≡▉≡ interstellar ♗ รัก➀ล้านปีแสงตอนที่ 14 เพื่อนรักเพื่อนร้าย ดาวทีมูลาพันเวถือเป็นดาวในฝันที่ใครๆ ก็อยากจะได้สิทธิเข้ามาอยู่ เพราะดาวดวงนี้ถือว่าเป็นดาวที่มีอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตปัญญาเลิศยาวนานที่สุดเท่าที่ค้นพบในจักรวาล โดยส่วนมากแล้วสิ่งมีชีวิตปัญญาเลิศมักมีอารยธรรมที่สืบทอดต่อเนื่่องกันไม่เกินสิบล้านปี เพราะส่วนมากถ้าไม่เจออุตกาบาตถล่มเสียก่อน ก็อาจจะเจอการระเบิดของดวงอาทิตย์ แต่ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือ สงครามที่มนุษย์ปัญญาเลิศทำลายล้างกันเอง ทั้งบนดาวดวงเดียวกันหรือต่างดวงดาวกัน
ด้วยเหตุนี้ ดาวทีมูลาพันเวจึงมีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงสุด ทันสมัยที่สุด ล้ำหน้ามากที่สุด อย่างไรก็ตาม ดาวดวงนี้รับเฉพาะคนที่ผ่านการคัดเลือกเท่านั้น แม้กระทั่งการท่องเที่ยวระหว่างดวงดาวก็ต้องใช้เงื่อนไขเดียวกัน มีเพียงรัฐบาลหรือตัวแทนของดวงดาวที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่สามารถเข้ามาสู่พื้นผิวของดาวทีมูลาพันเวได้โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ
เนบิวลาพาเนตั้นมาเล่นที่สวนสนุกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของดวงดาวเป็นที่แรก สวนสนุกแห่งนี้ชื่อว่าสวน "มีซามูลา" สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือสนามต้านแรงโน้มถ่วงขนาดใหญ่ (Anti-gravity field) ก่อนเริ่มเล่น ผู้เล่นจะได้รับอุปกรณ์คล้ายๆ รองเท้าที่เอาไว้ดึงดูดให้ตัวผู้เล่นอยู่ในสนามต้านแรงโน้มถ่วง และใช้กลับลงสู่พื้นดินเมื่อเล่นเสร็จแล้ว
ทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในสนามต้านแรงโน้มถ่วง ตัวของเนบิวลาและเนตั้นก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นจากพื้น เมื่อทดลองพุ่งตัวก็พบว่าตัวลอยสูงขึ้นไปได้อีก สองหนุ่มจึงสนุกกันใหญ่ จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีเนตั้นก็พบว่าตัวเองขึ้นมาสูงมาก มองลงไปก็กลัวจนขาสั่น มีเพียงเนบิวลาเท่านั้นที่คุ้นเคยกับการเคลื่อนที่ในระดับสูงจนไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
"มาสิเนตั้น ขึ้นไปให้ถึงก้อนเมฆเลย ไปวิ่งเล่นบนก้อนเมฆกัน" เนบิวลาหันมาเร่งเร้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดและทำหน้าแหยๆ
"ฉันกลัวน่ะเนบิวลา มันสูงมาก ฉันกลัวตกน่ะ" เนตั้นมองกลับลงไปข้างล่างแล้วก็เงยหน้ามองเนบิวลา แทบไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน
"ก็อย่ามองข้างล่างสิ แล้วทำไมตอนแรกไม่เห็นกลัวล่ะ"
"ก็ตอนนั้นลืมดู" พูดแล้วเนตั้นก็ขำตัวเอง
เนบิวลาก้มไปกดปุ่มที่รองเท้า สักพักตัวก็ค่อยๆ ลอยต่ำลง พอถึงตัวของเนตั้นเนบิวลาก็กดปุ่มเดิมอีกครั้งเพื่อยุติการลดระดับ
"มา เดี๋ยวฉันพานายขึ้นไปเอง"
เนบิวลาดึงหัวของเนตั้นให้มาซบที่หน้าอกของตัวเอง คนอายุน้อยกว่าตกใจจึงดิ้นพยายามดิ้นหนี
"นายจะทำอะไรน่ะเนบิวลา คนเยอะแยะเลย อายเขา"
"ไม่ต้องสนใจหรอก คนที่นี่เขายอมรับความรักที่หลากหลายได้ เขาไม่มองเราหรอก ถึงมองก็ไม่มีใครว่าอะไร มาเร็ว ซบที่อกฉันนี่แหละ นายจะได้ไม่ต้องเห็นอย่างอื่น จะได้ไม่กลัวไง"
แม้ว่าจะฟังดูแปลกๆ ไปหน่อยสำหรับเนตั้น แต่ก็คงต้องเชื่อเพราะเนตั้นเองไม่มีความรู้เรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของดาวอื่นๆ เลย เนตั้นก็จึงยอมกอดและซบกับหน้าอกของเนบิวลาเสียเอง
"ไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับฉันแล้วนายจะปลอดภัย""รู้แล้ว" เนตั้นพูดเสียงึมงำเบาๆ ในลำคอ ยอมรับแต่โดยดีตามที่เนบิวลาพูดทุกอย่าง
เนบิวลายิ้มพอใจ สิ่งที่เนตั้นพูดและแสดงออกนั้นชัดเจนในตัวอยู่แล้ว แทบไม่ต้องตีความใดๆ
"งั้นไปกันเลยนะ"
พูดจบแล้วเนบิวลาก็ค่อยๆ ถีบตัวสูงขึ้นและสูงขึ้น เนตั้นกอดแน่นและหลับตาปี๋ แต่ก็มีแอบชำเลืองบ้างเล็กน้อย จนกระทั่งมาถึงชั้นก้อนเมฆซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณแปดกิโลเมตร เนบิวลาจึงหยุดถีบตัว พอทรงตัวดีแล้วจึงดันตัวเนตั้นออกจากอ้อมแขน เนตั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอเหลือบเห็นก้อนเมฆขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตาก็ออกอาการตื่นเต้นจนแทบไม่เหลือความกลัว
"เห็นไหม ก้อนเมฆเต็มไปหมดเลย สวยไหมเนตั้น"
เนตั้นมองไปรอบๆ แล้วยิ้มอย่างพอใจ มันสวยงามจนดูเหมือนโลกของเทวดาหรือนางฟ้าตามความเชื่อบนโลกมนุษย์ในประเทศไทย แต่ภาพจริงๆ ที่เห็นตรงหน้านั้นสวยงามและได้บรรยากาศกว่าที่เคยเห็นในหนังสือหรือละครจนเทียบกันไม่ได้
"ว้าว สวยสุดๆ ไปเลยเนบิวลา"
"ไปวิ่งเล่นกันดีกว่าเนตั้น"
ว่าแล้วเนบิวลาก็คว้าข้อมือเนตั้นพร้อมกับพาวิ่งออกไป ร่างของทั้งคู่ลอยสูงขึ้นไปได้อีกนิดหน่อยเพราะสุดเขตของคลื่นต้านแรงโน้มถ่วงพอดี พอกระโดดขึ้นไปเหนือเขตคลื่นต้านแรงโน้มถ่วง ร่างก็จะถูกดูดหล่นลงมา พอเข้าเขตคลื่นอีกครั้งก็ค่อยๆ หยุด ราวกับมีผืนผ้าใบขนาดใหญ่ขึงตึงรับไว้ กระนั้นก็สร้างความหวาดเสียวให้กับผู้เล่นได้มากทีเดียว
แรกๆ เนบิวลากับเนตั้นแค่วิ่งเล่นและกระโดดเฉยๆ แต่หลังๆ สัญชาตญาณผู้ชายที่มีอยู่แล้วก็กระตุ้นให้เปลี่ยนมาเล่นสู้กัน ผลักกันบ้าง เหวี่ยงกันบ้าง โยนกันบ้าง บางครั้งเนบิวลาก็เผลอเล่นแรงจนเหวี่ยงเนตั้นกระเด็นไปไกลเป็นร้อยๆ เมตรเลย โชคดีที่ไม่เจ็บตัว
พอเล่นด้วยกันเบื่อแล้วก็เริ่มชวนคนอื่นๆ มาเล่นด้วยบ้าง สิ่งมีชีวิตที่นี่มีสารพัดรูปร่างเพราะมาจากดาวดวงอื่นเป็นส่วนมาก หลายคนอพยพมาที่นี่เพราะดาวดวงเดิมอยู่ไม่ได้ด้วยหลายๆ สาเหตุ เช่น ถูกหลุมดำดูดกลืนหายไป ดวงอาทิตย์ระเบิดเป็นซุเปอร์โนวาหรือไม่ก็มีสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ แม้ว่าจะมาจากหลากหลายดวงดาว แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างยืนด้วยสองขาและมีมือคล้ายๆ กัน
ด้วยความที่มีเจอสิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาแปลกๆ โดยธรรมชาติของมนุษย์ก็มักจะอดคิดสงสัยในใจไม่ได้ แม้ว่าจะกล้าเอ่ยถามตรงๆ ก็ตาม เนบิวลาเองก็เถอะ แม้จะฝึกจิตมาดีแค่ไหนแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้จิตนิ่งได้ ทั้งคู่จึงเผลอคิดแผลงๆ ในใจอยู่หลายเรื่อง
"ทำไมผู้หญิงคนนี้หัวดูแปลกๆ หัวโต๊โต แต่ตัวเล็กนิดเดียวเอง"
"มนุษย์ต่างดาวพวกนี้มาจากไหนกันนะ ทำไมตัวเขียวๆ แถมยังตัวเล็กอีก จะเล่นกับเราไหวไหมเนี่ย"
"เพิ่งเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวมีสี่มือก็วันนี้แหละ ทำไมมีมือเยอะจัง แล้วอย่างนี้มือไม่พันกันยุ่งเลยเหรอ"
"มนุษย์ต่างดาวคนนี้ดูน่ากลัวจังเลย ตาโตจนแทบถลนออกมา จมูกก็เล็ก เหมือนสัตว์ประหลาดเลย"
ทั้งสองหนุ่มต่างก็ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวนั้นถ่ายทอดเป็นกระแสจิตไปให้คนอื่นๆ รับรู้ด้วย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาเล่นกับสองคนนี้ก็จะถูกสองหนุ่มวิพากษ์วิจารณ์ในใจ พอเล่นไปสักพักจึงเลิกเล่นด้วยเพราะรู้สึกไม่พอใจที่สองหนุ่มไม่ให้เกียรติ เล่นเอาสองหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตกที่อยู่ดีๆ คนที่เข้ามาเล่นด้วยก็พากันจากไปในเวลาไม่นาน
นี่คือการกดดันคนที่มาอยู่ใหม่ให้ได้รับบทเรียน ชาวทีมูลาพันเวนั้นใช้กระแสจิตสื่อสารกันเพียงอย่างเดียว การคิดในหัวทำให้เกิดคลื่นกระแสจิตถ่ายทอดออกไปจึงเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่ง คนอื่นๆ สามารถรับรู้ได้ อย่างไรก็ตาม คนใหม่ๆ ที่มาอยู่ที่นี่จะสามารถปรับตัวและฝึกจนกระแสจิตนิ่งได้ทุกคนเพราะผ่านการทดสอบมาแล้ว เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาอีกเพียงเล็กน้อยจึงจะสามารถหยุดคิดในหัวและสื่อสารด้วยกระแสจิตเมื่อจำเป็นต้องสื่อสารได้
"ทำไมไม่มีใครเล่นกับเราเลยล่ะเนบิวลา" เนตั้นปรารภขึ้นด้วยภาษาแม็กโซซึ่งเป็นภาษาพูด
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขามาเล่นกับเราแป๊บเดียวแล้วก็หนีไปหมดเลย" เนบิวลาพูดพลางมองตามคนเหล่านั้นที่กำลังเดินหนีไปเล่นที่อื่น พยายามคิดทบทวนแต่ก็จนด้วยเกล้าจริงๆ ว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เมื่อนึกไม่ออกจึงเลือกที่จะตัดความสงสัยทิ้งไป
"ลงไปกันดีกว่าเนตั้น จะได้ไปที่อื่นต่อ" เนบิวลาหันไปชวน
เนตั้นพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่ลังเล แม้เมือกี้จะสนุกมากแค่ไหน แต่พอเห็นคนเดินหนีแล้วก็ชักจะหมดสนุกเอาดื้อๆ
"กล้าลงเองไหมคราวนี้ ถ้าลงเองได้ ฉันจะทำของอร่อยๆ ให้กินคืนนี้" เนบิวลาท้าทาย ไม่บ่อยนักที่จะได้ใช้คำว่า "คืนนี้" โชคดีที่ดาวทีมูลาพันเวมีกลางวัน-กลางคืนเหมือนดาวโลก
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันชินแล้ว" เนตั้นยิ้มและยักคิ้วใส่
"โอเค งั้นฉันไปแล้ว นายลงเองนะ" พูดจบเนบิวลาก็กดปุ่มที่รองเท้า จากนั้นก็ทิ้งตัวดิ่งลงไปข้างล่างด้วยความเร็ว
"เฮ้ย รอด้วยสิเนบิวลา"
โวยวายไปตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของเนบิวลาลอยละลิ่วลงไปอย่างรวดเร็วจนห่างไปไกลแทบมองไม่เห็น เนตั้นไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมกดปุ่มและทิ้งตัวตามลงไปโดยการเอาหัวลงก่อนเหมือนเนบิวลา พอร่างลอยละลิ่วด้วยความเร็วลงไปสู่พื้นดิน เนตั้นก็ต้องรีบเอามือปิดปากด้วยความกลัว ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากการกระโดดลงหน้าผาโดยที่ไม่มีอะไรรองรับเลย
เนบิวลาลงไปถึงพื้นก่อนแล้ว เนตั้นตามมาติดๆ น่าแปลกที่พอใกล้ๆ ถึงพื้นความเร็วของการเคลื่อนที่ก็ค่อยๆ ลดลง เป็นเพราะแรงต้านแรงโน้มถ่วงมีความเข้มข้นมากกว่าในระดับที่สูงขึ้นไปนั่นเอง พอจะถึงพื้นเนตั้นก็กลับตัวเอาขาลง สุดท้ายก็ลงสู่พื้นอย่างปลอดภัยท่ามกลางสายตาคอยลุ้นของเนบิวลา
"ฉันชอบท่าตีลังกาของนายมากเลยเมื่อกี้ สุดยอดเลยเนตั้น" เนบิวลาเอ่ยชมพลางยิ้มจนตาหยี
เนตั้นยักคิ้วให้ทีหนึ่งเป็นเชิงล้อเลียน "แกล้งกลัวไปงั้นแหละ"
"แกล้งกลัวเหรอ ทำไมตอนขึ้นกอดเราแน่นเลยล่ะ" เนบิวลาพูดแหย่
"หลอกแต๊ะอั๋งเฉยๆ""ต้องหลอกด้วยเหรอ โอเคๆ เชื่อก็เชื่อ เดี๋ยวคืนนี้...เราจะเอาคืน" ยิ้มกรุ้มกริ่มและทำหน้าหื่นใส่
"กลัวที่ไหนล่ะ" เนตั้นยักคิ้วให้อีกที
เนบิวลารวบคอเนตั้นมากอดไว้อย่างเอ็นดู เนตั้นดิ้นเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมเดินตามเนบิวลาไป
"ไปไหนกันดี"
"ไปรับความรู้กันดีกว่า"
"รับความรู้คืออะไร เรียนน่ะเหรอ" เนตั้นหันไปมองหนุ่มหน้าคมพลางเลิกคิ้วสงสัย
"ใช่ รับความรู้ก็คือไปเรียน เราสองคนได้รับสิทธิ์เรียนฟรีได้สองสาขารู้เปล่า"
"โห แล้วเมื่อไหร่เราจะได้กลัวดาวแม็กโซนาเดียล่ะ"
"แป๊บเดียว ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งช่วงงานอีก"
"หา! เรียนหนังสือน้อยกว่าหนึ่งช่วงงานนี่นะ แล้วจะเรียนรู้เรื่องเหรอ"
"เดี๋ยวนายก็รู้ ไปที่ยานของเราดีกว่า"
เนบิวลาตัดบทเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับเนตั้น ต้องไปเห็นด้วยตัวเองนั่นแหละจึงจะเข้าใจว่ารับความรู้คืออะไร การเรียนของดาวเทคโนโลยีสูงนั้นใช้วิธีการฝังความรู้ในวิชาที่อยากเรียนเข้าไปในคลื่นสมอง ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็จะได้ความรู้ที่พร้อมสำหรับใช้งานแล้ว เด็กๆ จึงมักใช้เวลาช่วงวัยเด็กไปกับการทำกิจกรรมและฝึกทักษะทางร่างกายให้แข็งแรงเป็นส่วนใหญ่ ไม่เรียนวิชาการเลย เมื่อพร้อมทำงานแล้วก็จะซื้อชุดความรู้ในสาขาที่ต้องการมาฝังเข้าไปในคลื่นสมองแทน ไม่ต้องเสียเวลาเรียนเป็นสิบยี่สิบปีเหมือนดาวโลก สิ่งพิเศษของดาวทีมูลาพันเวคือความรู้ที่นี่เป็นความรู้ที่ก้าวหน้ามากๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงความรู้ขั้นพื้นฐานก็ตาม เนบิวลากับเนตั้นสามารถเอาไปใช้ทำงานที่แม็กโซนาเดียหรือที่ไหนๆ ก็ได้ในจักรวาลนี้
สตรอนเทียมีโอกาสได้ต้อนรับอาคันตุกะที่มาเยือนถึงบ้านอย่างไม่คาดฝัน แม้ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะคุยกันไป แต่สตรอนเทียกลับรู้สึกว่าไม่อยากคุยกับเธออีก เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองได้ตกเข้าไปในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองมากพอแล้ว
เนินหุบผาสูงชันหลังบ้านมีลมพัดแรงตลอดเวลา หญิงสาวชุดสีดำปล่อยให้ผมปลิวสยายไปตามแรงลมอย่างอิสระ แววตาของเธอครุ่นคิดและดูแข็งไปบ้าง แต่ก็แฝงแววหม่นเศร้าอยู่ในที
บนโต๊ะไม่มีเครื่องดื่มหรือของขบเคี้ยวใดๆ วางอยู่ ที่นี่ไม่มีธรรมเนียมการเอาของมาต้อนรับโดยที่ผู้มาเยือนไม่ได้ร้องขอ การที่แขกขอดื่มน้ำหรือสิ่งอื่นใดจากเจ้าบ้านไม่ถือเป็นการเสียมารยาท แต่การนำของที่ผู้มาเยือนไม่ต้องการมาต้อนรับนั้นเสียมารยาทมากยิ่งกว่า
"เขาหายกันเลยทั้งสองคน เธอไม่รู้จริงเหรอว่าเขาไปไหนกัน" ในที่สุดสาวชุดดำก็เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลลงมาพร้อมกับปากที่ขยับขึ้นลง
"ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย ฉันก็เลยเดาว่าสองคนนั้นน่าจะไปที่ดาวดวงอื่นมากกว่าตอนนี้ ไม่งั้นก็น่าจะเช็คตำแหน่งได้บ้าง" สตรอนเทียตอบโดยไม่หันไปมองหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม รู้สึกถึงความยุ่งยากใจขึ้นมาทันที
"ไปต่างดาวงั้นเหรอ ไปทำไมล่ะ""ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เดาเอาเท่านั้นแหละ อีกอย่าง...เนบิวลาก็ได้สิทธิ์หยุดทำงานตั้งหนึ่งเสี้ยวฤดู เขาก็คงอยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง" สตรอนเทียถอนหายใจเมื่อพูดจบ แล้วก็หันมามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่อยากพูดออกไป
"ฉันว่าเธอ...ตัดใจเสียเถอะอะเนดา ฉันรู้จักเนบิวลาดี ยังไงๆ เขาก็ไม่กลับมาหาเธอหรอก เธอเชื่อฉันสิ เขาเป็นคนใจคอเด็ดเดี่ยวมาก เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ"
"แต่เราเคยรักกันมากนะสตรอนเทีย เธอก็รู้นี่ว่าเนบิวลารักฉันมากแค่ไหน เขารักฉันมาก รักมากจนฉันไม่คิดว่า...เขาจะรักคนอื่นได้อีก เธอเข้าใจความรู้สึกของฉันใช่ไหมสตรอนเทีย"
อะเนดาเผลอสาดอารมณ์ออกไปอย่างลืมตัว พอเห็นสตรอนเทียนิ่งอึ้งไปเธอจึงค่อยๆ ลดอารมณ์ลง
"แล้วยังไงล่ะ ก็เขารักคนอื่นไปแล้ว เธอจะทำอะไรได้ล่ะอะเนดา" แม้จะเห็นใจแต่สตรอนเทียก็ไม่อยากให้อะเนดาดิ้นรนจนตัวเองต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ สตรอนเทียรู้จักเพื่อนดี ลองให้เนบิวลาพูดและทำอย่างนี้แล้วก็คงเป็นเรื่องยากที่จะดึงกลับมา
"ฉันคิดว่าเนบิวลาแค่หลง คงไม่ใช่ความรักจริงๆ หรอก มันจะเป็นไปได้ยังไง เขารักฉันมาตั้งหลายปี จู่ๆ เจอผู้ชายคนหนึ่งแค่เสี้ยวฤดู เขาจะหมดรักฉันเลยเหรอ เขาไม่เคยรักผู้ชายมาก่อนน่ะ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะรักผู้ชายคนนั้นได้"
"เธอรู้ได้ยังไงว่าเขารักผู้ชายไม่ได้!"อะเนดาหยุดชะงักกับคำถามของเพื่อนของอดีตคนรัก รู้สึกเสียความมั่นใจไปมากพอดู เมื่อเห็นอะเนดานิ่งเงียบ สตรอนเทียจึงถือโอกาสพูดต่อ
"ฉันรู้ว่าทำไมเนบิวลาถึงรักเนตั้น เขาทิ้งเนตั้นไม่ได้หรอก""หมายความว่าไง เธอรู้อะไรมาอย่างงั้นเหรอสตรอนเทีย" อะเนดาแทบจะหยุดร้องไห้และหูผึ่งด้วยความอยากรู้
สตรอนเทียหน้าเสียเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว จึงรีบบอกปัดเป็นพัลวัน "ไม่มีอะไรหรอก เอาเป็นว่า...ฉันแนะนำให้เธอหยุดแค่นี้ อย่าเหนี่ยวรั้งเนบิวลาอีกเลย ฉันมั่นใจว่ายังไงๆ เขาก็ไม่มีวันกลับมาหาเธออีก"
"งั้นเหรอ" อะเนดาแค่นเสียง "ลองมาเป็นฉันดูไหมล่ะสตรอนเทีย"
"แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะอะเนดา ถึงเธอเอาเนบิวลากลับมาได้ แต่หัวใจเขาก็ไม่ได้อยู่กับเธอแล้ว เขาไม่รักเธอแล้วเธอไม่รู้เหรอ" สตรอนเทียชักเหลืออดจึงพูดเสียงดังจนเกือบเป็นตะคอกกลับไป
อะเนดานิ่งอึ้งเพราะคาดไม่ถึงว่าสตรอนเทียจะกล้าแสดงกิริยาอย่างนี้กับเธอ ถ้าอย่างงั้น เธอก็คงต้องเอาจริงซะที
"ฉันไม่ได้อยากร้ายหรอกนะสตรอนเทีย แต่เหตุการณ์มันบังคับให้ฉันเป็นแบบนี้ เธอจะบอกฉันมาดีๆ หรือว่าเธอ...อยากให้เพื่อนรักของเธอรับรู้ว่าเธอเคยแอบทำอะไรลับหลังเขาบ้าง จะเอาอย่างงั้นไหม"
อะเนดาหยิบเรื่องนี้มาขู่อีกแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการขู่ที่ได้ผลทุกครั้งเสียด้วยสิ แต่ครั้งนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาหรือเปล่า
"แล้วไอ้สิ่งที่ฉันทำกับเธออยู่ตอนนี้...มันเลวไม่ต่างจากเรื่องนั้นหรอก เธอหยุดขู่ฉันได้แล้วนะอะเนดา ยังไงๆ ฉันก็จะไม่ร่วมมืออะไรกับเธออีกแล้ว" สตรอนเทียยืนกรานเสียงดัง แต่ในใจก็อดที่จะกลัวไม่ได้
"เธอแน่ใจเหรอ" อะเนดาคาดคั้น ดูเหมือนว่าเธอจะหยุดร้องไห้ไปเสียแล้ว
สตรอนเทียนั่งนิ่ง สักพักก็ถอนหายใจ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวแท้ๆ ที่ทำให้สตรอนเทียต้องมาติดบ่วงและต้องทำเรื่องแย่ๆ กับเพื่อนของตัวเอง
"เธอจะให้ฉันทำอะไร" สตรอนเทียหันหน้าหนี รู้สึกได้ถึงความอัดอั้นตันใจของตัวเองจนแทบจะระเบิดออกมา
"เธอรู้อะไรเกี่ยวกับเนตั้นล่ะ นั่นแหละที่ฉันอยากรู้ ทำไมมนุษย์ต่างดาวคนนั้นมาอยู่ที่นี่ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"สตรอนเทียส่ายหัวอย่างเหนื่อยอ่อน "ฉันบอกเธอไม่ได้หรอกอะเนดา"
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ยิ่งเธอพูดแบบนี้ฉันก็ยิ่งอยากรู้ แสดงว่ามันต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ เลย"
ก็ใช่น่ะสิ มันเป็นเรื่องใหญ่ระดับดวงดาวหรือระหว่างดวงดาวเลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดใครรู้ระแคะระคายเข้าคงไม่เป็นผลดีแน่ๆ
"ว่าไงล่ะสตรอนเทีย เธอจะเล่าให้ฉันฟัง หรือเธอ...จะให้ฉันเล่าเรื่องนั้นให้เนบิวลาฟังล่ะ เธอลองคิดดูดีๆ นะ เพื่อนรักของเธอจะคิดยังไงถ้าเกิดเขารู้ว่า...ครั้งหนึ่ง...เธอเคยทำอะไรกับเขาไว้"
สตรอนเทียหันขวับมามองอะเนดา ขยับปากเหมือนจะเถียงแต่สุดท้ายก็ได้แต่ชะงักไว้อย่างนั้น ดูท่าแล้วก็คงไม่พ้นต้องถูกต้อนจนมุมเช่นเคย คิดสะระตะดูแล้ว สตรอนเทียคงไม่กล้าให้อะเนดาเล่าเรื่องนั้นให้เพื่อนรักฟังแน่ๆ เนบิวลาคงโกรธมาก อาจจะมากจนไม่เหลือความเป็นเพื่อนอยู่อีกเลย
สตรอนเทียกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังคิดหนัก หนักมากเสียด้วย สักพักก็ก้มหน้า บ่งบอกให้รู้ว่าได้ยอมจำนนต่อคำขู่นั้นแล้ว
เมื่ออะเนดาได้ฟังเรื่องทั้งหมด สีหน้าและแววตาของเธอก็เปลี่ยนไป จากที่ดูเศร้าก็กลายเป็นแข็งกระด้าง ไม่นานเธอก็ยิ้มมุมปากคล้ายกับได้แนวคิดที่สำคัญบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว
"ขอบคุณมากที่เธอเล่าให้ฉันฟัง มันมีประโยชน์สำหรับฉันมากๆ เลยล่ะ"
"เธอจะทำอะไรเหรออะเนดา" สตรอนเทียถามอย่างหวาดหวั่น ไม่เคยเห็นอะเนดาแสดงสีหน้าท่าทางอย่างนี้มาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่เคยอ่อนหวานอย่างเธอจะมีแววตาเช่นนี้ได้
"ฉันขออนุญาตไม่บอกเธอก็แล้วกันนะสตรอนเทีย แต่เธอไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงๆ ฉันก็รับรองว่า...เธอกับเนบิวลาจะยังเป็นเพื่อนกันต่อไป เนบิวลาจะไม่มีวันรู้เรื่องนั้นอย่างเด็ดขาด"
TBC-------------------------------------------------------------------------------------
Prince Charming
เมื่อ "เจ้าชายมาดเข้ม" กับ "หนุ่มตี๋รุ่นพี่มาดกวน" มาเจอกัน อะไรจะเกิดขึ้น
Prince Charming (เจ้าชายเดินดิน) เป็นเรื่องราวของเจ้าชาย "มาร์ติน" ผู้สูงศักดิ์จากเมือง "บูรณา" ที่เกิดเบื่อชีวิตแบบเจ้าชายอันเต็มไปด้วยกฎระเบียบมากมาย จึงแอบเสด็จหนีมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอย่างสามัญชน แล้วบังเอิญได้เจอกับ "ดลยุทธ์" หนุ่มตี๋สุดหล่อที่มาทำหน้าที่เป็นสารถีให้ด้วยความจำใจ แม้จะได้มาพักผ่อนหย่อนใจอย่างอิสระ แต่เจ้าชายก็ต้องปวดหัวกับการคอยปราบพยศหนุ่มตี๋สุดกวนที่แสนเอาแต่ใจ แต่ช่วงเวลาสามเดือนที่อยู่เมืองไทย เจ้าชายน้อยแห่งบูรณากลับพบว่าชีวิตของพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!!!"เอ๊ะ! นี่นายเป็นคนขับรถหรือเป็นพ่อของฉันกันแน่!""นี่คุณ! คุณมาเที่ยวของคุณคนเดียวไม่ใช่เหรอ ผมแค่มาขับรถให้นะครับ ทำไมจะต้องให้ผมตามติดคุณขนาดนั้น จะเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว!"