Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279533 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
«ตอบ #780 เมื่อ09-07-2018 19:32:03 »

คิดถึงพี่วิน :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
«ตอบ #781 เมื่อ25-07-2018 01:11:27 »

บทที่ 5 แลก

กลางดึกเงียบสงัด ร่างโปร่งแสงนั่งอยู่ริมขอบเตียงที่คนรักของเขานอนหลับอยู่ ฤทธิ์ของยาแก้แพ้กับอาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากการอดนอนติดๆ กันทำให้นรกรหลับสนิทในรอบหลายวัน

วินทร์นั่งนิ่งๆ ทอดสายตามองอยู่อย่างนั้นพลางหวนคิดถึงวันที่รู้หัวใจตัวเองเมื่อหลายปีก่อน มันเริ่มขึ้นตอนที่เขารู้ตัวว่าไม่เคยเบื่อเลยกับการเฝ้าดูใครสักคนนอนหลับเป็นชั่วโมงๆ คอยปัดยุง เป็นห่วงว่านอนสบายไหม หนาวหรือเปล่า หรือว่าร้อนไปไหม จะพลิกตัวไปทางไหน คืนนี้ฝันถึงใคร แล้วในฝันนั้นมีเขาอยู่บ้างไหม และตอนที่ดีที่สุดก็คงเป็นตอนที่นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นเขาเป็นคนแรก

นับจากวันที่ได้เจอกัน ตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่จำแม้ชื่อของตัวเองไม่ได้ จนได้มาอยู่ด้วยกัน ผ่านเรื่องสุขทุกข์ วันที่มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา เกือบสองปีที่ได้อยู่ด้วยกัน มันไม่นานเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่เขารอมาตลอด และเขาไม่เคยคิดเลยสักครั้งถึงวันที่ต้องแยกจากกัน

วินทร์เอื้อมมือไปแตะบนกรอบหน้าคนหลับ ถึงจะรู้ดีว่านรกรคงไม่รู้สึก หากเขาก็ไล้อย่างเบามือด้วยกลัวว่าจะทำให้ตกใจตื่น เขาพินิจดูทุกเสี้ยวส่วนของใบหน้านั้นอย่างตั้งใจเพื่อจดจำทุกรายละเอียด ราวกับนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มอง

เขาค่อยๆ ลูบมือไปตามขอบตาที่เห็นเป็นรอยช้ำนิดๆ ภาพนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวแดงก่ำหากไม่มีน้ำไหลสักหยดที่ปรากฎขึ้นตอนทะเลาะกับพ่อเมื่อช่วงหัวค่ำผุดขึ้นมาในความคิด นั่นทำให้หัวใจกระตุกวูบ วินทร์เม้มปากสนิทก่อนจะลากมือเรื่อยลงมาตามสันจมูกจนถึงริมฝีปากบางที่ส่งยิ้มมาปลอบประโลมหัวใจเขาได้เสมอ ทว่าตอนนี้เขาไม่เห็นยิ้มนั้นมาหลายวันแล้ว และเป็นเพราะเขาเองที่เป็นคนพรากมันไป

ถึงตรงนี้วินทร์หยุดมือลงและนิ่งมองพลางไตร่ตรองถึงการตัดการสินใจครั้งสุดท้าย

…ถ้าหากรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะกลับมาในวันนั้น วันนี้เขาคิดว่ามันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว ถ้าเขาจะขอแลกอีกครั้งเพื่อรักษามันไว้…

วินทร์ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากที่กลางหน้าผาก… แผ่วเบาหากว่าเนิ่นนาน…

ขอแค่นายมีความสุข แม้เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกต่อไปแล้วก็ไม่เป็นไร… เพราะสำหรับเขาไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่าการที่ต้องทนเห็นนายต้องทนทุกข์โดยที่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

…ลาก่อนหัวใจของฉัน…





นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ถึงจะรู้สึกสดชื่นที่ได้นอนเต็มอิ่มหากก็รู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ แม้ไม่ได้ฝันร้าย สิ่งแรกที่เขาทำเหมือนทุกวันหลังตื่นนอนคือมองหาคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่พื้นที่บนเตียงนั้นก็ว่างเปล่าและเย็นเยียบ

“พี่วินทร์”

นรกรส่งเสียงเรียกออกไปพลางกวาดตามองไปรอบห้อง มันเงียบเชียบจนน่าใจหาย แค่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงสั่นเบาๆ ก็ทำให้สะดุ้ง นรกรหยิบมากดดูข้อความจากจิงโจ้

“วันนี้ไม่มีนัดผ่าตัด พี่ฮาร์ฟไม่ต้องมาทำงานก็ได้ครับเดี๋ยวผมกับน้องๆ จะช่วยดูคนไข้แทนเอง ถ้ามีอะไรด่วนเดี๋ยวผมจะโทรหา…

ขอโทษนะครับที่ช่วยได้แค่นี้… พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”

นรกรพิมพ์ตอบไปแค่ “ขอบคุณ” เขาเข้าใจว่าจิงโจ้หวังดีในหลายๆ อย่าง ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนถึงเรื่องเมื่อวาน แต่ตอนนี้ตัวเขายังคิดไม่ตกว่าควรจะหยุดดีหรือเปล่า เพราะนั่นอาจจะยิ่งดูเหมือนเป็นการไม่กล้าไปสู้หน้าพ่อ สู้หน้าคนอื่นๆ แล้วจะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงก็ได้ หรือเขาหยุดพักตามที่จิงโจ้บอกแล้วปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปเองก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้ 

แต่ไม่ว่าจะทางไหน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องตามหาวินทร์ทั้งที่เป็นวิญญาณกับร่างของวินทร์ที่เจ้าผีนั่นเอาไปให้เจอเสียก่อน

นรกรก้าวลงจากเตียง เขาเดินออกจากห้องนอนมาและเห็นศีรษะของร่างโปร่งแสงเป็นสีมุกจางๆ โผล่พ้นพนักโซฟาในห้องนั่งเล่น เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและรีบก้าวยาวๆ เข้าไปหา

“พี่วินทร์อยู่นี่เอง ถ้าได้ยินที่ผมเรียกก็ขานตอบกันหน่อยสิครับ ผมเป็นห่วงนะ แล้วนี่มานั่งทำอะไรตรงนี้ ไหนว่าจะนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ไปไหนไง”

เขาบ่นไปเสียยืดยาวหากวินทร์ไม่ตอบอะไรสักคำ ร่างโปร่งแสงหันหน้าหลบตาก่อนจะถอนหายใจเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน

“ฮาร์ฟ เราเลิกกันเถอะ!”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเบา แต่ก็หนักแน่นมากจนคนฟังไม่กล้าโกหกตัวเองว่าฟังผิดไป

นรกรสบตาคนตรงหน้านิ่ง “พี่วินทร์ล้อผมเล่นหรือเปล่าครับ”

“ท่าทางฉันเหมือนคนแบบนั้นเหรอ” วินทร์มองตอบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองตรงมาที่เขา “ถ้าเมื่อกี้ฟังไม่ชัด ฉันจะพูดให้ฟังอีกครั้ง และมันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฟังแล้วจำไว้ให้ดีๆ นะว่า… เรา-เลิก-กัน-เถอะ”

นัยน์ตาสีอ่อนไหววูบ ริมฝีปากบางสั่นจนเจ้าตัวต้องเม้มไว้ “ผมถามได้ไหมครับว่าทำไม”

“ไม่มีเหตุผลอะไรมากหรอก ก็แค่ฉันไม่อยากอยู่กับนายแล้ว จบ… ทางใครทางมัน เรื่องก็มีแค่นี้แหละ” วินทร์ตอบ ก่อนจะรีบเดินหนีออกไป

“ผมไม่ให้ไป” นรกรตะโกนตามหลัง

“มันจบแล้ว นายไม่เข้าใจหรือไง ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะ” วินทร์ตอบทั้งที่ยังไม่ยอมหันมา

“พี่วินทร์ต่างหากที่ไม่เข้าใจ” นรกรบอก ทั้งที่ในใจปวดหนึบจนมือเริ่มสั่นแต่น้ำเสียงนั้นไม่สั่นเลยสักนิด “ผมรู้นะว่าพี่วินทร์กำลังคิดอะไรอยู่… พี่วินทร์ไม่เคยเชื่อใจผมเลยใช่ไหมว่าผมจะหาทางเอาร่างพี่วินทร์คืนมาให้ได้…”

“นายคิดว่าคนเราจะวิญญาณออกจากร่างได้กี่ครั้งกันฮาร์ฟ” วินทร์พูดแทรก “ฉันไม่ได้ตัดใจหรือไม่เชื่อใจนาย แต่นี่คือความจริง… ความจริงที่เราสองคนต้องยอมรับว่าฉันตายไปแล้ว”

 “แต่ผมก็เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าต่อให้เป็นผีผมก็รัก ผม…”

“แค่รักมันพอที่ไหนล่ะ” วินทร์พูดเสียงดัง “ให้เรื่องของเราจบลงแค่ตรงนี้… นายไปหาผู้ชายคนใหม่… คนที่เขาดูแลนายได้ แล้วลืม ‘ผี’ อย่างฉันไปเถอะ”

ทันทีที่พูดจบ ร่างกายที่เคยเป็นรูปร่างชัดเจน กลับกลายโปร่งแสงขึ้นจนแทบจะกลืนหายไปกับสิ่งรอบตัวพาให้ใจของคนมองแทบจะสลายตามไปด้วย นรกรก้าวยาวๆ เข้าไปหาคนที่ยังคงยืนหันหลังให้ พยายามเอื้อมมือไปคว้าร่างนั้นไว้หากก็สัมผัสได้แค่เพียงความว่างเปล่าเหมือนกับที่เคยเป็นมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่ยอมแพ้ เดินอ้อมไปยืนด้านหน้า นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองคนที่กำลังจะเลือนหายไปจากชีวิตเขาอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นเศร้าสร้อยและดำดิ่งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“แล้วพี่วินทร์จะไปไหน ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาตาย วิญญาณก็ไปสู่สุขคติหรือเกิดใหม่ไม่ได้อยู่ดี”

“มันก็เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมาสนใจหรอก” วินทร์บอก “อย่ามารั้งฉันไว้เลย ทำแบบนี้มันจะดีกับตัวนายเองนะ”

“คิดเองเออเอง!” นรกรพูดเสียงดัง “ทำไมถึงมาคิดแทนผมว่าอะไรดี อะไรไม่ดีสำหรับผม ผมก็บอกแล้วไงว่ารับได้กับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่”

“นายก็คิดเองเออเองไม่ต่างจากหมอนั่นน่ะแหละ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้น “ในเมื่อเจ้าตัวเขาอยากจะไปก็ปล่อยให้เขาไปสิ นายจะไปรั้งเขาไว้ทำไมให้เสียเวลาล่ะ”

ทั้งสองหันไปมอง คนที่เพิ่งเปิดประตูห้องเดินสองมือล้วงกระเป๋าเข้ามายืนตรงกลางด้วยท่าทียียวน แล้วหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีพร้อมกับยักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและพูดต่อ

“ยังไงก็คงไม่ได้คืนอยู่แล้วล่ะร่างนี้น่ะ ปล่อยให้ไปเป็นสมภเวสีเร่ร่อนสักพักเดี๋ยวก็ปรับตัวได้ ผีสาวๆ สวยๆ แถวนี้ก็เยอะอยู่… อ้อ! โทษทีลืมไปว่าผีตัวอื่นเขาก็ไม่อยากคุยกับผีไม่เข้าพวก”

นรกรกำหมัดแน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธเกลียดใครได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าที่ลอยหน้าลอยตาอยู่นั่น คือใบหน้าและร่างกายของคนที่เขารักแล้วละก็ สิ่งที่กำอยู่ในมือคงได้กระทบเข้าเบ้าตาสักข้างไปแล้ว

“ทำหน้าแบบนั้นคงโกรธ เกลียดฉันมากสินะ” คนตรงหน้าเยาะยิ้มพร้อมกับผายมือสองข้างออก “อยากต่อยฉันใช่ไหม เอาเลย ถ้านายกล้าทำ… ฮึ ไม่กล้าสินะ… ส่วนนาย” เขาหันไปหาวินทร์ “โถๆ อย่าทำหน้าบิดเบี้ยวแบบนั้นสิ ไม่รู้หรือไงว่าตอนเป็นผีหน้าตาน่าเกลียดขนาดไหน ถ้านายเกลียดฉันนักก็มาฆ่าฉันแล้วเอาร่างคืนสิ… ก็ทำไม่ได้สินะ ถ้างั้นคนที่ต้องไปเป็นนายก็ถูกแล้วล่ะ”

“คนเดียวที่ต้องไปคือคุณต่างหาก” นรกรพูดเสียงแข็ง

“ฟังดูยากจังเพราะร่างนี้ก็อยู่สุขกายสบายใจดี” มันว่า “นี่… ถ้าไหนๆ นายก็จะไปแล้วแฟนนายฉันขอละกันนะ”

“แกพูดเรื่องอะไร” วินทร์ถามเสียงห้วน

“ไม่สนใจเขาแล้วไม่ใช่เหรอ อยากเลิกกันใจจะขาด เมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย แต่ฉันสนใจและเขาก็ยังไม่อยากเลิก แล้วก็บังเอิญว่าฉันก็อาศัยอยู่ในร่างนายพอดี แหม อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดีว่าไหม”

“แกจะทำอะไร” วินทร์ถาม

“ก็ว่าเคยพูดชัดแล้วนะว่าฉันอยากนอนกับแฟนแก”

“ผมไม่นอนกับคุณหรอก” นรกรบอก

“ก็ตามใจนะฉันไม่บังคับหรอก แต่ว่านะฉันมันพวกขี้น้อยใจน่ะ ถ้าหากว่ามีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจทำร้ายร่างกายตัวเอง… แบบนี้” ทันใดนั้นมันดึงคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกรีดฉับลงบนท้องแขน

“แก!” วินทร์ขบกรามแน่น ไม่คิดว่ามันจะกล้าเอาร่างกายเขามาเป็นเครื่องต่อรองถึงขนาดนี้

“อย่าเสียงดังสิ ฉันมันคนขวัญอ่อนนะ ถ้าหากมือไม้สั่นไปมันจะอาจจะพลาด…” แล้วมันก็กรีดมีดลงไปอีกครั้ง เลือดสดๆ ไหลเป็นสายหยดลงพื้น “หรือบางที…”

“พอได้แล้ว!” นรกรร้องปราม

“บอกแล้วไงว่าอย่าเสียงดัง…”

“ก็ได้ครับ” นรกรบอก “ผมยอมคุณทุกอย่าง หยุดทำร้ายร่างกายพี่วินทร์ได้แล้ว”

“ฮาร์ฟ!” วินทร์จ้องตาเขม็ง

“พูดแบบนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย” มันกระหยิ่มยิ้มย่อง

“ฮาร์ฟ…” วินทร์พยายามจะห้ามแต่นรกรก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“พี่วินทร์ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ ผมตัดสินใจแล้ว”

“จะเริ่มเลยไหม” มันถาม

“ขอผมทำแผลให้ก่อนได้ไหมครับ” นรกรพูดเรียบๆ พร้อมกับหันไปหยิบผ้าขนหนูมาให้กดหยุดเลือดก่อนจะเดินไปหยิบกล่องใส่อุปกรณ์ทำแผล ระหว่างนั้นผีในร่างวินทร์ก็เดินเข้าห้องนอนไปนั่งอยู่บนเตียงราวกับที่นี่เป็นบ้านของมันเอง

“ฮาร์ฟ… เดี๋ยว…” วินทร์พยายามจะห้ามแต่นรกรไม่ฟัง

“ผมตัดสินใจแล้วครับ” นรกรบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พี่วินทร์รออยู่ข้างนอก… ตรงนี้นะ อย่าเข้าไป แล้วก็อย่าหายไปไหนอีก ผมขอร้อง” พูดได้เท่านั้นก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอไม่ให้พูดต่อได้อีก นรกรกัดฟันแน่น หันหลังเดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตู ทิ้งให้ร่างโปร่งแสงได้แต่มองบานประตูที่ถูกปิดลงนั้นอย่างสับสน

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่4 บ้าน P.26 [16/06/2561]
«ตอบ #782 เมื่อ25-07-2018 01:19:41 »

นรกรนั่งคุกเข่าลงบนพื้นตรงหน้าคนที่หน้าอยู่บนเตียงแล้วคว้าท่อนแขนข้างซ้ายที่มีคราบเลือดเปรอะไปทั่วมาพิจารณาดูแผลที่เป็นรอยกรีดขนานกันไปสองรอย ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว ดูเหมือนจะไม่ลึกมากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่เย็บหรือดูแลดีๆ ก็คงจะทิ้งรอยแผลเป็นน่าเกลียดไว้แน่นอน

นรกรเริ่มใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบเลือดรอบๆ แผลออกแล้วทายาฆ่าเชื้อ

“ไม่ต้องบรรจงทำขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเลือดมันหยุดแล้วก็แค่เอาผ้าก็อซหรืออะไรก็ได้ปิดไปก็พอ ฉันขี้เกียจรอแล้วนะ” มันว่า

“ขอเวลาอีกนิดครับ ผมไม่อยากให้แผลมันติดเชื้อ หรือว่าเป็นแผลเป็น”

“โอ๊ย! น่ารำคาญจริง จะอะไรกันนักหนา เจ้าของร่างมันไม่สนใจแล้วนี่นา มันทิ้งนายไปแล้วนะ!”

นรกรพยายามตั้งสมาธิทั้งหมดให้อยู่กับแผล ไม่สนใจถ้อยคำที่มันว่าและยังค่อยๆ ทำไปตามวิธีของเขาจนเสร็จ

“มาเริ่มกันสักทีเถอะ ฉันเบื่อจะรอแล้ว!” มันสะบัดแขนหลุดจากมือนรกรแล้วคว้าเข้าที่สันกรามดึงให้เงยหน้าขึ้นสบตา

นรกรมองและตอบอย่างไร้อารมณ์ “จะให้ผมทำอะไร”

“ก่อนอื่นเลยก็ต้อง…” มันแสยะยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะถอดเข็มขัดโยนลงบนพื้นแล้วดึงกางเกงทั้งตัวนอกกับตัวในลงไปกองที่ข้อเท้า “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร”

นรกรเม้มปากสนิท พยายามเบือนหน้าหนีจากส่วนของร่ายกายที่เปิดเผยและลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เมื่อมันเอื้อมมือมาขยุ้มเข้าที่กลางศีรษะเขาแล้วกระชากลงไปซุกตรงหว่างขา

“ทำสิ!” มันสั่งพร้อมกับใช้อีกมือคว้าท่อนเนื้อที่เริ่มแข็งขึ้นมาตีปาก

นรกรหลับตาแน่น เขาไม่ได้นับหนึ่งถึงสิบเพื่อระงับความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่าน แต่เขานึกถึงว่ากำลังทำเพื่อใคร และไม่ได้ไม่มีทางเลือก แต่เขาเลือกแล้วว่าจะทำเพื่อช่วยวินทร์

“เออ… เก่งนี่หว่า มิน่าแฟนแกถึงได้หลงนัก ขนาดตายเป็นผีแล้วยังไม่ยอมไปไหน เห็นหงิมๆ แบบนี้ที่แท้ก็ลีลาเด็ดนี่เอง… อย่างนั้นแหละ… ดี... ดูดแรงๆ อีกสิ...” มันส่งเสียงร้องครางอย่างพึงใจ มือใหญ่สอดไซ้ไปตามเรือนผมและขยุ้มจับศีรษะให้ขยับขึ้นลงอย่างที่มันต้องการ เมื่ออารมณ์เริ่มขมวดตึงมันก็ดึงให้นรกรเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะจูบ

“อย่าครับ” นรกรยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับขืนตัวออกห่าง “ให้ผมทำอะไรก็ได้แต่ผมไม่ยอมจูบคุณเด็ดขาด”
“อย่ามาตลก แกเลียให้ฉันจนแข็งขนาดนี้แต่กลับรังเกียจที่จะจูบฉันเนี่ยนะ”

“ครับ”

“ไม่จูบก็ได้วะ!” มันสบถพร้อมกับคว้าคอเสื้อนรกรกระชากลากถูขึ้นมาบนเตียงแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อม “แต่ทำอย่างอื่นได้ใช่ไหม” พูดจบก็ดึงเสื้อนอนตัวที่นรกรสวมใส่อยู่อย่างไม่ปรานีปราศรัย จนกระดุมขาดผึงกระเด็นไปคนละทิศแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ขัดขืนอะไร ตามด้วยกางเกง เสร็จแล้วก็จับขาสองข้างแยกออก

นรกรนอนนิ่งไม่ขัดขืน มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดแน่น เขาไม่ได้กลัว แต่รู้สึกขยะแขยงมากกว่า ทั้งที่ร่างกายภายนอกนั้นก็เป็นของคนที่เขารัก แต่ในเมื่อสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ ถึงจะพยายามคิดหลอกตัวเองเพื่อไม่ให้เจ็บปวด หากยิ่งหลับตาภาพที่ปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึกก็กลับกลายเป็นคนอื่นนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจถูกบีบให้แหกเหลว น้ำใสเอ่อขึ้นที่ขอบตา เขากัดริมฝีปากแน่นเพื่อให้ความเจ็บปวดของร่างกายช่วยลดทอนความรู้สึกเจ็บที่หัวใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เหมือนร่างกายโดนฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อมันพยายามจะสอดแทรกเข้ามา

ตอนนั้นเองที่เสียงตวาดลั่นดังขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

มันชะงักไปทันทีพร้อมกับปรายตามองด้วยหางตาเห็นร่างโปร่งแสงยืนอยู่ตรงปลายเตียง “หมาที่ไหนมันเห่าวะ น่ารำคาญจริง”

“ฉันสั่งให้แกถอยออกมาจากฮาร์ฟเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าของร่างโปร่งแสงนั้นดูดุดันและน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนนรกรยังตกใจ

“แล้วแกจะทำไม” มันถาม

“พี่วินทร์… ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผม…”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วฮาร์ฟ มาหาฉันนี่” วินทร์ยื่นคำขาด “ส่วนแกจะเอาร่างฉันไปทำอะไรก็เชิญจะไปฆ่าปาดคอ กระโดดตึกหรืออะไรก็ตามสบายเลย ขออย่างเดียวอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก”

“พี่วินทร์!” นรกรร้องเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าวินทร์จะพูดแบบนั้น

“แกกล้าต่อรองกับฉันเหรอ” มันถาม

“ฉันไม่ได้ต่อรอง แต่ฉันกำลังท้าให้แกทำ”

“ปากดีจริงนะ”

“ใช่! ฉันปากดี แกเองก็ทำให้ได้เหมือนปากละกัน เอาสิ! จะไปตายที่ไหนก็เชิญ ตอนนี้ ตรงนี้เลยก็ได้ แต่จำใส่วิญญาณกลวงๆ ของแกไว้ด้วยว่าฉันไม่เคยกลัวแก ที่ฉันยอมอดทนนิ่งมาจนถึงตอนนี้เพราะฮาร์ฟเท่านั้น แล้วก็อย่าลืมล่ะว่าถ้าหากแกทำลายร่างฉัน แกก็จะกลายเป็นผีเหมือนฉัน และตอนนั้นแหละฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรสชาติว่าการตายทั้งๆ ที่ตายอยู่แล้วน่ะมันเป็นยังไง!”

“แกแน่ใจแล้วเหรอ”

“ใช่!” วินทร์พูดเสียงดังฟังชัด “ฉันยอมตาย แต่ฉันไม่มีวันยอมให้แกทำให้ฮาร์ฟมีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ไปซะ! ฉันยกร่างฉันให้อยากเอาไปทำอะไรก็เชิญ”

“พี่วินทร์!”

“ปล่อยมันไปฮาร์ฟ แล้วมาหาฉันตรงนี้ ฉันขอร้องล่ะ” วินทร์บอกเสียงเข้ม แต่ถึงอย่างนั้นก็อ่อนโยนกว่าตอนที่พูดกับเจ้าผีนั่นราวกับเป็นคนละคน

“แต่ว่ามัน…”

“นายบอกว่ารักฉันไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นจะไปอยู่กับมันทำไม มาหาฉันสิ”

“ผม...” นรกรพยายามจะหาเหตุผลมาแย้งต่อ แต่พอสบสายตาเด็ดเดี่ยวที่มองมา เขาก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่หันไปคว้าเสื้อมาสวมลวกๆ แล้วรีบลุกหนีเจ้าผีร้ายนั่นไปหาร่างโปร่งแสงที่ขยับตัวมายืนบังข้างหน้าทันที

“แกพูดเองนะ” มันย้ำ

“เชิญ!” วินทร์ไปตะคอกใส่พร้อมกับผายมือไปที่ประตู
มันรูดซิปกางเกงแล้วหยิบเสื้อขึ้นพาดบ่าเดินผ่านหน้าพวกเขาออกไป โดยมีวินทร์ที่มองตามจนสุดสายตาว่าไปแล้วจริงๆ

“พี่วินทร์ แบบนี้ดีแล้วจริงๆ เหรอ…”

“ล็อกประตูซะ” วินทร์บอก “เดี๋ยวมันกลับมา”

นรกรทำตามก่อนจะเดินมาหมดแรงนั่งทรุดลงบนโซฟา “มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้…”

“นี่แหละดีสุดแล้ว” วินทร์เดินมานั่งลงข้างๆ พลางยกมือขึ้นจะช่วยจัดผมเผ้า หรือเสื้อผ้าให้เข้าที่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากนั่งอยู่ข้างๆ แล้วใช้สองมือประกบใบหน้าที่ไม่อาจสัมผัสได้นั้นไว้ “ฉันขอโทษนะที่ช่วยนายได้แค่นี้”

“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” นรกรรีบพูด “ผมช่วยอะไรพี่วินทร์ไม่ได้เลย” แล้วก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำเป็นหมัดแน่น มันสั่นระริกจนควบคุมไม่ได้

วินทร์สังเกตเห็นและลดมือข้างหนึ่งของตนวางทาบไว้ “นายช่วยฉันมามากพอแล้ว”

“ผมทำอะไร?… สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”

“นายบอกต่อให้ฉันเป็นผีก็รักใช่ไหม” วินทร์ถาม “ถึงฉันจะเป็นแบบนี้ก็อยู่ข้างนายต่อไปได้ใช่ไหม”

“ได้สิครับ”

“แค่นี้ก็พอแล้ว” เครื่องหน้าที่แทบจะขมวดมารวมกันเมื่อสักครู่ค่อยๆ คลายออกเป็นรอยยิ้มบาง “นายไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีกแล้ว”

นรกรเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่มองตรงมา แววตาจริงใจนั้นทำให้มือหยุดสั่น “พี่วินทร์…”

“ที่เมื่อกี้เสียงดัง ทำให้นายตกใจหรือเปล่า”

“นิดหน่อยครับ ปกติพี่วินทร์ก็ชอบดุอยู่แล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นเกรี้ยวกราดขนาดนี้นี่แหละ”

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไมครับ เมื่อกี้พี่วินทร์เท่จะตาย” นรกรรีบบอก “เท่มากจนผมตกหลุมรักอีกรอบเลยนะ”

“แต่ฉันไม่ได้อยากเท่เพราะแบบนี้หรอกนะ เอาไว้เท่เรื่องอื่นดีกว่า” วินทร์บอก “ฉันดีใจนะที่นายยอมทำเพื่อฉัน แต่นายก็ต้องห่วงตัวเองด้วย”

“ครับ”

“สัญญานะว่าต่อไปจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก”

“ครับ” นรกรรับคำ

“ดีมาก” จริงๆ แล้ววินทร์อยากดุมากกว่านี้ แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรนอกจากจะทำให้นรกรรู้สึกแย่ขึ้นไปอีกและเขาก็ปลอบไม่ได้

“ทำไมเมื่อกี้พี่วินทร์ถึงบอกเลิกผมละครับ” นรกรถาม
วินทร์เงียบไปอึดใจก่อนจะพูดออกมา “ขอโทษนะฮาร์ฟ แต่ฉันโกหกนายเรื่องตัดกรรมนั่นน่ะ จริงๆ แล้วมันก็เหมือนการขออโหสิกรรมต่อกันน่ะแหละ ในเมื่อเราคบกัน ก็ต้องเลิกกันให้เรียบร้อยแบบไม่มีอะไรติดค้าง เป็นการตัดห่วงให้ขาด”

“แล้วบอกกันดีๆ ไม่ได้เหรอครับทำไมต้องพูดแรงๆ แบบนั้นด้วย”

“มันต้องออกมาจากใจ ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ ว่าเราเลิกกันเถอะแล้วมันจะจบเสียเมื่อไหร่ ถ้าหากในใจของเรายังมีอะไรติดค้างแม้จะแค่คนใดคนหนึ่งก็ถือว่าตัดไม่ขาดอยู่ดี”

“เหรอครับ”

“ตกใจสินะ”

“ยิ่งกว่าตกใจอีกครับ เหมือนใจจะขาดเลย”

“ขอโทษนะ”

“แล้วตกลงว่าพี่วินทร์จะเลิกกับผมไหม”

“อย่าว่าแต่เลิกเลย ไปไหนไม่ได้แล้วตอนนี้” วินทร์บอก “ว่าแต่นายคิดดีแล้วจริงๆ นะ เพราะตอนนี้ฉันยกร่างให้มันไปแล้ว ฉันให้โอกาสนายคิดอีกรอบว่าจะอยู่กับฉันที่เป็นแบบนี้ได้แน่นะ”

“ได้ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“พี่วินทร์คิดอะไรอยู่เหรอ…” นรกรถามเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เงียบไป “หรือว่าผมทำให้ลำบากใจหรือเปล่า”

“ก็… แค่กำลังหาวิธีทำให้เราสัมผัสกันได้น่ะ”

“ทำได้เหรอครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ขอลองดูหน่อย บางทีมันอาจจะเวิร์คก็ได้”

“ยังไงครับ”

“เจ้าวินนี่ไง” วินทร์บอก “นายช่วยไปอุ้มมันมานั่งบนโซฟาหน่อยสิ”

นรกรพยักหน้าและลุกไปอุ้มตุ๊กตาหมีสีน้ำตาตัวโตมานั่งจัดท่าทางตามที่วินทร์บอก “แล้วยังไงต่อครับ”

“ลองพิงมันดูสิ”

แม้จะยังงงๆ แต่นรกรก็นั่งลงข้างๆ แล้วเอียงศีรษะไปซบลงบนไหล่ที่เป็นขนนุ่มฟูน่ากอดนั่น “แบบนี้เหรอครับ”
เสร็จแล้ววินทร์จึงนั่งลงบ้าง เขาไม่ได้นั่งตรงที่ว่างทึ่เหลือแต่นั่งทับซ้อนลงไปบนตัวเจ้าหมีวินนี่

นรกรถึงบางอ้อทันที เขายกมือขึ้นกอดเจ้าหมีตัวโตแน่นได้กลิ่นหอมจางๆ ของน้ำหอมที่คนให้เคยฉีดไว้และมันเป็นกลิ่นเดียวกับที่เจ้าตัวใช้ “ได้เป็นพี่หมีสมใจแล้วนะครับ”

“เจ๋งไหมล่ะ เป็นพี่หมีของนายคนเดียวด้วย” วินทร์บอกยิ้มๆ ถึงจะไม่ได้สัมผัสกันจริงๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว “ตอนนี้ขอฝึกสิงหมีไปก่อนนะ เดี๋ยวอยู่ไปสักพักพลังวิญญาณกล้าแกร่งฉันจะลองไปสิงอย่างอื่นดู”

“หมู่นี้ดูหนังมากไปใช่ไหมครับ” นรกรแกล้งว่าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เห็นเป็นเงาทับซ้อนอยู่บนตัวหมี “ไม่ต้องไปสิงอย่างอื่นแล้วครับ เป็นเจ้าหมีวินนี่นี่แหละ… แค่นี้ก็พอแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ยอมอยู่ด้วยกัน”

“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนายที่ยอมให้ฉันอยู่ด้วย” วินทร์กดจูบลงข้างขมับพลางภาวนาจนหมดใจขออย่าให้เจ้าผีนั่นกลับมาอีก

***********************TBC************************

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #783 เมื่อ25-07-2018 08:21:39 »

 :sad4: สงสารบ่วงกรรมคู่นี้จริงๆ พี่วินทร์จะเร่รอนอีกี่รอบ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #784 เมื่อ25-07-2018 09:13:48 »

อยากกำจัดผีตัวนี้ออกไปจริงๆ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #785 เมื่อ25-07-2018 14:47:57 »

ใจบาง...งงงงงง เอาใจช่วย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #786 เมื่อ25-07-2018 19:04:29 »

เอาใจช่วยพี่วิน  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #787 เมื่อ25-07-2018 19:06:09 »

อยากให้ไอ้ผีไม่มีร่างไปซักที 
มาสิงร่างวินทร์ ก่อกวนฮาร์ฟอยู่นั่นแหละ

วินทร์ ฮาร์ฟ    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Justccwpo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #788 เมื่อ25-07-2018 23:37:59 »

แง่ๆๆๆจะเป็นยังไงต่อน้อออ

ออฟไลน์ พระสนมฝ่ายซ้าย

  • ❤วั ง ว น ว า ย เ วิ่ น เ ว้ อ❤
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +283/-2
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #789 เมื่อ26-07-2018 05:32:47 »

สงสารฮาร์ฟกับพี่วินมากเลยค่ะ TT
อีผีบ้าต้องโดนกำจัดๆๆๆ
เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
« ตอบ #789 เมื่อ: 26-07-2018 05:32:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #790 เมื่อ28-07-2018 22:41:42 »

อยากเอาน้ำมนต์สาดผีบ้าให้หลุดไปจากตัวพี่วินทร์เลย

ออฟไลน์ ปากกาหมึกซึม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #791 เมื่อ16-08-2018 13:55:35 »

โอ้ยยย โกรธแทนพี่วินทร์  :z6: :z6:

ออฟไลน์ Nobodylove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #792 เมื่อ17-08-2018 14:53:15 »

 :mew1:  :katai2-1: ดีงามมากกก ชอบในความหื่นกามของพี่วินทร์ คืออึดอัดสงสารพี่วินทร์ สุดท้ายพี่วินทร์ก็ได้ปลดปล่อยความอัดอั้นนั้นซะปลื้มมมมมม   :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ 9nawKIHAE

  • ♥BJYX~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #793 เมื่อ17-08-2018 22:52:07 »

แงงงงง อ่านแล้วเครียดดด
ขนาดมาม่าถ้วยเล็กนะเนี่ยย  :z3:
ปวดหัวใจจจจจ เดาทางไม่ถูกอีกแบ้ววว
จะเป็นยังไงต่อน้า
  :sad4:

ออฟไลน์ Monnee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #794 เมื่อ04-09-2018 19:02:15 »

 :katai1: :katai1: :katai1:
เกลียดเจ้าวิญญาณร้ายที่สุด.. เลวมากมารังแกน้องฮาร์ฟแบบนี้ได้ไง.. ทำเกินไปแล้วนะถึงจะเป็นร่างพี่วินทร์ก็เถอะ.. เลวๆๆๆๆ.. หาผลประโยชน์ไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นบ้าง... ท้ายที่สุดไม่ควรได้รับการให้อภัยนะขอบอกเลย.. ไม่มีเหตุอันใดที่จะเอาชีวิตรันทดของตัวเองมาทำกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องแบบนี้ได้.. น้องฮาร์ฟที่น่ารักคงไม่เอาโทษถ้าได้พี่วินคืนมา.. แต่ขอให้กรรมที่ทำกับน้องต้องได้รับสาสม.. กล้าทำร้ายร่างกายและใจน้องแบบนี้ได้ไง... เกลียดมันอ่ะ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #795 เมื่อ14-10-2018 21:59:10 »

บทที่ 6 เหตุผล

การลาหยุดอยู่บ้านตามคำแนะนำของจิงโจ้เพียงแค่หนึ่งวันแต่ก็ทำให้นรกรได้พักทั้งกายและใจเต็มที่ในรอบหลายวัน นรกรจัดการเก็บข้าวของที่เจ้าผีนั่นรื้อจนเละเทะ ทำความสะอาดบ้านทุกซอกทุกมุม เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนใหม่ จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการ ‘ล้างซวย’ ครั้งใหญ่เลยทีเดียว

วินทร์ที่ตอนนี้เหลือแค่ร่างโปร่งแสงช่วยหยิบจับอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเดินตามให้คำแนะนำสลับกับบ่นบ้างตามประสาคนช่างพูด แต่ก็ไม่ได้ทำให้นรกรนึกรำคาญอะไร แถมยังรู้สึกไม่เหงาด้วยซ้ำ ถึงจะขัดใจอยู่บ้างตรงที่สัมผัสตัวกันไม่ได้ แต่เมื่อต่างฝ่ายตัดสินใจแล้วว่าจะปรับตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก เพราะก็เคยใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตราบใดที่สายตายังมองเห็น และหัวใจยังรับรู้ถึงกันได้ เพียงแต่ต้องใช้ภาษาพูดให้มากขึ้นเพื่อทดแทนสัมผัสทางกายที่หายไป วันนี้ทั้งวันนรกรจึงรู้สึกว่าตนเองพูดมากราวกับว่าได้ใช้โควต้าการพูดของทั้งปีหมดไปแล้ว

นรกรลงมือทำอาหารเย็นโดยมีวินทร์ยืนพากษ์วิธีการทำอยู่ข้างๆ ถึงจะทุลักทุเลไปบ้างเพราะระยะหลังมานี่วินทร์มุ่งมั่นกับการขุนนรกรให้อ้วนจึงยึดพื้นที่ครัวทำอาหารเองทุกวัน จนนรกรแทบลืมวิธีเปิดเตาไปแล้ว แต่เมนูข้าวผัดรวมมิตรกับไข่ดาวกรอบๆ ที่ไข่แดงเป็นตานีสวยก็สำเร็จลงด้วยดี และพวกเขาก็จบวันด้วยการล้มตัวลงบนนอนเตียงนุ่มที่ตอนนี้ที่ว่างข้างๆ มีเจ้าหมีวินนี่ซึ่งโดนจับแต่งตัวใส่เสื้อลายตัวการ์ตูนคอเปื่อยตัวโปรดของวินทร์มานอนอยู่ด้วย

“ยอมให้ผมกอดมันแล้วเหรอ” นรกรแซวร่างโปร่งแสงที่นั่งอบู่บนขอบเตียงพลางลูบหัวเจ้าหมีตัวโต

“ได้สิ ก็ตอนนี้ฉันเป็นมันนี่นา” วินทร์บอก “หรือมันเป็นฉันนะ? …ช่างเถอะ นอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานแต่เช้า”

นรกรเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง “เพิ่งจะสามทุ่มเอง”

“นอนให้ครบแปดชั่วโมงร่างกายจะได้สดชื่น”

“พรุ่งนี้ผมไม่ตั้งนาฬิกาปลุกนะ” นรกรบอก “พี่วินทร์ปลุกผมด้วยนะครับ”
คนฟังหยักยิ้มมุมปากกับแผนของอีกฝ่ายที่ถึงจะเป็นการบังคับกลายๆ แต่นานๆ ทีนรกรจะอ้อนแบบนี้แล้วมีหรือเขาจะไม่ใจอ่อน “ได้จ๊ะ พ่อคนเจ้าเล่ห์”

“เจ้าเล่ห์ตรงไหนครับ แค่ให้ปลุกเอง”

ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มกว้างจนสุด “ไม่หนีไปไหนหรอก” วินทร์ย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจ “นอนเถอะ ฉันจะอยู่ตรงนี้จนกว่านายจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง” พร้อมกับกดริมฝีปากลงกลางระหว่างหัวคิ้วที่ย่นมาชนกันนิดๆ ด้วยความกังวลนั่นให้คลายออก

นรกรหลับตาลงช้าๆ พลางกอดเจ้าหมีตัวโตไว้ในอ้อมแขน ได้เสียงบทเพลงหนึ่งคลอเบาๆ อยู่ข้างหู ไม่รู้ว่าเนื้อหาที่แสนกินใจนั้นคือเพลงอะไรหากก็นึกจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะกล่อมให้เขานอนหลับฝันดี
เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงกระซิบปลุกข้างหูตามสัญญาที่ให้ไว้ นรกรลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานในขณะที่คนปลุกนั่งกอดอกค้อนใส่เจ้าหมีวินนี่ที่นั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่ข้างๆ

“แฟนฉันกอดอุ่นล่ะสิ ชิส์! ไม่ต้องมานั่งยิมน้อยยิ้มใหญ่เลยเจ้าวินนี่”

วินทร์ย่นปากใส่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอิจฉาตุ๊กตาไปก็ใช่ที่ เขาถอนหายใจแล้วลุกไปด้อมๆ มองๆ แอบดูนรกรอาบน้ำแทน

“วันนี้เลิกงานแล้วแวะซื้อของที่ซุปเปอร์ด้วยนะ ในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลือแล้ว แล้วก็อย่ามัวหยิบแต่ขนมนมเนยล่ะ นายต้องกินผักบ้างหมู่นี้กินแต่พวกกาแฟกับแซนด์วิชมันจะไปมีประโยชน์อะไร” วินทร์กำชับในขณะที่นรกรใส่รองเท้าเตรียมจะออกจากห้อง

“อย่างน้อยก็ครบห้าหมู่นะครับ มีทั้งแป้ง โปรตีนกับไขมันจากแฮม แล้วก็วิตามินกับเกลือแร่จากผักกาดหอมกับมะเขือเทศไง” นรกรบอกรั้นๆ

“วันหลังถ้าคนไข้บอกแบบนี้ก็ห้ามไปดุเขานะ” วินทร์ว่า “แหม~ กินแค่นั้นมันจะไปพออะไร”
“พอประทังชีวิตไงครับ”

วินทร์ยกมือขึ้นกอดอกฉับ “นี่ถ้าโดนตัวได้ ฉันจับจูบไปแล้วนะเนี่ย ทำไมเดี๋ยวนี้เถียงเก่งจังนะเรา”
“ก็ทำสิครับ รอให้ทำอยู่เนี่ย”

“มีท้าอีก… หันหน้ามานี่เลยฮาร์ฟ แน่จริงก็อย่าหนีสิ เคยเจอผีจับหัวไหม”
นรกรหันควับมาจ้องหน้าทันที

“อ้าวๆ มองหน้าแบบนี้นี่หาเรื่องหรือหารัก… ว่าแต่มุกที่แซวไปนั่นเก็ตไหมน่ะ”

นรกรทำเป็นไม่สนใจแล้วคว้ากระเป๋ามาเปิดหากุญแจรถ

“ไม่เก็ตแหงม มุกคำผวนนี่คงจะแอดวานซ์ไป” วินทร์รำพึงพลางขำเบาๆ ในลำคอ ตอนนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นแก้มขาวซับสีเข้มเล็กน้อยกับอาการหยิบๆ จับๆ กุญแจรถแบบที่ดูไม่ค่อยจำเป็น จึงแกล้งหยอดไปอีกมุก “รู้หรือเปล่าว่าผีในที่นี้แปลว่าอะไร”

“อะไรครับ”

“ผีแปลว่าสามัว”

นรกรกรอกตาอยู่อึดใจ “พี่วินทร์!”

แต่คนโดนทำเสียงดังใส่ไม่มีทีท่าสลด ทั้งยังหัวเราะชอบใจ “เก่งนะเนี่ย เล่นผวนคำเป็นด้วย”

“ผมไม่คุยกับพี่วินทร์แล้วเดี๋ยวไปทำงานสาย”

“โอ๋ๆ งอนเหรอ ไม่เอาไม่งอนน่า ที่แซวนี่เพราะผีรักทุกเทอนะจ๊ะ”

“ยังไม่เลิกอีก” นรกรหันมาบ่น เขาผลักประตูห้องออกไปก่อนจะเงียบไปอึดใจเมื่อเห็นใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ข้างประตูห้อง

ร่างสูงผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจทันทีที่เห็นนรกร

“คุณกลับมาทำไม มีธุระอะไรกับพวกเราอีก” นรกรถามเสียงห้วน
วินทร์รีบปราดเข้ายืนแทรกตรงกลาง “ไม่ต้องไปยุ่งกับมันฮาร์ฟ นายรีบไปทำงานเถอะ ปล่อยให้สัมภเวสีมันกรีดร้องไป”

“ฟังฉันพูดก่อนสิ”

“ฮาร์ฟอย่าไปสนใจ ล็อกห้องแล้วไปขึ้นรถ วันนี้นายต้องไปออกตรวจ OPD นะ”

“ครับ” นรกรทำตาม เขาจะเดินหลบฉากไปขึ้นลิฟต์แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้

“อย่าเอามือสกปรกของแกมาโดนตัวฮาร์ฟนะไอ้ผีบ้า!” วินทร์ตวาดที่ข้างหูแต่มันก็ไม่ยอมแพ้

“ปล่อยครับ”

“ฉันจะปล่อยก็ต่อเมื่อนายยอมฟังที่ฉันพูด”

“ไม่ครับ” นรกรยืนกรานเสียงแข็งพร้อมกับสะบัดมือออก “ผมยอมคุณถึงขนาดนั้นเพราะคุณเอาร่างพี่วินทร์มาต่อรอง แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นแล้ว เพราะฉะนั้นคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ”

“ฉันบอกให้ฟังก่อนไง!” มันเผลอตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ ก่อนจะลดเสียงลง “ได้โปรด…”

เพราะเป็นตอนเช้าตรู่ที่ทุกคนเริ่มออกไปทำงานประกอบกับเสียงโต้แย้งที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้อยู่อาศัยห้องอื่นๆ ในชั้นเดียวกันเปิดประตูออกมา บางคนก็เดินผ่านไปทำเหมือนไม่สนใจแต่ก็แอบชำเลืองตามองตอนเดินผ่าน บ้างก็ซุบซิบกันจนดูออกนอกหน้าทำนองว่า “ผัวเมียทะเลาะกัน”

นรกรเหลือบมองซ้ายขวาก่อนจะตัดบท “ไปคุยกันที่โรงพยาบาลครับ” นั่นทำให้คนที่ยื้อไว้ดูดีใจมากทีเดียว

“ขอบคุณนะ”

“ฮาร์ฟ เราไม่จำเป็นต้องฟังมันเลยนะ” วินทร์ท้วง

“ทำตัวดีๆ แล้วเดินตามมาเงียบๆ ด้วยครับ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณก่อนที่ผมจะเรียกตำรวจ” นรกรพูดเสียงเบาทว่าชัดเจน

“ฮาร์ฟ…”

“ทั้งสองคนเลยครับ” นรกรเอ่ยเสียงเฉียบถึงจะไม่ได้เสียงดังอะไรแต่ก็มีรังสีความน่ากลัวบางอย่างที่ทำให้คนฟังนิ่งไปทันที “เร็วๆ ครับ ผมมีนัดคนไข้คิวแรกตอนเก้าโมง”

ผีในร่างคนปิดปากฉับพลางเหล่ตามองเจ้าของร่างที่ยืนเงียบไปด้วยกัน “แฟนนายนี่ดุใช้ได้เลยนี่หว่า”
“ฮาร์ฟบอกให้เงียบไง” วินทร์แยกเขี้ยวใส่ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตามไปเดินคู่กับนรกร โดยมีเจ้าผีนั่นเดินตามหลังมาติดๆ

OOOOOO
(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่5 แลก P.27 [25/07/2561]
«ตอบ #796 เมื่อ14-10-2018 22:11:36 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

กว่าจะฝ่าการจราจรมาถึงโรงพยายาลและราวน์รอบเช้าเสร็จก็กินเวลาไปจนแปดโมงกว่า  พอถึงห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกนรกรก็รีบเดินเข้าไปในห้องของตน ล็อกประตูและหันมาพูดกับเจ้าผีนั่นเสียงเครียด

“ผมมีเวลาแค่สิบนาที คุณอยากจะพูดอะไร”

“คือเรื่องเมื่อวานน่ะฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น… ไม่ใช่สิ! ตั้งแต่แรกเลยคือฉัน…”

“ไม่ต้องอารัมภบท เอาแต่เนื้อครับน้ำไม่ต้อง” นรกรบอกเรียบๆ

เจ้าผีนิ่งไปอึดใจเพื่อเรียบเรียงคำพูด ในขณะที่วินทร์ได้แต่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ปกติแล้วนรกรเป็นคนไม่ค่อยโกรธใคร เรียกได้ว่าเป็นคนโกรธยากมากทีเดียว แต่ถ้าโกรธขึ้นมาละก็ศาสตราจารย์สรวิชญ์สองดีๆ นี่แหละ ถ้ารู้ตัวว่าผิดหรือทำให้หงุดหงิดส่วนใหญ่เขาจึงต้องหาทางง้อให้หายงอนก่อนเรื่องจะไปกันใหญ่เพราะถ้าของขึ้นเมื่อไหร่ เขาก็ทำได้แค่ตีหน้าเศร้าสำนึกผิดแล้วพยักหน้ารับโทษทัณฑ์สถานเดียว

“คุณจะบอกว่าคุณไม่ได้ตั้งใจแกล้งเราอย่างนั้นเหรอ” นรกรเปิดบทสนทนาขึ้นก่อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

มันรีบพยักหน้ารับคำ “ใช่”

“แล้วคุณทำไปทำไม จะว่าล้อเล่นก็แรงเกินไปนะ” นรกรพูดต่อ “พวกผมเคยไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือไง”

“จะว่าไม่ใช่แกล้งก็คงไม่ถูกเพราะฉันก็ตั้งใจทำจริงๆ น่ะแหละ แต่มันก็… ไม่ได้ตั้งใจน่ะ”

“พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ” วินทร์ว่า “ก็บอกอยู่ว่าเวลามีน้อย… ใช่ไหมฮาร์ฟ” ประโยคหลังหันไปทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างประจบประแจง แต่นรกรก็ยังทำหน้าดุเหมือนเดิม เขาจึงกลับมาตีหน้าขรึมและยืนกอดอกรอฟังต่อ

“ฉันโดนเพื่อนสนิทกับคนรักที่กำลังจะแต่งงานด้วยสวมเขา” มันเริ่มต้นเล่า “เคยมีคนเตือนฉันแล้วแต่ฉันก็ไม่เชื่อจนกระทั่งได้มาเห็นตำตา ฉันช็อกมากแล้วก็ขับรถเตลิดออกไป ฉันหลับหูหลับตาขับเร็วมากพอรู้ตัวอีกทีก็เห็นเด็กกำลังจะข้ามถนน ฉันหักหลบแล้วรถก็เสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า… ตรงที่รถนายโดนชนน่ะแหละ คงไม่ต้องบอกนะว่าผลเป็นยังไง ฉันรู้แค่ว่าถึงหมอจะช่วยตบแต่งให้จนสุดฝีมือแล้วแต่หน้าก็เละแทบไม่เหลือเค้าเดิม จนตัวฉันเองยังจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ”

หลังจากได้ฟังก็ทำให้นรกรรู้สึกสงสารขึ้นมานิดหน่อย “แล้วยังไงต่อครับ”

“ถึงจะตายไปแล้วแต่ฉันก็ยังจมอยู่กับความแค้นที่โดนหักหลัง เอาแต่คิดซ้ำๆ ว่าจะต้องทำยังไงถึงสาสมกับที่พวกมันทำกับฉัน ภาพที่พวกมันกอดจูบกันตามหลอกหลอนฉันทั้งวันทั้งคืนจนแทบเป็นบ้า แล้ววิญญาณฉันก็ติดอยู่ตรงเสาไฟฟ้านั่น คือฉันไปไหนมาไหนได้ก็จริง แต่ก็แค่แป๊บเดียวสักพักมันก็แวบ… รู้ตัวอีกทีก็กลับมาที่เดิม… มาขับรถชนตาย รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร่างกายโดนบีบอัด แรงกระแทกที่ทำให้กระดูกหักและฉีกเส้นเลือดขาด ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเต้นในจังหวะสุดท้ายก่อนที่จะหยุดลง มันเป็นความทรมานที่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งๆ ที่ร่างกายก็ไม่มี และมันก็วนเวียนอยู่แบบนี้วันแล้ววันเล่า”

มันเว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่วินทร์

“จนกระทั่งตอนที่เห็นรถนายถูกชน ฉันเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทุกอย่างก็วูบไป รู้ตัวอีกทีฉันก็มาอยู่ในร่างนายแล้ว… ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วรู้ตัวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในหัวฉันมันมีแต่คำว่าแก้แค้น… สวรรค์หรือนรกคงสงสารและให้โอกาสฉัน ยิ่งพอได้เห็นนายเป็นห่วงหมอนี่เท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน ขยะแขยง มันมีที่ไหนความรักที่แท้จริง และฉันคิดว่ามันคงสะใจที่ทำให้พวกนายเลิกกันได้  ทำให้พวกนายและทุกๆ คนเจ็บเหมือนที่ฉันเคยโดนสองคนนั่นทำกับฉัน”

“สรุปว่าเราไม่เคยทำอะไรให้แก ก็แค่ซวยเพราะทำให้นายเหม็นความรัก… แค่นี้เองเหรอ” วินทร์ถาม
มันพยักหน้ายอมรับความผิด

“ไม่ใช่แค่ซวยธรรมดา แม่งโคตรอภิมหาซวยเลย” วินทร์รำพึงคล้ายบ่นกับตัวเอง “แล้วยังไงต่อ… ตอนนี้สาแก่ใจแล้วเลยจะมาขอโทษหรือไง”

มันส่ายหน้า “ฉันคิดมาตลอดว่าการแก้แค้นจะทำให้รู้สึกดี หรืออย่างน้อยก็คงได้ปลดปล่อยความทุกข์ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจออกไปบ้าง แต่เปล่าเลย ยิ่งทำฉันกลับยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น เกลียดตัวเองมากขึ้น และถึงจะกลับมามีชีวิตแล้วแต่พอถึงเวลานั้นภาพกับความรู้สึกตอนที่รถชนมันก็หวนกลับมา ตั้งแต่อยู่ในร่างนายมาจนถึงตอนนี้ฉันแทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ… และเมื่อวานพออกจากห้องนายไป ฉันบอกตัวเองว่าสะใจที่ได้แก้แค้น แต่ในใจมันกลับยิ่งว่างเปล่า ตอนเย็นฉันแอบย้อนกลับมาดูพวกนาย นอกจากจะไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายแล้วพวกนายยังดูมีความสุขดี นั่นยิ่งทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันกลับมาเพื่อแก้แค้นจริงๆ เหรอ ยิ่งคิดถึงตอนพวกนายเถียงกันเพื่อช่วยอีกคนแล้วยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ทำเรื่องเลวร้ายลงไป… หลังจากที่คิดมาทั้งวันทั้งคืนฉันก็ได้คำตอบ ฉันไม่ได้อยากมีชีวิต ฉันตายมาหลายสิบปีแล้ว โลกที่ฉันรู้จักมันไม่มีอีกแล้ว และฉันไม่ได้ต้องการแก้แค้น ฉันแค่ไม่อยากเจอกับความทรมานซ้ำซากแบบนี้อีก… ฉันอยากไปสู่สุขคติ แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไง จะให้ฆ่าตัวตายอีกหนก็เข็ดแล้ว แล้วฉันก็ไม่อยากทำร้ายร่างของนายแล้วด้วย… พวกนายช่วยฉันได้ไหม”

“ทำกันถึงขนาดนี้แล้วจะมาขอร้องให้ช่วยเนี่ยนะ มันจะง่ายเกินไปหรือเปล่า” วินทร์ถามกลับ

แต่นรกรตอบทันที “ก็ได้ครับ”

วินทร์หันไปถลึงตาตั้งคำถามกับนรกร “ทำไมใจอ่อนง่ายจัง”

“ก็วินวินด้วยกันทั้งสองฝ่ายนี่ครับ” นรกรบอก “เขาได้ไปสู่สุขคติ พี่วินทร์ก็ได้ร่างคืน”

“มันก็ใช่แต่…” วินทร์ยังคงรู้สึกคลางแคลงใจ เขาพยักเพยิดไปตรงมุมห้อง “ขอเวลานอกแป๊บสิ”

นรกรหันหลังให้เจ้าผีและเดินตามวินทร์ไปกระซิบคุยกันสองคน

“นายเชื่อที่มันพูดจริงๆ เหรอ มันอาจจะโกหกเราก็ได้นะ”

นรกรเหลือบตามองเจ้าผีที่ยืนสงบนิ่งอยู่ “เขาดู ‘เป็นคน’ มากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เจอกัน… จิตสุดท้ายก่อนตายจะผูกพันอยู่กับสิ่งสุดท้ายที่ทำอยู่หรือเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็จะทำให้จิตใจตกต่ำมากขึ้นและเมื่อมันดำดิ่งลงไปถึงจุดหนึ่งก็อาจผลักดันให้ทำเรื่องแย่ๆ ได้”

“นายรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” วินทร์ถามรู้สึกทึ่งนิดๆ

“ผมเรียนรู้มาจากอทิฏฐ์ครับ” นรกรบอกตามตรง “ทิดก็เคยพยายามจะทำร้ายผม แล้วเขาก็จำไม่ได้ด้วยว่าทำอะไรลงไป”

“อืม” วินทร์พยักหน้าพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว “ขอโทษนะ จนถึงตอนนี้ก็นึกไม่ออกจริงๆ”

“ผมรู้ว่าเขาอาจจะโกหกเราก็ได้ แต่ผมคิดว่ามันก็คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง”

“นายจะบอกว่าเราไม่มีอะไรจะเสียแล้วใช่ไหม”

นรกรส่ายหน้า “เพราะผมไม่อยากเสียอะไรไปต่างหากครับ ผมถึงยอมเสี่ยง และอะไรที่ว่านั่นก็คือพี่วินทร์”

“แต่ฉัน…”

เพราะวินทร์ยังดูลังเล นรกรจึงตัดสินใจบอกเหตุผลที่แท้จริงไป “ผมอยากกอดพี่วินทร์ครับ… ถึงเจ้าวินนี่จะกอดอุ่นแต่มันก็ไม่ใช่พี่วินทร์”

วินทร์สบนัยน์ตาสีอ่อนแน่วแน่ที่มองตรงมาที่เขา นึกสงสัยว่าทำไมคนที่เขินกับมุกคำผวนผีบาทสองบาทของเขาเมื่อเช้าถึงได้กล้าพูดเรื่องน่าอายแบบนี้ออกมาได้

“หรือว่าพี่วินทร์ไม่อยากกอดผมแล้วเหรอครับ”

ได้ยินดังนั้นร่างโปร่งแสงก็ถอนหายใจแรงพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นประคองข้างแก้ม ถึงอยู่ใกล้แค่ไหนก็ไม่อาจแนบชิดได้เมื่อไม่มีเนื้อหนังมังสา “ฉันไม่ยอมให้นายเสี่ยงคนเดียวหรอก”

นรกรหน้าเจื่อนไปทันที “แต่ผม…”

“เราจะช่วยกัน” วินทร์พูดต่อ และนั่นทำให้ริมฝีปากของคนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกทันที

… ก็เล่นน่ารักซะขนาดนี้แล้วเขาจะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง…

วินทร์ชะโงกหน้าไปกระซิบที่ข้างหู “แล้วอย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้อยากทำแค่กอดน่ะ”

“ถึงตอนนั้นอะไรก็ยอมครับ”

“ปกติเขามีแต่ผีหลอกคน วันนี้ผีจะโดนคนหลอกไหมเนี่ย” วินทร์แซวพลางขยิบตาให้อย่างหมายหัวไว้ก่อน

“ตกลงเราจะช่วยคุณครับ” นรกรหันไปสรุป

“จริงๆ นะ” มันพูดด้วยความตื่นเต้น

“แต่มีข้อแม้นะครับ” นรกรพูดต่อ “และคุณต้องตอบตกลงเท่านั้น ผมถึงจะยอม”

“ได้สิ จะให้ฉันทำอะไร”

“ก่อนอื่น คุณต้องไปขอโทษทุกคนที่คุณก่อเรื่องไว้” นรกรบอกข้อตกลง

มันพยักหน้า “ลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับอยู่แล้ว”

“งั้นเริ่มต้นที่พี่วินทร์ก่อนเลย” นรกรพยักเพยิดไปทางร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ฉันขอโทษนะที่พูดจาร้ายๆ แล้วก็เอาร่างนายไม่ทำเรื่องแย่ๆ ฉันสัญญาว่าจะตามไปเคลียร์ให้ ส่วนแผลที่เอาคัตเตอร์กรีดแขนนี่ฉันก็ตั้งใจดูแลอย่างดี ทำแผลทายาไม่ให้เป็นแผลเป็นแน่นอน” มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ

วินทร์ยกมือรับไหว้ “อืม”

“แล้วต่อจากนี้คุณก็ต้องทำตัวดีๆ และเชื่อฟังสิ่งที่ผมกับพี่วินทร์พูดทุกอย่าง ตกลงไหมครับ”

“ทุกอย่างเลยเหรอ”

“ผมไม่สั่งให้คุณทำอะไรแปลกๆ หรืออันตรายหรอกครับ” นรกรอธิบาย “กลับกัน นี่เพื่อป้องกันไม่ให้คุณทำอะไรแปลกๆ อีกต่างหาก”

“อ้อ” มันพยักหน้าเข้าใจ “งั้นก็ตกลง”

“แล้วนี่คุณชื่ออะไรครับ” นรกรถาม

“ชื่อ?”

“จะให้ผมช่วยคุณก็ต้องให้ข้อมูลผมก่อนสิครับว่าชื่ออะไร แล้วเป็นคนที่ไหน ทำงานอะไร แฟนชื่ออะไร เพื่อนคนนั้นเป็นใคร ผมจะได้หาทางช่วยคุณถูกไง”

มันนิ่งเงียบไปหลายนาทีอย่างครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตอบด้วยท่าทางจริงจัง “ฉันไม่รู้… ขอโทษที… มันเหมือนจะนึกออก มีภาพนู่นนี่ลอยไปมาในหัวเต็มไปหมด แต่ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองชื่ออะไร แล้วเป็นใครมาจากไหน”

นรกรกับวินทร์หันมองหน้ากัน “กฏข้อแรกของการเป็นผีนี่คือต้องลืมเรื่องตัวเองให้ได้ก่อนเหรอครับ”

“ใช่แล้ว มันเขียนไว้ในวิชาวิญญาณศาสตร์101… ปัดโธ่! นายมาถามฉันแล้วฉันรู้ไหมเนี่ย” วินทร์พูดติดตลก

“ก็เห็นมีประสบการณ์นี่นา”

ตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ นรกรยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาเห็นว่าเลยเวลาเก้าโมงมาสิบห้านาทีแล้ว “คนไข้คิวแรกของผมมาแล้ว”

“จะให้ฉันออกไปก่อนไหม” มันถาม

“ไม่ต้องครับ แค่ช่วยยืนเงียบๆ ทำตัวดีๆ แล้วเออออตามน้ำไปก็พอ” นรกรบอกพร้อมกับเดินไปเปิดประตูเชิญผู้ที่รออยู่เข้ามา

หญิงสาวสวยวัยทำงานท่าทางทะมัดแมงคนหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับอุ้มลูกชายวัยหนึ่งขวบไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง “สวัสดีค่ะ”

“สายฟ้า!” วินทร์ร้องขึ้นอย่างลิงโลด มิน่าล่ะ นรกรถึงไม่ยอมมาทำงานสาย ที่แท้เป็นคนไข้คนสำคัญนี่เอง
นรกรผายมือให้เพียงพิรุณนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจก่อนตนเองจะเดินอ้อมไปนั่งลงอีกฝั่ง “เป็นไงบ้างครับ” ถามพร้อมกับเอื้อมมือไปเขี่ยแก้มยุ้ยของเด็กชายด้วยความมันเขี้ยว

คณิณกับเพียงพิรุณได้ลูกแฝดชายหญิงชื่อว่าสายฟ้ากับสายรุ้งล้อตามชื่อเล่นของคนเป็นแม่ที่ชื่อฝน แรกเกิดทั้งสองเป็นเด็กร่าเริงเลี้ยงง่าย ร่างกายแข็งราย พัฒนาการตามวัย ดูไม่มีอะไรให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องเป็นกังวล จนกระทั่งอายุได้สามเดือนเมื่อจู่ๆ สายฟ้าก็เกิดชักทั้งตัวในขณะที่เพียงพิรุณกำลังอุ้มดูดนมจากอก ถึงมันจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก็หาย หากนั่นก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของฝันร้าย หลังจากที่พาลูกชายมาตรวจโดยละเอียดก็พบว่ามีก้อนเลือดโตผิดปกติในสมองแต่กำเนิด

“ดีขึ้นค่ะ” เพียงพิรุณบอกพลางหันไปยิ้มกว้างกับลูกชายที่เธอจับนั่งลงบนตัก นับตั้งแต่ผ่าตัดเมื่อหลายเดือนก่อนลูกชายก็ไม่มีอาการชักให้เห็นอีกเลย เทียบกับก่อนหน้านี้ที่มีอาการชักแทบจะวันเว้นวัน “ใช่ไหมครับสายฟ้าคนเก่ง… อ้าว ลุงวินทร์ก็อยู่ด้วยหนูไปหาลุงวินทร์ไหมครับ” ไม่รู้ว่าถูกชะตาหรืออย่างไรลูกทั้งสองคนเธอนั้นติดวินทร์มาก ยิ่งช่วงหลังจากป่วยก็มาช่วยดูแลกันบ่อยๆ ยิ่งติดหนึบจนบางครั้งคณิณก็แอบน้อยใจ คนเป็นแม่บุ้ยใบ้พลางทำท่าจะส่งต่อให้ จู่ๆ เด็กชายที่ดูร่าเริงก็เบะปากทำหน้ายู่แล้วหันไปกอดคอแม่แน่น

“เอ่อ… ถ้าน้องเขาไม่อยากให้ผมอุ้มก็ไม่เป็นไรครับ” ผีในร่างวินทร์รีบบอก ไม่รู้หรอกว่าทำไมจู่ๆ เด็กถึงกลัวเขา แต่ที่แน่ๆ คือเขาเกลียดเด็กมาก งานนี้จึงถือว่ารอดตัวไปได้

“ไม่ต้องมาแตะหลานฉันเลย” วินทร์ทำปากขมุบขมิบใส่ก่อนจะปราดเข้าไปยืนตรงหน้าแล้วทำท่าปิดตาเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กน้อย

“ขอผมตรวจก่อนนะครับ” นรกรรีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมจะลดยากันชักลงนะ แล้วจะให้พวกยาบำรุงสมองเพิ่ม และนัดห่างขึ้น แต่ถ้ามีอาการอะไรก็รีบพามาหาได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

“เรื่องนี้ไม่มีเกรงใจอยู่แล้วค่ะ” เพียงพิรุณพูดยิ้มๆ นึกถึงช่วงที่ลูกชายมีอาการไม่คงที่ ค่อนไปทางแย่ พอมีอาการผิดปกติอะไรนิดอะไรหน่อยหัวอกคนเป็นแม่ก็อยู่ไม่สุข นอกจากสามีก็มีนรกรกับวินทร์นี่แหละที่ยอมให้รบกวนตลอดเวลาจนบันทึกเป็นเบอร์ฉุกเฉินไว้ บางครั้งที่เธออยู่บ้านคนเดียวเพราะคณิณไปเข้าเวรแล้วตกใจทำอะไรไม่ถูก โทรหาตอนตีสองตีสามพวกเขาก็รับสายและมาหาโดยไม่เคยอิดออดหรือปริปากบ่นสักครั้ง

“แล้วนี่พี่ปอไปไหนครับ ทำไมไม่มาด้วย” นรกรถามถึงคนเป็นพ่อ

เพียงพิรุณเงียบไปเล็กน้อย “ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะยืนรออยู่หน้าห้องกับสายรุ้งนี่แหละ พอดีเขาแอบเห็นว่าพี่วินทร์อยู่ด้วยก็เลย… ไม่อยากเข้ามาน่ะค่ะ” ปลายเสียงตะกุกตะกักไปเล็กน้อย สามีเล่าเรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันให้เธอฟังหมดแล้ว

“อ้อ…”

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปหาเขาเองครับ” ผีในร่างวินทร์รีบบอก

“คุณจะทำอะไร” นรกรร้องถาม

“ขอโทษไง” มันหันมาพูดก่อนจะก้าวยาวๆ ไปที่ประตูและเปิดออกไปหาคนในชุดกาวน์ยาวที่อุ้มเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขน

คณิณที่ยืนเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดถอยห่างเล็กน้อยพร้อมกับถามเสียงห้วน “มีอะไร”

ทั้งนรกรและวินทร์รีบพุ่งตามออกมาเพราะเกรงว่าจะมีเรื่อง ภาพแรกที่เห็นคือชายหนุ่มสองคนยืนห่างกันเป็นวาและจ้องตากันเขม็งเหมือนฉากในหนังก่อนที่มือปืนจะสาดกระสุนเข้าใส่กัน

“พี่วินทร์… พี่ปอ…” นรกรพยายามจะยุติเหตุการณ์เพราะคิดว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีสำหรับการขอโทษหรืออธิบายอะไร แต่ก็สายไปเสียแล้ว

“ฉันขอโทษ” มันบอก

“เรื่องอะไร” คณิณถามเสียงห้วนยิ่งกว่าเดิม

“ทุกอย่าง” มันพูดต่อ “ฉันขอโทษ… เอ่อ… ไม่อยากโทษว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุหรอกนะ แต่ช่วงนี้บางครั้งฉันก็ทำอะไรโดยไม่รู้ตัวหรือคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่น่ะ”

“ฉันจะโทษว่าเป็นเพราะพฤติกรรมเปลี่ยนจากสมองโดนกระทบกระเทือนอย่างหนัก และขาดออกซิเจนชั่วคราวอย่างนั้นล่ะสิ” คณิณพูดเรียบๆ

มันดีดนิ้วเป๊าะ “นั่นล่ะ! นายพูดถูกเผง แล้วก็มี PTSD หน่อยๆ นี่ตอนกลางคืนฉันยังนอนฝันหลายสะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่เลย”

นรกรกลืนน้ำลายลงคอ คณิณเป็นคนเอาจริงเอาจังและมีแบบแผน ถึงการขอโทษนั้นจะดูจริงใจแต่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่จะถูกใจคณิณจนยอมยกโทษให้

คุณหมอโรคหัวใจกอดอกนิ่งมองคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง

“สรุปว่านายยกโทษให้ฉันหรือเปล่า” มันถามอ้อมแอ้ม

คณิณเหลือตามองมาทางนรกรครั้งหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “อย่าให้มีครั้งที่สอง” เขายื่นคำขาด

“ไม่มีอีกแล้วล่ะ” มันชูมือขึ้นทำท่าสาบานขึงขัง

คณิณพ่นลมออกจมูกราวกับโล่งใจเหมือนกันที่จัดการปัญหาหนักอกได้ ก่อนจะยื่นตัวลูกสาวออกมาตรงหน้า “เอ้า!”

“อะไร?”

“ก็เห็นยื่นหน้ายื่นตามา นายไม่ได้จะมาเล่นกับสายรุ้งเหรอ ปกติลูกฉันติดนายจะตาย” คณิณถาม

มันจ้องเด็กน้อยที่มองเขาตาใสแป๋วก่อนจะตวัดขึ้นมองคนเป็นพ่อแล้วตวัดกลับมามองเด็กน้อยที่จู่ๆ ก็ทำเหมือนจะเบะปากร้องไห้ใส่ “เอ่อ… ไม่ดีกว่า พอดีว่าเมื่อเช้ารีบ ไม่ได้อาบน้ำมาน่ะ เดี๋ยวหลานจะป่วย ไว้วันหลังนะ”

“โอ้โห! ไอ้วินทร์ ไอ้หมีซกมก ไปไกลๆ ลูกฉันเลยนะ” คณิณดึงตัวลูกสาวกลับมากอดแนบอก

คนโดนว่าไหวไหล่

“คืนดีกันได้แล้วก็ไปกันเถอะค่ะ รบกวนคนอื่นเขา” เพียงพิรุณบอกยิ้มๆ

คณิณเหลือบตามองรอบตัวที่มีคนไข้นั่งรอตรวจอยู่เต็มก่อนจะพยักหน้าให้ภรรยาแล้วหันมาหานรกน “พี่ไปก่อนนะฮาร์ฟ วันหลังค่อยคุยกัน”

“ครับ”

คล้อยหลังออกมาจากห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกเพียงพิรุณก็เอ่ยถามกับสามี “ทำไมคุณยกโทษให้ง่ายจัง”

“ก่อนหน้านี้เขาก็ดีกับเราตั้งเยอะ”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลของคุณ” เพียงพิรุณกล่าวอย่างรู้ทัน

คณิณเหลือบตามองลูกชายในอ้อมแขนภรรยาก่อนจะเหลือบตาลงมองลูกสาวในอ้อมแขนตัวเองที่กลับมายิ้มร่าหัวเราะคิกคักให้ เขาก้มลงหอมแก้มยุ้ยด้วยความมันเขี้ยวครั้งหนึ่งจึงตอบคำถาม “เขาแค่ขอโทษผมแล้ว”

หญิงสาวเลิกคิ้ว ยังคงไม่เชื่อ

“แล้ววินทร์มันก็ไม่ได้ทำผิดอะไร… แค่สมองกระทบกระเทือน”

“ตกลงคุณเชื่อแบบนั้น”

“ผมเลือกที่จะเชื่อแบบนั้น” คณิณพูดซ้ำแต่ดูเหมือนกับกำลังย้ำความคิดของตนให้เชื่อในเหตุผลนั้นจริงๆ มากกว่าจะบอกอีกฝ่าย

“จบไปเรื่องหนึ่งสินะ ที่เหลือก็แค่พ่อกับแม่นาย” มันพูดอย่างภูมิอกภูมิใจขณะมองสองสามีภรรยาเดินออกไป

“เรื่องขอโทษพักไว้ก่อนก็ได้ ขืนคุณทำแบบเมื่อกี้อีกผมหัวใจวายตายแน่ๆ” นรกรว่า

“ทำไมล่ะ ก็จบสวยดีนี่นา”

“เพราะพ่อผมไม่ได้เข้าใจอะไรง่ายๆ และใจดีเหมือนพี่ปอน่ะสิ” นรกรบอก

“แต่ว่า…”

“ฟังที่ฮาร์ฟยอกเถอะน่า” วินทร์บอก “พ่อตาฉัน ฉันรู้ดีว่าควรจัดการยังไง”

มันกรอกตามองบน “ก็แค่ขอโทษเอง ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยนะ”

“เพราะเรื่องที่แกทำยุ่งมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไงวะ ไอ้หอกหักนี่! ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง” วินทร์กอดอกพูดเสียงดัง

“จะมีเรื่องหรือไงวะ”

“ถ้าจะทะเลาะกันเชิญข้างนอกครับ ผมจะทำงาน” นรกรพูดเรียบๆ

“ฮาร์ฟไล่แล้วเห็นไหม” วินทร์ว่า

“พี่วินทร์ด้วยน่ะแหละ” นรดรพูดต่อ

“ฮาร์ฟฟฟ~ ฉันเปล่า…”

“พาเขาไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องพักแพทย์แล้วก็เปลี่ยนชุดใหม่โกนหนวดโกนเคราหน่อยได้ไหมครับ วันนี้มีแกรนด์ราวน์ อย่างน้อยๆ ผมก็อยากให้เขาดูน่าเชื่อถือต่อหน้าน้องๆ กับนักเรียนแพทย์”

วินทร์มองร่างจองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าที่สถาพตอนนี้ก็หมีดีๆ นี่เอง นึกถึงตัวเองสมัยเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ค่อนข้างปล่อยตัวเพราะอยากลองใจว่านรกรจะชอบตนที่รูปร่างหน้าตาภายนอกหรือเปล่า ถึงตอนนี้จะพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่ใช่แต่การทำตัวให้ดูดีมันก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ

“ตามมา” เขาบอกพร้อมกับออกเดินนำไปตามทาง
หลังจากที่จัดการล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ มันก็มายืนแต่งตัวที่หน้ากระจก โชคดีที่นรกรเป็นคนรอบคอบจึงเตรียมชุดสำหรับเปลี่ยนเวลาต้องขึ้นเวรหลายๆ วันไว้ให้

วินทร์ยืนกอดอกมองคนที่กำลังผิวปากติดกระดุมเสื้ออย่างสบายอารมณ์แล้วจึงถามขึ้น “ถามอะไรหน่อยสิ”

“ว่ามาสิ” มันตอบ

“ทำไมต้องโกหก”

“เรื่องอะไร” มันว่า “ฉันก็บอกไปแล้วไงว่ารู้สึกผิดจริงๆ”

“ฉันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น” วินทร์บอก “เรื่องที่โดนแฟนกับเพื่นสวมเขานั่นอาจจะจริง แต่มีเรื่องนึงที่นายโกหกเราแน่ๆ”

“เรื่องอะไร” มันถามหน้าตาย

“เรื่องที่ขับรถชน”

“ทำไม”

“ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุอย่างที่นายว่า นายจะไม่ติดอยู่ตรงนั้นหรืออย่างน้อยนายก็จะไม่เจ็บปวดกับเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา” วินทร์บอกพลางมองเข้าไปในดวงตาร่างตรงหน้าราวกับต้องการมองให้ทะลุ “ถ้าไม่ใช่เพราะตั้งใจฆ่าตัวตาย นายก็พยายามฆ่าใครสักคนแล้วก็อาจจะสำเร็จเสียด้วยถึงได้ต้องมาทนรับกรรมอยู่แบบนี้”

“นายรู้ได้ไง” มันถาม เสียงห้วนขึ้นชัดเจน

“เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้วน่ะสิ” วินทร์บอก “และคงเป็นเพราะเหตุนี้แหละ เราถึงต้องมาติดอยู่ด้วยกันแบบนี้”

มันผูกเนกไทจนเสร็จจึงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า “แล้วจะเอายังไง นายจะเอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนนาย แล้วก็จะเปลี่ยนใจไม่ช่วยฉันแล้วเหรอ ทำแบบนั้นแฟนนายจะผิดหวังหรือเปล่า”

“ต่อให้ฉันพูดไปก็เปลี่ยนใจฮาร์ฟไม่ได้อยู่ดี” วินทร์บอก “และถึงฉันไม่พูดก็ไม่คิดว่าฮาร์ฟจะไม่ระแคะระคายอะไรหรอกนะ เห็นแบบนั้นแต่หมอนั่นก็ผ่านอะไรมาเยอะ ทั้งเรื่องคนและผี”

“แล้วสรุปว่านายต้องการอะไรจากฉัน”

“แค่อยากเตือน” วินทร์พูดเสียงเย็น “ว่าที่เคยพูดว่า ถ้านายทำฮาร์ฟเสียน้ำตาอีก ฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรสชาติว่าการตายทั้งๆ ที่ตายอยู่แล้วน่ะมันเป็นยังไง”

“เหรอ” มันพ่นลมออกจมูก “ฉันว่าการที่ฉันโกหกมันคงไม่ทำให้เขาเสียใจเท่ากับคำโกหกของนายหรอกมั้ง… เหตุผลจองฉันน่ะมันมีอยู่แล้วล่ะ แล้วนายล่ะมีหรือเปล่า เหตุผลที่ต้องโกหกกัน”

วินทร์ขบกรามจนเป็นสันพร้อมกับกำหมัดแน่นเมื่อโดนย้อนเข้าอย่างจัง

“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิ อย่างน้อยเราต้องร่วมมือกันอีกากพักเลยนะ” มันบอก “มาเถอะ เดี๋ยวจะไปแกรนด์ราวน์สาย” พูดจบมันก็ผลักประตูห้องออกไป

วินทร์ก้มลงมองมือตัวเองที่มองทะลุผ่านเห็นพื้นด้านล่าง เขากำหมัดแน่นอีกครั้งก่อนจะสะบัดสีหน้าและแววตาวิตกกังวลทิ้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรแล้วเดินตามหลังออกไป นรกรกำลังรอเขาอยู่และเขาไม่ควรปล่อยให้รอนานไปกว่านี้


*****************************************TBC*************************************************************

Talk

ที่หลายคนเป็นห่วงกันเข้ามาถึงตอนจบ เรายังยืนยันคำเดิมนะคะว่าเลิกเป็นห่วงได้ สปอยตรงนี้เลยว่าคืนพี่หมีวินทร์ให้ฮาร์ฟแน่ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #797 เมื่อ15-10-2018 00:16:55 »

 :z2: เราจะตามจนกว่าพี่หมีวินทร์จะคืนสู่อ้อมอกน้องฮาร์ฟ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #798 เมื่อ15-10-2018 10:47:43 »

ติดตามจ้า

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #799 เมื่อ15-10-2018 12:17:21 »

พี่หมีวินทร์โกหกอะไรอยู่???   :katai1: :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
« ตอบ #799 เมื่อ: 15-10-2018 12:17:21 »





ออฟไลน์ พระสนมฝ่ายซ้าย

  • ❤วั ง ว น ว า ย เ วิ่ น เ ว้ อ❤
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +283/-2
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #800 เมื่อ15-10-2018 13:23:28 »

ก็สบายใจที่คนเขียนบอกว่าพี่วินทร์จะได้กลับไปอยู่กะฮาร์ฟนะคะ
แต่ยังคาใจอีกนิดนึง อิผีคงไม่ทำอะไรแผลงๆแล้วใช่มั้ย ฮือออ

ออฟไลน์ ida_iii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #801 เมื่อ15-10-2018 21:14:12 »

ความเข้าหมวดนิยายที่จบแล้ว. แล้วมาเจอนิยายค้างคานี้
จัลล้องห้ายยย


อินมากอะไรมาก

ซดน้ำมาม่าาาาาา

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #802 เมื่อ15-10-2018 22:31:40 »

พี่หมีโกหหกอะไร

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #803 เมื่อ19-10-2018 18:59:27 »

ลึกลับซับซ้อนจังพี่วิน

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #804 เมื่อ23-10-2018 21:30:36 »

บทที่ 7  Say it again

“ส… สวัสดีครับ” จิงโจ้ที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายรีบกล่าวขอโทษ เพราะความตะกละแท้ๆ ที่ยัดซาลาเปาไส้หมูค้างคืนเข้าไปสองลูกรวด สุดท้ายก็เลยต้องไปสิงอยู่ในห้องน้ำเสียนานสองนานกว่าจะลากสังขารออกมาได้จนเกือบจะมาไม่ทันแกรนด์ราวน์วันนี้เสียแล้ว

“เริ่มได้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพยักหน้าให้แพทย์ประจำบ้านปีห้าที่จะทำหน้าที่รายงานเคสเป็นคนแรก ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มาร่วมแกรนด์ราวน์เนื่องจากมีแพลนจะเกษียณอยู่สิ้นเดือนนี้แล้ว แต่เขาก็ยังคงความเฉียบขาดและดุดันเหมือนเคย

“ครับ” แพทย์ประจำบ้านปีห้ารับคำก่อนจะเริ่มต้นเล่าอาการของคนไข้ “ผู้ป่วยชายไทยอายุยี่สิบห้าปี…”

จิงโจ้กวาดตามองรวดเร็วไปรอบวงแกรนด์ราวน์ที่ทุกคนอยู่กันครบขาดก็แต่อาจารย์ภูมิศิลป์ที่ติดเคสผ่าตัดยังไม่เสร็จ ก่อนจะใช้ศอกสะกิดแขนอนุวัฒน์ที่มาร่วมสังเกตุการณ์ด้วยเพราะรับปากแล้วว่าจะมาเป็นอาจารย์ที่นี่หลังจากเรียนจบและกลับไปใช้ทุนเสร็จสิ้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่วัฒน์”

“ก็ไม่มีอะไรนี่” อนุวัฒน์กระซิบตอบพยายามปั้นหน้าให้นิ่งเพื่อไม่ให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์สังเกตุเห็นความไม่เงียบสงบในสถานการณ์ควรที่ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ

“มันจะไม่มีอะไรได้ยังไงพี่วัฒน์ สองคนนั้นเขายืนอยู่ข้างกันแบบนั้นวงไม่แตกได้ไงครับ” จิงโจ้กระซิบอย่างร้อนรนพลางบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง

อนุวัฒน์ละสายตาจากเคสเหลือบไปมองวินทร์ที่ยืนมือไพล่หลังร่วมวงฟังอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างนรกร “ทำไมถึงวงจะแตกล่ะ”

“ก็…!” จิงโจ้ขยิบตาพลางพยักเพยิดให้มองใหม่ “ไม่ใช่สองคนนั้นสิครับ… ผมหมายถึงนั่นต่างหาก นั่นน่ะ… นั่นน่ะ… น่านนน~ น่ะ!” เขาขยิบตาจนแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งที่ยืนข้างๆ เริ่มชำเลืองตามองด้วยความสงสัยว่าเขาหนังตากระตุกเพราะมีอาการชักหรือเปล่า พอแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่แน่ๆ ก็ค่อยลากเท้าหนีให้ห่างออกไปเพื่อไม่ให้โดนหางเลขข้อหาสมรู้ร่วมคิด

อนุวัฒน์หันไปมองอีกครั้ง สิ่งที่จิงโจ้ต้องการให้เห็นไม่ใช่คนที่อยู่ทางซ้ายของวินทร์ แต่เป็นอีกคนที่อยู่ถัดไปทางขวามือ คือศาสตราจาย์สรวิชญ์ซึ่งทำหน้าตึงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด “แล้วยังไงเหรอ”

“ก็เขาไม่ได้ทะเลาะกันอยู่เหรอ”

“ดีกันแล้วมั้ง” อนุวัฒน์ตอบเรียบๆ

“จะบ้าเหรอ!? เรื่องแบบนี้มันดีกันได้ง่ายๆ หรือไง แล้วปกติเวลาแกรนด์ราวน์พี่วินทร์ก็ไม่ยืนข้างๆ พี่ฮาร์ฟเสียหน่อยเพราะกลัวจะโดนอาจารย์พ่อเขม่นโทษฐานทำตัวติดกัน นี่ทำไมยิ่งมีเรื่องถึงยิ่งไปยืนซะชิดขนาดนั้นล่ะ หรือว่าอยากให้มันเป็นเรื่อง”

“ตรงนั้นน่ะเงียบๆ หน่อย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ็ดทำเอาจิงโจ้สะดุ้งโหยง

“ขอโทษครับ” ถึงจะบอกแบบนั้น แต่จิงโจ้ก็ยังไม่หยุดสงสัยและไม่เลิกกระซิบกระซาบ “แล้วพี่แกหายดีแล้วเหรอ ถึงได้มาแกรนด์ราวน์กับเราได้น่ะ”

“ก็คงงั้น” อนุวัฒน์ตอบอย่างเสียไม่ได้

“แต่ถึงจะหาย ผมว่าก็ยังไม่ควรมานะ น่าจะให้เรื่องมันเงียบไปอีกหน่อย โธ่! เมื่อวานผมอุตส่าห์ส่งข้อความไปบอกให้หยุดพักแล้วนะ เดี๋ยวจะช่วยดูคนไข้แทนเอง”

“มันก็มีส่วนที่พี่เขาต้องรับผิดชอบมาดูเองไม่ใช่หรือไง” อนุวัฒน์พยายามขยับตัวหนีแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะจิงโจ้ยังคงทู่ซี้ตามมาใกล้อีก

“แต่พี่ฮาร์ฟก็น่าจะดูแทนได้นี่นา แบบนี้ผมว่า…”

“ท่าทางคุณจะมีข้อสงสัยเยอะเหลือเกินนะจิงโจ้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยเสียงเฉียบ ไม่ใช่แค่เจ้าของชื่อหากทำเอาทั้งวงสะดุ้งไปตามๆ กัน “นี่เป็นเวลาทำงาน ถ้าหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเคสก็ไว้รอให้น้องเขารายงานให้จบก่อน แต่ถ้าหากเป็นเรื่องส่วนตัวก็ไว้คุยกันข้างนอก อยู่ปีห้า จะจบอยู่อีกไม่กี่เดือนนี้แล้วทำตัวให้น้องๆ มันอยากยกมือไหว้หน่อย” ปากพูดเหมือนดุจิงโจ้หากสายตาเหลือบมองคนที่ยืนทำหน้าไม่รู้เรื่องราวอยู่ข้างๆ

“ข… ขอ…” จิงโจ้กำลังจะเอ่ยขอโทษหากคนที่รู้ตัวว่าถูกว่ากระทบกลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ถ้าอาจารย์หมายถึงผม ผมขอโทษครับ”

เกิดความเงียบขึ้นทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อทุกคนในที่นั้นพร้อมใจกันกลั้นหายใจด้วยกลัวว่าจะตกเป็นจำเลยตามไปด้วย จะมีก็แค่เสียงฟืดฟาดเบาๆ เป็นจังหวะจากเครื่องช่วยหายใจที่ต่อกับคนไข้ดังเป็นฉากหลังราวกับเป็นเสียงสวดมนตร์ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นบทอวยพรหรือสาปส่งกันแน่

“แกพูดบ้าอะไรวะ!” ร่างโปร่งแสงเจ้าของร่างแทบจะพุ่งผ่ากลางวงไปบีบคอให้คนปากไวตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด “ตกลงกันแล้วนี่หว่าว่าให้สงบปากสงบคำไว้ แกอยากตายอีกทีจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!”

นรกรเม้มปากแน่นพร้อมกับใช้ปลายเท้าสะกิดให้หยุดพูด

ทว่ามันก็ยังไม่หยุดง่ายๆ ตามสำนวนที่ว่าผีเจาะปากมาให้พูดจริงๆ

“ผมรู้ตัวดีครับว่าผมผิด แต่การที่อาจารย์จะมาว่ากระทบผมในขณะที่เรากำลังทำงานผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ถ้าหากว่าอาจารย์ต้องการจะคุยกับผมหลังจากนี้ผมมีเวลาให้อา... โอ๊ย!” วิญญาณในร่างวินทร์ร้องเสียงหลงเพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่เขี่ยแต่นรกรเหยียบลงมาเต็มฝ่าเท้า “เจ็บนะ… สะกิดกันเบาๆ ก็ได้นี่”

“เงียบครับ” นรกรพูดลอดไรฟันพลางหันไปสบตาพ่อขอตนแวบหนึ่ง “ขอโทษครับ”

ร่างโปร่งแสงโผไปยืนเท้าเอวตรงหน้าพร้อมกับชี้นิ้ว “หุบปาก!”

มันจ้องหน้าวินทร์กับนรกรซึ่งเขาได้ทำข้อตกลงไว้ก่อนจะมาร่วมวงแกรนด์ราวน์แล้วว่าจะทำเสมือนว่าตัวเองเป็นใบ้และเดินตามนรกรไปเงียบๆ มันเหลือบตามองไปรอบวงที่ตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว นึกรู้ตัวว่าไม่ควรทำให้เจ้าของร่างที่ยืมมาลำบากไปมากกว่านี้จึงพูดต่อด้วยใจที่เย็นลง “ผมแค่จะบอกว่า…”

“นี่ยังไม่หยุดอีกเหรอวะ!” วินทร์ตะโกนใส่หน้า

มันเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยและพูดต่อ “…ผมขอโทษ และผมพร้อมคุยทุกเมื่อที่อาจารย์ต้องการ แต่ไม่ใช่ที่นี่ครับ”
 
ถ้ามองอย่างเป็นกลาง นรกรยอมรับว่าเจ้าวิญญาณนี่พูดมีเหตุผลมากทีเดียวและเขาก็พูดด้วยท่าทีสุภาพ ไม่ใช่โผงผางอยากเอาชนะ แต่ก็นั่นล่ะ เมื่อมองตามมุมของคนเป็นลูกที่รู้ว่าพ่อจะมองการอธิบายว่าเป็นเรื่องเถียงแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่คิดว่าผลลัพท์จะออกมาดีเท่าไหร่

แล้วความเงียบก็โรยตัวลงมาอีกครั้งอย่างน่าอึดอัดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ นรกรเห็นศาสตราจารย์สรวิชญ์กำมือเป็นหมัดแน่น เขาเหลือบตาไปมองแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ และโชคดีที่แม่รู้วิธีหาทางออกในสถานการณ์อันน่าตึงเครียดนี้

“เมื่อกี้เล่าเคสถึงไหนแล้วนะจ๊ะ” วิมลภาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“ค… ครับ อาจารย์” แพทย์ประจำบ้านปีห้าที่เล่าเคสค้างอยู่ละล่ำละลักตอบ

“เมื่อกี้เธอเล่าเคสถึงตรงที่ประสบอุบัติเหตุมา มีเลือดออกในสมอง ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว แล้วสรุปว่าตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง” วิมลภาขยายความ

“ก็… ก็ดีครับ” แพทย์ประจำบ้านตอบตะกุกตะกัก

แม้แต่วิมลภาที่ปกติใจเย็นอยู่เสมอก็อยากจะของขึ้นตามไปด้วยอีกคน “ที่ดีน่ะมันยังไงล่ะ อธิบายมาสิ”

“ก็…”

“ผมขอ…” จิงโจ้ค่อยๆ เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

“ชี่!” อนุวัฒน์จิ๊ปากใส่ ไม่ว่าจะขอถามหรือขอโทษตอนนี้เจ้าตัวที่เป็นคนพัดไฟให้กระพือก็ควรสงบปากสงบคำได้แล้ว

“…ขณะนี้เราเอาท่อช่วยหายใจออกแล้ว คนไข้หลับเป็นส่วนใหญ่ พอสื่อสารให้ทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้ครับและยังไม่พูดครับ” แพทย์ประจำบ้านปีห้าเล่าต่อ

“คิดว่าคนไข้เคสนี้ไม่พูดเพราะอะไร” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปถามแพทย์ประจำบ้านปีสี่

“เพราะว่าสมองกระทบกระเทือนครับ”

“ตอบกำปั้นทุบดินแบบนี้แม้แต่คนเข็นเปลยังตอบได้เลยในเมื่อคนไข้โดนรถชน หัวแตกมีเลือดไหลอาบหน้ามาขนาดนี้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “ตอบอะไรที่มันสมกับเป็นหมอโรคสมองหน่อยสิ”

“เอ่อ… เพราะว่า… สมอง…”

“ท่าทางจะไม่ใช่แค่คนไข้แต่ตอนนี้หมอก็มีอาการเดียวกันแล้วเนี่ย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถอนหายใจ “ไหนปีสามลองช่วยพี่ปีสี่หน่อยสิ”

“คนไข้น่าจะมีอาการอะเฟเซียครับ” แพทย์ประจำบ้านปีสามตอบ

“ดีขึ้นมาหน่อย แล้วมันคืออะไรปีสองรู้ไหม” ศาสตราจารย์สรวิญช์ถามต่อ

“Aphasia คืออาการผิดปกติของการพูดและการเข้าใจภาษาครับ” แพทย์ประจำบ้านปีสองตอบ

“แล้วมันยังไงต่อ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพยักเพยิดกับน้องเล็กของวง

“บริเวณสำคัญของสมองที่เกี่ยวข้องกับการพูดและการเข้าใจภาษามีอยู่สองส่วน คือสมองส่วน Wernicke’s area ซึ่งอยู่บริเวณกกหูด้านซ้านกับ Broca’s area ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าทางซีกซ้ายครับ” แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งตอบฉะฉาน “คนไข้ได้รับการกระแทกตรงบริเวณหน้าผากกับศีรษะด้านขวาก็จริง แต่ตามกลไกการบาดเจ็บแล้วก็อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บในสมองส่วนตรงข้ามได้ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการอะเฟเซียในคนไข้เคสนี้ครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เลิกคิ้วครั้งหนึ่ง ทำเอาคนตอบใจแป้ว แต่พออาจารย์พูดต่อก็กลับทำให้หัวใจพองฟูขึ้นมาทันที “สนใจมาเป็นอาจารย์หลังเรียนจบไหมเราน่ะ”

“เอ่อผม…” คนถูกทาบทามแบบไม่ตั้งตัวอึกอัก

“คุณยังมีเวลาคิดอีกสี่ปี” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกก่อนจะหันไปหาแพทย์ประจำบ้านปีห้า “แล้วเราจะรักษาคนไข้ยังไงต่อ”

“ส่งปรึกษาแผนกกายภาพมาช่วยฝึกพูดครับ” เจ้าของเคสตอบ

“แล้วเราทำอะไรได้อีก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามต่อ “คุณเล่าว่าคนไข้คนนี้ไม่มีญาติพี่น้องใช่ไหม แล้วเราจะให้เขากลับบ้านยังไงในสภาพที่ยังไม่พร้อมออกจากโรงพยาบาลแบบนี้ สภาพบ้านเป็นยังไง อยู่บ้านตัวเองหรือว่าเช่าอยู่ อยู่คนเดียวหรือว่าแชร์ห้องกับเพื่อนร่วมงาน ค่าใช้จ่ายส่วนเกินระหว่างที่นอนโรงพยาบาลจะหาจากไหน ถ้ากลับบ้านไม่ได้แล้วเราจะทำยังไงจะปล่อยให้นอนโรงพยาบาลไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอ มันจะเป็นการกินเตียงและเสียโอกาสสำหรับคนไข้คนอื่นที่นอนรอแอดมิทหรือเปล่า… หน้าที่ของพวกคุณไม่ใช่แค่รักษาโรคแค่ด้านเดียว แต่ต้องดูไปถึงมิติอื่นๆ ด้วย เขาเรียกว่าการรักษาแบบองค์รวม”

“ในกรณีนี้แผนกสังคมสงเคราะห์จะช่วยได้ไหมครับ” แพทย์ประจำบ้านปีสี่ที่พลาดไปเมื่อสักครู่พยายามแก้ตัว

“ก็ได้… แล้วเรายังทำอะไรได้อีก”

แล้วทุกคนก็ช่วยกันถกถึงสหวิชาชีพและหน่วยงานอื่นๆ ที่อาจช่วยเหลือได้

นรกรยืนฟังเพลินๆ พลางสบตากับวินทร์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามว่าน้องๆ รุ่นนี้ไม่เลวทีเดียวพอฝากผีฝากไข้ได้ ในขณะที่เจ้าวิญญาณตัวดีที่สิงร่างวินทร์อยู่ก็ทำปากขมุบขมิบอย่างอัดอั้นเต็มที

ในที่สุดมันก็ทนไม่ไหว ยกมือขึ้นเป็นการขออนุญาตแสดงความเห็นบ้าง “เอ่อ… ผมขอถามอีกที คนๆ นี้เขาไม่มีญาติจริงๆ น่ะเหรอ”

“เพื่อนร่วมงานที่มาเยี่ยมยืนยันว่าพ่อแม่เขาเสียหมดแล้ว ญาติพี่น้องก็ไม่มี”

มันพยักหน้า คิดตาม “น่าสงสารเนอะ เป็นผมเจอแบบนี้ก็อาจจะไม่อยากพูดก็ได้”

“คุณจะพูดอะไรน่ะ” นรกรกระซิบกระซาบ “ผมบอกให้อยู่เงียบๆ ไง”

มันไม่ฟัง หันไปยกมือขออนุญาตอีกครั้งและพูดสิ่งที่ตนคิดต่อ “ก็ตามที่น้องเขาอธิบายเมื่อกี้มันก็ไม่ได้ฟันธง 100% นี่นาว่าอาการพวกนี้เกิดจากการบาดเจ็บที่สมองก็แค่ ‘อาจจะ’ ‘น่าจะ’ ใช่ปะ” มันหันไปพยักเพยิดกับแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งเจ้าของคำตอบ “ผมกำลังคิดว่าสาเหตุมาจากอย่างอื่นหรือเปล่า… อาการหลับเป็นส่วนใหญ่ ซึม ไม่พูดนี่มันเข้าได้กับกลุ่มอาการเบื้องต้นของโรคจิตเวชอยู่นะเช่น โรคซึมเศร้า หรือ PTSD ยิ่งเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างรถชนที่เกือบทำให้เสียชีวิตมาหมาดๆ วันๆ ผมเห็นแต่พวกคุณทดสอบให้ชูสองนิ้ว เอานิ้วจิ้มกันไปมา ยกแข้งยกขาดูการทำงานของระบบประสาท เคยมีใครถามคนไข้บ้างว่ากลางคืนเขานอนหลับไหม หรือว่าฝันร้ายหรือเปล่า ลองคุยถามสารทุกข์สุขดิบบ้างบางทีเขาอาจจะเปิดใจพูดกับคุณก็ได้นะ”

มันพูดเสียยืดยาว พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าคนอื่นๆ กำลังมองมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว

“เอ่อ… ขอโทษครับ ผมคงพูดมากไป”

“ทำไมคุณคิดแบบนั้น” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม

“ก็… มันมีไม่ใช่เหรอครับ เคสคล้ายๆ แบบนี้น่ะ ส่งไปฝึกพูด หาสาเหตุกันอยู่ตั้งนานสุดท้ายก็พบว่าคนไข้แค่ไม่อยากพูด เพราะท้อแท้กับชีวิต กว่าเราจะรู้ตัวก็เกือบเสียคนไข้ไปเพราะเขาพยายามกระโดดจากหน้าต่างชั้นที่สิบหกของโรงพยาบาลเพื่อฆ่าตัวตายน่ะ ดีนะที่คุณพยาบาลไปเห็นเสียก่อนเลยช่วยไว้ได้ทัน”

“คุณเคยไปรักษาคนไข้แบบนั้นตอนไหนครับ” นรกรหันไปถามด้วยความสงสัย

“ก็…”

“ขอโทษทีที่ผมมาช้า” อาจารย์ภูมิศิลป์ที่เพิ่งเสร็จจากเคสผ่าตัดเดินเข้ามาร่วมวง

มันเหลียวไปมองผู้ที่เพิ่งมาถึงและกำลังจะตอบ แต่แล้วก็เหมือนม้วนฟิล์มที่กำลังหมุนอย่างต่อเนื่องหยุดไปเสียเฉยๆ กลายเป็นภาพดำมืด “ก็ตอน… เอ่อ…” พยายามจะนึกแต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกถอดปลั๊กให้หยุดการทำงานไปเสียเฉยๆ จึงเลี่ยงไปตอบกลางๆ “ตอน… เอ่อ… มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากๆ แล้วน่ะนะ”

“คุณจำได้ด้วยเหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถามขึ้น “เคสนั้นน่ะ”

มันเลิกคิ้วขึ้นสูง จนใจจะนึกหาคำตอบมาให้ แต่เพราะแววตาของผู้สูงวัยที่กำลังโกรธเคืองกันนั้นเปลี่ยนไปคล้ายจะเจือความอาทรนิดๆ มันจึงรีบเออออ “ครับ”

“ก็ตามที่อาจารย์วินทร์เสนอมา คุณก็ลองตรวจประเมินคนไข้ดู ถ้าหากเห็นว่ามีข้อบ่งชี้ที่ต้องส่งปรึกษาจิตเวชจริงๆ ก็ทำไปได้เลย” ศาสตราจารย์สรวิชญ์สรุป

“ครับอาจารย์” แพทย์ประจำบ้านปีห้าพยักหน้ารับคำพลางจดลงสมุดโน้ตของตัวเองเพื่อป้องกันการลืม

“ท่าทางจะวิเคราะห์อะไรกันสนุกเลยสินะ เสียดายจังที่ผมพลาดอะไรไป” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าว

“เราเพิ่งเริ่มเคสแรกเองค่ะ” อาจารย์วิมลภาบอก “เคสคุณกฤตธีที่อาจารย์อุตส่าห์มาช่วยผ่าตัดให้ทั้งที่ไม่ได้อยู่เวรเมื่ออาทิตย์ก่อนไงคะ”

“ไม่ใช่แค่ผมหรอก วันนั้นหมอฮาร์ฟกับหมอวินทร์เขาก็อยู่ด้วย ผมมันแค่อยากมีส่วนร่วมน่ะเลยไปขอช่วย”

“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกค่ะ อาจารย์ก็เป็นคนใจดีแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” อาจารย์วิมลภาบอก “ตอนนี้คนไข้อาการดีขึ้นเยอะแล้ว กำลังคิดกันว่าจะส่งไปฝึกกายภาพ และจะหาทางช่วยอะไรคนไข้ได้บ้างเพราะเห็นว่าไม่มีญาติน่ะค่ะ”

“ดีๆ” อาจารย์ภูมิศิลป์พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย “ขาดเหลืออะไรบอกผมได้เลยนะ ผมยินดีช่วยเต็มที่”

“อาจารย์ภูมิศิลป์เป็นประธานเครือข่ายโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน ในมูลนิธิเมาไม่ขับของโรงพยาบาลเราน่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ให้ข้อมูลพลางยกมือขึ้นสัมผัสหลังครั้งหนึ่ง “แสดงความยินดีด้วยนะ”

อาจารย์ภูมิศิลป์ยกมือไหว้ “ผมได้ยินแต่ข่าวลือ ยังไม่เห็นหนังสือคำสั่งเลย แต่อาจารย์อวยพรมาแบบนี้แล้วผมก็ยืนดีน้อมรับครับ”

“ไม่พลิกโผหรอก คุณทุ่มเทกับงานนี้มากมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แล้วนี่ ตำแหน่งนี้เหมาะสมกับคุณแล้ว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวอย่างชื่นชมก่อนจะหันไปหาลูกศิษย์ “มีอะไรก็ปรึกษาอาจารย์เขาได้นะ”

“ขอบคุณครับ” แพทย์ประจำบ้านปีห้าเจ้าของเคสรับคำ

“ไปต่อเคสที่สองกันเถอะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกก่อนจะผายมือให้เจ้าของเคสเดินนำไป

หากวิญญาณที่อยู่ในร่างวินทร์ยังคงไม่ขยับ นัยน์ตาจับจ้องไปยังป้ายชื่อที่หน้าห้องคนไข้สลับกับชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนเตียง

นรกรจึงเดินเข้าไปสะกิดพลางกระซิบ “ไปได้แล้วครับ”

แต่มันก็ยังไม่ขยับ ทั้งยังเดินเข้าไปชะโงกหน้ามองเจ้าของป้ายชื่อก่อนจะเดินออกมาและบ่นพึมพำเรียกชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมา “กฤตธี… กฤตธี”

“มีอะไรเหรอครับ” นรกรถาม

“ฉันคิดว่านี่คือชื่อฉัน” มันตอบ

“คุณแน่ใจใช่ไหม แล้วนอดจากนี้คุณนึกอะไรออกอีกบ้าง… เมื่อกี้คุณก็พูดอาการกับโรคเป็นฉากๆ เลยนี่ คุณต้องเคยทำงานที่โรงพยาบาลนี้แน่ๆ”

“ใจเย็นๆ สิ เล่นถามมาเป็นชุดแบบนี้ฉันจะตอบทันไหม” มันว่า “ถามว่าแน่ใจไหม… คำตอบคือไม่เลย แต่ในทางตรงกันข้ามฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้มากๆ เช่นกัน ส่วนไอ้ที่พูดไปเมื่อกี้ คือปากมันขยับไปเองน่ะ แบบมันแล่นปรื๊ดออกมาเลย ฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน”

“คงไม่ใช่คนไกลตัวเราเท่าไหร่” วินทร์ออกความเห็น “อาการหมอนี่มันเหมือนฉันไม่มีผิด”

“เป็นไปได้ครับ” นรกรตอบ “ถ้ามาตายแถวๆ นี้ก็ต้องเป็นคนแถวๆ นี้แหละ ถ้าเขานึกชื่อกับนามสกุล ไม่สิ! เอาแค่ชื่อก็ได้ แค่นี้ผมก็ไปค้นดูประวัติได้แล้ว”

“แต่หมอนี่มันตายมาหลายปีแล้วนะฮาร์ฟ อย่างน้อยก็ยี่สิบปีเลยนะ โรงพยาบาลเราเพิ่งทำลายประวัติที่เก่าเกินสิบปีแล้วไม่มีการอัปเดทข้อมูลทิ้งไปเมื่อต้นปีนี่เอง” วินทร์บอก

“แล้วพี่วินทร์รู้ได้ไงครับ”

“ก็หมอนี่มันไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือ” วินทร์บอก “เมื่อกี้ตอนที่ไปเปลี่ยนชุดน่ะ ฉันถามว่าเอาโทรศัพท์ฉันมาหรือเปล่า จะได้ติดต่อนายว่าอยู่ที่ไหนอะไรยังไง มันตอบกลับมาหน้าตายว่าของแบบนั้นใครเขาพกกัน... โทรศัพท์ในความทรงจำหมอนี่คือไอ้รุ่นคุณปู่ที่มันต้องหมุนๆ แป้นอะ”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนี่รุ่นคลาสสิคเลยนะ” มันว่า

“แต่เขาขับรถเป็นนี่นา”

“รถพ่อนายมันก็เป็นแบบเกียร์กระปุกไม่ใช่เหรอ แถมยังเป็นรุ่นเก่าด้วย ฉันพนันได้เลยว่ามันต้องขับน้องเต่าฟ้าของนายไม่เป็นเพราะระบบเกียร์ออโต้นี่ถึงจะมีใช้มานานแต่เพิ่งมานิยมช่วงสิบปีมานี่เอง” วินทร์ว่า

“อะไรคือเกียร์ออโต้” มันถามงงๆ

“นายรู้จักซีดีไหม” วินทร์ถามล้อๆ “ไม่สิ! ถามว่ารู้จักแผ่นเสียงกับวิทยุทรานซิสเตอร์ไหมดีกว่า”

“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ” มันว่า “ฉันก็บอกแล้วไงว่าตายมานานแล้ว ตอนที่หายออกจากบ้านพวกนายไป ฉันลองขับรถไปตามที่ต่างๆ มา ถึงได้รู้ไงว่าโลกที่ฉันรู้จักมันไม่มีเหลือแล้ว แค่จะหาเส้นทางกลับบ้านเดิมที่เคยอยู่ฉันยังหาไม่ถูกเลย หลงวนไปวนมา ดีนะที่ไม่ถูกตำรวจเรียก สุดท้ายไปไหนไม่ได้ถึงได้กลับมาหาพวกนายนี่แหละ”

“ฉันพอจะเข้าใจจริงๆ แล้วล่ะฮาร์ฟว่าทำไมมันถึงซมซานกลับมาหาเรา” วินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อละกันครับ ตอนนี้เราต้องไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แล้ว” นรกรบอกพลางบุ้ยใบ้ไปทางคณะแกรนด์ราวน์ก่อนจะออกเดินไปสมทบโดยมีวินทร์เดินคู่กันไป

มันกำลังจะตามหลังไปเช่นกันเมื่อพยาบาลสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดที่ข้อศอก

“เอ่อ… คือว่า…” เธอกล่าวอึกอัก

มันมองตามหลังคนอื่นๆ ก่อนจะรีบหันมาหาเธอ “ครับ”

“เรื่องนั้นน่ะค่ะ อาจารย์จะให้หนูทำยังไงคะ ยังทำตามแผนเดิมไหม”

มันขมวดคิ้ว จะขอความช่วยเหลือทั้งสองคนก็เดินไปไกลแล้วและไม่มีทีท่าจะหันมา “เรื่องไหนครับ”

“ก็เรื่องนั้นไงคะ” พยาบาลสาวขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

“แล้วมันเรื่องไหนล่ะครับ”

“แหม~ ก็เรื่องนั้นไง” เธอขยิบตาให้อีกครั้ง

มันจนใจจะเลี่ยงจึงตัดสินใจตามน้ำไปให้จบๆ “อ่อ! ครับ ตามนั้นเลยครับ”

พยาบาลสาวยิมกว้างพร้อมกับทำมือประกอบ “ตกลง โอเคนะคะ”

“โอเคครับ” มันพยักหน้ารับทั้งที่ยังงงๆ อยู่ แต่ในที่สุดพยาบาลสาวก็เดินฮัมเพลงจากไป มันจึงเดินตามไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ได้ทันเวลาก่อนจะโดนต่อว่า

เสร็จจากแกรนด์ราวน์ในหอผู้ป่วยนี้ ทุกคนก็เตรียมเคลื่อนย้ายไปยังหอผู้ป่วยถัดไป และในขณะที่นรกรกำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์นั่นเอง พยาบาลสาวคนที่เข้ามาสะกิดแขนวินทร์ซึ่งโดนวิญญาณคนอื่นสิงอยู่ก็ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงหวานเรียก

“อาจารย์ขา~”

นรกรที่คุ้นเคยกับวิธีการเรียกแบบนี้ดีเพราะเป็นพยาบาลสาวที่ทำงานด้วยกันมานานคุ้นหน้าคุ้นตากันดีตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์ประจำบ้านเดินแยกตัวจากคนอื่นๆ เข้าไปหา “มีอะไรเหรอครับ”

“อาจารย์คิดว่าหนูเรียกจะมีเรื่องอะไรบ้างล่ะคะ”

“เยอะแยะไปครับ” นรกรตอบยิ้มๆ “เรื่องชวนปวดหัวทั้งนั้น คนไข้วุ่นวายบ้าง ดึงท่อช่วยหายใจบ้าง หัวใจหยุดเต้นบ้าง”

“ไม่คุยล่ะ เดี๋ยวนี้อาจารย์ชักจะมุกเยอะไปทุกที ไม่น่ารักน่าแซวเหมือนตอนมาใหม่ๆ เลย” พยาบาลสาวแกล้งว่า

“ตกลงมีธุระอะไรถึงเรียกผมครับ” นรกรถามซ้ำ

เธอพ่นลมออกจมูกพร้อมกับหลุดยิ้มกว้างที่เก็บซ่อนเอาไว้ไม่มิดออกมาก่อนจะก้มลงหยิบของที่วางแอบไว้ใต้เคาน์เตอร์ขึ้นมาส่งให้ “มีญาติฝากของไว้ให้ค่ะ”

มันเป็นช่อดอกไม้สีฟ้าอมม่วงที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ให้ผู้ที่ได้เคยดมแล้วครั้งหนึ่งจะไม่มีวันลืมตลอดไป… ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต

คนรับเองก็ซ่อนความรู้สึกไว้ไม่มิดเช่นกัน นรกรอมยิ้มมุมปากในขณะที่เอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้ที่ห่อด้วยกระดาษลายตัวหนังสือสีซีดพันทับด้วยผ้ากระสอบผูกโบสีฟ้าสดใสเช่นเดียวกับกลีบดอกบางนั้นมาถือไว้ เพราะมีเรื่องวุ่นวายหลายอย่างเขาจึงลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้คือวันที่ 21 กันยายน “ขอบคุณนะครับ”

“วันนี้ไม่มีขนมค่ะ” พยาบาลสาวหลิ่วตาให้ครั้งหนึ่ง

“หืม~ ไอ้ดอกฟอร์เก็ตมีน็อตนี่ผมไม่เห็นมาสักพักแล้วนะ นึกว่าเขาหายกลับบ้านไปแล้วซะอีกตกลงยังอยู่เหรอครับ” จิงโจ้ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามด้วยความไม่รู้ เขายังเข้าใจว่าเป็นของตอบแทนจากญาติตามที่คุณพยาบาลบอก

แต่ครั้งนี้นรกรต้องขอบคุณความพูดมากของจิงโจ้ เพราะทำให้เขาไม่ต้องอธิบายอะไรและทุกคนก็เชื่อตามนั้นจริงๆ
นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ยืนยิ้ม ทำตาหวานใส่อยู่ข้างๆ แต่เขาก็ทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งตอบกลับไปแล้วเดินตามคนอื่นๆ ออกไป

อนุวัฒน์หันมองหน้าวินทร์ที่ดูสนอกสนใจสนใจดอกไม้ช่อนั้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ก่อนจะมองหน้านรกร แวบหนึ่งที่รู้สึกขัดใจอะไรแปลกๆ แต่เขาก็นึกไม่ออกได้แต่ปล่อยความสงสัยนั้นไว้และหันไปลากคอจิงโจ้ที่เผลอแวบเดียวไปเกาะเคาน์เตอร์ก้อร่อก้อติกคุณพยาบาลให้รีบตามมา


(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2018 00:26:44 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Text_book#2 บทที่6 เหตุผล P.27 [14/09/2561]
«ตอบ #805 เมื่อ23-10-2018 21:38:24 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังเสร็จจากแกรนด์ราวน์ นรกรมีผ่าตัดต่อ เขา วินทร์และวิญญาณตนนั้นจึงตรงไปยังห้องเปลี่ยนชุด

“STOP!!!” ร่างโปร่งแสงหันควับมายืนจังก้าขวางหน้าประตูพร้อมกับยกมือทำท่าปางห้ามญาติใส่วิญญาณที่สิงร่างตนอยู่ “นี่คือเขตหวงห้ามเขตที่หนึ่งที่นายห้ามแหยมแม้ปลายหัวแม่โป้งเท้าเข้ามาเด็ดขาด!” วินทร์บอกพลางใช้ปลายเท้าลากเส้นสมมติจากขอบประตูฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง

“ทำไมล่ะ” มันท้วง

“ข้อแรก นายผ่าตัดเป็นหรือไง”

“ก็ไม่เป็น…”

“แล้วจะเสนอหน้าเข้าไปทำซากอะไร”

“ก็แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรกับนายใช่ไหม”

“สมองนายยังกระทบกระเทือนอยู่ แค่จับมีดก็มือสั่นแล้ว โอเคนะ” วินทร์หันไปพยักเพยิดกับนรกร “บอกคนอื่นไปตามนี้นะฮาร์ฟ”

“แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันไปร่วมสังเกตุการณ์ก็ได้นี่ ก็แค่ยืนเฉยๆ…”

“โอเค เรามาที่ข้อสองกัน” วินทร์กอดอกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ยอมให้นายเข้าใกล้แฟนฉันในขณะที่มีโอกาสทำอันตรายได้มากที่สุดเป็นอันขาด”

มันนิ่วหน้าคิดตามก่อนจะถึงบางอ้อ “อ๋อ! ที่แท้ก็กลัวฉันแอบดู ไม่ต้องห่วงหรอกน่าหมอนี่ไม่ใช่สเปกฉันสักหน่อย”

“ถึงไม่ใช่ แต่ฉันหวง เข้าใจไหม!”

“เออๆ ก็ได้ ไม่เข้าก็ไม่เข้า” มันรับคำ “แล้วระหว่างนี้จะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน”

“รอตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันออกมาพานายไปอยู่ที่ห้องพักแพทย์”

“ตามนั้น”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ตามหลังเข้ามาหลังจากตกลงกันเสร็จสิ้น เขาเปิดประตูตู้ล็อกเกอร์ออก กำลังจะเอาช่อดอกไม้วางแต่แล้วก็เปลี่ยนใจยกขึ้นมาแตะปลายจมูกสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นให้ชื่นใจก่อนจะพูดขอบคุณคนให้อย่างเป็นทางการ

“ขอบคุณนะครับ”

ร่างโปร่งแสงขยับผ่านประตูล็อกเกอร์ที่เปิดค้างไว้เข้ามา ตอนนี้จึงมีพวกเขาสองคนในช่องสี่เหลี่ยมแคบๆ “สองปีแล้วนะ”

“แล้วยังไงครับ”

“แค่จะบอกว่ารักนะ”

นรกรกดใบหน้าต่ำลงให้จมหายไปกับกลีบบางสีฟ้าอมม่วงเพื่อซ่อนพวงแก้มที่ต้องขึ้นสีแน่ๆ “เหรอครับ”

“แล้วนายรักฉันหรือเปล่า”

“ครับ”

“เทียบกับสองปีก่อนถือว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง” วินทร์ถามต่อ

“ไม่ลด แต่ก็ไม่เพิ่มครับ”

“เหรอ”

“ครับ”

“เท่าเดิมเลยเหรอ”

“ครับ”

“ไม่คิดว่ามันจะเพิ่มขึ้นสักนิดเลยเหรอ” วินทร์ยังไม่เลิกกระเซ้าจะเอาคำตอบ

“ไม่ครับ” นรกรบอก “และผมคิดว่าต่อให้ปีหน้าหรือปีต่อๆ ไปพี่วินทร์ถามคำถามนี้อีก คำตอบของผมก็คงเหมือนเดิม”

วินทร์ทำเป็นถอนหายใจ “น้อยใจดีไหมเนี่ย”

“แค่นี้ไม่พอเหรอครับ” นรกรเงยหน้าขึ้นหันมาสบตาคนที่จ้องมองตนอยู่เป็นครั้งแรก “จะเพิ่มไปมากกว่านี้ได้ยังไง ก็ความรู้สึกที่ให้ไปมันคือทั้งหมดของหัวใจที่มีแล้วนี่ครับ”

“น้ำเน่าจัง!” วินทร์หลุดปากอุทานออกไปเสียงดัง

นรกรหุบยิ้ม หันหน้ากลับไปวางช่อดอกไม้บนวางชั้นในล็อกเกอร์ “บ่นมาก งั้นวันหลังก็ไม่พูดแล้ว”

“อย่างอนน่าฮาร์ฟ~” วินทร์เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “พูดอีกสิ อยากฟัง”

“ไม่พูดแล้วครับ”

“ขอโทษนะ~ ก็เมื่อกี้ฉันเขินนี่นา นายเล่นจู่โจมแบบนั้น ฉันก็ทำตัวไม่ถูกสิ ไม่ได้ตั้งใจจะบ่น จะว่าอะไรสักหน่อย”

“เหรอครับ”

“ปกติฉันชินกับวิธีการแก้เขินโดยการรวบหัวรวบหางนายมาจูบไม่ก็กดลงเตียง” วินทร์บอกอ้อมแอ้ม “แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้วไง มันก็เลย… เออ… ไปไม่เป็นแบบนี้แหละ”

นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่ยืนก้มหน้าเกาหัวเกาคอเสมือนเป็นโรคกลากเกลื้อน นึกถึงตอนที่วินทร์มาจีบใหม่ๆ มันน่ารักน่าเอ็นดูจนเขาต้องแอบหันไปยิ้มอีกทางเพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้ใจ “แบบนี้ก็ดีนะครับ นานๆ ทีผมจะได้เอาคืนพี่วินทร์บ้าง” นรกรว่าก่อนจะเงียบไป เนิ่นนานพอสมควรจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เมื่อกี้ผมเกือบร้องไห้แน่ะ” นรกรตอบเสียงสั่นนิดๆ “ก็ตอนนี้พี่วินทร์… เป็นแบบนี้… แต่ก็ยัง… ดอกไม้… ผมดีใจมากเลยนะ”

“ปกติก็จะสั่งไว้ตั้งแต่ต้นเดือนน่ะ เพราะกลัวร้านจะหาดอกไม้ตามแบบกับจำนวนที่ต้องการไม่ได้” วินทร์บอก “โชคดีจังที่เตรียมไว้ เพราะนี่คงเป็นช่อสุดท้ายแล้วที่ฉันจะเซอร์ไพรส์นายได้… ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ขอโทษนะ” วินทร์พูดซ้ำ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” นรกรย้ำพลางสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดเพื่อกลืนก้อนสะอื้นลงคอไปแล้วทำเสียงให้เป็นปกติ “แล้วนี่ไปแอบจองร้านอาหารหรืออะไรที่ไหนไว้อีกหรือเปล่าครับ ต้องไปกินนะเดี๋ยวจะเสียสิทธิ์”

วินทร์ส่ายหน้า “แพลนไว้ว่าจะทำอาหารให้นายกินเองน่ะ คิดเมนูไว้แล้ว ตั้งใจว่าพอนายเข้าห้องผ่าตัดจะแอบไปซื้อเตรียมไว้ แต่สภาพนี้คง…”

“งั้นเราไปทำอย่างอื่นกัน” นรกรตัดบท “ไปขับรถเล่นกัน ผมให้สิทธิ์พี่วินทร์เลือกเพลง แต่สิทธิ์เลือกสถานที่ที่จะไปเป็นของผม ตกลงไหม”

“อย่าไปไกลนักล่ะ พรุ่งนี้มีออกตรวจตอนเช้านะ”

“แพลนเดิมของพี่วินทร์ก็คงไม่คิดจะให้ผมเข้านอนแต่หัวค่ำอยู่แล้วนี่ครับ แค่เปลี่ยนกิจกรรมเอง”

“เบื่อคนรู้ทัน” วินทร์แกล้งว่า “จริงๆ ก็กะจะให้เข้านอนเร็วแต่ไม่ให้หลับแค่นั้นเอง”

“มันต่างกันตรงไหนครับ”

วินทร์ไหวไหล่ “แล้วนายจะทำยังไงกับไอ้ผีนั่น”

“เดี๋ยวผมให้การบ้านไว้”

“การบ้าน?”

“ก็ให้ศึกษาการใช้โทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต เครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ แล้วก็ให้อ่านพวกหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารน่ะ เขาจะได้รู้ว่าโลกมันไปถึงไหนแล้ว อย่างน้อยก็จะได้ไม่ทำตัววุ่นวายเป็นคนหลงยุคแล้วก็เผื่อจะนึกอะไรออกด้วย”

“ฉันนึกว่านายจะพาเขาไปด้วยซะอีก”

“ผมจะพาก.ข.ค.ไปทำไมล่ะครับ” นรกรว่า

“ตกลงตามนี้นะ” วินทร์สรุป “งั้นเดี๋ยวฉันพาหมอนั่นไปเก็บตัวที่ห้องพักแพทย์ ส่วนนายก็ตั้งใจทำงานดีๆ ล่ะ เลิกงานเดี๋ยวฉันมารับนะ”

“ขอบคุณครับ”

วินทร์ยื่นหน้าเข้าไปทำท่าหอมแก้มครั้งหนึ่งก่อนจะผละออกไป

ตอนจะผ่านประตู หางตาเหลือบไปเห็นชายผ้าสีขาวปลิววับแวมอยู่ตรงเหนือตู้ล็อกเกอร์ตู้แรก วินทร์เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นผู้หญิงผมยาวในชุดกระโปรงสีขาวนั่งห้อยขา นัยน์ตาลึกโหลของเธอจ้องมองลงมาที่พวกเขาจึงเอ่ยออกไป “นิสัยไม่ดี แอบดูคนอื่นจีบกัน”

ผีสาวเอียงคอมองด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปหานรกรที่กำลังเปลี่ยนชุด “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”

“เรื่องมันยาวน่ะครับ” นรกรตอบรีบๆ เพราะมัวแต่คุยกับวินทร์จึงทำให้เขากำลังจะไปเข้าเคสสาย “ไว้จะเล่าให้ฟัง ไม่สิ! ไว้จะมาปรึกษาขอความช่วยเหลือนะครับ” พูดจบก็ปิดประตูตู้ล็อกเกอร์และรีบวิ่งออกไป

ผีสาวถดขาที่ห้อยอยู่ขึ้นมากอดไว้ก่อนจะวางศีรษะพาดลงไปแล้วโยกตัวไปมาช้าๆ ทำให้เรือนผมยาวของเธอค่อยๆ ขยับพลิ้วเหมือนผ้าม่านสีดำที่ขาดเป็นริ้วๆ พลางพึมพำด้วยเสียงแหบยานคางของเธอ “จะให้ช่วยอะไรก็ได้... ก็ตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้วนี่นา”

OOOOO

สองพี่น้องที่ไม่มีงานค้างและไม่อยู่เวรตกลงใจจะไปหาอะไรกินด้วยกัน เพราะจิงโจ้ที่ระบายของเก่าทิ้งไปหมดแล้วต้องการน้ำตาลไปเลี้ยงสมองอย่างแรงหลังจากที่ใช้พลังงานมากมายไปกับการแกรนด์ราวน์ในวันนี้ หากดูบทสนทนาก็ยังไม่พ้นเรื่องของคนที่เพิ่งจากมา

“นี่ๆ พี่วัฒน์ พี่วัฒน์ว่าวันนี้พี่วินทร์ดูแปลกๆ ปะ คือว่านะ อย่างแรกเลยก็เรื่องตำแหน่งยืนที่ผมบอกไปน่ะแหละ อย่างที่สองก็ตอนที่พูดเรื่องเคสนั้นน่ะ ยังไงดีล่ะ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ทำไมเหมือนผมคุยกับคนอื่นก็ไม่รู้ รู้สึกสำเนียงการพูดมันทะแม่งๆ อะ อย่างที่สามนะก็เรื่องดอกไม้นั่น เป็นของเจ้าตัวแทนยาที่แอบมาจีบพี่ฮาร์ฟหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังจะหน้าระรื่นอยู่ได้ ปกติแค่คนอื่นมาทำรุ่มร่ามด้วยก็หน้าบูดเป็นตูดแล้วแท้ๆ…”

“เอาตรงๆ นะโจ้ คนที่แปลกน่ะไม่ใช่พี่วินทร์หรอก แกต่างหาก” อนุวัฒน์ที่อดทนเงียบมาตลอด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวโพล่งออกไป

“ผม?” จิงโจ้ทำหน้าตาเหรอหรา แต่ก็ไม่ใช่ในแบบที่รู้สึกสำนึกผิดอะไร “ผมแปลกยังไงพี่วัฒน์”

“ก็แกจะเที่ยวเป็นห่วงเป็นใยอะไรพี่เขานักหนาวะ”

“ก็เราสนิทกัน” จิงโจ้ตอบตามตรง

“สนิทแค่ไหน ก็ให้มันมีลิมิตบ้าง นี่มันจะเกินคำว่าพี่น้องไปแล้วนะเว้ย!”

“ไม่เกินไปหรอกพี่วัฒน์เรื่องแค่นี้ หูย~ พี่วัฒน์อะคิดมาก”

“เออ ฉันมันคิดมาก!” อนุวัฒน์กระแทกเสียงใส่

“พี่วัฒน์เป็นอะไร ทำไมวันนี้ดูแปลกๆ”

“เอาเข้าไป นอกจากคนแปลกจะมีพี่วินทร์แล้ว ฉันยังแปลกอีกเรอะ”

“ก็… พี่วัฒน์ดูหงุดหงิดแปลกๆ นี่นา ปกติพี่จะฟังเงียบๆ ไม่ค่อยออกความเห็น เอ๊ะ! เดี๋ยวนะๆ หรือว่านี่พี่วัฒน์เพิ่งทะเลาะกับแฟนมา ใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เลย”

“ฉันบอกแกไปหลายรอบแล้วไงว่าไม่มีแฟน”

“ที่ว่าอกหักจากคนที่เขาไม่รักเราอะเหรอ” จิงโจ้ว่า “โหพี่~ มุกตั้งแต่ผมอยู่ปีหนึ่ง ป่านนี้แล้วเปลี่ยนมั่งเหอะ”

“ไม่ได้เล่นมุก ก็บอกอยู่ว่าเรื่องจริง” อนุวัฒน์บอกอย่างหงุดหงิดใจเต็มทน

“ก็ผมไม่เห็นพี่พูดถึงคนที่พี่ชอบเลยอะ เอาแต่บอกว่าอกหักๆ ใครจะเชื่อ” จิงโจ้แซวพลางยื่นหน้ายื่นตาเข้าไปใกล้และใช้ข้อศอกกระทุ้งยิกๆ “บอกหน่อยน่านะๆตกลงคนที่หักอกพี่วัฒน์เป็นใคร?.... เฮ้ย! เดี๋ยวนะ หรือว่า… อย่าบอกนะว่า… จริงอะพี่ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่พี่ชอบจะเป็น… เอาจริงอะ!”

อนุวัฒน์หยุดฝีเท้าหันไปมองตาคนที่เดินข้างๆ รู้สึกตกใจพอๆ กับโล่งใจที่ในที่สุดอีกฝ่ายก็รู้ตัวสักที “เออ แล้วมันมีปัญหาหรือไงวะ”

“มีสิ!”

“ทำไมวะ”

“ก็ทำไมพี่ไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้ล่ะ โธ่~ นี่ผมเผลอทำร้ายหัวใจพี่ไปตั้งเท่าไหร่เนี่ย”

“ก็เยอะอยู่” อนุวัฒน์พูดอ้อมแอ้ม

“ขอโทษนะครับ”

“ช่างมันเถอะ”

“พี่วัฒน์” จิงโจ้เรียกเสียงอ่อย

“อะไร”

“ผมขอโทษจริงๆ นะพี่”

อนุวัฒน์มองคนที่ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดแล้วยกมือขึ้นสัมผัสไหล่ครั้งหนึ่ง “ช่างเหอะโจ้”

“ผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ นะ ที่เชียร์พี่วินทร์ออกนอกหน้าขนาดนั้น ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นาว่าพี่ชอบพี่ฮาร์ฟ”

มือที่วางแตะเบาๆ แทบจะปลี่ยนเป็นกระชากตัวมาจับตีเข่า อนุวัฒน์ถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงดัง “เออ! แกไม่รู้อะไรจริงๆ น่ะแหละ

“อ้าว จู่ๆ พี่โกรธอะไรผมอีกล่ะ”

อนุวัฒน์หมุนตัวเดินหนี วันนี้เขาหมดความอดทนกับเจ้าลิงจ๋อจอมพูดมากตัวนี้แล้วจริงๆ “เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว”

“หรือผมเข้าใจผิด” จิงโจ้วิ่งตามมาติดๆ “จริงๆ แล้วพี่วัฒน์ชอบพี่วินทร์เหรอ”

“ไปกันใหญ่ล่ะไอ้โจ้”

“แล้ว…”

“เลิกถามได้แล้วโจ้!!”

“อยากให้ผมเลิกถาม งั้นพี่วัฒน์ก็ตอบมาสิว่าจริงๆ พี่ชอบใคร…”

แล้วคนพูดมากก็ไม่มีโอกาสได้พูดต่อ เมื่อถูกคนอายุมากกว่ากระชากคอเสื้อเหวี่ยงติดผนังด้วยความโกรธ แค่จะอ้าปากร้องโอ๊ย! ยังไม่มีสิทธิ์เพราะริมฝีปากถูกปิดสนิทเสียแล้วด้วยริมฝีปากของอีกฝ่าย ทั้งบดเบียดและดูดดึงจนร้อนฉ่ามันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยจินตนาการและคิดไม่ออกเลยว่าคนหน้านิ่งพูดน้อยจะต่อยได้หนักขนาดนี้ เล่นเอาคนที่คิดว่าตัวเองเจนสนามผ่านผู้หญิงมานักต่อนักถึงขั้นต้องผลักอกอีกฝ่ายออกเพื่อสูดหาอากาศหายใจ

หากยิ่งห่างออกกลับยิ่งรู้สึกวูบไหวในอก เพราะแววตาจริงจังที่มองมานั้นมันอธิบายความในใจทุกสิ่งจนหมดเปลือกก่อนที่ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยเสียอีก

“ฉันชอบแก” อนุวัฒน์บอกเสียงเบาทว่าชัดเจน “ชอบมาตั้งแต่ตอนแกเข้ามาใหม่ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ที่ฉันยอมอยู่ที่นี่เพราะอยากอยู่กับแกให้นานขึ้น แม้จะแค่ปีเดียวก็เถอะ”

“พี่วัฒน์พูดจริงอะ” จิงโจ้ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบผ่านแววตาและการกระทำอยู่เต็มอก แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร และนั่นก็ทำให้สายตาที่มองมานั้นฉายความเจ็บปวดออกมาชัดเจน

“หน้าฉันเหมือนคนแกล้งกันเล่นหรือไง” อนุวัฒน์ปล่อยมือพร้อมกับผละถอยหลัง ไม่เคยคิดจะสารภาพออกไปกับรักที่ไม่มีทางสมหวัง อยากจะยื้อความสัมพันธ์ของคำว่าพี่น้องไว้ให้นานที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็พลาดทำมันพังทลายเองกับมือ ที่พี่วินทร์เคยพูดไว้มันไม่ผิดหรอก แข่งกับใครแข่งได้แต่แข่งกับตัวเองนี่แหละยากที่สุด ในเมื่อด้านที่คิดไม่ซื่อของเขามันพยายามจะเอาชนะด้านที่อยากจะรักษาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเอาไว้ วันนี้มันก็ทำสำเร็จแล้ว และความสำเร็จของมันก็ทำให้เขาไม่มีหน้าจะไปมองหน้าอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

“พี่วัฒน์…” จิงโจ้เรียกคนที่กำลังจะเดินจากไป

“อะไรอีกวะไอ้โจ้” อนุวัฒน์ถามทั้งที่ไม่ยอมหันไป เพราะถ้าได้สบตาอีกครั้งหลังจากที่ได้สัมผัสริมฝีปากที่โหยหามาตลอด ความรู้สึกที่เก็บมาตลอดหลายปีมันต้องระเบิดออกไปแน่นอน

“พี่วัฒน์พูดอีกทีสิ”

อนุวัฒน์ย่นคิ้ว “ถ้าพูดแล้วแกจะยอมคบกับฉันหรือไง”

“ก็… ผมไม่รู้” จิงโจ้ตอบตามตรง

“งั้นฉันก็ไม่พูดแล้ว” อนุวัฒน์บอก “แค่นี้ฉันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว” และเขาก็หมายความตามที่พูดจริงๆ

จิงโจ้มองตามคนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปจนสุดสายตา เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ยังคงรู้สึกอุ่นซ่านจากรสสัมผัส เรื่องที่น่าตกใจมากพอๆ กับที่โดนจูบคือเรื่องที่เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด อนุวัฒน์เป็นรุ่นพี่ที่แสนดี ซึ่งเขาให้ความเคารพนับถือมาตลอด

แต่ความรู้สึกแค่นี้มันจะเรียกว่ารักไหม? เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพราะเหตุนี้หรือเปล่าเขาถึงอยากได้ยินอีกฝ่ายพูดคำว่ารักให้ฟังอีกสักครั้ง เผื่อว่าเขาจะเข้าใจหัวใจตัวเองขึ้นมา

********************************************TBC***********************************************************

Talk

สำหรับเราตอนนี้หวานมากเลยนะ555 และจะคงระดับน้ำตาลไว้ที่ประมาณนี้คลุกดราม่าพอกรุบกริบ เพราะตั้งใจแล้วว่า 'ส่วนเติมเต็ม' นี่จะไม่ขม แค่อยากมาเล่าให้ฟังว่าทำไมเค้ารักกั๊น รักกันเฉยๆ~
และในที่สุด!!! เราก็ได้เขียนอีกหนึ่งในฉากทีอยากเขียน คือตอนจบภาคแรกเสียใจมากที่ทำให้คู่นี้ไม่ได้ไปต่อ ก็พยายามปูมาตลอด แต่ไม่มีใครจิ้นกะเราเลย555 เอองั้นเราสรุปเองว่าเค้าต้องได้กัน(ร่ายมา7บทเกือบร้อยหน้าเพื่อฉากจูบนี้แหละ)
ปล. ตอนต่อไปจะพยายามคงความเร็ว1ตอน/สัปดาห์ไว้แบบเดิม ไม่รู้จะไหวแค่ไหน เพราะเราต้องไปอบรมเสริมเตรียมย้ายที่ทำงาน แต่จะพยายามค่ะตอนนี้หายนอยด์แล้ว~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2018 00:34:41 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/09/2561]
«ตอบ #806 เมื่อ24-10-2018 00:12:35 »

เอาใจช่วยวัฒน์...สาวผมยาวบนหลังตู้กลับมาแล้ว..ช่วยพี่หมีวินทร์ด้วย  :call: :call: :call:
ปล.วันที่อัพหน้าแรกผิดอยู่จ้า   -Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/09/2561]

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #807 เมื่อ24-10-2018 13:02:49 »

ว้าย พี่วัฒน์แอบรักจิงโจ้ อิอิ
พี่วินทร์หวานจริงๆ

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #808 เมื่อ24-10-2018 19:23:37 »

เพิ่งเห็นว่ามีภาคต่อด้วยยยย

ออฟไลน์ พระสนมฝ่ายซ้าย

  • ❤วั ง ว น ว า ย เ วิ่ น เ ว้ อ❤
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +283/-2
Re: Text_book#2 บทที่7 Say it again P.27 [23/10/2561]
«ตอบ #809 เมื่อ24-10-2018 22:55:42 »

เอาใจช่วยทุกคนให้แฮปปี้ไวๆนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด