าดอกลั่นทมนั่นเอง ชื่อนี้พ่อของเธอที่เสียไปแล้วเป็นคนตั้งให้เธอจึงชอบมานั่งใต้ต้นไม้ต้นนี้เวลาคิดถึงพ่อ

“ลั่นทม เขาบอกว่าชื่อนี้ไม่เป็นมงคลเพราะพ้องกับคำว่าระทม ทั้งที่ความหมายแท้จริงของลั่นทมคือละแล้วซึ่งความทุกข์” เขาบอกพร้อมกับเลื่อนมือลงกุมมือบางไว้ “ให้เราเป็นลั่นทมของพลูนะ สิ่งที่มทำให้พลูไม่มีความสุข สิ่งที่ทำให้พลูเป็นทุกข์เราจะรับไว้เอง แล้วพลูมาเป็นความสุขให้เรานะ”

ศีรษะซึ่งประกอบด้วยเรือนผมยาวผงกเบาๆ แต่แค่นั้นก็เป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว

ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี ทุกวันคืนเต็มไปด้วยความสุขจนกระทั่งเขาเรียนจบและต้องไปทำงานใช้ทุนที่ต่างจังหวัดไกลบ้านในถิ่นทุรกันดาลแถบชายแดนฝั่งตะวันตก ในจังหวัดที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานมรณะ

“พลูรอเรานะ อีกสามปีเราจะกลับมา” เขายืนกุมมือเธอที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ร่างสูงมีเป้สะพายอยู่บนหลัง บนพื้นข้างตัวมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอยู่อีกใบ

“รู้แล้วน่า นี่ไปทำงานนะไม่ใช่ไปรบไม่ต้องมาทำตาแดงๆ เลย เดี๋ยวเราก็ร้องไห้ตามไปด้วยหรอก”

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่ารถกำลังจะออก เขาจึงต้องรีบรวบรัด “เขียนจดหมายหาเราด้วยนะ” บอกพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้น

“จะเขียนทุกวันเลย กฤตรีบขึ้นรถไฟได้แล้ว” เธอบอกพร้อมกับรุนหลัง

เขากระโดดขึ้นรถไฟและพุ่งตรงไปยังหน้าต่างบานที่ใกล้สุดแล้วชะโงกหน้าออกมา “สัญญานะ”

“สัญญาค่ะ”

รถไฟค่อยเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ก่อนจะไต่ความเร็วเพิ่มขึ้น เขายังคงหันมองดูเธอ หญิงสาวผู้กุมหัวใจไว้โบกมือลาจนสุดสายตาด้วยความหวังว่าจะได้กลับมาหากันเร็วๆ นี้

เขายังจำภาพนิ้วก้อยสองนิ้วที่ยกขึ้นเกี่ยวให้คำมั่นแก่กันได้ดี แต่อย่างที่คำโบราณว่าไว้ว่าสามวันจากนารีเป็นอื่นแล้วนี่นับประสาอะไรกับสามปีที่จะจากกันไปไกลตา

เพียงแค่เดือนที่สามนับจากแยกกันจดหมายที่มีมาเกือบทุกวันกลายเป็นอาทิตย์และหนึ่งเดือนถึงจะมีมาสักฉบับสั้นๆ เขาก็ยังไม่เอะใจคิดว่าเธอคงทำงานยุ่ง จนกระทั่งเขาทำงานใกล้จะครบปี เขาได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงสั้นๆ ก่อนจะต้องอยู่เวรยาวไปอีกหลายเดือน

“นั่นแกจะออกไปไหน” คุณนายสมรศรีแม่ของเขาถามเมื่อเห็นเขาแต่งตัวหล่อเตรียมออกจากบ้าน

“ไปหาพลูครับ” เขาตอบด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เจอได้กับเธอเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันเกือบปี

“แกไม่ได้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นไปแล้วหรอกเหรอ”

“ไม่นี่ครับ แม่ไปฟังเรื่องนั้นมาจากไหน” เขาถามกลับ

“อ้าวเหรอ ก็ไม่รู้สิ เหมือนตอนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเมื่อหลายเดือนก่อนเห็นเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับผู้ชายคนอื่น ใช่ไหมแจ๋ว”

“ค่ะคุณผู้หญิง” สาวใช้ที่นั่งบีบนวดขาอยู่รับคำ “เกาะแขนอี๋อ๋อกันน่าบัดสีบัดเถลิง เอ๊ย! น่ารักมากเลยค่ะ ดูสมกั๊น สมกัน”

“พูดมากน่ะแจ๋ว” คุณนายสมรศรีหันไปเอ็ดสาวใช้คนสนิทก่อนหันมาพูดกับลูกชาย “นั่นล่ะแม่ก็เลยนึกว่าพวกแกเลิกกันแล้ว”

“ผมคิดว่าแม่จำคนผิดแล้วล่ะ” เขาบอกเสียงแข็ง

“ก็คงงั้น แม่คงคิดมากไปเองน่ะแหละ” คนเป็นแม่ไหวไหล่และหันกลับไปดูทีวีต่อ

เขาเดินออกหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ในใจยังคงครุ่นคิดถึงคำที่แม่พูดแต่อีกใจก็ยังเชื่อมั่นในคำสัญญาที่มีให้กัน เขาล้วงมือลงในกระเป๋าหยิบกล่องกำมะหยี่ใบหนึ่งขึ้นมา เธอเคยบอกว่าไม่ต้องซื้ออะไรให้เธอจนกว่าจะทำงานหาเงินได้เอง และนี่คือเงินตกเบิกทั้งหมดของเขารวมกับเงินเดือนข้าราชการหมอซึ่งเขาเก็บหอมรอมริบมาหลายเดือนจนในที่สุดก็มีมากพอจะซื้อมัน

…ของแทนใจที่เขาจะใช้ขอเธอแต่งงาน…

เขาเปิดกล่องดูแหวนทองที่หัวแหวนประดับเพชรเม็ดเล็กๆ เรียงเป็นแถวสามเม็ด เขายิ้มกับตัวเองก่อนจะปิดฝากล่องและก้าวขึ้นรถขับออกไป โดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นการออกจากบ้านครั้งสุดท้าย


(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่8 ลั่นทม P.28 [3/11/2561]
«ตอบ #823 เมื่อ13-11-2018 11:53:11 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นเหรอครับ” นรกรถามเมื่อจู่ๆ คนเล่าก็เงียบไป

“สิ่งที่แม่พูดเป็นความจริง” มันบอก “และผู้ชายคนนั้นก็คือเพื่อนสนิทของฉันเอง เพื่อนรักที่ฉันฝากฝังให้ช่วยดูแลเธอตอนที่ฉันไม่อยู่… ใครจะรู้ว่ามัน…” เสียงของมันขาดหายไปเสียเฉยๆ เหมือนมันจุกอยู่แค่ตรงคอ “แล้วก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ฉันหนีจากภาพนั้นออกมาขับรถชนตาย เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

นรกรมองดูชายผู้ซึ่งผิดหวังในรัก มือของเขากำแน่น นัยน์ตาที่เคยแข็งกระด้างในตอนที่เจอกันวันแรกนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด… ตัวเขาเองก็เคยผ่านจุดที่โดนทิ้งมาแล้ว ถึงจะไม่ได้เลวร้ายเท่านี้แต่แค่นั้นมันก็เจ็บจนแทบยืนไม่ไหว แล้ว คนๆ นี้ต้องเจ็บขนาดไหนกันถึงได้มีเรื่องติดค้างที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดตายแล้วก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดอยู่แบบนี้ เขาเหลือบตามองวินทร์และเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรครับ ผมจะช่วยคุณเอง เราจะช่วยหาเรื่องที่ทำให้คุณยังติดค้างอยู่แล้วจะได้ไปเกิดใหม่ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์อีกแล้วนะครับ”

“ขอบคุณนะที่รับฟังเรื่องของฉัน” มันบอก

“งั้นต่อจากนี้ไปผมเรียกคุณว่ากฤตนะ” นรกรกล่าว

“ได้สิ” กฤตบอก “ไม่มีใครเรียกชื่อฉันมานานแล้ว ตลกจังจู่ๆ ก็รู้สึกดีใจกับเรื่องแค่นี้”

“ฉันเข้าใจความรู้สึกนาย” วินทร์ว่า “มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเรายังมีตัวตนอยู่น่ะ”

กฤตพยักหน้าอย่างรู้สึกขอบคุณ

“แต่ถึงจะเห็นใจแค่ไหน ที่นอนของนายก็คือโซฟานะ” วินทร์พูดต่อ “แล้วก็อย่าลืมเรื่องเขตหวงห้ามอย่างที่ฉันบอก”

“รู้แล้วน่า” กฤตหัวเราะในลำคอ… หัวเราะอย่างนั้นเหรอ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขได้ง่ายๆ กับเรื่องแค่นี้ มันคงจะดีถ้าหากว่าสักวันเขาจะกลับมามีความสุขและยิ้มได้จากใจอีกครั้ง แต่เขาคิดว่าสำหรับตัวเขาในตอนนี้แล้วมันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว

OOOOOO

“มองหน้าผมแบบนั้นคิดอะไรอยู่ครับ” นรกรพลิกตัวกลับมาถามร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างเตียง คืนนี้เขาไม่กอดเจ้าวินนี่แล้ว เพราะรู้แล้วว่ามันไม่ได้ช่วยให้ความโหยหาสัมผัสที่มีต่อคนตรงหน้าลดลงไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“คิดว่านายนี่ใจดีจังเลยน้า~” วินทร์ว่า

“เขาน่าสงสาร”

“ไม่คิดว่าจะโดนหลอกเหรอ”

“ไม่ครับ” นรกรบอก “อย่างน้อยก็เรื่องที่เขาถูกทิ้ง”

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”

“อย่างที่บอกไป ช่วยหาสิ่งที่ทำให้เขาติดค้าง”

“ถ้าสิ่งนั้นคือการแก้แค้นสองคนนั่นล่ะ นายจะทำยังไง” วินทร์ถาม

“ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ติดค้างอยู่ที่นี่ไม่ใช่การแก้แค้นครับ” นรกรบอก “ความแค้นมีพลังขับเคลื่อนมากก็จริง แต่ผมรู้สึกว่ามันยังมีอะไรที่มากกว่านั้น”

“อะไรล่ะ”

“ผมไม่รู้ แต่ผมจะช่วยเขาและไม่ใช่แค่เพราะว่าผมอยากช่วยเพื่อให้พี่วินทร์ได้ร่างคืน แต่เป็นเพราะผมอยากช่วยเขาจริงๆ”

วินทร์ยิ้ม “ฉันถึงได้บอกว่านายใจดีไง”

“คนที่ใจดีคือพี่วินทร์ต่างหาก”

ร่างโปร่งแสงเลิกคิ้วขึ้นสูง “เกี่ยวอะไรกับฉัน”

“ตั้งแต่จำความได้ ผมน่ะเกลียดตัวเองที่มองเห็นอะไรที่คนอื่นเขามองไม่เห็น” นรกรเริ่มต้นเล่า “ใครๆ ก็ว่าผมบ้า แต่พี่วินทร์เป็นคนเดียวที่บอกว่าความสามารถนี้มันเป็นสิ่งพิเศษ เพราะทำให้เรามาเจอกัน… ผมเลิกคุยกับผีเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่สิบขวบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ฟังมาตลอด จนกระทั่งพี่วินทร์เข้ามาทัก หลังจากนั้นผมก็ได้คุยกับผีอีกหลายๆ ตนทั้งคนที่อยู่ตรงไดแล้วก็พี่สาวที่ห้องล็อกเกอร์ จนมาถึงตอนนี้ที่มีผีบุกมาหาถึงบ้าน… พอมาลองคิดดูอีกทีนี่อาจจะไม่ใช่ความซวยก็ได้ แต่เป็นเพราะผมไม่เหมือนคนอื่น… เป็นเพราะผมพิเศษกว่าคนอื่น ผมจึงเป็นคนเดียวที่ช่วยเขาได้… เอ่อ นี่ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอก” วินทร์ยิ้มอย่างเอ็นดู “นายพิเศษจริงๆ น่ะแหละ อย่างน้อยก็เป็นคนพิเศษของฉันไง”

