-6-
ว่ากันด้วยเรื่องของเจ้าชายแห่งดวงจันทร์
นาเทลเป็นเจ้าชาย... เชอเชสก็เป็นเจ้าชาย...
กระต่ายสองตัวที่บุกคอนโดคนอื่นกลางดึกแถมยังคิดจะทำลายข้าวของแบบไม่สนว่าคนซ่อมจะต้องเสียตังค์เท่าไหร่เป็นถึงเจ้าชายแห่งดวงจันทร์
โอย ช็อค...
“มึง กูอยากลาตาย ขอกลับห้องไปตายแป๊บได้ป่ะวะ” คนพูดหน้าดำทะมึนไปทั้งหน้า มันบ่นประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่จบไม่สิ้นซักที นับตั้งแต่นาทีที่ได้รู้ว่าคนที่ตัวเองเคยจิกใช้ประหนึ่งเป็นเบ๊ประจำกายมีฐานะเป็นถึงเจ้าชายลำดับสองแห่งราชวงศ์แสงจันทร์ มันก็ทำท่าจะเอาหัวมุดดินล้างความผิดอยู่นั่นอ่ะ
“ปรกติเขามีแต่ตายแล้วตายเลยไม่ใช่หรอวะ ตายแป๊บๆ นี่มีที่ไหน”
“มีที่กูนี่ไง”
“ประสาท” ผมด่ามันให้ สองขาก็เดินตามสองเจ้าชายที่เดินนำหน้าพาพวกเราไปยังลานแสงจันทร์ พิธีต้อนรับผมในฐานะชายาแห่งดวงจันทร์จัดขึ้นที่นั่น งานนี้มีพวกขุนนางไปกันไม่เยอะ ทว่าคนที่ไปล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง ดังนั้นจะทำเป็นเล่นไม่ได้เด็ดขาด
“ว่าแต่มึงเหอะ” ไอ้เพื่อนหัวดำกระแซะเข้ามาซะชิด “ได้เจอเจ้าชายครบทั้งสี่คนแล้ว ทีนี้จะเอายังไง”
ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ “ให้เอาอะไร?”
“อุว๊ะ! ก็มึงต้องเลือกแต่งกับคนใดคนหนึ่งในสี่คนนั้นนิ” มันทำหน้าเหมือนเรื่องแค่นี้ยังต้องให้บอก ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดต่อ “จากเท่าที่กูประเมิณทั้งสี่คนด้วยสายตาแล้ว... กูว่านะ นาเทลดูเวิร์คสุดสำหรับมึง”
“อะฮะ” ผมอมยิ้ม เริ่มรู้แล้วครับว่าไอ้ธากำลังมาไม้ไหน ผมเลยแกล้งทำเป็นปลาที่ยังไม่ติดเบ็ด ตะล่อมถามกลับไปว่า “ทำไมมึงถึงคิดงั้นวะ?”
“ฟังกูนะ” มันพยายามกดเสียงให้เบาลงเพื่อไม่ให้พวกหูดีผิดมนุษย์ได้ยินที่พวกเราคุยกัน “เจ้าชายคนโตแม่งแข็งอย่างกับหิน ประเภทถามคำตอบคำแบบนี้แต่งงานอยู่กับมึงได้ไม่นานหรอก ไม่เขาทนมึงไม่ได้ ก็เป็นมึงนั่นแหละที่ทนไม่ไหวอึดอัดตายไปซะก่อน ส่วนคนเล็กก็เด็กไป ท่าทางง๊องแง้วแบบนั้นไม่เหมาะกับมึงชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้กูมั่นใจมาก เพราะคนแบบมึงเป็นประเภทที่ต้องถูกดูแล ไม่ใช่ไปดูแลใคร ซึ่งจุดนี้กูว่านาเทลกับเชอเชสดูเข้าข่ายที่สุดแล้ว”
ผมลองคิดตามที่มันพูด ฟังดูก็มีเหตุผลลงตัวดี แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมตัวผมถึงถูกจัดให้อยู่ในประเภทคนที่ต้องถูกดูแลด้วยฟะ ตัวกูกูดูแลเองได้เว้ย
“แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ากูเหมาะกับนาเทลมากกว่าวะ กูอาจจะเหมาะกับเชอเชสมากกว่าก็ได้นะ” ผมแอบลองเชิงมัน ดูสิว่าเจ้าเพื่อนตัวดีจะสรรหาข้ออ้างอะไรมาโน้มน้าวใจผมอีก
ไอ้ธารีบอ้าปากเบรกผม “ใจเย็นมึง อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ ถึงมึงจะสนิทกับเชอเชสมากกว่าแต่อย่าเพิ่งมองข้ามนาเทลไปนะ มึงรู้อะไรไหม นาเทลน่ะทั้งใจดี อ่อนโยน หน้าตาก็ดี เป็นผู้ฟังที่ดีด้วย แถมยังซักผ้าได้ ตากผ้าเป็น กวาดพื้น ถูพื้น ล้างจาน งานบ้านพวกนี้เฮียแกสามารถทำได้หมด มึงคิดว่าจะมีเจ้าชายโลกไหนอีกไหมที่ทำงานบ้านพวกนี้เป็น เชื่อกู เลือกนาเทลแล้วมึงจะไม่ผิดหวัง มึงแค่แต่งตัวสวยอยู่บ้านไปวันๆ งานบ้านทั้งหมดโยนให้นาเทลทำไปได้เลย”
