บทที่ 5 แลก
กลางดึกเงียบสงัด ร่างโปร่งแสงนั่งอยู่ริมขอบเตียงที่คนรักของเขานอนหลับอยู่ ฤทธิ์ของยาแก้แพ้กับอาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากการอดนอนติดๆ กันทำให้นรกรหลับสนิทในรอบหลายวัน
วินทร์นั่งนิ่งๆ ทอดสายตามองอยู่อย่างนั้นพลางหวนคิดถึงวันที่รู้หัวใจตัวเองเมื่อหลายปีก่อน มันเริ่มขึ้นตอนที่เขารู้ตัวว่าไม่เคยเบื่อเลยกับการเฝ้าดูใครสักคนนอนหลับเป็นชั่วโมงๆ คอยปัดยุง เป็นห่วงว่านอนสบายไหม หนาวหรือเปล่า หรือว่าร้อนไปไหม จะพลิกตัวไปทางไหน คืนนี้ฝันถึงใคร แล้วในฝันนั้นมีเขาอยู่บ้างไหม และตอนที่ดีที่สุดก็คงเป็นตอนที่นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นเขาเป็นคนแรก
นับจากวันที่ได้เจอกัน ตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่จำแม้ชื่อของตัวเองไม่ได้ จนได้มาอยู่ด้วยกัน ผ่านเรื่องสุขทุกข์ วันที่มีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตา เกือบสองปีที่ได้อยู่ด้วยกัน มันไม่นานเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่เขารอมาตลอด และเขาไม่เคยคิดเลยสักครั้งถึงวันที่ต้องแยกจากกัน
วินทร์เอื้อมมือไปแตะบนกรอบหน้าคนหลับ ถึงจะรู้ดีว่านรกรคงไม่รู้สึก หากเขาก็ไล้อย่างเบามือด้วยกลัวว่าจะทำให้ตกใจตื่น เขาพินิจดูทุกเสี้ยวส่วนของใบหน้านั้นอย่างตั้งใจเพื่อจดจำทุกรายละเอียด ราวกับนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มอง
เขาค่อยๆ ลูบมือไปตามขอบตาที่เห็นเป็นรอยช้ำนิดๆ ภาพนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวแดงก่ำหากไม่มีน้ำไหลสักหยดที่ปรากฎขึ้นตอนทะเลาะกับพ่อเมื่อช่วงหัวค่ำผุดขึ้นมาในความคิด นั่นทำให้หัวใจกระตุกวูบ วินทร์เม้มปากสนิทก่อนจะลากมือเรื่อยลงมาตามสันจมูกจนถึงริมฝีปากบางที่ส่งยิ้มมาปลอบประโลมหัวใจเขาได้เสมอ ทว่าตอนนี้เขาไม่เห็นยิ้มนั้นมาหลายวันแล้ว และเป็นเพราะเขาเองที่เป็นคนพรากมันไป
ถึงตรงนี้วินทร์หยุดมือลงและนิ่งมองพลางไตร่ตรองถึงการตัดการสินใจครั้งสุดท้าย
…ถ้าหากรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะกลับมาในวันนั้น วันนี้เขาคิดว่ามันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว ถ้าเขาจะขอแลกอีกครั้งเพื่อรักษามันไว้…
วินทร์ก้มหน้าลงประทับริมฝีปากที่กลางหน้าผาก… แผ่วเบาหากว่าเนิ่นนาน…
ขอแค่นายมีความสุข แม้เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกต่อไปแล้วก็ไม่เป็นไร… เพราะสำหรับเขาไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่าการที่ต้องทนเห็นนายต้องทนทุกข์โดยที่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
…ลาก่อนหัวใจของฉัน…
นรกรลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ถึงจะรู้สึกสดชื่นที่ได้นอนเต็มอิ่มหากก็รู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ แม้ไม่ได้ฝันร้าย สิ่งแรกที่เขาทำเหมือนทุกวันหลังตื่นนอนคือมองหาคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่พื้นที่บนเตียงนั้นก็ว่างเปล่าและเย็นเยียบ
“พี่วินทร์”
นรกรส่งเสียงเรียกออกไปพลางกวาดตามองไปรอบห้อง มันเงียบเชียบจนน่าใจหาย แค่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงสั่นเบาๆ ก็ทำให้สะดุ้ง นรกรหยิบมากดดูข้อความจากจิงโจ้
“วันนี้ไม่มีนัดผ่าตัด พี่ฮาร์ฟไม่ต้องมาทำงานก็ได้ครับเดี๋ยวผมกับน้องๆ จะช่วยดูคนไข้แทนเอง ถ้ามีอะไรด่วนเดี๋ยวผมจะโทรหา…
ขอโทษนะครับที่ช่วยได้แค่นี้… พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”
นรกรพิมพ์ตอบไปแค่ “ขอบคุณ” เขาเข้าใจว่าจิงโจ้หวังดีในหลายๆ อย่าง ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนถึงเรื่องเมื่อวาน แต่ตอนนี้ตัวเขายังคิดไม่ตกว่าควรจะหยุดดีหรือเปล่า เพราะนั่นอาจจะยิ่งดูเหมือนเป็นการไม่กล้าไปสู้หน้าพ่อ สู้หน้าคนอื่นๆ แล้วจะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงก็ได้ หรือเขาหยุดพักตามที่จิงโจ้บอกแล้วปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปเองก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้
แต่ไม่ว่าจะทางไหน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องตามหาวินทร์ทั้งที่เป็นวิญญาณกับร่างของวินทร์ที่เจ้าผีนั่นเอาไปให้เจอเสียก่อน
นรกรก้าวลงจากเตียง เขาเดินออกจากห้องนอนมาและเห็นศีรษะของร่างโปร่งแสงเป็นสีมุกจางๆ โผล่พ้นพนักโซฟาในห้องนั่งเล่น เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและรีบก้าวยาวๆ เข้าไปหา
“พี่วินทร์อยู่นี่เอง ถ้าได้ยินที่ผมเรียกก็ขานตอบกันหน่อยสิครับ ผมเป็นห่วงนะ แล้วนี่มานั่งทำอะไรตรงนี้ ไหนว่าจะนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ไปไหนไง”
เขาบ่นไปเสียยืดยาวหากวินทร์ไม่ตอบอะไรสักคำ ร่างโปร่งแสงหันหน้าหลบตาก่อนจะถอนหายใจเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน
“ฮาร์ฟ เราเลิกกันเถอะ!”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเบา แต่ก็หนักแน่นมากจนคนฟังไม่กล้าโกหกตัวเองว่าฟังผิดไป
นรกรสบตาคนตรงหน้านิ่ง “พี่วินทร์ล้อผมเล่นหรือเปล่าครับ”
“ท่าทางฉันเหมือนคนแบบนั้นเหรอ” วินทร์มองตอบนัยน์ตาสีอ่อนที่มองตรงมาที่เขา “ถ้าเมื่อกี้ฟังไม่ชัด ฉันจะพูดให้ฟังอีกครั้ง และมันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฟังแล้วจำไว้ให้ดีๆ นะว่า… เรา-เลิก-กัน-เถอะ”
นัยน์ตาสีอ่อนไหววูบ ริมฝีปากบางสั่นจนเจ้าตัวต้องเม้มไว้ “ผมถามได้ไหมครับว่าทำไม”
“ไม่มีเหตุผลอะไรมากหรอก ก็แค่ฉันไม่อยากอยู่กับนายแล้ว จบ… ทางใครทางมัน เรื่องก็มีแค่นี้แหละ” วินทร์ตอบ ก่อนจะรีบเดินหนีออกไป
“ผมไม่ให้ไป” นรกรตะโกนตามหลัง
“มันจบแล้ว นายไม่เข้าใจหรือไง ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะ” วินทร์ตอบทั้งที่ยังไม่ยอมหันมา
“พี่วินทร์ต่างหากที่ไม่เข้าใจ” นรกรบอก ทั้งที่ในใจปวดหนึบจนมือเริ่มสั่นแต่น้ำเสียงนั้นไม่สั่นเลยสักนิด “ผมรู้นะว่าพี่วินทร์กำลังคิดอะไรอยู่… พี่วินทร์ไม่เคยเชื่อใจผมเลยใช่ไหมว่าผมจะหาทางเอาร่างพี่วินทร์คืนมาให้ได้…”
“นายคิดว่าคนเราจะวิญญาณออกจากร่างได้กี่ครั้งกันฮาร์ฟ” วินทร์พูดแทรก “ฉันไม่ได้ตัดใจหรือไม่เชื่อใจนาย แต่นี่คือความจริง… ความจริงที่เราสองคนต้องยอมรับว่าฉันตายไปแล้ว”
“แต่ผมก็เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าต่อให้เป็นผีผมก็รัก ผม…”
“แค่รักมันพอที่ไหนล่ะ” วินทร์พูดเสียงดัง “ให้เรื่องของเราจบลงแค่ตรงนี้… นายไปหาผู้ชายคนใหม่… คนที่เขาดูแลนายได้ แล้วลืม ‘ผี’ อย่างฉันไปเถอะ”
ทันทีที่พูดจบ ร่างกายที่เคยเป็นรูปร่างชัดเจน กลับกลายโปร่งแสงขึ้นจนแทบจะกลืนหายไปกับสิ่งรอบตัวพาให้ใจของคนมองแทบจะสลายตามไปด้วย นรกรก้าวยาวๆ เข้าไปหาคนที่ยังคงยืนหันหลังให้ พยายามเอื้อมมือไปคว้าร่างนั้นไว้หากก็สัมผัสได้แค่เพียงความว่างเปล่าเหมือนกับที่เคยเป็นมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่ยอมแพ้ เดินอ้อมไปยืนด้านหน้า นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองคนที่กำลังจะเลือนหายไปจากชีวิตเขาอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นเศร้าสร้อยและดำดิ่งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“แล้วพี่วินทร์จะไปไหน ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาตาย วิญญาณก็ไปสู่สุขคติหรือเกิดใหม่ไม่ได้อยู่ดี”
“มันก็เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมาสนใจหรอก” วินทร์บอก “อย่ามารั้งฉันไว้เลย ทำแบบนี้มันจะดีกับตัวนายเองนะ”
“คิดเองเออเอง!” นรกรพูดเสียงดัง “ทำไมถึงมาคิดแทนผมว่าอะไรดี อะไรไม่ดีสำหรับผม ผมก็บอกแล้วไงว่ารับได้กับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่”
“นายก็คิดเองเออเองไม่ต่างจากหมอนั่นน่ะแหละ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้น “ในเมื่อเจ้าตัวเขาอยากจะไปก็ปล่อยให้เขาไปสิ นายจะไปรั้งเขาไว้ทำไมให้เสียเวลาล่ะ”
ทั้งสองหันไปมอง คนที่เพิ่งเปิดประตูห้องเดินสองมือล้วงกระเป๋าเข้ามายืนตรงกลางด้วยท่าทียียวน แล้วหันมองคนนั้นทีคนนี้ทีพร้อมกับยักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและพูดต่อ
“ยังไงก็คงไม่ได้คืนอยู่แล้วล่ะร่างนี้น่ะ ปล่อยให้ไปเป็นสมภเวสีเร่ร่อนสักพักเดี๋ยวก็ปรับตัวได้ ผีสาวๆ สวยๆ แถวนี้ก็เยอะอยู่… อ้อ! โทษทีลืมไปว่าผีตัวอื่นเขาก็ไม่อยากคุยกับผีไม่เข้าพวก”
นรกรกำหมัดแน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาโกรธเกลียดใครได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าที่ลอยหน้าลอยตาอยู่นั่น คือใบหน้าและร่างกายของคนที่เขารักแล้วละก็ สิ่งที่กำอยู่ในมือคงได้กระทบเข้าเบ้าตาสักข้างไปแล้ว
“ทำหน้าแบบนั้นคงโกรธ เกลียดฉันมากสินะ” คนตรงหน้าเยาะยิ้มพร้อมกับผายมือสองข้างออก “อยากต่อยฉันใช่ไหม เอาเลย ถ้านายกล้าทำ… ฮึ ไม่กล้าสินะ… ส่วนนาย” เขาหันไปหาวินทร์ “โถๆ อย่าทำหน้าบิดเบี้ยวแบบนั้นสิ ไม่รู้หรือไงว่าตอนเป็นผีหน้าตาน่าเกลียดขนาดไหน ถ้านายเกลียดฉันนักก็มาฆ่าฉันแล้วเอาร่างคืนสิ… ก็ทำไม่ได้สินะ ถ้างั้นคนที่ต้องไปเป็นนายก็ถูกแล้วล่ะ”
“คนเดียวที่ต้องไปคือคุณต่างหาก” นรกรพูดเสียงแข็ง
“ฟังดูยากจังเพราะร่างนี้ก็อยู่สุขกายสบายใจดี” มันว่า “นี่… ถ้าไหนๆ นายก็จะไปแล้วแฟนนายฉันขอละกันนะ”
“แกพูดเรื่องอะไร” วินทร์ถามเสียงห้วน
“ไม่สนใจเขาแล้วไม่ใช่เหรอ อยากเลิกกันใจจะขาด เมื่อกี้ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย แต่ฉันสนใจและเขาก็ยังไม่อยากเลิก แล้วก็บังเอิญว่าฉันก็อาศัยอยู่ในร่างนายพอดี แหม อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดีว่าไหม”
“แกจะทำอะไร” วินทร์ถาม
“ก็ว่าเคยพูดชัดแล้วนะว่าฉันอยากนอนกับแฟนแก”
“ผมไม่นอนกับคุณหรอก” นรกรบอก
“ก็ตามใจนะฉันไม่บังคับหรอก แต่ว่านะฉันมันพวกขี้น้อยใจน่ะ ถ้าหากว่ามีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจทำร้ายร่างกายตัวเอง… แบบนี้” ทันใดนั้นมันดึงคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกรีดฉับลงบนท้องแขน
“แก!” วินทร์ขบกรามแน่น ไม่คิดว่ามันจะกล้าเอาร่างกายเขามาเป็นเครื่องต่อรองถึงขนาดนี้
“อย่าเสียงดังสิ ฉันมันคนขวัญอ่อนนะ ถ้าหากมือไม้สั่นไปมันจะอาจจะพลาด…” แล้วมันก็กรีดมีดลงไปอีกครั้ง เลือดสดๆ ไหลเป็นสายหยดลงพื้น “หรือบางที…”
“พอได้แล้ว!” นรกรร้องปราม
“บอกแล้วไงว่าอย่าเสียงดัง…”
“ก็ได้ครับ” นรกรบอก “ผมยอมคุณทุกอย่าง หยุดทำร้ายร่างกายพี่วินทร์ได้แล้ว”
“ฮาร์ฟ!” วินทร์จ้องตาเขม็ง
“พูดแบบนี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย” มันกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ฮาร์ฟ…” วินทร์พยายามจะห้ามแต่นรกรก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน
“พี่วินทร์ไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ ผมตัดสินใจแล้ว”
“จะเริ่มเลยไหม” มันถาม
“ขอผมทำแผลให้ก่อนได้ไหมครับ” นรกรพูดเรียบๆ พร้อมกับหันไปหยิบผ้าขนหนูมาให้กดหยุดเลือดก่อนจะเดินไปหยิบกล่องใส่อุปกรณ์ทำแผล ระหว่างนั้นผีในร่างวินทร์ก็เดินเข้าห้องนอนไปนั่งอยู่บนเตียงราวกับที่นี่เป็นบ้านของมันเอง
“ฮาร์ฟ… เดี๋ยว…” วินทร์พยายามจะห้ามแต่นรกรไม่ฟัง
“ผมตัดสินใจแล้วครับ” นรกรบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พี่วินทร์รออยู่ข้างนอก… ตรงนี้นะ อย่าเข้าไป แล้วก็อย่าหายไปไหนอีก ผมขอร้อง” พูดได้เท่านั้นก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอไม่ให้พูดต่อได้อีก นรกรกัดฟันแน่น หันหลังเดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตู ทิ้งให้ร่างโปร่งแสงได้แต่มองบานประตูที่ถูกปิดลงนั้นอย่างสับสน
(ต่อข้างล่างค่ะ)