“ยังอุตส่าห์ตบมุกได้นะครับ” นรกรพูดยิ้มๆ

“ไม่ได้มุกนี่พูดจริงๆ” วินทร์ย้ำ “ฝันดีนะ”

“ครับ”

“นอนหลับหรือเปล่า”

“ทำไมครับ”

ตาคมพราวระยับ วินทร์ท้าวแขนลงบนเตียงแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ก็ปกติทำเกือบทุกวัน แล้วตั้งแต่เกิดเรื่องมาก็ปาไปอาทิตย์นึงแล้ว ไหนจะก่อนหน้านั้นอีกรวมๆ แล้วก็สักครึ่งเดือนได้ ก็เลยคิดว่านายจะอัดอั้นหรือเปล่า”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นทันที นรกรขยับหนีพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “ผมไม่ได้เป็นหมีหื่นอย่างพี่วินทร์นะครับ”

“ไม่ได้เป็นหมี แต่เป็นเมียหมีนะ… หรือนายจะปฏิเสธว่าไม่จริง”

นรกรดึงผ้าห่มลงและชี้มือไปตรงมุมห้อง “ไปเล่นตรงโน้นเลยครับ”

“ไม่เอาหรอกฉันจะนั่งเฝ้านายอยู่ตรงนี้ เอ๊ะ! หรือว่านายจะช่วยตัวเองก็เลยเขิน แกล้งทำเป็นไล่ให้ฉันไปไกลๆ ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องเกรงใจ…” วินทร์หยุดพูดเมื่อหมอนใบหนึ่งลอยคว้างผ่านร่างเขาไป ก่อนที่คนขว้างจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะจนมิดอีกครั้ง “โห~ เดี๋ยวนี้มีอาวุธด้วย ไม่ต้องเขินหรอกน่าเรื่องธรรมชาติ นายทำเองได้หรือเปล่า ให้ฉันช่วยบิ๊วอารมณ์ไหม… ฮาร์ฟ~ มามะมาเล่นเซ็กซ์โฟนกันที่รัก”

“ไอ้ผีลามก!”

เสียงอู้อี้ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม วินทร์หัวเราะชอบใจ เขาชะโงกตัวไปเหนือส่วนที่เป็นศีรษะและก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ฝันถึงฉันด้วยนะ” พูดจบก็แตะริมฝีปากลงเบาๆ เห็นผ้าห่มขยับเล็กน้อยคล้ายกับคนนอนพยักหน้าให้ เขาจึงลุกขึ้นเดินออกมานอกห้อง

“สารภาพไปหรือยัง” กฤตที่ยังนอนไม่หลับและนั่งดูทีวีอยู่ถามร่างโปร่งแสงที่เดินออกมานั่งลงข้างกัน

วินทร์ส่ายหน้า ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มจนถึงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“ตอนแรกฉันคิดว่าหมอนั่นใจร้ายนะที่ยื้อนายไว้ แต่ไปๆ มาๆ ฉันว่าคนที่ใจร้ายจริงๆ คือนายต่างหาก” กฤตว่า

“ใช่ ฉันมันคนใจร้าย” วินทร์ยอมรับพลางชำเลืองมองไปทางห้องนอนที่ประตูปิดสนิทและลงกลอนจากด้านใน เมื่อสักครู่เขาไม่ได้แกล้งนรกรเพราะอยากจะหยอกเล่น แต่เขาแกล้งเพื่อที่จะแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ลุกออกจากที่นอนและมาได้ยินบทสนทนานี้

“ที่เขาทำใจไม่ได้ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะนายไม่ให้โอกาสเขาได้ทำใจ” กฤตพูดต่อ “เวลาของนายน่าจะเหลืออีกไม่มากแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่รีบบอกไปจะมัวรออะไรอีก ฉันนึกว่านายจะบอกเขาตอนไปด้วยกันเมื่อเย็นนี้เสียอีก”

“ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีน่ะสิ ฉันเคยพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งแต่มันไม่สำเร็จ”

“ก็ไอ้ละครบอกเลิกโง่ๆ พรรณ์นั้นเป็นใครก็ดูออก แทนที่จะทำแบบนั้นฉันว่านายบอกเขาไปตรงๆ เลยเถอะว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนตอนที่นายวิญญาณออกจากร่างครั้งที่แล้วเพราะอยู่ในภาวะโคม่า” กฤตบอก

“แล้วนายแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ” วินทร์ถาม

“ก็เหมือนกับที่นายรู้อยู่แก่ใจน่ะแหละ” กฤตว่า “โลกนี้มันมีกฏอยู่ คนเป็นไม่คุยกับคนตาย และคนตายก็ไม่อยากคุยกับคนเป็น แฟนนายน่ะเป็นข้อยกเว้น ส่วนนายน่ะไม่ใช่ และที่ฉันคุยกับนายได้เพราะนายเป็นเหมือนฉัน เราสองคนเหมือนกัน… ตรงที่เรา ‘ตาย’ ไปแล้วยังไงล่ะ เวลาในโลกนี้ของเรามันหมดแล้ว”

วินทร์เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เถียงและเถียงไม่ออก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดี นับตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าวิญญาณออกจากร่างอีกครั้ง ในเมื่อโอกาสที่เขาได้มามันมีแค่ครั้งเดียวและเขาก็ใช้มันไปแล้ว ตอนนี้ที่วิญญาณยังอยู่ได้บางทีก็คงเหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่อยู่เพื่อสะสางสิ่งที่ค้างคาและรอเวลาที่จากไปโดยไม่หวนกลับมาก็เท่านั้น

****************TBC*******************************


Talk
เปิดตัวละครครบแล้วนะ~
แต่งตอนนี้จบแอบดีใจเล็กๆ ว่าเหย~ เรายังแต่ง Normal  ได้นี่หว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2018 11:57:30 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #824 เมื่อ13-11-2018 12:24:25 »

ใจไม่ดีแล้วอ่ะ...........  :mew2:
วินทร์ จะไปจากฮาร์ฟจริงๆหรือ  :z3: :z3: :z3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #825 เมื่อ13-11-2018 12:35:08 »

ฮือ พี่วินทร์ ฝ่าฟันกันมาทั้งเรื่อง ไม่ให้มาตายแบบนี้นะค๊ะ อีกอย่างคุณกฤติก็ยังไม่ตายซะหน่อย อย่ามาคุยกันเองอย่างนี้น๊า ตื่นมาในราางตัวเองทั้งสองคนเถอะค๊ะ  แต่ว่ากฤติที่เป็นผีกับกฤตธีที่เป็นคนไข้  ใช่คนเดียวกันไหมเนี้ย เรามโนไปไกลเลย ฮ่าๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2018 12:38:49 โดย winndy »

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #826 เมื่อ13-11-2018 15:47:22 »

ลุ้น

ลุ้น

ลุ้น

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #827 เมื่อ13-11-2018 16:22:13 »

ฮือออออออออ ไม่น้าาาาา พี่วินทร์ อย่าเพิ่งทิ้งฮาร์ฟฟฟ  :ling3: :ling3: อยู่กันแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอ พี่วินทร์ สงสารฮาร์ฟ  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #828 เมื่อ13-11-2018 19:00:17 »

เห็นเค้าลางความเศร้าอยู่ข้างหน้า เป็นกำลังใจให้ทุกๆคน  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #829 เมื่อ13-11-2018 19:41:44 »

ไม่จริงงงงงง วินทร์จะทิ้งไปจริงๆหรอ :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
« ตอบ #829 เมื่อ: 13-11-2018 19:41:44 »





ออฟไลน์ Yunatsu

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-5
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #830 เมื่อ13-11-2018 22:06:09 »

เราฝ่าฝันจนมาถึงภาค 2 เพื่อรู้ว่าพี่วินจะตายหรอ
ไม่น้าาาาาาา
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #831 เมื่อ14-11-2018 01:26:52 »

พี่วินทร์จะทิ้งฮาร์ฟไปไม่ได้นะคะ
โอ๊ยยย ความรู้สึกบอกไม่ถูกค่ะ
แล้วฮาร์ฟจะอยู่อย่างไร ม่ายยยย
 :hao5:

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #832 เมื่อ15-11-2018 20:02:47 »

 :katai1:
ม๊ายยยยยยยยยยย
อย่าทำร้ายกันแบบนี้เลยยยยยย

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #833 เมื่อ16-11-2018 08:33:37 »

ไม่น๊าาาาาา  :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #834 เมื่อ16-11-2018 09:13:07 »

รอพี่วินทร์

ออฟไลน์ sleepybear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #835 เมื่อ17-11-2018 13:34:59 »

อะไรคือเหมือนมันจะดีขึ้น
เพราะวิญญาณในร่างวินทร์จำได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร

แต่กลายเป็นว่าวินทร์ตายแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววว


ออฟไลน์ taku_kimu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #836 เมื่อ22-11-2018 08:33:29 »

ตอนอ่านภาคแรกจบ ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรติดค้างกับนิยายเรื่องนี้นะคะ มองว่ามันก็สมบูรณ์เคลียร์ได้ทุกอย่างแล้ว แต่คนเขียนก็เก่งมากค่ะที่สามารถเปิดภาคต่อมาได้ค่อนข้างเนียน แล้วก็คุมโทนหม่นๆ เหมือนในภาคแรกไม่มีผิด เก่งมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วให้ความรู้สึกต่อเนื่องมาก ทั้งคาแรคเตอร์ตัวละครไม่มีหลุดเลย  :katai2-1: ยกให้เป็นนิยายเรื่องผีๆ ที่ดีที่สุดอีกเรื่องที่เคยอ่านมาเลยค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #837 เมื่อ23-11-2018 23:07:30 »

โฮๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่จริงใช่มั้ย

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่9 Past P.28 [13/11/2561]
«ตอบ #838 เมื่อ26-11-2018 20:28:50 »

บทที่ 10 ลอง

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นนรกรก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วห้อง เขาลุกขึ้นมาแต่งตัวและเดินตามกลิ่นไปถึงห้องครัว เห็นแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคยกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรอยู่หน้าเตา ร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีพื้นถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอกกับกางเกงสแลคนุ่งทับคาดเข็มขัดเรียบร้อย เสียงทุ้มฮัมเพลงด้วยโน้ตสูงๆ ต่ำไม่ค่อยลงจังหวะ ทุกอย่างดูปกติเหมือนยามเช้าในทุกๆ วันที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา… ยามเช้าของวันธรรมดาๆ หากทำให้ใจเต้นแรงได้ทุกครั้ง
หรือเรื่องราวร้ายๆ ทั้งหมดที่ผ่านมามันแค่ฝันไป

“พี่วินทร์ทำอะไรอยู่ครับ”

ร่างสูงหันมายิ้มให้ “ข้าวผัดก้นครัว ฉันเอาพวกของเหลือๆ ในตู้เย็น มีไข่ ผักกาดที่รากเริ่มงอก ถั่วฝักยาว ผักชีแล้วก็ปลากระป๋องใส่ลงไปคลุกๆ รวมกันน่ะ นี่กำลังทอดไข่ดาวอยู่นายชอบแบบไข่แดงสุกหรือไม่สุก”
นรกรผิดหวังไปในทันทีที่รู้ว่าไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียก ทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน เขาทำสีหน้าให้เป็นปกติและตอบกลับไป

“คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ”

“เห็นแบบนี้เชฟมิชลินเรียกพี่นะจ๊ะ ลองชิมดูแล้วร้องโอ้วมายก็อด~” กฤตอวดพลางทำท่าทำทางประกอบ “ตกลงนายเอาไข่แดงสุกหรือไม่สุก”

“ขอแบบไม่สุกครับ” นรกรตอบ “แล้วทำไมผมต้องร้องว่าอะไรนั่นด้วยล่ะครับ”

“มุกนี้เอามาจากการ์ตูนใช่ไหม” วินทร์แทรกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาชะโงกดูเมนูอาหารเช้านี้ “จำชื่อเรื่องไม่ได้ล่ะแต่ตอนเด็กๆ เคยดูที่พระเอกจะทำอาหารเก่งๆ แล้วพอคนกินก็จะร้องโอ้วมายก็อดมีควันออกตูดพุ่งขึ้นฟ้าแบบจรวดน่ะ”

“หมอนี่มันรู้จริงเว้ย!”

“ฉันก็ชอบอ่านการ์ตูนนี่หว่า” วินทร์ว่า

กฤตเริ่มตักแบ่งข้าวใส่จานและยกมาเสิร์ฟ “เออ คินดะอิจิมันจบหรือยัง ฉันเพิ่งอ่านได้สองเล่มคดีกำลังสนุกเลย”

“จบไปเป็นชาติแล้วมีตั้งหลายภาครวมๆ แล้วสี่สิบกว่าเล่มได้มั้ง ไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนี้เขาตามเรื่องโคนันกันอยู่เป็นการ์ตูนนักสืบเหมือนกัน แล้วออกทีหลังคินดะอิจิไม่กี่ปีแต่ยังไม่มีวี่แววจะจบเลย ก็เลยลุ้นกันว่าใครจะตายก่อนระหว่างการ์ตูน คนแต่ง หรือคนอ่าน”

“มีเรื่องที่มีภาคเยอะกว่าดราก้อนบอลอีกเหรอ”

“น้อยไปสิ นี่ฉันตามตั้งแต่ม.ต้นกลายเป็นผีมาสองรอบล่ะจนตอนนี้ออกมา 98 เล่มแต่คนแต่งบอกเนื้อเรื่องในเล่มยังไม่ถึงหนึ่งปีเลยนะ งงไหมล่ะ… เออ ตอนนายตายดูดราก้อนบอลถึงภาคไหนเหอะ นี่รู้หรือยังเขาไปถึงขั้นฟิวชั่นรวมร่างกันได้แล้วนะ”

“จริงเหรอ” กฤตร้องเสียงดัง “นายซื้อเก็บไว้หรือเปล่าเอามายืมอ่านมั่ง”

“เคยมี” วินทร์บอก “แต่พอสอบติดหมอแล้วมาเรียนในกรุงเทพไม่มีใครดูแลโดนปลวกแทะ แม่เลยขนไปขายหมดแล้ว แม่งไอ้ปลวกเลวพวกนี้อยากอ่านก็ไม่บอก”

“แล้วแบบนี้ฉันจะหาอ่านได้ที่ไหนล่ะ แถวนี้มีร้านเช่าหนังสือไหม” กฤตถามอย่างกระตือรือร้น

“อย่าว่าแต่ร้านเช่าเลย ตอนนี้แค่ร้านขายหนังสือก็หายากแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปจากยุคกระดาษสิ่งพิมพ์เข้ายุคออนไลน์แล้ว” วินทร์บอก “แต่ดูเหมือนในเน็ตจะมีคนอัปฉบับอนิเมะไว้อยู่นะเสียงน้าต๋อยพากย์เป็นโกคูนี่โคตรคลาสสิค”

“มีพระเอกเรื่องไหนบ้างที่แกไม่พากย์วะ จะว่าไปตอนนี้แกตายไปหรือยัง”

“ยังแข็งแรงดีอยู่แต่ก็ไม่ค่อยมีผลงานแล้วล่ะนะ ก็อายุมากแล้วนี่นาแต่ผลงานของแกก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักพากย์รุ่นหลังเจริญรอยตามอยู่”

“ดีแล้วล่ะ” กฤตยิ้ม มันดีแล้วจริงๆ ที่ได้รู้ว่ามีใครสักคนที่รู้จักยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี แล้วเขาก็คิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมา ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วป่านนี้ไม่รู้ว่าพวกท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง แทนที่แก่เฒ่าจะมีลูกหลานดูแลแต่ต้องให้คนหัวหงอกมาทำศพคนหัวดำเสียได้ เขานี่ช่างเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ

“อยู่ดีๆ ก็คุยกันถูกคอนะครับ” นรกรแซว “ผมไปทำงานก่อนนะ แล้วทั้งสองคนจะเอายังไงจะอยู่บ้านดูการ์ตูนหรือไปด้วยกัน”

“ไปด้วย” ทั้งคนและผีหันมาตอบพร้อมกัน

OOOOOO

“พี่ฮาร์ฟครับงานเลี้ยงวันปีใหม่โรงพยาบาลปีนี้พี่ฮาร์ฟจะมาร่วมงานด้วยไหมครับ เขาขอรายชื่อมาจะได้เตรียมจัดโต๊ะให้” จิงโจ้ถามเมื่อเจอพวกเขาที่ภาควิชาในตอนสายหลังจากเดินราวน์รอบเช้าเสร็จ วันนี้ไม่มีออกตรวจที่ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอก

“คงไม่…” นรกรยังพูดไม่ทันจบดีคนข้างๆ ก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน

“ไปสิไป น่าสนุกออก”

“แต่…” นรกรหันไปหาร่างโปร่งแสงหวังจะให้ช่วยปราม แต่กลับกลายเป็นเจ้าตัวน่ะแหละที่ส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างๆ

“ไปเหอะน่า” วินทร์ทำเสียงอ้อน “นะๆ นะ น้า~”

นรกรอมยิ้ม รู้สึกเหมือนโดนป้ายยาให้หันไปตอบว่า “พี่ไปด้วย”

“ตกลงว่าภาคเราไปกันครบทุกคนเลย ผมส่งชื่อให้แล้วนะครับ” จิงโจ้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาถามต่อ “แล้วพี่ฮาร์ฟคิดไว้หรือยังครับว่าจะแต่งเป็นตัวอะไร”

“ตัวอะไรคืออะไร?” นรกรถามกลับงงๆ

“อ้าว ผมยังไม่ได้บอกเหรอครับว่าธีมงานปีนี้คือผีลืมหลุมน่ะครับ” จิงโจ้บอก “ท่านผอ.บอกว่าคอนเซปต์คือเราจะแดนซ์กันให้กระจายจนกลับไปราวน์ไม่ถูกเลยทีเดียว ถือว่าเป็นวันปล่อยผีให้วันหนึ่งหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปีครับ”

“สรุปว่าพี่ต้องแต่งชุดแฟนซี” นรกรถามย้ำ

“ชุดผีครับ” จิงโจ้แก้ “แต่เห็นว่าแต่งชุดปิศาจ มอนสเตอร์ หรือจะคอสเพลย์อะไรมาก็โอเคทั้งนั้นครับ ขอแค่ไม่ใช่ชุดปกติก็พอ งานนี้มีรางวัลขวัญใจผอ.ให้ด้วยนะครับตั้งหมื่นนึงเชียวนะน้อยซะที่ไหน เท่ากับอยู่เวรสิบวันเลยนะ”

นรกรกลืนน้ำลาย จริงอยู่ว่าช่วงนี้เขาพูดกับคนอื่นเก่งขึ้น แต่เขายังคงเกลียดการเข้าสังคมไปงานรื่นเริง ที่ยอมไปเพราะวินทร์ไปด้วยหรอกนะ แต่ที่แน่ๆ คือเขาจะไม่มีวันใส่ชุดแปลกๆ แบบนั้นเด็ดขาด “ฉันลืมไปว่า…”

“ฉันจะไม่พลาดงานนี้แน่ๆ เดี๋ยวไปตัดชุดรอเลยเนี่ย”

นรกรหันควับไปหาร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “ผมรู้นะครับว่าพี่วินทร์คิดอะไรอยู่”

“ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแน่นอน” วินทร์ขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง รายชื่อผีมีเป็นร้อย เรื่องชุดไม่ใช่ปัญหา เหลือแค่จะทำยังไงให้นรกรยอมใส่ก็พอ

นรกรดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้ได้เวลาไปสอนแล้วจึงได้แต่จ้องหน้าจอมวางแผนอย่างหมายหัวไว้ก่อน แล้วรวบหนังสือกับเอกสารที่เตรียมไว้บนโต๊ะขึ้นถือในอ้อมแขน “อย่าไปเถลไถลไกลนักนะครับแล้วตอนเที่ยงเจอกัน”

“ตั้งใจทำงานนะ อย่ามัวแต่คิดถึงฉันล่ะ” วินทร์โบกมือให้ จะว่าไปชีวิตแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ทำให้เขาแกล้งแหย่นรกรได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแคร์สายตาใครเพราะยังไงก็มองไม่เห็น

“เอ่อ พี่วินทร์ครับ” จิงโจ้เรียก “ผมมีเรื่องปรึกษาพี่ได้ไหมครับ แต่ว่าเรื่องมันออกจะส่วนตัว แล้วก็ไร้สาระหน่อยน่ะครับ เอ่อ…”

“เอ่อ…” เพราะกฤตที่อยู่ในร่างวินทร์ทำหน้าประมาณว่า ‘ปรึกษาฉันเหรอ’ พลางชำเลืองตามองเจ้าของร่าง จิงโจ้จึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา

“ไม่เป็นไร ผมไม่ปรึกษาแล้วดีกว่า ขอโทษที่รบกวนครับ”

กฤตหันไปส่งสายตาถามวินทร์ว่าจะเอายังไง แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบจิงโจ้ก็ทำท่าจะเดินไปเขาจึงรีบตบปากรับคำ
“เล่ามาสิ!”

“นายไหวนะ” วินทร์ถาม

“ถ้าฉันตอบไม่ได้นายก็พากย์มาสิวะ” กฤตกระซิบตอบโดยไม่ขยับปาก “เขาดูเครียดขนาดนั้นจะให้ปล่อยไปหรือไง หรือว่าเป็นนายจะไม่ช่วย นี่ฉันอุตส่าห์พยายามทำตัวเป็นนายแล้วนะ เอาไง จะให้ช่วยไหม”

“ช่วยสิ แต่แค่ไม่คิดว่าจิงโจ้มันจะอยากให้คนนอกรู้”

“คนนอก?” กฤตถามกลับ “ถ้านายอยากได้คนในมากกว่าฉันก็ตับไตไส้พุงแล้วล่ะ… คิดว่าฉันอยากรู้นักหรือไง”

“ถ้าพี่วินทร์ลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะครับ” จิงโจ้บอก “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“คนที่ปากบอกว่าไม่เป็นไร ร้อยทั้งร้อยคือเป็นจริงๆ” กฤตรีบพูด “เล่ามาเถอะ”

“ผม…”

จิงโจ้ทำเหมือนจะเล่าแต่กลับปิดปากแน่น กฤตหันไปมองหน้าวินทร์ที่กระซิบบอกบทให้เขาพูดตาม

“ไม่ว่าใครก็มีเรื่องให้เครียดหรือกังวลทั้งนั้นแหละ เล่ามาเถอะฉันพร้อมจะช่วยนาย เหมือนกับที่นายเคยช่วยฉันเรื่องฮาร์ฟไง”

กฤตทำหน้าที่ได้ดี แต่ดูเหมือนคนที่กำลังกลุ้มใจจะแปลความหมายไปคนละทาง

“นั่นสินะ พี่วินทร์มีเรื่องให้คิดมากอยู่แล้ว ผมไม่ควรเอาเรื่องของผมมาทำให้พี่คิดมากเลย”
เพราะจิงโจ้ทำท่าจะไม่เล่าจริงๆ ประกอบกับตัวเองเป็นคนปากไวอยู่แล้ว กฤตจึงโพล่งออกไปก่อนที่วินทร์จะทันพูดอะไร

“นายรู้ไหมว่าดราก้อนบอลมีภาคต่อด้วย!”