ผมฟังแล้วรีบปรบมือให้กับความคิดอันแสนบรรเจิดของเพื่อนหัวดำ ก่อนจะแสร้งตบบ่าทำหน้าละเหี่ยใจ “เพื่อนธาครับ มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า นาเทลเขาเป็นเจ้าชาย ถ้ากูแต่งงานกับเขา อนาคตข้างหน้าเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพระราชา แล้วพระราชาโลกไหนเขาต้องมากวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ตากผ้ากันบ้างวะครับ ถุยยยยย”
คนที่โดนผมถุยใส่เต็มหน้าอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
ไอ้ธาหนอไอ้ธา บทจะฉลาดแกมโกงแม่งก็ฉลาดเป็นกรด แต่เวลาโง่ทีนี่แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ใช้ไถนาผมยังไม่กล้าเอามาเปรียบเทียบกับมันให้สัตว์โลกสายพันธุ์นั้นแปดเปื้อนเลย
“หืม? ท่านธาเป็นอะไรไปหรือ?”
เชอเชสที่หันมาเห็นสภาพเหมือนหมาเน่าตายของไอ้ธาทักขึ้น นับตั้งแต่เดินออกจากท้องพระโรง ผมกับเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกันจริงจังเลยซักที ด้วยเหตุนี้ผมเลยสะกิดนาเทลที่เดินนำอยู่ข้างเชอเชส ขอให้เขาเปลี่ยนที่กับผมเพื่อที่จะได้คุยกับเจ้าสีส้มได้สะดวก ซึ่งไอ้ธาทำท่าจะคัดค้าน แต่นาเทลกลับพยักหน้าตกลงโดยง่าย ยอมลงไปเดินยิ้มอยู่ข้างเพื่อนสนิทของผมแต่โดยดี
เชอเชสมองมนุษย์โลกอีกคนที่มาเหยียบดวงจันทร์พร้อมกับผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมเลยโบกมือบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง “ก็แค่คนมีชนักติดหลังน่ะ” บอกใบ้เพียงเท่านี้ เจ้าสีส้มก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ นับว่าหัวเร็วใช้ได้ ไม่ผิดหวังๆ
“ท่านวีไม่โกรธข้าใช่ไหม...ที่ข้ากับเสด็จพี่ปิดบังท่าน...” เสียงทุ้มฟังดูจืดเจื่อน ดวงตาสีม่วงอมเทาเจือความกังวลเด่นชัด ท่าทางจะกลัวว่าผมจะโกรธที่เขาหลอกลวงผม
“นั่นสิน้า ผมควรโกรธคุณดีหรือเปล่า ไหนลองบอกผมหน่อยสิครับ เจ้าชายที่บอกว่าตัวเองเป็นแค่องครักษ์นี่สมควรถูกโกรธไหมน้า” ผมแสยะยิ้มใสซื่อที่ไม่เคยใช้ได้ผลกับไอ้ธาเลยสักครั้ง แต่กับเจ้าชายกระต่ายคนนี้ดูท่าจะใช้ได้ผลอยู่ไม่น้อย
“ท่านมีสิทธิ์ที่จะโกรธ แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ไว้ ว่าสิ่งที่ข้ากับเสด็จพี่ได้กระทำลงไปหาใช่การเล่นสนุกเพื่อกลั่นแกล้งท่าน เราเพียงแต่ทำไปตามหน้าที่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเท่านั้น”
“พูดซะยาวเชียว ผมยังไม่ทันได้ว่าอะไรสักหน่อย คุณก็เครียดเกินไปแล้ว” ผมตบไหล่เขาทำลายความกดดันที่เจ้าตัวสร้างขึ้น พอเชอเชสเห็นผมยังมีท่าทีเป็นปรกติดีทุกอย่าง ไหล่ทั้งสองข้างที่ดูแข็งเกร็งก็เหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลง
“ท่านวีไม่โกรธพวกเราหรือ?”
เขาถามเหมือนต้องการคำตอบที่ชัดเจน ผมเลยพยักหน้าให้แทนคำตอบ
“ไอ้โกรธน่ะไม่โกรธหรอก แต่ถ้าจะให้พูดตามตรง...เรียกว่าแอบช็อคนิดๆ ก็คงได้มั้ง”
อันที่จริงก็ไม่นิดหรอก...ช็อคมากเลยแหละ
“ช็อค?” ดูเหมือนเจ้าชายกระต่ายจะไม่ทรงเก็ทกับคำๆ นี้แฮะ
“หมายถึงตกใจน่ะ โดยเฉพาะไอ้ธา คุณก็รู้ว่าตอนที่เราอยู่ห้องมัน มันใช้งานนาเทลเยอะขนาดไหน พอรู้ว่าคุณกับนาเทลเป็นเจ้าชาย มันเลยช็อคตาตั้งอย่างที่เห็นนี่ไง” ผมงัดนิ้วโป้งข้ามไหล่ไปที่ไอ้ธา ตอนนี้มันไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับนาเทลเลยด้วยซ้ำ เดินเงียบทำตัวเรียบร้อยเชียวนะครับเพื่อนกู
“เป็นเช่นนี้นี่เอง...” เจ้าสีส้มพยักหน้ารับรู้ คงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนผมเท่าไหร่เลยยังไม่รู้นิสัยใจคอของไอ้ธา ประกอบกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองด้วย เลยเดาไม่ถูกมั้งว่าไอ้ธากำลังหวั่นๆ เรื่องอะไร หึหึหึ
“นี่ เชอเชส เอ่อ...ผมยังเรียกคุณแบบนี้ได้อยู่ไหม หรือต้องเรียกว่าเจ้าชายเชอเชส? ท่านเชอเชส? คุณเชอเชส? แบบไหนถึงจะเหมาะสมอ่ะ”
เรื่องนี้ผมแอบซีเรียสนะ กลัวว่าเวลามีใครมาได้ยินผมเรียกชื่อเจ้าชายของพวกเขาห้วนๆ ไม่มีคำนำหน้าที่บ่งบอกความให้เกียรติแล้วจะถูกมองว่าผมเป็นพวกมนุษย์โลกไร้อารยธรรม ไม่เห็นหัวเจ้าชายแห่งดวงจันทร์อยู่ในสายตา ไร้กาลเทศะ ขาดการอบรมสั่งสอน เอ่อะ...จะอะไรก็ช่างเหอะ เอาเป็นว่าผมอยากทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง คนอื่นจะได้ไม่เอาผมไปว่าเสียๆ หายๆ เอาได้
“ท่านวีจะเรียกข้าเหมือนเดิมก็ได้ เพราะถ้าเทียบอายุกันแล้ว ข้าน่าจะเด็กกว่าท่านสักสองสามปีกระมัง”
ห๊ะ!?
ผมมองคนพูดตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว มองใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มมาให้อย่างใสซื่อแล้วอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่น่ะ” ถ้าให้ผมเดาจากหน้าก็คงยี่สิบห้า น่าจะอยู่ในวัยทำงาน แต่มันชักเริ่มไม่แน่ใจก็ตอนที่อีกฝ่ายบอกผมว่าตัวเองเด็กกว่าเนี่ยแหละ
“อีกไม่กี่วันข้าจะอายุสิบห้าแล้วล่ะ” เชอเชสเฉลยตัวเลขที่น้อยกว่าที่ผมคิดไว้ถึงสิบปีออกมา
โอเค ผมขอเวลาช็อคอีกแป๊บ... เจ้าสีส้มนี่กำลังจะอายุสิบห้า ส่วนผมจะสิบแปดเดือนหน้านี้แล้ว โอว.... อายุห่างกันสามปี นี่ถ้าผมเลือกเขาเป็นพระราชาไม่เท่ากับว่าผมกินเด็กเรอะ!?
“แล้วนาเทลล่ะ รายนั้นอายุเท่าไหร่...?”
ไม่ได้อยากจะถามให้สะเทือนใจเพิ่มหรอกนะ แต่ผมขอรู้หน่อยเถอะ จบจากพิธีต้อนรับอะไรนี่แล้วผมจะได้เอาไปเมาท์กับไอ้ธามันได้
“เสด็จพี่อายุมากกว่าข้าหนึ่งปี นี่ก็เพิ่งอายุสิบหกไปเมื่อสองเดือนที่แล้วเอง”
บร๊ะเจ้า... งี้อย่าบอกนะว่าพี่ชายคนโตที่หน้าเหมือนคนอายุสามสิบยังแค่สิบปลายๆ ไม่ก็ยี่สิบต้นๆ น่ะ โอ๊ยยย คิดแล้วแอบสะพรึง
“พวกกระต่ายนี่โตเร็วแบบนี้ทุกคนเลยเรอะ!?”
กินอะไรเข้าไปนะถึงได้สูงยาวเข่าดีขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่เอง! บอกมานะ ผมจะได้ไปหามากินมั่ง เผื่อส่วนสูง 172 จะขยับเป็น 180 ให้ผมได้ยืดกับเขาบ้าง
“เสด็จแม่กับเทพกระต่ายก็เคยพูดอยู่เหมือนกันว่าชาวแสงจันทร์โตไวกว่าเด็กมนุษย์มากนัก แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นจริงหรือไม่” ผมฟังเขาพูดไปในขณะที่สายตาก็ลอบแอบสำรวจเด็กข้างตัวดูอีกรอบ
เชอเชสเป็นชายหนุ่ม...หรือจะเรียกให้ถูกก็ต้องเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมาก ใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ จมูกโด่งคมเป็นสัน ดวงตาสีม่วงอมเทาคู่นั้นดูลึกลับงดงาม ริมฝีปากรูปกระจับสีส้มธรรมชาติก็ดูดีมากเมื่อเจ้าตัวหยักยิ้ม เมื่อยืนเทียบกับนาเทลที่มีรูปร่างสูงโปร่ง เชอเชสกลับดูสูงและตัวใหญ่กว่าพอสมควร ลองกะด้วยสายตาก็น่าจะร้อยแปดสิบกว่าๆ เกือบร้อยเก้าสิบ ภายใต้เสื้อผ้านี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นลอนสวยอย่างคนดูแลสุขภาพ (ที่รู้เพราะผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนสอนให้เชอเชสกับนาเทลใช้ฝักบัวกับอ่างอาบน้ำเป็นครั้งแรก) ถ้าไม่นับผมสีส้มที่ดูโดดเด่นผิดธรรมชาติ ทุกอย่างที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มนามเชอเชสล้วนแล้วแต่ดูลงตัวจนน่าอิจฉา ครบสูตรหล่อ ดูดี มีชาติตระกูล อีแบบนี้ร้อยทั้งร้อยต้องเป็นคนที่เนื้อหอมชัวร์!
“นี่ เชอเชส ผมถามได้ไหมว่าทำไมนายกับนาเทลถึงไปรับผมด้วยตัวเองล่ะ การเดินทางในอวกาศมันอันตรายมากไม่ใช่เหรอ พ่อนาย เอ่อะ...พระราชายอมให้พวกนายไปได้ยังไง”
พ่อผมคนนึงล่ะที่เป็นพวกหวงลูกแบบสุดติ่ง เวลาผมขอไปเที่ยวไหนไกลๆ ถ้าไม่ได้ไปกับคนที่พ่อวางใจอย่างไอ้ธา(มันน่าไว้ใจตรงไหน???) อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย แค่ต่างจังหวัดยังยาก นับประสาอะไรกับนาเทลและเชอเชสที่ต้องเดินทางข้ามดาวกัน ลองผมไปขอพ่อเดินทางไปต่างโลกดูบ้างสิ ถ้าไม่หูชากลับมาก็ได้เจอแข้งฟาดให้ลงไปนอนนับดาวเล่นแน่
“มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์แสงจันทร์ ที่โอรสของกษัตริย์จะต้องเดินทางไปรับพระชายาด้วยตนเองน่ะ”
“ครับ” ผมพูดปิดท้าย ให้เชอเชสทำหน้างงว่าผมจะครับใส่เขาทำไม
“นายเด็กกว่า เพราะงั้นลงท้ายต้องมีหางเสียงด้วย” ผมทำตาดุใส่เขา เปลี่ยนคำเรียกจาก 'คุณ' เป็น 'นาย' เรียบร้อยนับตั้งแต่นาทีนี้
“ครับ...” เชอเชสลองพูดตาม ผมพยักหน้าพอใจที่ทำให้เจ้าชายตรงหน้าพูดจาน่ารักกับผมได้ “หรือท่านวีอยากให้ข้ากลับไปพูดตามเดิม... เอ่อ ขอรับ?”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แค่ลงท้ายว่า ‘ครับ’ แทน ‘ขอรับ’ ก็พอ บนโลกมนุษย์เขาถือว่าเป็นการให้เกียรติคนที่อายุมากกว่าน่ะ”
“พูดเพราะๆ ผู้ใหญ่จะได้รักและเอ็นดูไง”
แว่วเสียงกระซิบจากด้านหลังที่ผมได้ยินแต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไอ้ธานะไอ้ธา เห็นเดินเงียบๆ ตามหลังมาไอ้เราก็นึกว่าหายเข้าโลกส่วนตัวไปแล้ว ที่ไหนได้แอบฟังที่คนอื่นเขาคุยกันเฉย ถ้าว่างมากนักก็หันไปชวนนาเทลคุยเซ่ ปล่อยให้เจ้าน้ำตาลเดินหงอยเป็นกระต่ายเหงาได้ยังไง ไม่ไหวเลยไอ้เพื่อนคนนี้
“ว่าแต่... เราพูดถึงไหนกันแล้วนะ” ผมทำท่านึก เจ้าสีส้มที่ดูจะมีความจำดีกว่าเลยทวนเนื้อหาให้ผมอีกครั้ง คราวนี้ไม่ลืมลงคำว่าครับปิดท้ายประโยคด้วย ช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน
“ในเมื่อเป็นธรรมเนียมของที่นี่ แล้วทำไมคุณทาคาลกับซอโรถึงไม่ได้ไปด้วยล่ะ?” ข้อนี้ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ในเมื่อเชอเชสบอกเองว่าเป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ที่จะต้องไปรับพระชายาด้วยตัวเอง แล้วไหงอีกสองชีวิตถึงได้นอนตีพุงอยู่นี่แทนเล่า
“นั่นเป็นเพราะเสด็จพี่ใหญ่ทรงสละสิทธิ์ในการขึ้นการครองราชไปแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปโลกอีกครับ” เจ้าสีส้มให้ข้อมูลที่ฟังดูน่าสนใจไม่เลว เจ้าหนึ่งขอถอนตัวไปแล้วก็เท่ากับตัวเลือกของผมลดลงไปอีกหนึ่ง แหล่มเป็ดสิครับท่าน “ส่วนน้องเล็กยังอายุน้อยเกินกว่าที่จะออกเดินทางได้ เลยต้องรั้งรออยู่ที่นี่แทนน่ะ... เอ่อ ครับ”
ผมยิ้มเมื่อเห็นคนที่โตแต่ตัวหลุดท่าทางน่าเอ็นดูออกมา เห็นอย่างนี้แล้วก็นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายกลายร่างเป็นกระต่ายตัวจ้อย ตัวอ้วนๆ ใหญ่ๆ ขนนุ่มนิ่ม ถ้าขอให้เขากลับไปอยู่ในร่างนั้นให้ผมขยำเล่นสักหนึ่งวัน เชอเชสจะว่าอะไรไหมน้า~
ไว้ว่างๆ ต้องลองขอดูหน่อยแล้ว
“ผมถามได้ไหมว่าเพราะอะไรพี่ชายคุณถึงได้สละสิทธิ์?” ใบหน้าเคร่งขรึมของเจ้าชายองค์โตเด้งเข้ามาในความคิด ทั้งที่ผมคิดว่าเขาดูเหมาะกับตำแหน่งกษัตริย์ที่สุดแล้วในบรรดาพี่น้องสี่คน ไหงยอมลงให้น้องง่ายๆ ล่ะ ไม่ใช่ว่าคนในราชวงศ์ชอบชิงราชบัลลังก์กันหรอกเหรอ หรือผมจะดูหนังเป็นเพื่อนแม่เยอะเกินไป?
“ยามใดที่ชาวแสงจันทร์มีรัก ย่อมรักมั่นเพียงหนึ่งไม่มีสอง ในเมื่อเสด็จพี่ของข้าตัดสินใจสู่ขอธิดาของอำมาตย์มาตบแต่งเป็นภรรยาแล้ว เขาย่อมยอมวางมือจากบัลลังก์ให้คนอื่นได้ขึ้นครองแทน”
อะหือ... ได้ยินแบบนี้แล้วอยากยกนิ้วให้พ่อหนุ่มหน้าตายคนนั้นนัก เลือกรักมากกว่ายศศักดิ์ ยอมสละบัลลังก์เพียงเพื่อผู้หญิงที่รักเพียงคนเดียว ฟังแล้วโรแมนติกจั๊กกะจี้หัวใจชะมัด
“ถึงลานพิธีแล้วล่ะครับ”
เจ้าสีส้มบอกเมื่อเรามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าลานแสงจันทร์ หน้าทางเข้าเป็นซุ้มโค้งดอกไม้ที่ทอแสงสีทองเรืองรอง เชอเชสบอกว่าเวลานี้เป็นเวลาแปดดารา หรือก็คือประมาณสามทุ่มตรงตามเวลาโลก ผมที่สงสัยมาตลอดว่าช่วงเวลากลางคืนในดวงจันทร์มันจะเป็นยังไง เวลานี้ผมได้คำตอบนั้นแล้ว
ท้องฟ้ายามค่ำคืนของที่นี่ไม่มืดมิดเหมือนโลกบ้านเรา ทั่วทั้งผืนฟ้าเป็นสีเหลืองนวลแปลกตา แต่ที่ตรึงใจผมได้มากกว่านั้นคือม่านฟ้าที่ทอแสงสีเขียวเหลือบม่วง มนุษย์โลกอย่างเราๆ เรียกแสงนั้นว่าออโรร่า เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่จะมีให้เห็นเฉพาะบริเวณแถบขั้วโลก ถ้าผมจำข้อมูลไม่ผิดน่ะนะ...
ด้วยความอยากรู้ผมเลยลองถามเชอเชสดูว่าคนบนดวงจันทร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าอะไร เขาตอบกลับมาว่า นั่นเรียกว่าม่านแสงจันทร์ วันไหนอากาศดีก็จะเป็นสีชมพูอมฟ้า วันไหนอากาศแปรปรวนหน่อยก็จะเป็นริ้วสีส้มอมแดง และถ้าคืนไหนฝนจะตก ม่านพวกนี้ก็จะไม่ปรากฏออกมาให้เห็น ส่วนวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ม่านเลยเป็นสีเขียวเหลือบม่วง
ผมมองภาพบนฟ้าแบบทึ่งๆ นี่ถือเป็นการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าที่จัดได้ว่าแม่นยำซะยิ่งกว่ากรมอุตุซะอีก น่าสนใจๆ
“เจ้าชายนาเทล เจ้าชายเชอเชส และพระชายาเสด็จ!”
เสียงประกาศแสบแก้วหูดังขึ้นเมื่อพวกเราเดินผ่านซุ้มดอกไม้เข้าไปยังลานพิธี พื้นที่นี่ปูด้วยหินสีขาวทอดยาวไปสู่ลานกว้างทรงกลม ให้ความรู้สึกเหมือนโคลอสเซียมของโรมันเพียงแต่กว้างใหญ่ไม่เท่า สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเป็นสีขาวล้วน ตรงกลางถูกยกขึ้นเป็นเวทีสูงประมาณอก เชอเชสบอกว่านั่นเป็นเวทีสำหรับการแสดงและประกอบพิธีการสำคัญ รอบด้านถูกสร้างขึ้นเป็นขั้นบันไดจำนวนสี่ขั้น ความกว้างมากพอสำหรับการปูเสื่อขนาดมาตรฐานได้ผืนหนึ่ง พอวางโต๊ะวางเบาะสำหรับคนนั่งแล้วยังเหลือที่เดินอีกราวๆ สองศอกครึ่ง นับว่ากว้างขวางใช้ได้
ส่วนที่ประทับของกษัตริย์นั้นถูกสร้างขึ้นให้อยู่ตรงกับทิศเหนือ ตรงกลางมีเก้าอี้สองตัววางตั้งอยู่เคียงกัน หนึ่งเป็นของพระราชา อีกหนึ่งเป็นขององค์ราชินี ลงมาจะเป็นที่ประทับของเจ้าชายทั้งสี่ที่ต้องนั่งเรียงตามลำดับจากพี่ไปน้อง ส่วนผมกับไอ้ธาที่มาจากต่างแดนถูกจัดให้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ประทับของราชา ทุกด้านหันหน้าเข้าหาเวทีหมด
“พระชายากับสหายผู้มาจากต่างแดน เชิญทางนี้ขอรับ” เป็นยาอุลนั่นเองที่ออกมารับรองพวกผมเดินนำไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมไว้
ผมเดินตามเด็กชายที่ยังมีหูหางประดับอยู่ครบ พอลองถามว่าทำไมเขาถึงไม่เก็บหูเก็บหางไปเหมือนชาวกระต่ายคนอื่นๆ ยาอุลก็ให้คำตอบกลับมาว่าเขายังเด็กเกินกว่าที่จะใช้พลังเก็บหูซ่อนหางลงได้ พอพูดกันถึงเรื่องอายุ ด้วยความสงสัยผมเลยลองถามยาอุลดูว่าตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่ ครั้งแรกที่เจอกันผมคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่ แต่คำตอบที่ถูกต้องดันเป็นสิบขวบครับ...
“นี่ขอรับ ที่นั่งของท่านวี ส่วนที่นั่งของท่านธาอยู่ตรงนี้ขอรับ”
ยาอุลผายมือไปยังที่นั่งประจำตำแหน่งของผมกับไอ้ธา วินาทีแรกที่เห็นที่นั่งของตัวเอง คิ้วทั้งสองข้างของผมนี่ถึงกับกระตุกรัวๆ โต๊ะสีขาวสะอาดอันนี้ไม่มีปัญหา เบาะนั่งที่ทำจากผ้าเนื้อดีสีชมพูหวานแหววนี่ก็ยังพอรับได้เพราะนั่งทับไปก็ไม่มีใครเห็นแล้ว แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือพวกคุณจะประดับดอกไม้อะไรนักหนา ทำเป็นซุ้มโค้งห้อยระโยงระยางอย่างกับว่านี่เป็นซุ้มหน้าประตูวิวาห์ที่ทำขึ้นให้บ่าวสาวลอด
ผมอยากจะถามคนที่ครีเอททำเจ้าซุ้มนี้ขึ้นมาจริงๆ เลยว่า นี่พี่ขนมาหมดทุ่งเลยรึป่าวครับเนี่ย!?
“โหมึง คนทำเขากะให้มึงนั่งสวยท่ามกลางดงดอกไม้แน่เลยว่ะ ก๊ากกก”
ไอ้ธาที่เงียบเป็นเป่าสากเมื่อต้องเดินคู่กับเจ้าชายนาเทลดูจะดึงวิญญาณกลับเข้าร่างมาแล้ว มันถึงได้ปากหมาส่งเสียงล้อเลียนทันทีที่เห็นที่นั่งดั่งทุ่งดอกไม้บานของผม เหอะๆๆ
“พูดได้แล้วเหรอมึง กูก็นึกว่ามึงจะหากล่องเสียงไม่เจอแล้วซะอีก”
“อะไรๆ ที่กูไม่พูดเพราะกูเกรงใจเหอะ เห็นเพื่อนกูมัวแต่ยุ่งกับการจีบเด็ก จะเข้าไปขัดมันก็ยังไงๆ อยู่ กูเลยเผลอฟังซะเพลิน” มันหัวเราะอิอิได้ทุเรศที่สุดในสามโลก ถ้าไม่ติดว่าบรรดาขุนนางที่นั่งกันหน้าสลอนกำลังจับจ้องมาทางผมอยู่ล่ะก็ สันมือคงได้ฟาดเข้าสักส่วนบนร่างกายไอ้เพื่อนขี้แซวไปแล้วสักทีสองที
“จีบเด็กพ่อมึงสิ” ผมลดเสียงลงจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่เชื่อว่าระดับไอ้หมาธาผู้แสนรู้มันต้องอ่านปากผมออกแน่ว่าผมกำลังพูดอะไร
“แซวเล่นนิดหน่อยแม่งล่อถึงพ่อกูเลย...”
มันบ่นอุบอิบแต่ก็ไม่คิดถือสาหาความ เดินไปนั่งตรงโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้มันก่อนจะมีเด็กชายกระต่ายหูสีขาวคลานเข่ามารินชาให้ ปรนนิบัติดีแบบน่าให้ทิปไปสักสี่สิบ แต่ระดับป๋าธาน้องอย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นแบงค์เขียวจากมัน บทคุณชายธาจะแจกทิปทีนี่ให้ใบสีแดงนะครับ ทำเป็นเล่นไป ใครๆ ก็เรียกว่ามันว่าเสี่ยชลบุรี พ่อเปิดโชว์รูมรถนอก แม่ทำร้านขายจิวเวลรี่ พี่ชายสองคนทำอสังหาริมทรัพย์ ไม่รวยบ้านแตกก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วครับ มันเลยมีปัญญาซื้อคอนโดอยู่เองหลังสอบเข้ามหาลัยได้ไง
“นั่งดิ มึงจะยืนสวยรับลมอีกนานไหมครับ คุณพระชายา”
ท่าทางคืนนี้เพื่อนผมมันจะอยากกินตีนแทนวิตามินก่อนนอนซะแล้วครับ หน้าตี๋ๆ นั่นเลยจงใจยียวนกวนผมแบบเต็มที่ รอจบตรงนี้ก่อนเถอะมึงแล้วเราค่อยคิดบัญชีกัน หนี้ที่ทิ้งกูหนีไปอาบน้ำคนเดียวนั่นยังไม่ได้เอาคืนเลยนะเว้ย
ผมกระทืบเท้าก้าวไปนั่งบนเบาะสีชมพูหวานบาดใจที่รายล้อมด้วยดอกไม้สีสันสดใสชวนเวียนหัว นี่ถ้าผมเกิดมาเป็นผู้หญิงคงมีความคิดที่ว่าถึงตายก็ไม่เสียชาติเกิดแวบเข้ามาในหัว แต่ขอโทษที่ผมเป็นผู้ชายแมนๆ และคงไม่มีผู้ชายแมนๆ คนไหนดีใจที่ได้มานั่งอยู่ตรงจุดนี้หรอก ฮือออ ผมยังแมนอยู่นะครับ
พอนั่งได้ที่แล้ว เด็กน้อยยาอุลก็คลานเข่าเข้ามาเสิร์ฟน้ำชากลิ่นดอกไม้ให้ เจ้าสีเทาบอกว่าชานี้ชื่อ ชามายาจันทร์ เป็นใบชาชั้นหนึ่งที่ปีๆ นึงจะเก็บผลผลิตได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ดังนั้นชานี่จึงถูกเก็บไว้อย่างดีมีไว้ใช้เฉพาะในงานพิธีสำคัญๆ เท่านั้น นับว่าเป็นลาภปากของผมเลยที่มาถึงก็ได้กินของดี กินแล้วแทบลอย
ในระหว่างที่รอพิธีเริ่ม ผมให้ยาอุลช่วยเล่าเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกนี้ให้ผมฟัง จนกระทั่งเสียงประกาศว่าพระราชากับองค์ราชินีเสด็จมาถึงแล้วนั่นล่ะ ยาอุลถึงได้คลานเข่าถอยหลังกลับไปยืนประจำที่
ทันทีที่ผู้มีอำนาจสูงสุดปรากฏกาย เหล่าขุนนางต่างพากันลุกขึ้นยืนต้อนรับ เชอเชสกับนาเทลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยืนด้วย ผมกับไอ้ธาเลยต้องรีบทำตามน้ำ เขายืนกันเราก็ยืนด้วย เขานั่งเมื่อไหร่เราค่อยนั่งตาม เข้าสุภาษิตที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รับรองปลอดภัยหายห่วง
เสียงถวายพระพรดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผมที่อยากรู้ว่าราชินีแห่งดวงจันทร์หน้าตาเป็นอย่างไรเลยแอบเงยหน้าขึ้นดูนิดหน่อยแบบไม่ให้เป็นที่สังเกต บนทางเดินที่มุ่งหน้าขึ้นสู่ปะรำพิธีมีคนเดินอยู่ด้วยกันสามคน หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นพระราชา ตามมาด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดแบบชาวดวงจันทร์ ปิดท้ายด้วยผู้ชายตัวเล็กในชุดขาวที่แต่งกายเหมือนพวกนักพรตของญี่ปุ่น
ผมเอียงคองง ไหนล่ะราชินีแห่งดวงจันทร์?
อย่าบอกนะว่า...
รอจนกระทั่งสองในสามนั้นนั่งประจำที่ ผมถึงได้รู้ว่าสิ่งที่คิดอยู่ในหัวมันไม่ผิดไปจากที่คิดเลย
ราชินีแห่งดวงจันทร์เป็นผู้ชาย! ผมที่เป็นชายาแห่งดวงจันทร์ก็เป็นผู้ชาย!
อาณาจักรแห่งนี้มันผิดเพี้ยนเกินไปแล้ว!!!
--------------------------------------------------------
อาณาจักรแสงจันทร์ = ฟินแลนด์สำหรับเรา 55555555
ดีใจที่ชอบนิยายเรื่องนี้กันนะค้าา
ขอบคุณทุกเม้น ทุกกำลังใจที่มอบให้กันนะก๊ะ