บทที่ 8 ลั่นทม
รถมินิคูเปอร์สีฟ้าเมทัลลิคเลี้ยวออกจากคอนโดเข้าสู่ถนนสายหลัก วินทร์ที่ปกติจะเป็นคนขับเสมอวันนี้ต้องเปลี่ยนมานั่งที่ข้างๆ เขาหันไปมองนรกรที่ตั้งสมาธิอยู่กับท้องถนนก่อนจะหันไปมองคอนโดอีกครั้ง นึกถึงการบ้านชุดใหญ่ที่นรกรฝากฝังไว้กับเจ้าผีไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่น
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
“นี่คือเขตหวงห้ามที่สอง” วินทร์ชี้อาณาเขตห้องนอนให้ดู
“จ้า~” มันรับคำพลางหาวหวอด “ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ใช่สเปคก็ยัง…”
“มีครั้งแรกได้ก็มีครั้งที่สองได้” วินทร์ชี้หน้า “และฉันต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
“นี่แกไม่ไว้ใจแฟนแกหรือไง”
“ฉันเชื่อใจฮาร์ฟ แต่ไม่ไว้ใจแก” วินทร์ตัดบท “เลิกต่อล้อต่อเถียงแล้วก็ฟังไปเงียบๆ ซะ ถ้ายังอยากอยู่ด้วยกัน”
“จ้า~” มันรับคำ
“ผมจะให้โทรศัพท์เครื่องเก่าของพี่วินทร์ไว้ใช้จะได้ตามตัวกันถูก” นรกรเข้ามาขวางการทะเลาะกันของทั้งพร้อมทั้งส่งโทรศัพท์มือถือให้
มันรีบรับไปจับๆ ดูด้วยความสนอกสนใจ “โห~ สมัยนี้โทรศัพท์เหลือเครื่องแค่นี้เองเหรอโคตรจ๊าบเลย”
“จ๊าบ?” วินทร์เลิกคิ้ว “ครั้งล่าสุดที่เคยได้ยินคนพูดคำนี้ก็สมัยเรียนประถมโน่นเลย… มันเชยแล้ว ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาใช้คำว่า ‘เท่’ หรือ ‘ชิคๆ’ ‘คูลๆ’ อะไรพวกนี้แล้ว”
มันไหวไหล่ “ทำไมล่ะก็จ๊าบดีออก”
“ผมจะโทรเข้านะเดี๋ยวคุณลองรับสายดู” นรกรหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรออก เพียงอึดใจเสียงเพลงของโทรศัพท์อีกเครื่องก็ดังขึ้น
“มันสั่นได้ด้วยล่ะ” มันร้องด้วนยความตื่นเต้น
“ผมตั้งระบบเสียงกับสั่นไว้ เผื่อคุณจะยังไม่ชินว่านี่เสียงอะไร” นรกรอธิบายต่อ “ทีนี้ก็ใช้ปลายนิ้วสไลด์ไปตรงปุ่มรับสายเบาๆ” เพราะอีกฝ่ายยังดูเงอะงะเขาจึงต้องช่วยจับมือทำ “แบบนี้แหละ… ไหนลองพูดสิ… ฮัลโหล”
มันยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูกลับหัวกลับหางจนนรกรต้องมาช่วยจับอีกที “ฮัลโหล?”
“ได้ยินชัดไหม”
“ชัดแจ๋วเลย”
“ดีมาก ทีนี้ก็วางสายแล้วคุณลองเป็นฝ่ายโทรมาบ้าง ทำแบบนี้ผมทำเมื่อกี้น่ะ”
มันพยักหน้าแล้วกดๆ อยู่อึดใจโทรศัพท์ในมือนรกรก็ส่งเสียงร้อง
“เก่งมาก” นรกรชม “ยังมีฟังค์ชั่นต่างๆ อีกหลายอย่าง คืนนี้คุณลองเล่นดู คู่มืออยู่ในนี้แล้ว แล้วผมก็เปิดไวไฟ… อินเตอร์เน็ต… เอ่อ… มันคือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อและส่งข้อมูลถึงกันได้น่ะ”
“อินเตอร์… อะไรนะ” มันทวนคำ
“Internet” นรกรพูดซ้ำ
“อ่อ อันนี้ฉันพอรู้จักนะ” มันว่า “สมัยนั้นเราเรียกว่าเครือข่ายไทยสารน่ะ มหาวิทยาลัยเพิ่งเอาเข้ามาเพื่อพัฒนางานวิจัยน่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เลย ตอนนี้มันพัฒนาไปไกลแล้วสินะ”
“ส่วนนี่คือวิธีการที่เราใช้ค้นหาข้อมูลในปัจจุบัน คุณลองพิมพ์สิ่งที่อยากรู้ลงไปแล้วกดตรงรูปแว่นขยาย” นรกรอธิบายต่อ “สมมติว่าผมจะทำข้าวไข่เจียว ผมก็พิมพ์ลงไปตรงนี้ รอสักครู่… เห็นไหมมีตัวเลือกบอกวิธีการทำเยอะแยะเลยแล้วเราก็กดเข้าไปดูได้ จะหาอะไรก็แค่พิมพ์ลงไป”
“ง่ายดีแท้ ไม่ต้องมานั่งค้นหาในหนังสือหรือตำราอะไรกันแล้วสินะ”
“สะดวกใช้ไหมล่ะ” นรกรว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกกับพี่วินทร์จะกลับดึกหน่อย ผมจะไม่ล็อกประตู ถ้าคุณยอมรับปากว่าจะช่วยอยู่เฝ้าบ้านดีๆ ไม่ออกไปไหนและห้ามเปิดประตูรับใครนอกจากพวกผมตกลงไหมครับ”
“มีไอ้เครื่องนี่ให้เล่นฉันคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ” มันว่าสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งตอนนี้มันค้นพบเกมแข่งรถอันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว “พวกนายจะไปสวีทกันที่ไหนก็ไปเถอะ ตามสบายเลย”
“งั้นพวกผมไปแล้วนะครับ”
มันไถลตัวลงนอนเอกเขนกบนโซฟาก่อนจะชูมือขึ้นโบกหยอยๆ ไล่ให้พวกเขาออกจากห้อง
อันที่จริงวินทร์รู้สึกไม่วางใจเลยสักนิดที่ทิ้งมันไว้คนเดียวแบบนั้น แต่อย่างที่นรกรบอกว่าพวกเขาจะเอาก้างขวางคอมาทำไมในวันสำคัญแบบนี้ ยังไงก็ขอมีความสุขก่อนค่อยกลับมาปวดหัวทีหลังละกัน
“ตกลงเราจะไปไหนกัน” เขาหันไปถามคนที่ยึดกุญแจรถและจุดหมายปลายทางในวันนี้
“ไปวัดครับ” นรกรตอบ
“วัด?” วินทร์ถามย้ำแต่ก็ไม่ซักไซ้อะไรเพิ่มเติมอีกเพราะตกลงกันแล้วว่าจะให้สิทธิ์นรกรเลือกสถานที่ เขาจึงหันมาสารวนกับการเสนอเพลงและคลื่นวิทยุ เมื่อเลือกได้จนถูกใจแล้ว แทนที่จะปล่อยให้นักร้องได้ทำหน้าที่ขับกล่อม เจ้าตัวก็กลับแหกปากร้องแข่งประหนึ่งว่านั่นเป็นเพลงของตัวเอง
นรกรไม่ได้บ่นว่าอะไร เพียงแต่เคาะปลายนิ้วตามจังหวะไปด้วย เขาชินเสียแล้วกับโน้ตสูงๆ ต่ำๆ ตามใจฉันไม่แคร์เสียงดนตรี แต่พูดแบบไม่ลำเอียงเลย เขาก็ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้วินทร์ร้องเพลงเพราะขึ้นเยอะจริงๆ เปรียบเทียบว่าเมสมัยก่อนเป็นเสียงหมาหอนตอนนี้ก็หมาแก่พรรษาที่อยู่วัดมานานจนมีลูกเล่นลูกคอรับกับเสียงสวดมนตร์ตีกลองเพลล่ะ
ขับมาไม่นานเจ้าเต่าฟ้าที่วินทร์ชอบเรียกก็แล่นมาถึงปลายทาง ซึ่งเป็นวัดที่พวกเขามาทำบุญด้วยกันก่อนที่วินทร์จะประสบอุบัติเหตุ
“นายมาทำอะไรที่นี่” วินทร์ถาม “คงไม่ได้แค่มาทำบุญหรอกใช่ไหม”
“มาทำบุญครับ” นรกรบอกก่อนจะดับเครื่องยนตร์และเปิดประตูลงจากรถ “ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน เกิดชาติหน้าเราจะได้เจอกันอีกไง”
“ว่าไปนั่น” วินทร์หัวเราะในลำคอกับคำพูดทีเล่นที่ทีจริงของอีกฝ่ายพลางเดินเคียงคู่กันไปบนถนนปูอิฐตัวหนอนที่สองข้างทางปลูกดอกลั่นทมเรียงรายไว้ แสงอาทิตย์ยามอัศดงสีอมส้มที่สาดผ่านริ้วเมฆมาเป็นสายกระทบพื้นดูสวยงามยิ่งนัก
“พี่วินทร์จำที่พระองค์นั้นบอกได้หรือเปล่าครับ” นรกรถาม “ตอนที่ท่านผูกสายสิญจน์ให้พี่วินทร์น่ะ”
“จำได้แม่นเลยล่ะ” วินทร์ตอบทันที “ท่านบอกว่า… สุขทุกข์อยู่ที่ใจหาใช่รูปกาย ให้เชื่อมั่นในหนทางที่เลือก แล้วจากนี้ไปก็ขอให้พบเจอแต่ความสุขน่ะ”
นรกรพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “วันนี้พามาขอสายสิญจน์เส้นใหม่ครับ เส้นเก่าดูเหมือนว่าจะหายไปแล้ว”
วินทร์เหลือบตามองข้อมืออีกฝ่ายที่ยังมีด้ายถักสีขาวผูกอยู่แน่นหนาก่อนจะยกข้อมือตัวเองขึ้นดู “คงขาดตอนอุบัติเหตุมั้ง ไม่ก็คงเป็นหน่วยกู้ชีพตัดออกแล้วเผลอทิ้งไปตอนพยายามช่วยชีวิตน่ะ… จะว่าไปแหวนของฉันที่พ่อนายให้มาอยู่ไหนน่ะฮาร์ฟ นายได้เก็บไว้หรือเปล่า”
“อยู่นี่ครับ” นรกรบอกพร้อมกับแหวกคอเสื้อเชิ้ตออกเล็กน้อย
วินทร์จึงได้เห็นว่าตอนนี้ลำคอขาวมีสายสร้อยสีเงินเส้นบางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนคล้องอยู่ นรกรดึงมันออกมาและสิ่งที่คล้องอยู่บนสายสร้อยนั้นคือแหวนเงินวงที่เป็นของคู่กันบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย
“รอใส่คืนให้อยู่นะครับ” นรกรบอกก่อนจะเก็บใส่ไว้ในเสื้อตามเดิม
“ก็อยากให้ทำจะแย่แล้ว”
“จะมาทำบุญก็รีบหน่อยนะโยม ใกล้จะได้เวลาปิดโบสถ์เพื่อทำวัดแล้ว” เสียงทุ้มกังวาลดังขึ้นตรงใต้ต้นลั่นทมหน้าประตูโบสถ์
“สวัสดีครับ” นรกรหันไปยกมือไหว้และนึกจำได้ทันทีว่าเป็นพระรูปเดียวกับที่ทำพิธีให้ตอนที่มาครั้งก่อน “ผมจะมาถวายสังฆทานครับ”
พระสงฆ์แก่พรรษาหน้าตาใจดีกวาดตามองผู้มาเยือนยามโพล้เพล้อยู่อึดใจก็ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน “ตามมาสิโยม”
นรกรหันไปพยักกับร่างโปร่งแสงและเดินตามเข้าไปด้านในโบสถ์ ทั้งสองนั่งลงตรงหน้าพระประธานของวัดอันเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เพราะวันนี้ไม่ได้รีบร้อนมาแบบครั้งก่อนนรกรจึงสังเกตว่าดวงตาของพระประธานที่ทอดมองลงมานั้นช่างอ่อนโยนเหลือเกิน อีกทั้งดวงหน้าผ่องใสก็ราวกับจะส่งยิ้มน้อยๆ มาให้
ทั้งสองก้มลงกราบพระประธานพร้อมกันในขณะที่พระท่านนั่งลงบนอาสนะตรงหน้าพลางเตรียมเครื่องสังฆทานและขันน้ำมนตร์สำหรับทำพิธี
กรวดน้ำพรมน้ำมนตร์เสร็จและทั้งสองก้มลงกราบเป็นครั้งสุดท้ายพระท่านก็เอ่ยขึ้น “ช่วงนี้มีเรื่องทุกข์ใจหรือโยม ทำไมหน้าตาไม่ค่อยสดใสเหมือนที่มาครั้งก่อน”
นรกรเหลือบตามองร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้างๆ และตอบคำถาม “ก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่ครับ”
“คิดเยอะไปบางทีก็ปวดหัวเปล่า เหมือนพายเรือในอ่างวนไปวนมาหาทางออกไม่ได้” พระท่านกล่าว “โยมแค่ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อยให้ผลกรรมเป็นตามครรลองของมันน่ะแหละ”
“ครับ” นรกรรับคำ “ท่านครับ ผมขอสายสิญจน์อีกเส้นได้ไหมครับ”
“จะเอาไปทำไมหรือโยม เส้นที่ข้อมือนั้นอาตมาเพิ่งจะให้โยมไปนี่นา”
“ผมไม่ได้จะใส่เองครับ แต่จะเอาไปให้เพื่อน”
“ถ้าเป็นเพื่อนที่มาด้วยกันวันนั้น เขามีอยู่แล้ว”
“แต่ว่ามันขาด…” นรกรยังไม่ทันพูดจบประโยคพระท่านก็พูดต่อ
“เส้นนั้นอาตมาให้ไว้ป้องกันตัว ขาดไปก็ไม่เป็นไรเพราะเขามีติดตัวอยู่แล้วอีกเส้นหนึ่ง” ท่านบอก
นรกรเหลือตามองร่างโปร่งแสงข้างกายที่ยกมือสองข้างของตัวเองขึ้นดูแบบงงๆ ว่ามีอะไรมาผูกไว้ตอนไหนซึ่งมันก็ว่างเปล่า ทั้งที่คอและที่ขา ถึงขั้นลองตบๆ ดูตามกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงก็ไม่เห็นมีสายอะไรที่ว่า
“ไม่มีเครื่องรางของขลังใดที่อาตมาหรือวัดแห่งนี้มีศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าเส้นที่เขามีติดตัวอยู่แล้ว… และเขาก็ผูกมันไว้แน่นหนาทีเดียว” ท่านกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
วินทร์หันไปทำปากขมุบขมิบบอกกับนรกร “แต่ฉันไม่มีจริงๆ นะ”
“ได้เวลาปิดโบสถ์แล้ว โยมต้องกลับแล้วล่ะ”
“ครับ” เพราะไม่อาจขัดนรกรจึงกราบลาก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอกโดยมีพระรูปนั้นเดินออกมาส่ง “เอ่อ… ผมขอถามได้ไหมครับ” เขายังคงติดใจสงสัย “เส้นที่ท่านว่ามันคืออะไรครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ผูกหรือใส่อะไรไว้”
พระท่านไม่ตอบในทันที ท่านเงยหน้าขึ้นมองร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทางเดินปูด้วยอิฐตัวหนอน ทั้งสองมองตาม ตอนนั้นเองที่สายลมพัดมาต้องกิ่งใบลู่ไปทำให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งกำจายไปทั่ว พลันดอกไม้สีขาวนวลดอกหนึ่งปลิวหลุดจากขั้วลงมา ท่านยื่นมือออกไปรับไว้และส่งให้
นรกรรับดอกลั่นทมนั้นมาถือไว้พลางพินิจดู “แล้วมันยังไงเหรอครับ…”
หากพอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพระรูปนั้นก็หายไปเสียแล้ว
OOOOOO
(ต่อด้านล่างค่ะ)