“รู้ครับ” จิงโจ้พยักหน้ารับงงๆ

“เออ แต่ฉันเพิ่งรู้ไง แล้วตอนนี้ฉันก็เครียดมากเลย ไม่รู้จะไปหาอ่านที่ไหนเล่มเก่าๆ ก็ปลวกแทะไปหมดแล้ว นี่กลุ้มใจจะแย่แล้ว”

“มันมีแบบสแกนลงเว็บนะครับ” จิงโจ้บอก

“อะไรของแก๊~” วินทร์ยกมือกุมขมับ

“เห็นไหมจิงโจ้ เรื่องที่ฉันกลุ้มนายยังไม่เห็นว่ามันน่ากลุ้มตรงไหนเลย แถมยังให้คำแนะนำได้ด้วย” กฤตพูดต่อ “เรื่องของนายก็เหมือนกัน ฉันไม่คิดว่ามันไร้สาระหรอก ฉันเข้าใจว่าคนเรามันมีเรื่องที่ต้องคิดต่างกัน ถึงฉันจะช่วยนายคิดไม่ได้แต่การได้เล่าให้ใครสักคนฟังแค่นี้ก็ช่วยให้เรื่องที่อยู่ในใจมันเบาลงได้นะ”

จิงโจ้เม้มปากอยู่อึดใจก่อนจะพูดออกมา “คือวันก่อนน่ะ มีคนมาสารภาพรักกับผม แต่พอพูดจบเขาก็หลบหน้าผมเฉยเลย แบบนี้ผมจะทำยังไงดีครับ”

“ก็ลองดูท่าทีเขาไปก่อนสิ เขาอาจจะแค่เขินเฉยๆ ก็ได้ นายก็ลองเข้าหาเขาก่อนดู”

“ลองแล้วครับแต่เขาก็เอาแต่เดินหนี หน้าก็ไม่ยอมมอง”

“นายชอบเขาหรือเปล่าล่ะ”

“ก็… ผมไม่รู้”

“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องแคร์” กฤตบอก “ชีวิตคนเราน่ะมันสั้นเกินกว่าจะมาสนใจเรื่องคนอื่นโดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบ แต่ถ้านายชอบเขา คิดว่าเขาสำคัญ ซึ่งฉันว่านายคงต้องคิดแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่กลุ้มใจแบบนี้”

“แต่เขาเป็นผู้ชาย” จิงโจ้โพล่งออกมาในที่สุด “คือพี่วินทร์เข้าใจไหม ผมไม่ได้รังเกียจเกย์แต่ผมก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้อะ”

วินทร์เข้าใจสถานการณ์แล้วว่าทำไมคนที่เชี่ยวผู้หญิงอย่างจิงโจ้ถึงเลือกมาปรึกษาเขาเพราะดูท่าแล้วคนสารภาพรักที่พูดถึงคงเป็นคนใกล้ตัวที่เขาเองก็จับพิรุธมานานสองนานนี่แหละ เขาหันไปมองหน้ากฤตที่ดูจะอึ้งไปทันที กำลังจะกระซิบบอกบท อีกฝ่ายก็ปรับสีหน้าและพูดตอบได้ทันท่วงที

“ตกลงนายชอบเขาหรือเปล่า” กฤตถามย้ำ

“เขาเป็นคนดีคอยช่วยผมตลอด” จิงโจ้บอก

“นายยังไม่แน่ใจตัวเองเลยนี่หว่า งั้นก่อนจะไปเคลียร์กับเขาว่าเขาไม่พูดด้วย ฉันว่านายไปเคลียร์ใจตัวเองก่อนว่าชอบเขาแบบไหน จะผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็เหมือนๆ กันน่ะแหละ ตอนนี้เขาก็แค่หลบหน้านายเพราะเข้าหน้าไม่ติด ทำตัวไม่ถูกก็แค่นั้นเอง”

“แล้วผมจะแยกยังไงล่ะครับ อย่างที่ผมบอก เขาเป็นผู้ชายนะ”

“ผู้ชายแล้วไง ถ้าคิดแค่นั้นก็เท่ากับว่านายมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าจะปฏิเสธ” กฤตถามกลับ “แต่นี่ไม่ใช่ นายไม่ได้รังเกียจเขาถึงขนาดนั้นนายถึงลังเลอยู่แบบนี้ ลองทำแบบนี้ดูนะ ให้นายลืมไปก่อนว่าเขาเพศอะไร ลองหลับตาแล้วคิดดูสิว่าโลกที่มีเขากับไม่มีเขามันต่างกันยังไง และแบบไหนมันดีกว่ากัน”

จิงโจ้พยักหน้า “โอเคครับ ผมจะลองดู ขอบคุณพี่วินทร์มากนะครับ” พูดจบจิงโจ้ก็เดินออกไป

“มองฉันแบบนั้นจะบอกว่าฉันเป็นคนดีล่ะสิ” กฤตถามร่างโปร่งแสง

“ก็เยอะกว่าที่คิด” วินทร์ว่า “ปกติคนรุ่นนายที่ฉันเจอมานี่จะว่ายังไงดี… หัวโบราณ แล้วก็ไม่ยอมรับเรื่องเพศที่สามไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าจะพูดกันตรงๆ ต้องเรียกว่าในสมัยที่ฉันอยู่มันยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้มากกว่า เราโดนปลูกฝังมาว่าสิ่งมีชีวิตมีแค่สองเพศคือหญิงและชายที่เกิดมาคู่กันก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนไม่ชอบซึ่งฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น” กฤตบอก “แต่ตอนนี้ฉันเริ่มชินแล้วไงเพราะเห็นพวกนายสองคนจีบกันทุกวัน มันก็ไม่เห็นจะแปลกหรือแตกต่างไปจากชายหญิงธรรมดาตรงไหน แล้วฉันก็เป็นพวกชิลๆ ไรงี้ด้วย… ฉันใช้คำแบบนี้ถูกแล้วใช่ไหม”

“จ๊าบมากลวกเพ่~”

“ไอ้นี่มีแซว!”

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่นรกรก็กลับมา เขากวาดตามองจนแน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงเดินมาหา “ขอโทษที่มาช้าครับ พอดีผมไปแวะห้องสมุดมาน่ะครับ แล้วก็เลยเดินไปเยี่ยมคุณกฤตธีด้วย”

“อาการเขาแย่ลงอีกเหรอ” วินทร์ถาม

“เหมือนๆ เดิมครับ แต่พอดีวันนี้มีเคสผ่าตัดด่วนแล้วจำเป็นต้องใช้เตียงที่ไอซียู จิงโจ้เลยจะขอย้ายคุณกฤตธีที่อาการคงที่ที่สุดไปวอร์ดสามัญ ผมเลยไปดูอีกทีให้แน่ใจน่ะครับว่าจะย้ายไปได้จริงๆ”
นรกรอธิบายพลางวางตั้งหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดลงบนโต๊ะแล้วหันไปหากฤต

“เมื่อวานคุณเล่าให้พวกเราฟังเรื่องดอกลั่นทมในสวนใช่ไหมครับ”

“ทำไมเหรอ” กฤตถามพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

“ผมโตมากับโรงพยาบาลนี้ ช่วงเวลาที่คุณไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ตึกแปดชั้นที่คุณว่านั้นมันโดนทุบทิ้งไปแล้วโดนสร้างเป็นตึกใหม่ทับ ต้นลั่นทมนั่นก็โดนตัดไปแล้วเหมือนกัน”

“น่าเสียดายนะ ตอนฉันมาเรียนก็เห็นมันแล้ว กว่าจะโตมาได้ขนาดนี้ใช้เวลาตั้งหลายปี แต่ใช้เวลาตัดทิ้งแป๊บเดียวเอง”

“ผมลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ขอบคุณนะครับที่คุณไม่ได้โกหกผมเรื่องที่ว่าคุณเป็นใคร” นรกรหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกมาวางตรงหน้า มันคือหนังสือทำเนียบรุ่น เขาพลิกไปยังหน้าที่ได้คั่นด้วยโพสต์อิสไว้และชี้ไปชายหนุ่มคนหนึ่งในรูปถ่ายรวมรุ่นกับอาจารย์ที่ปรึกษาตอนวันจบ “คนนี้คือคุณใช่ไหมครับ”

“ใช่”

“โห~ หล่อสมราคาคุยจริงๆ ด้วย” วินทร์ร้องแซว

“อ้าว แล้วตัวจริงฉันไม่หล่อเหรอ” กฤตถาม

“ตอนนี้ฉันมองเห็นเป็นหน้าตัวเองน่ะ” วินทร์บอก “ไม่เหมือนฮาร์ฟ”

“นั่นสินะ”  กฤตพยักหน้าเข้าใจ

“แล้วผมก็ไปขอยืมไอ้นี่มาด้วย” นรกรล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบเอาหนังสือรุ่นอีกเล่มออกมา

“นายไปเอามาจากไหนน่ะ” กฤตถาม

“เมื่อเช้าตอนไปราวน์ผมลองถามคุณพยาบาลที่ไอซียูคนที่พี่วินทร์ฝากของให้ผมบ่อยๆ น่ะ เธอบอกว่าไม่รู้จักรุ่นพี่ชื่อพลู แต่ตอนที่แวะไปเมื่อกี้เธอก็เอาเล่มนี้มาให้ผมแล้วบอกว่าให้ไปหาเอาเอง ซึ่งผมก็หามาแล้ว จากที่คุณบอกว่าอายุเท่ากันพอลองเทียบรุ่นดูก็น่าจะเป็นรุ่นนี้ แล้วก็…” นรกรไล้ปลายนิ้วไปตามรูปและหยุดที่หญิงสาวคนหนึ่ง “ใช่คนนี้หรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่ๆ” กฤตบอก “เธอผมยาว ยาวมากๆ เลย"

“จะดูยังไงว่ายาวหรือสั้นวะ พวกเธอรวบผมใส่มวยเหมือนกันทุกคนเลย” วินทร์ถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาช่วยหา

“คนที่สวยๆ น่ะ”

“นี่นายกำลังให้ข้อมูลหรือเล่นเกมแฟนพันธุ์แท้วะ มีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ไหม”

“ขอฉันดูหน่อย” กฤตดึงหนังสือรุ่นไปพลิกๆ ดูเสียเอง เพียงอึดใจเดียวเขาก็ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “นี่ไงๆ คนนี้แหละ”

“มีที่อยู่กับเบอร์โทรด้วย เราน่าจะลองโทรไปนะครับ” นรกรเสนอ

“ทำไมเราต้องทำแบบนั้นด้วย” กฤตถามท่าทีตื่นเต้นเมื่อสักครู่หายไปหมดสิ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอนอกใจไปกับเพื่อนสนิทของเขา

“บางทีสิ่งที่ทำให้คุณติดค้างคือการอโหสิกรรม ถ้าได้เจอเธออีกครั้งและพูดคุยกันอาจจะช่วยอะไรได้ก็ได้”

“ก็ลองดู” กฤตว่า

นรกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกและเพียงแค่อึดใจเขาก็ลดโทรศัพท์ลง “หมายเลขนี้ถูกยกเลิกบริการไปแล้วครับ”

“คงแต่งงานย้ายบ้านไปแล้วมั้ง ป่านนี้แล้ว” วินทร์ออกความเห็น

“แต่งงานงั้นเหรอ” กฤตรำพึง “ขนาดงานศพฉันเธอยังไม่มาเลยด้วยซ้ำ”

“คุณ…” นรกรกำลังจะพูดต่อก็โดนเจ้าตัวขัดไว้

“ไม่ต้องตามหาเธอหรอก ฉันไม่อยากเจอเธออีก”

“ถ้าไม่เจอเธอเราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยังมีอะไรติดค้างอยู่”

“เดี๋ยวฉันก็คงนึกออกเองน่ะแหละ”

“แล้วถ้าคุณนึกไม่ออกล่ะ” นรกรถาม “และถึงจะนึกออกคุณจะรู้ได้ยังไงว่านี่คือสิ่งที่คุณติดค้างอยู่… คุณมีอะไรปิดปังพวกผมอยู่อีกใช่ไหม ไม่งั้นคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ไปงานศพคุณ”

“ไม่ได้โกหกแค่ยังไม่ได้เล่าต่างหาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็เล่ามาสิครับ”

“หลังเกิดเหตุพ่อกับแม่ก็มาเรียกฉันกลับบ้านจากตรงที่รถชน” กฤตเริ่มต้นเล่า “ก็ทำพิธีมีพระสวด โยนเหรียญอะไรตามธรรมเนียมล่ะนะ ฉันเลยกลับบ้านได้แต่พอถึงเวลาตายวิญญาณของฉันก็กลับมาที่เดิมอยู่ดี… แม่ฉันจัดงานสวดเจ็ดวัน ฉันไปงานศพตัวเองทุกวัน ไปนั่งฟังพระสวดแต่แปลกนะที่ไม่มีคำเทศน์ไหนกินใจฉันเลย ไปนั่งดูแม่ร้องไห้จนเป็นลม ยิ่งเห็นแม่ทุกข์ฉันก็ยิ่งแค้นว่าเป็นเพราะพวกมันถึงทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ฉันพยายามมองหาพวกมันสองคนแต่ก็ไม่เจอ ทั้งคนที่เคยรักและคนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อน จนถึงวันเผา ฉันยืนอยู่บนบันไดข้างรูปถ่ายตัวเอง มองดูแขกเหรื่อคนแล้วคนเล่าที่เดินเอาดอกไม้จันโยนเข้าไปในเปลวไฟ ไฟเผาร่างฉันจนไหม้หมดไม่เหลือแต่ไฟแค้นในใจฉันมันกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

“เราต้องตามหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ” นรกรตัดบทเพราะในขณะที่กำลังเล่านั้นเขาสังเกตเห็นว่ากฤตกำมือเป็นหมัดแน่น และนัยน์ตาที่ตอนนี้ดูเหมือนคนปกติก็ค่อยๆ วาวโรจน์ขึ้นเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน “คำอธิบายและการขอโทษเป็นสิ่งที่คุณควรได้รับในตอนนี้”

“ก็เอาสิ! อยากทำอะไรก็เชิญ ดูท่าฉันคงห้ามอะไรนายไม่ได้นี่นา ยังไงนายก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ร่างนี้คืนอยู่แล้ว” กฤตตบโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ฟังผมพูดก่อนครับ” นรกรพูดอย่างใจเย็น “ผมไม่ปฏิเสธเรื่องที่อยากได้ร่างพี่วินทร์คืน แต่ถ้าคุณตั้งใจฟังที่ผมพูดให้ดี ผมบอกว่า ‘คำอธิบายและการขอโทษเป็นสิ่งที่คุณควรได้รับในตอนนี้’ เหตุผลไม่ใช่แค่เพราะผมหวังว่าพอคุณได้รับคำขอโทษแล้วจะไปสู่สุขคติ แต่ผมคิดว่าคุณคือผู้เสียหาย และคนที่คุณกล่าวหาควรต้องมาอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“แล้วถ้าไอ้ชายโฉดหญิงชั่วนั่นมันไม่สำนึกผิดล่ะ แล้วถ้าตอนนี้มันยังมีความสุขดีอยู่กินมีลูกด้วยกัน แบบนั้นมันจะไม่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ลงไปอีกเหรอ!”

“คุณก็จะได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยและปล่อยวางไงครับ” นรกรพูดต่อ “ว่าของที่ไม่ใช่ของคุณ มันย่อมไม่ใช่ของคุณ เธอจะไม่กลับมาหาคุณอีก อภัยให้ได้ก็ทำแต่ถ้าทำไม่ได้ก็แค่ปล่อยวาง”

“คิดว่าฉันจะทำได้เหรอไง ถ้ามันง่ายขนาดนั้นป่านนี้ฉันไปเกิดใหม่นานแล้ว!”

“ผมจะช่วยคุณเอง” นรกรบอก “ผมเข้าใจครับว่ามันเจ็บกับการโดนทิ้งแบบไม่มีสัญญาณใดๆ”

“โดนทิ้ง?” กฤตทวนคำ “ใครทิ้งนาย คนที่ชื่อปอนั่นน่ะนะ ฉันนึกว่านายทิ้งเขาเสียอีก”

“เขาบอกเลิกผมในวันรับปริญญาเพื่อไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่แม่เลือกให้ครับ ” นรกรบอก “ของคุณแค่ไม่มางานศพแต่ของผมนี่ถูกขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งเลยนะครับ”
หลังจากที่ได้ฟังก็เหมือนกฤตจะใจเย็นลงเล็กน้อย “นายคงเจ็บน่าดูเลยสินะ แล้วทำไมนายกับเขาถึงยังพูดดีกันได้ล่ะ เป็นฉันโดนทำถึงขนาดนี้นี่เกลียดยันเงาเลยนะ”

“อย่างน้อยตอนที่คบกันก็เป็นวันเวลาที่ดีครับ แล้วผมก็ได้คำอธิบายและคำขอโทษที่มากพอด้วย ถึงจะมารู้เรื่องทั้งหมดในอีกหนึ่งเดือนให้หลังก็เถอะ” นรกรเว้นวรรคไปเล็กน้อย “ผมจึงคิดว่าคุณเองก็สมควรได้รับครับ ถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจะได้เข้าใจให้ถูก แต่ถ้าไม่ใช่ก็แค่เจ็บให้พอ ให้อภัย ปล่อยวางแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ครับ คุณเองก็น่าจะรู้แล้วนี่นาว่าชีวิตเรามันสั้นเกินกว่าจะมาจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ และการแก้แค้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสนุกสักนิดเดียว”

“นาย… ใช้เวลาทำใจนานไหม”

“แปดปีครับ” นรกรบอก

กฤตนิ่งฟังเหมือนจะคล้อยตาม นรกรจึงพูดต่อ

“แล้วผมจะพาคุณไปเยี่ยมแม่คุณด้วย ไม่แน่ว่าคุณอาจจะติดค้างเรื่องที่เป็นห่วงว่าท่านยังสบายดีไหมก็ได้”

“ขอบใจนะ นายนี่เป็นคนดีจริงๆ” กฤตกล่าว “ตั้งใจช่วยฉันขนาดนี้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันทำไม่ดีไว้กับพวกนานตั้งเยอะ”

“คนเราพลาดกันได้ครับ” นรกรบอก “ดูๆ แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเลวนี่นาฟังจากตอนที่แกรนด์ราวน์วันก่อน แล้วก็ที่จิงโจ้เล่าให้ฟังเมื่อกี้”

“หมอนั่นเล่าอะไรให้นายฟัง” กฤตถาม

“ก็ที่คุณให้คำปรึกษาไปเมื่อกี้ไงครับ ผมถึงคิดว่าคุณเป็นคนดีและเราก็ไม่ควรตัดสินใครว่าเลวจากการทำผิดพลาดแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นความผิดที่เกิดจากการที่เขาถูกคนอื่นกระทำมาก่อนหน้านี้อีก”

“นายไม่คิดว่านั่นเป็นคำปรึกษาของแฟนนายหรือไง” กฤตถาม

“พี่วินทร์ไม่พูดแบบนี้” นรกรตอบ “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณหรือพี่วินทร์จะให้คำปรึกษาได้ดีกว่ากันเพราะมันขึ้นกับคนฟังคือจิงโจ้ แต่ที่แน่ๆ พี่วินทร์ไม่ยกเรื่องดราก้อนบอลขึ้นมาพูดแน่นอน”

“แล้วนายคิดว่าเขาจะยกเรื่องอะไรล่ะ”

“เรื่องตัวเอง” นรกรบอก “ซึ่งผมดีใจมากเลยที่ไม่เป็นแบบนั้น”

กฤตเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตอนนั้นหมอนี่ตั้งใจจะเปรียบเทียบกับเรื่องตัวเองจริงๆ แต่เพราะเขาพูดแทรกขึ้นมาเองก่อนก็เลยยอมตามน้ำให้เขาพูดไป

“แต่ฉันเสียใจนะ เลยอดเล่าเรื่องของเราเผื่อเป็นวิทยาทานเลย” วินทร์ว่า
 
“พี่วินทร์แค่อยากอวดน่ะสิ”

“นี่ฉันจริงจังนะฮาร์ฟ” วินทร์บอก “แล้วนายคิดว่าจิงโจ้มันมาปรึกษาเรื่องใคร”

“อนุวัฒน์”

“นายรู้ได้ไงน่ะ”

“ก็ตอนไปราวน์ด้วยกันเมื่อเช้าสองคนนั่นยืนห่างคนละมุมเตียง คนเงียบก็เงียบได้อีก ส่วนคนช่างพูดก็อ้ำอึ้งจนน้ำลายบูด แล้วพอจิงโจ้มาขอบคุณเมื่อกี้ผมเลยปะติดปะต่อเรื่องได้”

“ที่รักเก่งจริงๆ เลยครับ”

นรกรเม้มปากสนิทกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียก คงถึงเวลาที่ต้องคุยกันจริงจังแล้ว “พี่วินทร์เลิกเรียกแบบนั้นสักทีได้ไหมครับ ตกลงกันแล้วนี่นาว่าจะเรียกเฉพาะตอนอยู่ด้วยกันสองคน”

วินทร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “พอดีฉันไม่นับหมอนี่เป็นคนน่ะแล้วถึงเรียกเสียงดังยังไงก็ไม่มีใครได้ยินนอกจากนายอยู่ดี”

“ฉันได้ยินนะ” กฤตแทรกขึ้น

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่นับนายเป็นคน” วินทร์บอก “แล้วนายก็บอกเองว่าตอนนี้เป็นคนใน และที่สำคัญนี่คือการเอาคืนที่นายเคยมาทำตัวเหม็นความรักของพวกเราแล้วพาลไปทำร้ายฮาร์ฟ ฉันก็จะทำให้นายเหม็นจนอกแตกตายไปเลย”

“ฉันก็หลงคิดว่านายเป็นคนดี ที่แท้นายนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าที่คิดนะเนี่ย”

“ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ” วินทร์ยอมรับหน้าตาย “ฉันจำได้หมดทุกท่าเลยด้วยว่าวันนั้นนายทำอะไรฮาร์ฟบ้างแค่ไม่อยากขุดคุ้ยเฉยๆ”

“นี่ขนาดไม่ขุดนะ”

“แล้วอยากให้ขุดไหมล่ะ! โห นี่พูดแล้วของขึ้นเลยเนี่ย”

“อะไรกันครับสองคนนี้ เดี๋ยวก็ดีกันเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน” นรกรปราม “ไปกินข้าวกันเถอะครับผมหิวแล้ว”

“ไปสิ ฉันก็หิวเหมือนกัน” กฤตรับคำพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้ามือนรกร

“แล้วนี่คุณจะทำอะไรครับ”

“จับมือไง” กฤตตอบยิ้มๆ คิดว่าเอาคืนสักหน่อยคงไม่เสียหายเท่าไหร่ “ก็ดูแล้วปกติพวกนายคงเป็นประเภทเดินจับมือจี๊จ๋าอะไรแบบนี้สินะ ฉันก็จะทำบ้างไง จะได้เหมือนปกติ ไม่งั้นคนอื่นเขาจะคิดว่าเรายังทะเลาะกันอยู่น่ะสิ”

“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นครับ เพราะคุณไม่ใช่แฟนผม” นรกรดึงมือกลับ

“พ่อนายจะไม่สงสัยใช่ไหม"

“พ่อผมจะยิ่งหงุดหงิดถ้าเห็น แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ทำแบบนี้ที่ทำงานครับ”

“งั้นถ้าฉันไม่ไปกินข้าวกับนายก็ไม่แปลกแล้วคงไม่มีใครสงสัยใช่ไหม”

“แล้วคุณจะไปไหน” นรกรถาม

“สวน” กฤตตอบ “ไปดูต้นลั่นทมน่ะ ฉันรู้แล้วล่ะว่ามันหายไปแล้ว แต่ก็อยากไปดูชัดๆ อีกสักทีน่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะรักษาสัญญาที่ว่าจะไม่ทำให้พวกนายเดือดร้อนอีก”

พูดจบกฤตก็เดินกึ่งวิ่งออกไปก่อนที่จะรั้งตัวไว้ได้ทัน นรกรถอนหายใจและหันไปเก็บหนังสือที่วางกางไว้เต็มโต๊ะใส่กระเป๋า

“ฮาร์ฟ แบบนี้จะดีเหรอ” วินทร์ถามอ้อมแอ้ม “แบบว่า… ฉันเข้าใจอยู่นะเรื่องที่หมอนั่นต้องแกล้งทำตัวเป็นแฟน คนอื่นจะได้ไม่สงสัยน่ะ”

“ดีแน่นอนครับ ถ้าดูจากสีหน้าพี่วินทร์แล้ว” นรกรตอบยิ้มๆ

วินทร์พ่นลมออกจมูกอย่างโล่งอก “ขอโทษนะที่เป็นคนขี้หึง”

“บอกแล้วไงครับว่าแค่นี้รับมือได้ เอาไว้ไม่ได้เมื่อไหร่แล้วจะบอก” นรกรบอก “แล้วอีกอย่างวันไหนที่พี่วินทร์ไม่หึงสิ ผมถึงต้องเครียดว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ไปกินข้าวเถอะ ป่านนี้แล้วเดี๋ยวบ่ายมีเคสมีผ่าตัดนี่นา”

นรกรดูนาฬิกาแล้วรีบคว้ากระเป๋า “เพราะพี่วินทร์น่ะแหละ ที่ชวนผมคุย”

ทั้งสองมัวแต่คุยกันและผลุนผันออกไปอย่างรีบร้อนจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนหนึ่งแอบฟังอยู่ที่ประตู และกำลังวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งดูจากสีหน้าและแววตาแล้วคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่10 ลอง P.28 [26/11/2561]
«ตอบ #839 เมื่อ26-11-2018 20:46:44 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)


“ผมเอาหนังสือที่ยืมไปมาคืนครับ” นรกรบอกพร้อมกับส่งหนังสือรุ่นและเสบียงขนมที่ซื้อมาให้อีกถุงใหญ่ให้คุณพยาบาลสาวประจำห้องไอซียู

“ช่วยอะไรได้บ้างไหมคะ”

นรกรเปิดหนังสือรุ่นและชี้ไปที่หญิงสาวคนที่ตามหา “เอ่อ… คุณรู้จักผู้หญิงคนนี้ไหมครับ”

“โห~ ไม่เลยค่ะอาจารย์ พี่เขาห่างจากหนูเป็นสิบรุ่น… แต่เอ๊ะ! หนูคุ้นหน้าพี่คนนี้จัง” เธอชี้ไปที่คนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ “สักครู่นะคะขอนึกก่อน… อ๋อ นี่พี่เพ็ญที่อยู่ห้องคลอดนี่นา”

“พี่เขาทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ” นรกรถามด้วยความดีใจ ผู้หญิงคนนี้กฤตบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ

“ใช่ค่ะ หน้ากับหุ่นเปลี่ยนไปเยอะทีเดียวแต่ดูจากชื่อแล้วไม่น่าจะผิดนะคะ”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วนั่นอาจารย์จะไปไหนคะ” เธอเรียกไว้เมื่อเห็นเขาทำท่าจะเดินออกไป

“ไปหาพี่เพ็ญครับ”

“พี่เขาน่าจะระดับอยู่แค่เวรเช้าแล้วนะคะ ป่านนี้คงกลับบ้านแล้วล่ะค่ะ… เอางี้ อาจารย์รอสักครู่นะคะ” เธอบอกก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์สายในแล้วกดโทรออก “สวัสดีค่ะ พี่คะหนูจอรบกวนหน่อย วันนี้พี่เพ็ญอยู่เวรไหมคะ… เหรอคะ ขอบคุณนะคะ” เธอคุยเจื้อยแจ้วกับคนปลายสายสักพักก็วางหูและหันกลับมา “มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายค่ะ”

“ยังไงครับ” นรกรถาม

“ข่าวร้ายคือพี่เพ็ญไม่อยู่ค่ะ ส่วนข่าวดีคือหนูขอเบอร์มาให้แล้ว” คุณพยาบาลบอกพร้อมกับส่งกระดาษโน้ตที่จดเบอร์โทรให้

“ขอบคุณมากครับ”

“เอ่อ… ข่าวร้ายยังไม่หมดค่ะอาจารย์”

“มีอะไรอีกครับ”

“พี่เพ็ญหยุดยาวไปทัวร์ยุโรปกับครอบครัวค่ะ เพิ่งไปวันนี้เอง อีกสิบวันถึงจะกลับ ไม่แน่ใจว่าได้โรมมิ่งไปหรือเปล่า”

“เดี๋ยวผมลองโทรดูก่อนนะครับ” นรกรกดเบอร์ตามที่ได้รับมาและผลคือโทรไม่ติด

พยาบาลสาวมองดูคุณหมอหนุ่มที่มีสีหน้าผิดหวังและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ… ธุระของอาจารย์ด่วนไหมคะ หนูจะลองโทรไปถามให้อีกรอบว่าพี่เขาเล่นไลน์หรือเฟสไหม”

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรรีบบอก “ผมเกรงใจ แค่นี้ก็รบกวนพอแล้วครับ เดี๋ยวผมจะลองโทรอีกเผื่อจะติด ถ้าไม่ได้จริงๆ เอาไว้อีกสิบวันผมค่อยลองติดต่อดูก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย”

“แค่อาจารย์ไม่เอาเคสยุ่งมาฝากบ่อยๆ ก็พอค่ะ” เธอยิ้มหวานพร้อมกับโบกมือให้ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ

“เหมือนจะได้เรื่องแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยนะครับ” นรกรถอนหายใจ

“วันนี้ก็คืบหน้ามาตั้งเยอะแล้วนี่นา วันนี้พักก่อนเอาไว้พรุ่งนี้ลองโทรหาพี่เพ็ญดู พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันต้องรู้อะไรบ้างล่ะ” วินทร์ให้กำลังใจ

“ครับ”

“แล้วนี่หมอนั่นมัวไปทำอะไรอยู่ถึงยังไม่มาเนี่ย” วินทร์บ่นถึงกฤตเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถยังไม่เห็นแม้เงา “นายลองโทรตามอีกทีสิ”

“เพิ่งถึงเวลานัดเองครับ เราลองรออีกสักห้านาทีค่อยโทรก็ได้ ให้โอกาสเขาหลงทางหน่อย”

“มันจะหลงทางจนไปกันใหญ่น่ะสิ” วินทร์บ่นพลางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเขาก็เห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหา กำลังจะตะโกนเรียกก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าไม่ใช่กฤต แต่เป็นหนุ่มหน้าตี๋สุดยอดนักการขาย

“คุณฮาร์ฟสวัสดีครับ” ภาษิตเดินกึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“สวัสดีครับ” นรกรตอบรับ

“เรื่องเมื่อคืนผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมพูดไม่ดีทำให้คุณฮาร์ฟไม่สบายใจ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ภาษิตหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “วันนี้เขาก็ไม่มาอีกแล้วเหรอครับ งั้นผมขออนุญาตชวนคุณไปกินข้าวแล้วแวะไปส่งคุณที่บ้านได้ไหมครับ”

“พี่วินทร์มาทำงานครับเพียงแต่แวะไปทำธุระเฉยๆ”

“เมื่อวานคุณก็พูดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่มา”

“เมื่อวานมันมีเหตุสุดวิสัยครับ แต่วันนี้เขามาจริงๆ”

“จริงเหรอครับ” ภาษิตถามย้ำ “ขอโทษนะครับ ผมขออนุญาตถามตรงๆ ว่าพวกคุณคืนดีกันจริงๆ หรือเปล่า”

“ทำไมหรือครับ”

“ผมบังเอิญได้ยินน่ะครับที่พวกคุณคุยกัน ที่บอกว่าต้องแสดงเป็นคนรักกัน” ภาษิตว่า “ถ้าหากพวกคุณยังรักกันจริงแล้วทำไมต้องแกล้งแสดงละครอะไรแบบนี้ด้วยล่ะครับ”

“คุณพาสอาจจะได้ยินผิดก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องปฏิเสธหรอกครับ ผมได้ยินกับหูและเห็นเต็มสองตาด้วยว่าคุณปัดมือเขาทิ้ง”

นรกรพูดไม่ออก ปกติเขาก็เป็นคนคุยกับคนอื่นไม่เก่งอยู่แล้ว การจะโต้แย้งอะไรสักอย่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก แล้วจะให้เขาแต่งเรื่องไปมากกว่านี้ก็ทำไม่เป็น เขาจึงทำได้แค่เงียบและขยับตัวอย่างอึดอัดซึ่งนั่นยิ่งทำให้ภาษิตเข้าใจว่าตัวเองคิดถูกต้อง

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจนถึงตอนนี้คุณจะปกป้องเขาไปทำไม ในเมื่อเขานอกใจคุณถึงขนาดนั้น”

“ผม… เปล่า…”

“มีอะไรกันเหรอ” กฤตที่มาถึงพอดีเดินเข้ามาแทรก

“พี่วินทร์มาแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” นรกรกล่าวอย่างโล่งอกแต่ดูท่าวันนี้ภาษิตจะไม่ยอมจบง่ายๆ

“คุณมาก็ดีแล้ว ผมขอถามคุณตรงๆ ในฐานะคู่แข่งเลยว่าคุณยังรักคุณฮาร์ฟอยู่หรือเปล่า”
กฤตเหลือบตามองวินทร์ที่ส่งบทพูดมาให้ “รักสิ”

“รักแล้วทำไมถึงนอกใจเขาไปหาคนอื่นล่ะครับ” ภาษิตถามต่อ

“ก็…” กฤตจะตอบแต่วินทร์ชี้หน้าให้เงียบไว้ก่อนเขาจึงรีบปิดปากซึ่งเป็นการเปิดช่องให้ภาษิตยิงคำถามมาอีก

“แล้วเมื่อคืนคุณหายไปไหน ทำไมปล่อยให้คนรักไปกินข้าวคนเดียว ทำไมต้องสร้างภาพว่ายังเป็นแฟนกันทั้งที่ไม่ได้รักกันแล้วด้วยล่ะครับ”

วินทร์กัดฟันแน่น ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้จะเถียงหรืออธิบายไปทางไหน จึงไม่แปลกใจเลยที่นรกรจะตอบไม่ได้

“เราไม่ได้สร้างภาพครับ” นรกรบอก

ภาษิตเหลือบตามองวินทร์ หรืออันที่จริงก็คือกฤตที่ยืนกรอกตาไปมาทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วยิ่งรู้สึกโกรธแทน “คุณดูเขาสิ คุณดูไม่ออกเหรอครับว่าเขาไม่ได้รักคุณแล้ว ในแววตาของเขามันไม่มีเยื่อใจเหลือให้คุณสักนิดเดียว”

“ก็…”

“ไอ้หมอนี่มันพูดบ้าอะไรเนี่ย” กฤตกระซิบถาม

“ความผิดนายล้วนๆ เลย” วินทร์ตอบ

“เอางี้ ถ้าพวกคุณยังรักกันจริงก็ลองจูบกันให้ผมดูหน่อยสิครับ ทำได้ไหมล่ะเรื่องแค่นี้เอง” ภาษิตท้า

นรกรเหลือบตามองกฤต ถึงใครๆ จะเห็นเป็นร่างของวินทร์แต่ที่เขาเห็นมันไม่ใช่ “ผม…”

“ไม่เห็นต้องลำบากใจขนาดนั้นเลยนี่ครับ” ภาษิตว่าพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้และคว้าไหล่นรกรไว้แน่น

“เอ่อ…”

เห็นท่าไม่ดีกฤตจึงคิดว่าต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความเข้าใจผิดนั้นมันมีสาเหตุมาจากตัวเขา “ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เราต้องมาอวดให้คนนอกอย่างนายดู” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือมาดึงตัวนรกรให้พ้นจากภาษิตและโอบไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง “แต่ถ้านายอยากเห็นนักฉันจัดให้ก็ได้นะ”

ภาษิตเม้มปากแน่น ไม่ตอบโต้อะไรเพราะอย่างไรเสียตัวเองก็ยังเป็นได้แค่คนนอก “ตาสว่างสักทีเถอะครับ”

 “กลับบ้านกันเถอะ” กฤตพูดเสียงดังพร้อมกับเดินกึ่งประคองตัวนรกรหนีไปจากตรงนั้น

“ขอบคุณครับ” นรกรบอกเมื่อพ้นจากภาษิตมาได้พร้อมกับดันตัวออกห่าง

“หมอนั่นน่าจะเลิกยุ่งกับนายได้แล้วนะ” กฤตว่าหันมองข้ามไหล่ไปดูว่าอีกฝ่ายไม่ได้แอบตามมา “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคนเราต้องชอบยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วด้วย แฟนเขาก็ยืนอยู่ทนโท่”

“นั่นน่ะสิ” วินทร์เห็นด้วยและเขารู้สึกว่าภาษิตคงไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่นอน

“บอกแล้วว่าให้ทำตามที่ฉันเสนอก็ไม่เชื่อ” กฤตว่า “นี่! ฉันไม่ได้อยากเป็นแฟนนายจริงหรอกนะ ที่ทำนี่เพราะอยากไถ่โทษให้ก็แค่นั้นแหละ”

“มีอีกหลายวิธีที่จะไถ่โทษครับ ไม่จำเป็นว่าต้องแกล้งเป็นแฟน” นรกรบอก

“แฟนนายนี่กลัวนายหึงถึงขนาดนี้เลยเหรอไง” กฤตหันไปหาวินทร์ “เวลาแบบนี้นายก็มองข้ามๆ ไปบ้างเถอะ”

วินทร์เหลือบตามองนรกรก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องนั้นก็ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก อย่างที่นายรู้ ฮาร์ฟไม่ได้มองเห็นนายเป็นฉันเหมือนคนอื่นๆ ปกติเขาเป็นคนการ์ดสูงแล้วก็ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว แค่ยอมให้นายที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อนเลยเข้าใกล้ขนาดนี้นี่เขาก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วล่ะ”

“แต่ถ้าพี่วินทร์โอเคผมจะลอง…”

“ให้นายฝืนทำไปก็ออกมาไม่จริงใจ แล้วจะยิ่งไปกันใหญ่มากกว่า” วินทร์บอก “แล้วฉันก็ไม่โอเคด้วย เพราะงั้นนายสบายใจได้”

“ขอบคุณนะครับ” นรกรตอบ

กฤตไหวไหล่ “ก็แล้วแต่พวกนายแล้วกัน”

OOOOOO

อีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ จิงโจ้ก็กำลังยืนแอบอยู่ที่หลังเสา รอการมาของเจ้าของรถที่หลบหน้าเขามาตั้งแต่เมื่อวาน
พอร่างสูงของอนุวัฒน์เดินมาถึงและกำลังเปิดประตูรถ จิงโจ้ก็รีบกระโดดออกจากที่ซ่อนเข้าประชิดตัวทันที

“พี่วัฒน์ครับเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“แต่ฉันไม่มี” อนุวัฒน์ตอบด้วยท่าทีเย็นชาและทำท่าจะขึ้นรถ จิงโจ้จึงรีบปราดเข้าไปขวางไว้

“อ้าวพี่วัฒน์ พี่จะมาบอกรักผมแล้วชิ่งแบบนี้ไม่ได้นะพี่”

“อะไรของแกเนี่ยไอ้โจ้!”

“คือผมคิดๆ ดูแล้วพี่ แต่ผมคิดไม่ออก แล้วผมมันก็คนโง่ด้วย ดูสิ! ว่าแต่พี่ฮาร์ฟ พี่วัฒน์อยู่ข้างๆ ผมมาตั้งห้าปี ผมยังไม่รู้ตัวเลย ผมก็เลยคิดว่าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เรามาลงมือทำกันเลยดีกว่า ถ้าเวิร์คก็คือเวิร์ค แต่ถ้าไม่เวิร์คพี่วัฒน์ก็จะได้ตัดใจ แล้วผมก็จะได้สบายใจด้วย”

“แกหมายความว่าไง”

“เรามาทดลองคบกันเถอะพี่วัฒน์”

“ทดลองคบกัน?” อนุวัฒน์ถามกลับ “จะบ้าเหรอ ความรู้สึกคนนะไม่ใช่เครื่องมือแพทย์จะมาทดลงทดลองอะไร”

“มันคือการเรียนรู้กันไงพี่” จิงโจ้บอกพร้อมกับเกาะแขนคนตัวสูงกว่าที่พยายามจะหนีขึ้นรถไว้แน่น

“ฉันเข้าใจ ที่ฉันถามน่ะเพราะสงสัยว่าแกเข้าใจจริงๆ อย่างที่ปากว่าหรือเปล่า”

“เข้าใจสิครับ” จิงโจ้ยืนยัน

“แน่ใจนะ” อนุวัฒน์ถามย้ำพร้อมกับดันตัวอีกฝ่ายจนหลังติดรถแล้วก้มหน้าลงจูบแบบเมื่อวานอีกครั้ง

“พี่วัฒน์… เดี๋ยว…” จิงโจ้ที่หายใจหายคอไม่ทันใช้สองมือดันอกคนอายุมากกว่าออกห่าง

“ตกใจอะไร เป็นแฟนกันแล้วนี่ จูบแฟนผิดตรงไหน” อนุวัฒน์ถามเสียงเรียบ

อันที่จริงเขากำลังเก็บอาการไว้ไม่ให้ดีใจจนออกนอกหน้า จะว่าเขาเล่นไม่ซื่อก็ได้เพราะตั้งแต่แรกแล้วเขาก็ตั้งใจหนีให้อีกฝ่ายตามนี่แหละ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดกฏอะไรเพราะก็ทำใจไว้แล้วว่าถ้าจิงโจ้ไม่ตามเขาก็แค่อกหัก แต่นี่ผ่านไปยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายร้อนรนมาหาเขาก่อน แถมยังมาเสนอข้อตกลงให้คบกันนี่อีก ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้คว้าไว้ก็บ้าแล้ว ถึงจะอกหักจริงๆ แต่การได้จูบตั้งสองครั้งก็ถือว่าคุ้มแล้ว… ไม่สิ! ประเมินจากการที่จูบแล้วไม่โดนต่อยทั้งสองครั้ง เดิมพันครั้งนี้เขามีสิทธิ์ชนะสูงมากเลยทีเดียว

“ตกลงฉันจูบไม่ได้เหรอ” อนุวัฒน์ถามซ้ำ

“ก็…” จิงโจ้อำอึ้ง

อนุวัฒน์มีสีหน้าผิดหวัง เขาดันตัวอีกฝ่ายให้พ้นจากประตูรถ “ฉันถึงได้ถามไงว่านายเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ทีนี้ก็หลีกไปได้แล้วฉันจะกลับบ้าน”

จิงโจ้เข้ามาคว้าแขนไว้อีกครั้ง “เข้าใจสิพี่ เมื่อกี้มันกะทันหันผมเลยไม่ทันตั้งตัวเฉยๆ”

อนุวัฒน์ถอนหายใจเสียงดัง “แล้วจะต่อไหม”

“ต่อคือ?”

“เซ็กซ์ไง”

“หืมมม” คนฟังคาโต

“ตัวเลือกมีห้องนาย ห้องฉันหรือจะเอาโรงแรม เดี๋ยวฉันออกค่าห้องกับถุงยางเอง แต่ถ้านายชอบสดฉันก็โอเคหมด”

“เดี๋ยวนะพี่วัฒน์ ใจเอา… เอ๊ย! ใจเย็นๆ ครับ” จิงโจ้ลิ้นพันกันพัลวันเมื่อคนหน้านิ่งไม่มีทีท่าล้อเล่นแถมยังคว้าคอเขาโยนใส่รถฝั่งข้างคนขับแถมดึงเข็มขัดมาคาดให้เรียบร้อยอีกต่างหาก

“นี่เย็นแล้วนะ ไม่เย็นฉันจับนายกดตรงนี้แล้ว” อนุวัฒน์ว่า “ตกลงเอาที่ไหนนะ”

“เอาที่ห้องพี่วัฒน์ก็ได้ครับ” จิงโจ้รีบบอก

คนพูดน้อยยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ “ตกลง ‘เอา’ ที่ห้องฉันนะ” เขาแกล้งเน้นเสียงทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ

จิงโจ้กลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วนั่งตัวตรงมองทางข้างหน้า ไม่รู้ว่าที่คิดน้อยๆ ง่ายๆ มาแบบนี้มันดีจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่คิดจะถอยหลังกลับอีกแล้วเพราะตัวเขาเองก็อยากจะได้คำตอบที่ชัดเจนให้กับความรู้สึกนี้เหมือนกัน

OOOOOO

จิงโจ้นั่งอยู่บนเตียงในห้องที่เขามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา อนุวัฒน์ให้โอกาสเขาอาบน้ำก่อนที่เจ้าตัวจะหายเข้าไปนานสองนาน จนจากที่กลัว ตอนนี้เขาเริ่มกังวลแทนแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่า
นั่งคิดสองจิตสองใจว่าจะลองเรียกดูดีไหมประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับที่ร่างสูงซึ่งนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินออกมา

“อ้าวนี่ยังอยู่อีกเหรอ” อนุวัฒน์ถาม

“เกือบจะไม่อยู่แล้วล่ะครับ ก็พี่วัฒน์เล่นอาบน้ำตั้งชั่วโมงนึง” จิงโจ้ว่า

“ฉันให้เวลานายหนีต่างหาก” อนุวัฒน์บอกพลางเดินมาหยุดยืนตรงหน้า “แต่ก็ไม่ยักกะหนีแฮะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าเตรียมใจมาแล้ว”

อนุวัฒน์พยักหน้า “ถามจริงๆ เลยนะ นี่แค่เหงาเพราะโสดมานานหรืออยากลองของใหม่”

“พี่วัฒน์พูดอะไรน่ะ ผมไม่คิดเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกนะ”

“ฉันเป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง” อนุวัฒน์ถามย้ำ

“ก็รู้อยู่”

“แล้วทำไมถึงคิดจะลองคบกับฉันล่ะ”

“ก็บอกแล้วว่าผมมันคนหัวทึบ” จิงโจ้ว่า “ผมไปปรึกษาพี่วินทร์…”

“อ๋อเหรอ” อนุวัฒน์ลากเสียงนึกหึงหน่อยๆ ที่หมอนี่มีอะไรกลุ่มใจก็วิ่งไปปรึกษาวินทร์เสียทุกเรื่อง

“พี่วินทร์บอกให้ผมลองลืมเรื่องเพศไปแล้วคิดดูว่าโลกที่มีพี่กับไม่มีพี่วัฒน์อันไหนมันดีกว่ากัน”

“แล้วคำตอบล่ะ”

“แบบที่มีพี่ดีกว่า”

“อย่างนั้นเหรอ”

“แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันคือความรักไหม เพราะฉะนั้นก็อย่างที่บอกไปน่ะแหละ เรามาลองดูให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยเถอะครับ!”

อนุวัฒน์หลุดขำออกมาเล็กน้อยกับท่าทีที่เหมือนจะไปออกศึกบางระจันของอีกฝ่าย ทั้งที่กลัวแต่ก็ยังคิดเรื่องของเขาอย่างตั้งใจ และถึงจะไม่เข้าใจก็พร้อมใจจะลองคบกันเพื่อไม่ให้เสียเขาไป… น่ารักขนาดนี้เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง… หรืออย่างน้อยที่สุด คืนนี้เขาไม่ยอมปล่อยให้กลับบ้านแน่ๆ ล่ะ

“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”

“ปิดไฟไหมครับ” จิงโจ้เสนอ

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากให้นายเห็นชัดๆ จะได้ไม่ต้องคิดถึงใคร จะได้รู้ว่าคนที่กอดนายไว้คือฉัน” อนุวัฒน์กระซิบกับริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าก่อนจะประกบปิดลงไป

อย่างดูดดื่มและเนิ่นนาน… เขาต้องการให้อีกฝ่ายค่อยๆ ซึมซับกับตัวตนของเขา ให้รู้ว่ากำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งความเป็นพี่น้องและต่อจากนี้ไปมันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

จิงโจ้ค่อยคล้อยตามไปกับจูบของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นโอบรอบแผ่นหลัง มันทั้งกว้างและแข็ง ไม่นุ่มนิ่มเหมือนกับสาวๆ ที่เคยคบมา “พี่วัฒน์นี่กล้ามแน่นเหมือนกันนะครับ”

อนุวัฒน์ยิ้มมุมปากก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “มาชมอะไรตอนนี้ก็เห็นอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”
นัยน์ตาที่สบมาพราวระยับจนหัวใจเริ่มสั่น และเขาคิดว่าต้องหาเรื่องคุยไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป “ที่เขาบอกว่าพวกเกย์ชอบฟิตกล้ามให้ล่ำๆ นี่ท่าจะเป็นเรื่องจริง”

“มันแค่แนวคิดเรื่องรักสุขภาพ ถ้านายไม่ชอบออกกำลังก็ไม่ต้องมาค่อนแคะคนอื่น ถึงฉันจะไม่ปฏิเสธเรื่องที่เป็นเกย์ก็เถอะ”

อนุวัฒน์ตอบพลางเริ่มต้นจูบไล่ไปตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เริ่มจากใบหูที่แดงแจ๋ด้วยความเขินอาย เรื่อยลงมาตามแนวลำคอ มือใหญ่ค่อยร่นชายเสื้อยืดที่อีกฝ่ายสวมอยู่ขึ้นสูงจนเห็นยอดอก เขาใช้ปลายลิ้นตวัดติ่งเล็กๆ นั้นเข้าปากและดูดดึงจนมันเด้งขึ้นมา

“พี่วัฒน์… อย่า…” จิงโจ้คราง เขาไม่คุ้นเคยกับการโดนสัมผัสตรงนี้ ปกติเคยแต่เป็นฝ่ายดูด เพิ่งรู้ว่าโดนดูดเองแล้วจะรู้สึกดีขนาดนี้

แต่คำห้ามปรามนั้นดูเหมือนจะไม่เข้าหูเลย ในขณะที่อนุวัฒน์ใช้ปลายลิ้นเล่นกับหัวนมข้างหนึ่ง เขาก็ไม่ยอมปล่อยอีกข้างไว้เฉยๆ ใช้นิ้วเขี่ยเล่นไปมาสลับกันไปทั้งสองข้างจนมันเปียกแฉะไปหมด เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ใต้ร่างไม่ขัดขืน เขาจึงค่อยๆ ขยับลงต่ำ… อย่างช้าๆ… ไม่ให้กระต่ายน้อยตกใจตื่นและวิ่งหนีออกจากห้องไปเสียก่อน

ริมฝีปากจูบไซ้มาจนถึงท้องน้อย ในขณะที่มือใหญ่ลูบไล้ลงไปถึงขอบกางเกงบ๊อกเซอร์ รู้สึกตื่นเต้นอีกเท่าทวีเมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นขยับขึ้นสู้มือ เขาค่อยๆ ใช้ฝ่ามือนวดมันวนไปมา เรียกเสียงสูดปากจากอีกฝ่ายได้เป็นระยะ

“เปียกหมดแล้วนะ” อนุวัฒน์กระซิบแซว ตอนนี้เขาขยับลงมานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้ว “นี่ขนาดยังไม่ได้จับตรงๆ เลยนะ ท่าทางจะเก็บกดเอาไว้เยอะล่ะสิ” พูดพลางใช้ปลายนิ้วถูไถลงตรงจุดที่นูนขึ้นมามากที่สุดและมีน้ำซึมออกมาเป็นวงกว้าง

“เปล่าสักหน่อย” คนพูดมากที่ตอนนี้เริ่มพูดไม่ออกตอบเสียงสั่นพร่าด้วยอารมณ์หวามไหวที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมีอารมณ์กับผู้ชายด้วยกันได้

“งั้นฉันทำต่อแล้วนะ” พูดจบอนุวัฒน์ก็ถอนนิ้วออกแล้วใช้ปลายลิ้นเล่นกับส่วนนั้นแทน

“พี่วัฒน์… อย่าทำแบบนั้น… ไม่เอา…”

“ไม่ให้ทำแบบนั้นคือไม่ให้ทำผ่านผ้าใช้ไหม” อนุวัฒน์ถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แล้วเพียงพริบตาเขาก็จัดการรูดบ็อกเซอร์ออกจากเรียวขาไปกองอยู่บนพื้น และจัดการส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นทันที

ความรู้สึกหวามไหวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง จิงโจ้นอนราบลงกับเตียงสองขากางออกให้คนอายุมากกว่าเข้ามาอย่างไร้แรงต้านทาน เขาหอบหายใจแรงไปตามจังหวะที่ริมฝีปากและปลายลิ้นขยับขึ้นลง ยอมรับว่ารู้สึกดี… ดีมากอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้มาก่อน เขาปรือตามองผ่านร่างกายของตัวเองไปยังส่วนล่างที่เห็นเพียงศีรษะของอนุวัฒน์ขยับขึ้นลงอยู่ตรงระหว่างขา

“แล้วนี่พี่วัฒน์จะ…” เขาละล่ำละลักถาม

“อยู่ข้างบน” อนุวัฒน์ตอบเสียงอู้อี้หน่อยๆ เพราะยังอมของอีกฝ่ายไว้เต็มปาก

“หืมมม” จิงโจ้ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำตอบ

“ฉันจะเป็นฝ่ายรุก”

“เอิ่มมมม”

“ฉันจะเป็นคนเสียบนาย”

“เฮ้ยยยย!”

“ถือว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะ” อนุวัฒน์สรุปพร้อมกับยืดตัวขึ้นมา “ไม่ต้องห่วงฉันเก่ง ไม่ทำให้เจ็บหรอก”

“พี่วัฒน์ไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหน” จิงโจ้ถามเสียงสั่น ตอนนี้ผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันตัวอนุวัฒร์หลุดไปแล้ว เขาจึงได้เห็นช่วงล่างของอีกฝ่ายเต็มตา

“จากไหนน่ะเหรอ” อนุวัฒน์หยักยิ้มมุมปากพร้อมกับก้มตัวลงมาจูบ “ฉันว่านายลองพิสูจน์ดูเองดีกว่า”
จิงโจ้กลืนน้ำลายเหนียวลงคอยังไม่ทันจะคัดค้านก็โดนอีกฝ่ายจับพลิกคว่ำอย่างง่ายดาย

“ยกสะโพกขึ้นให้หน่อยสิ”

เสียงกระซิบหวานที่ข้างหูพร้อมกับที่ฝ่ามือใหญ่เอื้อมมากอบกุมส่วนกลางที่ร้อนรุ่มขยับโยกจนเคลิ้มไป ทำให้เขาทำตามที่อีกฝ่ายขออย่างง่ายดาย

“พี่วัฒน์พอแล้ว” จิงโจ้โอดครวญกับคนที่โอบรัดตนไว้จากด้านหลัง อนุวัฒน์ไม่ได้จะฝืนดึงดันเข้ามา ตรงกันข้ามเขากลับค่อยๆ ทำให้ชินโดยการสอดนิ้วเข้ามาทีละนิ้วพร้อมกับสอนกายวิภาคไปด้วย

“ตรงนี้คือต่อมลูกหมาก” อนุวัฒน์กระซิบ “ผู้ชายเราจะรู้สึกดีเวลาถูกกระตุ้นที่ตรงนี้”

“ผมรู้แล้ว”

“ฉันก็เห็นแล้วเหมือนกัน” อนุวัฒน์ยิ้มเมื่อร่างในอ้อมแขนกระตุกรับกับจังหวะนิ้วที่สอดใส่และกอดรัดเขาแน่นขึ้นทุกทีเช่นเดียวกันกับช่องทางแคบที่ค่อยๆ นุ่มขึ้น “เพิ่งเข้าได้แค่สองนิ้วเอง ต้องสักสามนิ้วถึงจะพอดีกับของฉัน” อนุวัฒน์ว่าและสอดนิ้วที่สามเข้าไป ขยับไปมาอยู่สามสี่ครั้งจึงถอนออกเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะชิงล่วงหน้าไปเสียก่อนที่เขาจะทำภารกิจสุดท้าย “โอเค… เท่านี้น่าจะได้ เดี๋ยวฉันจะใส่แล้ว นายห้ามเกร็งนะ”

“พอห้ามปุ๊บก็รู้สึกเกร็งปั๊บเลยอะ” จิงโจ้ร้อง

อนุวัฒน์จับคนอายุน้อยกว่านอนหงายแล้วดึงสองแขนขึ้นมาคล้องคอตัวเอง“เจ็บก็กอดฉันไว้ ทีนี้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ นะ จะได้ไม่เกร็ง… นั่นล่ะ ดีมาก คนเก่ง”

เขาเอื้อมือไปหยิบถุงยางที่เตรียมไว้ขึ้นมาฉีกออกใส่ของตัวเอง แล้วจัดแจงลูบไล้ด้วยสารหล่อลื่นอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าบทรักนี้จะผ่านไปอย่างราบรื่น

“พร้อมนะ”

อนุวัฒน์ค่อยๆ สอดเข้าไปช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็บทว่ามันไม่ง่ายเลยเมื่อได้เข้ามาอยู่ในตัวคนที่เฝ้ารอมาถึงห้าปี ในที่สุดร่างกายก็ขยับไปตามอารมณ์ปรารถนา เสียงสะโพกกระทบกันกับเสียงครางของคนในอ้อมแขนยิ่งพาให้สติกระเจิง เขาสอดใส่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ได้เสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อไม่หยุด จนในสุดเขาก็หมดแรงล้มลงนอนกอดคนที่ถึงไปก่อนหน้าแล้ว

เขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ตกลงมาระหน้าผากขึ้นไป แล้วจูบซับน้ำตาให้ มันเป็นเซ็กซ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยสัมผัสมาเลยทีเดียว “เป็นไงบ้าง”

“พี่วัฒน์” เสียงของจิงโจ้แหบไปเล็กน้อย

“รู้สึกดีไหม”

“มันเจ็บอ่ะ” จิงโจ้โอดครวญ “ผมจะไม่ยอมให้พี่วัฒน์มาแทงข้างหลังผมแบบนี้อีกแล้ว” พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทิ้งให้อนุวัฒน์นอนงงเป็นไก่ตาแตกว่าทำพลาดไปตอนไหนทั้งๆ ที่ตอนทำก็ดูจะพออกพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายแท้ๆ

****************************************************TBC*****************************************************

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด