Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279348 ครั้ง)

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เป็นหมอฮาร์ฟต้องอดทนนน ปัญหารุมเร้ามาก
มีครอบครัวแบบนี้ โซปวดหัว เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ
อ่านแล้วอินมากกกกกก
 :katai1:

ออฟไลน์ im4gine_32

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยกบ้านให้มันไม่เกินไปหรอ...กับลูกชายตัวเองนี่มองเป็นไม่มีไรดีสักอย่าง...ถึงจะรู้ว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างก็เหอะ ฮาร์ฟหนีไปกับผีเลยเชื่อป้า อยู่ไปก็อึดอัด ไปทำงานชนบทไหมลูก หมอเหมือนกันสบายใจกว่าเยอะ ธีร์นี่เติบโตมาได้แบบน่ารังเกียจจริงๆ อิจฉามันไม่ผิดหรอกแต่เล่นไม่ซื่อนี่...ด่าไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เท่าที่ดูก็คิดเหมือนธีร์ การที่อาจารย์แกทำเพื่อผลักดันฮาล์ฟ

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เกินไปมากจริงๆ ต้องเป็นพ่อแม่ประเภทไหนที่สนใจคนอื่นมากกว่าลูกแท้ๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ครอบครัวนี้แปลกมากๆ มีวิธีกระตุ้นลูกพิศดาร  :katai1:  แสดงอาการไม่รักลูก ไม่สนิทสนม ไม่เคยพูดดีๆ กับลูก  เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงให้ลูกอิจฉา ยกบ้านของปู่ให้ลูกเลี้ยง  เรียนก็สูง คุณวุฒิ วุฒิภาวะมีครบ แต่รักลูกไม่เป็น ทำร้ายตัวเองกับลูกทั้งนั้น ทำแล้วใครมีความสุข ??????  :hao7: :m31: :fire:

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ทำไมมันบิดๆเบี้ยวๆทั้งเรื่องเลยเนี่ย ถถถถ

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เหมือนกำลังจะเริ่มเปิดเผยความรักในแบบของคุณพ่อ และมุมอ่อนแอของทั้งคุณพ่อ และก็ธีร์ ใช่ไหมคะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ก็เพราะว่าไม่ยอมฟังกันทั้งบ้านไงมันเลยเป็นซะแบบนี้พื้นฐานของความเข้าใจอ่ะ เราเป็นฮาร์ฟเราตะโครตอึดอัดเลย สงสารฮาร์ฟอ่ะ

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
สงสารฮาร์ฟ

ออฟไลน์ sangzaja122

  • บึนปากให้ทุกๆอย่าง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาทันถ่ายทอดสด วี้ดว้ายย แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านจ้า  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 182x406

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ..
ตามมาจาก ER เพราะเห็นว่าไปอัพตอนพิเศษพอดี
ข้อมูลแพทย์เเน่นมาก เป๊ะมาก เนื้อเรื่องก็สนุกมากกก ดูเทาๆแต่ก็มีชมพูๆ
ตัวละครคาแรคเตอร์ชัดมากๆเลยค่ะ

ยิ่งอ่านยิ่งสงสารฮาร์ฟแต่ก็ลุ้นไปด้วยว่าจะเป็นยังไง
จริงๆลุ้นทุกตอนเลย เดาอะไรก็พลิกตลอด5555
แอบคิดว่าจริงๆทิดยังไม่ตายหรือเปล่า? เพราะตอนทิดจะไป แล้วกลับมามีคนบอกยินดีต้อนรับกลับมานะ?
ถ้ายังก็ไม่อยากให้ตายเลยค่ะ อยากจีบมาคู่กับฮาร์ฟ ;w;
ไม่งั้นฮาร์ฟคงได้คู่กับพี่วินทร์แน่ๆเลย แอบเชียร์พี่วินทร์อยู่เหมือนกัน
แต่ชอบเวลาฮาร์ฟอยู่กับทิดมาก มันดูอบอุ่นมากๆเลย :)
ถ้ายังอยู่ด้วยกันต่อให้ต้องเจออะไรก็ผ่านมันไปได้แน่นอน

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
จิวกับอุ้มนี่เป็นคนสำคัญที่ทำให้คู่ปืนสมหวังเลยนะเนี่ย o13
แต่อ่านไปแล้วดันเผลอใจชอบคู่จิวซะได้ :-[
ขอบคุณจ้า

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 9 Like father like son

“ฮาร์ฟ รอผมด้วย” อทิฏฐ์ร้องเรียกพร้อมทั้งออกเดินตามหลังมาติดๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามเรียกสักเท่าใดอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาจนกระทั่งคุณหมอหนุ่มเดินลัดเข้ามาในสวนของโรงพยาบาลที่ตอนนี้ร้างผู้คนเพราะเป็นกลางดึกสงัด เขาจึงตัดสินใจตะโกน “ฮาร์ฟ!”

และในที่สุดมันได้ผล นรกรชะงักฝีเท้าทันทีพร้อมกับหันหน้ามา อทิฏฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงในแววตานั้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ตราบที่อีกฝ่ายยังฟังเสียงของเขานั่นก็เป็นสัญญาณที่ดี

เขารีบก้าวเข้าไปยืนตรงหน้า นัยน์ตาหลังกรอบแว่นแดงก่ำจนทำให้นึกอยากดึงตัวเข้ามากอดปลอบแน่นๆ แต่ก็เหมือนกับทุกครั้งที่เขาทำ คือได้แค่กำมือตัวเองและรู้สึกไร้ประโยชน์ที่ทำอะไรไม่ได้เลย “จะไปไหน”

“ไปแก้งาน”

“ปากแข็งอีกแล้ว ในเวลาแบบนี้คุณยังมีอารมณ์เปิดคอมทำงานอีกเหรอ”

นรกรเหลือบมองอทิฏฐ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตรงหน้าเป็นเพียงแค่อากาศว่างเปล่าแต่เขาก็ยังยื่นมือออกไปราวกับพยายามจะไขว่คว้าหาไออุ่นของร่างโปร่งแสงนั้น “ผมไม่ได้บ้าใช่ไหม ทิด” เสียงของเขาสั่นพร่า “คุณอยู่ตรงนี้จริงๆ ใช่ไหม”

อทิฏฐ์มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ปวดร้าวไม่แตกต่าง แต่จะให้เอาอะไรมายืนยันในเมื่อเขาเองก็เป็นสิ่งที่ไร้ตัวตน “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ... ขอโทษนะที่ผมช่วยคุณพิสูจน์ให้ใครเห็นไม่ได้ว่าผีมีอยู่จริง” เขาก้มลงมองมือคู่นั้นที่ยื่นออกมาก่อนจะประกบมือของตนทับลงไป “ดูสิ แค่สัมผัสคุณผมยังทำไม่ได้เลย แต่ผมอยู่ตรงนี้นะ คุณรู้ใช่ไหม”

นรกรเม้มปากแน่นพร้อมกับพยักหน้าครั้งหนึ่ง

“มีอะไรอยากเล่าไหม”

นรกรพยักหน้าอีกครั้ง

“งั้นนั่งก่อนนะ” อทิฏฐ์พยักเพยิดไปทางม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่งคุยกับลลินและก้าวเท้านำไปโดยยังคงพยายามให้มือแตะกันไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮาร์ฟ”

นรกรค่อยเดินตามไปทรุดตัวลงนั่ง เขาเอนหลังพิงพนักเงยหน้าดูดาวบนท้องฟ้าพลางชำเลืองมองร่างโปร่งแสงข้างตัวที่กระทบแสงจันทร์ออกสีนวลน่ามอง

อทิฏฐ์ส่งยิ้มมาให้และเขยิบเข้ามานั่งจนชิด ไม่อาจทำอะไรให้ได้มากไปกว่านี้ แต่อยากให้รู้ว่าจะอยู่ตรงนี้เสมอ

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองมือที่กุมมือตนไว้และเริ่มต้นเล่า “คุณจำเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าโดนเพื่อนในห้องแกล้งให้เพื่อนผู้หญิงมาทำให้ผมหลงรักได้ไหม”

“จำได้ครับ”

“ทั้งหมดมันเป็นแผนการของธีร์” ทั้งที่มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับและรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาโดยตลอด แต่มาวันนี้มันกลับค่อยๆ ผ่านออกจากปากที่ปิดสนิทและหัวใจที่เก็บซ่อนความลับนี้มาหลายปี

หลังจากที่เรื่องทุกอย่างเฉลย นรกรก็หนีไปแอบอ่านหนังสืออยู่ห้องสมุด ไม่ใช่ความรู้สึกแค่อายหรือโกรธแต่เขารู้สึกเข้าหน้ากับคนอื่นๆ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงคนนั้นไม่ถูกมากกว่า จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกนึกรักเธอ หากก็ประทับใจและคิดมาตลอดว่าเป็น ‘เพื่อน’

มันยิ่งกว่าโดนหักหลังเมื่อแท้จริงแล้วคำว่ามิตรภาพมันยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ สุดท้ายความรู้สึกทั้งหมดนั่นมันก็เป็นแค่สิ่งที่เขาคิดไปเองฝ่ายเดียว

พอออดบอกเวลาเริ่มคาบสุดท้ายดังเขาก็กลับไปห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋า คาดว่าคนอื่นๆ น่าจะแยกย้ายกลับบ้านกันหมดแล้ว

หากห้องเรียนที่น่าจะปิดไฟเงียบกลับมีเสียงคน 3 คนคุยกันดังแว่วออกมา นรกรเบียดตัวแอบกับประตูและมองเข้าไปด้านใน

“พี่นายนี่มันมีหัวใจหรือเปล่าวะธีร์ นี่ขนาดเราส่งยัยโบขวัญใจคนทั้งรุ่นไปเลยนะเนี่ย” เสียงเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งพูดขึ้น เขานั่งหมิ่นๆ อยู่บนขอบโต๊ะ ข้างกันนั้นมีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งเท้าคางอยู่ ทั้งคู่กำลังจับจ้องไปที่อีกคนซึ่งกำลังนับปึกธนบัตรในมืออย่างคล่องแคล่ว

“เอาน่าๆ ยังไงก็ยังได้กำไรอื้ออยู่เดี๋ยวข้าพาไปเลี้ยง KFC เอาปะ” คนสุดท้ายในกลุ่มพูดขึ้นและมันเป็นเสียงของน้องชายบุญธรรมของเขาเอง

“ไม่ต้องเอาของกินมาล่อเลย ยังไงข้าก็ไป”

“เออๆ งั้นวันนี้หลังเลิกชมรมเจอกันนะ” ธีร์ว่าก่อนจะโบกมือลาคนที่คว้ากระเป๋าและวิ่งออกประตูหลังห้องไปก่อน

“นี่ธีร์” เด็กสาวที่นั่งเงียบฟังอยู่นานพูดขึ้นเมื่อเหลือกันแค่สองคน “ถามจริง ทำไมนายถึงกล้าส่งฉันไปยะ”

“ไม่เอาน่าโบ เรื่องนี้เราคุยกันแล้วนี่ครับก็แค่เล่นสนุกๆ เอง”

“แต่โบไม่สนุกนะ ธีร์ทำเหมือนธีร์ไม่รักโบเลยสักนิด ถึงได้ส่งให้ไปหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นแบบนั้น ถ้าเกิดฮาร์ฟชอบโบขึ้นมาจริงๆ ล่ะ หรือว่าถ้าเกิดโบไปชอบฮาร์ฟขึ้นมาธีร์น่ะแหละจะเป็นฝ่ายเสียใจ”

“นี่โบ” ธีร์ยัดเงินใส่กระเป๋าเสื้อและเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้า “เรื่องที่ฮาร์ฟจะชอบโบน่ะโอกาสมันไม่ใช่แค่ 1 ใน 100 แต่มันคือศูนย์เลยล่ะ ฉันก็แค่หวังว่าโบจะยอมทำให้หมอนั่นเปิดเผยธาตุแท้ออกมาซะอีก”

“ธาตุแท้อะไร” เด็กสาวย่นคิ้ว

“ไม่บอกหรอก... ส่วนเรื่องที่โบจะไปชอบหมอนั่น...” ธีร์เว้นวรรคไปเล็กน้อย “ฉันว่าน่าจะเป็นฝ่ายโบมากกว่านะที่จะเสียใจที่ทิ้งนักกีฬาโรงเรียนอย่างฉันไปหาไอ้เด็กเนิร์ดพรรค์นั้น”

“ดูพูดเข้านั่นพี่ชายนายไม่ใช่เหรอ”

“พี่บ้าอะไร อายุมากกว่ากันแค่สามเดือน ไม่เอาแล้วโบมาชวนคุยเรื่องอะไรให้เครียดเนี่ย ไปหาอะไรทำสนุกๆ กันดีกว่า” ธีร์ยักคิ้วพร้อมกับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม

“แต่ธีร์ต้องไปชมรมไม่ใช่เหรอ ได้ข่าวว่ามีแข่งอาทิตย์หน้านี่”

“ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้ผมอยากอยู่กับโบมากกว่า เป็นรางวัลที่ยอมเหนื่อยเพื่อผมไง” ไม่พูดเปล่ายังคล้องมือลงรอบบ่าคนตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวข้ามโต๊ะไปจูบหน้าผากเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะคล้องแขนกอดเอวกันเดินออกไปจากห้อง


เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้นรกรก็เว้นวรรคไปเล็กน้อยคล้ายกับกำลังทบทวนเรื่องราวต่อจากนั้น ริมฝีปากขยับอีกครั้งเพื่อจะเล่าต่อเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนดังแว่วมา

“ฮาร์ฟ”

เขาหันไปมองตามเสียงเรียกชื่อ และแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นคนซึ่งกำลังก้าวยาวๆ เข้ามาหา จึงรีบลุกขึ้นยืนก็พอดีกับที่อีกฝ่ายเดินมาถึงตัว

“อยู่ที่นี่เอง แม่ก็หาตั้งนานแน่ะ”

“อาจารย์มีธุระอะไรกับผมครับ”

“ทำไมพูดซะเหินห่างแบบนั้นล่ะ” วิมลภาดุกลายๆ ในน้ำเสียง

“ขอโทษครับ... แม่”

วิมลภาถอนหายใจครั้งหนึ่ง “นี่แม่นะ ไม่ใช่พ่อ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงพลางกวาดตามองดูลูกชายตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะส่งของที่ถือมาในมือให้ “แม่เอานี่มาให้จ๊ะ”

นรกรก้มลงมองตำราแพทย์ภาษาอังกฤษเล่มใหญ่ที่หน้าปกเป็นรูปบิดาแห่งวิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง มันเป็นหนังสือเล่มโปรดที่พ่อของเขาถือติดมืออยู่เป็นประจำและมักจะใช้อ้างอิงในการสอนและการรักษา “ทำไมเหรอครับ”

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันพ่อเขาสั่งมาน่ะ” วิมลภาบอก “หลังจากที่รู้ว่าฮาร์ฟจะมาหา พ่อก็โทรมาบอกแม่ว่าผ่าตัดเสร็จให้ช่วยแวะเอาหนังสือเล่มนี้ที่วางลืมไว้ในห้องทำงานมาให้ลูกด้วย... รับไปสิ” แม่ย้ำอีกครั้ง

“ขอบคุณครับ” นรกรรับมาทั้งที่ยังไม่เขาใจ เขาลูบมือไปบนหน้าปกก่อนจะเปิดหหน้าแรกออกดูพลันรูปถ่ายใบหนึ่งที่สอดไว้ก็ปลิวร่วงลงบนพื้น

มันเป็นรูปถ่ายในวันจบการศึกษา ธีร์ใส่ชุดครุยยืนอยู่ตรงกลางมีพ่อกับแม่ของเขายืนขนาบอยู่ด้านข้าง ทั้งสองยิ้มกว้างด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

นรกรก้มลงเก็บ และจ้องมองมันโดยไม่พูดอะไร

“ฮาร์ฟ...” ดูเหมือนวิมลภาจะเข้าใจ เธอขยับปากจะพูดแต่ลูกชายก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ขอโทษนะครับแม่ ที่ผมเป็นลูกแบบที่พ่อกับแม่ต้องการไม่ได้... ไม่เหมือนธีร์”

“ทำไมฮาร์ฟถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ผู้เป็นแม่ถามกลับ “วันนั้นพ่อเขาผ่าตัด...”


“เรื่องนั้นผมทราบครับ”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วเคสนั้นเป็นเคสของแม่”

“...”

เมื่อเห็นลูกชายไม่พูดอะไรเธอจึงเล่าต่อ “เคสของพ่อเริ่มผ่าตัดมาตั้งแต่ช่วงกลางคืน เสร็จตอนรุ่งเช้าพอดี แต่บังเอิญว่ามีอีกเคสและแม่กำลังผ่าตัดอยู่ก็เลยเข้าไปช่วยจ๊ะ เพื่อที่จะได้เสร็จเร็วๆ แล้วไปงานรับปริญญาของทั้งสองคนด้วยกัน แต่ธีร์มารอเราที่ภาควิชาก็เลยได้ถ่ายรูปด้วยกันก่อน และเราก็กำลังจะไปหาลูกแต่พ่อเขาก็ดันล้มลงเสียก่อนเลยไม่ได้ไป” วิมลภาสัมผัสบ่าลูกชายและบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง “พ่อฝืนทำงานหนักเพราะไม่อยากไปโดยไม่มีแม่... เพราะไม่อยากให้ทั้งแม่และฮาร์ฟพลาดโอกาสที่มีแค่ครั้งเดียวนี้ ฮาร์ฟพูดไม่ผิดหรอกว่าพ่อเขาเป็นคนบ้างาน แต่คนบ้างานคนนี้ก็รักครอบครัวมากกว่าที่ลูกคิดนะ”

“เรื่องมันเป็นแบบนี้เองเหรอครับ"

“ส่วนเรื่องของคุณปู่” วิมลภาพูดต่อ อันที่จริงตอนที่สองพ่อลูกเริ่มเถียงกันเธอมาถึงแล้วและยืนแอบฟังอยู่ อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเปิดประตูเข้าไป “พ่อไม่ได้เห็นงานสำคัญกว่าปู่ แต่เพราะพ่อเห็นว่าชีวิตที่กำลังดูแลอยู่ก็สำคัญและมีคนรอให้กลับไปเหมือนกันต่างหาก”

นรกรก้มลงมองมือตัวเอง เริ่มเข้าใจความคิดของพ่อขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นถ้าเขาเป็นคนที่ต้องเลือกบางทีก็คงจะทำแบบเดียวกัน

“พ่อไม่เคยไม่เสียใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงโกรธทุกครั้งที่ใครก็ตามพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ฮาร์ฟหรอกจ๊ะ”

“แม่ครับ” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ไม่แน่ใจว่าควรพูดเรื่องนี้ตอนนี้ไหมแต่ในเมื่อธีร์บอกว่าทุกคนรู้แล้วและนี่เป็นสาเหตุให้ไม่มีใครบอกเขาเรื่องที่พ่อป่วยเขาก็อยากจะขอโทษให้ชัดเจน “ผมขอโทษนะครับที่ผมคงแต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้ พ่อกับแม่คงโกรธมากใช่ไหม”

“โกรธสิ” แม่ตอบ “โกรธว่าเมื่อไหร่ลูกจะเข้ามาบอกแม่ตรงๆ เสียที นี่ถ้าธีร์ไม่บอกพวกเราก็คงไม่มีวันรู้สินะ”

“ธีร์เป็นคนบอกเหรอครับ” นรกรทวนคำ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตอนพวกลูกอยู่ม.ปลายเห็นจะได้” เมื่อเห็นลูกชายเงียบไปเธอจึงยกมือขึ้นสัมผัสเบาๆ ที่ต้นแขน “ถึงจะทำใจยากนิดหนึ่งแต่สำหรับแม่น่ะลูกจะเป็นยังไงแม่ก็รับได้นะ ส่วนพ่อน่ะเป็นคนหัวโบราณมากแล้วเขาก็ค่อนข้างจะคาดหวังกับลูกไว้สูงก็คงจะเป็นเรื่องยากเสียหน่อย...” วิมลภาเม้มปากครุ่นคิดไม่แน่ใจว่าจะพูดเรื่องนี้อย่างไรดี “แต่แม่คิดว่าฮาร์ฟน่าจะเข้าใจน่ะ”

“แต่ผมไม่เข้าใจนี่นา”

“นั่นแหละจ๊ะ” ริมฝีปากของผู้เป็นแม่คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนมือลงมาคว้ามือเขาไว้และบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง “พ่อเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“ยังไงครับแม่”

“ถ้าคิดไม่ออกก็ไปถามพ่อเขาเองนะ แม่ไม่บอกหรอกเพราะทั้งสองคนน่ะพูดกันน้อยเกินไปแล้ว”

ถึงจะยังไม่เข้าใจแต่นรกรก็พยักหน้ารับคำ “ครับ”
วิมลภาบีบมือลูกชายอีกครั้ง “แม่กลับไปดูพ่อเขาก่อนนะ”

นรกรมองตามแผ่นหลังของแม่จนเดินลับไปก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งอีกครั้ง และก้มลงมองหนังสือในมือ

เขาค่อยๆ พลิกไปที่หน้าสารบัญและใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามหัวข้อทีละหัวข้อเพื่อหาสิ่งที่พ่อของเขาอยากจะบอก มันก็เป็นตำราแพทย์ทั่วๆ ไปไม่มีอะไรแปลกใหม่ จนกระทั่งเขามาสะดุดลงตรงหัวข้อหนึ่งตรงบทที่ 10 ซึ่งมันเข้ากันได้กับงานวิจัยของเขาพอดี เขารีบพลิกไปดูและกวาดสายตาอ่านรวดเร็ว

เนื้อหาในบทนี้รวบรวมงานวิจัยของแพทย์ท่านหนึ่งเมื่อในอดีตที่ยังคงนำมาประยุกต์ใช้ได้ สิ่งสำคัญคือมันช่วยอธิบายข้อยกเว้นในงานวิจัยของเขาที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ติงมาโดยละเอียดยิบแบบที่อาจารย์ธนบดีผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาไม่เคยอธิบายให้เขาฟัง และมันไม่ใช่แค่ทำให้งานวิจัยของเขาไม่กลายเป็นขยะไร้ค่าแต่มันช่วยให้สมบูรณ์และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ในอนาคต

นัยน์ตาตวัดไปตามบรรทัดแล้วบรรทัดเล่าพร้อมๆ กับที่หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ฮาร์ฟ ผมมีอะไรจะบอกล่ะ” อทิฏฐ์กระซิบขึ้นเบาๆ คล้ายกับไม่อยากไม่รบกวนคนที่กำลังนิ่วหน้าเครียดกับตำรา หากก็ตื่นเต้นในสิ่งที่เพิ่งค้นพบจนไม่อาจเก็บไว้ในใจคนเดียวได้ “ผมว่าผมรู้แล้วนะว่าทำไมพ่อถึงตั้งชื่อคุณว่า ‘นรกร’”

“ยังไง” เจ้าของชื่อเงยหน้าจากหนังสือ นึกสนใจขึ้นมาทันทีกับคำตอบที่ตามหามาทั้งชีวิต

“คุณลองมาดูมุมผม ไม่สิ! ต้องบอกว่าคุณลองกลับหัวหนังสือดูสิ” อทิฏฐ์บอกพลางชี้ไปบนหน้าปกหนังสือตรงที่มีลายมือหวัดๆ ของเจ้าของเขียนไว้ข้างรูปภาพ

neuron

มันคือคำว่า Neuron ซึ่งแปลว่า เซลล์ประสาทสมอง นรกรไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับชื่อของเขาตรงไหน จนกระทั่งเขาลองทำตามที่อีกฝ่ายว่าจึงได้เห็นคำตอบที่ซ่อนอยู่

นอ ระ กอน

มันคือคำอ่านออกเสียงชื่อของตัวเขาเอง

“พ่อคุณมีความพยายามไม่น้อยเลยนะ” อทิฏฐ์พูดต่อเมื่อรู้ว่านรกรเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะบอก “แล้วผมก็คิดออกมาตั้งนานแล้วล่ะว่าชื่อเล่นของคุณน่าจะมาจากอะไรแต่เพราะขนาดคุณยังคิดไม่ถึงผมเลยคิดว่ามันไม่น่าใช่ แต่พอได้มาเห็นแบบนี้ผมก็มั่นใจล่ะว่าตัวเองคิดไม่ผิด”

“ยังไงเหรอ”

“ชื่อเล่นคุณน่ะ มันสะกดด้วยตัว ร เรือการันต์ ไม่ใช่ ล ลิงการันต์เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางมาจากคำว่า Half ที่แปลว่าครึ่งเด็ดขาด”

“แล้วมันจะมาจากอะไรล่ะ” นรกรถามกลับ

“ก่อนจะเฉลย คุณตอบผมมาก่อนว่าใครคือบิดาแห่งวิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง"

นรกรเคาะนิ้วไปบนรูปศัลยแพทย์บนหน้าปกหนังสือ “นายแพทย์ฮาร์วี่ คูชชิ่ง ผู้ค้นพบอาการแสดงของความดันในกะโหลกศีรษะสูงหรือที่เรียกว่า Cushing’s reflex ไง”

อทิฏฐ์เลิกคิ้วสูงขึ้นอีก

แต่คุณหมอหนุ่มยังไม่มีทีท่าจะเข้าใจ “แล้วยังไง”
“ชื่อ Harvey เวลาฝรั่งจะเรียกเป็นชื่อเล่นมันจะเป็นได้อะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่...”

“ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มเครือผ่านซี่ฟัน

ถึงตรงนี้ร่างโปร่งแสงตรงหน้าค่อยคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “บางทีเรื่องที่เราคิดมันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะ”

นรกรกำหนังสือในมือแน่น เขาอ่านคำที่สะกดออกมาเป็นชื่อตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกพร้อมๆ กับนึกถึงสิ่งที่แม่เล่าให้ฟังเมื่อครู่ และถ้อยคำที่พ่อของลลินเคยบอกกับเขาที่หน้าห้องไอซียู

   ‘เป็นพ่อลูกกันมายี่สิบปี แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าลูกอยากเป็นอะไร’

เรื่องบางเรื่องต่อให้สนิทกันมากแค่ไหนถ้าไม่พูดออกไปก็ไม่มีทางรู้ ในเมื่อบางครั้งตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเองแล้วจะหวังให้คนอื่นมาเข้าใจเราได้ยังไง

นรกรหันไปสบตากับอทิฏฐ์ที่เฝ้ามองดูเขาอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับส่งยิ้มบางมาให้ เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินกลับไปที่ห้องพัก

เขาเคาะประตูและผลักเข้าไป วิมลภานั่งอยู่ข้างเตียงในขณะที่ธีร์ยืนกอดอกอยู่ถัดออกไป ดูท่าทางทั้งสองจะหมดแรงกับการโน้มน้าวคนหัวแข็งให้เข้ารับการรักษาจึงได้แต่เงียบ และทั้งห้องก็ยิ่งเงียบจนน่ากลัวเมื่อนรกรเดินเข้ามา

“พ่อครับ” นรกรเรียกพร้อมกับเดินไปยืนที่ข้างเตียง
ธีร์หันไปสบตากับแม่เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็โดนปรามด้วยสายตา

“มีอะไร” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม

“ผมมาขอโทษที่เมื่อกี้เสียงดังใส่พ่อ”

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปเล็กน้อย เขาขยับตัวนั่งให้ตรงขึ้นและหันไปสบตาลูกชายเต็มที่

เห็นดังนั้นนรกรจึงพูดต่อ “ผมรู้ดีว่าตัวผมมันไม่ได้เรื่อง”

“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยเสียงห้วน

“เพราะฉะนั้นวันพรุ่งนี้พ่อต้องไปฟังผมพรีเซนต์นะ” ประโยคต่อมาของนรกร ไม่ใช่แค่ทำให้ศาสตราจารย์ตั้งใจฟัง แม้แต่วิมลภากับธีร์ที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ยังต้องหันมามองตรงๆ “ผมอาจจะเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง และถึงจะไม่ใช่ลูกศิษย์คนโปรด แต่ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมคนนี้ก็มีเรื่องที่สามารถทำให้พ่อภูมิใจได้เหมือนกัน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ส่งเสียงหึเบาเบาๆ ในลำคอ “อวดดี คิดว่ามีเวลาแค่คืนเดียว ไม่สิ! แค่ไม่กี่ชั่วโมงแกจะแก้ไขไอ้จุดบกพร่องนั่นได้ทั้งหมดอย่างนั้นล่ะสิ”

นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งเกือบนาทีที่ไม่มีใครยอมหลบสายตาและไม่พูดอะไรออกมา

“ผมทำได้” นรกรตอบชัดถ้อยชัดคำก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินออกจากห้องไป

ได้ยินดังนั้นศาตราจารย์สรวิชญ์ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าแต่เพราะลูกชายปิดประตูเสียแล้วจึงหันไปหาภรรยา “จำคำลูกชายคุณไว้นะ”

วิมลภาถอนหายใจบางเบากำลังจะเอ่ยปรามสองพ่อลูกก็พอดีกับที่กระดาษแผ่นหนึ่งหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เธอรับมาดูก่อนริมฝีปากจะคลี่รอยยิ้มกว้างจนถึงนัยน์ตาเมื่อเห็นลายเซ็นชื่อบนใบยินยอมเข้ารับการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ “ลูกคุณค่ะ” เธอกระซิบพร้อมกับเอื้อมมือไปกุมมือของสามีบนเตียง “นั่นลูกชายคุณ”

ศาสตราจารย์สรวิญช์หันมาสบตาภรรยา ก่อนจะเสเบือนสายตาหันไปมองทางอื่นโดยไม่สื่อความหมายใดแต่กลับบีบมือที่กุมมือตนไว้แน่น

นรกรปิดประตูห้องพร้อมกับเหลือบมองร่างโปร่งแสงข้างกาย กำลังจะเอ่ยปากอธิบาย แต่กลับเป็นอทิฏฐ์ที่เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ผมรู้นะว่าคุณอยากจะต่อท้ายประโยคนั้นว่าอะไร”

“อะไร”

“ผมทำได้” อทิฏฐ์พูดทวนอีกครั้ง “และพ่อก็ทำได้เหมือนกัน”

คุณหมอหนุ่มไม่ตอบเพียงแต่คลี่ยิ้มบาง ก็จะให้เขาพูดอะไรได้มากกว่านี้ล่ะในเมื่อคนตรงหน้าพูดแทนใจเขาออกมาจนหมดแล้วนี่นา “คืนนี้คุณจะอยู่โต้รุ่งเป็นเพื่อนผมแก้งานวิจัยใช่ไหม”

“ให้เป็นมากกว่าเพื่อนผมก็ทำได้นะ”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง “แล้วอยากเป็นอะไรล่ะ”

“แล้วแต่คุณสิ” อทิฏฐ์ว่า

นรกรกำลังจะเอ่ยต่อเมื่อร่างสูงใหญ่เดินมาตามทางเดินพร้อมกับส่งเสียงเรียก

“ฮาร์ฟ”

“พี่วินทร์”

เจ้าของชื่อเดินมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมกับส่งสิ่งที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาให้ “เอ้านี่”

นรกรเหลือบตาลงมองกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุคในมือวินทร์ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมครับ”

“ฉันให้ยืม เผื่อนายจะอยากแก้งานระหว่างนั่งรออาจารย์ผ่าตัด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินกลับไปเอาที่หอ”

“พี่วินทร์รู้ได้ยังไงครับ”

“เขาลือกันให้แซ่ด” วินทร์บอก เขาแสร้งทำเป็นมองหาจิ้งจกบนฝ้าเพดานอยู่อึดใจก่อนจะตวัดสายตากลับมาสบตาคนตรงหน้าเต็มที่ “นายโอเคนะ”

“ครับ”

วินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยเรียกอีกครั้ง “ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้นะ ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่หมอโรคหัวใจเหมือนปอ แต่ฉันมั่นใจว่าเป็นห่วงนายไม่น้อยไปกว่าใครนะ”

“ขอบคุณครับ” นรกรตอบ “ผมแค่ไม่อยากรบกวนพี่วินทร์”

“มันไม่ได้รบกวนอะไรเลยฮาร์ฟ” วินทร์ว่าก่อนจะเงียบไปอีกอึดใจและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ขอฉันเข้าไปเยี่ยมพ่อของนายได้ไหม”

นรกรพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูให้ในขณะที่อทิฏฐ์กอดอกมองตามด้วยหางตา เพราะเมื่อสักครู่วินทร์ไม่ได้ใช้คำว่า ‘อาจารย์’ เหมือนอย่างเคย แต่ใช้คำว่า ‘พ่อของนาย’

“พ่อครับพี่วินทร์มาเยี่ยม”

ทันทีที่เห็นคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาศาตราจารย์สรวิชญ์ก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงอีกครั้ง

วินทร์ยกมือไหว้อาจารย์ทั้งสองท่านก่อนจะก้าวยาวๆ ไปยืนที่ข้างเตียงด้านตรงข้ามกับวิมลภา “เป็นไงบ้างครับอาจารย์”

“อย่างที่เห็นน่ะแหละ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบด้วยท่าทางเป็นกันเองจนทั้งนรกรและธีร์ยังนึกแปลกใจ “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำไม จะมาเยาะเย้ยผมหรือไง”

วินทร์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ผมจะกล้าทำแบบนั้นเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ ก็เห็นขู่อยู่บ่อยๆ นี่ว่าไม่เคยป่วยบ้างให้มันรู้ไป”

วินทร์หัวเราะในลำคออีกครั้ง

อทิฏฐ์มองคนสองคนที่กำลังคุยกัน ทั้งที่มันเป็นถ้อยคำเยี่ยมไข้พื้นๆ ฟังดูไม่สลักสำคัญ แต่ทำไมเมื่อเขามองเข้าไปในแววของทั้งคู่ที่สบกันอยู่ถึงรู้สึกว่ามันมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ สายตาของวินทร์นั้นมากกว่าความเคารพและชื่นชมเช่นเดียวกันกับสายตาของศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ดูจะมากเกินคำว่าเอ็นดู มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ของอาจารย์กับศิษย์รัก แต่ถ้าจะให้เขาอธิบายว่าพิเศษยังไงเขาก็นิยามมันไม่ถูกเหมือนกัน และรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่คนอื่นๆ ในห้องไม่สังเกตเห็นหรือคิดเช่นเดียวกันกับเขาเลย

“จริงๆ ผมก็อยากอยู่เฝ้าอาจารย์นะ” วินทร์พูดพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ ที่ลูกชายทั้งสองของศาสตราจารย์สรวิชญ์ยืนกันอยู่คนละมุม “แต่ถ้าพี่ใหญ่มาอยู่ที่นี่กันหมดก็จะไม่ใครเฝ้าเจ้าพวกลูกเจี๊ยบ เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ผมควรไปนอนเผื่อโดนตามกลางดึกดีกว่า”

“คุณทำถูกแล้ว” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “แล้วก็ฝากลากเจ้าสองคนนี้ไปด้วยสิ อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์เกะกะเปล่าๆ ห้องก็แคบแค่นี้ นี่แทบไม่มีที่จะนั่งจะยืนกันแล้ว”

“แต่ผมอยากอยู่เฝ้าป๊านี่นา” ธีร์รีบบอก

“ผมแก้งานที่นี่ได้” นรกรบอกพร้อมกับยกกระเป๋าคอมพิวเตอร์ให้ดู

ศาสตราจารย์สรวิชญ์รีบโบกมือไล่ “ไม่ต้องเลย ทั้งสองคนน่ะแหละ จะไปดูคนไข้ ไปทำงาน หรือจะไปไหนก็ไป พ่ออยู่กับแม่เขาได้ แล้วเดี๋ยวก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว”

พูดยังไม่ทันขาดคำดีประตูห้องพักก็ถูกเคาะก่อนจะเปิดออกพร้อมกับที่พยาบาลสาวเดินเข้ามา “อาจารย์สรวิชญ์คะ อาจารย์ชาญชัยโทรมาแจ้งว่าเตรียมห้องและอุปกรณ์พร้อมแล้วให้ส่งอาจารย์ไปได้เลยค่ะ อาจารย์พร้อมไหมคะ”

“ครับ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์รับคำ

นรกรยืนส่งพ่อแค่หน้าห้องพักในขณะที่ธีร์กับแม่ขอเดินตามไปจนถึงหน้าห้องผ่าตัด เขามองดูเจ้าหน้าที่เปลเข็นเตียงของพ่อออกไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อารมณ์ความรู้สึกมากมายมันอัดแน่นอยู่ในอก เขากำมือตัวเองแน่นเมื่อมือข้างหนึ่งเอื้อมมาแตะเบาๆ ที่หลังมือก่อนจะสอดมากุมไว้แล้วบีบแรงๆ ครั้งหนึ่ง

เขาเหลือบตามองร่างสูงข้างกายที่ส่งยิ้มให้กำลังใจมาพร้อมกับความอบอุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือ
“เขาจะปลอดภัย” วินทร์กระซิบ

นรกรไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้าและบีบมือนั้นกลับเบาๆ ครั้งหนึ่ง

และการกระทำทุกอย่างนั้นก็อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอด

อทิฏฐ์ก้มลงมองมือที่โปร่งแสงของตนจนมองผ่านเห็นพื้นที่ปลายเท้า มันไม่ได้โปร่งแสงเหมือนปกติแต่เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังจางลงทุกขณะเมื่อร่างกายของตนกำลังเข้าใกล้จุดจบลงไปทุกที เขากำหมัดแน่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ตอนนี้เดินไปนั่งลงบนโต๊ะและเริ่มต้นเปิดคอมพิวเตอร์เมื่อวินทร์กลับออกไป

“ทิด” นรกรเรียกพร้อมกับสะบัดหน้าเบาๆ ไปที่ที่ว่างข้างตัว “อย่ายืนเฉยๆ ถ้าไล่ยุงไม่ได้ก็มาช่วยอ่านให้ฟังหน่อยผมจะได้พิมพ์ง่ายๆ”

อทิฏฐ์พยายามคลี่ยิ้มให้กว้างมากเท่าที่หัวใจซึ่งกำลังเจ็บปวดนั้นจะทำได้ “รู้แล้วคร้าบบบ” เขาลากเสียงล้อเลียนและเดินไปนั่งลงเคียงข้าง

ไม่ได้เสียใจที่เวลาของตนกำลังจะหมดลง แต่แค่เสียดายว่าทำไมเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมันช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน




(ต่อด้านล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2016 06:33:27 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 9(ต่อ)

ในคืนเดือนมืดที่แสนเงียบงัน มีเพียงแสงไฟสลัวจากนอกหน้าต่าง ยังมีแสงสีอมฟ้าจากหน้าจอมอนิเตอร์สัญญาณชีพที่ส่องสว่าง เส้นกราฟการเต้นของหัวใจกะพริบเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้า เช่นเดียวกันกับค่าแสดงตัวเลขความดัน 90/40 mmHg มันอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ก็ต่ำมากเสียจนน่าเป็นห่วงเต็มที

ร่างโปร่งแสงเดินอ้อมปลายเตียงมาหยุดยืนที่ข้างเตียง เขาทอดสายตามองร่างที่นอนนิ่งไร้การตอบสนอง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ ไปตามจังหวะการตีลมของเครื่องช่วยหายใจ

ครั้งหนึ่งสมัยยังเป็นเด็กไม่ประสา พ่อเคยจูงมือพามาเยี่ยมใครสักคนที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล เด็กน้อยในตอนนั้นมองร่างของผู้ที่นอนบนเตียงตาแป๋วในขณะที่คนอื่นๆ กำลังกอดคอกันร้องไห้

“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมทุกคนต้องร้องไห้” เขาถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ

พ่อเอื้อมมาโอบรอบตัวลูกชายไว้พร้อมกับกระซิบบอก “เขาตายแล้ว”

“อะไรคือตายเหรอครับพ่อ”

“คือการที่ใครคนหนึ่งจากเราในที่ๆ แสนไกลและเราตามไปไม่ได้ครับ” เด็กชายยังคงไม่เข้าใจความหมายของความตาย แต่เขาเข้าใจความเหงาของการจากลามันคงเหมือนกับตอนที่ต้องโบกมือลาฝนตอนเลิกเรียนและเขาตามไปเล่นกับเธอที่บ้านไม่ได้

แต่ถึงอย่างไรความตายมันช่างดูเป็นเรื่องไกลตัวแม้ในตอนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใครเล่าจะไปคาดคิดว่าจะมีวันที่เขาจะได้มายืนมองร่างของตัวเองในวาระที่เกือบจะสุดท้ายของชีวิต

ดังถ้อยคำโบราณที่ว่าไว้… ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นร่างตัวเองกับตาก็คงไม่คิดว่าตัวเองกำลังจะตาย

แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่ยังมี ‘ห่วง’ อยู่เต็มอก

“อดทนอีกนิดนะ” เขากระซิบกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง มันไม่ใช่การให้กำลังใจหรือขอร้อง หากเป็นคำสั่งให้ฝืนสู้ ยื้อชีวิตอยู่ต่ออีกแม้สักเสี้ยวนาทีก็ยังดี

ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อซื้อเวลาให้คนข้างหลังได้ทำใจ

เขาทาบมือลงบนหลังมือร่างบนเตียง ทันใดนั้นเส้นกราพฟบนหน้าจอมอนิเตอร์ก็กระตุกเบาๆ ก่อนจะวิ่งด้วยอัตราที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เช่นเดียวกับตัวเลขแสดงค่าความดันที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

“คนไข้เป็นยังบ้าง”

เสียงห้าวดังมาตามทางเดินพร้อมกับเสียงรองเท้าอย่างรีบเร่งของคนที่พยายามเดินตามกันมาให้ทัน

“ความดันยังตกอยู่เลยค่ะอาจารย์ หนูเพิ่มยากระตุ้นหัวใจจนจะถึงระดับสูงสุดแล้วค่ะ ท่าทางคนไข้จะไม่ไหวแล้ว อาจารย์จะให้หนูโทรตามญาติไหมคะ”

แล้วไฟในห้องก็สว่างพรึ่บขึ้น นายแพทย์ในชุดหมีสีเขียวสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ยาวสีขาวยืนอยู่ปลายเตียง ใบหน้าของเขาดูอิดโรยจากการเข้าผ่าตัดใหญ่นานหลายชั่วโมง ข้างกันนั้นคือนางพยาบาลสาวประจำห้องไอซียูที่กำลังรายงานอาการ

ทั้งสองเดินมาหยุดที่ข้างเตียงด้วยความกลัดกลุ้ม แต่แล้วความแปลกใจก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าทั้งคู่เมื่อได้เห็นค่าต่างๆ บนหน้าจอมอนิเตอร์ที่เปลี่ยนไป

“ผมคิดว่าเราไม่ต้องตามญาติแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้” นายแพทย์กล่าว

“ค่ะ อาจารย์” นางพยาบาลสาวรับคำ “แต่น่าแปลกนะคะ อาการคนไข้ดูขึ้นๆ ลงๆ มากเลย ถ้าเป็นแบบนี้เราพอจะมีหวังไหมคะ”

“ไม่รู้สิ” นายแพทย์ตอบพลางทอดสายตามองผู้ที่นอนอยู่บนเตียง ผู้ชายคนนี้ยังเป็นคนหนุ่มแน่น ไม่มีโรคประจำตัวถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะกินยานอนหลับเกินขนาด และทั้งที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่ทำไมนับวันอาการมีแต่ทรงกับทรุด ถึงจะมีช่วงที่ดีขึ้นหากก็แค่เพียงสั้นๆ “ทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าตัว ว่าจะยอมแพ้หรือสู้ไปด้วยกัน”

นางพยาบาลพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีความฉงนในแววตา เพราะอาจารย์แพทย์ท่านนี้ไม่ได้อยู่สายงานอายุรกรรม อันที่จริงเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคและอาการของคนไข้สักนิด แต่กลับอาสามารับเคสและช่วยดูแลเองตั้งแต่ถูกรับเข้ามานอนในโรงพยาบาล

“เขาอายุพอๆ กับลูกชายผมน่ะ” นายแพทย์พูดต่อราวกับจะอ่านใจเธอออก “แถมยังเป็นลูกชายคนเดียว พ่อกับแม่เขานั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องทุกวัน... ผมรู้ว่าเจ้าตัวเขาอยากตายไม่งั้นคงไม่ทำแบบนี้ ถึงฟื้นขึ้นมาไม่แน่ก็อาจจะทำแบบเดิมอีก”

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นอาจารย์จะยังช่วยเขาไหมคะ”

นายแพทย์หันมาสบตาพยาบาลสาวอึดใจก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “คงไม่แล้วล่ะ”

“ทำไมคะ”

“เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ถ้าหากครั้งนี้ผมพาเขากลับมาได้ ผมจะทำทุกวิถีทางให้เขาเข้าใจความหมายของชีวิตจนไม่คิดอยากจะตายอีกเป็นครั้งที่สอง”

พยาบาลสาวพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะหันไปหาใครอีกคนที่เดินตามมาเงียบๆ และยืนหลบมุมอยู่ด้านหลัง “มีอะไรจะถามอาจารย์ไหมจ๊ะ”

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดขาวที่ยืนกอดแฟ้มผู้ป่วยไว้แน่นด้วยความประหม่าที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์แพทย์เพราะตนยังเป็นเพียงนักเรียนพยาบาลและได้รับมอบหมายให้มาดูแลคนไข้คนนี้ เขาส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ไม่ครับ”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะ ฝากดูเขาด้วย” นายแพทย์กล่าวพร้อมทั้งเดินออกไป

“เดี๋ยวเราจดสัญญาณชีพล่าสุดของคนไข้ไว้ด้วยนะ” นางพยาบาลสาวบอก

แล้วชายหนุ่มในชุดขาวก็เดินเข้ามาใกล้ กำลังจะลงค่าตัวเลขต่างๆ ในแฟ้มที่ถือมาเมื่อรุ่นพี่ของตนเอ่ยขึ้น

“ตอนเข้าไปดูแลคนไข้ต้องแนะนำตัวและบอกสิ่งที่จะทำด้วยนะ ถึงเขาจะตอบสนองไม่ได้แต่ก็อาจจะได้ยินนะ” เธอสอนไปพลาง “เพราะประสาทการได้ยินเป็นสิ่งสุดท้ายที่เสียไปและจะเป็นสิ่งแรกที่กลับคืนมานะ นอกจากนั้นยังเป็นการเคารพสิทธิ์คนไข้ด้วย”

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ เขาบันทึกสัญญาณชีพจนเสร็จจึงวางปากกาแล้วเอื้อมมาบีบมือคนที่นอนอยู่บนเตียงแรงๆ ครั้งหนึ่ง “ผมชื่ออธิษฐ์นะครับ วันนี้ก็จะมาดูแลคุณเหมือนเดิม... สู้ๆ นะครับ”

แล้วทุกคนก็กลับออกไปพร้อมกับไฟในห้องที่ปิดมืดลงอีกครั้ง

หากในความมืดที่ไม่มีใครเห็นนั้น ร่างโปร่งแสงยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ในที่สุดก็เข้าใจเขาก็เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานาน เมื่อชื่อนั้นดังซ้ำอยู่ข้างหูตลอดเวลาที่ชายหนุ่มคนนั้นฝึกงานอยู่ที่นี่

ทว่า นั่นยังไม่ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับใบหน้าของนายแพทย์ผู้ทำการรักษาที่เขาได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก

ศาสตราจารย์สรวิชญ์

oooooo

ถึงแม่จะโทรมาบอกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจจะเป็นไปอย่างเรียบร้อย ผลการตรวจพบเส้นเลือดหัวใจตีบถึงสองเส้นและได้ทำการรักษาโดยการทำบอลลูนจนเสร็จสิ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแต่อาจารย์ชาญชัยยังไม่อนุญาตให้กลับมาที่ห้องและให้นอนอยู่ในห้องสังเกตอาการ

จนกระทั่งรุ่งสางแม่ก็ยังไม่ส่งข่าวอะไรมาเพิ่มเติม ใจจริงเขาอยากเดินไปถามความคืบหน้าที่ห้องสังเกตอาการมากกว่า แต่เพราะแม่ได้บอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าถ้ามีอะไรจะติดต่อไปเองขอให้ตั้งใจกับการนำเสนอผลงานวิจัย นรกรจึงเก็บของกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องก่อนจะกลับมาอีกครั้ง

ที่หน้าห้องประชุมเขาเจอวินทร์กับธีร์อยู่ก่อนแล้ว

“พ่อเป็นไงบ้าง” นรกรถาม

“การผ่าตัดเรียบร้อยดี” ธีร์ตอบคำถามเช่นเดียวกับที่แม่บอกและไม่ขยายความอะไรอีก

อาจารย์ภูมิศิลป์แง้มประตูห้องออกมาพร้อมกับพยักหน้าให้พวกเขาเป็นอันเข้าใจว่าพร้อมแล้ว

“พวกเราจะไปนั่งรอที่ห้องพักแพทย์นะ” วินทร์บอก
 
ลำดับการนำเสนอถูกจัดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยมีนรกรเป็นคนแรก ตามด้วยวินทร์และธีร์ โดยแต่ละคนจะมีเวลาคนละหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นจะให้กรรมการพัก 15 นาที ก่อนที่จะถึงคิวคนต่อไป เมื่อนำเสนอเสร็จครบทั้งสามคน คณะกรรมการจะมีการประชุมร่วมกันอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นจะเรียกทุกคนเข้าไปและประกาศผลการนำเสนอให้ทราบ

นรกรเข้าไปในห้องประชุม เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะยกมือไหว้ทักทายทุกคนและเดินไปยืนกุมมืออยู่หน้าห้อง

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความกดดันจากสายตา 4 คู่ของผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สักรูปตัวยู 2 ท่านในนั้นคืออาจารย์ธนบดี หัวหน้าภาควิชาศัลยกรรมประสาทและสมอง อาจารย์ภูมิศิลป์รองหัวหน้าภาควิชา ถ้าเป็นการนำเสนอผลงานเรียนจบตามปกติอาจมีแค่สองท่านนี้กับอาจารย์วิมลภาและศาสตราจารย์สรวิชญ์ ผอ.กองศัลยกรรมซึ่งตอนนี้ยังไม่มา แต่เพราะเป็นการนำเสนอผลงานเพื่อคัดเลือกอาจารย์แพทย์คนต่อไปของภาควิชา คณะกรรมการเพียง 2 ท่านคงไม่เพียงพอ จึงได้มีการเชิญกรรมการกิตติมศักดิ์มาร่วมฟังอีก 2 ท่านคือคณบดีคณะแพทยศาสตร์และผอ.โรงพยาบาล

เนิ่นนานหลายนาทีที่นรกรไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่งอาจารย์ธนบดีผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษางานวิจัยของเขาด้วยต้องเอ่ยปากถามเพราะเกรงใจกรรมการท่านอื่นๆ

“ตกลงคุณจะพรีเซนต์ไหม”

นรกรเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะมองเก้าอี้อีกสองตัวตรงโต๊ะกรรมการที่ว่างเปล่า มันเป็นที่ๆ ศาสตราจารย์สรวิชญ์กับอาจารย์วิมลภาควรจะมานั่ง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของทั้งสอง จริงอยู่ว่าเขาพร้อมแล้วที่จะพูด แต่ก็อยากให้ใครอีกคนได้ฟังแม้คนๆ นั้นจะไม่มีส่วนตัดสิน “ขอเวลาผมอีกสักครู่ได้ไหมครับ”

“แต่เรารอคุณมาสิบห้านาทีแล้วนะ” อาจารย์ธนบดีกล่าวต่อ

“เริ่มได้แล้ว ไม่งั้นผมจะตัดสิทธิ์คุณ” อาจารย์ภูมิศิลป์บอก

“ครับ” นรกรรับคำ เขาเดินไปหน้าจอคอมพิวเตอร์และจับเมาส์เลื่อนไปมา แกล้งทำเป็นถ่วงเวลาจนนาทีสุดท้าย ตาก็ลอบมองที่ประตูเป็นระยะจนในที่สุดเมื่อพาวเวอร์พอยต์แผ่นแรกถูกเปิดขึ้นมาสำเร็จเขาก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องตัดใจ

มือที่กำลังจับเมาส์สั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า นรกรเหลือบตามองผู้ช่วยที่ไม่มีใครมองเห็นซึ่งยืนแอบอยู่หลังห้อง อทิฏฐ์ชูสองนิ้วขึ้นทั้งมือแนบไว้ที่ข้างใบหน้าและส่งยิ้มมาให้เขา จริงๆ แล้วเขาอยากไปยืนให้กำลังใจข้างๆ มากกว่าแต่ก็โดนไล่ตะเพิดให้มาอยู่ตรงนี้

พลันมือที่สั่นก็ค่อยสงบลง นรกรรู้ว่าอทิฏฐ์ไม่ชอบใจที่ต้องไปอยู่ตรงนั้นเหมือนผีเฝ้าห้อง แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะในเมื่อตรงนั้นเป็นจุดที่เขาจะสามารถมองเห็นร่างโปร่งแสงนั้นได้ตลอดโดยที่คนอื่นจะไม่สังเกตเห็นว่าเขามองอะไร

นรกรพยักหน้าให้อทิฏฐ์ครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มแนะนำตัวและหัวข้องานวิจัยอย่างเป็นทางการเมื่อประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา

“สวัสดีค่ะ” อาจารย์วิมลภาค้อมศีรษะให้ทุกคนก่อนจะหันมายิ้มให้เขา

นรกรยิ้มตอบ และยิ้มกว้างมากขึ้นอีกเมื่อวิมลภาดึงประตูเปิดกว้างขึ้นเพื่อให้ใครอีกคนเดินตามเข้ามาได้ถนัด

“ขอโทษนะครับที่มาช้า” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว

“อ้าวอาจารย์ การผ่าตัดเป็นยังไงบ้างครับ” ท่านผอ.โรงพยาบาลทัก ในขณะที่คณบดีช่วยเขยิบเก้าอี้ให้นั่ง

“เรียบร้อยดี” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ตอบเรียบๆ

“ทะเลาะกับอาจารย์ชาญชัยเรื่องต้องนอนราบให้ครบแปดชั่วโมง” วิมลภากระซิบบอกรายละเอียดกับคณะกรรมการคนอื่นๆ “ทางนี้ก็บอกอยู่ว่ารู้แล้วๆ สุดท้ายอาจารย์ชาญชัยเลยต้องมานั่งเฝ้าด้วยตัวเองแล้วตั้งนาฬิกาปลุกไว้กันคนไข้ลุกหนีไปก่อน”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์กระแอมครั้งหนึ่ง วิมลภาหยุดเล่าและหันมายิ้มให้ เขาเปิดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะพลางเงยหน้าสบตานรกรที่ยืนอยู่หน้าห้องก่อนจะเอ่ยเสียงเฉียบ “เอ้า! มัวแต่รออะไรอยู่ล่ะ เริ่มได้แล้ว”

การนำเสนอผลงานวิจัยเป็นไปอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งเขาแสดงให้เห็นกลุ่มทดลองที่นำมาใช้

“เคสนี้มันไม่เข้ากับข้อกำหนดนี่” ผอ.โรงพยาบาลแทรกขึ้นทันที “และเท่าที่ผมดูมันก็ไม่ใช่เคสเดียวด้วยนะ แบบนี้คุณจะสรุปงานวิจัยได้ยังไง นี่ได้ไปพบกับอาจารย์ที่ปรึกษาบ้างหรือเปล่า”

“ขอโทษนะครับท่าน ผมเองก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน” อาจารย์ธนบดีกล่าว “แต่ถ้ายังไงลองฟังหมอเขาพรีเซนต์ก่อนดีไหมครับ”

“แต่ผมดูแค่นี้ก็รู้แล้วนะครับว่ามันเสียเวลา” ท่านคณบดีสำทับ “ยังไงผมก็ให้ผ่านไม่ได้หรอก”

นรกรพยายามสบตาอาจารย์ที่ปรึกษาของตนที่ไม่ยอมมองมาแม้แต่น้อย เขาเหลือบตามองศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ปิดเอกสารก่อนจะประสานมือกันไว้ตรงหน้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“ต้องขอโทษอาจารย์ทุกท่านด้วยนะครับ” นรกรบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เอกสารที่อาจารย์ได้อ่านเป็นส่วนที่ผมส่งไปหลายสัปดาห์ที่แล้วซึ่งยังมีข้อผิดพลาดตามที่เห็น ผมอยากให้อาจารย์ได้ฟังรายละเอียดในส่วนที่ผมได้ทำเพิ่มเติมลงไปแล้ว”

“ไหนลองว่ามาสิ” ท่านผอ.บอก

นรกรกดแสดงภาพต่อไป “มีผลงานวิจัยของอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี...”

เขาเริ่มต้นการนำเสนอต่อไปจนจบ โดยที่ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งอะไรอีก ซ้ำยังชมเปราะเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมาะสมกับตำแหน่งอาจารย์แพทย์คนต่อไป

“เตรียมฉลองให้กับอาจารย์คนใหม่ได้เลย” ท่านผอ.กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมผิดกับตอนเริ่มต้นพร้อมกับปรบมือเสียงดังทันทีที่ฟังจบ

“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นเลยครับอาจารย์รอฟังผลงานของธีร์กับวินทร์ก่อนดีกว่า” นรกรบอก

“อย่าว่างั้นงี้เลยนะ” อาจารย์ภูมิศิลป์กล่าว “ผมเป็นที่ปรึกษาของเจ้าวินทร์ ก็ยอมรับแหละว่าผมคิดว่ายังไงก็มาวินแน่ๆ แต่พอได้ฟังของคุณผมคงต้องออกไปปลอบใจเจ้าวินทร์มันแล้วล่ะ”

“สมแล้วกับที่เป็นลูกชายศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ” ท่านคณบดีเดินเข้ามาตบหลัง พร้อมกับมองเจ้าของชื่อที่นั่งนิ่งไม่พูดว่าอะไร

นรกรยกมือไหว้ขอบคุณคณะกรรมการทุกท่านและกลับออกมา กำลังจะเดินกลับไปห้องพักแพทย์เมื่ออาจารย์ธนบดีเดินตามหลังมาและเรียกไว้

“ขอผมคุยด้วยสักครู่สิ”

"ครับ” เขาเหลือบตามองอทิฏฐ์และเดินหลบตามไปตรงทางเชื่อมแคบๆ ที่จะไม่มีใครมารบกวน

“คุณไปเอาผลอ้างอิงนั่นมาจากไหน” อาจารย์ธนบดีถาม

นรกรออกตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายมีทีท่าไม่พอใจทั้งที่เขาควรจะชื่นชมในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา “ผมก็บอกไปแล้วตอนที่พรีเซนต์นี่ครับ ผลงานวิจัยของนายแพทย์ฮาร์วี่ คูชชิ่งไงครับ”

“แล้วคุณไปได้มันมาจากไหน”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ก่อนจะถามว่าผมไปเอามาจากไหน อาจารย์กรุณาตอบผมก่อนได้ไหมครับว่าทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าผมไม่ได้ส่งงานอาจารย์ทั้งที่ผมให้อาจารย์ช่วยตรวจทุกสัปดาห์ นั่นยังไม่รวมเรื่องที่อาจารย์เป็นคนบอกกับผมเองนะครับว่ากลุ่มทดลองนั่นใช้ได้... อาจารย์แค่บอกผมไม่หมดเหรอครับหรือว่าอาจารย์เองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”

อาจารย์ธนบดีเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดเสียงดัง “กล้าดีมากนะที่จาบจ้วงผมแบบนี้”

“ขอโทษครับอาจารย์ แต่ผมก็แค่สงสัย”

“คุณมันก็อวดดีเหมือนพ่อคุณน่ะแหละหมอ”

“ผมไม่ได้...” นรกรกำลังจะเอ่ยต่อเมื่อมือข้างหนึ่งวางลงบนหัวไหล่ เขาจึงหยุดพูดและหันไปมอง

“ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะครับ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เดินมายืนเคียงข้างพร้อมกับสบตาลูกชายครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับอาจารย์ธนบดี “ผมเป็นคนแนะนำฮาร์ฟเรื่องผลงานวิจัยนั่นเองแหละ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่านี่” อาจารย์ธนบดีว่า “ผมสงสัยเลยเรียกมาถามก็แค่นั้น เพราะเดี๋ยวเดือนหน้าผมต้องเข้าไปทำงานในกระทรวงแล้วเลยอยากให้แน่ใจว่าจะได้คนมาแทนที่มีคุณภาพ อ้อ! จะว่าไปผมก็ต้องขอโทษด้วยอาจารย์ด้วยนะครับ เรื่องที่ผมได้เลื่อนเป็นที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุขทั้งที่เราก็เหนื่อยมาด้วยกันแท้ๆ”

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ผมไม่โกรธคุณสักนิด เพราะนั่นไม่ใช่ความฝันของผม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าวเรียบๆ ราวกับความก้าวหน้าในอาชีพไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร “แต่กรุณาอย่าแนะนำอะไรผิดๆ ให้ลูกศิษย์อีก ไม่กลัวคนเขานินทาก็เห็นแก่อนาคตของชาติเถอะ ไม่งั้นผมจะคิดว่าคุณอิจฉาและพยายามจะดิสเครดิตผมโดยการกลั่นแกล้งลูกชายของผมนะ”

อาจารย์ธนบดีกำหมัดแน่นพร้อมกับพูดลอดไรฟัน “อย่าทำเป็นอวดดีไป”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ถ้าคนมันจะมีดีให้อวด นี่ผมก็อุตส่าห์ช่วยเงียบเรื่องที่คุณไม่ได้ทำอะไรสักนิดแค่เข้าไปช่วยเย็บปิดแผลของท่านสส.ในตอนท้ายแล้วนะ”

อาจารย์ธนบดีไม่โต้ตอบอะไรอีกและเดินจากไป

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยกับเรื่องการแข่งขันในหน่วยงานที่ไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เขาก็เปิดทางให้ทุกอย่างแล้วยังจะพาลไปถึงลูกชายของเขาอีกแถมยังตีหน้าซื่อเป็นอาจารย์ที่ดีได้อีก ‘อำนาจ’ และ ‘ผลประโยชน์’ ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เมื่อมันเปลี่ยนมิตรให้กลายเป็นศัตรูได้

เขาหันไปสบตาลูกชาย “ไปกันเถอะฮาร์ฟ พ่อไม่อยากพลาดงานวิจัยของธีร์กับวินทร์”

นรกรกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนเจ็บจุกไปทั้งหน้าอก ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่างานวิจัยจะผ่านหรือไม่ เพราะมือที่วางลงบนบ่าราวกับจะปกป้องและคำเรียกขานว่า ‘ลูกชายของผม’ อย่างภาคภูมิใจนั่นทำให้รู้ว่าเขายังมีความหมายกับคนๆ นี้อยู่ และนั่นมีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด

“พ่อครับ” นรกรเอ่ยเรียก เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำนี้ในที่ทำงาน และถึงจะโดนดุเขาก็จะเถียง ก็เพราะอีกฝ่ายอยากแทนตัวด้วยคำนั้นก่อนทำไมล่ะ “ผมขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมพ่อถึงไม่ยอมรับตำแหน่งที่กระทรวงครับ”

ศาสตราจารย์สรวิญ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าลูกชายจะสนใจแต่ก็ดีใจมากที่เอ่ยถามขึ้นมา “ถ้าพ่อไปเขาก็จะให้นั่งทำแต่งานเอกสาร คงไม่ได้เข้ามาสอนอีก ส่วนเรื่องผ่าตัดก็คงลืมไปได้เลย”

“พ่อรักการผ่าตัดมากเลยนะครับ” นรกรพูดก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบเสริม “ผมไม่ว่าพ่อนะ แต่กำลังชมน่ะ… แม่เล่าเรื่องปู่ให้ฟังแล้ว ผมขอโทษนะที่เข้าใจพ่อผิดมาตลอด”

ได้ยินดังนั้นศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็บีบบ่าลูกชายแรงขึ้นอีก “พ่อไม่ได้รักการผ่าตัด” เขาบอก “แต่พ่ออยากผ่าตัดกับแก พ่อพลาดวันที่แกรับปริญญาไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพ่อจะไม่ยอมพลาดเรื่องนี้อีกเด็ดขาด... จำได้ไหมตอนเด็กที่แกถือมีดวิ่งเข้ามาแล้วขอให้พ่อสอน แต่พ่อกลับตีมือแก ดุแก... ตอนนั้นพ่อไม่ได้ตั้งใจพ่อแค่ตกใจและกลัวแกโดนมีดบาด จนถึงตอนนี้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พ่อจะไม่ตีแก แต่จะจับมือแล้วสอนวิธีการใช้มีด แต่เพราะพ่อทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ดังนั้นหนึ่งในความฝันที่เหลืออยู่ไม่กี่สิ่งของพ่อที่ยังพอจะทำได้คือการยืนเคียงข้างแก... นายแพทย์นรกร และช่วยชีวิตคนด้วยกัน”

“พ่อรู้อะไรไหม ผมเองก็เฝ้ารอวันนั้นมาตลอดเลยนะครับ” นรกรกระซิบ “เพราะนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอ”

ศาตราจารย์สรวิญช์ไม่ตอบอะไรเพียงแต่เลื่อนมือไปโอบไหล่ลูกชายจนเต็มวงแขน

ทั้งสองหันมาสบตากันและทั้งที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่น่าแปลกที่นี่เป็นครั้งแรกที่สองพ่อลูกดูจะเข้าใจกันยิ่งกว่าที่ผ่านมาเสียอีก


******************************TBC**************


Talk

มาค้นให้ถึงก้นกล่องของแพนโดร่ากันเถอะค่ะ

ปล.Happy April fool day วันนี้ใครจะหลอกใครแต่เราอัพแน่ๆ ไม่หลอกกันค่ะ555
ขอโทษที่หายไปนะคะ ไม่มีข้อแก้ตัวค่ะไปตามผช.มา กลับมาก็โดนใช้งานเยี่ยงเอลฟ์ประจำบ้าน
 
ปล.2 บทนี้ก็ยาวมากอีกแล้ว เราเลยตัดสินใจย่อยออกเป็นสองบท ในส่วนที่อัพ คือเฉลยปมของพ่อ ส่วนปมของธีร์ จะมาในบทต่อไปนะคะ

ปล.3 อ่านให้สนุกนะคะ❤

แถมปล.4 ใครอยากเห็นลายมือศ.สรวิชญ์ชัดๆ ดูรูปประกอบได้ในเพจนะคะ เรายังเก็บเวลแนบไฟล์ภาพไม่ถึงอ่า~555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2016 08:03:13 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
ตอนนี้เฉลยหลายอย่างเลยค่ะ  ชื่อจริงและชื่อเล่น เท่มากๆ คุณพ่อก็เท่มากด้วย ความรักของพ่อยังไงก็เป็นความรักสินะคะ แต่จะแสดงออกมายังไงเท่านั้น เหมือนเรื่องของธีร์ยังเฉลยไม่หมดใช่ไหมคะ
สนุกมากเลยค่ะ

เจอคำสลับกันตรงนี้ค่ะ
สุดท้ายอาจารย์ชาญชัยเลยต้องนั่งมาเฝ้า แก้เป็น ต้องมานั่งเฝ้า
แล้วก็ตรงนี้
“ไม่ต้องต้องของกินมาล่อเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2016 05:13:01 โดย treenature »

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบมากคะ ขอบคุณคะ  ข้องใจ ธีร์ขี้อิจฉา  อาศัยครอบครัวเขาอยู่แล้วยังรังแกอีก   รอลุ้นต่อคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไม่ได้เสียดายที่มันหมดเวลา เสียใจแค่มันช่างสั้นเหลือเกิน

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
อ่านแล้วปลื้ม คือดีงาม
ครอบครัวคือความผูกพัน คือทุกสิ่งอย่างที่สวยงาม
น้ำตาแอบซึม ....

ว่าแต่ การมองกันการสบตากัน ปิ๊งๆ ของ "พ่อของนาย" กับพี่วินทร์ คืออะไร ...

 :L2:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันเอง ก็เลยต้องเสียเวลาและโอกาสที่มันผ่านไป แต่ไม่เป็นไร เรายังมีโอกาสเหลือ  อยากให้พ่อลูกคู่นี้ สนิทกันจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พ่อลูกเข้าใจกันแล้ว...

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาจะไหลคือพ่อก็ยังคงเป็นพ่อที่ห่วงลูกที่รักลูกนั่นแหละ
อยากรู้จริงว่างานของธีร์จะเป็นยังไงเหอะๆ
ทิดดดอย่าเพิ่งตายยยอย่าเพิ่งไปไหนอยู่ก่อน

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โอ้ยยย เริ่มเข้าใจกันแล้วสินะ กว่าจะเข้าใจ
เหลือแค่พ่อพระเอก นี่กะจะตายให้ได้เลยใช่มั้ยทิด
กลัว อทิฐ ที่ฝึกงานมาวินจริงๆ กลัวทิดจำไม่ได้
อทิฐฝึกงานไม่ใช่ว่าหลงรัก ทิดอยู่หรอกใช่มั้ย
เห็นหน้าคนป่วยทุกวัน มันฝังใจ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ammie_mn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
พูดตรงๆนะคะฮาร์ฟไม่ผิดเลยที่จะโกรธกับการกระทำของพ่อที่ผ่านมา การเลี้ยงลูกแบบนี้มันคือการทำร้ายลูกชัดๆ การกระทำไม่ได้สื่อทุกอย่างหรอกนะ คำพูดนั่นก็สำคัญ การเปรียบเทียบเป็นสิ่งหนึ่งที่ฟังแล้วเหมือนค่อยๆโดนมีดกรีดลงกลางใจ ฟังบ่อยๆอาจตายลงได้ ฮาร์ฟถือว่าอดทนพิสูจน์ฝีมือจนมาถึงทุกวันนี้คือเก่งแล้ว

ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
รอฝั่งธีร์ได้พูดบ้างอยู่ค่ะ
ไม่คิดว่าธีร์จะริษยา อยากแกล้งหรือฮาร์ฟอาจจะน่าแกล้งจริงๆ

ตอนนี้เหมือนจะบอกอะไรคนอ่านเยอะแยะ
แต่ก็แอบจุดประเด็นใหม่ให้น่าติดตามต่อไป

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
  :เฮ้อ: ไม่เข้าใจธีร์ :angry2:
ลูกเลี้ยง แต่รังแกลูกจริง อิจฉาฮาร์ฟ ?
ธีร์คงรู้ว่าพ่อแม่รักฮาร์ฟ เลยดิสเครดิสฮาร์ฟ โดยการพิสูจน์ว่าฮาร์ฟเป็นเกย์? :fire:
รอ ตอนต่อไป   :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ im4gine_32

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ซึ้งอ่า..จะร้องไห้เพราะฮาร์ฟกะพ่อเลยดีใจเข้าใจกันแล้ว แต่ธีร์นี่...หงุดหงิดจัง -_- สงสารทิดอะ แอบหวั่นๆกับอทิฐที่เป็นคนดูแลทิดอะ...เชียร์ทิดฮาร์ฟนะ. งื้ออๆ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ผูกเรื่องได้น่าสนใจมากๆค่ะ พออ่านแล้วก็รู้สึกหน่วงๆ แต่ก็อยากอ่านต่อไม่หยุดเลย อ่านตั้งแต่ตอนที่1-9 จนตาแฉะเลยค่ะ เดาทางไม่ถูก แต่พอตอนที่9 คลี่คลายปมของพ่อไปแล้วรู้สึกซึ้งใจมากค่ะ ความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างเอาแต่คิดไปเอง ไม่มีใครพูด สื่อสารกันจบลงเสียที ต่อไปนี้ฮาร์ฟจะได้เลิกน้อยใจพ่อ และมีปมเรื่องครอบครัวเสียที

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ถึงตอนนี้เรายังงงๆอยู่เลยว่าสรุปแล้วใครเป็นพระเอก? วินทร์หรืออทิฏฐ์? 55555

อยากรู้ด้วยว่าวินทร์เป็นอะไรกับอาจารย์สรวิชญ์

รีบๆมาต่อตอนต่อไปนะคะ อยากรู้จะแย่อยู่ล้าววว

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
ในที่สุดพ่อกับลูกก็เข้าใจกัน

รอปมของธีร์นะคะว่าทำไมต้องแกล้งฮาร์ฟ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด