พิมพ์หน้านี้ - ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: varirinnara ที่ 17-12-2015 19:27:48

หัวข้อ: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 17-12-2015 19:27:48
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
**********************************************************


...ชายาแห่งดวงจันทร์...


จู่ๆก็มีมนุษย์ประหลาดบุกเข้ามาในคอนโดที่ผมอยู่กับเพื่อน

บอกว่าผมเป็นชายาแห่งดวงจันทร์เลยจะมารับไปอภิเษกกับเจ้าชาย

แต่เดี๋ยวก่อนนะพรรคพวก..เจ้าชายของนายเป็นผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย

แล้วมันจะไปแต่งกันได้ยังไง!

-Vari*Rin-


**********************************************************




ชายาแห่งดวงจันทร์

-Intro-
ในคืนที่พระจันทร์เป็นสีแดงเลือด



ในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีดำกำมะหยี่ ผมยืนชมจันทร์อยู่ตรงระเบียงคอนโดของเพื่อนสนิท

เพื่อนคนนี้มีชื่ออันแสนเพราะพริ้งว่า ธารา ผมเรียกมันว่าไอ้ธาแทนที่จะเป็นไอ้น้ำชื่อเล่นของมัน

สาเหตุที่ผมมายืนกินลมชมจันทร์ในคอนโดคนอื่นไม่ใช่ว่าผมว่างมากหรือไม่มีบ้านให้กลับ แต่เป็นไอ้ธาที่ขอร้องแกมอ้อนวอนปานจะคุกเข่ากราบให้ผมมานอนเป็นเพื่อนเนื่องด้วยมันกลัวผีขั้นเทพแต่ดันเสือกไปดูหนังผีกับเพื่อนในคณะมา ร้อนถึงตัวผมที่ต้องเก็บของใช้ส่วนตัวจำพวกเสื้อผ้าและชั้นในมานอนห้องมันเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ จะเพิ่มวันหรือเปล่านั้นอีกเรื่อง ขึ้นอยู่กับว่าไอ้อาการปอดแหกกลัวผีของมันจะทุเลาลงเมื่อไหร่

“เฮ้ย ไอ้วี จะยืนทำเอ็มวีอีกนานมั้ยวะ มานั่งเล่นเกมเป็นเพื่อนกูมา”

ไอ้ธาร้องเรียกผมให้เข้าไปอยู่กับมันที่กำลังกดแป้นคีย์บอร์ดยิกๆ มีผ้าห่มผืนเล็กคลุมตัวกันหนาว ซ้ายขวาเต็มไปด้วยถุงขนมที่แม่งกะแดกยันเช้าไม่หลับไม่นอน

“มึงเล่นไปเหอะ กูเล่นไม่เป็น ดูไปก็ไม่รู้เรื่อง” ผมตะโกนตอบมันที่เหมือนจะเอาสติทั้งหมดเข้าไปสู่โลกแห่งเกมเรียบร้อยแล้วพลางซดน้ำอัดลมลงกระเพาะตอนตีหนึ่งกว่าๆ ให้มันกัดอวัยวะภายในเล่น

คืนนี้เป็นคืนที่จันทร์เต็มดวง หลังเมฆก้อนใหญ่พัดผ่านไปผมถึงได้เห็นความงามของมันเต็มที่ จะว่าไปพรุ่งนี้ก็วันลอยกระทงแล้วนี่หว่า มิน่าพระจันทร์ถึงโตเต็มดวงจนเห็นกระต่ายบนดวงจันทร์ชัดซะขนาดนี้

ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางชมความงามของดวงจันทร์ต่อไป จะว่าไปก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน รอกินโค้กกระป๋องนี้หมดแล้วเข้านอนเลยดีกว่า

ขณะที่ผมตัดสินใจดังนั้น ดวงจันทร์บนท้องฟ้ากลับดูผิดสีไป

จากสีเหลืองนวลกลับถูกสีแดงเลือดค่อยๆ กลืนกินจนกลายเป็นพระจันทร์สีแดงก่ำ

ผมที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนรีบเรียกไอ้ธาให้มาดูปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่รู้จะต้องรอไปอีกกี่ปีกว่าจะได้เห็นอีกสักครั้ง

“ไอ้ธาๆ มาดูนี่เร็ว พระจันทร์สีเลือดเว้ย!” ตะโกนเรียกมันไปแล้วรอบนึงแต่แม่งไม่ยอมขยับ ผมเลยต้องเข้าไปลากมันออกมาตรงระเบียงทั้งที่มันไม่เต็มใจเพราะกำลังบุกฐานทัพศัตรูอยู่ แต่ช่างแม่งเถอะครับ เกมจะเล่นอีกกี่ครั้งก็ได้ แต่ถ้าพลาดชมฉากนี้มึงอาจต้องรอไปอีกนานเลยนะเว้ย

“ไหนวะ พระจันทร์สีเลือดของมึง กูก็เห็นสีเหลืองดีอยู่นิ” ไอ้ธาขมวดคิ้วคล้ายอารมณ์เสียที่ถูกรบกวน มันมองท้องฟ้าทีหนึ่งก่อนจะวิ่งกลับไปรัวคีย์บอร์ดต่อพร้อมกับสบถคำหยาบไม่หยุดเพราะตัวละครของมันกำลังโดนอีกฝ่ายไล่ฆ่า

ผมมองไอ้ธาสลับกับดวงจันทร์ที่มันบอกว่าเป็นสีเหลืองดีอยู่แต่ผมกลับเห็นมันเป็นสีแดงเลือด...

เอาละเหวย พี่น้องครับ งานนี้เป็นผมที่โดนผีหลอกตอนตีหนึ่งกว่าๆ รึไงฟะ

ผมก้าวขาถอยหลังตัดสินใจจะกลับเข้าห้อง แต่เท้ายังไม่ทันจะก้าวพ้นระเบียงผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งวาบทะลุอกไป
สองเข่าของผมทรุดลงกับพื้น ยกมือหนึ่งขึ้นกุมอก มันร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับมีใครเอาเหล็กร้อนมานาบจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด ผมกัดฟันกรอด คิดว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอีกแปบก็คงหายแต่มันไม่ใช่ มันกำลังลุกลามไปทั่วร่างกายจนเห็นแสงสีแดงห่อหุ้มตัวผมอยู่

ร้อน...ไม่ไหวแล้ว...

“ธา...ไอ้ธา...!” ผมตะโกนเรียกมันเสียงพร่า ทีแรกมันก็ไม่ได้ยินหรอกครับเพราะมัวแต่เล่นเกมอยู่ จนกระทั่งผมล้มตึงตรงขอบประตูนั่นล่ะมันถึงได้หันมาเห็นสภาพเจียนตายของผม มันรีบทิ้งเกมที่กำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มรีบวิ่งมาหา ดีนะมันเลือกเข้ามาดูผมแทนที่จะนั่งหวดเกมต่อ ไม่งั้นผมได้มีบึ้มคอมมันแน่

“เฮ้ย ไอ้วี เป็นไรวะ! แล้วนี่มันแสงไรเนี่ย!?” ดูเหมือนไอ้ธาจะเห็นแสงสีแดงที่ปกคลุมรอบตัวผมเหมือนกัน มันประคองกึ่งลากให้ผมเข้ามานอนแผ่ในห้องดีๆ แต่ตัวผมที่เจ็บแปลบไปทั่วร่างไม่สามารถตอบคำถามมันได้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และไอ้แสงนี่มันมาจากไหนเหมือนกัน

“ร้อน กูร้อน ช่วยกูด้วย” ผมดิ้นพล่านทั้งน้ำตา ยิ่งเป็นหนักขึ้นเมื่อความร้อนมันวิ่งขึ้นสมองจนเหมือนหัวจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
ผมกุมหัวแน่น แหกปากร้องอย่างไม่อายใครหน้าไหนหรือกลัวว่าใครจะคิดว่าห้องนี้มีผีเฮี้ยนสิงสู่อยู่ ไอ้ธาเห็นผมสภาพนี้ยิ่งร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะกอดปลอบผมก่อนดีหรือจะวิ่งไปเอาโทรศัพท์โทรหารถพยาบาลก่อนดี

มึงช่วยตัดสินใจเร็วๆ หน่อยก็ดีนะ กูจะตายอยู่แล้วไอ้เพื่อนเวร!

“อ๊ากกกกกกกก”

ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อในหัวเหมือนจะระเบิด และก่อนที่ไอ้ธาจะหาเบอร์โรงพยาบาลในเน็ตเจอ ผมก็รู้สึกโล่งสบายพร้อมกับมีสายลมที่ไม่รู้มาจากไหนห่อล้อมรอบตัวผมเอาไว้พร้อมกับวงแหวนสีแดงที่กระเพื่อมออกจากตัวผมไม่หยุด

ผมเปิดเปลือกตาขึ้น มองสภาพตัวเองที่เหมือนผู้วิเศษในหนังที่มีวงเวทย์ปรากฏอยู่ใต้เท้าอย่างอึ้งๆ ไอ้ธาเองก็มองผมอย่างกับเห็นตัวประหลาด มันมองผม ผมมองมัน ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไรออกมา แสงสีแดงสดใสราวกับทับทิมก็สว่างวาบตรงหน้าผม ไออุ่นร้อนประทับลงตรงหน้าผากแต่ไม่ปวดแสบปวดร้อนหรือรู้สึกทรมานแต่อย่างใด

รอจนไอร้อนแผ่วจางลง วงแหวนเวทย์และสายลมก็อันตรธานหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความสงสัยในดวงตาผมกับไอ้ธา และห้องที่เละเทะเหมือนโดนใต้ฝุ่นลง

“ไอ้วี...หน้าผากมึง...” ไอ้ธาชี้นิ้วมาที่หน้าผม ผมรีบยกมือขึ้นแตะหน้าผากก่อนจะรีบวิ่งไปหากระจกส่องดูสภาพตัวเอง
สิ่งที่ผมเห็นสะท้อนกลับมาคือใบหน้าขาวซีดของตัวเองกับมงกุฎสีแดงเลือดที่ปรากฏกลางหน้าผากอย่างกับเพิ่งไปสักมา

“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกับกูกันแน่วะเนี่ยยยยยยยยยย!”



--------------------------------------------------------------------

ฝากสองเกรียนนี่ด้วยนะก๊ะ  :hao7:
หัวข้อ: ชายาแห่งดวงจันทร์ -1-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 17-12-2015 19:41:52
-2-
เขาบอกว่าผมคือชายาแห่งดวงจันทร์


ผมสลบไปถึงสองวันเต็มจนไอ้ธานึกว่าจะได้จัดงานศพให้ผมในห้องของมันซะแล้ว

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกมึนเบลอนิดๆ มองไปรอบห้องก็พบว่ามันมืดมากแล้ว นาฬิกาข้างผนังบอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง ดึกได้ที่ มิน่าท้องของผมถึงได้ร้องประท้วงบอกว่าหิวมาก ไอ้ธาที่รู้งานดีเลยรีบเอาโจ๊กที่มันซื้อมาไปอุ่นให้ รอไม่นานโจ๊กหอมกรุ่นที่เพิ่งออกจากเตาไมโครเวฟก็ร่อนมาจอดอยู่ตรงหน้า ผมสวาปามยิ่งกว่าคนอดข้าวมาเจ็ดวันแบบไม่กลัวโดนไอ้ธาหาว่าเป็นปอบลงเลย

“ค่อยๆ กินก็ได้ ข้าวมึงไม่หายไปไหนหรอก” ไอ้ธาถอนหายใจโล่งอกที่เห็นผมตื่นมาแข็งแรงดี ไม่ได้ทำท่าเจ็บปวดเหมือนคนจวนจะคลอดลูกอีกแล้ว

ผมไม่อยากจะด่า เอ็งหาว่าใครปวดท้องคลอดลูกห๊าาา!

“แม่มึงมีโทรมาด้วย แต่กูบอกว่ามึงไม่ค่อยสบาย หายดีแล้วก็โทรหาแม่มึงหน่อยอ่ะ” ผมพยักหน้ารับทราบ กวาดโจ๊กจนเกลี้ยงจาน ก่อนรีบวิ่งไปเปิดเหม่งหน้ากระจกสำรวจสภาพตัวเอง

รอยสักรูปมงกุฎยังคงเด่นชัดแสดงให้รู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป

“นี่มันอะไรวะเนี่ย...” ผมลองใช้เล็บขูดๆ มันดูเผื่อว่ามันจะออกเหมือนเวลาเราเล่นแท็คทูกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ออก แต่หนังหัวผมนี่แหละที่จะถลอกแทน

“กูก็อยากถามมึงเหมือนกัน แต่ดูจากหน้าเอ๋อๆ ของมึงแล้ว กูว่ากูไม่ต้องถามก็รู้คำตอบว่ะ”

ทั้งผมและมันต่างคนต่างเงียบ

“กูจำได้แค่กูเห็นพระจันทร์เป็นสีเลือด แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมา ร้อนเหมือนจะตายเลยอ่ะมึง แล้วก็เป็นอย่างที่มึงเห็น วงเวทย์ใต้เท้า วงแหวนสีแดง แล้วยังไอ้มงกุฎนี่อีก” ผมลองนึกย้อนเหตุการณ์เล่าให้ไอ้ธาฟัง ซึ่งมันก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ

“แต่กูก็เห็นพระจันทร์ปรกติดีนะเว้ย” ถึงตอนนั้นเขาจะห่วงเกมจนรีบๆ มองดวงจันทร์ก็เหอะ แต่ระหว่างสีเหลืองกับสีแดงเขาแยกแยะออกในเวลาสั้นๆ หรอกน่า ไม่ได้ตาบอดสีซะหน่อย

ทั้งห้องเงียบกริบอีกครั้งเมื่อไม่มีใครพูดอะไรอีก

จนกระทั่งอยู่ดีๆ ก็มีแสงสีแดงพุ่งเข้ามาหาผม ทะลุกำแพงและประตูกระจกตรงระเบียงเข้ามา ไอ้ธาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ส่วนผมนี่สติแทบบินออกดาวอังคารไปแล้วยังดีที่เสียงไอ้ธารั้งผมไว้ก่อน

“นี่มันอะไรอีกวะเนี่ย!!!?”

ไม่รู้ตั้งแต่เกิดเรื่องแปลกๆ พวกนี้ขึ้น ผมได้พูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้ว

ผมมองแสงที่ทะลุเข้ามาในอกด้วยความรู้สึกบรรยายไม่ถูก อยากร้องก็ร้องไม่ออก วิ่งหลบก็ไม่ได้แม่งอย่างกับเชื่อมติดตัวผมมาตั้งแต่เกิด ไอ้ธาลองวิ่งไปคั่นกลางระหว่างแสงนั้นกับตัวผม ก็ปรากฏว่าทะลุผ่านตัวมันมาถึงผมได้อยู่ดี

ฮืออออ ผมจะร้องไห้อยู่แล้วนะ

แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจริงๆ คนสองคนที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็มายืนยิ้มอยู่ตรงระเบียงห้องของไอ้ธาประหนึ่งเป็นภูตผีปีศาจที่จู่ๆ ก็ปรากฏกาย หนึ่งในนั้นเคาะกระจกประตูเรียกความสนใจจากพวกเรา ไอ้ธาถึงกับร้องว้ากเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน

ก็นี่มันชั้น 16 แถมยังเป็นห้องมุม ระเบียงไม่เชื่อมติดกับห้องอื่นๆ การที่มีคนมาเคาะประตูกระจกตรงระเบียงได้ ถ้าไม่ใช่ผีก็แปลว่าแม่งบินมา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกไหนก็ไม่ดีต่อสุขภาพจิตของพวกผมเลยสักทาง

“กรุณาเปิดให้เราเข้าไปด้วยขอรับ ไม่เช่นนั้นจะหาว่าเรากระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุไม่ได้นะขอรับ” หนึ่งในนั้นยิ้มเสียหวานจ๋อย แต่ถ้อยคำที่พูดกับรอยยิ้มมันดูขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูก

“อ...อ..เอาไงดีวะไอ้วี” ไอ้ธาที่ใช้ผมเป็นโล่กำบังเอ่ยถามเสียงสั่นอยู่หลังผม

“ถามมาได้นะมึง กูเองก็กลัวจนหัวโล่งไปหมดแล้วเนี่ย คิดอะไรออกที่ไหนกันเล่า” จะวิ่งก็วิ่งไม่ออกด้วย ก็ใครใช้ให้สองขาของผมมันมาอ่อนแรงตอนนี้ล่ะเฟ้ย เกิดมายังไม่เคยเห็นโจรที่ไหนหน้าตาดีและกล้าขู่ด้วยรอยยิ้มแบบนี้มาก่อนเลย ฮืออออ

“อย่าให้พวกเราต้องใช้กำลังเลยนะขอรับ” อีกหนึ่งคนที่ยืนยิ้มหน้าหวานจ๋อยไม่ต่างกันพูดขึ้น ในมือของเขาถืออะไรบางอย่างที่มีแสงสีแดงพุ่งตรงมาทางผม ที่แท้ไอ้ตัวการที่ทำให้ชีวิตผมปั่นป่วนก็คือพวกมันนี่เอง!

“มึง เอางะ...”

ไอ้ธาถามผมยังไม่ทันจะจบคำ หนึ่งในผู้บุกรุกยามวิกาลก็วาดมือขึ้น เตรียมพร้อมทำลายข้าวของอย่างที่ได้ลั่นวาจาไว้จนผมต้องส่งเสียงร้องออกไปว่า “หยู้ดดดดดดดด หยุดๆๆ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ นั่นคุณคิดจะทำอะไรของคุณน่ะ!” ผมถามเสียงสั่น ส่วนไอ้ธาหน้าซีดฉี่แทบเล็ดไปแล้ว

“ถ้าไม่เปิดประตูให้ ก็มีแต่ต้องพังเข้าไปนี่ขอรับ” เจ้าบ้าหัวส้มพูดอย่างกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำจนเป็นกิจวัตร หน้าตาก็ดีทำไมนิยมความรุนแรงไปได้ล่ะครับเนี่ย!

“อ...อย่านะ ไม่งั้นผมแจ้งความเอาเรื่องพวกคุณแน่”

“แจ้งความ?” สองคนนั้นหันไปมองหน้ากัน ก่อนหนึ่งในนั้นจะวาดมือขึ้นอีกครั้งตั้งใจจะพังประตูเข้ามาจริงๆ

“โอเคๆๆ เปิดแล้วๆ อย่าพังประตูเลยครับ ค่าซ่อมมันแพง!” ครั้งนึงผมเคยทำกลอนหน้าห้องไอ้ธาหลุดไป ครั้งนั้นเสียตังค์ไปตั้งเป็นพัน เล่นเอาผมหน้าซีดค่าขนมหายไปเป็นอาทิตย์ แล้วนี่คนพวกนั้นคิดจะพังประตูกระจกตรงระเบียงเข้ามา ไม่อยากจะคิดเลยว่าค่าเสียหายมันจะปาไปเท่าไหร่

“เฮ้ย ไอ้วี จะดีเหรอวะ” ไอ้ธารั้งเสื้อผมเอาไว้ ดูท่ามันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่

“แสงที่ชี้มาที่ตัวกูนี่มาจากคนพวกนั้น ต่อให้เราหนีก็หนีได้ไม่นานหรอก สู้เผชิญหน้ากับพวกเขาไปเลยดีกว่า ดูสิว่าจะมาไม้ไหน” ผมบอกมัน ซึ่งไอ้ธาก็ดูจะเริ่มเห็นด้วย ก่อนจะรีบคลานไปหัวเตียงคว้ากีต้าร์มาถือไว้เตรียมบรรเลงเพลงด้วยการฟาดหัวใครสักคนให้สลบเหมือดไปถึงโลกหน้า

ผมทำใจกล้าค่อยๆ เดินไปเปิดประตูให้ชายทั้งสองคนนั้นเข้ามา ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ยืนประจันหน้ากับผมเรียบร้อย สองคนนั้นก็คุกเข่าลงทันทีพร้อมกับคารวะผมแบบคนญี่ปุ่นโบราณ เล่นเอาทั้งผมและไอ้ธาสะดุ้งโหยงไม่คิดว่าเจ้าบ้าหน้ายิ้มที่ทำตัวเป็นนักเลงเมื่อครู่จะนอบน้อมใส่คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกได้ขนาดนี้

“อะ...เอ่อ...นี่มันอะไรกันครับ” ผมหันซ้ายหันขวาแบบไม่รู้จะฉุดคนไหนขึ้นก่อนดี ใส่ชุดก็แปลกแล้วยังมาทำอะไรแปลกๆ แบบนี้อีก ผมรับมือไม่ถูกหรอกนะ!

“คารวะพระชายา พวกเรามารับตัวท่านขอรับ”

พวกเขาพูดขึ้นมาพร้อมกัน คำพูดนั้นทำเอาผมตะลึง ส่วนไอ้ธาถึงกับทำกีต้าร์แสนรักหลุดมือ

“หา?”

คารวะพระชายา??

ใคร? หมายถึงไอ้ธาเรอะ???

“มึงไม่ต้องหันมามองหน้ากู พวกนั้นคุกเข่าตรงหน้ามึงไม่ใช่หน้ากู” ผมดูตำแหน่งไอ้ธาที่นั่งเยื้องไปทางซ้ายเกือบชิดติดผนังห้องแล้วก็ต้องหันกลับมาชี้เบ้าหน้าตัวเอง

“เอ่อะ พวกคุณหมายถึงผมเหรอครับ” ขอถามเพื่อยืนยันความถูกต้องหน่อยเถอะ เผื่อมีอะไรผิดพลาดผมจะได้มีเฮกับเขาบ้างอะไรบ้าง

“ขอรับ” ตอบกลับมาพร้อมเพรียงขนาดนี้จะให้โบ้ยไปที่ไอ้ธาก็เห็นทีจะยากละ

“ขอโทษนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่พวกคุณพูดเท่าไหร่ ถ้ายังไงช่วยกลับไปก่อนได้ไหมครับ” มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยเฟ้ย ที่นี่ไม่ต้อนรับคณะตลก ต่อให้เป็นเรื่องอำก็ไม่ขำเลยสักนิด เพราะเมื่อวันก่อนนี่เจ็บจริงไม่มีแสตนอินเลยนะ!

“เห็นทีจะมิได้ขอรับ พระราชาสั่งให้พวกเรามารับตัวคุณกลับไปดวงจันทร์เพื่อคัดเลือกว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปขอรับ”

เอ่อ อะไรจันทร์ๆ นะ...

“ดวงจันทร์? คุณหมายถึงดวงจันทร์สีเหลืองกลมๆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอ่ะนะ?” ผมถามย้ำเพื่อความชัวร์ หรือนี่ผมยังไม่ตื่นจากความฝันฟะ

“ขอรับ” พวกเขาตอบเสียงดังฟังชัด ถ้าจะอำกันได้แฟนตาซีขนาดนี้เอาไปพูดให้เด็กสามขวบฟังแทนดีกว่ามั้ย

“ไอ้ธา มึงเลิกเล่นได้ละ บอกกูมา ซ่อนกล้องไว้ตรงไหน” ผมปีนขึ้นเตียงไปโบกหัวเพื่อนสนิทที่แม่งทำหน้าเหวอได้เนียนนัก

ไอ้ธาอ้าปากค้างหนัก รีบร้องโวยวายใส่ “อะไรของเมิ๊งงงงง กูก็งงเป็นเพื่อนมึงอยู่เนี่ย ถ้าจะอำกันจริง กูว่ามึงน่าจะเป็นคนอำกูมากกว่านะ ไหนจะนอนดิ้นๆ ที่พื้น บอกกูร้อนนู่นเจ็บนี่ ร้องซะลั่นห้องอย่างกับหมูถูกเชือด ไหนจะเอฟเฟ็คอลังการกับแท็คทูที่แปะหน้าผากมึงอีก เป็นที่ตัวมึงทั้งนั้น ไม่ใช่กูนะเว้ย”

ผมชะงัก ที่ไอ้ธามันพูดมามันก็จริงทุกอย่าง ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นกับตัวผมทั้งนั้น ไหนจะไอ้แสงแดงๆ ที่ยังชี้มาที่ผมไม่หยุดนี่อีก

“คือ...ผมขอถามอะไรหน่อยนะครับ พวกคุณเป็นใครกันแน่”

หนึ่งในนั้นรีบเงยหน้าตอบ “พวกเราคือองครักษ์หน่วยหนึ่งแห่งดวงจันทร์ที่ได้รับคำสั่งให้มารับตัวพระชายาขอรับ”

ไอ้ธาฟังแล้วสะกิดกระซิบกับผม “มึงๆ ไอ้พระชายาที่ว่านี่มันต้องเป็นผู้หญิงไม่ใช่รึไงวะ”

เออ จริงด้วย พอมันทักขึ้นมาผมถึงนึกขึ้นได้

“เดี๋ยวนะครับ พวกคุณแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นผม?” ไม่ใช่มารับคนผิดหรอกเรอะ...

คนที่มีหัวสีส้มเป็นคนตอบบ้าง “สัญลักษณ์บนหน้าผากคือเครื่องหมายยืนยันว่าท่านคือผู้ที่ถูกเลือกขอรับ พวกเราแค่เดินทางมาตามวิถีชี้นำ ซึ่งก็คือสิ่งนี้ขอรับ” เขาผายมือออกเผยให้เห็นเครื่องประดับทรงกลมที่เหมือนนาฬิกาห้อยคอรุ่นโบราณแต่มีเข็มสั้นยาวหลายเข็ม แสงจากตรงกลางจี้ยังคงส่องแสงสีแดงชี้มาที่ผมไม่หยุดคล้ายกับต้องการย้ำให้ผมเข้าใจซ้ำๆ ว่าเป็นมึงนั่นแหละไม่ผิดแน่แล้ว

“ผมขอปฏิเสธได้ไหมครับ และช่วยทำสิ่งนี้ให้หายไปด้วย” ผมรวบผมหน้าม้าขึ้นเผยให้เห็นสัญลักษณ์รูปมงกุฎชัดๆ ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมากลายเป็นคำปฏิเสธซะงั้น

“ขออภัยด้วยขอรับ เมื่อใดก็ตามที่เครื่องหมายนี้ปรากฏขึ้น มันจะไม่มีวันหายไปจวบจนท่านได้เลือกว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปแล้วขอรับ” หมายความว่าถ้าผมไม่ไปดวงจันทร์อะไรนั่น ผมจะมีไอ้มงกุฎบ้านี่ติดหัวไปตลอดชีวิตเลยงั้นสิ

ม่ายยยยยยยยยยยยยย

“เฮ้ย ไอ้วี ทำใจดีๆ ไว้!” ไอ้ธาถลามาประคองตัวผมไม่ให้ล้มหัวฟาดขอบเตียง มิเช่นนั้นมันอาจได้เก็บศพผมจริงๆ

“ไอ้ธามึงหยิกกูที กูอยากตื่นจากฝันนี่แล้วว่ะ”

เมื่อขอไปไอ้ธาก็จัดให้ มันคว้าเนื้อตรงแขนผมได้ก็จัดการบิดซะเขียวจนผมแหกปากลั่นทันที

“โอ๊ยๆๆๆ เจ็บโว้ย บิดมาได้เต็มแรงเลยนะนั่น”

“อ่าว... ก็มึงบอกให้กูหยิกกูก็หยิกดิ แล้วเป็นไง ตื่นยังจ๊ะพ่อพระชายา” ไอ้ธาหัวเราะคิกคักได้น่ากระโดดถีบยอดหน้ามันมาก ส่วนไอ้สองคนที่นั่งคุกเข่าเรียบร้อยอยู่บนพื้นห้องก็ยังรักษารอยยิ้มชวนจิตตกนั้นไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

“ไม่มีทางอื่นอีกแล้วเหรอครับ...” ผมพยายามหาทางเลี่ยงให้ถึงที่สุด

“เทพกระต่ายเลือกท่านแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้จนกว่าท่านจะสิ้นชีพไปขอรับ”

ชิบหาย ล่อซะกูตายกันเลยสิครับทีนี้

ผมนั่งอย่างเคว้งคว้างกลางห้อง รู้สึกมึนตึ้บทำอะไรต่อไม่ถูกไปพักใหญ่

“ถ้ายังไง...ผมขอนอนก่อนสักงีบ ตื่นมาค่อยว่ากันแล้วกันนะครับ”

ว่าแล้วผมก็เอนตัวลงนอนเลยโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของไอ้ธาที่หาว่าผมทิ้งมันไว้กับพวกประหลาดที่มาจากดวงจันทร์อะไรนั่นอีก

เทพแห่งดวงจันทร์ เทพกระต่าย พระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทั้งมวลบนโลกใบนี้ ถ้าพวกท่านเมตตาเด็กตัวดำๆ เอ๊ย ตาดำๆ อย่างผมสักนิด ช่วยทำให้ความฝันครั้งนี้จบลงสักที พรุ่งนี้เช้าผมจะได้ตื่นมาอย่างสดชื่น รับอรุณด้วยใบหน้าสดใส

ขออย่าให้เรื่องพระชายาแห่งดวงจันทร์อะไรนั่นเป็นเรื่องจริงเลย

สาธุ



-----------------------------------------------------
นุ้งวีมีเล่นของปิดท้าย ขอให้รัก ขอให้หลง(นิยายเรื่องนี้)
//ในวงเล็บนี่เราเล่นของใส่คนอ่านเอง555555
 :z2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 17-12-2015 19:55:41
ตามมาจากเด็กดีคะ

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: ชายาแห่งดวงจันทร์ -2-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 17-12-2015 20:09:49



-2-

การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของพระชายาวี




คืนนั้นทั้งคืนผมรู้สึกเหมือนโดนผีอำ

มันทั้งอึดอัด ขยับตัวไม่ได้ หายใจไม่ออก มันเหมือนมีใครมานอนทับ อย่าบอกนะว่านอกจากจะเจอเรื่องประหลาดอย่างการเป็นชายาแห่งดวงจันทร์นั่นแล้ว ผมยังแจ็คพ็อตแตกได้เจอผีเฮี้ยนวิญญาณหลอนในคอนโดไอ้ธามันอีก ถ้าเป็นงั้นจริงชีวิตติดดินของผมมันก็บัดซบเกินไปแล้ว!

“ท่านวี ท่านวีขอรับ” เสียงเรียกของวิญญาณหลอนนั้นดังอยู่ตรงหน้า พร้อมกันนั้นผมก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมาตรงปลายคางล่อซะขนทั่วร่างลุกเกรียว

นี่เมิงนั่งอยู่บนตัวกูเลยเร้อ เจ้าผีวายร้าย!

ผมปิดตาแน่นกว่าเดิม ตั้งใจไว้แน่วแน่ว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายผู้ชายจะกลายเป็นผู้หญิงยังไงผมก็จะไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาถ้าฟ้ายังไม่สว่างเด็ดขาด

ในใจท่องนโมเป็นรอบที่ร้อยพร้อมกับท่องบทสวดแผ่เมตตาต่อ หวังว่าอะไรๆ ที่ทับบนตัวผมอยู่จะจากไปอย่างสงบสุขเสียที ผมกลัวจนตัวสั่นเตียงสะท้านไปถึง 7.4 ริคเตอร์แล้วเนี่ย!

“แย่แล้วครับท่านธา ท่านวีเป็นอะไรไม่รู้ตัวสั่นใหญ่เลย”

ห๊ะ... เสียงนั้นเรียกชื่อไอ้ธา ไอ้ธาที่กลัวผีขี้หดตดหายยิ่งกว่าผมคนนั้นกำลังสนทนากับผอสระอีผีอยู่

ว้อทแฮปเพ่น อิทอิมพอสซิเบิ้ล!

“ท่าทางจะไข้ขึ้นมั้ง ตัวร้อนนิดๆ ด้วย” ผมสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่คุ้นเคยแปะลงมาบนหน้าผากเพื่อวัดไข้ ใช่เลย มือสากๆ นี้เป็นของไอ้ธามันแน่นอน เพราะเวลามันวัดไข้ให้ผมทีไรมันชอบตบๆ หน้าผากผมเหมือนแกล้งเล่นอย่างที่ทำอยู่นี่แหละ

ผมทำใจกล้ารีบเบิกตาโพลง แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ผมต้องร้องว้ากออกมารับอรุณแทนคำว่าอรุณสวัสดิ์

“ก..ก..ก...กระต่าย!?”

เจ้าตัวปุกปุยจ้องหน้าผมเขม็งชนิดที่เห็นจมูกฟุดฟิดของมันได้ถนัดตา ผมนอนเหวอ ในขณะที่ไอ้ธาขำก๊ากเหมือนมันได้วางแผนเอาไว้แล้วผมก็ตื่นมาติดกับมันเต็มเปา

“ไอ้ธา...” ผมเรียกมันเสียงเหี้ยม “นี่ฝีมือมึงใช่มั้ย?”

ผมหิ้วเจ้ากระต่ายสีน้ำตาลขนปุกปุยออกจากตัว เอาตัวหนึ่งออกไปแล้วถึงได้เห็นว่ามีสีส้มนอนนิ่งอยู่บนพุงผมอีกหนึ่งตัว
ก็ว่าทำไมมันหนักหายใจไม่ออก ที่แท้ก็โดนกระต่ายทับ...

“ฮ่าๆๆ ดูหน้ามึงตอนนี้ดิ แม่งงงงง ดูไม่ได้เลย”

ไอ้ธาขำก๊ากรับหมอนที่ผมปาใส่ได้อย่างน่าเอานาฬิกาปลุกบนหัวเตียงเขวี้ยงใส่ซ้ำอีกรอบ “เอ้า พระชายาคนงามของพวกนายตื่นจากบรรทมแล้ว มีอะไรจะพูดก็รีบพูดล่ะ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน” พูดจบมันก็เดินไปคว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเฉยเลย ทิ้งผมไว้กับกระต่ายสองตัวที่หันมามองผมตาแป๋ว หูตั้งน่ารักเชียว

แต่ไอ้ธาพูดทิ้งไว้ว่าพระชายา...

อย่าบอกนะว่า...

“น...นี่....” ผมชี้เจ้าตัวสีส้มสลับกับสีน้ำตาล จะว่าไปแล้วสีมันก็คุ้นๆ เหมือนสีหัวของใครสองคนที่เข้ามาเยี่ยมเยือนเมื่อกลางดึก

“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านวี” กระต่ายสองตัวพูดขึ้นพร้อมกัน ทำเอาผมอยากสลบนอนต่ออีกรอบ

นี่กูยังไม่ตื่นจากฝันร้ายอีกหรอวะครับ...

“กระผมเชอเชส ยินดีรับใช้ขอรับ”

“ส่วนกระผมนาเทล ยินดีรับใช้ขอรับ”

เจ้าตัวสีส้มค้อมหัวให้ผมก่อนตามด้วยเจ้าตัวสีน้ำตาล พวกมันทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าผมที่นั่งชันเข่าขึ้นเอาหลังชิดหัวเตียง ถอยกรูดติดฝาผนังซะยิ่งกว่าคนตกใจเวลาเห็นผีอีก

“ท...ทำไมพวกคุณถึงอยู่ใน เอ่อ...สภาพนี้ได้ล่ะ”

เมื่อวานตัวยังเป็นคนอยู่เลย ไหงเช้ามาถึงกลายเป็นกระต่ายไปซะได้

“พลังแห่งจันทราหมดลงแล้ว พวกกระผมจึงไม่สามารถคงร่างมนุษย์ต่อไปได้ขอรับ” เชอเชสเป็นคนไขข้อข้องใจให้ผม ลำคอมันห้อยสร้อยวิถีนำทางอะไรนั่นอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีแสงสีแดงส่องมาที่ตัวผมอีกแล้ว

“ท่านวี ได้โปรดตัดสินใจด้วยขอรับ” ต่อจากเชอเชสก็เป็นนาเทลที่พูดขึ้นบ้าง “ยิ่งพวกกระผมอยู่ห่างจากดวงจันทร์มากเท่าไหร่ ร่างกายพวกเราก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น อากาศบนโลกมนุษย์นั้นไม่เหมาะกับชาวแสงจันทร์อย่างพวกกระผมเลย ได้โปรด ตามพวกเราไปยังดวงจันทร์เถอะนะขอรับ”

ดวงตาสีดำเหมือนลูกปัดช้อนขึ้นมองหน้าผมคล้ายอ้อนวอน ผมชะงักกึกไปเลยทันใด

ย...อย่ามาทำสายตาแบบนี้ใส่ผมนะ

ผมพยายามไม่หันไปมองสายตาเจือแววขอร้องของกระต่ายนาเทล แต่เจ้าเชอเชสตัวร้ายดูเหมือนจะรู้ว่าลูกอ้อนแบบนี้ใช้ได้ดีกับตัวผมที่เป็นคนรักสัตว์โดยเฉพาะสัตว์เล็กๆ อย่างหมา แมว หนู กระต่าย มันเลยเอาขาเขี่ยเท้าผม พอเรียกความสนใจจากผมไปได้เท่านั้นล่ะ สองตัวสี่ตาก็สบประสานสายตากับผม ทำดาเมจรุนแรงจนหัวใจดวงน้อยๆ ของผมสั่นไหว

ไม่ได้นะไอ้วี เจ้าสองตัวนี้มันมาเพื่อพาแกไปดวงจันทร์ ไปเป็นพระชายาของเจ้านายพวกมัน แกเพิ่งอายุสิบเจ็ด ยังไม่เคยมีแฟน แถมยังเพิ่งเข้ามหาลัยหมาดๆ เองด้วย จะยอมเดินทางไกลไปแต่งงานกับคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งได้ยังไง

คิดได้ดังนั้นผมก็สะบัดหน้าหนีไปอีกทางหวังว่ามันจะช่วยไม่ให้เห็นดวงตาแป๋วแหววสองคู่นั้นจนใจอ่อนยวบ

เจ้าตัวสีส้มเหมือนจะรู้ว่าเกลี้ยกล่อมผมไปยังไงก็ไม่ได้ผล มันเลยตบไหล่เพื่อนร่วมชะตาที่มาด้วยกันพลางพูดคล้ายเสียงกระซิบแต่ก็ดังพอให้ผมได้ยินด้วยว่า “นายยังไหวไหมนาเทล ร่างกายนายยิ่งไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ด้วย”

พอได้ยินว่ากระต่ายตัวนึงมันป่วย หูทั้งสองข้างของผมก็กระดิกทันที

นี่ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟังที่มันสองตัวคุยกันเลยนะ ไม่ได้แอบเหล่ไปมองหน้าเศร้าๆ และท่าทางที่กำลังปลอบโยนกันด้วย ไม่เลยสักนิด!

“อย่าห่วงเลย เรายังไหว แค่รู้สึกอึดอัดเวลาหายใจก็เท่านั้นเอง” นาเทลพูดจบก็ไอโขลกๆ จนตัวโยน ดูโคตรจะน่าสงสารเลยในสายตาผม

ไม่ได้การ ใจผมเริ่มจะอ่อนยวบซะแล้ว!

“ถ้ามันลำบากขนาดนั้น ทำไมพวกนายไม่กลับดวงจันทร์ไปล่ะ” ผมพูดทั้งที่ยังไม่มองหน้าสิ่งมีชีวิตสองตัวที่นั่งทำตัวน่าสงสารอยู่บนเตียง

“มิได้ขอรับ” เชอเชสที่ดูแข็งแรงกว่าเป็นคนเอ่ยตอบ “หากเราพาท่านกลับไปด้วยไม่ได้ โทษสถานเดียวที่ทำงานพลาดก็คือความตาย ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรือกลับไป พวกเราก็หนีไม่พ้นโทษทัณฑ์นั้นอยู่ดี สู้อยู่ที่นี่ต่ออีกนิด ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขที่สุดยังดีเสียกว่าขอรับ”

จ...เจ้าพวกกระต่ายบ้า รู้ว่าถ้าพลาดแล้วต้องตายทำไมยังรับทำงานนี้กันอีกนะ!

เฮ้อออออออออ

ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียด พอดีกับที่ไอ้ธาวิ่งผ่านน้ำเสร็จกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

“ธา กูกลับบ้านแปบนะ เดี๋ยวมาใหม่” ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ยัดใส่กางเกง สวมรองเท้าผ้าใบเตรียมตัวออกจากห้องทั้งสภาพหัวฟูของคนที่เพิ่งตื่นนอน หน้าไม่ล้งไม่ล้างฟันไม่แปรงมันแล้ว ขี้เกียจ!

“ไปไมอะมึง?” เจ้าของห้องตะโกนถามหน้าตู้เสื้อผ้า คงกำลังหาชุดที่จะใส่วันนี้อยู่

“เก็บของ เดี๋ยวกูมา” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินออกจากห้องไปกดลิฟต์ลงสู่ชั้นล่าง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีกระต่ายตัวสีส้มๆ กระโดดตามมา จนจะเหยียบมันนั่นแหละถึงได้รู้ว่ามันแอบตามมาด้วย

“ตามมาตอนไหนเนี่ย มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเดี๋ยวก็โดนเหยียบแบนหรอก”

ผมคว้าเชอเชสขึ้นมาพาดไหล่ อุ้มมันเดินดีกว่าให้มันกระโดดตามมา เดี๋ยวเสี่ยงโดนหมาข้างถนนคาบไปแดกอีก

“ขออภัยขอรับ กระผมแค่อยากเห็นโลกมนุษย์ด้วยตาตัวเอง อยากรู้ว่าสถานที่ที่พระชายาใช้ชีวิตอยู่เป็นอย่างไรบ้างน่ะขอรับ” ผมแทบสะดุดล้มคว่ำเมื่อได้ยินเจ้าสีส้มเรียกสรรพนามชวนสยองนั่นอีกครั้ง

“ขอเถอะครับ เรียกผมว่าวีเฉยๆ ก็ได้ อย่าเรียกพระชายาอะไรนั่นเลย”

ปากบอกไปตามนั้น ส่วนมือก็ขยุ้มเส้นขนนุ่มนิ่มในมือไปด้วย ลูบๆ ไปก็เพลินดีเหมือนกันนะ และดูท่าเจ้าเชอเชสจะชอบที่มีคนลูบตัวซะด้วย

“มิได้ขอรับ ถ้ากระผมเรียกชื่อท่านห้วนๆ นับเป็นการไม่ให้เกียรติพระชายาแห่งดวงจันทร์ ใครได้ยินเข้ามีหวังกระผมหัวหลุดออกจากบ่าทันทีเลยล่ะขอรับ”

อะไรจะร้ายแรงปานนั้น กับอีแค่เรียกชื่อกันตรงๆ นี่ถึงกับเอาตายเลยเรอะ!?

“งั้น...เรียกผมว่าท่านวีเหมือนที่เรียกผมก่อนหน้านั้นก็ได้”

เจ้ากระต่ายกระดิกหูเหมือนดีใจ ใบหน้ากลมป๊อกคล้ายจะยิ้มรับคำขอของผม
“เข้าใจแล้วขอรับ”




ระหว่างทางที่เดินทางกลับบ้าน เชอเชสถามถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ดูจะแปลกใหม่สำหรับมันอยู่ตลอดเวลา ผมก็อธิบายให้มันฟังบ้าง ทำเนียนเป็นเงียบบ้าง เพราะไม่อยากให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหาว่าผมบ้าถึงขั้นคุยกับกระต่ายรู้เรื่อง

เชอเชสเองก็ดูจะเข้าใจดี มันทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเวลาที่มีคนเดินสวนไปมา จนกระทั่งลงรถเมล์สายประจำแล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าบ้านที่เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น เชอเชสถึงได้กลับมาพูดจ้ออีกครั้ง

“ไอ้ที่วิ่งเร็วๆ เมื่อกี้นี้มันคืออะไรหรือขอรับ คล้ายๆ กับบอร์ดเสี้ยวจันทร์ของพวกกระผมเลย”

“เขาเรียกว่ามอเตอร์ไซค์น่ะ เป็นยานพาหนะที่คล่องตัวมากกว่ารถยนต์”

ผมอธิบายพลางเปิดรั้วบ้านเข้าไป วันนี้เป็นวันจันทร์ ทั้งพ่อและแม่ไม่อยู่บ้าน ส่วนผมที่ไม่มีเรียนในวันนี้พอดีเลยถือโอกาสเอาเจ้าเชอเชสเข้าไปในบ้านด้วยเสียเลย

เจ้ากระต่ายตัวสีส้มดูตื่นตาตื่นใจกับบ้านที่ตกแต่งด้วยโทนขาวฟ้าหลังนี้มาก แม่กับพ่อผมเป็นพวกรักธรรมชาติเข้าเส้น เครื่องเรือนส่วนมากเลยทำจากไม้ทาด้วยสีขาว ตามมุมห้องและบนโต๊ะต่างๆ จะมีพวกกระถางต้นไม้ดอกไม้วางตกแต่งอยู่เต็มไปหมด ผมบอกให้เชอเชสนั่งรออยู่ตรงโซฟาส่วนผมจะขึ้นไปเก็บของ แต่เจ้าตัวกลับขอตามผมขึ้นชั้นสองไปด้วย กระต่ายตัวนี้ดูอยากเรียนรู้วิถีชีวิตของคนบนโลกมาก มันบอกว่าไหนๆ ก็มีโอกาสได้มาแดนมนุษย์แล้วทั้งทีก็อยากขอสำรวจให้ทั่ว ซึ่งผมก็ตามใจมันเพราะนึกเอ็นดูเจ้าสีส้มตัวนี้ขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ว่าร่างมนุษย์ของมันดูแก่กว่าผมตั้งหลายปีก็เถอะ...

“ห้องนอนของท่านวีน่าอยู่มากเลยขอรับ” เจ้ากระต่ายวิ่งรอบห้องอย่างร่าเริง มองทุกอย่างด้วยดวงตาพราวระยิบ ทำไมถึงได้น่าเอ็นดูนักนะ

“เชอเชส ผมขอถามคุณหน่อย” ผมนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามัน กระต่ายสีส้มเอียงคอลงเป็นเชิงสงสัยว่าผมจะถามอะไร “คนที่ผมต้องแต่งงานด้วยเป็นใครเหรอ?”

“หนึ่งในเจ้าชายแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ขอรับ”

เจ้า-ชาย

หน้าผมดำทะมึนไปครึ่งแถบ อุณหภูมิในร่างกายลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว

ตอนแรกก็นึกว่าไอ้ตำแหน่งพระชายาอะไรนี่มันจะใช้เรียกกันคนละแบบกับของโลกมนุษย์ อย่างเรียกพระชายาแต่ได้แต่งกับเจ้าหญิงอะไรแบบนั้นซะอีก แต่นี่มันไม่ใช่ งี้ก็หมายความว่าผมต้องไปไกลถึงดวงจันทร์เพื่อแต่งงานกับผู้ชายเรอะ

พังงงงงงงง
ชีวิตกูนี่แหละครับที่พังงงงงงงงงง!

“ค...คุณบอกว่าหนึ่งในเจ้าชาย แสดงว่าไม่ได้มีคนเดียวงั้นเหรอ...”

น้ำเสียงของผมฟังดูอ่อนแรงเต็มทน นี่ชีวิตกูกำลังเจอกับอะไรเนี่ย ทำไมสวรรค์ถึงได้ทำร้ายลูกช้างตาดำๆ ตัวนี้นัก ชาติที่แล้วผมไปทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ของผมมันถึงได้ถูกผูกดวงเข้ากับคนเพศเดียวกัน ซ้ำยังเป็นเจ้าชายจากดินแดนอันไกลโพ้นอีกด้วย
สวรรค์กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วววว

เจ้าตัวส้มดูจะเข้าใจว่าผมกำลังดราม่าเรื่องอะไร มันเลยเอาหัวมาถูไถกับท่อนแขนของผมคล้ายกับต้องการให้กำลังใจ ผมเลยอุ้มมันขึ้นมานั่งบนตักพลางลูบเนื้อตัวมันขณะที่เชอเชสบอกเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับราชวงศ์บนดินแดนของเขา

“กษัตริย์เมซาดิอุสมีบุตรชายทั้งสิ้นสี่พระองค์ขอรับ เจ้าชายองค์โตนาม ‘ฮาซาดิยาส’ เจ้าชายองค์รองนาม ‘ทาคานีออส’ เจ้าชายสามนาม ‘คาเซดีนัส’ และเจ้าชายสี่นาม ‘เฮอเทนีลุส’ ทั้งสี่พระองค์ล้วนมีความรู้ความสามารถแตกต่างกันไป อย่างท่านฮาซาดิยาสจะเชี่ยวชาญด้านการทหาร ท่านทาคานีออสช่ำชองเรื่องการบริหาร ท่านคาเซดินัสถนัดด้านอ่านใจคน ส่วนท่านเฮอเทนีลุสจะเป็นคนเดียวที่ไปทางด้านศิลปะและพวกเครื่องดนตรีขอรับ”

“ชื่อแต่ละคนฟังดูเรียกยากจังนะ” อะไรออสๆ อาสๆ ก็ไม่รู้เต็มไปหมด เอาเป็นว่าถ้าเจอตัวเป็นๆ เขาจะเรียกเจ้าชายพวกนั้นว่าเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ เรียงตัวไปเลย เรียกแบบนี้จำง่ายกว่ากันเยอะ

“ถ้าผมไม่ไป...ทั้งคุณและนาเทลจะต้องตายจริงๆ เหรอ”

เชอเชสเงียบไปคล้ายกับไม่ต้องการตอบคำถามนั้น มันคงกลัวว่าจะเพิ่มความกดดันให้ผมซึ่งเป็นคนที่ต้องตัดสินใจ

เฮ้อออออออออออ
ขอถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยเถอะ

ผมยังไม่รู้เลยว่าจะบอกพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงดี

พ่อครับ แม่ครับ วีขออนุญาตไปทัวร์ดวงจันทร์สักระยะนะครับ ห๊ะ ไปทำอะไรน่ะหรอ ฮะๆ ก็ไปดูว่าที่สามีในอนาคตน่ะสิครับ เป็นถึงหนึ่งในเจ้าชายแห่งดวงจันทร์เลยน้า ท่าทางจะหล่อน่าดู ไว้วีเลือกได้แล้วจะพามาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักนะครับ รักนะ จุ๊บุ

โอยยยยยยยย ถ้าฟังจบแล้วแม่กูไม่ล้มพับกูให้สองหมื่นเลยเอ้า ส่วนพระบิดาของตัวกระผมนั้น...ได้ฟาดจระเข้ฟาดหางใส่กูแน่ครับ ไม่ตายเพราะแข้งพ่อวันนี้ก็ไม่รู้จะไปตายวันไหนแล้วล่ะไอ้วีเอ๊ยยยย

ยิ่งคิดยิ่งเครียด ตัวร้อนๆ เหมือนไข้จะขึ้น นี่ถ้าไมเกรนแดกหัวไปครึ่งแถบผมจะไม่นึกสงสัยเลยว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร!



-----------------------------------------------------------------
To : akiko - กดไลค์ให้แรงๆ o13 ฝากตัวในเวปนี้ด้วยนะค้าาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-12-2015 20:41:11
น่ารักดีชอบน่ะเป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 17-12-2015 21:00:53
สนุกค่าาาา มาติดตาม :katai4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 17-12-2015 21:16:57
ต่อเร็วๆเน้อ ฮิๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -3-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 17-12-2015 21:29:55


-3-

มุ่งหน้าสู่ดินแดนอันไกลโพ้น




ผมลองปรึกษากับไอ้ธาผ่านโทรศัพท์ มันกำชับให้ผมอย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนี้ให้ขออนุญาตไปค้างที่คอนโดมันก่อน นี่อีกไม่กี่วันก็จะหยุดปีใหม่แล้ว นาเทลบอกว่าร่างกายของเขาสามารถทนไปจนถึงตอนนั้นได้ ผมเลยใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการเรียนและรายงานกองโต กว่าจะรู้ตัวอีกทีพรุ่งนี้ก็ได้หยุดปีใหม่แล้ว

ไม่รู้ปีใหม่ปีนี้เป็นความโชคดีในโชคร้ายของผมรึเปล่าที่จู่ๆ พ่อกับแม่ก็โทรมาบอกว่าจะไปเยี่ยมญาติๆ ที่อังกฤษ ตัวผมที่อ้างว่าจะไปบ้านพักตากอากาศที่เชียงใหม่กับไอ้ธาเลยรอดพ้นจากการถูกลากไปบินลัดฟ้าข้ามน้ำข้ามทะเลไปอีกทวีปนึงได้อย่างปาฏิหาริย์ หลังจากเลิกคลาสกลับมาที่คอนโดชั้น 16 ผมเลยรีบจัดกระเป๋าเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปดวงจันทร์แทน

อังกฤษไม่ไปกูไปดวงจันทร์แทน ถ้าไม่ติดว่าไปดูตัวว่าที่สามีในอนาคต มันก็น่าเอาไปประกาศให้โลกรู้อยู่หรอกนะ

“ธา กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

หลังกินข้าวกันเสร็จ ผมพาเชอเชสกับนาเทลไปนอนแช่ในอ่างอาบน้ำที่พวกมันชอบนักหนาก่อนจะเดินออกมานั่งยองๆ ข้างเจ้าของห้อง ไอ้ธาที่กำลังนั่งรีทัชรูปอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นหันมามอง มีตบหัวด้วยความหมั่นไส้ผมไปหนึ่งทีด้วยเหตุที่ว่าเรียกมันแล้วแต่ดันเงียบ

“มีไรก็ว่ามา อย่าอ้ำอึ้ง มันไม่ใช่นิสัยมึง” มันบอกพร้อมรอยยิ้มกว้างให้ผมสบายใจ

ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วถามมัน “เฮ้ยธา มึงอยากไปทัวร์ดวงจันทร์กับกูป่าววะ”

ไอ้เพื่อนขี้เล่นของผมกระพริบตาปริบๆ มองผมผ่านเลนส์แว่นที่มักใส่เวลาใช้งานคอม สีหน้าแปลกใจพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง ตบไหล่ผมดังป้าบพร้อมกับพูดว่า “นึกว่ามึงจะไม่ชวนกูซะแล้ว”

“ห๊ะ? พูดอย่างนี้คือมึงอยากไปตั้งแต่แรกแล้วเหรอวะ” ผมหน้าเหวอไปเลยเมื่อมันพูดมาอย่างนี้

ไอ้ธายิ้มร่า คว้าคอผมเข้าไปกอดอย่างตื่นเต้น
“อยากดิถามได้ การได้เหยียบดวงจันทร์สักครั้งนี่คือความฝันของกูเลยนะเว้ย!”

แล้วผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสมัยที่เรายังเอ๊าะกันอยู่ ไอ้บ้านี่มันเคยบอกผมว่ามันฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่พอโตมาเจอเกรดหนึ่งถึงสามทำร้ายรัวๆ ไอ้ธาก็รู้แล้วว่าตัวมันไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ชีวิตมันไม่ใช่คนที่จมอยู่แต่กับกองหนังสือ ก็เลยเลิกล้มความฝันที่จะเป็นนักบินอวกาศทิ้งไป เหลือแค่คลั่งไคล้พอเป็นพิธีจนสามารถเรียกว่างานอดิเรกได้บ้าง

ไม่คิดเลยว่ามันอยากไปกับผมด้วย...

ทั้งที่กูไม่เห็นอยากจะไปเลย!

“งั้นกูไปบอกพวกเชอเชสก่อนนะว่ามึงไปด้วย” ผมบอกกับมันด้วยรอยยิ้มกว้าง รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยก็มีไอ้ธาที่รู้นิสัยกันหมดไส้หมดพุงไป ณ ดินแดนอันไกลโพ้นนั่นด้วย แค่นี้ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะเหงาจนอยากงอแงกลับบ้านให้เสียสถาบันมนุษย์โลกแล้ว


“เชอเชส นาเทล ให้ไอ้ธาไปกับพวกเราดัวะ... เหวอออออออออออ!”

เสียงร้องของผมดังลั่นห้อง สะท้อนกับกระเบื้องในห้องน้ำจนมันดังเป็นเสียงเอคโค่ รีบหันหน้าไปทางอื่นทันควันเมื่อเข้ามาในห้องน้ำแล้วพบผู้ชายตัวโตๆ สองคนนั่งแช่น้ำอยู่ในอ่างเดียวกัน

เชอเชสนั่งหน้า นาเทลซ้อนหลัง เปิดน้ำอุ่นจนเต็มอ่างช่วยกันขัดถูตัวอย่างไร้ซึ่งอาการขัดเขิน แต่ไอ้คนที่เข้ามาเห็นภาพนี้ตำตานี่สิที่ดันบาดตาแทน โว้ยยยยย มา 18+ อะไรในห้องน้ำคนอื่นเขาเนี่ย เจ้าพวกนี้!

“แหกปากทำไมวะมึง เดี๋ยวคนข้างห้องก็ตะโกนด่าหรอก”

ไอ้ธาทำท่าจะเดินเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเลยรีบชี้หน้ามัน บอกให้มันหยุดอยู่ตรงนั้นห้ามเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้

“อะไรของมึงเนี่ย” ไอ้ธาแลดูงงๆ แต่มันก็ยอมหยุดอยู่ตรงนั้น

“มึงกลับไปนั่งทำรูปของมึงต่อเหอะ ตรงนี้กูจัดการเอง” ผมบอกมัน ทำหน้าจริงจังซะยิ่งกว่าเวลาออกรบ(กูเคย?) ซึ่งมันก็ยอมทำตามทั้งที่ยังย่นคิ้วสงสัยไม่หาย

“เมื่อครู่ท่านวีว่าอะไรนะขอรับ” เสียงเชอเชสดังขึ้นจากทางข้างหลัง ร่างสูงใหญ่บังแสงไฟในห้องน้ำจนเกิดเป็นเงาทาบทับตัวผม ผมสะบัดหัว ไม่รู้เจ้ากระต่ายบ้านี่มันนุ่งห่มอะไรแล้วหรือยัง ถึงผมจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ก็ไม่นิยมและยินดีที่จะมองของลับของคนอื่นหรอกนะเฟ้ย

“อ...ไอ้ธาบอกว่าจะไปด้วย ให้มันไปกับเราด้วยได้ไหม”

“แน่นอนขอรับ แต่ถ้าจะพาท่านธาไปด้วย เราต้องเร่งออกเดินทางเร็วขึ้นกว่ากำหนดนะขอรับ นี่อีกเดี๋ยวก็จะถึงช่วงเวลาที่อิทธิพลของดวงจันทร์อยู่จุดสูงสุดของเดือนนี้แล้ว ท่านวีรีบให้ท่านธาเก็บของเตรียมพร้อมเถอะขอรับ มิเช่นนั้นเราต้องรอไปอีกหลายวันเลยกว่าจะมีพลังงานพอที่จะออกเดินทางได้สี่คน”

“โอเค งั้นขอเวลาสิบนาที เดี๋ยวพร้อมแล้วบอกนะ”

“สิบนาทีไม่ทันขอรับ” เชอเชสที่ไม่รู้ไปแต่งตัวเรียบร้อยมาตอนไหนดันผมออกจากหน้าห้องน้ำ เขามองนาฬิกาที่เป็นหนึ่งในเครื่องนำทางกลับสู่ดวงจันทร์แล้วบอกเส้นตายกับผม “เหลือเวลาอีกแค่สองนาทีสี่สิบวิเท่านั้น ท่านวีช่วยเร่งมือด้วยขอรับ กระผมจะให้เวลาท่านจนถึงวินาทีสุดท้าย ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องกระชากตัวท่านกับท่านธาออกไป พวกผมก็จำใจต้องทำ”

อะไรน๊าาา!!!

ไอ้กระต่ายบ้า นี่มันจะกะทันหันเกินไปแล้ว!

“ไอ้ธา เซฟงานเว้ย เซฟด่วนๆเลย” ผมกระโจนทีเดียวถึงหน้าจอคอมไอ้ธาที่กำลังปรับแสงแต่งรูปอยู่

“อะไรของมึงวะ มึงจะรีบไปไหนของมึ๊งงงง” ไอ้ธาที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพูดล้อเลียน มันทำเหมือนกับว่าผมอดใจรอที่จะไปเจอเหล่าเจ้าชายแห่งดวงจันทร์ไม่ไหวแล้วเลยรีบมาเร่งมัน ซึ่งมันไม่ใช่ เข้าใจไหมว่าถ้ามึงไม่รีบเราจะพลาดรถด่วนขบวนสุดท้าย(?) เดี๋ยวมึงก็ได้อดไปเหยียบดวงจันทร์อย่างที่มึงปรารถนาหรอก ไอ้เพื่อนเวร

“ธา มึงอยากไปกับกูจริงๆ ใช่มั้ย” ผมถามย้ำกับมันอีกครั้ง เห็นมันเซฟงานเรียบร้อยผมก็พร้อมทำชั่วชนิดที่ไอ้ธาคงได้ด่าผมเปิงเมื่อถึงเวลา

“เออเดะ กูคิดจะไปด้วยตั้งแต่มึงตัดสินใจจะช่วยสองคนนั้นแล้ว”

นิ้วไอ้ธาไล่ปิดโปรแกรมต่างๆ ลง เวลาแค่ไม่กี่นาทีมันผ่านไปเร็วนัก หายใจทิ้งไปแปบเดียวก็ได้ยินเสียงเชอเชสดังตรงข้างหูบอกให้ผมเตรียมตัวให้พร้อมในสิบวินาที เขากำลังจะนับเวลาถอยหลังแล้ว

“งั้นป่ะ ไปกันตอนนี้เลย” ผมคว้าแขนไอ้ธาขึ้น พลางดึงไปทางเจ้ากระต่ายหัวส้มในร่างคนที่ยืนยิ้มชวนจิตตกรออยู่ตรงระเบียง

“มึงละเมอตดมารึไง หรือไข้ขึ้นจนสมองกลับไปแล้ว? ไหนตอนแรกบอกจะออกเดินทางตอนเที่ยงคืนไง นี่เพิ่งสองทุ่มเองนะเว้ย” เพื่อนธาขมวดคิ้วสงสัย มันคงงงว่าอะไรจะเร่งรีบปานนี้ ทำตัวอย่างกับเป็นลูกหนี้ที่กำลังหนีเจ้าหนี้ไปได้

“กูไม่ได้ล้อเล่น กูพูดจริง ไอ้ตัวข้างหลังนี่บอกให้กูเตรียมตัวให้พร้อมในสิบวินาที ไม่งั้นต้องรอไปอีกหลายวันเลยกว่าจะมีพลังงานพอให้พวกเราสี่คนไปถึงดวงจันทร์” ผมพูดกับไอ้ธาก่อนจะสั่งให้นาเทลที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีจัดเก็บกระเป๋าให้ผมกับไอ้ธาเสร็จเป็นคนจัดการสับคัทเอาท์ในห้องทิ้งจะได้ไม่เปลืองไฟ ทั้งห้องมืดลงทันตาเห็น ควบคู่ไปกับเสียงร้องของไอ้ธาที่ดูเหมือนมันจะยังเซฟงานไม่หมดทุกงาน

เวลานั้นเอง ปากของเชอเชสก็เริ่มขยับนับเลขถอยหลัง

10...9...8...7...

“เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนไอ้วี ไปดวงจันทร์นะเว้ยไม่ใช่ไปเซเว่นหน้าปากซอย จะรีบร้อนอะไรขนาดนี้วะ รองเท้ากูยังไม่ได้ใส่เลยนะเฮ้ย!”

6…5…4…

ผมที่มองดูสองเท้าว่างเปล่าของตัวเองก็เริ่มปลงอย่างบอกไม่ถูก

“กูก็อยากมีเวลาเตรียมใจมากกว่านี้เหมือนกันล่ะวะ”

อย่างน้อยก็ขอแต่งหล่อกว่านี้อีกนิดก็น่าจะดี นี่อะไร ผมยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่เลย ส่วนไอ้ธานี่หนักกว่า เสื้อกล้ามกับกางเกงบอล ใส่กางเกงในรึเปล่ายังไม่รู้เลยเพราะปรกติเวลามันอยู่ห้องชอบใส่เหลือแต่บ๊อกเซอร์ ที่ใส่กางเกงบอลทับอีกชั้นเพราะมันเพิ่งลงไปร้านสะดวกซื้อใต้ตึกมา ไม่งั้นสภาพอาจดูทุเรศลูกกะตามากกว่านี้

3…2…1…

ลำตัวของผมถูกเชอเชสรวบเข้าไปกอด ส่วนไอ้ธา เชอเชสโยนให้เป็นหน้าที่ของนาเทลดูแล ซึ่งเพื่อนผมยังดูไม่พร้อมจะออกเดินทางเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าผมก็ด้วย

“มึงเอาจริงดิ ไปสภาพนี้จริงดิ๊!????” ลูกเจ้าของโชว์รูมรถยนต์แหกปากเสียงดังลั่น ทั้งที่มันเพิ่งเตือนผมไปว่าระวังเพื่อนบ้านตะโกนด่า ตอนนี้กลับเป็นมันซะเองที่ทำเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นหนึ่งของคอนโด

“ก็ต้องยังงั้นล่ะวะ” ผมตอบปลงๆ

“ไอ้เชี่ยยยย มึงลืมไปรึเปล่าว่าพวกเราไม่มีชุดอวกาศกันนะเว้ย ขึ้นไปก็ตายลูกเดียวเด้!”

ประโยคสุดท้ายที่ไอ้ธาตะโกนบอกทำเอาสติที่นึกปลงของผมปลงไม่ตกขึ้นมาทันใด ผมเงยหน้าจ้องตอบมันด้วยสายตาที่ประหวั่นพรั่นพรึงสุดพลัง ก่อนบิดคอเก้าสิบองศาไปหาเชอเชสที่เริ่มสำแดงอำนาจของนาฬิกานำทางที่อาศัยอิทธิพลจากดวงจันทร์จนมันสว่างเรืองรองเป็นสีทองอร่ามห่อหุ้มพวกเราทั้งสี่คนเอาไว้

0...

“ชิบหาย!! ทำไมมึงไม่พูดให้มันเร็วกว่าเน้!!!!!!!!!”

“ก็กูไม่รู้ว่าพวกมึงจะรีบไปกันขนาดนี้นี่ แย๊กกกกกกกกกก!!!!!!!”





ลำแสงสีทองพุ่งเร็วดุจดาวตก

เพียงพริบตาก็ผ่านม่านหมอกและกลุ่มเมฆหลุดจากชั้นบรรยากาศของโลกออกมาเจอเวิ้งอวกาศอันกว้างใหญ่

ผมที่ถูกอุ้มในท่าเจ้าสาวเผลอกอดคอ ‘ยานพาหนะ’ ที่ชื่อเชอเชสแน่น เจ้าตัวหัวส้มยังคงมีรอยยิ้มโรคจิตประดับอยู่บนใบหน้า แม้ว่าจะเจอแรงลมตีใส่หนักหน่วงแค่ไหนก็ดูจะไม่สะท้านแต่อย่างใด จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าใต้เนื้อหนังที่เหมือนมนุษย์นี้มีไฟเบอร์ใยเหล็กผสมอยู่ด้วยรึเปล่า

“ห...หายใจได้แฮะ” พอลองสูดหายใจเข้าปอดดูถึงได้รู้ว่ามันไม่อึดอัดชวนตายอย่างที่คิด น่าแปลกดีที่ไม่ต้องใช้ชุดอวกาศก็สามารถหายใจทั้งที่อยู่นอกโลกได้

“พวกเราจะมีอากาศใช้จนกว่าแสงสีทองจะหมดลงขอรับ”

พูดอย่างนี้แปลว่าถ้าแสงทองๆ หมดกลางทางคือกูต้องตายสินะ...

“อีกนานไหมกว่าพวกเราจะถึง”

เห็นสภาพได้ธาที่พร้อมจะอ้วกแตกได้ตลอดเวลาแล้วนึกสงสารมันอยู่ไม่น้อย ไอ้นี่มันแพ้พวกของเร็วๆ แรงๆ ทุกชนิดครับ ไม่ว่าจะรถไฟเหาะ ไวกิ้ง สไลเดอร์สูงๆ แม่งยกมือเซย์โนวทุกรายการ เคยบังคับมันเล่นของพวกนี้ไปรอบนึงถึงกับเป็นลมล้มพับไปเลย การทัวร์ครั้งนี้คงเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่เพื่อนผู้เคยอยากเป็นนักบินอวกาศแต่เสือกแพ้ยานพาหนะเร็วๆ จะจดจำไปจนวันตาย เพราะไม่เพียงแต่จะได้มาเหยียบดวงจันทร์ให้สมใจ ยังได้อ้วกบนดวงจันทร์เป็นวีรกรรมติดตัวกลับโลกไปด้วย

เท่ห์สลัดไม่มีใคร(กล้า)เหมือนเลยล่ะมึง

“ดูจากแรงหนุนของดวงจันทร์แล้ว คาดว่าอีกสองวันก็น่าจะถึงขอรับ” เชอเชสตอบแบบไร้ท่าทีรำคาญ ร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีกรมประดับยศอะไรไม่รู้เต็มอกเต็มบ่าไปหมดดูเคร่งขรึมขึ้นมากเมื่ออยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่

“นี่เชอเชส เหนื่อยบ้างไหมที่ต้องปั้นยิ้มแบบนี้”

ไม่พูดเปล่า ผมยังหยิกแก้มทั้งสองข้างของเจ้ากระต่ายขนส้มแบบไม่กลัวเลยว่าจะโดนปล่อยทิ้งลงกลางทาง ไม่อยากพูดให้ดูร้ายหรอกนะ แต่ยิ้มแบบนี้มันเฟคมาก ดูไม่จริงใจเลยอ่ะ

“พี่ชายของกระผมบอกว่า การยิ้มคือการแสดงความเป็นมิตรของมนุษย์โลก เพื่อให้ท่านวีอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ จึงสมควรมีรอยยิ้มติดหน้าตลอดเวลา”

พี่ชายเจ้าบ้านี่มันสอนอะไรไปวะ!

“พอเลย เลิกฝืนได้แล้ว” ผมตบๆ แก้มเจ้ากระต่ายไปสองที ดวงตาสีเทาจนเกือบดำมองผมอย่างไม่เข้าใจ “เวลาอยู่กับผม เป็นตัวของตัวเองเถอะ ผมเองก็ไม่ชินเวลาเห็นรอยยิ้มแบบนี้เหมือนกัน”

“จะดีหรือขอรับ?”

“ดีแน่นอนที่สุด”
ยกนิ้วโป้งยืนยันพร้อมกับยิ้มกว้างให้อีกทีเลยด้วยเอ้า

“ถ้างั้น...ขออภัยนะขอรับ”

มุมปากที่วาดขึ้นเกินพอดีค่อยๆ ลดระดับลงจนกลายเป็นสีหน้าราบเรียบ พอเลิกยิ้มแบบคนโรคจิต ดูๆ ไปแล้วเชอเชสนี่ก็แอบหน้าตาดีไม่เบา คิ้วเค้มสีเดียวกับผม ดวงตาเรียวรีสีเทาควันบุหรี่ จมูกนี่อย่างกับไปเสริมซิลิโคนมา โด่งเป็นสันซะจนคนเชื้อสายจีนดั้งแบนอย่างผมอดอิจฉาไม่ได้ ทั้งริมฝีปากก็ยังหยักสวยได้รูป

ดูดีว่ะแม่ง หรือกูควรให้มันยิ้มโรคจิตต่อไปดีวะ

“ไม่ชินหรือเปล่าขอรับ”

“หะ..หา? ไม่ชินอะไร”

“ก็ที่กระผมไม่ยิ้มนี่ไงขอรับ”

โถ๊ะ ก็นึกว่าเรื่องถูกอุ้มในท่าเจ้าสาว

“แบบนี้ดูดีกว่าเยอะเลยล่ะ ผมชอบแบบนี้มากกว่า” พูดออกไปแบบไม่คิดอะไร แต่ทำไมอยู่ดีๆ เจ้ากระต่ายนี่ถึงได้หูเด้งหน้าแดงขึ้นมาได้ล่ะ!

“ข...ขออภัยขอรับ เวลาที่ชาวแสงจันทร์ตื่นเต้นดีใจ จะควบคุมร่างมนุษย์ได้ไม่ค่อยอยู่น่ะขอรับ”

อ้อ ที่แท้ก็ดีใจ เจ้าส้มหนอเจ้าส้ม แกจะน่ารักเกินไปแล้ว

ผมยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเหมือนที่ชอบทำเวลาเจ้าตัวกลายร่างเป็นกระต่ายตัวจ้อย ใบหูเรียวยาวที่ปกคลุมด้วยขนสีส้มดุ๊กดิ๊กไปมา หน้าแดงจัดยิ่งกว่าเดิม

“ท..ท่านวี ถ้าท่านยังขืนทำแบบนี้อีก กระผมไม่รับประกันว่าจะสามารถควบคุมร่างนี้ได้อีกรึเปล่า ทางทีดีช่วยหยุดมือก่อนเถอะขอรับ”

คำพูดของเชอเชสทำผมชะงัก เก็บมือกลับอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะไปไม่ถึงดวงจันทร์

เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเชอเชสเป็นพวกขี้อาย แถมเวลาเขินขึ้นมาทียังเก็บอาการไม่ค่อยอยู่อีก

ดวงจันทร์งั้นเหรอ...ดูน่าสนุกขึ้นมานิดๆ แล้วสิ


-----------------------------------------------------------
ต่ายสายพันธุ์นี้แซ่บนะบอกก่อน 555555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามนะค้าา เรื่องนี้อาจหาสาระอะไรไม่ได้
เน้นเกรียน-รั่ว-ฮา ให้คนอ่านเข้ามาอ่านเพื่อคลายเครียดเนอะ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 18-12-2015 01:31:05
สนุกดีค่ะ น่าติดตาม
แอบขำต่ายสีส้ม 555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 18-12-2015 09:41:16
เฮ้ยยยยยย เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลยนะ
"ตัวแทนแห่งดวงจันทร์ จะลงทัณฑ์แกเอง!!" :laugh:
น่าติดตามมากๆๆๆๆๆๆ คนแต่งฟิตสุดๆ มาอัพต่อเร็วๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-12-2015 10:45:18
 :mc4:


อาา

เหมือนจะเห็นคู่รองลางๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-12-2015 16:20:54
น้องส้มเรานี่ขี้อายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 18-12-2015 17:03:32
โหย น่ารักอ่ะ ดิ้นตายยย ชอบเชอเชสมากก ทำไมน่ารักแบบนี้ มีหูด้วยย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 18-12-2015 21:00:18
กระต่ายส้มน่ารัก :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -4-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 18-12-2015 21:58:56


-4-
ยินดีต้อนรับสู่ดวงจันทร์




จากโลกสู่ดวงจันทร์ ใช้เวลาทั้งสิ้นสองวันกับอีกหกชั่วโมง

ตลอดการเดินทางครั้งนี้ไอ้ธาอ้วกแตกกลางทางไปทั้งสิ้นสี่รอบ หน้าซีดแข่งกับกระดาษ สภาพซูบตอบยิ่งกว่าศพ ตอนนี้นอนแบ็บอยู่ในอ้อมกอดของพี่เลี้ยงเฉพาะกิจนามกระต่ายนาเทล

เชอเชสปลุกผมเมื่อเราใกล้ถึงที่หมายตามที่ผมได้ขอเอาไว้เพราะอยากเห็นดวงจันทร์ในระยะใกล้ด้วยสองตาของตัวเอง ผมเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างงัวเงีย สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาสีเทาอมม่วงกับผมสีส้มแสบตาของคนที่แบกผมเดินทางตลอดสองวันเต็ม

ตอนแรกผมก็กลัวว่าแขนเจ้าหัวส้มจะเดี้ยงอยู่หรอก แต่พอถามไปว่าหนักไหม เจ้าตัวกลับบอกว่าผมที่หนักถึงหกสิบกิโลตัวเบายิ่งกว่าทารกในอาณาจักรแสงจันทร์ซะอีก ให้อุ้มสิบวันแบบไม่ปล่อยก็ยังไหว ในเมื่อเจ้าตัวเขายืนยันมาเช่นนี้ ไอ้ตัวกระผมก็เลยไม่อยากขัดศรัทธา ใช้บริการยานพาหนะนามเชอเชสซะเต็มที่ ทั้งกินทั้งนอนอยู่ในอ้อมกอดเขาสองวันเต็ม

อ้อ อาหารที่พวกเรากินกันจะถูกบรรจุอยู่ในรูปของแคปซูลนะครับ กินแล้วอิ่มหนำดีอยู่หรอกแต่เรื่องรสชาตินั้นสุดจะบรรยาย ไม่หวานไม่ว่าแต่ทำไมต้องทำให้มีรสขมด้วยก็ไม่รู้ กินแล้วกว่าจะกลืนลงคอได้นั้นโคตรจะทรมานตับไตไส้พุงไปสิ้นสุดที่กระเพาะน้อยๆ เพราะฉะนั้นในตอนที่เวลาอาหารมาถึง ผมจะเบ้หน้าปฏิเสธก่อนใคร ไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็ร้องแง้วๆ ดังอยู่ข้างหลังว่าไม่เอาแล้วได้มั้ยไอ้ของพรรค์นี้เนี่ย

เชอเชสกับนาเทลเลยได้แต่ตีหน้าเศร้าแกมขอร้องให้พวกผมช่วยทนๆ ทานไปก่อน เพราะเจ้าแคปซูลนี่มันช่วยทดแทนน้ำและอาหารได้ ทั้งยังมีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เหมาะสำหรับคนที่ได้สติขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นต้องอ้วกอย่างไอ้ธา และในฐานะที่ผมมีศักดิ์เป็นถึงชายาแห่งดวงจันทร์ การที่ผมอดข้าวอดน้ำไม่ยอมบำรุงรักษาตัวให้ดีอาจส่งผลให้ผมล้มป่วยเอาได้ และนั่นหมายถึงความบกพร่องต่อหน้าที่ของเชอเชสและนาเทล ถ้าเบื้องบนทราบเรื่องมีสิทธิ์สั่งลงโทษพวกเขาเอาได้ง่ายๆ

ผมเลยต้องทนกินเจ้าแคปซูลรสชาติบรรลัยทุกวันวันละสามมื้อ น้ำตาแทบจะไหลกลางทางทุกครั้งที่กลืนมันลงไป

“ไอ้วี! ดวงจันทร์เว้ย ดวงจันทร์! พวกเรามาถึงแล้ววววววว”

น้ำเสียงป้อแป้แต่เต็มไปด้วยความยินดีของไอ้ธาดังขึ้นจากข้างหลัง ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอเดาได้ว่ามันกำลังทำหน้าแบบไหน ผมเลยละสายตาจากเชอเชสหันไปมองทางข้างหน้าบ้าง และนั่นทำให้ผมเห็นแสงสีเหลืองนวลที่ดูอบอุ่นยิ่งกว่าอะไรที่เคยเห็นมา

“ยินดีต้อนรับสู่ดวงจันทร์นะขอรับ ท่านวี”

เชอเชสกล่าวต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ก่อนจะพุ่งนำลงไปบนพื้นผิวของดวงจันทร์ที่มนุษย์บนโลกแทบทุกคนใฝ่ฝันอยากจะเหยียบที่นี่สักครั้งให้เป็นบุญหัวตัวเอง

“....” ตัวผมไร้ซึ่งคำพูดเมื่อเชอเชสปล่อยตัวผมลงทันทีที่เราถึงที่หมาย สองเท้าเปลือยเปล่าของผมกำลังยืนอยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ สัมผัสหยาบกร้านของเนื้อหินที่ค่อนข้างเย็นจัดทำให้ผมรู้สึกดีและตื่นเต้นใน เวลาเดียวกัน ทั้งการทรงตัวอยู่ในพื้นที่ที่ไร้แรงโน้มถ่วงยังเป็นอะไรที่แปลกใหม่จนผมอยากวิ่งโร่ไปให้ทั่วอาณาเขตของดวงจันทร์ ติดก็แค่เจ้าหัวส้มได้ปรามเอาไว้เพราะแสงสีทองที่ห่อหุ้มร่างพวกเราเอาไว้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ลองผมทะเล่อทะล่าวิ่งออกไปดูสิได้มีขาดอากาศหายใจจนชักดิ้นชักงอตายอยู่บนดวงจันทร์นี้แน่ๆ

“ดวงจันทรรรรรรรรรรร์”

แต่อย่าลืมครับว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะสนคำห้ามปรามของใคร

ทันทีที่เจ้าเพื่อนเกลอของผมได้สัมผัสกับดวงจันทร์ สองเท้าที่มันอ่อนแรงไปมากจากการอ้วกไปหลายรอบก็ทำท่าจะวิ่งพล่านตามแต่ใจฉันโดยไม่สนคำเตือนที่นาเทลเฝ้าพร่ำบอกอยู่ข้างๆ ว่าการกระทำแบบนั้นมันอันตราย แต่ไอ้ธาก็คือไอ้ธา เวลามันตื่นเต้นดีใจมากๆ แม่งไม่เคยจะฟังเสียงของคนรอบข้าง ร้อนถึงเจ้าตัวหัวสีน้ำตาลที่ต้องดึงต้องรั้งเจ้าเพื่อนตัวดีของผมเอาไว้ไม่ให้มันวิ่งไปสู่ความตายเพราะลูกบ้าของตัวมันเอง

“ท่านวีอยากเดินเล่นแถวนี้ต่อ หรือจะไปยังอาณาจักรแสงจันทร์ตอนนี้เลยขอรับ”

คนที่ยืนจับมือผมอยู่ถามขึ้น เขาพาผมเดินดูรอบๆ โดยมีนาเทลกับไอ้ธาตามหลังมาไม่ห่าง ส่วนสาเหตุที่ต้องจับมือกันไว้ไม่ใช่ว่าผมเกิดมีซัมติงรองกับเจ้าหัวส้มนี่หรอกนะ ก็แค่เซฟความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวผมก็เท่านั้นเอง
แอ่ะ งงกันล่ะสิ งั้นผมจะอธิบายให้ฟังเพิ่มอีกนิดละกัน

ตอนที่เห็นนาเทลฉุดกระชากลากถู(?)เจ้าเพื่อนตัวแสบของผมชนิดที่ไม่ปล่อยให้ได้เป็นอิสระแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ผมเกิดความสงสัยจนต้องแหงนหน้าตั้งคำถามกับเชอเชสว่าทำไมนาเทลต้องลงทุนลงแรงทำถึงขั้นนั้นด้วย

เจ้าหัวส้มเลยอธิบายให้ฟังว่า ร่างกายของมนุษย์กับชาวแสงจันทร์นั้นมีความแตกต่างกันอยู่มาก แรงโน้มถ่วงนั้นไม่มีผลใดๆ กับพวกเขา ผิดกับพวกผมที่มาจากโลก ลองถ้าเขาได้ปล่อยมือผมสักครั้ง ผมอาจโดนแรงลมในห้วงอวกาศกระชากตัวออกไปได้ ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง อัตราการรอดชีวิตของพวกผมจะต่ำมาก เพราะแรงดันอากาศที่แตกต่างจากโลกจะทำให้สมองของพวกผมมึนเบลอในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที จากนั้นไม่นานก็จะขาดอากาศหายใจตายในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเหตุนั้นการตามติดพวกผมแจประหนึ่งตัวเองเป็นขี้ติดตูดปลาทองจึงเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่ว่ายังไงความปลอดภัยของแขกจากต่างแดนก็ต้องมาก่อนเสมอ

รู้ดังนั้นผมเลยรีบจูงมือเชอเชสไปไล่เตะโด่งไอ้ธาปรามความรื่นเริงเกินเหตุของมัน หลังอธิบายเรื่องที่ได้รู้มาให้มันฟัง เจ้าเพื่อนผู้คลั่งไคล้อวกาศและเคยฝันอยากเป็นนักบินอวกาศสักครั้งจึงยอมทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนให้นาเทลปวดหัวจนแทบกระอักเลือดอีก

ผมหันไปถามไอ้ธาที่สีหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนเดินทางว่ามันจะเอายังไง อยากเดินเล่นต่อหรือเดินทางไปเมืองแสงจันทร์เลย ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้ นั่นคือให้พวกเชอเชสรีบๆ พาพวกผมไปเยือนเมืองกระต่ายเลย มีเร่งท้ายว่าให้เร็วๆ ด้วย มันอยากเห็นเมืองของอีกโลกหนึ่งเต็มทีแล้ว

“ถ้าเช่นนั้น ขออนุญาตนะขอรับ”

ร่างของผมถูกรวบตัวขึ้นในท่าน่าอายที่ทำยังไงก็ไม่คิดจะชินกับการถูกอุ้มแบบเจ้าหญิงนี่สักที ผมกลอกตาทำหน้าปลง หันไปเห็นไอ้ธากอดอกทำหน้าเบ้แต่ก็ยอมให้นาเทลอุ้มขึ้นแต่โดยดีแล้วคิดว่าในใจของพวกเราคงคิดไม่ต่างกัน

ถูกผู้ชายด้วยกันอุ้มนี่มันเสียเชิงชายชะมัด!

โอดครวญแต่พองามแล้วก็ต้องอุทานออกมาคำโต เมื่อแสงสีทองที่ห้อมล้อมพวกเราอยู่ถูกแทรกด้วยลำแสงสีแดงที่พุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่าง ผมลองชะเง้อตัวไปมองก็พบว่ามีวงเวทย์สีแดงปรากฏขึ้นใต้เท้าที่เชอเชลกับนาเทลยืนอยู่ ตรงกลางเป็นรูปดาวหกแฉก รายล้อมด้วยอักขระยึกยือที่ผมอ่านไม่ออก ทั้งเชอเชสและนาเทลต่างร่ายคำพูดที่เหมือนกับมนตราอะไรสักอย่างก่อนที่ร่างของพวกเราจะดิ่งวูบร่วงลงสู่ใต้พื้นผิวของดวงจันทร์

“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!”

ผมแหกปากลั่น เผลอรัดคอเชอเชสแน่น ย้ำกับตัวเองว่าให้ตายยังไงก็จะไม่ปล่อยมือจากคอเจ้าหัวส้มนี่เด็ดขาดถ้ายังไม่อยากร่วงพื้นหัวแบะตาย

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!”

เสียงไอ้ธาดังประสานตามมาไม่ห่าง สภาพจิตใจของมันแลดูจะไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก วัดได้จากน้ำเสียงโหยหวนที่แทบจะใช้ไลน์ประสานเดียวกันในการเปล่งออกมา

ฮือออออ พ่อจ๋าแม่จ๋า พ่อแก้วแม่แก้ว ขวัญเอยขวัญมา เดชะบุญทั้งหลายที่ลูกได้กระทำมาไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติที่แล้ว ได้โปรดช่วยปกปักรักษาลูกให้รอดพ้นจากการดิ่งพสุธาในครั้งนี้ด้วยเถิด ขออย่าให้มีส่วนใดบุบสลาย ไม่มีท่อนไหนหักบิดเบี้ยว เสียงยังใสไม่แหบแห้งหลังจากที่ได้แหกปากไปสุดชีวิต แล้วลูกจะถวายหัวหมูให้ทุกปีไม่มีขาดเป็นการตอบแทนนะครับผม!

ว่าแล้วก็...

“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก”

ขอแหกปากต่ออีกนิดเถอะโว้ย แม่งเสียวยิ่งกว่าตอนไปเล่น Giant Drop ที่สวนสยามทะเลกรุงเทพซะอีก!!!!

ตึง!!!

คุณได้ยินเสียงนั่นไหม~ ได้ยินรึเปล่า~ ทายซิว่ามันคือเสียงอะไร~
ถ้าไม่ใช่เสียงที่พวกผมโหม่งพื้นปฐพี~~~

“ท่านวี ท่านวีขอรับ เป็นอะไรหรือเปล่า”

เสียงคุ้นหูปลุกผมที่ดูเหมือนวิญญาณจะออกจากร่างไปแล้วให้กลับคืนมาสู่โลกแห่งความจริง

ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละข้าง มองส่วนขาตัวเองที่ยังงออยู่เพราะโดนช้อนตัวขึ้นในท่าอุ้มเจ้าสาว เลื่อนสายตาขึ้นไปอีกนิดก็เห็นดวงตาเรียวรีสีเทาอมม่วงที่มองมาอย่างเป็นห่วง ผมสีส้มที่อยู่ภายใต้แสงสว่างเรืองรองนี่มันแสบตาดีชะมัด

“นี่ผมยังไม่ตาย?”

“ขอรับ???” สีหน้าของเจ้าหัวส้มดูงุนงงไม่น้อยกับคำพูดไร้สาระของผม พอสำรวจตัวเองและรอบด้านอีกนิดผมถึงได้มั่นใจขึ้นว่าตัวเองยังมีชีวิต ยังไม่หัวแบะตาย กระดูกกระเดี้ยวยังอยู่ครบ

ถ้างั้นไอ้เสียงตึงหนักๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่นี่มันมาจากไหนกัน!?

“เจ้าโง่! ปิดประตูภาษาอะไรของเจ้าน่ะมันถึงได้เสียงดังขนาดนี้!”

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกผมสถิตย์อยู่ ผมเห็นชายในชุดเครื่องแบบสีน้ำตาลอ่อนกำลังถูกคนในชุดเครื่องแบบเดียวกันแต่เป็นสีเขียวโก่งคอด่ายกใหญ่ ด้านหลังของพวกเขาเป็นประตูหินแบบโบราณที่ต้องใช้เครื่องทุ่นแรงในการยกขึ้น ทว่าดูเหมือนเจ้าคนชุดน้ำตาลจะทำอะไรบางอย่างผิดพลาด ประตูมันถึงได้ร่วงลงมาจนช่วงล่างพังยับ เลยโดนสวดชุดใหญ่อย่างที่เห็น

โถ... ที่แท้ก็มีคนทำประตูพัง ไอ้เรารึก็นึกว่าหัวโหม่งดวงจันทร์ตายอนาถไปซะแล้ว

“ท่านนาเทล? ท่านเชอเชส?”

หลังจากสถานการณ์เรื่องประตูคลี่คลายลง เริ่มมีหลายคนสังเกตเห็นพวกเรากันบ้างแล้ว “ใช่จริงๆ ด้วย รีบแจ้งข่าวไปยังพระราชาเร็ว ท่านนาเทลกับท่านเชอเชสกลับมาแล้ว!”

มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น อีกหลายเสียงเลยตะโกนบอกต่อๆ กันเหมือนกลัวว่าจะได้ยินกันไม่ทั่ว

ผมที่มองภาพนั้นอย่างอึ้งๆ สองมือยังคงกอดคอเชอเชสอยู่ จนกระทั่งถูกคนในชุดเครื่องแบบทั้งเขียว เหลือง แดง และน้ำตาลมาห้อมล้อม ผมก็ยังลืมสนิทว่าตัวเองอยู่สภาพไหน

“ท่านนี้ใช่ไหมขอรับ พระชายาแห่งดวงจันทร์? เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นท่านนี้?” พวกเขามองผมสลับกับไอ้ธาที่ตอนนี้สลบเหมือดไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้วหลังจากเพิ่งดิ่งจากที่สูงลงมา ขนาดผมที่ไม่เคยหวั่นพวกของเล่นเร็วๆ แรงๆ ยังร้องซะเสียงหลง ไอ้ธาที่แพ้ทางเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดินอยู่แล้วคงไม่เหลือ

“พระชายาแห่งดวงจันทร์จริงๆ หรือ!?”

พอมีคนเริ่มก็มีคนพูดต่อ สักพักฐานะของผมก็ถูกบอกต่อกันเป็นลูกคลื่น ในน้ำเสียงเหล่านั้นเต็มไปด้วยความยินดี แปลกใจ และอยากรู้อยากเห็น มีหลายคนที่พยายามชะเง้อคอมอง และมีอีกหลายคนเลยที่หูเรียวยาวเด้งขึ้นมาอย่างคนปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด

ครั้นเชอเชสบอกกับคนเหล่านั้นว่าตัวผมคือพระชายาแห่งดวงจันทร์ คนที่อยู่ใกล้ที่สุดพลันตะโกนให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้รู้ทั่วกัน “พระชายาแห่งดวงจันทร์ล่ะ! พระชายาแห่งดวงจันทร์ตัวจริงเสียงจริง!”

เสียงร้องยินดีดังขึ้นเป็นระรอกคลื่น ก่อนที่คนในชุดเครื่องแบบทั้งหมดในที่นี้จะยอบตัวลง ทำความเคารพผมอย่างให้เกียรติสูงสุดเช่นที่เชอเชสกับนาเทลเคยทำเมื่อครั้งแรกที่เจอกัน

“คารวะพระชายาแห่งดวงจันทร์”

“คารวะพระชายาแห่งดวงจันทร์”

“คารวะพระชายาแห่งดวงจันทร์”

ภาพที่เห็นทุกคนหมอบกราบให้เป็นอะไรที่ชวนอึ้งและรู้สึกไร้คำบรรยาย พวกเขาปฏิบัติตัวกับผมราวกับเห็นผมเป็นเทพเจ้าไม่ก็กษัตริย์ของพวกเขา ซึ่งเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก ความเลื่อมใสที่พวกเขามีให้ผมทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก จนเชอเชสต้องกระซิบบอกให้ผมเอ่ยทักทายพวกเขาหน่อย พวกเขาจะได้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น

“เอ่อ... ทุกคนลุกขึ้นก่อนเถอะ” ผมเริ่มจากการให้พวกเขาเงยหน้าขึ้น กลับมาลุกขึ้นยืนตามเดิม เพราะมันทำให้ผมสะดวกใจที่จะพูดคุยด้วยมากกว่า

“ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเมตตา!” พวกเขาทั้งหมดตอบรับและลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าดูขึงขังจริงจัง แต่ดูก็รู้ว่าตั้งใจทำทั้งที่ยังปกปิดความยินดีไว้ไม่มิด หูหางบางคนยังเก็บลงไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

พวกกระต่ายนี่น่ารักกันจริงๆ เลยน้า~

“สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อวี จากนี้จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยสักพัก ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมกล่าวกับทุกคนอย่างผ่อนคลาย พอมองว่าพวกเขาเป็นกระต่ายที่น่ารักไม่ต่างจากเชอเชสและนาเทลก็ทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ ผมเริ่มหายเกร็งแล้วด้วย

“อา... พระชายาทรงมีจิตใจที่ดียิ่งนัก”

“ไม่ทรงถือองค์ด้วย พูดกับพวกเราอย่างเป็นกันเองเช่นนี้ พวกกระผมตื้นตันใจเหลือเกิน”

“พระชายาวี พระชายาวีล่ะทุกคน!”

อีกหลายเสียงดังเซ็งแซ่จนฟังไม่ได้ศัพท์ เท่าที่จับใจความได้มีแต่คำพูดที่ยกยอตัวผมเสียจนเกินจริง มีกระทั่งพูดถึงรูปพรรณสัณฐานที่ใช้คำบรรยายซะจนตัวผมขนลุกซู่ว่านั่นใช่กูแน่เหรอ หรือว่านั่นคือเทพยดานางฟ้าจำแลงกายลงมา ใส่สีตีไข่จนเกินจริงไปไกลแล้ว!

“เชอเชส ทำไมพวกเขาถึงใช้คำว่างดงามกับผมล่ะ แล้วยังมีคำว่าน่ารักนั่นอีก”

เกิดมาสิบเจ็ดปีเต็มผมไม่เคยได้ยินคำพวกนี้จากปากของคนรู้จักเลยสักคน ส่วนมากจะเจอคำว่าขาวกับตี๋มากกว่า ไอ้เรื่องสวยน่ารักนี่ไม่มีเลยสักกะแอะให้ระคายเคืองหู

คนที่ผมพูดด้วยทำหน้างง คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมหรือขอรับ ท่านวีไม่ชอบที่ถูกชมว่าน่ารักกับงดงามหรือ?”

“ผู้ชายที่ไหนเขาอยากได้คำชมพวกนี้กันบ้างเล่า!” ผมแว้ดเสียงเบาเท่าแมงหวี่ กลัวภาพลักษณ์ที่แสดงออกอย่างก้าวร้าวจะไปทำลายความฝันของประชากรบนดวงจันทร์แห่งนี้ที่มโนว่าผมเป็นนางฟ้านางสวรรค์สิบหกวิมานอะไรนั่นไปแล้ว

เชอเชสทำหน้าเคร่งขรึม ดวงตาสีเทาอมม่วงจ้องมองผมที่ทำหน้ามุ่ยไม่วางตา จนผมอดถามใส่ไม่ได้ว่า “มีอะไรติดหน้าผมอยู่เหรอครับ?” เล่นมองซะเหมือนจะแสกนลงไปให้เห็นถึงหัวกะโหลกข้างในเลยนะ

เจ้าหัวส้มยืนถอนหายใจ “บางทีท่านวีควรหาเวลาส่องกระจกดูตัวเองบ้างนะขอรับ”

หา???

“ตอนแปรงฟันล้างหน้าผมก็ส่องของผมทุกวันนะ”

“ถ้างั้นท่านวีก็น่าจะรู้สิขอรับ”

“รู้อะไร?”

“รู้ว่าตัวท่านน่ะ...” เขาจงใจเว้นช่วงไว้ ให้ผมอ่านคำพูดที่เหลือจากปากของเขา

และถ้าผมอ่านไม่ผิด มันเป็นคำสองคำที่ทำให้ผมอยากตั๊นหน้าเจ้ากระต่ายหัวส้มนี่สักหมัดให้หน้าหงาย

น่า-รัก

เจ้าหัวส้มนี่บอกว่าผมน่ารัก ทั้งที่ผมเพิ่งจะบอกอยู่หยกๆ ว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเขาชอบคำชมแบบนี้กันหรอกนะ!



-----------------------------------------------------

ก่อนพลพรรคเจ้าชายจะออกโรง เจ้าส้มโกยคะแนนแม่ยกซะเรียบวุธละมั้ง  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-12-2015 22:12:08
โถ ก็น้องส้มทำตัวดีขนาดนี้นี่คะ

ว่าแต่คนไหนพระเอก??
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 18-12-2015 22:21:12
อ้าวพระเอกยังไม่ออกเหรอ 555
ปล.ช่วยเขียนตอนกับวันที่ที่อัพเดตด้วยนะครับไม่งั้นเราไม่รู้ว่าอัพนิยายนะ รออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-12-2015 10:00:26
ชอบเวลาหูกระต่ายกระเด้งขึ้นมาตั้งชี้ฟ้าเพราะความตื่นเต้นนี่แหละ
คิดภาพตามแล้วอยากจะเข้าไปฟัดหูนุ่ม ๆ เลย
ฮ่าฮ่าฮ่า

จะมีอะไรรอให้วีกับธาราได้ผจญภัยบ้างนะ

ใช้ภาษาดีมากเลยค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 19-12-2015 11:21:01
ฟินมากก คนที่ตื่นเต้นแล้วหูเด้งขึ้นมาเนี้ยย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 19-12-2015 11:41:55
สนุกมาก อ่านฮาไป ติดตามๆๆๆๆๆๆ  :katai2-1:

เวลาที่คนแต่งมาต่อ อยากให้ใส่เลขตอน เลขหน้า หรือวันที่ด้วยนะ จะได้รู้ว่ามาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 19-12-2015 11:48:02
น่าร้ากกกกกกกกก. ชอบมากค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 19-12-2015 16:12:45


ในใจนี่หวังอยากจะให้สักวันที่พลังแห่งดวงจันทร์ดับไป (เหมือนไฟดับ)
ธากับวีจะได้อยู่ในวงล้อมของกระต่ายหลากสีเต็มเมืองไปหมดแน่ ๆ เลย
คิดแล้วก็ฟิน... ตัวขน ๆ ตาวาว ๆ หูตั้ง ๆ เดินพันแข้งพันขา ฮื้ออ น่ารักอ่ะ!!
 
รอติดตามนะคะ ^^  :L2:




หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -5-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 19-12-2015 17:02:33


-5-
พระชายาวีกับเจ้าชายแห่งดวงจันทร์



หลังเชอเชสพาผมเดินโชว์ตัวกับทุกคนในวังเป็นที่เรียบร้อย เขาก็พาผมกับไอ้ธาไปส่งที่ห้องรับรองที่โอ่โถงยิ่งกว่าบ้านผมทั้งหลังรวมกันซะอีก

นาเทลวางร่างเพื่อนสนิทผมที่ยังไร้สติลงบนเตียงหนานุ่มขนาดหกฟุต จากนั้นทั้งเขาและเชอเชสต่างก็ขอตัวไปทำธุระต่อ ก่อนไปไม่ลืมกำชับไว้ด้วยว่าพวกผมมีนัดต้องเข้าพบพระราชาตอนพลบค่ำ และที่นั่นผมจะได้พบกับบรรดาเจ้าชายแห่งดวงจันทร์ที่ผมจะต้องเลือกหนึ่งในนั้นมาเป็นสามีในอนาคต

ฮืออออ ผมอยากลาตายสามวัน ไม่เจอได้ไหมเจ้าชายอะไรนั่นอ่ะ

“อืม... ไอ้วี...?”
เสียงโอดครวญของไอ้ธาดังขึ้น เรียกสติผมที่หลุดลอยไปไกลถึงดาวมฤตยูให้กลับคืนสู่ร่าง

“มึงตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นไงมั่ง” ผมไถตูดไปทีเดียวถึงตัวไอ้ธา มันค่อยๆ ยันตัวขึ้น เอามือกุมหัวเหมือนคนเมาค้างแต่ที่จริงคือช็อคสลบเพราะตกจากที่สูง(?)

“ปวดหัวตุ้บๆ เลยว่ะ ว่าแต่เราอยู่ที่ไหนกันแล้ววะ”

มันหันซ้ายแลขวามองรอบห้องที่ตบแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูก็รู้ว่าเครื่องเรือนแต่ละชิ้นนั้นแพงระยับ ห้องที่พวกเราได้เข้าพักเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ปูพรมแดงเต็มพื้นห้อง เตียงเป็นเตียงไม้แบบสี่เสาประดับผ้าม่านสีแดงหรูหรา กลางห้องมีโต๊ะรับแขกแบบฟูลเซ็ทตั้งอยู่ ฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะเขียนหนังสือกับตู้เสื้อผ้าแบบบิ้วอิน ประตูกระจกบานใหญ่เชื่อมต่อระหว่างห้องนอนกับพื้นที่ตรงส่วนระเบียง หากว่างอยากจิบน้ำชายามบ่ายก็สามารถไปนั่งชมวิวข้างนอกได้

“นี่มันพระราชวังอังกฤษชัดๆ !” ไอ้ธาร้องว้าวแทบจะหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง

“เชอเชสบอกว่านี่เป็นห้องรับรองแขกจากต่างเมือง ไว้พวกเขาจัดการเรื่องห้องให้พวกเราเสร็จเมื่อไหร่ค่อยย้ายกันอีกที” ผมบอกกับไอ้ธาที่กระโดดดึ๋งลงไปสำรวจรอบห้องอย่างตื่นเต้นแบบลืมป่วย

บางทีมึงก็ฟื้นตัวเร็วยิ่งกว่าอะมีบาอีกนะ ไอ้เพื่อนยาก...

“แล้วไงต่อ พวกเขาได้บอกมั้ยว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอว่าที่สามีของมึง?”

คำพูดของไอ้ธาทำให้ผมต้องเด้งขึ้นจากเตียง เอาหมอนปาใส่มันรัวๆ

ไอ้ธา ไอ้เพื่อนเวร เพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ก็ปากหมาหาเรื่องแซวผมซะแล้ว!

“มึงอย่าอยู่เลยยยยยยยย”

ผมวิ่งเอาหมอนไล่ฟัดไอ้ธาจนขนสีขาวปลิวกระจายทั่วห้อง ไอ้ธาแม่งก็ไม่มียอมผมอ่ะครับ คว้าหมอนอีกใบได้ก็ซัดผมกลับชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร เราวิ่งพล่านกันจนเหนื่อยสุดท้ายก็มานอนแผ่กันบนเตียงที่เต็มไปด้วยขนๆ เหมือนขนเป็ด ต่างคนต่างหัวเราะคลายเครียดไปได้อีกเยอะ

“ไงมึง สบายใจขึ้นยัง”

ผมเลิกคิ้วขึ้น หันไปมองหน้ามัน ดวงตาสีดำรับกับเรือนผมสีเดียวกันมองรออยู่ก่อนแล้ว

“วิธีคลายเครียดให้คนอื่นของมึงนี่ เล่นซะกูหอบเลยแสรดดด”

ผมด่ามันไปที เรียกรอยยิ้มเต็มหน้าจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ทั้งสองซี่ที่แสนจะน่าภูมิใจของมัน ตานี่เหลือแค่เส้นเดียว ท่าทางภูมิใจมากที่ทำให้ผมยิ้มได้

“ก็มึงเล่นทำหน้าซะเครียดเลยนี่หว่า อุตส่าห์ได้มาถึงดวงจันทร์ทั้งที มาทำหน้าบูดเป็นหมาเน่าตายแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนวะ” ว่าแล้วมันก็โบกหัวผมดังป้าบ ผมเลยเอาคืนด้วยการยันมันกลิ้งโค่โร่ตกเตียง

“จะไม่ให้กูเครียดได้ไงเล่า กูไม่ได้แพ็คกระเป๋ามาเที่ยวเหมือนมึงนี่ อีกเดี๋ยวก็จะมีคนมารับตัวกูไปดูว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว กูยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไปดี”

ไอ้ธาปีนขึ้นเตียงมานอนหนุนหัวบนพุงผม พวกเราชอบนอนกันแบบนี้ประจำ มันบอกพุงผมนิ่มนอนแล้วสบายหัวดีเลยชอบยึดพื้นที่ตรงนี้เป็นหมอนส่วนตัวของมัน “ก็ไม่เห็นจะต้องทำไงเลย ปิดตาเลือกๆ ไปสักคน ให้คนๆ นั้นได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ แค่นี้หน้าที่ของมึงก็สำเร็จลุล่วงแล้วนี่ จากนั้นเราค่อยให้นาเทลกับเชอเชสพาเที่ยวให้ทั่วแล้วค่อยกลับโลกกัน เป็นไง มึงว่าดีไหม?”

“คิดง่ายนะมึงอ่ะ” ผมผลักหัวมันอย่างหมั่นไส้ ให้ไอ้ธาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่ผมชอบทำรุนแรงใส่

“ก็แล้วจะคิดให้มันยากไปทำไมล่ะ เขาบอกแค่ให้มึงเลือก ไม่ได้บอกให้มึงรักเจ้าชายพวกนั้นสักหน่อย ถ้าเป็นอย่างหลังค่อยมาคิดหนักเหอะ”

“เออ ก็จริง” ผมเริ่มคล้อยตามมัน ไอ้ที่หนักๆ อยู่ในใจเริ่มผ่อนคลายลง

“ว่าแต่...” มันพลิกตัวมานอนเท้าคางมองหน้าผมแทน “พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ป่าววะ อยู่แต่ในนี้อุดอู้เกิ๊นนน อุตส่าห์ได้มาถึงดวงจันทร์แล้วทั้งที อาณาจักรกระต่ายเลยนะเว้ย”

ผมโคลงหัวคิด “พวกเชอเชสไม่ได้บอกไว้ด้วยสิว่าให้ออกไปไหนได้รึเปล่า บอกแค่ว่าตอนเย็นจะมีคนมารับไปพบพระราชา แต่ก่อนหน้านั้นต้องอาบน้ำเตรียมตัวให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวจะมีคนเอาชุดมาให้”

“ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องซะด้วย ป้าดๆๆ พระชายาวี นี่กูมีเพื่อนเป็นถึงเมียว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปเลยเหรอวะ ฟังดูดีชะมัด”

“ดูดีพ่อง” ผมด่ามันให้ ไอ้ธาเลยหัวเราะก๊ากอย่างสะใจให้ผมไล่ถีบมันอีกรอบ

“หูย ทำไมว่าที่เจ้าสาวนายนี้ถึงได้อารมณ์ร้ายจังวะ อนาคตข้างหน้าสามีมึงไม่กลัวหัวหดหมดเรอะ” เจ้าเพื่อนตัวดียังมิวายหยุดแหย่

คำก็เมียสองคำก็สามี นี่กูชักจะทนกับความกวนประสาทของมึงไม่ไหวแล้วน้า!




สุดท้ายพวกผมก็ไม่สามารถออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนได้แม้แต่ในเขตสวนของพระราชวัง

ทหารยามในชุดสีเขียวที่เฝ้าอยู่หน้าห้องบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมีข้ารับใช้มาพาผมกับไอ้ธาไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้ายังไงขอให้ช่วยอดทนรอในห้องไปก่อนจะได้ไม่คลาดกับคนเหล่านั้นจนต้องวิ่งวุ่นตามหากันอีก

ทั้งผมและไอ้ธาเลยเดินคอตกกลับมานอนกลิ้งบนเตียง ผ่านไปสักยี่สิบนาทีก็มีคนมาเคาะประตูห้อง พอผมเอ่ยอนุญาตให้เข้ามาได้ ข้ารับใช้ที่ทหารยามพูดถึงจำนวนสิบคนก็เดินกรูกันเข้ามา ในมือมีเสื้อผ้าสีสันสดใสกว่าสิบชุดกับเครื่องประดับมากมายหลายเซ็ทที่เห็นแล้วตาลายอยากหน้ามืดจิ๊กกลับบ้านไปเป็นของฝากให้แม่สักอัน

“คารวะพระชายาวี สหายพระชายา นี่เป็นเสื้อผ้าที่สำนักทอจันทร์นำมาถวายให้พวกท่านเลือกสำหรับใส่ในค่ำคืนนี้ขอรับ” พวกเขายื่นเสื้อผ้าโทนสีสดใสมาให้ผม ส่วนของไอ้ธานั้นเป็นสีโทนเข้มเกือบทั้งหมด

“เอ่อ... ผมขอชุดสีดำแบบเพื่อนผมได้ไหมครับ”

พอเห็นบรรดาสีแสบสันตรงหน้าแล้วเนื้อตัวมันคันยิบๆ ผมเลยลองถามเด็กรับใช้ตรงหน้าดู เขาเป็นเด็กชายที่น่าจะอายุไม่ถึงสิบห้าปี บนหัวมีหูกระต่ายสีเทาอ่อน ดวงตาสีฟ้าครามใสแจ๋วดูน่ารักน่าหยิกเป็นที่สุด

“ขออภัยขอรับพระชายา นั่นเป็นชุดสำหรับแขกบ้านแขกเมือง ท่านมิสามารถสวมใส่ชุดเหล่านั้นได้ขอรับ”

“แต่ผมก็เป็นแขกของที่นี่เหมือนกันนี่นา...”

“มิได้ขอรับ ถึงท่านจะมาจากแดนไกลเหมือนกัน แต่ฐานะของท่านนั้นมิอาจใช้เสื้อผ้าสีโทนทึบมาทำให้หม่นหมองแก่ตัวท่านได้” เจ้าสีเทาพูดจาฉะฉาน ชี้ให้เห็นต่างถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่ชาวกระต่ายยึดถือ ผมนี่ถึงขั้นกุมขมับ สีชมพูนี่จ่ออยู่ตรงหน้ากูเลยครับ

“ก็แค่สีชุดเองน่า มึงจะเรื่องมากทำไมวะ หลับตาหยิบๆ ไปสักชุดก็หมดเรื่อง” ไอ้ธาให้คำแนะนำได้เหมือนกับที่มันบอกให้ผมใช้วิธีนี้เลือกสามีไม่มีผิดเพี้ยน มักง่ายเกินแล้วมึงอ่ะ

“เออๆๆ ก็ได้วะ” ผมกวาดตาดูชุดพวกนั้นอีกรอบก่อนจะเลือกตัวที่เสื้อชั้นในเป็นสีขาว ทับด้วยผ้าสีฟ้าครามรัดด้วยผ้าสีเหลืองสดใสที่ปักเป็นลายหงษ์ดูวิตรงดงาม ตัวนี้ดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วเมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ ที่เป็นสีเหลืองบ้าง ชมพูบ้าง ไอ้สีพวกนั้นผมยังทำใจใส่มันไม่ลง

หลังจากเลือกเสื้อผ้ากันเสร็จเรียบร้อย บรรดาเด็กชายในร่างครึ่งคนครึ่งกระต่ายก็พาพวกเราไปยังห้องอาบน้ำ เด็กที่มีหูกระต่ายเป็นสีเทาอ่อนบอกว่าที่นี่มีแต่ห้องอาบน้ำรวม หนึ่งชั้นต่อหนึ่งห้อง มีทั้งแบบน้ำร้อนและน้ำเย็น จะเข้ามาใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้

“นี่ เธอชื่ออะไรเหรอ” ผมถามเจ้าตัวน้อยที่สูงประมาณอกผมเท่านั้น ต้องมีพ่อแม่หน้าตาดีขนาดไหนกันนะถึงผลิตลูกหน้าตาน่ารักน่ากอดออกมาได้แบบนี้

“กระผมชื่อยาอุลขอรับ” ทั้งหูและหางต่างพากันดุ๊กดิ๊กเหมือนดีใจที่ผมถามชื่อเขา เด็กน้อยโปรยกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนลงในสระก่อนหยดน้ำมันหอมลงไป คนอื่นๆ ช่วยกันจัดเตรียมอย่างอื่น พอทุกอย่างดูลงตัวก็เข้ามาช่วยกันรุมทึ้งผมกับไอ้ธาจนพวกเราแหกปากกรี๊ด(?)กันเสียงหลง

“พวกนายจะทำอะไรกันน่ะ!?” ผมกับไอ้ธาเบียดตัวเข้าหากัน แน่นอนว่าผมอยู่หน้า ไอ้ธาอยู่หลัง แม่งใช้ผมเป็นโล่กำบังอีกแล้ว!
ยาอุลและคนอื่นๆ เอียงคอไปด้านข้างพร้อมกัน “ก็ช่วยพระชายากับสหายอาบน้ำยังไงล่ะขอรับ”

“แค่อาบน้ำพวกเราทำกันเองได้น่า!” ไอ้ธาตะโกนข้ามหัวผมไปบอกเด็กพวกนั้น โดยมีผมพยักหน้าช่วยยืนยันอีกแรง

“มิได้ขอรับ พวกเราต้องช่วยกันขัดตัวพระชายาเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่พิธีต้อนรับในคืนนี้ขอรับ จะทำลวกๆ ไม่ได้เด็ดขาด” เด็กที่ดูโตที่สุดในสิบคนนั้นเป็นคนกล่าว

“งั้นก็จัดการแค่ไอ้วีไปแล้วกัน ส่วนของฉัน ฉันดูแลตัวเองได้” ไอ้ธาได้ทีรีบขายเพื่อนเอาตัวเองรอด มันรีบวิ่งไปถามเด็กพวกนั้นว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งน้ำเย็น พอเจ้าเด็กที่ดูตัวโตสุดชี้นิ้วบอก มันก็รีบเอาเสื้อผ้าที่มันเลือกกับบรรดาผ้าที่เหมือนผ้าขนหนูวิ่งไปฝั่งนั้นทันทีโดยมีเด็กรับใช้วิ่งตามไปด้วยสองคน ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับบรรดาครึ่งคนครึ่งกระต่ายจำนวนแปดชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ฮือออออ ไอ้ธา ไอ้เพื่อนเลว จบจากนี่ไปเมื่อไหร่กูจะเอาคืนมึงเป็นเท่าตัวเลยคอยดู!




หลังถูกขัดสีฉวีวรรณเสร็จเรียบร้อย ผมก็มานั่งน้ำตากระซิกอยู่ในห้องรับรองเพราะร่างกายเพิ่งผ่านมือผู้ชายมาหมาดๆ

แม้ว่านั่นจะเป็นแค่การทำความสะอาดร่างกายเท่านั้นก็เหอะ...

“มึงจะทำดราม่าอีกนานป่าววะ ก็แค่ถูกอาบน้ำให้เอง”
ไอ้ธาที่อยู่ในชุดสีดำตัดน้ำเงินเข้มนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนหัวเตียงนี่ผมยึด นอนขวางแบบผิดทิศคล้ายกับประกาศศักดาว่าเตียงนี้เป็นของข้าคนเดียว

“มึงไม่โดนมึงก็พูดได้นี่ ทิ้งกูไปอาบน้ำคนเดียว สบายใจเลยสิท่า”

มันไม่รู้หรอกว่าผมต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง ทั้งโดนแก้ผ้า จับขัดๆ ถูๆ ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไหนจะส่วนตรงนั้นที่ยังไม่เคยผ่านมือใคร...กลับถูกทำความสะอาดทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่ช่องทางข้างหลังที่เด็กพวกนั้นย้ำกับเขาเป็นร้อยๆ รอบว่าต้องทำความสะอาดให้ดี มิเช่นนั้นอาจทำให้เทพกระต่ายพิโรธจนล่มพิธีต้อนรับเอาได้

แค่คิดถึงตรงจุดนี้ก็....

“โฮฮฮฮฮฮฮ กูเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้อีกแล้ว”

ไอ้ธาใช้นิ้วก้อยแหย่รูหูเหมือนรำคาญเสียงคร่ำครวญของผมนักหนา พลางพูดซ้ำเติมผมว่า “ยังไงมึงก็มานี่เพื่อเป็นเจ้าสาวอยู่แล้วนี่ จะคิดเรื่องเจ้าบ่าวให้มันปวดหัวทำไม”

“ไอ้ธา!” ผมแทบจะถลาไปฟัดกับมันอีกรอบทั้งที่เพิ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ แต่เจ้าเพื่อนตัวดีดันรู้ทัน แวบเดียววิ่งปรู้ดไปถึงโซฟา ลำบากผมที่ใส่ชุดยาวระพื้นต้องถกชายผ้าขึ้นวิ่งไล่มันอีก

รุ่มร่ามจริงเว้ยไอ้ชุดพิธีการบ้านี่!

ก๊อกๆ

“ขออนุญาตขอรับ ท่านวี ท่านธา ถึงเวลา... เอ่อ กำลังเล่นอะไรกันอยู่หรือขอรับ”

นาเทลเปิดประตูห้องเข้ามาก่อนโดยมีเชอเชสเดินตามหลัง เขามองผมที่ถกชุดยาวกรุยกรายวิ่งรอบห้องสลับกับไอ้ธาที่หัวเราะไม่หยุด หน้าแข็งค้างเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

“อ้าว มากันแล้วเหรอ” เจ้าเพื่อนตัวแสบเห็นกำลังหนุน(?)มาถึงก็รีบวิ่งไปหาแนวร่วม มันดึงนาเทลที่ยืนค้างอยู่หน้าประตูห้องให้รีบเข้ามาข้างใน “ว่าไงๆ พระชายาของพวกนายสวยไหม” ได้ทีก็รีบถามกระต่ายในร่างคนที่ดูจะไม่รู้ว่ากำลังถูกไอ้ธาหลอกใช้เป็นเครื่องมือแกล้งผม

นาเทลยิ้มรับก่อนใคร “ดูดีมากเลยขอรับท่านวี” เขาชมผมจากใจจริง ทำให้ผมไม่กล้าอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอีก

เชอเชสเดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่ช่วยจัดชุดที่หลุดรุ่ยกลับเข้าที่

“ยิ้มทำไม ผมใส่ชุดนี้มันตลกนักรึไง” พาลครับพาล นาทีนี้อะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด

เจ้าหัวส้มหน้าตาตื่นเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แค่ยิ้มเองนะ?

“เปล่าขอรับ แค่รู้สึกว่าท่านวีดูดีมาก ชุดนี้เหมาะกับท่านมากเลยขอรับ”

“เอาจริงดิ?” ผมยกสองแขนที่เป็นชายผ้ายาวๆ ขึ้นสำรวจตัวเอง ดูยังไงก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าแบบนี้มันไม่เหมาะกับผมหรอก

“กระผมไม่โกหกหรอกขอรับ” ถ้าเชอเชสว่างั้นผมจะยอมทนๆ ใส่ไปก่อนก็ได้...ทำอย่างกับมีทางเลือกนักล่ะ

“อ๊ะ จริงสิ ถึงเวลาแล้วเหรอ?” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อเห็นการแต่งกายของสองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ พวกเขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีกรมเต็มยศ บนบ่าและตามอกติดดาวและเครื่องหมายอะไรไม่รู้ละลานตาไปหมด บ่งบอกว่าเจ้าตัวน่าจะมียศอยู่ไม่น้อยในราชวังแห่งนี้

“ขอรับ พระราชาให้พวกกระผมมารับท่านกับท่านธาไปยังท้องพระโรง เหล่าขุนนางคนสำคัญก็อยู่ที่นั่นกันหมดแล้วขอรับ”

“ย...อย่างงั้นเหรอ...” รอยยิ้มผมชะงักไปทันตาเมื่อรู้สึกเหมือนมีใบมีดมาจ่ออยู่ตรงคอหอย จะเดินหน้าก็ตาย จะถอยหลังก็ทำไม่ได้ เป็นสถานการณ์ที่ชวนให้คิดถึงพ่อกับแม่มาก ถ้ากลับโลกได้ตอนนี้ผมคงไม่ลังเลที่จะกลับเลย

“ท่านวี” เชอเชสที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผมยื่นมือมาบีบมือผมไว้คล้ายกับต้องการให้กำลังใจ “หากท่านไม่ประสงค์จะอภิเษกกับเจ้าชายจริง ท่านย่อมปฏิเสธกับพระราชาได้ แม้กระผมจะไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่ตามมา แต่ก็ยังดีกว่าที่ท่านวีรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นนะขอรับ”

แรงบีบที่หลังมือเรียกให้ผมรู้สึกตัว เงยหน้ามองสบดวงตาสีเทาอมม่วงที่มองมาอย่างเป็นห่วง

“อื้อ” ผมรับคำทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ตราประทับรูปมงกุฏยังฝังกบาลอยู่เลย ถ้าผมปฏิเสธไม่เท่ากับว่าผมจะมีไอ้มงกุฏบ้านี่ติดหัวไปตลอดชีวิตเรอะ “เชอเชส คุณว่ายังมีทางอื่นอีกไหมที่จะทำให้ไอ้มงกุฏนี่หายไปได้”

เจ้าหัวส้มทำหน้าหนักใจ “กระผมเองก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ แต่เทพกระต่ายอาจให้คำตอบเรื่องนี้แก่ท่านได้”

“เทพกระต่าย?” แค่ได้ยินชื่อนี้ผมก็อารมณ์ขึ้นแล้ว

ก็ไม่ใช่เพราะเทพองค์นี้เรอะผมถึงต้องมาอยู่ที่นี่ ต้องมาอภิเษกงี่เง่าเพียงเพราะเขาเลือกผมเป็นชายาแห่งดวงจันทร์ ฮึ้ยยย เจอหน้าล่ะจะหาทางเอาคืนสักยก จะได้รู้ว่ามนุษย์โลกน่ะไม่ได้เคี้ยวง่ายๆ นะเฮ้ย

“อีกเดี๋ยวท่านวีก็จะได้พบกับท่านเทพในพิธีต้อนรับแล้วขอรับ หากท่านวีอยากรู้อะไรก็ลองถามท่านเทพดูได้”

“เข้าใจล่ะ”

“เช่นนั้น ให้กระผมนำทางไปยังท้องพระโรงเลยไหมขอรับ” เชอเชสค้อมตัวลงอย่างให้เกียรติ ทำอย่างกับผมเป็นเจ้าหญิงในนิทานไปได้ ฮึ




พระราชวังที่ทำจากคริสตัลทั้งหลังดูงดงามอลังการยิ่งกว่าภาพวาดในฝัน ผมกับไอ้ธาเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่ประดับด้วยอัญมณีมากมายดูงดงามตระการตา ทั้งหมดส่องแสงแพรวพราวประชันกันยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้า ผมกับไอ้ธาตาแทบบอดเมื่อเจอรัศมีเจิดจรัสพวกนี้ทำร้ายลูกกะตารัวๆ ต่อมโลภในใจปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟที่พร้อมระเบิด

“ถ้าแอบหยิบติดไม้ติดมือกลับบ้านไปสักเม็ดสองเม็ดจะมีใครรู้ป่าววะ”

นักศึกษาที่อยากผันตัวเองไปเป็นโจรกระซิบกระซาบกับผม ตอนนี้พวกเรากำลังเดินไปยังตำหนักใหญ่ของพระราชาซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในสุดของตัววัง ข้างหน้าของผมคือเชอเชสที่ติดผ้าคลุมสีดำยาวระพื้น ส่วนคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าไอ้ธาคือนาเทลที่อยู่ในชุดเครื่องแบบเหมือนกับเชอเชสทุกอย่าง

“ใจเย็นมึง อย่าเพิ่งหากรงมาขังตัวเอง แต่ถ้าว้อนนัก เอาไว้กลับไทยเมื่อไหร่กูจะสั่งกรงขังแบบพิเศษเตรียมไว้ให้เป็นของขวัญวันเกิดมึงเลยดีมั้ย?”

แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายถึงคุกขังคน แต่เป็นกรงขังหมาที่ดูเหมาะกับเพื่อนธาม๊ากมาก

“ปากดีไปก่อนเถอะมึง อีกเดี๋ยวเจอหน้าว่าที่สามีแล้วระวังจะพูดไม่ออก” มันหัวเราะหึๆ อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ผมเลยแยกเขี้ยวใส่มันไปที ไม่รู้ว่าการที่พามันมาด้วยนี่เป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่

“ถึงแล้วขอรับ”

สิ้นเสียงของเชอเชส ประตูบานหนาหนักที่อยู่ปลายสุดของทางเดินก็ถูกเปิดออกโดยทหารยามที่ยืนรักษาการณ์อยู่ พวกเขาในชุดเครื่องแบบสีแดงต่างพากันทำความเคารพเชอเชสกับนาเทลด้วยท่าทางขึงขัง แต่ผมแอบเห็นนะว่าสายตาของพวกเขามีแอบเหล่มามองผมตอนที่ผมเดินผ่านน่ะ!

“พระชายาเสด็จ!”

ข้ารับใช้ในชุดพิธีการสีขาวประกาศเสียงดังก้องท้องพระโรง ผู้คนที่มาถึงก่อนแล้วต่างพากันหันขวับมองมาที่ผมเป็นตาเดียว
เล่นเอาซะก้าวขาไม่ออกเลย...

“โอ นี่น่ะหรือพระชายาแห่งดวงจันทร์ที่เทพกระต่ายทรงคัดเลือกเองกับมือ เป็นเด็กหนุ่มที่รูปงามนัก” พระราชาหนวดยาวเป็นผู้ตรัสขึ้นก่อนใคร เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่ยังดูอายุไม่เยอะ ท่วงท่าเปี่ยมด้วยอำนาจของราชาที่ยืนอยู่เหนือทุกคนในแผ่นดิน ดวงตาสีเทาจนเกือบดำดูลึกล้ำคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าหน้ากากของพระราชา?

“ถวายพระพรองค์ราชา ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ผมกับไอ้ธาเลียนแบบคำพูดในหนังย้อนยุคที่พวกแม่ๆ ของพวกเราชอบดู คุกเข่าเลียนแบบซะเหมือนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าทำแบบนี้มันถูกต้องรึเปล่า เรียกเสียงหัวเราะถูกใจจากคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในที่นี้ได้ดีนัก

“ลุกเถิดๆ ชายาตัวน้อยอย่าได้มากพิธีเลย” กษัตริย์เมซาดิอุสกล่าวอย่างใจกว้าง ผมกับไอ้ธาเลยรีบลุกและแอบหันไปยิ้มล้อเลียนกันว่า มึงก็กล้าทำไปได้เนอะ

“ลำบากพวกเจ้าแล้วที่ต้องดั้นด้นเดินทางมาไกล ยังไงก็คิดว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของพวกเจ้าแล้วกันนะ ชายาตัวน้อยและสหายผู้มาจากโลก”

“ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”

ท้ายเสียงไอ้ธาติดสั่นน้อยๆ เพราะมันกำลังกลั้นขำสุดพลังกับความมั่วเลอะเทอะของเราสองคน น้อยๆ หน่อยเถอะมึง ดูด้วยว่ามีกี่สายตาที่จ้องเขม็งมาทางเรา เดี๋ยวเขาก็เอาไปนินทาลับหลังว่าชาวโลกเป็นพวกลิงกังเพราะมึงหรอก

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว เราขอเวลาเพียงสักครู่ให้ชายาตัวน้อยได้ทำความรู้จักกับโอรสของเราก่อน เพื่อที่ชายาตัวน้อยจะได้มีเวลาตัดสินใจก่อนพิธีต้อนรับจะมาถึง ฮาซาดิยาส ในฐานะโอรสองค์โต เจ้าควรเป็นผู้แนะนำตัวเองก่อน”

กษัตริย์เมซาดิอุสทำหน้าที่พ่อสื่อในทันทีที่กล่าวทักทายกันเสร็จ ผมยิ้มแห้ง ส่วนไอ้ธาแม่งแอบกลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ เมื่อชายคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผยเดินก้าวออกมาจากตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับพระราชามากที่สุด

“ข้า ฮาซาดิยาส อองเตรย์ ดี ทาคาล ยินดีต้อนรับพระชายาจากต่างแดน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะเห็นที่นี่เป็นบ้านอีกหลัง หากมีปัญหาอันใดก็สามารถมาปรึกษาข้าได้ทุกเมื่อ”

คำทักทายสั้นแสนสั้นดังมาจากปากชายหนุ่มที่ดูอายุอานามไม่น่าเกินสามสิบ เขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ดวงตาสีเทารับกับเส้นผมสีน้ำเงินจัด ร่างกายดูแข็งแกร่งกำยำ ผิวทั่วร่างเป็นสีน้ำผึ้งสม่ำเสมอ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่พวกราชวงศ์ที่ดีแต่หมกตัวอยู่แต่ในปราสาทท่องตำรา คุ้นๆ ว่าเชอเชสเคยบอกว่าเจ้าชายองค์โตทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการทหารนี่แหละ ดูๆ ไปแล้วเขาเหมาะจะเป็นแม่ทัพมากกว่าเจ้าชายซะอีก

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ลืมเรื่องการใช้ราชาศัพท์ไปซะสนิท แต่อีกฝ่ายกลับดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขาเพียงพยักหน้าให้ ก่อนกลับไปยืนเป็นรูปสลักตรงตำแหน่งเดิม

“เจ้าชายของมึงโคตรจะดูดีเลย! แต่ไม่ไหวว่ะ ทำตัวแข็งอย่างกับหิน เล่นมุกไปทีแม่งยืนนิ่งจนมึงเซ็งแน่” ไอ้ธาเขยิบมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน ซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วยแบบไม่คิดต่าง คนแบบนี้ผมค่อนข้างแพ้ทางเพราะอยู่ข้างๆ แล้วไม่รู้จะคุยอะไรด้วย จะไร้สาระใส่ก็กลัวเขาจะรำคาญ จะวิชาการจ๋าก็ตัวผมนี่เองที่จะทนรับสภาพนั้นไม่ได้ซะก่อน

คนแรกแนะนำตัวเสร็จไป ไอ้เราก็คิดว่าจะได้เห็นหน้าเจ้าชายคนที่สองต่อ แต่กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่ยกมือขึ้นขออนุญาตพระราชา

“เสด็จพ่อ ลูกขอแนะนำตัวต่อจากพี่ใหญ่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์ในชุดฉลองพระองค์สีแดงเปี่ยมอำนาจหัวเราะอย่างนึกเอ็นดูบุตรชายคนเล็ก พระองค์ทรงอนุญาตในทันที ไม่สนว่านั่นจะเป็นการลำเอียงหรือไม่

ทำแบบนี้มันสปอยเด็กชัดๆ เลย อีแบบนี้ถ้าวันหนึ่งเจ้าเด็กนี่เสียคนขึ้นมาไม่ต้องโทษเลยว่าเป็นความผิดใคร

“คารวะพระชายา ข้ามีนามว่า เฮอเทนีลุส อองเตรย์ ดี ซอโร เจ้าจะเรียกข้าว่าซอโรเฉยๆ ก็ได้นะ” เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขาคลี่ยิ้มเจิดจ้าทักทายทำให้เห็นถึงความต่างที่ชัดเจนระหว่างน้องคนเล็กกับพี่คนโต

ซอโรเป็นเด็กหนุ่มรูปงามพราวเสน่ห์ เส้นผมสีทองคำทำให้ดวงหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์สดใส ขับให้ดวงตาเรียวรีสีทับทิมยิ่งดูโดดเด่นเปล่งประกาย เขาสวมชุดแบบชาวดวงจันทร์คล้ายที่ผมกำลังสวมใส่ เสื้อตัวในเป็นสีขาวยาวกรอมเท้า คลุมทับด้วยผ้าเนื้อบางสีม่วงอ่อนปักลายไม้พันเป็นเกลียว ช่วงเอวรัดด้วยเชือกมัดใหญ่สีฟ้าคราม ดูอย่างกับพระเอกที่เพิ่งหลุดออกมาจากหนังจีน

“งั้นเรียกผมว่าวีแล้วกันครับ” ผมเอ่ยกลับไปอย่างเป็นมิตร เด็กคนนี้ดูน่าจะอายุอ่อนกว่าสองถึงสามปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูร้ายไม่ใช่เล่น แค่เห็นแววตาก็พอเดาได้แล้วว่านี่มันหมาป่าในคราบกระต่ายชัดๆ

“ได้เลยวีวี่ หลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่าง เจ้าอย่าลืมมานั่งดื่มชาพูดคุยกับข้าบ้างล่ะ” พูดจบก็ขยิบตาให้แล้วหมุนชายผ้าเดินกลับไปยืนที่เดิมด้วยรอยยิ้ม ทิ้งให้ผมขนลุกเกรียวกับคำเรียกที่สาวแตกอย่างกับกระเทย

“วีวี่...วีวี่ว่ะเฮ้ย กั่กๆๆ”

ไอ้ธาถึงกับต้องยกสองมือปิดปากไม่ให้ตัวเองหลุดหัวเราะออกมา นี่ถ้าไม่ใช่กำลังยืนอยู่ในท้องพระโรงมีหวังมันขำก๊ากไม่ไว้หน้าผมไปแล้ว

“เก็บคำพูดหน่อยมึง” ผมแจกตาเขียวใส่มัน รู้สึกหน้าม้านไปเล็กน้อยแต่ก็ต้องฝืนยิ้มต่อไป

“งั้นต่อไปก็ถึงตาเจ้าแล้ว ลูกข้า”

เพราะมัวแต่ถลึงตาปรามไอ้ธาจึงไม่ได้ฟังว่ากษัตริย์เมซาดิอุสตรัสอันใดไปก่อนหน้า หันมาอีกทีพระองค์ก็ผายมือมาเบื้องหน้า มองตรงมาที่ที่พวกผมยืนอยู่จนผมกับไอ้ธาหันมาทำหน้างงใส่กัน ยังไม่ทันที่ไอ้ธาจะกระซิบถามอะไรออกมา ปากที่ปรกติมักจะพ่นแต่คำหมาๆ ก็อ้าปากค้างทำท่าพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำเมื่อเห็นนาเทลหมุนกายกลับมาค้อมตัวทำความเคารพพวกเรา

“ข้า ทาคานีออส อองเตรย์ ดี นาเทล ยินดีต้อนรับพระชายาวีและท่านธาสู่อาณาจักรแสงจันทร์ หากท่านทั้งสองประสงค์สิ่งใด อย่าได้เกรงใจที่จะเอ่ยปากบอกกับทางเรา หากไม่เหนือบ่ากว่าแรง พวกเราจะจัดหามาถวายให้พวกท่านให้จงได้”

ไม่แค่ไอ้ธาที่ช็อคค้างไปแล้วครับ ผมเองก็สะเทือนไตไม่แพ้ไอ้คนข้างๆ ที่ใช้บริการเจ้าชายแทนกระสวยอวกาศ บินลัดฟ้าจากโลกมาถึงดวงจันทร์ แถมยังได้เจ้าชายคนรองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์คอยลูบหลังให้ตอนอ้วกแตกจนหมดไส้หมดพุงอีก
บุญหัวมึงแล้วไอ้ธาเอ๊ย ฮ่าๆๆๆ

“ไอ้เชี่ย... ทำไมเป็นหมอนี่ไปได้วะ”

ไอ้ธาทำหน้าเหมือนโลกจะแตกอยู่ตรงหน้า เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เรายังอยู่ที่คอนโดกันมันเล่นใช้งานเจ้าชายคนนี้สารพัด ทั้งใช้ให้ไปซื้อเครื่องดื่ม ซื้อของกิน ซักผ้า ตากผ้า กวาดพื้น ถูบ้าน ล้างจาน จนผมคิดว่านาเทลแปลงร่างเป็นเบ๊กลายๆ ของไอ้ธามันแล้วเพื่อแลกกับค่าห้องที่มันให้เชอเชสกับนาเทลพักอยู่ฟรีๆ โดยไม่คิดค่าน้ำค่าไฟ

ไงล่ะมึง ใช้งานเจ้าชายซะคุ้มเลยนะ ฮ่าๆๆ

“สมน้ำหน้า ไปแกล้งเขาไว้เยอะ ระวังเหอะจะโดนเขาเอาคืน” ได้ทีต้องรีบทับถมมันครับ เพื่อนล้มเราต้องรีบซ้ำ เป็นตรรกะที่ผมกับมันใช้มาตั้งแต่เด็กยันโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงอย่างตอนนี้แหละ

จากอารมณ์ทิ้งดิ่งเลยเริ่มสดใสขึ้นเป็นกองเมื่อเห็นรอยยิ้มที่นาเทลจงใจส่งให้ไอ้เกลอเพื่อนผมโดยเฉพาะ หลังจากนี้คงได้มีเรื่องบันเทิงให้ผมติดตามฆ่าเวลาในระหว่างที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์แล้วล่ะ อั๊ดช่าา

ผมยิ้มร่า ทว่ายิ้มได้ยังไม่ทันถึงหนึ่งนาทีก็ต้องคิ้วกระตุกตามไอ้ธาไปติดๆ เมื่อเชอเชสดันเป็นอีกคนที่หันหน้ามาทางผม ดวงตาสีเทาอมม่วงแลดูมีเลศนัยคล้ายยิ้มแต่แกล้งทำเป็นไม่ยิ้ม

เฮ้ยๆๆ อย่านะ นั่นนายกำลังจะทำอะไรของนายน่ะ!

เชอเชสค้อมศีรษะให้ผมไม่ต่างจากที่นาเทลทำ แล้วพูดด้วยประโยคที่ทำให้ผมแทบกระอักเพราะเจอดาเมจสร้างความสะเทือนให้หัวใจรัวๆ


“ข้า เจ้าชายลำดับสามแห่งราชวงศ์แสงจันทร์ นาม คาเซดีนัส อองเตรย์ ดี เชอเชส หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านกับสหายจะพอพระทัยกับงานเลี้ยงต้อนรับที่ทางเราจัดขึ้นนะขอรับ พระชายาแห่งดวงจันทร์”


ผมผงะถอยหลังไปสามก้าว ไม่รู้ทำไมมันถึงได้คดีพลิกขนาดนี้...

จากคนที่คิดว่าเป็นแค่องครักษ์ มาบัดนี้บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย...เจ้าชายเลยนะ!!!


พระเจ้า... พระองค์ทรงเล่นตลกกับลูกเกินไปแล้ว!




----------------------------------------------------------
พระเอกออกโรงงง หรือออกมาตั้งแต่ต้นละหว่า 55555555 //โดนถีบ  :z6:

ปล. เค้าใส่ชื่อตอนและวันที่แล้วน้า ขอบคุณที่ช่วยแนะนำค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 19-12-2015 18:16:37
แหกปากดังๆว่า คดีพลิกกกกกกก ขำอ่ะ แล้วที่ใช้ๆมาล่ะ ขำอ่ะ กระต่ายสีส้มมมม ขำตอนสองพี่น้องอาบน้ำให้กันด้วยเมื่ออ่านถึงจุดนี่
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-12-2015 18:22:50
กร๊ากกกก

เหมือนจะเห็นคู่รองลางๆ


เอ๊ะๆ~
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 19-12-2015 18:28:10
โอ้ยแพ้
เชสเชอน่ารักมากกก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 19-12-2015 19:15:57
กระต่ายส้มเจ้าเล่ห์! 55555555555 แอบสงสารวีวี่เบาๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 19-12-2015 20:18:37
น่ารักอะ แอบปลอมตัวเป็นทหารไปดูตัวพระชายาสินะ 5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 19-12-2015 20:46:33
โอ๊ยหลงรักเรื่องนี้จังภาษาลื่นอ่านง่าย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 19-12-2015 20:55:49
ชอบนุ้งต่ายหัวส้ม จาอาวจาอาววววว อยากเลี้ยงนุ้งต่ายตัวเน้ แฮร่~

ชาวเมืองชาววังเค้าดูมุ้งมิ้งเนอะ เป็นต่ายแลดูน่ารัก พระราชาคงมุ้งมิ้งน่ารักเนอะ ไม่งั้นประชาชนประชาวัง คงไม่ลันล้าขนาดนี้ งุ้งงิ้งอยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: ployyuki ที่ 19-12-2015 21:00:05
รู้ตัวพระเอกแว้ววววว ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 19-12-2015 21:09:45
คดีพลิกจริงๆ
แอบเห็นคู่รองไหวๆ(?)
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 19-12-2015 22:12:13
เอาอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 19-12-2015 23:11:30
เรื่องนี้ดูมุ้งมิ้ง ใสๆ ตัลร๊ากดี♥
แต่...กระต่ายเค้าว่ากันว่าทันเซ็กซ์จัดนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 19-12-2015 23:58:59
สนุก ๆ น่าติดตาม น่ารักมาก ๆ เลย ชอบ ๆ
สองคู่ชูชื่นสินะ  :o8: จริง ๆ ก็แอบเชียร์เจ้าส้มเป็นพระเอกอยู่แล้วนะเนี่ย
แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าชายเลยนะ แถมทั้งคู่เลยด้วย คดีพลิกจริง ๆ
ธาเอ้ย ล้อเพื่อนดีนัก ตัวเองก็มีแววจะได้สามีเหมือนเพื่อนนะน้องธา 555
ชอบเวลาน้องวีรู้สึกเอ็นดูกระต่ายอ่ะ นายเอกรักสัตว์นี่ได้ใจเราไปเต็ม ๆ ปลื้ม  :กอด1:
รอติดตามนะจ้ะ ชอบเรื่องไม่เครียดแบบนี้แหละ ชีวิตเจอเรื่องเครียด ๆ มาเยอะละ
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: lovegoldfish ที่ 20-12-2015 10:41:49
กระต่ายส้มเจ้าเลห์จริงๆเลย  :hao7:
เจ้าชายคนที่ 3 ถนัดอ่านใจคนด้วยนิ แสดงว่าวางแผนมาแต่แรกเลย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.5::: Update 19/12/2015 (P.1)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 20-12-2015 12:40:48
น่าร้ากกกก อยากอ่านต่อแล้ว :katai5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -6-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 20-12-2015 14:22:54




-6-
ว่ากันด้วยเรื่องของเจ้าชายแห่งดวงจันทร์




นาเทลเป็นเจ้าชาย... เชอเชสก็เป็นเจ้าชาย...

กระต่ายสองตัวที่บุกคอนโดคนอื่นกลางดึกแถมยังคิดจะทำลายข้าวของแบบไม่สนว่าคนซ่อมจะต้องเสียตังค์เท่าไหร่เป็นถึงเจ้าชายแห่งดวงจันทร์

โอย ช็อค...

“มึง กูอยากลาตาย ขอกลับห้องไปตายแป๊บได้ป่ะวะ” คนพูดหน้าดำทะมึนไปทั้งหน้า มันบ่นประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่จบไม่สิ้นซักที นับตั้งแต่นาทีที่ได้รู้ว่าคนที่ตัวเองเคยจิกใช้ประหนึ่งเป็นเบ๊ประจำกายมีฐานะเป็นถึงเจ้าชายลำดับสองแห่งราชวงศ์แสงจันทร์ มันก็ทำท่าจะเอาหัวมุดดินล้างความผิดอยู่นั่นอ่ะ

“ปรกติเขามีแต่ตายแล้วตายเลยไม่ใช่หรอวะ ตายแป๊บๆ นี่มีที่ไหน”

“มีที่กูนี่ไง”

“ประสาท” ผมด่ามันให้ สองขาก็เดินตามสองเจ้าชายที่เดินนำหน้าพาพวกเราไปยังลานแสงจันทร์ พิธีต้อนรับผมในฐานะชายาแห่งดวงจันทร์จัดขึ้นที่นั่น งานนี้มีพวกขุนนางไปกันไม่เยอะ ทว่าคนที่ไปล้วนแล้วแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง ดังนั้นจะทำเป็นเล่นไม่ได้เด็ดขาด

“ว่าแต่มึงเหอะ” ไอ้เพื่อนหัวดำกระแซะเข้ามาซะชิด “ได้เจอเจ้าชายครบทั้งสี่คนแล้ว ทีนี้จะเอายังไง”

ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ “ให้เอาอะไร?”

“อุว๊ะ! ก็มึงต้องเลือกแต่งกับคนใดคนหนึ่งในสี่คนนั้นนิ” มันทำหน้าเหมือนเรื่องแค่นี้ยังต้องให้บอก ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดต่อ “จากเท่าที่กูประเมิณทั้งสี่คนด้วยสายตาแล้ว... กูว่านะ นาเทลดูเวิร์คสุดสำหรับมึง”

“อะฮะ” ผมอมยิ้ม เริ่มรู้แล้วครับว่าไอ้ธากำลังมาไม้ไหน ผมเลยแกล้งทำเป็นปลาที่ยังไม่ติดเบ็ด ตะล่อมถามกลับไปว่า “ทำไมมึงถึงคิดงั้นวะ?”

“ฟังกูนะ” มันพยายามกดเสียงให้เบาลงเพื่อไม่ให้พวกหูดีผิดมนุษย์ได้ยินที่พวกเราคุยกัน “เจ้าชายคนโตแม่งแข็งอย่างกับหิน ประเภทถามคำตอบคำแบบนี้แต่งงานอยู่กับมึงได้ไม่นานหรอก ไม่เขาทนมึงไม่ได้ ก็เป็นมึงนั่นแหละที่ทนไม่ไหวอึดอัดตายไปซะก่อน ส่วนคนเล็กก็เด็กไป ท่าทางง๊องแง้วแบบนั้นไม่เหมาะกับมึงชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนี้กูมั่นใจมาก เพราะคนแบบมึงเป็นประเภทที่ต้องถูกดูแล ไม่ใช่ไปดูแลใคร ซึ่งจุดนี้กูว่านาเทลกับเชอเชสดูเข้าข่ายที่สุดแล้ว”

ผมลองคิดตามที่มันพูด ฟังดูก็มีเหตุผลลงตัวดี แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมตัวผมถึงถูกจัดให้อยู่ในประเภทคนที่ต้องถูกดูแลด้วยฟะ ตัวกูกูดูแลเองได้เว้ย

“แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ากูเหมาะกับนาเทลมากกว่าวะ กูอาจจะเหมาะกับเชอเชสมากกว่าก็ได้นะ” ผมแอบลองเชิงมัน ดูสิว่าเจ้าเพื่อนตัวดีจะสรรหาข้ออ้างอะไรมาโน้มน้าวใจผมอีก

ไอ้ธารีบอ้าปากเบรกผม “ใจเย็นมึง อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ ถึงมึงจะสนิทกับเชอเชสมากกว่าแต่อย่าเพิ่งมองข้ามนาเทลไปนะ มึงรู้อะไรไหม นาเทลน่ะทั้งใจดี อ่อนโยน หน้าตาก็ดี เป็นผู้ฟังที่ดีด้วย แถมยังซักผ้าได้ ตากผ้าเป็น กวาดพื้น ถูพื้น ล้างจาน งานบ้านพวกนี้เฮียแกสามารถทำได้หมด มึงคิดว่าจะมีเจ้าชายโลกไหนอีกไหมที่ทำงานบ้านพวกนี้เป็น เชื่อกู เลือกนาเทลแล้วมึงจะไม่ผิดหวัง มึงแค่แต่งตัวสวยอยู่บ้านไปวันๆ งานบ้านทั้งหมดโยนให้นาเทลทำไปได้เลย”

ผมฟังแล้วรีบปรบมือให้กับความคิดอันแสนบรรเจิดของเพื่อนหัวดำ ก่อนจะแสร้งตบบ่าทำหน้าละเหี่ยใจ “เพื่อนธาครับ มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า นาเทลเขาเป็นเจ้าชาย ถ้ากูแต่งงานกับเขา อนาคตข้างหน้าเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพระราชา แล้วพระราชาโลกไหนเขาต้องมากวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ตากผ้ากันบ้างวะครับ ถุยยยยย”

คนที่โดนผมถุยใส่เต็มหน้าอ้าปากค้างเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

ไอ้ธาหนอไอ้ธา บทจะฉลาดแกมโกงแม่งก็ฉลาดเป็นกรด แต่เวลาโง่ทีนี่แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ใช้ไถนาผมยังไม่กล้าเอามาเปรียบเทียบกับมันให้สัตว์โลกสายพันธุ์นั้นแปดเปื้อนเลย

“หืม? ท่านธาเป็นอะไรไปหรือ?”

เชอเชสที่หันมาเห็นสภาพเหมือนหมาเน่าตายของไอ้ธาทักขึ้น นับตั้งแต่เดินออกจากท้องพระโรง ผมกับเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกันจริงจังเลยซักที ด้วยเหตุนี้ผมเลยสะกิดนาเทลที่เดินนำอยู่ข้างเชอเชส ขอให้เขาเปลี่ยนที่กับผมเพื่อที่จะได้คุยกับเจ้าสีส้มได้สะดวก ซึ่งไอ้ธาทำท่าจะคัดค้าน แต่นาเทลกลับพยักหน้าตกลงโดยง่าย ยอมลงไปเดินยิ้มอยู่ข้างเพื่อนสนิทของผมแต่โดยดี

เชอเชสมองมนุษย์โลกอีกคนที่มาเหยียบดวงจันทร์พร้อมกับผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมเลยโบกมือบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง “ก็แค่คนมีชนักติดหลังน่ะ” บอกใบ้เพียงเท่านี้ เจ้าสีส้มก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ นับว่าหัวเร็วใช้ได้ ไม่ผิดหวังๆ

“ท่านวีไม่โกรธข้าใช่ไหม...ที่ข้ากับเสด็จพี่ปิดบังท่าน...” เสียงทุ้มฟังดูจืดเจื่อน ดวงตาสีม่วงอมเทาเจือความกังวลเด่นชัด ท่าทางจะกลัวว่าผมจะโกรธที่เขาหลอกลวงผม

“นั่นสิน้า ผมควรโกรธคุณดีหรือเปล่า ไหนลองบอกผมหน่อยสิครับ เจ้าชายที่บอกว่าตัวเองเป็นแค่องครักษ์นี่สมควรถูกโกรธไหมน้า” ผมแสยะยิ้มใสซื่อที่ไม่เคยใช้ได้ผลกับไอ้ธาเลยสักครั้ง แต่กับเจ้าชายกระต่ายคนนี้ดูท่าจะใช้ได้ผลอยู่ไม่น้อย

“ท่านมีสิทธิ์ที่จะโกรธ แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ไว้ ว่าสิ่งที่ข้ากับเสด็จพี่ได้กระทำลงไปหาใช่การเล่นสนุกเพื่อกลั่นแกล้งท่าน เราเพียงแต่ทำไปตามหน้าที่เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเท่านั้น”

“พูดซะยาวเชียว ผมยังไม่ทันได้ว่าอะไรสักหน่อย คุณก็เครียดเกินไปแล้ว” ผมตบไหล่เขาทำลายความกดดันที่เจ้าตัวสร้างขึ้น พอเชอเชสเห็นผมยังมีท่าทีเป็นปรกติดีทุกอย่าง ไหล่ทั้งสองข้างที่ดูแข็งเกร็งก็เหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลง

“ท่านวีไม่โกรธพวกเราหรือ?”

เขาถามเหมือนต้องการคำตอบที่ชัดเจน ผมเลยพยักหน้าให้แทนคำตอบ

“ไอ้โกรธน่ะไม่โกรธหรอก แต่ถ้าจะให้พูดตามตรง...เรียกว่าแอบช็อคนิดๆ ก็คงได้มั้ง”

อันที่จริงก็ไม่นิดหรอก...ช็อคมากเลยแหละ

“ช็อค?” ดูเหมือนเจ้าชายกระต่ายจะไม่ทรงเก็ทกับคำๆ นี้แฮะ

“หมายถึงตกใจน่ะ โดยเฉพาะไอ้ธา คุณก็รู้ว่าตอนที่เราอยู่ห้องมัน มันใช้งานนาเทลเยอะขนาดไหน พอรู้ว่าคุณกับนาเทลเป็นเจ้าชาย มันเลยช็อคตาตั้งอย่างที่เห็นนี่ไง” ผมงัดนิ้วโป้งข้ามไหล่ไปที่ไอ้ธา ตอนนี้มันไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับนาเทลเลยด้วยซ้ำ เดินเงียบทำตัวเรียบร้อยเชียวนะครับเพื่อนกู

“เป็นเช่นนี้นี่เอง...” เจ้าสีส้มพยักหน้ารับรู้ คงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนผมเท่าไหร่เลยยังไม่รู้นิสัยใจคอของไอ้ธา ประกอบกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองด้วย เลยเดาไม่ถูกมั้งว่าไอ้ธากำลังหวั่นๆ เรื่องอะไร หึหึหึ

“นี่ เชอเชส เอ่อ...ผมยังเรียกคุณแบบนี้ได้อยู่ไหม หรือต้องเรียกว่าเจ้าชายเชอเชส? ท่านเชอเชส? คุณเชอเชส? แบบไหนถึงจะเหมาะสมอ่ะ”

เรื่องนี้ผมแอบซีเรียสนะ กลัวว่าเวลามีใครมาได้ยินผมเรียกชื่อเจ้าชายของพวกเขาห้วนๆ ไม่มีคำนำหน้าที่บ่งบอกความให้เกียรติแล้วจะถูกมองว่าผมเป็นพวกมนุษย์โลกไร้อารยธรรม ไม่เห็นหัวเจ้าชายแห่งดวงจันทร์อยู่ในสายตา ไร้กาลเทศะ ขาดการอบรมสั่งสอน เอ่อะ...จะอะไรก็ช่างเหอะ เอาเป็นว่าผมอยากทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง คนอื่นจะได้ไม่เอาผมไปว่าเสียๆ หายๆ เอาได้

“ท่านวีจะเรียกข้าเหมือนเดิมก็ได้ เพราะถ้าเทียบอายุกันแล้ว ข้าน่าจะเด็กกว่าท่านสักสองสามปีกระมัง”

ห๊ะ!?

ผมมองคนพูดตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว มองใบหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มมาให้อย่างใสซื่อแล้วอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่น่ะ” ถ้าให้ผมเดาจากหน้าก็คงยี่สิบห้า น่าจะอยู่ในวัยทำงาน แต่มันชักเริ่มไม่แน่ใจก็ตอนที่อีกฝ่ายบอกผมว่าตัวเองเด็กกว่าเนี่ยแหละ

“อีกไม่กี่วันข้าจะอายุสิบห้าแล้วล่ะ” เชอเชสเฉลยตัวเลขที่น้อยกว่าที่ผมคิดไว้ถึงสิบปีออกมา

โอเค ผมขอเวลาช็อคอีกแป๊บ... เจ้าสีส้มนี่กำลังจะอายุสิบห้า ส่วนผมจะสิบแปดเดือนหน้านี้แล้ว โอว.... อายุห่างกันสามปี นี่ถ้าผมเลือกเขาเป็นพระราชาไม่เท่ากับว่าผมกินเด็กเรอะ!?

“แล้วนาเทลล่ะ รายนั้นอายุเท่าไหร่...?”

ไม่ได้อยากจะถามให้สะเทือนใจเพิ่มหรอกนะ แต่ผมขอรู้หน่อยเถอะ จบจากพิธีต้อนรับอะไรนี่แล้วผมจะได้เอาไปเมาท์กับไอ้ธามันได้

“เสด็จพี่อายุมากกว่าข้าหนึ่งปี นี่ก็เพิ่งอายุสิบหกไปเมื่อสองเดือนที่แล้วเอง”

บร๊ะเจ้า... งี้อย่าบอกนะว่าพี่ชายคนโตที่หน้าเหมือนคนอายุสามสิบยังแค่สิบปลายๆ ไม่ก็ยี่สิบต้นๆ น่ะ โอ๊ยยย คิดแล้วแอบสะพรึง

“พวกกระต่ายนี่โตเร็วแบบนี้ทุกคนเลยเรอะ!?”

กินอะไรเข้าไปนะถึงได้สูงยาวเข่าดีขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่เอง! บอกมานะ ผมจะได้ไปหามากินมั่ง เผื่อส่วนสูง 172 จะขยับเป็น 180 ให้ผมได้ยืดกับเขาบ้าง

“เสด็จแม่กับเทพกระต่ายก็เคยพูดอยู่เหมือนกันว่าชาวแสงจันทร์โตไวกว่าเด็กมนุษย์มากนัก แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นจริงหรือไม่” ผมฟังเขาพูดไปในขณะที่สายตาก็ลอบแอบสำรวจเด็กข้างตัวดูอีกรอบ

เชอเชสเป็นชายหนุ่ม...หรือจะเรียกให้ถูกก็ต้องเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมาก ใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ จมูกโด่งคมเป็นสัน ดวงตาสีม่วงอมเทาคู่นั้นดูลึกลับงดงาม ริมฝีปากรูปกระจับสีส้มธรรมชาติก็ดูดีมากเมื่อเจ้าตัวหยักยิ้ม เมื่อยืนเทียบกับนาเทลที่มีรูปร่างสูงโปร่ง เชอเชสกลับดูสูงและตัวใหญ่กว่าพอสมควร ลองกะด้วยสายตาก็น่าจะร้อยแปดสิบกว่าๆ เกือบร้อยเก้าสิบ ภายใต้เสื้อผ้านี้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นลอนสวยอย่างคนดูแลสุขภาพ (ที่รู้เพราะผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนสอนให้เชอเชสกับนาเทลใช้ฝักบัวกับอ่างอาบน้ำเป็นครั้งแรก) ถ้าไม่นับผมสีส้มที่ดูโดดเด่นผิดธรรมชาติ ทุกอย่างที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มนามเชอเชสล้วนแล้วแต่ดูลงตัวจนน่าอิจฉา ครบสูตรหล่อ ดูดี มีชาติตระกูล อีแบบนี้ร้อยทั้งร้อยต้องเป็นคนที่เนื้อหอมชัวร์!

“นี่ เชอเชส ผมถามได้ไหมว่าทำไมนายกับนาเทลถึงไปรับผมด้วยตัวเองล่ะ การเดินทางในอวกาศมันอันตรายมากไม่ใช่เหรอ พ่อนาย เอ่อะ...พระราชายอมให้พวกนายไปได้ยังไง”

พ่อผมคนนึงล่ะที่เป็นพวกหวงลูกแบบสุดติ่ง เวลาผมขอไปเที่ยวไหนไกลๆ ถ้าไม่ได้ไปกับคนที่พ่อวางใจอย่างไอ้ธา(มันน่าไว้ใจตรงไหน???) อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย แค่ต่างจังหวัดยังยาก นับประสาอะไรกับนาเทลและเชอเชสที่ต้องเดินทางข้ามดาวกัน ลองผมไปขอพ่อเดินทางไปต่างโลกดูบ้างสิ ถ้าไม่หูชากลับมาก็ได้เจอแข้งฟาดให้ลงไปนอนนับดาวเล่นแน่

“มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์แสงจันทร์ ที่โอรสของกษัตริย์จะต้องเดินทางไปรับพระชายาด้วยตนเองน่ะ”

“ครับ” ผมพูดปิดท้าย ให้เชอเชสทำหน้างงว่าผมจะครับใส่เขาทำไม

“นายเด็กกว่า เพราะงั้นลงท้ายต้องมีหางเสียงด้วย” ผมทำตาดุใส่เขา เปลี่ยนคำเรียกจาก 'คุณ' เป็น 'นาย' เรียบร้อยนับตั้งแต่นาทีนี้

“ครับ...” เชอเชสลองพูดตาม ผมพยักหน้าพอใจที่ทำให้เจ้าชายตรงหน้าพูดจาน่ารักกับผมได้ “หรือท่านวีอยากให้ข้ากลับไปพูดตามเดิม... เอ่อ ขอรับ?”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แค่ลงท้ายว่า ‘ครับ’ แทน ‘ขอรับ’ ก็พอ บนโลกมนุษย์เขาถือว่าเป็นการให้เกียรติคนที่อายุมากกว่าน่ะ”

“พูดเพราะๆ ผู้ใหญ่จะได้รักและเอ็นดูไง”

แว่วเสียงกระซิบจากด้านหลังที่ผมได้ยินแต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไอ้ธานะไอ้ธา เห็นเดินเงียบๆ ตามหลังมาไอ้เราก็นึกว่าหายเข้าโลกส่วนตัวไปแล้ว ที่ไหนได้แอบฟังที่คนอื่นเขาคุยกันเฉย ถ้าว่างมากนักก็หันไปชวนนาเทลคุยเซ่ ปล่อยให้เจ้าน้ำตาลเดินหงอยเป็นกระต่ายเหงาได้ยังไง ไม่ไหวเลยไอ้เพื่อนคนนี้

“ว่าแต่... เราพูดถึงไหนกันแล้วนะ” ผมทำท่านึก เจ้าสีส้มที่ดูจะมีความจำดีกว่าเลยทวนเนื้อหาให้ผมอีกครั้ง คราวนี้ไม่ลืมลงคำว่าครับปิดท้ายประโยคด้วย ช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน

“ในเมื่อเป็นธรรมเนียมของที่นี่ แล้วทำไมคุณทาคาลกับซอโรถึงไม่ได้ไปด้วยล่ะ?” ข้อนี้ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ในเมื่อเชอเชสบอกเองว่าเป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ที่จะต้องไปรับพระชายาด้วยตัวเอง แล้วไหงอีกสองชีวิตถึงได้นอนตีพุงอยู่นี่แทนเล่า

“นั่นเป็นเพราะเสด็จพี่ใหญ่ทรงสละสิทธิ์ในการขึ้นการครองราชไปแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปโลกอีกครับ” เจ้าสีส้มให้ข้อมูลที่ฟังดูน่าสนใจไม่เลว เจ้าหนึ่งขอถอนตัวไปแล้วก็เท่ากับตัวเลือกของผมลดลงไปอีกหนึ่ง แหล่มเป็ดสิครับท่าน “ส่วนน้องเล็กยังอายุน้อยเกินกว่าที่จะออกเดินทางได้ เลยต้องรั้งรออยู่ที่นี่แทนน่ะ... เอ่อ ครับ”

ผมยิ้มเมื่อเห็นคนที่โตแต่ตัวหลุดท่าทางน่าเอ็นดูออกมา เห็นอย่างนี้แล้วก็นึกถึงตอนที่อีกฝ่ายกลายร่างเป็นกระต่ายตัวจ้อย ตัวอ้วนๆ ใหญ่ๆ ขนนุ่มนิ่ม ถ้าขอให้เขากลับไปอยู่ในร่างนั้นให้ผมขยำเล่นสักหนึ่งวัน เชอเชสจะว่าอะไรไหมน้า~

ไว้ว่างๆ ต้องลองขอดูหน่อยแล้ว

“ผมถามได้ไหมว่าเพราะอะไรพี่ชายคุณถึงได้สละสิทธิ์?” ใบหน้าเคร่งขรึมของเจ้าชายองค์โตเด้งเข้ามาในความคิด ทั้งที่ผมคิดว่าเขาดูเหมาะกับตำแหน่งกษัตริย์ที่สุดแล้วในบรรดาพี่น้องสี่คน ไหงยอมลงให้น้องง่ายๆ ล่ะ ไม่ใช่ว่าคนในราชวงศ์ชอบชิงราชบัลลังก์กันหรอกเหรอ หรือผมจะดูหนังเป็นเพื่อนแม่เยอะเกินไป?

“ยามใดที่ชาวแสงจันทร์มีรัก ย่อมรักมั่นเพียงหนึ่งไม่มีสอง ในเมื่อเสด็จพี่ของข้าตัดสินใจสู่ขอธิดาของอำมาตย์มาตบแต่งเป็นภรรยาแล้ว เขาย่อมยอมวางมือจากบัลลังก์ให้คนอื่นได้ขึ้นครองแทน”

อะหือ... ได้ยินแบบนี้แล้วอยากยกนิ้วให้พ่อหนุ่มหน้าตายคนนั้นนัก เลือกรักมากกว่ายศศักดิ์ ยอมสละบัลลังก์เพียงเพื่อผู้หญิงที่รักเพียงคนเดียว ฟังแล้วโรแมนติกจั๊กกะจี้หัวใจชะมัด



“ถึงลานพิธีแล้วล่ะครับ”

เจ้าสีส้มบอกเมื่อเรามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าลานแสงจันทร์ หน้าทางเข้าเป็นซุ้มโค้งดอกไม้ที่ทอแสงสีทองเรืองรอง เชอเชสบอกว่าเวลานี้เป็นเวลาแปดดารา หรือก็คือประมาณสามทุ่มตรงตามเวลาโลก ผมที่สงสัยมาตลอดว่าช่วงเวลากลางคืนในดวงจันทร์มันจะเป็นยังไง เวลานี้ผมได้คำตอบนั้นแล้ว

ท้องฟ้ายามค่ำคืนของที่นี่ไม่มืดมิดเหมือนโลกบ้านเรา ทั่วทั้งผืนฟ้าเป็นสีเหลืองนวลแปลกตา แต่ที่ตรึงใจผมได้มากกว่านั้นคือม่านฟ้าที่ทอแสงสีเขียวเหลือบม่วง มนุษย์โลกอย่างเราๆ เรียกแสงนั้นว่าออโรร่า เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่จะมีให้เห็นเฉพาะบริเวณแถบขั้วโลก ถ้าผมจำข้อมูลไม่ผิดน่ะนะ...

ด้วยความอยากรู้ผมเลยลองถามเชอเชสดูว่าคนบนดวงจันทร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าอะไร เขาตอบกลับมาว่า นั่นเรียกว่าม่านแสงจันทร์ วันไหนอากาศดีก็จะเป็นสีชมพูอมฟ้า วันไหนอากาศแปรปรวนหน่อยก็จะเป็นริ้วสีส้มอมแดง และถ้าคืนไหนฝนจะตก ม่านพวกนี้ก็จะไม่ปรากฏออกมาให้เห็น ส่วนวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ม่านเลยเป็นสีเขียวเหลือบม่วง

ผมมองภาพบนฟ้าแบบทึ่งๆ นี่ถือเป็นการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าที่จัดได้ว่าแม่นยำซะยิ่งกว่ากรมอุตุซะอีก น่าสนใจๆ

“เจ้าชายนาเทล เจ้าชายเชอเชส และพระชายาเสด็จ!”

เสียงประกาศแสบแก้วหูดังขึ้นเมื่อพวกเราเดินผ่านซุ้มดอกไม้เข้าไปยังลานพิธี พื้นที่นี่ปูด้วยหินสีขาวทอดยาวไปสู่ลานกว้างทรงกลม ให้ความรู้สึกเหมือนโคลอสเซียมของโรมันเพียงแต่กว้างใหญ่ไม่เท่า สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเป็นสีขาวล้วน ตรงกลางถูกยกขึ้นเป็นเวทีสูงประมาณอก เชอเชสบอกว่านั่นเป็นเวทีสำหรับการแสดงและประกอบพิธีการสำคัญ รอบด้านถูกสร้างขึ้นเป็นขั้นบันไดจำนวนสี่ขั้น ความกว้างมากพอสำหรับการปูเสื่อขนาดมาตรฐานได้ผืนหนึ่ง พอวางโต๊ะวางเบาะสำหรับคนนั่งแล้วยังเหลือที่เดินอีกราวๆ สองศอกครึ่ง นับว่ากว้างขวางใช้ได้

ส่วนที่ประทับของกษัตริย์นั้นถูกสร้างขึ้นให้อยู่ตรงกับทิศเหนือ ตรงกลางมีเก้าอี้สองตัววางตั้งอยู่เคียงกัน หนึ่งเป็นของพระราชา อีกหนึ่งเป็นขององค์ราชินี ลงมาจะเป็นที่ประทับของเจ้าชายทั้งสี่ที่ต้องนั่งเรียงตามลำดับจากพี่ไปน้อง ส่วนผมกับไอ้ธาที่มาจากต่างแดนถูกจัดให้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ประทับของราชา ทุกด้านหันหน้าเข้าหาเวทีหมด

“พระชายากับสหายผู้มาจากต่างแดน เชิญทางนี้ขอรับ” เป็นยาอุลนั่นเองที่ออกมารับรองพวกผมเดินนำไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมไว้

ผมเดินตามเด็กชายที่ยังมีหูหางประดับอยู่ครบ พอลองถามว่าทำไมเขาถึงไม่เก็บหูเก็บหางไปเหมือนชาวกระต่ายคนอื่นๆ ยาอุลก็ให้คำตอบกลับมาว่าเขายังเด็กเกินกว่าที่จะใช้พลังเก็บหูซ่อนหางลงได้ พอพูดกันถึงเรื่องอายุ ด้วยความสงสัยผมเลยลองถามยาอุลดูว่าตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่ ครั้งแรกที่เจอกันผมคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่ แต่คำตอบที่ถูกต้องดันเป็นสิบขวบครับ...

“นี่ขอรับ ที่นั่งของท่านวี ส่วนที่นั่งของท่านธาอยู่ตรงนี้ขอรับ”

ยาอุลผายมือไปยังที่นั่งประจำตำแหน่งของผมกับไอ้ธา วินาทีแรกที่เห็นที่นั่งของตัวเอง คิ้วทั้งสองข้างของผมนี่ถึงกับกระตุกรัวๆ โต๊ะสีขาวสะอาดอันนี้ไม่มีปัญหา เบาะนั่งที่ทำจากผ้าเนื้อดีสีชมพูหวานแหววนี่ก็ยังพอรับได้เพราะนั่งทับไปก็ไม่มีใครเห็นแล้ว แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือพวกคุณจะประดับดอกไม้อะไรนักหนา ทำเป็นซุ้มโค้งห้อยระโยงระยางอย่างกับว่านี่เป็นซุ้มหน้าประตูวิวาห์ที่ทำขึ้นให้บ่าวสาวลอด

ผมอยากจะถามคนที่ครีเอททำเจ้าซุ้มนี้ขึ้นมาจริงๆ เลยว่า นี่พี่ขนมาหมดทุ่งเลยรึป่าวครับเนี่ย!?

“โหมึง คนทำเขากะให้มึงนั่งสวยท่ามกลางดงดอกไม้แน่เลยว่ะ ก๊ากกก”

ไอ้ธาที่เงียบเป็นเป่าสากเมื่อต้องเดินคู่กับเจ้าชายนาเทลดูจะดึงวิญญาณกลับเข้าร่างมาแล้ว มันถึงได้ปากหมาส่งเสียงล้อเลียนทันทีที่เห็นที่นั่งดั่งทุ่งดอกไม้บานของผม เหอะๆๆ

“พูดได้แล้วเหรอมึง กูก็นึกว่ามึงจะหากล่องเสียงไม่เจอแล้วซะอีก”

“อะไรๆ ที่กูไม่พูดเพราะกูเกรงใจเหอะ เห็นเพื่อนกูมัวแต่ยุ่งกับการจีบเด็ก จะเข้าไปขัดมันก็ยังไงๆ อยู่ กูเลยเผลอฟังซะเพลิน” มันหัวเราะอิอิได้ทุเรศที่สุดในสามโลก ถ้าไม่ติดว่าบรรดาขุนนางที่นั่งกันหน้าสลอนกำลังจับจ้องมาทางผมอยู่ล่ะก็ สันมือคงได้ฟาดเข้าสักส่วนบนร่างกายไอ้เพื่อนขี้แซวไปแล้วสักทีสองที

“จีบเด็กพ่อมึงสิ” ผมลดเสียงลงจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่เชื่อว่าระดับไอ้หมาธาผู้แสนรู้มันต้องอ่านปากผมออกแน่ว่าผมกำลังพูดอะไร

“แซวเล่นนิดหน่อยแม่งล่อถึงพ่อกูเลย...”

มันบ่นอุบอิบแต่ก็ไม่คิดถือสาหาความ เดินไปนั่งตรงโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้มันก่อนจะมีเด็กชายกระต่ายหูสีขาวคลานเข่ามารินชาให้ ปรนนิบัติดีแบบน่าให้ทิปไปสักสี่สิบ แต่ระดับป๋าธาน้องอย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นแบงค์เขียวจากมัน บทคุณชายธาจะแจกทิปทีนี่ให้ใบสีแดงนะครับ ทำเป็นเล่นไป ใครๆ ก็เรียกว่ามันว่าเสี่ยชลบุรี พ่อเปิดโชว์รูมรถนอก แม่ทำร้านขายจิวเวลรี่ พี่ชายสองคนทำอสังหาริมทรัพย์ ไม่รวยบ้านแตกก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วครับ มันเลยมีปัญญาซื้อคอนโดอยู่เองหลังสอบเข้ามหาลัยได้ไง

“นั่งดิ มึงจะยืนสวยรับลมอีกนานไหมครับ คุณพระชายา”

ท่าทางคืนนี้เพื่อนผมมันจะอยากกินตีนแทนวิตามินก่อนนอนซะแล้วครับ หน้าตี๋ๆ นั่นเลยจงใจยียวนกวนผมแบบเต็มที่ รอจบตรงนี้ก่อนเถอะมึงแล้วเราค่อยคิดบัญชีกัน หนี้ที่ทิ้งกูหนีไปอาบน้ำคนเดียวนั่นยังไม่ได้เอาคืนเลยนะเว้ย

ผมกระทืบเท้าก้าวไปนั่งบนเบาะสีชมพูหวานบาดใจที่รายล้อมด้วยดอกไม้สีสันสดใสชวนเวียนหัว นี่ถ้าผมเกิดมาเป็นผู้หญิงคงมีความคิดที่ว่าถึงตายก็ไม่เสียชาติเกิดแวบเข้ามาในหัว แต่ขอโทษที่ผมเป็นผู้ชายแมนๆ และคงไม่มีผู้ชายแมนๆ คนไหนดีใจที่ได้มานั่งอยู่ตรงจุดนี้หรอก ฮือออ ผมยังแมนอยู่นะครับ

พอนั่งได้ที่แล้ว เด็กน้อยยาอุลก็คลานเข่าเข้ามาเสิร์ฟน้ำชากลิ่นดอกไม้ให้ เจ้าสีเทาบอกว่าชานี้ชื่อ ชามายาจันทร์ เป็นใบชาชั้นหนึ่งที่ปีๆ นึงจะเก็บผลผลิตได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ดังนั้นชานี่จึงถูกเก็บไว้อย่างดีมีไว้ใช้เฉพาะในงานพิธีสำคัญๆ เท่านั้น นับว่าเป็นลาภปากของผมเลยที่มาถึงก็ได้กินของดี กินแล้วแทบลอย

ในระหว่างที่รอพิธีเริ่ม ผมให้ยาอุลช่วยเล่าเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกนี้ให้ผมฟัง จนกระทั่งเสียงประกาศว่าพระราชากับองค์ราชินีเสด็จมาถึงแล้วนั่นล่ะ ยาอุลถึงได้คลานเข่าถอยหลังกลับไปยืนประจำที่

ทันทีที่ผู้มีอำนาจสูงสุดปรากฏกาย เหล่าขุนนางต่างพากันลุกขึ้นยืนต้อนรับ เชอเชสกับนาเทลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยืนด้วย ผมกับไอ้ธาเลยต้องรีบทำตามน้ำ เขายืนกันเราก็ยืนด้วย เขานั่งเมื่อไหร่เราค่อยนั่งตาม เข้าสุภาษิตที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รับรองปลอดภัยหายห่วง

เสียงถวายพระพรดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผมที่อยากรู้ว่าราชินีแห่งดวงจันทร์หน้าตาเป็นอย่างไรเลยแอบเงยหน้าขึ้นดูนิดหน่อยแบบไม่ให้เป็นที่สังเกต บนทางเดินที่มุ่งหน้าขึ้นสู่ปะรำพิธีมีคนเดินอยู่ด้วยกันสามคน หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นพระราชา ตามมาด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดแบบชาวดวงจันทร์ ปิดท้ายด้วยผู้ชายตัวเล็กในชุดขาวที่แต่งกายเหมือนพวกนักพรตของญี่ปุ่น

ผมเอียงคองง ไหนล่ะราชินีแห่งดวงจันทร์?

อย่าบอกนะว่า...

รอจนกระทั่งสองในสามนั้นนั่งประจำที่ ผมถึงได้รู้ว่าสิ่งที่คิดอยู่ในหัวมันไม่ผิดไปจากที่คิดเลย

ราชินีแห่งดวงจันทร์เป็นผู้ชาย! ผมที่เป็นชายาแห่งดวงจันทร์ก็เป็นผู้ชาย!

อาณาจักรแห่งนี้มันผิดเพี้ยนเกินไปแล้ว!!!



--------------------------------------------------------

อาณาจักรแสงจันทร์ = ฟินแลนด์สำหรับเรา 55555555


ดีใจที่ชอบนิยายเรื่องนี้กันนะค้าา
ขอบคุณทุกเม้น ทุกกำลังใจที่มอบให้กันนะก๊ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 20-12-2015 15:16:44
อุ้ย พระชายากับพระสหาย จะอยู่สมาคมกินเด็กกันแล้วเหรอเนี่ย 555
แต่เชอเชสนี่ว่าง่ายเชื่อฟัง เป็นเด็กดีน่ารักจัง อย่างนี้สิพี่วีจะได้เอ็นดูนะ :o8:
ไม่ต้องกังวลเรื่องนาเทลเลย ดูท่าทางจะปลาบปลื้มพี่ธามากอยู่นะนั่น
ว่าแต่ ราชินีแห่งดวงจันทร์ก็เป็นผู้ชาย แล้วเป็นแม่ของเจ้าชายทั้งสี่ด้วยใช่ไหม
หรือว่าชาวแสงจันทร์นี่ ผู้ชายก็มีลูกได้งั้นเหรอ แล้วคนรักของเจ้าชายใหญ่นี่ ผู้หญิงหรือผู้ชายน้อ
รอติดตามต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 20-12-2015 17:19:45
 อุ๊ย สมาคมกินเด็ก
สมกับเป็นแดนฟินของชาวเราจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-12-2015 18:28:26
อาณาจักรฟิน
มีกระต่ายหนุ่มน้อยให้เคี้ยวกิน
มาชายาเป็นหนุ่มหล่อลากดิน
อยากไปอยู่จนน้ำนาแทบไหลริน

 :hao5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-12-2015 19:20:07
555. งานนี้น้องวีวี่ช็อคไปแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 20-12-2015 19:54:27
 :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 20-12-2015 19:56:55
เจ้าส้มดูใสซื่อน่ารักน่าหยิก(?)น่าเอ็นดูขนาดดด  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 20-12-2015 20:02:29
ตายล่ะพ่อกระต่ายป่าซุกซนของฉันน่ากอดจริงๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 21-12-2015 07:09:19
กรี๊ดดดดด ได้มาอ่านเรื่องนี้รู้สึก เสีย - ใจ - มาก ค่ะ! ผิดพลาดเหลือเกิน ฮืออออ
เพราะมีนิยายที่ทำให้ต้องติ่ง ติดหนึบ และขยันแวะเวียนเข้ามาดูอีกเรื่องแล้วอ่า ; __ ;
สนุกมากกกกกกกเลยค่ะ ชอบทุกอย่างเลย ทั้งภาษา พล็อตเรื่อง ความน่ารักของชาวกระต่าย แล้วก็ความฮาของวีด้วย 5555555
กะไว้แล้วว่าพระเอกน่าจะเป็นเชอเชสนี่แหละ แต่ไม่คิดว่าจากดราม่าเรื่ององครักษ์จะกลายเป็นเจ้าชายซะเอง
แบบนี้ชิวๆ ลูกกวาดชัวร์เลย เพราะดูนาเทลก็น่าจะสนใจคนอื่น(?)มากกว่าท่านวีไปละ
ส่วนน้องเล็กก็ดูน่าร๊ากกกก เหมาะกับการได้พี่สะใภ้มากกว่าเมียอย่างแรงค่ะ! 55555555555

ตอนแรกก็เอะใจแล้วแหละหลังอยู่มานานแต่ยังไม่เจอผู้หญิง สุดท้ายก็จริงๆด้วย ดวงจันทร์เป็นเมืองชายล้วนสินะคะ  :hao6:
แล้วแบบนี้จะมีลูกกันยังไงนะะะะ /คิดไปไกลมาก 55555555555 ลองว่าเป็นแบบนี้คงไม่ต้องกลับโลกแล้วม้างทั้งสองคนนั่นแหละ ><

จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ฮือ T ______ T .. มาเจอเรื่องนี้ซะเร็วเลยอ่ะ อยากอ่านต่อแล้วค่ะ
คนเขียนสู้ๆน้า เป็นกำลังใจให้ค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-12-2015 11:46:22
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 21-12-2015 16:37:36
น่ารักมาก :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.6::: Update 20/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 21-12-2015 17:00:55
5555พระชายาก้อผู้ชาย

ราชินีก้อผู้ชาย

เราฮามากอ่ะขอบอก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -7-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 21-12-2015 22:53:53
-7-
พิธีต้อนรับพระชายาแห่งแสงจันทร์




“ค่ำคืนนี้เป็นคืนอันดียิ่งที่หนึ่งในทายาทแห่งเราจะได้รับการสืบทอดตำแหน่งรัชทายาทแห่งดวงจันทร์ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานภายใต้ม่านแสงจันทร์ในคืนนี้ ข้าในฐานะกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรแสงจันทร์ขอเปิดพิธีต้อนรับชายาแห่งดวงจันทร์ ณ บัดนี้”

กษัตริย์เมซาดิอุสกล่าวเปิดงานด้วยถ้อยคำอันเรียบง่ายแต่องอาจ บนฝ่ามือทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาตรงหน้ามีแสงสีเหลืองนวลส่องสว่างพุ่งวาบออกมา โคมไฟทั้งแปดทิศที่ตั้งอยู่รอบลานพิธีพลันเกิดแสงสว่างลุกโชติช่วงให้ทั้งลานสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม

“เฮ้ย! อะไรน่ะ เมื่อกี้นี้เขาใช้เวทมนต์เหรอวี!?”

มนุษย์โลกที่คลั่งหนังจำพวกแฟนตาซีไซไฟเริ่มอยู่ไม่ติดที่เมื่อเห็นอะไรที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ แต่ต่อให้ตื่นเต้นแค่ไหนมันก็ยังรู้ว่าเวลานี้ไม่ควรทำอะไรตามใจอย่างการย้ายที่นั่งมานั่งข้างๆ ผม มันบอกตำแหน่งนี้มันเด่นเกินไป ยังไงซะไฮไลต์ของวันนี้ก็คือตัวผม เรื่องถูกจับตามองย่อมเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่มันแสลนหน้ามานั่งอยู่ตรงนี้ก็นับว่าเด่นรองลงมาแล้ว มันไม่อยากหาเรื่องใส่หัวด้วยการตกเป็นเป้าสายตามากไปกว่านี้อีก

“ถามกูแล้วกูจะรู้ไหมครับ ก็เห็นพร้อมกันเนี่ย” ผมหันไปยู่หน้าใส่มัน มันคิดว่าผมเป็นกูเกิ้ลบนดวงจันทร์รึไงถึงจะตอบคำถามมันได้เนี่ย

“ฟาย รูปประโยคมันเหมือนประโยคคำถามก็จริง แต่คือมึงเข้าใจไหมครับว่ากูแค่อุทาน ไม่ได้ถามเพื่อเอาคำตอบโว้ย”

ผมยกยิ้ม เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็แค่อยากกวนตีนมันเฉยๆ เหมือนที่ทำเป็นประจำนั่นล่ะ

“ลำดับต่อไป ขอเชิญเทพกระต่ายขึ้นมาทำพิธีรับขวัญพระชายา”

เสียงของผู้ประกาศคนเดิมดังขึ้นเรียกความสนใจของผมไปได้จนหมด สองตาของผมจับจ้องไปยังลานพิธีเพื่อมองหาคนที่ทำให้ชีวิตของผมพลิกผันราวกับเล่นตลก แล้วผมก็เจอเขา...ชายร่างเล็กในชุดขาวที่เดินตามหลังราชินีแห่งดวงจันทร์ไปนั่งอยู่บนปะรำพิธีของพระราชา ถึงแม้จะนั่งเยื้องไปทางข้างหลังขององค์ราชินี แต่จากตำแหน่งที่นั่งตรงนั้นก็บ่งบอกให้รู้แล้วว่าชายคนนี้มีความสำคัญขนาดไหนในอาณาจักรแห่งนี้

เขาเดินลงมาจากปะรำพิธีด้วยย่างก้าวที่สงบสมภาพลักษณ์ มองจากตรงนี้ผมเห็นหน้าตาเขาไม่ชัดมากนัก แต่ก็พอดูรู้ว่าเป็นคนที่หน้าตาดูดีคนหนึ่ง ทั้งที่ทุกสายตากำลังจับจ้องมองเขาอยู่แต่จังหวะการก้าวย่างกลับลื่นไหลไม่มีสะดุด คล้ายเคยชินกับการตกเป็นเป้าความสนใจจากผู้คนรอบด้านไปแล้ว

เทพกระต่ายเดินขึ้นไปยืนอยู่ตรงกลางลานพิธีที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชาเทพแห่งดวงจันทร์ เขาประคองกิ่งไม้เงินขึ้นพลางท่องบทสวดที่ทำให้สายลมปั่นป่วนผันผวน จังหวะนี้ไอ้ธาแทบนั่งไม่ติดที่ ถ้ากระโจนลงไปเกาะขอบเวทีได้มันคงทำไปแล้ว

เมื่อเทพกระต่ายบริกรรมคาถาจบลง แสงสีเงินที่ไม่รู้มาจากไหนก็ลอยละล่องเต็มลานแสงจันทร์ แสงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนหิ่งห้อยที่บินเอื่อยๆ ล่องลอยไปมาอย่างอิสระเสรีให้ทุกคนในที่นี้ได้ชื่นชมความงามของมันภายใต้ม่านแสงจันทร์ที่กระเพื่อมไหวอยู่บนท้องฟ้า ผมลองยื่นมือไปแตะแสงไฟดวงหนึ่งที่เข้ามาใกล้ทำให้ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งได้มาเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“เรียนเชิญชายาแห่งดวงจันทร์ขึ้นไปยังลานประกอบพิธีด้วยครับ”

เขากล่าวประโยคนี้พร้อมรอยยิ้มที่ดู เอ่อ...ซุกซน? เป็นเทพกระต่ายนั่งเองที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าที่นั่งของผมพร้อมกับยื่นมือมาให้ ผมขมวดคิ้วมองฝ่ามือที่โผล่พ้นชายผ้าสีขาว นี่เขาเห็นผมเป็นเจ้าหญิงหรือไงถึงได้ต้องการคนช่วยฉุดลุกขึ้นจากที่นั่งน่ะ!

“จับมือผมเร็วเข้า ทุกคนมองเธออยู่นะ” เขาพูดเสียงเบา ดูจากวิธีการพูดและสรรพนามที่ใช้เรียก มันทำให้ผมแปลกใจประมาณหนึ่งที่เขาไม่ใช่ชาวแสงจันทร์

แต่เป็นมนุษย์โลกเหมือนผมกับไอ้ธา!

“คุณเป็น...”

“ชู่ว...เดี๋ยวค่อยถาม ตอนนี้ตามผมขึ้นไปก่อน”

เขาเอ่ยปรามผม มือที่ยื่นมาเพียงรองไว้ใต้ฝ่ามือผมเท่านั้น เขานำพาผมขึ้นไปสู่ลานประกอบพิธีที่ปูด้วยพรมขนสัตว์สีขาวดุจหิมะ มันทั้งนุ่มและอบอุ่น ให้ความรู้สึกดีกว่าเบาะหวานแหววสีชมพูนั่นเยอะเลย

เทพกระต่ายบอกให้ผมนั่งคุกเข่าลงบนนั้น ส่วนเขาหันไปหยิบกิ่งไม้สีทองมาแตะลงบนศีรษะของผม เอื้อนเอ่ยบทสวดที่น่าจะเป็นภาษาโบราณของชาวแสงจันทร์พลันกล่าวปิดท้ายว่า “ข้าในฐานะเทพกระต่ายขอประกาศ ให้บุคคลผู้นี้ที่ถูกเลือกโดยมงกุฎแห่งจันทราเป็นหนึ่งในราชวงศ์แสงจันทร์นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

ทันทีที่พูดจบ วงเวทย์สีแดงที่เคยเห็นตอนอยู่ห้องไอ้ธาพลันปรากฏขึ้นอีกครั้งคล้ายกำลังตอบรับคำพูดของเทพกระต่าย หน้าผากที่มีตราประทับรูปมงกุฎสลักอยู่รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา เป็นความอุ่นร้อนที่เข้ามาช่วยละลายความหนาวเย็นที่เกาะกุมทุกส่วนในร่างให้หายไปจนหมด จากนั้นปลายนิ้วที่แต้มสีแดงชาดจากจอกเหล้าก็ยื่นมาละเลงใบหน้าผม วาดเป็นลวดลายอะไรก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ มีหนวดแมวข้างละสามเส้นแน่นอน

ผมขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนคนทำก็แอบลอบยิ้มถูกใจ ดูเทพกระต่ายจะสนุกไม่น้อยกับการได้แสดงศิลปะอันยอดเยี่ยมบนใบหน้าคนอื่น เขายังบอกอีกว่าให้ผมปลดชุดท่อนบนออกเพื่อที่จะละเลงต่อได้สะดวก

ผมอยากสครีมออกมาเป็นภาษาบาลีสันสกฤต

นี่ผมต้องลายพร้อยทั้งตัวเรอะ!?

“ถอดเร็วๆ สิ เสร็จจากตรงนี้ผมจะได้ไปกินขนมต่อสักที” เทพห่วงกินกระซิบเร่งผม เชื่อว่าถ้าสองมือไม่เต็มไปด้วยสีแดงเหมือนเพิ่งไปชโลมเลือดใครมา เขาคงคว้าสาบคอเสื้อผมกระชากออกจากกันไปแล้ว

นี่คุณเป็นเทพกระต่ายจริงๆ ใช่ไหม หรือไปแย่งตำแหน่งใครเขามาห๊า!?

เมื่อเจอสายตาเหมือนหมาหิวที่พร้อมอารมณ์เสียได้ตลอดเวลา ผมจึงยอมปลดเสื้อผ้าส่วนบนลงแต่โดยดี ในเมื่อผมเป็นผู้ชายก็ไม่จำเป็นจะต้องอายอะไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ผมแหวกสาบเสื้อออก ทุกคนในที่นี้ต่างพากันเบนหน้าหลบเหมือนกลัวเห็นอะไรที่มันแสลงตาเกินรับได้

เฮ้ยๆๆ เสียมารยาทน่ะ ถึงหุ่นผมจะไม่ได้แน่นเปรี๊ยะเหมือนพวกนายแบบที่เดินแคทวอล์ค แต่ก็ไม่ได้ขี้ก้างจนเห็นแล้วเสียสายตาสักหน่อย

หันหน้าหลบพร้อมกันแบบนี้ผมแอบเสียเซลฟ์นะเอ้ย T_T

“พวกเขาก็แค่เขินน่ะ” เทพกระต่ายหัวเราะคิกคัก ก้มตัวละเลงผมด้วยท่าทางสนุกสนานเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ “ไม่เชื่อลองมองไปบนปะรำพิธีสิ หูหางเด้งไปแล้วตั้งหนึ่งคน”

ผมลองมองตามที่เทพกระต่ายว่า ก็เห็นหูกระต่ายสีส้มสดใสเด่นหราก่อนใครเพื่อน ข้างกันเป็นนาเทลที่ก้มหน้าหลบไปทางเดียวกัน แล้วผมก็นึกถึงตอนที่ตัวเองนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำไอ้ธาขึ้นมาได้

“ท..ท..ท...ท่านวี! แต่งตัวแบบนี้ออกมาได้อย่างไรกันขอรับ!” กระต่ายสีส้มตัวอ้วนฟูร้องเสียงหลง มันรีบหันขวับเอาหน้าซุกหมอนข้างโชว์ตูดมาให้ผมแทน ข้างๆ กันมีกระต่ายตัวสีน้ำตาลทำท่าเดียวเหมือนกันเปี๊ยบคล้ายกับนัดกันมา

“หืม?” ผมที่ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรเลยเดินตัวปลิวไปหน้าตู้เสื้อผ้าที่ไอ้ธายกให้ผมฝั่งหนึ่ง หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดหัว ไม่ยอมแต่งตัวสักที

“รีบแต่งตัวก่อนเถิดขอรับ คืนนี้อากาศค่อนข้างหนาว ประเดี๋ยวท่านวีจะเป็นหวัดเอาได้นะขอรับ!”

เสียงเจ้าสีส้มดังเจื้อยแจ้วเหมือนเด็กเล็ก เวลากลับเป็นกระต่ายแล้วเสียงที่ดังออกมาจะค่อนข้างแหลมบาดหู ผมเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงของเจ้าสีส้มดูแปลกไป เพียงแต่คิดว่าคืนนี้เนี่ยนะหนาว? ในห้องแอร์มันเย็นนิดๆ ก็จริงแต่แค่นี้มันไม่สะเทือนผิวผมเท่าไหร่หรอก ยังรู้สึกเย็นดีด้วยซ้ำไป

ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าอาการที่เชอเชสกับนาเทลเป็นนั่นคือการเขินอาย

พออยู่ในร่างกระต่ายเลยไม่มีอะไรพิรุธแสดงออกมาให้เห็น แต่ตอนนี้เชอเชสอยู่ในร่างคน ทว่าหูหางกลับเด้งออกมา... นี่แปลว่าตัวเขามีปฏิกิริยากับร่างกายผมที่เปลือยท่อนบนงั้นเรอะ!?

โอ๊ย คนหน้าตาดีอยากจะวูบ...

“นี่ เธอชื่ออะไรน่ะ?” เทพกระต่ายคลี่ยิ้มที่แสดงออกว่าเป็นผู้ใหญ่ใจดีมาให้ผม แต่ขอโทษเถอะครับ นิ้วคุณจะวนแถวหน้าอกผมนานเกินไปละ

“วีครับ” ผมตอบเขาเสียงนิ่ง ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตคนตรงหน้าไปพลางๆ

เทพกระต่ายเป็นชายหนุ่มที่น่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ไม่ก็สามสิบต้นๆ ผมหยักศกตัดสั้นเหนือบ่า ดวงตาสีดำดูใสซื่อจริงใจไม่แพ้หน้าตาที่สามารถใช้หลอกเด็กได้สบาย เขาเป็นคนตัวเล็กแต่ไม่ได้ดูอ้อนแอ้น ออกจะแข็งแรงสุขภาพดีเสียด้วยซ้ำ

“ผมชื่อเชษฐ์ มาจากโลกเหมือนเธอนั่นล่ะ ส่วนที่นั่งสวยอยู่ข้างพระราชานั่นเป็นเพื่อนผมเอง ชื่อตาณ ตาณที่ตัวท้ายสะกดด้วย ณ.เณร นะ ไม่ใช่ ล.ลิง” เทพกระต่ายพูดไปมือก็ลากลงจนถึงแอ่งสะดือ ผมเผลอเกร็งตัวขึ้นมานิดหน่อยเพราะรู้สึกไม่ชินที่มีใครมาสัมผัสตัวผมแบบนี้

“คุณเชษฐ์ ผมมีคำถามจะถามคุณหน่อย ได้ไหมครับ” ดวงตาสีดำเลื่อนขึ้นมาจ้องตอบก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าอนุญาตให้ผมถามได้ “ทำไมคุณถึงเลือกผมครับ?”

“ไม่ใช่ผม” เขาตอบทันควัน “ถึงผมจะเป็นคนทำพิธีจริง แต่ไม่ใช่ผมที่เป็นคนเลือกเธอมา มงกุฎแห่งจันทราต่างหากที่เลือกเธอ”

“มีวิธีที่จะลบมันออกมั้ยครับ?” ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากให้เขารู้ว่าผมกำลังหมายถึงอะไร

คนที่ถูกเรียกว่าเทพกระต่ายส่ายหน้า “ผมกับตาณเคยหาวิธีกันมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีวิธีอื่นเลยนอกจากเธอจะผ่านพิธีคัดเลือกตัวรัชทายาทไปแล้ว”

“พอเลือกแล้วมงกุฎนี่ก็จะหายไปทันทีเลยใช่ไหมครับ?” ถ้าใช่ก็สบายบรื๋อ จะหลับตาแล้วจิ้มหรือเลือกจากคนที่ผมเห็นว่าเหมาะสมจะเป็นราชาที่สุดก็ไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ผ่านพิธีอะไรนั่นไปซะเรื่องก็จบ ทีนี้ก็แฮปปี้เอนดิ้งทั้งสองฝ่าย พวกเขาได้ว่าที่ราชาคนต่อไป ส่วนผมก็จะได้กลับโลกไปนอนอ่านการ์ตูนต่อสักที วินๆ ทั้งสองฝ่ายเลยเห็นไหม

“ใครบอกล่ะ” คำพูดของเทพกระต่ายทำเอาผมฝันสลายกลางอากาศ “ถ้ามันง่ายแบบนั้น เธอคิดว่าเจ้าตาณจะยังนั่งสวยอยู่ที่นี่อีกไหม”

ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกเริ่มมีคำว่าลางร้ายเข้ามาเคาะประตูหัวใจ

“ที่คุณตาณยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะรักพระราชาหรอกเหรอฮะ?” อันนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ นะว่าจะมีเหตุผลอะไรอย่างอื่นอีก

“ไอ้รักไหมนี่มันก็พูดยากอยู่นะ...” คนตรงหน้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เธอรู้อะไรไหม จนถึงตอนนี้กษัตริย์เมซาดิอุสก็ยังเป็นราชาแต่เพียงในนามเท่านั้น” เขาพูดเกริ่นก่อนย้ายตัวเองไปด้านหลัง ละเลงหน้าเสร็จแล้วก็ระบายหลังต่อจะได้เลอะเท่าเทียมกัน

“หมายความว่ายังไงครับ?” ผมเอี้ยวตัวไปถามคนที่น่าจะรู้อะไรดีที่สุดในตอนนี้

“มงกุฎแห่งจันทราเป็นผู้คัดเลือกชายา ส่วนชายานั้นเป็นผู้คัดเลือกว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป ผู้ที่ถูกเลือกโดยชายาแห่งดวงจันทร์นั้นก็เท่ากับเป็นกษัตริย์ไปครึ่งตัวแล้ว แต่ถ้าไม่มีความรัก...มงกุฎแห่งจันทราก็ไม่อาจมอบอำนาจแห่งราชาให้กษัตริย์องค์นั้นได้หรอกนะ”

“แปลว่าคุณตาณ...” ผมเหมือนเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นบ้างแล้ว

เทพกระต่ายส่งเสียงอืมในลำคอ “เมื่อไม่มีความรัก ตาณเลยต้องครอบครองมงกุฎแห่งจันทราต่อไป คนที่นี่เองก็กลัวว่าพลังแห่งราชาจะตกไปเป็นของคนอื่น เลยจำเป็นต้องกักบริเวณตาณอยู่แต่ในวัง น่าเศร้าใช่ไหมล่ะ...ชีวิตที่ถูกลิขิตมาแบบนี้”

ผมนิ่งเงียบ เพราะนั่นอาจเป็นชะตากรรมที่ผมเองก็ต้องแบกรับมันไว้เช่นกัน

 “ในฐานะที่เรามาจากโลกเหมือนกัน ผมขอแนะนำนะ อย่าปิดใจเลือกราชา อย่าเลือกคนที่เธอคิดว่าเขาเหมาะสม เลือกคนที่เธอคิดว่าวันหนึ่งจะสามารถรักเขาจากหัวใจได้...ต่อให้มันยากมากก็ตาม นั่นจึงจะเป็นผลดีที่สุดสำหรับเธอ และเพื่อนของเธอด้วย” ปลายนิ้วที่ตวัดวาดกลางหลังผมได้ผละออกไปหลังบทสนทนานี้สิ้นสุดลง เทพกระต่ายปล่อยให้ผมนั่งจมอยู่กับคำแนะนำที่เขาได้ฝากเอาไว้

ความรักงั้นเหรอ... ให้ผมรักกับผู้ชายแถมยังเป็นครึ่งคนครึ่งกระต่ายเนี่ยนะ?

ต่อให้ตีลังกาคิดสักสิบตลบก็เห็นทีว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลย!

“ลำดับต่อไป ขอเชิญเจ้าชายทั้งสี่ขึ้นสู่ลานประกอบพิธี!”

เสียงประกาศที่ดังขึ้นปลุกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมรีบเงยหน้าขึ้นสบตากับเทพกระต่ายที่กลับไปยิ้มตาหยีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทางหนึ่งเจ้าชายทั้งสี่ก็ลุกจากที่นั่งเดินตรงมานี่แล้ว

“พ...พวกเขาขึ้นมานี่ทำไมเหรอฮะ?” ผมถามเทพกระต่ายหน้าตาตื่น การมานั่งลุ้นว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปเป็นอะไรที่ผมไม่ปลื้มเอาซะเลย

“พิธีคัดเลือกรัชทายาทแห่งดวงจันทร์ไง ถึงเวลาที่เธอต้องเลือกแล้ว”

“เลือกรัชทายาท!? ตอนนี้เลยเหรอครับ!”

ผมตกใจแทบกลิ้ง นี่มันกระทันหันเกินไปมั้ย!?

“ใช่ กษัตริย์เมซาดิอุสก็บอกไปแล้วนี่ว่ามีเวลาให้เธอตัดสินใจก่อนพิธีต้อนรับจะมาถึง นี่ก็ถึงเวลาแล้วไง”

พระราชาทรงบอกตอนไหน ทำไมผมจำไม่เห็นได้เลยฟะ!?

“ด...เดี๋ยวก่อนสิครับ” ผมอยากขอเวลานอก ขอออกไปปรึกษาไอ้ธาแป๊บนึงได้ไหม ไม่ก็ขอเวลาให้ผมตัดสินใจมากกนี้ก่อนสิ ชีวิตหลังจากนี้ของผมขึ้นอยู่กับการเลือกครั้งนี้เลยนะเฮ้ย!

“หากตัดสินใจได้แล้วก็เดินไปหน้าคนๆ นั้นนะ ยื่นมือไปหาเขา ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง” เทพกระต่ายพูดเร็วๆ ก่อนจะขึ้นไปยืนบนแท่นไม้หน้าโต๊ะหมู่บูชา มือข้างหนึ่งถือกิ่งไม้เงิน อีกข้างถือกิ่งไม้ทอง ท่าทีสงบนิ่งเหมือนเป็นเทพเซียนลงมายังโลกเพื่อให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา

แอ๊บได้เนียนจริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้ยังแอบลวนลามตัวผมอยู่เลย อย่าคิดว่าไม่รู้นะ!

“ขอหมู่ดาวจงเป็นพยาน”

น้ำเสียงกังวานของเทพกระต่ายดังขึ้นทั่วลานแสงจันทร์เมื่อสี่เจ้าชายมายืนเรียงหน้ากระดานตรงหน้าผม เขาวาดสองมือที่ถือกิ่งเงินกิ่งทองออกเป็นวงกว้าง วงเวทย์สีเหลืองทองพลันปรากฏขึ้นเหนือลานประกอบพิธี

“ด้วยอำนาจมงกุฎแห่งจันทรา ชายาผู้ถูกคัดเลือกจากเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์จักเป็นผู้นำพาทายาทแห่งกษัตริย์รุ่นต่อไปขึ้นสู่บัลลังก์ ขอพรแห่งดวงจันทร์จงอำนวย ขอเทพแห่งดาราจงเป็นสักขีพยานในพิธีคัดเลือกรัชทายาทสลักวันและเวลายังที่แห่งนี้ด้วยเถิด”

ถ้อยคำอันแสนพิสุทธิ์เอื้อนเอ่ยออกมาทีละคำราวกับบทเพลงของเทวดา ผมมองพิธีที่ดำเนินขึ้นตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นกระตุกแบบแปลกๆ เมื่อสี่เจ้าชายแห่งดวงจันทร์ถูกแสงสีเหลืองทองอาบไล้ทั่วร่าง ลำแสงนั้นราวกับน้ำชะล้างคราบสกปรกให้หลุดออกไป ในที่นี้คือเปลือกนอกของแต่ละคนที่ถูกอาบย้อมไว้ด้วยมนตราของชาวแสงจันทร์

ผมมองเรือนผมสีส้มของเชอเชสที่ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยสีม่วงครามด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทางนาเทลกับซอโรเองก็เช่นกัน จากผมสีน้ำตาลแดงและสีทองคำได้ถูกชะล้างออกไปแล้วแทนที่ด้วยสีม่วง ดวงตาสีทับทิมอันเป็นเอกลักษณ์ของซอโรเองก็เปลี่ยนไปจนดูไม่ต่างจากพี่ชายทั้งสามของเขา

ว้อทอีสแด้ท!?

สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี่คืออะไร???

“ผ...ผมของพวกนาย ไหนจะตา...”

เชอเชสยิ้มเหมือนดีใจที่ทำเซอไพรส์ผมได้อีกแล้ว

“ท่านวีครับ พิธี...”

นาเทลแอบกระซิบบอกผมที่ยังมองพวกเขาตาค้าง พอสีผมกับสีตาเปลี่ยนไป เอ่อ...มันก็ดูแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ผมว่าอย่างนี้พวกเขาค่อยดูสมกับที่เป็นพี่น้องกันหน่อย ไม่ใช่ตอนแรกผมคนนึงสีส้ม อีกคนสีน้ำตาล อีกคนสีน้ำเงิน หนักสุดนี่ฉีกไปทองเลย ผมยังแอบคิดเลยนะว่าเจ้าชายทั้งสี่นี่ได้สีผมสีตามาจากแม่หมดเลยเหรอฟะถึงได้ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นพี่น้องกันได้เลย

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มองเจ้าชายทั้งสี่ที่อยู่ในชุดเครื่องแบบสีเดียวกันไล่ตั้งแต่คนพี่ไปจนถึงคนน้อง สิ่งที่เทพกระต่ายแนะนำไว้ผมยังจำได้ขึ้นใจ

เลือกคนด้วยใจ ไม่ใช่ฐานะและความเหมาะสม

ผมยื่นมือไปตรงหน้าคนที่ผมคิดว่าผมน่าจะฝากชีวิตต่อจากนี้ของผมไว้กับเขาได้

ไร้ความลังเล มีแต่ความแน่ใจ เพราะเวลาที่ผ่านมาเขาได้พิสูจน์ให้ผมเห็นมาบ้างแล้วว่าเขาสามารถทำมันได้ และต่อจากนี้เขาน่าจะทำได้ดีเช่นกัน

“ผมเลือกนายแล้วนะ ต่อจากนี้ขอฝากตัวด้วย”

เจ้าชายสามแห่งราชวงศ์แสงจันทร์คุกเข่าลงตรงหน้าผม จับมือที่ผมยื่นให้แล้วแนบมันเข้ากับหน้าผากของเขา

“นับเป็นเกียรติแก่ข้าแล้ว ชายาของข้า”

เชอเชสที่ไม่ได้มีผมสีส้มดูสุขุมขึ้นสามสิบเท่า เขาเลื่อนดวงตาคู่คมขึ้นมามองผมที่ยืนตัวแข็งอยู่กลางลานประกอบพิธี รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงร้องยินดีกับว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่นาทีนี้สมงสมองของผมไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว

ชายาของข้า...

 เจ้าเด็กบ้า ฉันไปเป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่กันห๊า!?



----------------------------------------------------------

ฮว้ากกกกกกก ชายาของข้า... พิมเองฟินเอง 5555 :hao7:

รักคนอ่าน ขอบคุณคนเม้น แล้วเราจะมุ้งมิ้งบินไปฟินแลนด์ด้วยกันโนะ  :heaven
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 21-12-2015 23:28:35
 :ling1:

อืมมมมมม


ชะตากรรมของหนุ่มๆจะตามรอยคู่ก่อนหน้าหรือไม่นะ??  :ling3:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 22-12-2015 00:03:36
ตอนท้ายเด็กมันทำเขินวุ้ย
น่าสงสารคุณตาณจังอยู่โดยไม่มีความรัก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-12-2015 00:31:42
มาไวเคลมไวไปไหมเนี่ย
รักปุบปับ
ตัดฉับไปฉากเข้าเรือนหอเลยได้ป่ะ?

 :hao6:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 22-12-2015 00:56:58
มีเรื่องประหลาดๆมาตลอดเลยยย เอาอีกๆ สนุกอ่ะ :mew1: o13
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 22-12-2015 02:17:49
"กระต่าย" เป็นสัตว์ที่มีฤดูผสมทั้งปี เหมือนคน...... :katai5:

หึๆๆๆๆ :hao3:

ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 22-12-2015 05:56:39
โอ๊ย!!!! เขินอ่ะ อยู่ในชุดเจ้าชายต้องเท่มากแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 22-12-2015 08:30:48
พ่อกระต่ายยย
น่ารักจังเลย
อยากเก็บกลับบ้าน
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 22-12-2015 08:50:18
อยากอ่านต่อแล้วมาต่อเร็วๆนะเรารออยู่
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 22-12-2015 10:18:28
แอบสงสารตาณนะ
ฟินเบาๆตอนท้าย ชายาของข้า อิอิ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 22-12-2015 11:35:19
ชายาของข้า กรี๊ดดดดดดด  ฟินเบาๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 22-12-2015 11:36:21
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 22-12-2015 15:12:08
อะไรกันวี~ ไม่มีความกังวลที่จะเลือกเลยนะ ฮี่ๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: noksamsee ที่ 22-12-2015 17:14:19
ความรู้สึกฟินอยากกินเด็กขึ้นมาทันที
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 22-12-2015 19:08:50
สนุกมากค่ะ แฟนตาซีแบบน่ารัก ๆ  :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 22-12-2015 20:25:53
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.7::: Update 21/12/2015 (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 22-12-2015 21:40:59
มารอดูต่อครับ .... ชายาแห่งดวงจันทร์ จะลงทัณฑ์ เอ้ยไม่ใช่
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -8-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 22-12-2015 22:12:54


-8-
จุมพิตของจันทรา พันธสัญญาของสองเรา




“ยิ้มอะไร”

ผมถามคนที่ไม่ยอมให้เท้าของผมแตะพื้นอีกเลยนับตั้งแต่พิธีคัดเลือกรัชทายาทจบลง ตอนนี้เชอเชสอุ้มผมเหมือนกับผู้ใหญ่อุ้มเด็กเล็ก ใช้แขนเพียงข้างเดียวยกผมลอยขึ้นแล้วจับให้หันหน้าเผชิญกับเขา ตัวผมที่อยู่สูงกว่าเลยเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าของเจ้าชายกระต่ายชัดทุกรูขุมขนจนอดสแกนดูรอบหนึ่งไม่ได้

ผิวขาวเนียนเรียบไร้สิวจนน่าอิจฉา ไรหนวดเบาบางนี่คงไม่เคยผ่านการโกนเลยสักครั้งเพราะมันไม่เป็นตอหนา ถ้าหากลองมองลึกเข้าไปในดวงตาจะเห็นว่าสีม่วงกับสีเทาแบ่งแยกกันชัดเจน วงนอกเป็นสีเทา วงในเป็นสีม่วงเหมือนอัญมณี ริมฝีปากสีส้มที่ดูสุขภาพดีก็ขยันแจกรอยยิ้มซะเหลือเกิน

“มีความสุขก็ต้องยิ้มสิครับ” เจ้าชายกระต่ายตอบยียวนชวนให้ผมดึงแก้มเขาจนยืดเพราะความหมั่นไส้

“ดีใจที่ได้เป็นรัชทายาทอ่ะดิ” ผมแค่นเสียงฮึในลำคอ

“มิได้ครับ”

เชอเชสส่ายหัวเบาๆ พิงหัวลงกับอกผมที่ขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีเพราะไม่ชินที่มีผู้ชายตัวโตๆ มาอิงแอบแนบชิด ถึงแม้ตอนเขากลายร่างเป็นกระต่ายจะถูกผมอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ไม่ก็อุ้มพาดบ่าอยู่บ่อยครั้งก็ตาม

“การที่ข้าได้รับเลือกให้เป็นรัชทายาทนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีก็จริง แต่ที่ข้าดีใจ...เป็นเพราะท่านวีเลือกข้าต่างหากครับ”

คิ้วผมขมวดเข้าหากัน พยายามดันอีกฝ่ายออกแบบไม่ให้เขารู้ว่าผม เอ่อ...ไม่ชินกับการชิดใกล้แบบนี้เท่าไหร่ โดยการแกล้งทำเป็นโวยวายใส่อย่างก้าวร้าว(?)

“แล้วมันต่างกันตรงไหนฟะ!?”

“พูดตามตรง ข้าไม่สนเรื่องตำแหน่งรัชทายาทนั่นหรอกครับ”

เชอเชสเงยหน้าขึ้นมองผม รอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขถูกส่งตรงมาให้เร็วทันใจยิ่งกว่าสั่งเดลิเวอรี่อาหารมาส่งถึงบ้านซะอีก

“การที่ได้ท่านมาครอบครองต่างหาก...ที่ทำให้ข้าดีใจ”

ไม่ทราบว่าคุณจะเน้นคำว่า ‘ครอบครอง’ ให้มันชัดถ้อยชัดคำทำไมครับ คิดว่าผมจะรู้สึกอะไรกับประโยคนี้เรอะ เออ ยอมรับว่ารู้สึก รู้สึกอยากเจื๋อนกระต่ายแถวนี้ไปย่างเกลือแล้วเอาเนื้อมาแทะเป็นอาหารค่ำคืนนี้สุดๆ เลยล่ะเฟ้ยยย!

“คะ...ครอบครองอะไรของนาย อย่ามาโมเมเหมาเอาเองนะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย!” ผมแว้ดลั่น แต่รัชทายาทกระต่ายเห็นจะไม่เข้าใจศัพท์ที่ผมใช้อีกแล้ว

“โมเม? เหมา? คำพวกนี้แปลว่าอะไรหรือ?”

“โอ๊ยยยย ชั่งมันเถอะ” ผมยอมแพ้ หน้าตาใสซื่อกับรอยยิ้มดีใจแบบเด็กๆ มันทำให้ผมไม่อยากถือสาหาความอะไรอีก

“ท่านวี?”

“นี่ ทำไมผมของนายถึงกลายเป็นสีนี้ไปแล้วล่ะ”

ผมปรับลมหายใจอยู่นานกว่าจะสงบสติที่ใกล้แตกซ่านให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปรกติได้ ถามไปมือก็เลื่อนขึ้นไปจับกลุ่มผมสีม่วงอมน้ำเงินไปด้วย ตอนเป็นสีส้มก็สวยดีอยู่หรอก แต่ผมว่าผมชอบสีนี้มากกว่าแฮะ

หูกระต่ายที่เหมือนมีสวิตซ์อยู่บนหัว พอผมแตะปุ๊บก็เด้งขึ้นมาปั๊บโผล่ออกมาให้เห็น ขนสั้นนุ่มนิ่มก็เปลี่ยนไปกลายเป็นสีม่วงครามเหมือนกัน แล้วสีส้มก่อนหน้านี้คืออะไร?

“อ๋อ นี่หรือครับ” เชอเชสแหงนหน้ามองหูเรียวยาวที่โผล่ออกมาของตัวเอง คำพูดฟังดูติดขัดเล็กน้อยเหมือนเขากำลังเขินผมที่เปลี่ยนจากจับผมมาเป็นจับหูกระต่ายของเขาอย่างสนใจ “ก่อนหน้านี้เทพกระต่ายได้ใช้มนตราเปลี่ยนสีให้น่ะครับ ท่านบอกว่ามันเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งของมนุษย์โลก ใครๆ เขาก็ทำกัน”

ใช่ ใครๆ เขาก็ทำกัน ขนาดผมยังย้อมหัวตัวเองให้กลายเป็นสีน้ำตาลทองเลย แต่เชอเชส นายรู้อะไรไหม บางทีนายอาจจะโดนคุณเชษฐ์แกล้งเล่นแล้วล่ะ...

“สีส้มนี่...เทพกระต่ายก็เป็นคนเลือกให้?” ผมถามเพราะอยากรู้ล้วนๆ จะว่าผมเสือกก็ยอมเอ้า

หูเรียวยาวที่ปกคลุมด้วยสีโทนเข้มกระดิกดุ๊กดิ๊กก่อนตอบ “ใช่แล้วครับ ท่านเทพบอกว่าสีของผลส้มนั้นเด่นดี เวลาที่หลงกับท่านวี ท่านวีจะได้หาผมเจอง่ายๆ ครับ”

แน่ล่ะ ก็ล่อซะสีส้มบาดตาขนาดนั้น ถ้าหลงกันแล้วผมหาคุณเจ้าชายจากดวงจันทร์เขาไม่เจอก็เอาหินมาปาหัวผมเลยเถอะ!

“แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน ไอ้ธารอผมอยู่นะ”

เชอเชสออกตัวเดินต่อบนทางเดินที่ทอดยาวไปสู่บริเวณปีกซ้ายของปราสาท ข้างหลังมีคนเดินตามมาสี่คน เจ้าสีส้มที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้วบอกว่า สี่คนนี้คือองครักษ์ประจำตัวของเขา ทุกคนอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำสนิท ข้างเอวมีดาบยาวนอนสงบนิ่งอยู่คนละสองเล่ม หน้าตาแต่ละคนดูดีชนิดที่อดคิดไม่ได้เลยว่าเขาคัดหน้าตามามากกว่าเน้นเรื่องฝีมือรึเปล่า

“หลังจากนี้ท่านต้องพักอยู่กับข้า ส่วนท่านธา เทพกระต่ายบอกว่าจะรับตัวเขาไปอยู่ด้วยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ”

“หา? คุณเชษฐ์ เอ๊ย เทพกระต่ายไปรู้จักมักจี่ไอ้ธาตอนไหนล่ะนั่น”

“พระชายาแห่งดวงจันทร์จะนำพาเทพกระต่ายมาช่วยพิทักษ์บ้านเมืองและคุ้มครองอาณาจักร นี่เป็นคำบอกเล่าที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นครับ ดังนั้นการที่ท่านธาไปพำนักอยู่กับเทพกระต่ายในฐานะผู้สืบทอดรุ่นต่อไปจึงนับว่ามิผิดแปลกประการใด”

“ไอ้ธาเนี่ยนะ...”

หน้าอย่างมันบอกว่าจะมาทำลายบ้านเมืองและล่มจมอาณาจักรยังจะฟังดูน่าเชื่อกว่าอีก...

“ท่านวีอย่าได้เป็นห่วงท่านธาไปเลยครับ ทุกคนรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่าท่านธาเป็นสหายรักของท่าน คือว่าที่เทพกระต่ายองค์ต่อไป รับรองด้วยเกียรติแห่งข้าเลยว่าทุกคนจะดูแลและปรนนิบัติท่านธาเป็นอย่างดี”

ไอ้เรื่องดูแลอะไรนั่นผมไม่เป็นห่วงหรอก เจ้าเพื่อนบ้าของผมมันดูแลตัวเองได้ แต่ที่ห่วงคือกลัวว่ามันจะคลั่งตอนที่ได้รู้เรื่องนี้นี่สิ เจ้าเกรียนนั่นยิ่งไม่ชอบให้ใครมาบังคับทำนู่นทำนี่อยู่ด้วย

“เดี๋ยว แล้วทำไมผมต้องไปพักอยู่กับนายด้วย ห้องของผมก็มี”

ผมกอดอกมองพาหนะส่วนตัวที่เดินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ ทั้งที่แขนข้างหนึ่งแบกก้อนเนื้อหนักถึงหกสิบกิโลอย่างผมเอาไว้ ไม่เมื่อยบ้างรึไงนะ อุ้มผมด้วยแขนเดียวอย่างนี้อ่ะ

“เพราะท่านเป็นชายาของข้าอย่างถูกต้องแล้ว จะให้แยกกันอยู่เหมือนเก่าได้อย่างไร”

ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะฟะ…

“ผมเลือกนายก็จริง แต่ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันเลยนี่”

“จำเป็นสิครับ” เชอเชสตอบเสียงหนักแน่น “เทพกระต่ายบอกกับพวกเราก่อนพิธีคัดเลือกจะมาถึง ว่าการได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจะทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นไปอีกก้าว ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว การหลับนอนร่วมกันย่อมเป็นเรื่องปรกติ”

คุณเชษฐ์... คุณมาปลูกฝังอะไรให้เจ้ากระต่ายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตัวนี้กันแน่วะครับเนี่ย!?

“ด..ด..ด..เดี๋ยวนะ นายบอกว่าหลับนอน...หมายถึงเราต้องนอนเตียงเดียวกันงั้นเรอะ!”

เจ้าสีม่วงผงกหัว รับคำด้วยน้ำเสียงใสซื่อแต่เป็นคำตอบที่ผมไม่อยากฟัง “ท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วครับ”

ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นแล้วถามต่อ “คำว่าหลับนอนของนายนี่...แค่นอนด้วยกันเฉยๆ คือแบบว่า...ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม”

เชอเชสเพียงแต่ยิ้มรับไม่ตอบอะไร พูดเพียง เดี๋ยวคืนนี้ผมก็รู้เองนั่นล่ะ


ห้องส่วนตัวของเจ้าชายสามแห่งอาณาจักรแสงจันทร์อยู่ทางปีกซ้ายของปราสาท ขนาดใหญ่กว่าห้องรับรองแขกที่ผมกับไอ้ธาอยู่ประมาณสามเท่าได้ ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายเน้นโทนสีน้ำเงินดำเป็นหลัก มีของประดับน้อยชิ้นแต่กลับมีหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มชั้น แต่ละเล่มหนาอย่างกับพจนานุกรมฉบับไทย-อังกฤษที่ผมชอบหยิบเอาไปใช้ปาหัวหมาอย่างไอ้ธาอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางอ่านยากชวนหลับทุกเล่มเสียด้วย

เห~ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเชอเชสเป็นพวกหนอนหนังสือ นึกว่าจะบ้าขี่ม้าฟันดาบปราบมังกรอะไรทำนองนี้ซะอีก

“วางผมลงได้แล้วมั้ง”

ผมบอกเมื่อพวกเราเหลือกันอยู่แค่สองคนในห้องของเขา แต่เจ้ากระต่ายหัวม่วงกลับทำเป็นเฉย เหมือนเสียงที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงผายลมปู้ดหนึ่ง ที่ได้ยินก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จะพูดออกมาให้อีกฝ่ายต้องอับอายขายขี้หน้าก็ทำไม่ได้ แต่คุณครับ เสียงผมนะไม่ใช่เสียงตด ที่ผมพูดไปเจ้ากระต่ายนี่ได้ยินแน่ๆ แต่ร้อยทั้งร้อยมันแกล้งเมินจงใจทำเป็นไม่ได้ยิน ซ้ำยังเดินลิ่วไปยังระเบียงห้องที่เปิดโล่ง จับผมหันมามองหน้าเขาท่ามกลางม่านแสงจันทร์ที่ยังปกคลุมทั่วผืนฟ้า

“ท่านวี ข้ารู้ว่านี่อาจจะกะทันหันเกินไป แต่กรุณาจูบข้าด้วยครับ”

เขาบอกกับผมชัดถ้อยชัดคำจนหัวใจผมแทบกระเด็นออกจากปากกระแทกหน้าหนาๆ ที่ไม่รู้เคลือบซีเมนต์เอาไว้กี่ชั้นของคนตรงหน้าที่กล้าขอให้ผมจูบเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย

“เชอเชส อย่าล้อผมเล่น ผมไม่สนุกด้วยนะ”

ผมมองตอบแววตาจริงจังของเขา จนถึงตอนนี้เจ้ากระต่ายก็ยังไม่ยอมปล่อยผมลง ผมเลยต้องใช้สองมือเกาะบ่าเขาไว้ ก้มลงมองเขาที่เลิกยิ้มเหมือนคนบ้าไปแล้วแต่กลับสวมหน้ากากจริงจังและโคตรหล่อแทน ฮึ้ยยย อย่าเก๊กหล่อให้มันมากนักได้ไหม แค่นี้ผมก็อิจฉาตาร้อนจนแทบไหม้ละลายคาเบ้าตาได้อยู่แล้ว!

“ข้ามิได้กำลังเล่นสนุกนะครับ แต่พิธีในคืนนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อท่านวียอมมอบจูบให้ข้าภายใต้ม่านแสงจันทร์ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่ช้านานแล้วล่ะครับ”

ใคร...ใครมันเป็นคนตั้งกฎบ้าๆ นี้ขึ้นมาห๊า อย่าให้รู้นะ พ่อจะแล่นเอาระเบิดไปบึ้มให้หายไปทั้งหลุมเอาให้สะเทือนเลือนลั่นไปถึงภพปรโลกเลย!

“จำเป็นต้องทำด้วยเหรอ” ผมแสร้งทำตาละห้อยใส่เจ้ากระต่ายที่ยิ้มจางๆ มาให้ ทำตัวให้ดูน่าสงสารเข้าไว้เผื่อกูจะรอด แต่ว่า...

“จำเป็นครับ เทพกระต่ายย้ำเป็นมั่นเหมาะว่าต่อให้ต้องใช้กำลังบังคับก็ต้องได้รับจูบจากท่านในค่ำคืนนี้ให้ได้ แต่ผมไม่อยากใช้วิธีนั้นกับท่านวี เลยเลือกที่จะพูดกับท่านตรงๆ แทนครับ”

คุณเชษฐ์ครับ... ผมว่าถ้าเรามีโอกาสได้เจอกันครั้งหน้า ผมคงต้องถามหน่อยแล้วว่าไอ้ที่คุณพูดกับเจ้ากระต่ายนี่ เป็นคำพูดของคุณเองหรือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่บรรพบุรุษกำชับมาเป็นมั่นเหมาะกันแน่ อันนี้ผมชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะ!

“ท่านวีรังเกียจข้าหรือ?”

มุมปากของเจ้าหนูกระต่ายโค้งลงสิบห้าองศาเป็นอย่างต่ำ ทำตาละห้อยได้น่าสงสารกว่าที่ผมแสร้งทำหลายเท่านัก ส่วนมือที่รวบตัวผมอยู่ก็ดูเหมือนจะกอดรัดแน่นขึ้น หูเรียวยาวสองข้างลู่ลงเป็นกระต่ายหงอยแทบจะทิ่มตาผม

โอเคน้องชาย ผมยอมแพ้ก็ได้ อย่าทำตัวเศร้าให้ต่อมรักสัตว์ในใจผมสะเทือนอีกต่อไปเลย

ก็แค่จูบเอง คิดว่ากำลังจูบกับกระต่ายซะก็หมดเรื่องแล้วไอ้วี!

“เชอเชส เงยหน้าขึ้นมา” ผมรวบรวมกำลังใจเฮือกใจก่อนจะตะปบหน้าเขาขึ้นมาให้มองหน้าผม ดวงตาสีม่วงอมเทาดูสั่นไหวแปลกๆ เมื่อเราเผชิญหน้ากัน “ฉันไม่ได้รังเกียจ...ไม่เคยรังเกียจนาย ก็แค่...ไม่พร้อมน่ะ”

“มิเป็นไร ข้าเข้าใจดีครับ”

เข้าใจแบบไหนล่ะฟะเจ้าม่วงนี่ ปากบอกเข้าใจแต่หูกระต่ายกลับลู่ลงกว่าเดิมจนแทบจะทิ่มเข้าปากผมอยู่แล้ว เดี๋ยวก็งับซะหรอก

ผมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก็ใครใช้ให้ผมนึกเอ็นดูเจ้ากระต่ายบ้านี่ตั้งแต่แรกที่รู้จักกันเล่า!

เพียงแค่ไม่กี่วิที่เวลาไหลผ่าน ปากของผมสัมผัสกับอีกฝ่ายแผ่วจาง เบาบางดุจปุยหิมะที่พอแตะกับผิวเนื้ออุ่นร้อนก็ละลายหายไปในเวลาอันรวดเร็ว

วินาทีที่กำลังจะผละออก กลับรู้สึกถึงน้ำหนักมือที่กดลงมาบนท้ายทอย ริมฝีปากที่ผละจากเพียงเสี้ยวนาทีกลับประทับลงแนบแน่นบดเบียดจนอุ่นร้อน

ผมหลับตาปี๋ นึกด่าเจ้ากระต่ายบ้านี่ในใจด้วยคำหยาบทั้งหมดเท่าที่จะนึกออกในเวลานี้

ไหนว่าให้ผมเป็นคนจูบไง ผมก็จูบไปแล้ว แล้วไอ้มือนี่มันคืออะไร!? ปากที่ประกบกับผมอยู่นี่คืออะไร!? แล้วลิ้นที่สอดเข้ามานี่คืออะไร!?!?!?

ไอ้วีไม่เข้าใจ!!!!!!!!!!!!

“อะ...เชอ...อื้อ!”

ผมอยากเขียนใบลาตายสักสองฉบับ หนึ่งให้ไอ้ธา สองให้พ่อแม่

พ่อครับแม่ครับ ไอ้ธามึง...กูเสียจูบให้ผู้ชายแล้ว แถมยังเป็นดีฟคีสด้วย โอ้กกกกก


“หึหึหึ”

ไอ้ธานั่งหัวเราะเหมือนคนโรคจิตอยู่ข้างผมที่พยายามเลียนแบบเป็นแมวตายอยู่ข้างสระน้ำกลางสวนในวัง

หลังจากที่โดนเชอเชสจับจูบอย่างเร่าร้อนภายใต้ม่านแสงจันทร์ไป ผมก็สลบไสลไม่ได้สติไปสามวัน คุณเชษฐ์ที่มาดูอาการพร้อมกับพาไอ้ธามาเฝ้าด้วยบอกว่านี่เป็นเรื่องปรกติของการเชื่อมจิตเข้าด้วยกัน ผมที่ทำหน้าเป็นหมางงไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลยได้รับคำแนะนำมาว่าให้ลองหลับตาลงแล้วเรียกหาเชอเชสดู ปรากฏผมได้ยินเสียงของเชอเชสตอบกลับมาในหัว

จากนั้นไม่นาน เจ้าตัวที่หอบหิ้วเอกสารพะรุงพะรังก็พุ่งพรวดเข้ามาเกาะข้างเตียงโดยโยนงานทั้งหมดทิ้งไว้ที่หน้าประตูให้เหล่าคนสนิทต้องก้มๆ เงยๆ เก็บกันหัวหมุน ส่วนเจ้าม่วงก็เอาแต่ถามผมไม่หยุดว่าผมเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง และบลาๆๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นห่วงผมขนาดไหน

จากการปฏิบัติจริงในครั้งนั้นทำให้ผมรู้ว่าไอ้ธรรมเนียมอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้น และจูบที่เหมือนเด็กเล่นขายของนั้นมันไม่มากพอให้การเชื่อมต่อสามารถดำเนินไปได้จนจบ เชอเชสถึงได้ตัดสินใจทำแบบนั้นกับผมลงไป

เชอเชสขอโทษผมหลายครั้งมาก เขากลัวว่าผมจะโกรธจนไม่มองหน้าเขาอีก ซึ่งมันไม่ใช่ ผมไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่...

“ฮึ้ยยยยย คิดไม่ออกโว้ยยยยยย”

ผมตะโกนลั่นให้ปลาในสระแตกตื่นเล่นจนต้องหนีไปหลบหลังโขดหินมองดูคนบ้าที่กลิ้งไปมาจากใต้ผืนน้ำ ตอนนี้พวกเราอยู่ในสวนของตำหนักเทพกระต่ายที่ถูกสร้างแยกออกมาจากตัวปราสาท ข้างหลังตั้งติดกับน้ำตกขนาดใหญ่จึงได้ยินเสียงสายน้ำไหลที่ตกลงจากที่สูงตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์น่านอน แต่หัวใจของผมที่ยังกระวนกระวายทำให้ข่มตายังไงก็หลับไม่ลง

“คิดไม่ออกก็เลิกคิดเว้ย สมองมึงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีรอยหยักเยอะ จะไปคิดให้มันซับซ้อนทำไม คิดไปก็คิดไม่ออกอยู่ดีน่า”

“ทำไมกูถึงรู้สึกเหมือนกูโดนด่าอยู่เลยวะ...”

“มึงคิดไปเองแล้วล่ะ” ไอ้ธายิ้มกว้างเหมือนโลกนี้สดใสนักหนาสำหรับมัน แตกต่างจากผมที่มองเห็นโลกนี้ดำมืดยิ่งนักในเวลาที่คิดไม่ออกแบบนี้

“ชิ” ผมจิ๊ปากขัดใจ หันหลังให้ว่าที่เทพกระต่ายรุ่นต่อไปที่ดูจะไม่คลั่งกับสถานะที่เป็นอยู่อย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้

ไอ้ธาตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีสีอื่นใดเข้ามาแต่งแต้มให้เกิดจุดเด่น ผมที่เคยยาวจนเกือบแตะบ่าถูกตัดให้สั้นขึ้นจนดูไม่ต่างจากพวกเด็กเนิร์ด ในมือถือตำราเล่มใหญ่ที่ไม่เคยคิดว่าคนอย่างมันจะเอามาอ่านเล่นฆ่าเวลา ถ้าไม่ใช่ว่าคุณเชษฐ์ทั้งบังคับและข่มขู่(ด้วยวิธีไหนก็ไม่รู้) เชื่อเถอะว่าต่อให้เอาของรักทั้งหมดของไอ้ธามากองอยู่ตรงหน้าแล้วขู่ว่าจะเผาให้หมดไม่มีเหลือก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้(เพราะมันรวย มันซื้อใหม่ได้ มันเลยไม่แคร์)

ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าคุณเชษฐ์ใช้วิธีไหนมากำราบเกรียนธาได้อยู่หมัดแบบนี้นะ วันหลังผมจะได้ขอลองเอาไปใช้บ้าง น่าสนุกกว่าหาวิธีเกรียนมันกลับอย่างทาบไม่ติดเลยล่ะ

“ธา มึงอยู่นี่โอเคป่าววะ”

ผมกลิ้งกลับมานอนแบะหน้าเพื่อนสนิท หากยาอุลมาเห็นสภาพของผมตอนนี้คงได้วิ่งพรวดๆ เข้ามาฉุดผมให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วอบรมผมชุดใหญ่ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

คิดๆ ดูแล้วชีวิตของผมก็มีสีสันเพิ่มขึ้นไม่น้อยเมื่อขอให้เชอเชสแต่งตั้งยาอุลเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของผม ตอนนี้เจ้าตัวคงยุ่งอยู่ที่สำนักทอจันทร์ ฤดูหนาวใกล้มาเยือนดินแดนแห่งนี้แล้วผมเลยต้องมีชุดใหม่ที่อุ่นหนามากกว่าเก่า เจ้าตัวน้อยสีเทาเลยช่วยเป็นธุระจัดการให้

ส่วนผมก็หนีมาสิงอยู่กับเจ้าเพื่อนตัวดีที่นับวันเริ่มมีรอยยิ้มกวนประสาทหลากหลายมากขึ้น ไม่รู้ว่าคุณเชษฐ์เป็นคนถ่ายทอดพันธุกรรมนี้ให้หรือว่ามันเป็นของมันเองตั้งแต่เกิด ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นอย่างหลังซะมากกว่า แต่ก็ไม่อาจดูถูกความสามารถของคุณเชษฐ์ไปได้เหมือนกัน

คนที่ถูกผมตั้งคำถามนี้ใส่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตาสีดำจับจ้องมายังผมพลางถอนหายใจ “มึงถามคำถามนี้กับกูมากี่รอบแล้วรู้ไหม”

“เอิ่ม... หกรอบได้มั้ง”

“ก็ถูก วันนี้เป็นรอบที่หก แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ สามสิบเก้าครั้งนับจากวันที่มึงฟื้นขึ้นมาครับ” คุณธาราหยิบม้วนไม้ไผ่ที่วางกองอยู่ข้างๆ ขึ้นมาตีหัวผมดังป้าบ ฟังดูก็รู้ว่าเจ็บมาก แต่คนที่โดนจริงอย่างผมนี่ไม่ใช่แค่น้ำตาเล็ด แต่ไหลเลยล่ะครับ!

“มึงครับ บอกกูอย่างเดียวก็ได้ไม่ต้องตี หัวกูสูงค่าอย่างประเมินไม่ได้แล้วนะครับตอนนี้” ผมลูบหัวป้อยๆ ให้ไอ้ธาแค่นฮึใส่เสียหนึ่งคำรบ

“ฐานะเปลี่ยนแล้วเอาใหญ่เลยนะครับเพื่อนกู อยากให้เทพกระต่ายอย่างผมส่งคนไปรายงานสามีมึงไหมครับ ว่าตอนนี้ว่าที่เจ้าสาวของเขาที่ควรจะศึกษาเล่าเรียนอยู่ในหอตำรามาทำตัวเกรียนอะไรอยู่แถวนี้”

ผมรีบส่ายหัวรัวๆ แบบไม่กลัวคอหลุด นับตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาก็นับได้ยี่สิบวันแล้ว ตอนนี้เชอเชสงานยุ่งมาก เขาได้รับมอบหมายงานหลายอย่างจากพระราชาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าขุนนางและราษฎรก่อนจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ ส่วนผมที่มีฐานะเป็นชายาของเขาก็ต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากบรรดาพระอาจารย์ที่คุณตาณจัดหามาสอนให้ด้วยตัวเอง มีทั้งขนบธรรมเนียมประเพณี มารยาท การวางตัวในหมู่ชนชั้นสูง การเต้นรำ ราชาศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมายหลายสิ่งจนผมแทบจับไข้หลังจากเริ่มเรียนไปได้แค่ไม่กี่วัน

ดังนั้นเมื่อชิ่งได้ผมจึงรีบชิ่ง กว่าจะหลบสายตาเจ้าพวกองครักษ์ที่เชอเชสเป็นคนคัดเลือกมาเองกับมือให้มาคุ้มครองผมได้ก็ใช้เวลาตั้งนาน เรื่องอะไรผมจะยอมกลับไปนั่งหน้าตำราที่เต็มไปด้วยอักษรยึกยือที่อ่านไม่ออกนั่นง่ายๆ ล่ะ ลงทุนหนีเรียนมาแล้วทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มกันหน่อยซี่~

ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรไร้สาระจนเพลิน ร่างที่ทอดกายอย่างเกียจคร้านบนหญ้านุ่มสีเหลืองอ่อนพลันถูกใครบางคนยกขึ้นจนตัวลอย

กลิ่นหอมที่คุ้นจมูกเพราะกว่าสามสัปดาห์ที่ผ่านมาผมนอนอยู่กับเขาทุกคืนจนจำกลิ่นนี้ได้ขึ้นใจ มันตามมาหลอกหลอนพร้อมกับไออุ่นและน้ำเสียงที่ติดจะเย็นชานิดๆ เหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กเกเรที่แอบหนีเรียนมากลิ้งเล่นแถวนี้

“ท่านวี รู้ไหมครับว่าพระอาจารย์ซูลูจะร้องไห้อยู่แล้วที่ท่านหนีเรียนวิชาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาจะเขียนใบลาออกอยู่แล้ว”

ดวงตาสีม่วงอมเทาฉาบไว้ด้วยความเหนื่อยใจ แต่เหนือกว่านั้นคือประกายลึกล้ำที่ทอแววเอ็นดูคนที่อยู่ในอ้อมกอด จนคนนอกอย่างธาราต้องเบือนหน้าหนีไปผิวปากเล่นเพราะอยู่ดีไม่ว่าดีดันเห็นสามีภรรยามายืนสวีทกันให้เห็นเต็มตาเสียอย่างนั้น

“ผม เอ่อ...ก็แค่เบื่อๆ น่ะ เลยอยากออกมาสูดอากาศเล่น แล้วบังเอิญมาเจอธาแถวนี้พอดีเลยเผลอคุยกันนานไปหน่อย”

ผมตีอกชกลมอยู่ในใจ ทำไมเจ้ากระต่ายนี่ถึงได้รู้ตลอดเลยนะว่าผมอยู่ที่ไหน ทำอะไร และอยู่กับใคร ทั้งที่ผมก็ปิดกั้นเสียงในใจไม่เรียกเขาผ่านทางพันธสัญญาอะไรนั่นแล้ว มันก็ไม่ควรเป็นปัญหาแล้วสิ!

“ท่านวี คิดดังไปแล้วครับ”

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเตือน ลืมไปได้ไงนะว่าตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมแขนของเชอเชส และการสัมผัสกันแบบนี้จะทำให้ความคิดของผมไหลเข้าสู่สมองของอีกฝ่ายได้ง่ายกว่าปรกติ ยิ่งคิดดังเสียงก็ยิ่งดัง ตายๆๆ ป่านนี้ไม่รู้หมดแล้วรึว่าผมโกหกเขาไป!?

“เรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็แย่แล้วล่ะครับ” เชอเชสยิ้มขัน เจ้ากระต่ายบ้าที่แต่ก่อนเคยน่ารักน่าเอ็นดูตอนนี้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบคนน่าเตะของผมไปแล้ว

ใครก็ได้ ช่วยเอาเจ้าส้มเมื่อวันวานกลับมาที! สีม่วงนิสัยแบบนี้ผมไม่เอา!

“ไม่เอาตอนนี้ก็สายไปแล้วครับท่านวี ท่านเลือกผมเป็นคู่ครองของท่านแล้วนี่นา” เจ้าสีม่วงหันไปคำนับไอ้ธาหนึ่งทีแทนคำทักทาย ซึ่งเพื่อนผมที่ดูจะมีมารยาทเยอะขึ้นมากก็คำนับกลับไปในลักษณะเดียวกัน ก่อนเชอเชสจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ท่านวีรบกวนการศึกษาของท่านมามากแล้ว เห็นทีข้าคงต้องขอตัวพาเขากลับก่อน ไว้มีเวลาว่างเมื่อไหร่ข้าจะพาท่านวีมาเยี่ยมท่านอีกนะครับ”

“เฮ้ย เดี๋ยว! ใครบอกว่าผมจะกลับไปพร้อมกับนาย ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ผมแผดเสียงดังลั่นจนหมู่วิหคผาจันทร์ผวาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นภาพอันน่าชม แต่ผมไม่มีแก่ใจจะชื่นชมความงามของนกน้อยเหล่านั้นในเมื่อผมกำลังถูกอุ้มไปสู่ลานประหาร(หอตำรา) โดยเพชรฆาตนามเชอเชส

คนที่ได้วิชาอ่านใจผมไปเมื่อสามอาทิตย์ก่อนลอบถอนหายใจอย่างนึกปลง ก่อนพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแกมขบขัน

 “ท่านวี การศึกษาเล่าเรียนมันไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอกครับ”




---------------------------------------------------------
เป็นเมียเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย //นุ้งวีมิได้กล่าวเอาไว้ 555555

ขอบคุณทุกเม้น ทุกกำลังใจนะก๊าบบบบ
โอมมม จงรักต่าย หลงต่าย ฝันเห็นสิ่งมีชีวิตสีม่วงๆ กันถ้วนหน้าเด้อ   :hao7:

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 22-12-2015 22:49:01
อู้ว กินเด็ก Living mall
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 22-12-2015 23:36:55
โดนจูบทีสลบเลยนะ วี
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Air_Yaoi ที่ 23-12-2015 00:06:24
นุ้งต่ายน่าร๊ากกกกกกกกกก
ตอนนี้อ่านแล้วแอบคิดว่าวีอายุน้อยกว่านุ้งต่ายม่วงอีกนะ55555
บางทีอาจน้อยกว่าต่ายเทายาอุลด้วยมั้งนั่น55555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 23-12-2015 00:43:01
วันนี้ได้อ่านสองตอนเลย ดีใจอ้าาาา >_____< ชอบเรื่องนี้มากกกก อ่านซ้ำ 3 รอบแล้วค่ะ หลงทุกอย่างเลย(โดยเฉพาะเชอเชส แฮ่ะๆ)
ชอบเวลาเค้าสวีทกันมากเลยค่ะ มันดูมุ้งมิ้งบอกไม่ถูก บรรยากาศนี่เหมือนสามีภรรยากันจริงๆเลยหรือไม่ก็แฟนที่คบมานานงั้น~
ชอบมากเลยค่ะะะะ /พิมพ์คำว่าชอบซ้ำรอบที่สามแล้วอ่ะ ; _ ; 5555555555555
คือหาคำอื่นมาบรรยายไม่ได้จริงๆ นี่ถึงขนาดเม้นในไอโฟนเลยนะคะทั้งๆที่ปกติจะดองรอเม้นในคอมอ่ะ! อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะะ
อยากเห็นทั้งเชอเชสปราบพยศท่านวี(ไหงสลับกันงี้ /ฮา) แล้วก็ความน่ารักน่าเอ็นดูของวีด้วยค่ะ!

จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ สู้ๆเน้ออ :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 23-12-2015 00:58:17
น่ารักมากนุ้งต่ายยย :m1: :m11:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 23-12-2015 01:49:38
ท่านวีช่างเกรียนเหลือเกินนะขอรับ  :laugh: ขำตรงเชอเชสบอกว่าอาจารย์อยากลาออกจะตายอยู่แล้ว
ปูลู.ต่อไปนี้ก็เรียกต่ายส้มไม่ได้แล้วสิ? เรียกไอ้หัวม่วงก็กลัวจะซ้ำพี่น้องตัวอื่น  :hao5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 23-12-2015 07:38:12
ทำใจนะน้องวี แหม ๆ ได้แฟนคอยตามดูแลขนาดนี้น่าดีใจออกนะ 555
ไป ๆ มา ๆ ใครเด็กกว่ากันกันแน่นะเนี่ย  :laugh:
เชอเชสอบอุ่นอ่ะ น่ารัก ชอบ ๆ  :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 23-12-2015 08:10:26
รักต่ายน้อยจัง
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 23-12-2015 08:30:07
น่ารักจัง
ติดตามๆๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 23-12-2015 11:44:38
โอ๊ยยย เรื่องนี้คือน่ารักน่าเอ็นดูมมกค่ะ คือชอบบบบบบบบบบ หลงรักเชอเชสเวอร์ชันปุกปุยสีส้ม 555555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 23-12-2015 13:38:07
เดี๋ยวนะ ใครเด็กกว่าใครกันแน่เนี่ย 55555
หึ้ยยยยย อยากกอดกระต่ายสีม่วงๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 23-12-2015 13:52:11
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Far Far Away ที่ 23-12-2015 20:06:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-12-2015 22:16:59
ตกลงใครเด็กกว่าใครกันแน่

อยากฟัดกระต่ายยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 23-12-2015 22:53:24
หูย  น่ารักอ่ะคู่นี้ แล้วอีกคู่ล่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 24-12-2015 00:43:21
ทำไมพอบอกสิ่งมีชีวิตม่วงๆ เรานึกถึงมินเนี่ยนเวอร์ชั่นตัวม่วงตลอดเลย  ฮ่าๆๆๆ
น่ารักแต่ร้ายกาจ  แฟนตาซีมากแบบน่ารักๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 24-12-2015 02:54:35
เพิ่งเข้ามาอ่าน น่ารักมากค่ะ ชอบตอนเวลาชาวกระต่ายเขินแล้วหูกับหางจะเด้ง  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.8::: Update 22/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: MeMindZa ที่ 24-12-2015 20:08:10
สนุกค่ะ ติดตามอยู่น๊า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -9-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 24-12-2015 21:33:48



-9-
อาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญ




“คณะทูตจากอาณาจักรเงาจันทร์?”

“ครับ พวกเขาจะเดินทางมาถึงที่นี่ในอีกสามวัน ในระหว่างนั้นข้าอยากให้ท่านวีเก็บตัวเงียบสักพักจนกว่าจะถึงวันอภิเษกของเรา จะได้ไหมครับ?”

เจ้าสีม่วงทำหน้าเศร้าหูตกเดินเข้ามาหา ดวงตาสีม่วงอมเทาเจือแววขอร้องออดอ้อนอยู่ในที

เฮ้ๆๆ แค่ตีหน้าเศร้าหน่อยเดียวก็เอาผมอยู่หมัดแล้วน่า ไม่ต้องเดินเข้ามาจับมือทำตาละห้อยเพิ่มหรอก ผมไม่ชิน

“ให้ผมเก็บตัว? บอกเหตุผลได้ไหมว่าทำไม” เท่าที่ผ่านมาสามอาทิตย์ เชอเชสให้อิสระผมเต็มที่ ไม่เคยเอ่ยปากขออะไรอย่างนี้เลยสักครั้ง เมื่อมองสีหน้าที่มีแววความกังวลผสมอยู่ในนั้นชัดเจน ผมว่าไอ้อาณาจักรเงาจันทร์อะไรนี่ต้องไม่ได้มาดีแน่นอน

“ท่านวีคงพอจะทราบอยู่บ้างแล้วใช่ไหมครับ ว่าอาณาจักรเงาจันทร์นับเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาณาจักรแสงจันทร์ของเรามานาน การที่พวกเขาส่งตัวแทนมาร่วมยินดีกับงานอภิเษกของเราถือว่ามาตามมารยาทก็จริง แต่ทุกครั้งที่มีงานรื่นเริงยินดีมักจะมีผู้ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ด้วยเสมอ และเป้าหมายคราวนี้ก็คงไม่พ้นตัวท่านที่เพิ่งได้รับเลือกจากมงกุฎแห่งจันทรา หากพวกเขาต้องการตัดเขี้ยวเล็บข้าที่กำลังจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ในเร็ววันนี้ การทำลายท่านนับว่าเป็นทางลัดที่สุดแล้ว”

ผมฟังแล้วเหงื่อแตกซิกขึ้นมาโดยพลัน บีบมือเจ้าสีม่วงแน่นพร้อมกับให้สัญญา

“ไม่ต้องห่วงนะเชอเชส ผมจะหลบอยู่แต่ในห้องนอนทั้งวันทั้งคืนเลย!”

“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็เบาใจ หลังจากนี้ข้าจะให้ฟาฮากับเซริมคอยคุ้มครองท่าน ขอให้ท่านอดทนจนกว่าพิธีอภิเษกของเราจะมาถึงนะครับ”

“ได้เลย” ผมพยักหน้ารับคำหนักแน่น อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผม ผมย่อมยินดีอ้าแขนรับมันไว้โดยไม่เกี่ยงงอน แม้การที่มีองครักษ์ของเจ้าชายรัชทายาทตามติดถึงสองคนจะทำให้ผมขาดความเป็นส่วนตัวไปบ้างก็ตาม

หลังจากวันนั้นผมจึงขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง เชอเชสเหมือนกลัวว่าการหายใจทิ้งไปวันๆ ในห้องจะทำให้ผมหดหู่หรือไม่ก็อุดอู้จนเกินไป เขาจึงได้ขอร้องให้พระอาจารย์มอบรายงานกองโตให้ผมทำเล่นเป็นการแก้เบื่อ

ณ เวลานี้ผมเลยหัวฟูให้ฟาฮากับเซริมช่วยแบกหนังสือจากห้องอักษรมากองไว้เป็นคู่มือศึกษา พจนานุกรมฉบับไทย-จันทระ(ภาษาของชาวแสงจันทร์) ถูกผมพลิกแล้วพลิกอีกจนกระดาษแทบขาดติดมือ กระดาษรายงานที่มีความยาวมากพอจะโอบล้อมราชวังได้ทั้งหลังถูกผมละเลงลายมือไก่เขี่ยลงไปจนแทบจะอ่านไม่ออก ต้องขอบคุณเชอเชสจริงๆ ที่ทำให้ผมไม่มีเวลาว่างมานั่งคิดเรื่องไร้สาระอีกเลยนับตั้งแต่พระอาจารย์สั่งให้ผมศึกษาความเป็นมาของอาณาจักรแสงจันทร์และประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง

อาณาจักรเงาจันทร์

ผมสะดุดกึกเมื่อเนื้อหาบทใหม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรเพื่อนบ้านที่รบทัพจับศึกกับอาณาจักรแสงจันทร์มานาน หลังอ่านข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในตำราจนครบ ผมถึงเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของสองอาณาจักรนี้ขึ้นมาบ้าง

อาณาจักรแสงจันทร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกติดกับทะเลธารดาราซึ่งโอบล้อมแผ่นดินนี้ถึงสองในสามของพื้นที่ทั้งหมด มีอาณาจักรเสี้ยวจันทร์คอยคานอำนาจอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนอาณาจักรเงาจันทร์นั้นครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือโดยรอบ กินอาณาเขตกว้างขวางยิ่งกว่าสองอาณาจักรรวมกันเสียอีก

ด้วยความที่ผลผลิตทางการเกษตรนั้นไม่ค่อยดีเนื่องจากพื้นที่ทางตอนเหนือนั้นทั้งแห้งแล้งและหนาวเย็นเกินกว่าจะเพาะปลูกได้ อาณาจักรเงาจันทร์จึงคิดขยายอิทธิพลลงมายังภาคตะวันออกซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า กษัตริย์เมซาดิอุสเคยยื่นเรื่องเจริญสัมพันธไมตรีไปแล้วหลายครั้ง ทว่ากษัตริย์ของอาณาจักรเงาจันทร์กลับปัดข้อตกลงนั้นทิ้งแล้วจัดทัพรุกรานอาณาจักรแสงจันทร์อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกษัตริย์ทัชชาคาลแห่งอาณาจักรเงาจันทร์สวรรคตลงด้วยโรคประจำตัว โอรสองค์โตได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน สนธิสัญญาเชื่อมพันธไมตรีจึงได้ถูกร่างขึ้นท่ามกลางความไม่พอใจของขุนนางหลายฝ่ายในอาณาจักรเงาจันทร์

“ฟาฮา ที่เชอเชสกังวลคือพวกขุนนางที่เป็นปรปักษ์กลุ่มนี้ใช่ไหม” ผมเอนหลังลงบนเบาะนุ่มที่เต็มไปด้วยกองหมอนใบใหญ่ บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมีสองในสี่องครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายรัชทายาทนั่งอยู่

ฟาฮาที่เป็นชายรูปร่างสูงโปร่งท่าทางสุขุมพยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนกางหนังสืออีกเล่มให้ผมได้ปวดหัวเพิ่มอีกรอบ

ต้องพลิกดิกฯ แปลอีกแล้วเรอะ!?

“ข้อมูล...ลับ?”

ผมมองภาษายึกยือบนตำราแล้วขมวดคิ้วมองหน้าคนที่ยื่นมาให้ เจ้าของเรือนผมสีเงินเหมือนแสงจันทร์เพียงพยักหน้ารับ คล้ายกับบอกว่าผมแปลได้ถูกต้องแล้ว

“นี่ฟาฮา ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คุณช่วยแปลให้ผมฟังเลยเถอะนะ ผมจมอยู่กับกองหนังสือพวกนี้มาสี่วันแล้ว ให้ผมอ่านมากกว่านี้รับรองผมได้อ้วกแน่”

คนที่นั่งกินขนมจิบน้ำชาอยู่ข้างๆ ฟาฮาหัวเราะออกมาเสียงดัง “พระชายาท่านก็กล่าวเกินไป การที่พระอาจารย์ซูลูให้ท่านศึกษาทั้งหมดนี่ด้วยตัวเองก็เพื่อตัวท่านล้วนๆ จะมาบิดพลิ้วเช่นนี้ไม่ได้นา ไม่งั้นข้าจะนำความนี้ไปทูลให้เจ้าชายทรงทราบด้วย”

ผมเบะปากใส่เจ้าดำที่มีนิสัยกะล่อนกวนตีนคล้ายไอ้ธาไม่มีผิด หมอนี่ชื่อ เซริม เจ้าตัวบอกว่าชื่อของเขาแปลว่า ร่าเริงสดใส เพราะบิดาตั้งชื่อให้เช่นนี้จึงทำให้เขามีรอยยิ้มสดใสราวดวงอาทิตย์ติดอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับฟาฮาที่เหมือนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางผืนนภาในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ช่างเป็นการจับคู่ที่ดูต่างกันสุดขั้วแต่ดูลงตัวที่สุดแล้วนับตั้งแต่ผมได้เคยเห็นมา

“ขี้ฟ้อง” ผมปาหมอนใบใหญ่ใส่เขา อดหน้าง้ำไม่ได้เมื่อท่อนแขนแข็งแรงยกมากันได้ทันก่อนที่หมอนใบนิ่มจะหล่นปุลงบนตักเขา หนึ่งในสี่องครักษ์เลยได้หมอนใบนุ่มไปเอนหลังนั่งสบายกว่าเก่า

“การศึกษาทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองย่อมเป็นประโยชน์ต่อท่านในภายภาคหน้า ท่านอย่าได้บอกปัดมันเลยขอรับ” ฟาฮาผู้จริงจังแย้งกลับด้วยเหตุผล ทำเอาผมต้องยอมยกดิกชันนารีขึ้นยอมแพ้ พวกใช้ชีวิตตรงดิ่งเหมือนไม้บรรทัดแบบฟาฮานี่รับมือยากกว่าพวกไร้สาระอย่างไอ้ธาเยอะเลย

“นี่ เซริม ทูตที่มาจากอาณาจักรเงาจันทร์มาถึงกันแล้วยัง?”

ผมพลิกหน้าดิกฯ หาศัพท์ไปพลางปากก็ทำงานถามนั่นนี่ไปด้วย เชอเชสบอกว่าคนพวกนั้นจะมาถึงในสามวัน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานกันแล้ว ผมที่ถูกปิดกั้นข่าวสารจากภายนอกจนหมดเลยอยากรับรู้ความเป็นไปสักหน่อย จะได้รู้ว่าข้างนอกนั่นเขาไปถึงไหนกันบ้างแล้ว

“มาถึงแล้วขอรับ เจ้าชายทรงจัดให้พวกเขาพักอยู่ที่เรือนรับรองทางปีกขวาของปราสาท ทั้งยังเพิ่มเวรยามตรวจตราให้แน่นหนาขึ้นอีกด้วย ท่านวีอย่าได้ทรงเป็นกังวลเลยขอรับ”

ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้กังวลอะไรอยู่แล้วในเมื่อเจ้าม่วงมักจัดการทุกอย่างได้รอบคอบเสมอ ดูอย่างการจัดที่อยู่ให้คนพวกนั้นเป็นตัวอย่างสิ เล่นแยกผมกับอีกฝ่ายอยู่กันคนละฟากฝั่งของปราสาทเลย กว่าจะหาตัวผมเจอได้ก็คงต้องเสียเวลาไปหลายวันพอดู หรือไม่ แม้แต่เงาหัวผมก็อาจจะไม่ได้เห็นเลยด้วยซ้ำ

“แล้วเชอเชสล่ะ ผมไม่เห็นหน้าเขามาหลายวันแล้วนะ”

ไหนๆ ก็ถามถึงคนจากต่างแดนไปแล้ว ก็ถามเพิ่มอีกหน่อยจะเป็นไร

“เจ้าชายทรงย้ายไปพำนักอยู่กับเจ้าชายนาเทลเป็นการชั่วคราวขอรับ” คิ้วของผมกระดิกขึ้นสิบองศา เงยหน้าขึ้นมองเซริมคล้ายกับต้องการขอคำอธิบายเพิ่มว่าทำไม เซริมเลยต้องพูดต่ออย่างขัดไม่ได้ “อย่าทำหน้าตาคาดคั้นเช่นนั้นสิขอรับ ข้าเองก็ไม่ทราบว่าทำไม รู้แต่นี่เป็นคำสั่งขององค์ราชินีโดยตรง...”

คำสั่งของคุณตาณ?

“องค์ราชินีน่าจะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของท่าน จึงให้เจ้าชายย้ายไปพำนักอยู่ที่อื่น จะได้ป้องกันการถูกสะกดรอยตามน่ะขอรับ” ฟาฮาลองวิเคราะห์ความเป็นไปได้ ซึ่งฟังดูมีเหตุมีผลดีจนผมเผลอพยักหน้าเออออตาม

“ทรงคิดถึงเจ้าชายจนทนมิไหวแล้วหรือท่าน?”

เจ้าดำเซริมสบโอกาสย้อนถามกลับจนผมแทบทำพจนานุกรมหลุดมือทุ่มใส่หน้าคนพูด

“ตลกแล้ว ใครคิดถึงใคร ไม่มีเหอะ!” ผมเถียงคอแข็ง เรียกรอยยิ้มเหมือนรู้ดีของเซริมกับรอยยิ้มมุมปากจางๆ จากฟาฮาได้ในประโยคเดียว “อะไร... ทำหน้าอย่างนี้ไม่เชื่อกันเรอะ!?”

“เชื่อขอร้าบ เชื่อแล้วขอร้าบ” เซริมรีบยกมือขึ้นยอมแพ้ก่อนใครเมื่อเห็นผมยกหนักสือเล่มเท่าตึกเตรียมปาใส่คนพูดไม่เข้าหู แต่รอยยิ้มที่กระจายเต็มหน้าไปหมดทั้งปากทั้งตานี่มันยังดูขัดหูขัดตาพิลึก

ผมว่าผมน่าจะลองทุ่มของในมือใส่เจ้าดำดูสักทีนะ หึหึหึ

“ท่านวี! ข้ายอมแล้วๆ โปรดวางสารานุกรมในมือท่านลงเถิดขอรับ ข้ายังอยากใช้ชีวิตนี้ถวายการรับใช้ท่านเชอเชสอยู่นะ!”

เจ้าดำรีบเผ่นไปหลบหลังฟาฮาที่ยกน้ำชาขึ้นจิบสบายใจเฉิบ ผมพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจ คิดว่าหลังจากนี้คงสบายหูไปอีกสองถึงสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยิบชาหอมขึ้นมาจิบกับเขาบ้าง สององครักษ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รีบลุกพรวดขึ้นมาขนาบผมคนละข้าง ดาบสองมือถูกชักออกมาจากฝักตั้งท่าระวังเต็มที่ ผมที่นั่งมองสลับระหว่างสองคนนั้นยังไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าต่างบานใหญ่ที่ทำเป็นทรงโค้งสวยงามจนเกือบจรดเพดานก็แตกเพล้งจนเศษกระจกกระจายเต็มพื้น คนในชุดดำจำนวนไม่ต่ำกว่าเจ็ดคนพุ่งทะลุเข้ามาทีละคนสองคน ไม่นานนักก็ยืนจังก้าประชันกับสององครักษ์ที่มองผู้มาเยี่ยมเยือนโดยไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเย็นเยียบ

ผมรีบซดชาในถ้วยสองอึกเติมพลังก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้กิน...

เพราะดูจากสภาพการณ์แล้วพวกเขาคงจะเปิดศึกกันในห้องนี้แน่แล้ว!

“ปล่อยให้พวกเราตามหาตัวกันเสียตั้งนาน ที่แท้พระชายาผู้มาจากโลกอื่นทรงประทับอยู่ที่นี่นี่เอง”

เสียงแหบแห้งคล้ายคนเป็นหวัดกล่าวประโยคที่ดูยังไงก็เป็นตัวร้ายออกมา ไม่ว่าจะที่ไหนๆ คำพูดของพวกผู้ร้ายก็มีแต่แพทเทิร์นเดิมๆ ไม่ยักกะมีอะไรแปลกใหม่ให้น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นมาบ้างเลย น่าเบื่อชะมัด

“เชิญเสด็จไปกับพวกกระหม่อมแต่โดยดีเถิด มิอย่างนั้นอย่าหาว่าทางเราไม่เตือน” ชายชุดดำที่ผมนับจนถี่ถ้วนดีแล้วว่ามีสิบสองคนยื่นข้อเสนออันน่าหนักใจมาให้ ผมถามคุณหน่อยเถอะนะ ว่าถ้ามีผู้ร้ายมาบอกให้คุณยอมไปกับเขาดีๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขามีเจตนาไม่ดี เป็นคุณ คุณจะไปกับเขาหรือเปล่า

ผมตอบให้เลยละกัน...ไปก็โง่แล้วเฟ้ย!

“ฟาฮา เซริม พวกนายจะรับมือกันไหวหรอ ทางนั้นเขามากันตั้งสิบสอง”

“สิบสามต่างหากขอรับ” เจ้าดำช่วยพูดแก้ให้ ผมถึงได้สังเกตเห็นว่ามีอีกหนึ่งยืนรออยู่ตรงระเบียง ไม่ได้เข้ามาร่วมสังสรรค์กับคนอื่นๆ ในห้องด้วย

“เลขมงคลชิบหาย”

ทางนี้มีแค่สาม แต่อีกฝั่งล่อไปซะหนึ่งทีมฟุตบอลที่แถมโค้ชกับกรรมการมาด้วย เจริญล่ะไอ้วี รอดงานนี้ไปได้ไม่รู้ต้องถวายหัวหมูให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สักกี่หัวถึงจะพอ

“ท่านวี รีบเรียกท่านเชอเชสเถิดขอรับ อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ พวกข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะต้านรับกันได้นานแค่ไหน” ฟาฮาหันมาพูดกับผมเสียงเบา เจ้าตัวยกดาบสองมือไขว้กันตั้งท่าระวังเตรียมพร้อมตลอดเวลา

“ได้ เดี๋ยวผมไปตามเชอเชสให้ รอแป๊บนึงนะ” ผมรีบหมุนตัวจะวิ่งออกนอกประตู แต่กลับถูกเจ้าสีเงินคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน ฟาฮาถอนใจหนักๆ หนึ่งทีก่อนช่วยเตือนความทรงจำให้ผม

“ท่านวีขอรับ อย่าลืมสิว่าท่านได้ทำพันธสัญญากับเจ้าชายไปแล้ว”

พูดถึงพันธสัญญา ภาพที่ผมถูกจับจูบก็แล่นแว้บขึ้นมาในหัวจนได้ยินเสียงบึ้มเบาๆ คล้ายมีภูเขาไฟระเบิดตูมอยู่ข้างใน ผมรีบละล่ำละลั่กบอกว่าจริงด้วย ก่อนหลับตาตั้งสมาธิ ติดต่อเชอเชสผ่านทางโทรจิตทันที

'เชอเชส นายอยู่ไหน เกิดเรื่องแล้วววววว!!!'

ผมพยายามตะโกน(ในใจ)ให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เชอเชสเคยบอกไว้ว่ายิ่งคิดดังเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งได้ยินผมชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผมเลยแหกปาก(ในใจ)ไปซะสุดเสียง เพียงเสี้ยวนาทีคนที่ผมร้องเรียกก็ตอบกลับมา

'ข้าทราบเรื่องแล้วครับ มีใครบางคนฝ่าเขตอาคมที่ข้าสร้างไว้เข้าไป ตอนนี้ข้ากับทิชาและจาเรลกำลังนำกำลังพลส่วนหนึ่งไปที่นั่นครับ' น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูร้อนรนอยู่ในที ผมเลยรับคำเขาว่าจะอดทนรอจนกว่าเขาจะมา แต่ก่อนหน้านั้น...

“เหวอ!!!!”

ตัวผมทั้งตัวโดนเซริมเหวี่ยงไปกระแทกกำแพง ขอบอกเลยเจ็บและจุกมาก อยากให้ผมออกนอกวงโคจรบรรดามีด ดาบ และอาวุธก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องจับทุ่มกันแบบนี้เลย!

“ขออภัยด้วยขอรับ ไว้ข้าจะมารับโทษทีหลังนะ” เจ้าดำแหกปากพูดกับผมขณะหมุนตัวฟันผู้บุกรุกได้แผลไปชุดใหญ่ สององครักษ์ประจำองค์รัชทายาทฝีมือแก่กล้าขนาดไหน วันนี้เองผมเพิ่งจะได้ประจักษ์

เซริมผู้ขี้เล่นเคลื่อนไหวได้รวดเร็วดุจสายลม เพียงแค่เขาพลิ้วกายก็ฝากคมมีดเข้าเชือดเฉือนอริศัตรูได้ในดาบเดียว ส่วนฟาฮาผู้สุขุม ผมเคยคิดว่าวิถีดาบของชายคนนี้จะต้องงดงามหมดจดแน่นอน แต่ฟาฮาในเวลานี้กำลังทำให้ผมตะลึงกับความดุดันที่เขาถ่ายทอดออกมาผ่านเพลงดาบที่ทั้งแม่นยำและไม่ละเว้นใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในวิถีดาบ ประกายตาสีฟ้าของเจ้าสีเงินเรืองวาบจนผมที่แอบชมอยู่ชิดติดขอบสนามถึงกับพรั่นพรึงขึ้นมา รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

ฟาฮา ผมขอสาบานไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าผมจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เถียงคุณอีกแล้วนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ฮือออ พี่แกโหดสลัดโคตรพ่อโคตรแม่เลยค้าบบบบบ

ใช้เวลาเพียงระยะสั้นๆ อัตราสิบสามต่อสาม(ผมขอนับตัวเองเข้าไปด้วยน่า) ก็ลดปริมาณลงจนน่าใจหาย ตอนนี้มีชายชุดดำสละสิทธิ์ออกจากการต่อสู้ไปแล้วแปดคน เหลืออีกสี่ ถ้านับคนที่ยังยืนอยู่ตรงระเบียงไปด้วยก็เป็นห้า ถ้าจบจากตรงนี้ไปแล้วผมจะให้เชอเชสมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่สองคนนี้ไว้เป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยได้ประมือกับคนโฉดร่วมกันรวมทั้งสิ้นสิบสามศพ นับเป็นวีรกรรมที่น่ายกย่อโดยแท้

ฟาฮากับเซริมจงเจริญ เฮ~

“ท่านผู้นำ เอายังไงต่อดีขอรับ”

หนึ่งในชายชุดดำถอยร่นลงไปถามคนที่ยังยืนคุมเชิงอยู่ เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่ต่อให้ปกปิดร่างกายด้วยชุดทึมทึบสีดำทั้งร่างก็ยังแผ่อำนาจความน่าเกรงขามออกมาไม่หยุด ชายคนนั้นไม่ตอบอะไร เพียงแต่เดินเข้ามาพร้อมกับดาบใหญ่ในมือที่ถ้ามันถูกเหวี่ยงเป็นวงกว้างสักครั้ง โต๊ะรับแขกและชุดน้ำชายามบ่ายของผมคงกระจายในดาบเดียว

“ชายาผู้มาจากโลกเอ๋ย ข้าจะให้เจ้าตัดสินใจอีกครั้ง” เพียงเสียงแหบพร่าที่เหมือนอสูรกายเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ ตัวผมก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขาสองข้างอ่อนแรงลงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ “จะไปกับข้า หรือจะทิ้งศพองครักษ์ของเจ้าไว้ที่นี่ จงเลือกเอา”

ความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่บีบคั้นให้ทั้งห้องจมอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัด ผมลอบสังเกตอาการของเจ้าดำและเจ้าสีเงิน ทั้งสองยังคงตั้งท่าขวางทางระหว่างผมกับพวกชายชุดดำเอาไว้ ภายนอกอาจดูมั่นคงเหมือนไม่มีอะไรมาสั่นไหวพวกเขาได้ แต่ถ้าลองเพ่งมองดูให้ดีจะพบว่าใบหน้าขาวของฟาฮามีเม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มไรผม ส่วนเซริมก็มีสภาพไม่สู้ดีไปกว่ากัน องครักษ์ที่แข็งแกร่งจนล้มคนแปดคนได้ในระยะสั้นๆ ตอนนี้ทำได้เพียงแต่ยืนคุมเชิง ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา

“ฟาฮา เซริม...” ผมกำมือแน่น มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ผมต้องเลือกว่าจะไปฝั่งนั้นด้วยตัวเอง หรือจะให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาชิงตัวผมไป

ถ้าเป็นอย่างหลัง คนๆ นั้นต้องไม่ละเว้นเจ้าดำกับเจ้าสีเงินไปแน่!

“ท่านวี ต่อให้พวกข้าต้องตายก็อย่าได้คิดก้าวขาไปฝั่งนั้นเชียวนะขอรับ” เจ้าสีเงินใช้ดาบยาวเล่มหนึ่งขวางทางผมไว้ ราวกับรู้ดีว่าผมจะตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆ ออกไป

“ใช่แล้วๆ อย่าได้ตัดสินใจเช่นนั้นเชียวนา ไม่งั้นล่ะเจ้าชายได้เล่นพวกข้าถึงตายแน่” เจ้าดำสำทับอีกคน มีพูดติดตลกอีกด้วยว่า ถอยก็ตาย ไม่ถอยก็ตาย อย่างน้อยก็สู้ให้รู้ผลแพ้ชนะไปเลยดีกว่า อย่างน้อยถ้าตายก็จะได้ตายอย่างสมเกียรติ

เกียรติบ้านเอ็งน่ะสิ! ผมจะไม่ยอมให้ใครต้องมาตายทั้งนั้นแหละ!

'เชอเชส ถ้าขืนนายยังไม่โผล่หัวมาภายในสามนาที จากนี้เราหย่ากัน!'

เพียงแค่ส่งผ่านความคิดนั้นไปในหัว ประตูห้องที่ปิดสนิทมาโดยตลอดก็ถูกกระแทกผ่างเปิดออก ร่างของชายชุดดำจำนวนห้าหกคนล้มกลิ้งเข้ามาในสภาพวิญญาณออกจากร่าง ก่อนคนที่ผมเรียกหา(ในใจ)จะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าด้วยมาดเจ้าชายขี่ม้าขาว

“ท่านวี งานอภิเษกยังไม่ทันเริ่มท่านก็คิดจะหย่าขาดจากข้าแล้วหรือ ใจร้ายเหลือเกินนะครับ”



-----------------------------------------------------------
ขู่ปุ๊บมาปั๊บ ไม่ต้องบอกเลยว่าในอนาคตข้างหน้า ใครจะเป็นผู้กุมอำนาจมืด เอ๊ย อำนาจสูงสุด 55555  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 24-12-2015 21:49:23
 :mew3:

ผู้บุกรุกม่องเท่งไปแล้ว ที่เหลืออยู่นี่.......คงไม่ใช่รัชทายาทหรือพวกเชื้อราชวงศ์จากฝั่งนู้นหรอกนา??
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Far Far Away ที่ 24-12-2015 21:51:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 24-12-2015 22:22:27
 :pig4: :pig4: :pig4: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 24-12-2015 22:34:16
สนุกจังเลย   o13
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 24-12-2015 22:42:10
เชอเชสสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 24-12-2015 22:55:35
มารอๆ ต่อเลยๆ แหมมาช่วยช้าจังเลยนะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 24-12-2015 23:16:28
สนุกๆๆ อยากอ่านอีก ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 24-12-2015 23:30:00
พระชายาวี คือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงสินะ 555
หน้าสิ่วหน้าขวาน แต่น้องวีก็ยังบรรยายให้ฮาได้อีกนะ
เชื่อว่าเจ้ายักษ์นั่น เชอเชสจัดการได้ไม่ยากหรอก แค่นี้จิ๊บ ๆ เนอะ
แต่ต้องมีตัวที่ร้ายกาจกว่านี้ตามมาแน่ ๆ ต้องเตรียมรับมือให้ดี
ชอบองค์รักษ์ฟาฮากับเซริมอ่ะ มีนิสัยเฉพาะตัวดีจัง เก่งมาก ๆ ด้วย
แล้วอีกสองคนที่เหลือจะนิสัยยังไงนะ อยากรู้แล้ว
ตัวละครในเรื่องนี้แต่ละคนนี่นิสัยน่าสนใจทั้งนั้นเลย ยาอุลก็ด้วย
ยังสงสัยเรื่องที่คุณตาณ เป็นราชินีที่ไม่ได้รักราชาอยู่เลย
แต่ขนาดไม่ได้รัก ก็ยังมีลูกด้วยกันตั้งสี่คนเชียวนะ อะไรยังไง
ว่าแต่ พอแต่งเป็นชาวแสงจันทร์แล้ว ผู้ชายก็คลอดลูกได้งั้นเหรอ
แล้วยังติดใจ เรื่องที่คุณตาณให้เชอเชสไปอยู่กับนาเทลชั่วคราว เพราะอะไรอ่ะ
แหม สงสัยหลายเรื่อง ต้องรอติดตามตอนต่อไปเนอะ
สนุกมาก ๆ ชอบมากเลย  ขอบคุณนะคะ  :L1:

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-12-2015 23:38:10
กรี๊ดด เชอเชสเท่มากกก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 24-12-2015 23:43:59
หวังว่าจะช่วยหนูวีได้นะ ลุ้นนนน
ดูท่าเชอเชสมีแววเคารพเมียนะในอนาคต 555

"ผมรีบซดชาในถ้วยสองอึกเติมพลังก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้
กิน"

>>>>อันตรายมาแกยังห่วงกินอีกเรอะพระชายา ยอมใจจริงๆ 55555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 25-12-2015 00:17:36
นั่นสิ รีบหย่าจังเลยยย ยังไม่แต่งเลยนะท่านวี  :hao3:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 25-12-2015 00:26:53
เจ้าม่วงจัดการเลย ...เจ้าชายแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง .... อ่านชื่อเรื่องนี้ทีไรก็อดนึกถึงเซเลอร์มูนไม่ได้ทุกที
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 25-12-2015 04:22:35
ทันใจจริง เชอเชส. กลัวโดนหย่าว่างั้น555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 25-12-2015 10:11:48
วีเชอเชส
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.9::: Update 24/12/2015 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 25-12-2015 20:27:27
 :ruready
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -10-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 25-12-2015 22:40:47
-10-
เทพผู้ถูกลักพา




เชอเชสเดินยิ้มอ่อนใจเข้ามาช่วยฉุดผมลุกขึ้นจากพื้น เขาสำรวจตัวผมโดยรอบว่ามีส่วนใดบุบสลายไปบ้างหรือเปล่า พอเห็นว่าร่างกายยังอยู่ดีครบสามสิบสอง ไม่มีบาดแผลตรงไหนให้หนักใจ บ่าทั้งสองข้างของเขาจึงค่อยผ่อนคลายลง

“ขออภัยที่มาช้านะครับ”

เอ่อะ เชอเชส... อย่าเพิ่งส่งตาหวานมาให้ผมตอนนี้ได้ไหม คนอื่นๆ เขามองพวกเราอยู่นะ

ความคิดของผมดูเหมือนจะส่งไปถึงกระต่ายขี้ห่วงตรงหน้า เชอเชสสะดุ้งเบาๆ เหมือนนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ควรจัดการเจ้าพวกวายร้ายที่อาจหาญบุกรุกเข้ามาเสียก่อน เขาจึงได้หันกายไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่แค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมาเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร

“นับเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก ที่เจ้าชายรัชทายาทเสด็จมาประทับตรงหน้าข้าเยี่ยงนี้”

เขาทำทีเป็นค้อมหัวให้ด้วยความเคารพ แต่ดูก็รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำไปงั้น ในฐานะศัตรูที่กล้าบุกเข้ามาชิงตัวคนถึงห้องส่วนตัวของเจ้าชายรัชทายาท ซ้ำยังกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าถิ่นที่พกทหารมาด้วยไม่ต่ำกว่ายี่สิบนายโดยไม่หวั่นไหว นับว่าเป็นวายร้ายที่ใจเด็ดโคตรจนน่ายกนิ้วให้

“จงกลับไปบอกนายของเจ้าซะ ว่าพระชายาไม่ประสงค์จะไปร่วมวงสนทนากับเขาเป็นการส่วนตัว หากต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนพันธไมตรีกัน จงเดินเข้าประตูวังอย่างเปิดเผย มิใช่อำพรางหน้าตาแล้วบุกรุกเข้ามาเยี่ยงโจรถ่อยเช่นนี้!”

เจ้าชายลำดับสามพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก แผ่นหลังของเขาที่ขวางกั้นระหว่างผมกับพวกชายชุดดำเอาไว้ดูยิ่งใหญ่ดุจขุนเขายามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ผมมองเจ้าม่วงอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเชอเชสในมาดเจ้าชายจะสุขุมและดูเด็ดขาดได้ขนาดนี้มาก่อนเลย

“เกรงว่าจะมิได้ แม้ข้าจะต้องตกตายอยู่ที่นี่ก็จำต้องทำงานให้สำเร็จให้จงได้!”

น้ำเสียงอันน่าครั่นคร้ามกดให้อากาศรอบด้านดิ่งลงจนหนาวเยือก แววตาที่ผ่านประสบการณ์มามากมายโชนแสงอันตรายออกมา มือใหญ่ควงดาบในมือด้วยท่วงท่าอาจหาญชำนาญ ทหารหาญที่เชอเชสพามายังไม่ทันจะขยับเท้าเข้าปะทะ เจ้าวายร้ายระดับบิ๊กบอสในความคิดผมก็เหวี่ยงดาบเป็นวงกว้างฟันเครื่องเรือนสุดหรูตรงหน้ากระจายในดาบเดียว

ชุดน้ำชายามบ่ายของผมกลายเป็นเศษแก้วลอยละลิ่ว เซ็ทโซฟารับแขกกลางห้องพลันกลายเป็นกองไม้บินตามไปติดๆ น่ากลัวว่าถ้ายังไม่ถนอมพื้นที่ในบริเวณนี้ให้ดี ห้องของเชอเชสในวันนี้อาจได้เหลือแต่เศษซากในวันหน้า แต่ดูท่าเจ้าชายลำดับสามจะหาได้ใส่ใจห้องนอนของตัวเองที่กำลังจะโดนพังในอีกไม่ช้าไม่ เขาเพียงแต่สั่งให้ทุกคนตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือ

“นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย จงยอมแพ้แล้วกลับไปหานายของเจ้าซะ!” เจ้าชายขี่ม้าขาวของผมชี้ปลายดาบประดับอัญมณีสีม่วงไปทางศัตรู ท่วงท่าห้าวหาญดุจนักรบอาชาศึกที่ผมเคยดูในซีรี่ย์กับแม่ไม่ผิดเพี้ยน

ทางฝั่งวายร้ายก็หาได้สนใจคำขู่แต่อย่างใด ชายร่างใหญ่ยังคงควงดาบพร้อมกวาดทุกคนที่เข้าใกล้ให้ไปสู่ปากทางยมโลกอย่างต่อเนื่อง สายลมกรีดร้องรุนแรงดุจวิญญาณโหยหวน ไม่จำเป็นต้องให้สัญญาณอันใดต่อกัน เพียงหนึ่งคนขยับ อีกคนก็พุ่งเข้าปะทะโดยพลัน

เชอเชสเป็นฝ่ายประชิดถึงตัวอีกฝ่ายก่อน เขากวาดดาบในแนวราบวาดผ่านกลางลำตัวด้วยความเร็วที่ผมเห็นเป็นเพียงเส้นแสงสีเงินเท่านั้น ดาบใหญ่งัดขึ้นปัดป้องจนเกิดช่องว่างซ้ายขวา สองในสี่องครักษ์ประจำตัวองค์รัชทายาทไม่รอช้ารีบแท็คทีมเข้าฟาดฟันทันที

เคร้ง!

เสียงดาบปะทะดาบดังกังวานจนน่าใจหาย เจ้าพวกลูกกระจ๊อกชุดดำที่เหลืออีกสี่คนไม่ยืนเฉยให้ลูกพี่ของพวกเขาพลาดท่าเสียทีโดยง่าย ต่างฝ่ายต่างงัดอาวุธขึ้นตั้งรับและโต้กลับอย่างรุนแรง ฟันขวาหมายเรียกเลือด ฟาดซ้ายกะเอาถึงชีวิต หน้าผมหันซ้ายบ้างขวาบ้างตามติดสถานการณ์ที่เห็นเป็นเพียงเส้นแสงแว้บว้าบผ่านไปมา ทหารที่เชอเชสพามาด้วยทำได้เพียงยืนคุ้มครองผมเหมือนโล่ชีวิต ไม่คิดจะเข้าไปบู๊ล้างผลาญกับพวกแนวหน้าด้วยเพราะสกิลอาจยังไม่ถึงขั้น เข้าไปก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งลูกเดียว

ว่าแต่... ส่วนสูงของพวกคุณกำลังบังผมอยู่นะรู้มั้ย ย่อตัวลงกันหน่อยสิเฟ้ย เดี๋ยวผมก็พลาดฉากสำคัญหมดหรอก!

“ฝีมือดาบของเจ้าชายสามแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ วันนี้ตัวข้ามีบุญได้เชยชมสักครั้ง นับว่าเป็นวาสนาแก่ตัวข้าแล้ว”

ผู้บุกรุกที่เลือดกระฉูดซ้ายขวาราวกับน้ำพุกล่าวยกย่องเจ้าม่วงของผมที่กระโดดออกมาคุมเชิงอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง สภาพตั้งแต่หัวจรดเท้าดูเละไม่ได้ด้อยไปกว่าฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิด ท่อนแขนเลือดอาบจนเนื้อผ้าสีขาวถูกย้อมกลายเป็นสีแดง โลหิตหยดลงพื้นจนกลายเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อม ผมแทบกระโดดเข้าไปกระชากเจ้าม่วงออกมาแล้วพาไปส่งให้ถึงมือหมอ แต่พลทหารในชุดเหลืองกลับรั้งตัวผมเอาไว้ไม่ให้ทำตามที่ใจคิด

เจ้าพวกบ้า เจ้านายของพวกนายใกล้จะตายแล้ว ไม่ช่วยก็อย่ามาขวางได้มั้ย!

ทันทีที่ผมร้องโวยวาย(ในใจ)ออกไปพลางดิ้นหนีจากการกักกุมของคนฝั่งเดียวกัน เสียงของคนที่ผมเพิ่งบอกว่าเขาจะตายก็ดังขึ้นในหัวปลอบให้ผมสงบสติอารมณ์

'บาดแผลแค่นี้เล็กน้อยนัก อย่าได้ร้องไห้เลยครับ ท่านวี'

เล็กน้อยที่ไหนกันเจ้าบ้านี่! เลือดนายจะไหลหมดตัวอยู่แล้ว ยังจะมาทำเป็นเท่ห์อีกนะ! แล้วใครบอกว่าผมร้องไห้ ผมไม่ได้ร้องสักหน่อย นี่น่ะ...เพราะพวกนายฟันกันซะเละขนาดนั้น เศษไม้มันเลยกระเด็นมาทิ่มตาผมต่างหาก!

เชอเชสหัวเราะในลำคอกับคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นของผม ก่อนสั่งเจ้าสีเงินที่ยืนคุมเชิงอยู่อีกด้านผ่านคำพูด

“ฟาฮา มารักษาบาดแผลให้ข้าที”

หนึ่งในสี่องครักษ์รับคำกระโดดกลับมาใช้เวทย์รักษาให้รวดเร็วยิ่งกว่ารถด่วน พลังฟื้นฟูของฟาฮาน่าทึ่งมาก เพียงแค่เขาร่ายคาถาด้วยถ้อยคำนุ่มนวล ทาบทับฝ่ามือที่อาบด้วยลำแสงสีทองเรืองรอง เลือดที่ไหลเป็นน้ำก๊อกพลันหยุดไหล รอยแผลที่เกิดจากคมมีดค่อยๆ สมานตัวจนปิดสนิท เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยเบาบางที่อีกไม่นานก็คงหายสนิท

ผมที่ดิ้นพราดๆ เหมือนปลาโง่เมื่อครู่ไม่รู้จะเอาหัวไปมุดรูที่ไหนเลย...

เชอเชสหันมายิ้มหล่อให้ผมหนึ่งทีก่อนจะยกปลายดาบชี้ไปที่ชายชุดดำอีกรอบ แม้ตัวจะเต็มไปด้วยคราบเลือดแต่ก็หาได้ลดทอนอำนาจที่มีอยู่ในตัวลงแต่อย่างใด

“หากเจ้ายังยืนกรานไม่ล่าถอยจากไปแต่โดยดี เห็นทีที่นี่คงต้องเป็นที่ฝังศพของเจ้าแล้ว”

น้ำเสียงของเจ้าม่วงไม่มีแววล้อเล่นหรือคิดยั้งมือไว้ไมตรีอีกต่อไป แต่ว่า...เอาจริงหรอเชอเชส นี่ห้องนอนของนายเลยนะ นายคิดจะฝังศพเจ้านั่นที่ห้องนอนของนายรึ? แล้ว...แล้วผมที่ต้องนอนที่นี่เหมือนกันล่ะเฮ้ย!?

เจ้าม่วงดูเหมือนจะอมยิ้มนิดหน่อยก่อนเสียงจากปลายสายที่ยืนเท่ห์อยู่ตรงหน้าจะดังขึ้นมาในหัว

‘ชายาของข้าช่างคิดได้รอบคอบยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะยั้งมือไว้หน่อยแล้วกัน’

ย๊ากกกก เจ้าม่วง...เจ้าม่วงมันเรียกผมว่าชายาของเขาอีกแล้ว! จะต้องให้บอกอีกกี่รอบว่าฉันยังไม่ใช่ของนายน่ะห๊าาาา!

เสียงหัวเราะของเชอเชสดังหลอนในหัว ดูท่าเขาจะสนุกกับการแกล้งผมในเรื่องนี้มาก

‘วันนี้เป็นแค่เพียงในนามไปก่อน ไว้หลังผ่านพ้นพิธีอภิเษกไปแล้ว ข้าจะรอชมว่าท่านยังจะพูดคำนี้ได้อยู่หรือไม่’

'หยุด! เรื่องนี้หยุดพูดไปเลย แล้วไปสู้กันนอกห้องซะ แค่นี้ห้องก็เละจนไม่รู้จะเละยังไงแล้ว!' ผมแทบคำรามออกมาเป็นไฟใส่หัวเจ้าชายรัชทายาทของอาณาจักรนี้ เชอเชสหันมามองยิ้มๆ ก่อนเดินเข้ามารวบตัวผมขึ้นด้วยท่าประจำที่ผมชักจะชินกับมันแล้ว

ซ้อมอุ้มเข้าไป ไอ้ท่าเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวเนี่ย!

“ไม่อยากให้ห้องของเรารกเลอะเทอะก็ไม่บอกเสียตั้งแต่แรก” เจ้าม่วงก้มลงยิ้มให้ผมตาแทบปิด ผมนี่เริ่มเหงื่อแตกซิก ไม่ชอบเลยเวลาที่เจ้าม่วงนี่เผยยิ้มโรคจิตออกมา

“ฮ..เฮ้ย นายจะทำอะไรน่ะ อุ้มผมทำไม ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!”

สี่องครักษ์ยืนคุ้มกันอยู่ตรงหน้า รายล้อมด้วยเหล่าทหารในชุดเหลืองที่ถูกฝึกขึ้นมาให้คุ้มครองราชนิกุลโดยเฉพาะ ตรงหน้าเป็นพวกชายชุดดำที่ยังเหลือกันอยู่สามคน ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้... มันใช่เวลามาอุ้มผมทำตัวสวีทต่อหน้าคนอื่นไหมห๊าาาา!???

“ใช่แบบนั้นเสียเมื่อไหร่เล่า ข้าไม่วางใจปล่อยให้ท่านอยู่ข้างบนนี้คนเดียวต่างหาก”

สองเท้าของเจ้าม่วงเริ่มออกเดิน ย่ำตรงเข้าไปหาเจ้าผู้ร้ายเหมือนจะเสิร์ฟผมให้อีกฝ่ายถึงมือ

“อย่าได้กังวลไป ข้าไม่ยอมให้ชายาของข้าตกไปถึงมือคนอื่นเด็ดขาด” เชอเชสให้คำมั่นกับผม ฟังดูพระเอกม๊ากมาก ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงเคลิ้มไปแล้วกับประโยคเมื่อครู่ที่เขาเอ่ยออกมา

แต่ขอโทษ ผมเป็นผู้ชาย เลยไม่หวั่นไหวไปกับคำหวานที่เจ้าม่วงพูดมาเลยสักกะนิด

“ไม่เลยสักนิดหรือ?”

“ใช่”

“งั้นตอนที่จูบกับข้าเล่า... ตอนนั้นท่านหน้าแดงได้น่ารักมากเลยรู้ตัวไหมครับ”

จ...เจ้าบ้านี่ มาพูดอะไรในเวลานี้ห๊าาาา!

“กำลังใจก่อนออกรบไงครับ” เจ้าม่วงยิ้มตาปิด ก่อนเปลี่ยนเป็นใบหน้าจริงจัง สั่งให้องครักษ์ทั้งสี่เปิดทางให้แล้วออกวิ่งกะปะทะเข้ากับอีกฝ่ายจังๆ ทั้งที่ยังอุ้มผมอยู่ในมือ!

“ย๊ากกกกก เชอเชส นายจะบ้าไปแล้วเร้ออออออออ”

ผมกอดคอเจ้าม่วงแน่น หลับตาปี๋ แอบเห็นแว้บๆ ว่าฝ่ายชายชุดดำเงื้อมือขึ้นสูงหวังฟันพวกเราให้ขาดในดาบเดียว

ในวินาทีที่ความเป็นกับความตายมาจ่ออยู่ตรงหน้า ผมได้ยินเชอเชสร่ายมนต์รัวเร็วก่อนคมดาบสีทองนับร้อยที่จู่ๆ ก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวห่าธนู ทิชากับฟาฮาตวัดดาบเก็บชายชุดดำไปได้อีกสอง เหลือแต่ตัวลูกพี่ที่หักเหวิถีดาบปัดป้องคมดาบที่พุ่งเข้ามาหมายไม่ตายก็พรุนเป็นตัวเม่น เจ้าสีม่วงยิ้มเย็นจนผมที่มองเขาจากมุมนี้รู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง

พ่อครับ แม่ครับ ต่อไปนี้ผมจะกล้าหือกล้าอือกับสามีคนนี้อีกไหม...

ไม่แค่องครักษ์พี่แกที่โหดสลัด ตัวเจ้าม่วงเองก็สลัดโหดไม่แพ้กันเลยครัช!!!!!!

จาเรลกับเซริมฉวยจังหวะที่เจ้าวายร้ายมัวแต่ปัดป้องคมดาบที่พุ่งเข้าใส่เหวี่ยงดาบเชือดเฉือนอีกฝ่ายจนกลายเป็นแผลยาวเหวอะหวะ ฤทธิ์คมดาบสองมือที่หนึ่งในนั้นเป็นฟันเลื่อยดูจะสร้างดาเมจให้ผู้บุกรุกได้อย่างสาหัส ดวงตาภายใต้เนื้อผ้าสีดำถึงได้ดูบิดเบี้ยวเจ็บปวดยิ่งนัก เขาถอยร่นจนถึงขอบระเบียง ก่อนจะถูกทิชากับฟาฮาไล่ต้อนจนพลัดตกลงไปจากชั้นสามของปราสาท ตามด้วยฝนทองห่าใหญ่ที่มาจากน้ำมือของเชอเชส

เจ้าชายลำดับสามกระโดดขึ้นไปเหยียบตรงขอบระเบียงที่วิวดีชิบหายแต่เวลานี้ก็น่ากลัวชิบหายไม่แพ้กัน ผมมองรอยยิ้มที่เจ้าม่วงจงใจใส่ความโรคจิตลงไปเต็มลิมิต ก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าถึงเวลาดิ่งเวหากันอีกแล้วคร้าบ~

ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก

ผมแหกปากได้ทุเรศไม่มีใครเกิน สองมือกอดคอเจ้าม่วงแน่น ขอเพียงเขาไม่ปล่อยมือผมผมก็จะยังอยู่ดีอวัยวะครบทุกส่วน แต่ต่อให้เขาปล่อยมือผมจริง มือผมก็ไม่ปล่อยหัวเขาให้หลุดมือหรอก ผมมั่นใจในมือที่เหมือนตีนตุ๊กแกของผมอยู่หรอกน่า!

“ท่านวีนี่...”

เชอเชสหลุดขำออกมาได้อย่างน่ารักเมื่อเท้าเหยียบลงพื้น แต่ผมไม่มองว่าเขาน่ารักหรอกนะ ในเมื่อเรายังมีคดีกันอยู่!

“ท่านจะน่ารักเกินไปแล้วนะครับ”

เขาประทับริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนหน้าผากผมที่มีเหงื่อผุดซึมเต็มพื้นที่ ได้ยินเสียงตุบๆๆๆ ตามหลังมาไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นสี่องครักษ์ที่เบือนหน้าหนีกันไปคนละทางเหมือนไม่อยากเห็นภาพแสลงตาที่กระโดดลงมาก็เห็นผู้ชายสองคนยืนจุ๊บหน้าผากกันอยู่

“พ...พันจันทรา”

เสียงเจ้าวายร้ายเองก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความตะลึงอย่างปิดไม่มิด สี่องครักษ์รุดหน้าเข้าประจำตำแหน่งยืนเหนือใต้ออกตกล้อมชายชุดดำเอาไว้ทุกทิศ สองมือถือดาบมั่น เตรียมพร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ

เชอเชสสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างที่นอนแผ่เหมือนหมูที่อยู่บนเขียง ผมถึงได้เห็นสภาพเละตุ้มเปะของเจ้าวายร้ายได้ถนัดตา เขานอนแผ่จมกองเลือด บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่สาหัสเอาการ เนื้อตัวบางจุดยังมีเส้นแสงสีทองที่เหมือนคมดาบปักอยู่ ผมมองเจ้าสิ่งนั้นด้วยความสงสัย หรือจะเป็นพันจันทราอะไรนั่นที่อีกฝ่ายพูดถึง?

“หึหึหึ ไม่นึกเลยว่าข้าคนนี้จะประมาทเกินไป ที่แท้เจ้าชายสามแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ไม่เพียงแต่อ่านใจคนเก่ง รู้จักใช้คนเป็น ยังมีวิชาพันจันทราอยู่ในกำมืออีกด้วย ฮ่าๆๆๆ สมแล้ว สมแล้วที่ชายาแห่งดวงจันทร์จะเลือกเจ้า!”

เอ่อ... ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาพล่ามอะไรอยู่ บอกตามตรง ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าม่วงนี่เป็นเจ้าชาย แถมยังบู๊เก่งอย่างกับพระเอกในละคร ไอ้พันจันทราอะไรนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพิ่งรู้เมื่อกี้จากปากนายนี่เอง

“เจ้าเลือกที่จะทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่เอง อย่าได้กล่าวโทษกันเสียล่ะ”

มืออุ่นร้อนเลื่อนขึ้นมาปิดตาผม คล้ายกับไม่อยากให้ผมได้เห็นความเย็นชาที่เจ้าตัวแสดงออกต่อหน้าอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญ

“ในเมื่อรับงานเช่นนี้มาแล้ว ย่อมต้องเตรียมใจรับความตายไว้อยู่แล้ว” เสียงทุ้มใหญ่หัวเราะอย่างรู้ชะตากรรม เสียงหัวเราะนั้นสะเทือนมาถึงใจคนฟังอย่างผมจนเผลอกัดปากแน่น ยกมือขึ้นปิดหูเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป

“หวังว่าเทพแห่งจันทราจะปราณีดวงวิญญาณของเจ้า”

สิ้นเสียงของเชอเชส ผมได้ยินเสียงฉึกๆๆๆ ดังติดต่อกันจนกระทั่งพื้นที่โดยรอบถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นคาวเลือด ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าน้ำตาผมไหลออกมาตอนไหน และเชอเชสพาผมออกมาจากที่นั่นเมื่อไหร่ รู้แต่ตอนที่ผมลืมตาขึ้น ดวงตาสีม่วงได้ทอประกายอ่อนโยนเหมือนเก่า รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลายังคงเป็นเชอเชสคนเดิมที่ผมรู้จัก

“ขออภัยที่ทำให้ท่านกลัวนะครับ”

เขาจับมือผมที่กำแน่นช่วยคลายออก ริมฝีปากสีส้มโน้มลงมาจูบที่ฝ่ามือผมแผ่วเบาราวกับมันจะช่วยให้รอยเล็บที่จิกลึกจนเกือบเรียกเลือดเลือนหายไปได้

ผมตั้งสติก่อนส่ายหัวเบาๆ โดยมีมือใหญ่ของเชอเชสตบหลังคอยปลอบโยน

“กลัวข้าหรือครับ?”

ผมส่ายหน้า

“ท่านวี...”

ในหัวผมคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ดังนั้นเชอเชสจึงอ่านความคิดที่อยู่ในหัวของผมไม่ได้ ในท่าทีของเขาจึงดูร้อนรนอย่างปิดไม่มิด

“ถ้าไม่ฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าพวกเราทั้งหมด”

ผมไม่อยากพูดว่าสิ่งเชอเชสทำมันถูกต้องแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เชอเชสทำมันผิด เพียงแต่...บนโลกกับดวงจันทร์นั้นยังมีความต่างกันอยู่มาก ทั้งขนมธรรมเนียมประเพณี ทั้งวัฒนธรรม การดำรงชีวิต แม้แต่การฆ่าฟันกันก็เห็นจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้แพ้นั้นต้องตาย

“ขออภัยที่ต้องให้ท่านมาเห็นอะไรแบบนี้นะครับ” อ้อมกอดของเชอเชสรัดผมแน่นขึ้น มันทั้งอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัย

“ผมเคยเห็นเรื่องพวกนี้แต่ในหนัง ไม่เคยคิด...ว่าวันหนึ่งจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้ต่อหน้า” ผมหลับตาลง พูดกับเขาอย่างอ่อนแรง และบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมา “เลยรู้สึก...ช็อคนิดๆ ล่ะมั้ง”

“ข้าเข้าใจดีครับ”

เขาปลอบผมจนผมเผลอหลับไปในอ้อมกอดอบอุ่นนั้น ครั้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องมาเจอกับข่าวร้ายที่ว่า

เทพกระต่ายถูกลักพาตัวไปแล้ว



--------------------------------------------------------
แอบดราม่าปิดท้าย มุ้งมิ้งทุกตอนเดี๋ยวเบื่อกัน  :hao7:

ปล. ใครที่แซวชื่อเรื่องนิยายเค้า ระวังเถอะ เชสซิโด้ กับ เซเลอร์วีจะตามไปลงทันฑ์คนแซวเอง! 55555555 
//คลานไปนอนเถอะ ฝันดีก๊าาา :katai5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 25-12-2015 22:44:40
เทพกระต่าย หรือ ว่าที่เทพกระต่ายคะนี่

 :ling1:

โดนจับตัวไปจะทำอะไร ไม่นะ ฮืออออออออ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 25-12-2015 23:05:47
น้องส้มเท่จริงๆ
คุณเชษฐ์โดนลักพาตัวซะงั้น
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-12-2015 23:38:12
เชสซิโด้โคตรเจ๋ง!

วีอย่าดื้อกับว่าที่สามีนะ เด๋ยวโดนลงโทษพันจันทราจะเดินไม่ได้เอา
 หืม?
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 25-12-2015 23:41:16
เกลียดคำว่าเชสซิโด้กะเซเลอร์555555555555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 25-12-2015 23:42:36
เทพต่ายไม่น่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 26-12-2015 00:20:23
โดนลักพาตัวไปตอนไหนอ่ะ  :katai1: :katai4:

เทพกระต่ายนี่ คนที่เป็นปัจจุบันไม่ใช่ธาใช่ป่าว?
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 26-12-2015 10:37:06
โอเอ็มจี เทพกระต่ายยยยยย คนไหนเนี่ย คนเก่าใช่ไหม ทำไมเป็นแบบนั้น ; _ ; ..
แอบสงสัยเรื่องราชินี(คุณตาณ)เหมือนกันค่ะว่านี่ไม่รักแต่มีลูก 4 คนนี่มียังไงหว่า หรือในดวงจันทร์ผู้ชายจะท้องได้ =O=!
รออ่านตอนต่อไปนะคะ ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักวีอ่ะ คนอะไรฮาตลอด ขนาดฉากบุ้หนูยังจะขำลงนะคะ
แล้วยิ่งเห็นคู่นี้สวีทกัน(ผ่านเสียงในหัว)แล้วยิ่งเขินเลย ; /////////// ; .. น่ารักมากกกกกกเลยค่ะ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 26-12-2015 12:31:16
คู่นี้น่ารักขึ้นทุกตอน อิอิ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 26-12-2015 14:58:24
วีคิดอะไรรั่วๆ เชอเชสรู้ทันหมด 555
เหมาะสมกันมากคู่นี้อ่ะ.....ว่าแต่ เทพต่ายโดนจับไป
รึว่าองค์ชายอาณาจักรนู้นแอบชอบเทพต่ายกันนะ//มโนล้วนๆ 555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-12-2015 15:09:31
ใครโดนจับนะ เทพต่าย หรือ ว่าที่เทพต่าย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 26-12-2015 15:49:01
ปกป้องคนนี้ อีกคนถูกหิ้วซะงั้น
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 26-12-2015 16:00:52
อ้าว
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 26-12-2015 17:06:40
สนุกอะชอบๆๆๆ
เวลาเขินกันก็น่ารัก
มาต่ออีกนะ รอๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: VampirezBadz ที่ 26-12-2015 18:49:06
รอๆๆๆ ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 26-12-2015 19:23:42
เทพคนไหนเอ่ย?
เก่าหรือใหม่
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 26-12-2015 20:44:42
รีบมาต่อเน้อ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10::: Update 25/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: bluelatte ที่ 27-12-2015 04:33:47
อะหือ ตามนุ้งวีมางับ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -11-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 27-12-2015 10:14:48
-11-
พันธมิตรซ่อนเร้นใต้กลุ่มเงาจันทร์




“คุณว่าไงนะ เทพกระต่าย...ถูกลักพาตัวไป?”

สมองผมมึนเบลอเหมือนประมวลผลไม่ทันอยู่สองวิ ปากพูดทวนคำคล้ายกับไม่เชื่อหู ก่อนหลับเพิ่งจะเจอเรื่องเลือดสาดสะเทือนไตไป ตื่นมาไม่ทันไรก็ดันมีข่าวที่ไม่ส่งผลดีอันใดต่อหัวใจดวงน้อยๆ นี่อีก

การใช้ชีวิตบนดวงจันทร์ของผมดูท่าจะยากและเยอะกว่าที่คิดเสียแล้ว!

“ขอรับ ทางเราเพิ่งได้รับรายงานเมื่อสองชั่วยามก่อนที่ท่านวีจะตื่น กลุ่มผู้บุกรุกได้แบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งลอบโจมตีหวังจะชิงตัวท่าน อีกหนึ่งบุกเข้าเรือนเทพกระต่ายเพื่อจับตัวท่านเทพเป็นตัวประกันไว้ต่อรองกับทางเราขอรับ”

ทิชา องครักษ์ผมแดงของเชอเชสเอ่ยรายงานที่ทำให้ผมอยากกลับไปนอนต่ออีกสักหนึ่งตื่น ข้างกายเขามีจาเรลองครักษ์คู่หูยืนนิ่งเป็นน้ำแข็งสลักประดับห้องให้บรรยากาศในห้องแลดูติดลบขึ้นไปอีกสามเท่า

“แล้วตอนนี้เชอเชสอยู่ไหนครับ?”

ผมถามถึงคนที่น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ เขาคงสั่งให้ทิชากับจาเรลคอยเฝ้าผมไว้ในห้องนอนใหม่ที่ตกแต่งได้หรูหราไม่แพ้ห้องเก่าขององค์รัชทายาท ส่วนตัวเองก็พาฟาฮากับเซริมแล่นไปไหนสักที่ เพราะตั้งแต่ตื่นมาผมไม่เห็นเงาของเจ้าดำกับเจ้าสีเงินเลย

“ท่านเชอเชสเสด็จไปเข้าเฝ้าพระราชาน่ะขอรับ ท่านมีบอกไว้ด้วยว่าให้ท่านวีพักผ่อนให้มากๆ อย่าได้ทรงกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างไรทางเราก็ต้องชิงตัวเทพกระต่ายกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ทิชาที่พูดด้วยง่ายกว่าเป็นฝ่ายโต้ตอบบทสนทนากับผมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนจาเรลที่ประหยัดคำพูดและไร้มนุษยสัมพันธ์ยิ่งกว่าฟาฮาเพียงหลับตาฟังอยู่ข้างๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเลยนับตั้งแต่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา

“ผมเข้าใจแล้ว ถ้ายังไงให้ยาอุล...”

ผมยังพูดไม่ทันจบว่าจะให้เจ้าสีเทาช่วยเตรียมอะไรร้อนๆ มากลั้วคอเสียหน่อย ก่อนสลบ แค่กๆๆ ก่อนที่ผมจะผลอยหลับไปดันเผลอแหกปากซะลั่นอาจดังไปถึงหน้าประตูวัง ตอนนี้ในคอเลยเหมือนถูกถมด้วยเม็ดทรายจากทะเลทรายซาฮาร่า ถ้าให้ผมเค้นเสียงพูดมากไปกว่านี้มีหวังวันรุ่งขึ้นคงได้เสียงเซ็กซี่ไม่แพ้หญิงใดในโลก แค่คิดก็น้ำตาจะไหล ผมเกลียดอาการเจ็บคอแบบนั้นที่สุด แต่ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่อยากให้ผมได้พักผ่อนอย่างที่ใจปรารถนา จึงได้ส่งมารพจญกระแทกประตูเข้ามาพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อผมด้วยเสียงที่บอกได้เลยว่าโคตรดัง

“ไอ้วี!”

เสียงมาก่อนตัว ผมเบิกตากว้างมองร่างในชุดขาวที่ก้าวไวๆ มาทางนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไอ้ธา!!!!”

ผมชี้หน้าไอ้ที่วิ่งถลาเข้ามาหา ข้างหลังมีเจ้าชายลำดับสองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์เดินหล่อๆ ตามมาด้วย “ทำไมมึงมาอยู่นี่ได้วะ ไม่ใช่ว่าโดนจับตัวไปแล้วเรอะ!?”

ฝ่ามืออรหันต์ตบหัวผมดังป้าบเล่นเอาสององครักษ์สะดุ้งโหยงอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับคนที่เพิ่งทำร้ายพระชายาของพวกเขาไปซะเต็มไม้เต็มมือ เจ็บจี๊ดจนผมต้องยกมือขึ้นกุมหัว วันไหนไม่ใช้แรงทำร้ายกันสงสัยหมาบ้าที่ชื่อไอ้ธาคนนี้คงนอนหลับฝันไม่ดีไปทั้งคืน เฮอะ

“ไอ้เวรนี่! ปากไม่ดีแช่งกูอีกนะ มึงไม่ได้ฟังที่เขารายงานรึไงวะ เขาบอกว่า ‘เทพกระต่าย’ ต่างหากที่ถูกลักพาตัวไป ตำแหน่งกูมันใช่ที่ไหนล่ะ กูยังเป็นแค่ 'ว่าที่' เว้ย!”

ผมลูบหัวป้อยๆ ร้องอ้าวเสียงยาว รู้สึกหน้าม้านขึ้นมานิดหน่อย

แล้วที่กูดราม่าไปตั้งหลายนาทีก่อนหน้านี้นี่คืออะไร...?

“แปลว่าเป็นคุณเชษฐ์ที่ถูกลักพาตัวไป?” ไอ้ธากอดอกผงกหัวแล้วบอกว่าเออ ผมเลยถามต่อ “แล้วมึงรอดมาได้ไงวะ ตอนนั้นไม่ได้อยู่กับคุณเชษฐ์เขารึ?”

เจ้าเพื่อนหัวดำแค่นเสียงหึในลำคอออกมาก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง “นาเทลเขาช่วยกูไว้”

“หืมมมม” ผมปรายตาไปทางเจ้าม่วงคนพี่ที่ระบายรอยยิ้มนุ่มนวลอยู่บนใบหน้าได้ตลอดเวลา “ยังไงครับยังไง ไม่ใช่ว่าตอนนั้นนายนั่งทำงานอยู่กับเชอเชสหรอกเหรอ?” คำถามนี้ผมไม่ได้ถามเพื่อนผม แต่เป็นเจ้าม่วงคนพี่ที่เอาแต่ยืนยิ้มแบบสุภาพชนอยู่ข้างเตียง

“เวลานั้นข้าเอาขนมยามบ่ายไปให้ท่านธาน่ะครับ ประจวบเหมาะกับเวลาที่คนร้ายลงมือพอดี ข้าเลยช่วยท่านธาไว้ได้ทัน”

แห... ตัวผมก็เพิ่งจะรู้นะนี่ว่าเจ้าชายอาณาจักรนี้เขามีบริการส่งน้ำส่งขนมให้แขกกิตติมศักดิ์กันด้วย ปิดเงียบเลยนะครับเพื่อนธา

“แล้วมึงบาดเจ็บตรงไหนป่ะ” ผมเก็บความคิดที่จะแซวเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ขอสำรวจตัวเจ้าเพื่อนสุดเกรียนคนนี้ก่อนว่ามันยังไม่มีส่วนใดเดี้ยง เป็นอัมพาต หรือเป็นง่อย จนต้องมีใครคอยอยู่ดูแลไปชั่วชีวิต แต่ดูจากที่มันวิ่งปรู้ดเข้ามาหาผมได้ในรวดเดียวก็น่าจะปลอดภัยไร้ห่วงได้อยู่มั้ง

“กูโอเคดีทุกอย่างครับ กระดูกทุกท่อนยังอยู่ครบ ฟันไม่หักไม่ตกหล่น หัวไม่แตก มือเท้าไม่ขาด แถมยังไม่เป็นลมหมดสติไปเหมือนคนแถวนี้ด้วย” ได้ทีไม่มีปล่อยโอกาสกัดผมให้หลุดมือ มันหัวเราะเยาะเย้ยผมอยู่ในลำคอ โดยมีนาเทลยืนยิ้มเป็นแบ็คอัพอยู่ข้างหลัง ผมเลยโบกหัวมันไปที เอาคืนเมื่อกี้ที่มันฟาดกระบาลผมมาซะเต็มแรง

“ฟาย กูไม่ได้เป็นลม เค้าเรียกว่านอนหลับพักผ่อนยามบ่ายเหอะ”

“หราาา มึงเห็นกูมีเขางอกอยู่บนหัวรึไง ฟาย” ไอ้ธาแลบลิ้นปลิ้นตาได้น่าถีบมาก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ยังมีคนนอกอยู่อีกสาม ผมคงได้ถลาเข้าไปซัดกับมันซักตั้ง

พวกเราพูดคุยเล่นหัวกันอีกไม่กี่ประโยค เชอเชสที่หายไปปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นกับพระราชาก็เดินเฉิดฉายเข้ามาในห้อง เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีกรมเต็มยศ ผิดกับนาเทลที่สวมชุดสบายๆ เน้นเคลื่อนไหวได้สะดวก เมื่อเห็นเชอเชสเดินเข้ามาใกล้ ผมกับไอ้ธาจึงรีบหยุดการโต้วาทีที่เหมือนเด็กประถมกำลังทะเลาะแย่งของเล่นกันแต่เพียงเท่านั้น ทั้งห้องจึงกลับมาสงบเงียบอย่างที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรก ไม่ใช่เหมือนกรงเหล็กที่ใช้ขังลิงป่าสองตัวที่กำลังร่ำๆ จะฟัดกันเอาไว้

“เสด็จพี่อยู่ที่นี่นี่เอง” เชอเชสเดินเข้ามาทักนาเทลก่อน ค่อยหันมายิ้มให้ผมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“ได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง?” นาเทลหยุดยิ้มเรี่ยราด เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังจนบรรยากาศในห้องถูกขึงจนเครียดในชั่วพริบตา

“เสด็จพ่อทรงตรัสว่าจะลองติดต่อกับพันธมิตรของเราที่อยู่ฝั่งนู้นดูก่อน ได้ความยังไงจะถ่ายทอดคำสั่งลงมาอีกที เสด็จแม่เองก็ทรงมีรับสั่งให้พวกเราเตรียมตัวกันให้พร้อม ตอนนี้ทรงเรียกหาน้องสี่ให้เข้าเฝ้าแล้ว”

นาเทลผงกหัวรับฟังทุกคำอย่างใจเย็น เชอเชสสั่งการกับทิชาและจาเรลอีกไม่กี่คำ ฟาฮากับเซริมก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดคลุมและสัมภาระพร้อมออกเดินทาง

“ของที่ท่านสั่งเตรียมพร้อมหมดเรียบร้อยแล้วขอรับ” ฟาฮาเป็นคนรายงาน ส่วนเซริมกลายร่างเป็นกรรมกรชั่วคราว แบกข้าวของทั้งหมดนั้นไปกองไว้อีกมุมห้องโดยไม่ปริปากบ่น

“เดี๋ยวๆๆ นี่จะไม่มีใครบอกผมหน่อยเหรอ ว่าเราจะไปไหนอะไรยังไงกัน?”

เจ้าม่วงหันมาคลี่ยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเหมือนเก่า แต่ทำไมผมสัมผัสได้ถึงช่องว่างบางอย่างที่แทรกขึ้นระหว่างเราสองคนก็ไม่รู้

“ไม่ใช่เรา แต่เป็นข้ากับเสด็จพี่ต่างหากครับ”

คำพูดของเชอเชสทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบกลางหัว

อะไรนะ...

ไม่ใช่ ‘เรา’ ?

ทำไมหัวใจของผมต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ตอนที่ได้ยินคำนี้ด้วยนะ...

“ท่านวี อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดสิครับ” คนอ่านใจผมได้นั่งลงบนขอบเตียง มืออุ่นร้อนของเขาบีบมือผมที่วางอยู่บนผ้าห่มสีขาวผืนหนาเอาไว้เบาๆ “เรื่องคราวนี้มันอันตรายเกินไป อีกฝ่ายมีเป้าหมายคือต้องการชิงตัวท่าน การจะให้ท่านเดินทางไปด้วยนั้นเห็นทีจะมิเหมาะ เสด็จแม่จึงมีรับสั่งให้ข้ากับเสด็จพี่ออกเดินทางไปพร้อมกับผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน หาใช่ข้าต้องการกันท่านออกห่างแต่อย่างใดนะครับ”

ผมนิ่งเงียบรับฟัง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยกมือขึ้นเกาะกุมแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นเหมือนไม่อยากให้เขาทิ้งผมไว้ที่นี่ตามลำพัง

'ทำไมถึงเป็นนายกับนาเทลล่ะ คนอื่นมีตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ'

ผมพูดผ่านความคิด รู้ดีว่านี่อาจเป็นคำพูดที่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่การบุกเข้าไปชิงตัวเทพกระต่ายคืนนั้นหมายความว่าต้องก้าวเข้าไปเหยียบถึงถิ่นศัตรู การให้เจ้าชายถึงสองคนลักลอบเข้าไปทำภารกิจนี้... ทั้งคนหนึ่งยังเป็นถึงรัชทายาทของอาณาจักร ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงซะยิ่งกว่าการปล่อยผมเอาไว้ที่นี่คนเดียวอีกเหรอ

'เพราะเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความปลอดภัยของเทพกระต่าย เสด็จแม่ถึงได้เอ่ยปากขอร้องด้วยตนเอง ให้ข้ากับเสด็จพี่ช่วยรับหน้าที่นี้อย่างไรเล่า'

“ผมไม่เห็นจะเข้าใจ” ความคิดของผู้ใหญ่ เด็กที่กำลังจะย่างเข้าอายุสิบแปดอย่างผมจะไปทำความเข้าใจได้ยังไง

เจ้าสีม่วงยิ้มจนตาเหลือเพียงเส้นเดียว ท่าทางดีใจมากที่เห็นผมเป็นห่วง

“ในอาณาจักรเงาจันทร์ยังมีคนของเราแฝงตัวอยู่ได้ ใช่ว่าในอาณาจักรของเราจะไร้ซึ่งผู้แฝงกายมา หากใช้คนอื่นทำหน้าที่นี้ อาจทำให้ข่าวการเคลื่อนไหวของฝั่งเราเล็ดลอดไปถึงคนฝั่งนั้นได้ การที่เสด็จแม่ทรงตัดสินพระทัยเลือกใช้ข้ากับเสด็จพี่นับว่าคิดไตร่ตรองรอบคอบดีแล้ว ท่านวีอย่าได้กังวลไปเลย ข้าหาได้มีฝีมือเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดจับดาบ ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือ?”

ใช่ ผมเห็น และรับรู้ด้วยสองตาของตัวเองมาแล้วว่าเชอเชสนั้นเก่งมาก ถึงจะมีเพลี่ยงพล้ำไปบ้างแต่ข้างกายเขาก็ยังมียอดฝีมืออยู่ตั้งสี่คน แถมหนึ่งในนั้นยังสามารถใช้เวทย์ฟื้นฟูรักษาบาดแผลได้อีก เท่ากับหายห่วงได้เลยว่าเจ้าม่วงจะบาดเจ็บจนเสียเลือดตาย

แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ...

“นี่ นาเทลเก่งมากมั้ยมึง?” ผมเบียดเชอเชสออกจนอีกฝ่ายเกือบหน้าทิ่มตกเตียงแล้วพุ่งไปกระซิบกระซาบถามไอ้ธาแทน เจ้าเพื่อนบ้านี่น่าจะได้เห็นฝีมือของเจ้าม่วงคนพี่มาบ้างแล้ว

ไอ้ธารีบพยักหน้าหงึกๆ ยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง ตอบกลับมาว่าฝีมือของนาเทลร้ายกาจสุดยอดมากกกกก

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเก่งโคตรเลยล่ะมึง! พริบตาเดียวนะ หมอนี่กวาดเจ้าพวกชุดดำหกเจ็ดคนราบในครั้งเดียว กูเห็นแล้วยังขนลุกเลย!”

เพื่อนผมที่ดูเหมือนจะผันตัวกลายเป็นแฟนคลับ No.1 ของเจ้าชายลำดับสองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ไปแล้วเล่าเรื่องย่อให้ฟังอย่างตื่นเต้น สงสัยจะได้ไปเห็นฉากต่อสู้ที่ลุ้นระทึกสุดๆ มาแบบชิดติดขอบสนาม ปากมันขยับขึ้นลงเหมือนจะเล่าทุกฉากทุกตอนออกมาให้ครบแบบไม่มีตกหล่นให้ฟัง ผมเลยรีบปิดปากมันไว้ ไม่ใช่ไม่อยากสอใส่เกือกอยากสอดรู้เรื่องวีรกรรมของคนอื่น แต่คือตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาป่ะวะ?

ผมเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนยิ้มๆ เหมือนกระต่ายไม่มีพิษมีภัยแล้วทำใจเชื่อไม่ค่อยลง...

‘ถึงภายนอกเสด็จพี่จะดูเป็นเช่นนั้น แต่ได้โปรดเชื่อเถอะครับว่าเขาเป็นจอมเวทย์ที่ฝีมือมิได้ด้อยไปกว่าใครเลย’

เจ้าเด็กติดพี่ช่วยยืนยันอีกแรงเพื่อให้ผมวางใจ แต่ผมมันเป็นคนขี้ห่วงนี่ ต่อให้รู้ว่าคณะเดินทางชุดนี้แต่ละคนมีฝีมือเก่งเทพขนาดไหน แต่ยังไงนั่นก็ถิ่นศัตรู ไม่เคยได้ยินเหรอว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หากเจอพวกนั้นปิดวงล้อมจนไร้ทางหนี คิดว่าไม่กี่ชีวิตที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันจะยังรับมือไหวอีกไหม

‘แค่รู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า...เท่านี้ก็เกินพอแล้ว’

เดี๋ยวนะ... มันเกี่ยวอะไรด้วย?

‘กำลังใจไงล่ะครับ ไม่เคยได้ยินหรือ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทหารทุกกองเดินหน้าได้ด้วยกำลังใจ’

เพิ่งจะเคยได้ยินก็วันนี้นี่ล่ะ...

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะมัดเป็นปมได้ ตามองเชอเชสที นาเทลที ก่อนมองตรงไปที่ไอ้ธาที่ยักไหล่แสยะยิ้มละเหี่ยใจ

“คิดมากอีกและ บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าสมองอย่างมึงคิดเยอะไปมันก็เท่านั้น อยากทำอะไรก็ทำเลยดิวะ เอาที่มึงสบายใจ และไม่คิดเสียใจที่ได้ทำมัน” คนที่อยู่เคียงข้างผมมาตั้งแต่เด็กดีดหน้าผากผมดังเพียะ ความเจ็บเรียกสติผมให้กระพริบตาปริบๆ มองมันที่นั่งเก๊กท่าว่าหล่อมากอยู่กลางเตียง (เพราะข้างเตียงเจอเชอเชสยึดที่ไปแล้ว...)

พอได้รับคำแนะนำจากมันผมเลยยิ้มออก เชอเชสที่แอบรู้ล่วงหน้าว่าผมจะพูดอะไรรีบลุกขึ้นจากเตียงเตรียมพุ่งออกจากห้อง แต่ไม่ไวเท่ามือผมที่คว้าผ้าคลุมผืนยาวของเขาเอาไว้แล้วดึงให้กลับมานั่งลงตรงตำแหน่งเดิม

“ผมไปด้วย และนายห้ามปฏิเสธ!” มันคือประโยคคำสั่งที่ทำให้เชอเชสถึงกับครางฮือ

“ท่านวี...”

“ถ้าวีไป ฉันก็ไปด้วย!” ส่วนรายนี้เพียงแค่อยากเอี่ยวด้วย ดูก็รู้ว่าอยากออกไปเที่ยวนอกวัง ทั้งยังได้ออกเดินทางไกลไปถึงต่างแดน เรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้มีหรือที่คนรักสนุกอย่างไอ้ธาจะยอมพลาด

“ท่านธา...” นาเทลร้องครางเหมือนอยากปราม แต่พอเจอเจ้าเพื่อนตัวดีของผมย้ำชัดเจนอีกครั้งว่าจะไป เจ้าม่วงตัวพี่ก็ได้แต่งับปากยอมรับชะตากรรมว่างานนี้คงไม่พ้นตัวเองนั่นแหละที่ต้องคอยดูแลเพื่อนซี้ของผมอีกแล้ว

“มันอันตรายนะครับ” เชอเชสย้ำคำนี้อีกครั้งที่ผมเริ่มเบื่อจะฟังมันแล้ว

“คุณเชษฐ์เคยบอกไว้ ว่าถ้ามีผมอยู่ใกล้ๆ นายจะใช้พลังได้มากกว่าเดิม เพราะงั้นเอาผมไปด้วยนั่นแหละดีแล้ว”

“แต่มันอันตราย...”

“ผมดูแลตัวเองได้” ผมยิ้มเผล่ “อีกอย่าง ผมมีดีกว่าที่คุณคิดเยอะ รับรองไม่ไปถ่วงแข้งถ่วงขาพวกนายหรอกน่า”

“หึหึหึ ฉันก็เหมือนกัน” ไอ้ธาควงอาวุธสีขาวปลอดที่ไม่รู้ไปได้มาจากไหนอย่างคล่องแคล่ว ผมกับมันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แบบรู้กัน มีแต่คนนอกเท่านั้นที่มองหน้ากันอย่างจนใจ

“ถ้าท่านวียืนกรานเช่นนั้น...ข้าจะนำเรื่องนี้ไปทูลขอกับเสด็จแม่เอง”

คุยกันรู้เรื่องอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก!

“ไม่ต้องมายิ้มเลยครับ...”



เชอเชสกับนาเทลหน้าบูดหนักกว่าเก่าอีกเมื่อเสด็จแม่ของพวกเขายอมให้พวกผมร่วมเดินทางไปด้วย

พอรู้อย่างนั้น ผมเลยรีบให้ยาอุลเตรียมชุดที่เคลื่อนไหวสะดวกให้สองสามชุด ขอเป็นสีดำไม่ก็สีโทนเข้มทั้งหมด เจ้าสีเทาอ้าปากแย้งอยู่หลายครั้งว่ามันไม่เหมาะสม แต่ก็เจอผมตีกลับไปด้วยคำพูดที่ว่างานนี้พวกเราต้องลักลอบเข้าต่างแดนกัน บางทีอาจต้องมีหลบซ่อนตัวในป่า การแต่งสีสว่างเกินไปจะกลายเป็นจุดเด่นและนำพาอันตรายมาได้ นั่นแล เจ้ายาอุลตัวน้อยถึงได้ยอมจัดชุดสีดำให้ผมสามชุด ไม่ลืมจัดเก็บข้าวของจำเป็นที่จะต้องใช้ไว้ให้ในถุงย่ามอีกด้วย

มนุษย์กระต่ายนี่น่ารักกันจริงๆ เลยน้า~

ขณะที่ผมกำลังตรวจทานว่าลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า เจ้าม่วงที่ดูเหมือนจะทำใจเรื่องผมได้แล้วก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า ในมือยื่นดาบสั้นเล่มหนึ่งไว้ให้ใช้ป้องกันตัว แต่ผมกลับปฏิเสธที่จะรับมันไว้

“ทำไมล่ะครับ” ถ้าหูโผล่ ผมคงเห็นใบหูเรียวยาวสีม่วงของคนตรงหน้าลู่ลงเป็นกระต่ายหงอยที่โดนผมปฏิเสธความหวังดีไป

“ไม่ใช่รังเกียจที่จะรับของที่นายให้มาหรอกนะ แต่ผมมีมีดสั้นเหลือเฟือแล้ว” ผมชูมือข้างขวาให้เขาดู บนนิ้วชี้กับนิ้วกลางมีแหวนสวมอยู่นิ้วละวง วงหนึ่งเป็นสีขาวสะอาดเหมือนหลอมแหวนวงนี้ขึ้นมาจากหิมะ ส่วนอีกวงเป็นสีน้ำเงินเข้มที่ฝังพลอยสีฟ้าใสเอาไว้รอบวง นับรวมกันได้ทั้งหมดสิบสองเม็ด

“ของพวกนี้...” เชอเชสที่เพ่งแล้วเพ่งอีกช้อนตาคมขึ้นมองผมคล้ายกับต้องการคำยืนยัน

“ใช่ แม่นายให้ฉันตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาเหยียบที่นี่แล้ว”

มันคืออาวุธเวทย์ที่เทพกระต่ายสร้างขึ้น ในแต่ละรุ่นเทพกระต่ายจะต้องใช้แรงกายและแรงใจหล่อหลอมอาวุธเหล่านี้ขึ้นมาสองชิ้นเพื่อมอบให้แก่ชายาแห่งดวงจันทร์รุ่นต่อไป หนึ่งอาวุธ หนึ่งเครื่องป้องกัน อยู่ในรูปแบบของเครื่องประดับที่แตกต่างกันไปตามความชอบของผู้ผลิต

“เทพกระต่ายสร้างมีดสั้นให้ท่านหรือ?”

เชอเชสลองคาดเดาจากสิ่งที่ผมเกริ่นทิ้งไว้ เขาไม่เคยรู้เรื่องแหวนพวกนี้มาก่อนเพราะคุณเชษฐ์อยากเก็บเอาไว้เซอร์ไพรส์หลานชายคนนี้เป็นพิเศษ น่าเสียดายที่เจ้าตัวดันไม่อยู่ในเวลาแบบนี้ ไว้ผมจะเก็บสีหน้าของเจ้าม่วงตอนนี้ไปใส่สีตีไข่เล่าให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่นละกัน

“ใช่ มีถึงสิบสองเล่มแน่ะ ถ้านายเอามาให้พกอีกอันมันก็จะกลายเป็นเลขสิบสาม ไม่มงคลเลย” ว่าแล้วก็ดันมีดสั้นคุณภาพคับฟ้าส่งคืนเจ้าของที่พยักหน้าเข้าใจ เราคุยกันอีกนิดหน่อยเรื่องแผนการเดินทาง ไม่นานนักฟาฮากับเซริมก็เข้ามารายงานว่าเพื่อนผมกับนาเทลเตรียมตัวพร้อมแล้ว ผมกับนาเทลเลยเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดกันอีกที

“คณะเดินทางในครั้งนี้นอกจากองครักษ์ของข้ากับเสด็จพี่แล้ว ยังมีอีกสามคนที่ข้าอยากให้ท่านวีทำความรู้จักเอาไว้ เอ่อ...อันที่จริงท่านก็เคยเจอพวกเขาแล้ว... จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ท่านพ่อเรียกพวกเขาว่า ‘พันธมิตรซ่อนเร้นใต้กลุ่มเงาจันทร์’ พวกเขาจะช่วยนำทางให้เราไปถึงที่ที่เทพกระต่ายถูกกักคุมตัวอยู่ และช่วยหาทางหนีทีไล่ให้หลังจากที่เราช่วยท่านเทพออกมาได้แล้ว”

ผมย่นคิ้วมองเชอเชสที่พูดตะกุกตะกักเหมือนลังเลที่จะบอกเล่าอะไรบางอย่าง แล้วมันอะไรน่ะ กลุ่มพันธมิตรใต้เงาจันทร์อะไรนั่น ผมเคยเจอพวกเขาด้วยเหรอ?

เชอเชสยิ้มแห้ง เหมือนเจ้าตัวก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ผมเข้าใจ เลยผลักบานประตูตรงหน้าออกให้ผมเข้าไปหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ข้าว่าให้ท่านวีเห็นกับตาน่าจะเข้าใจเรื่องราวได้เร็วกว่านะครับ”


------------------------------------------------------------------
ตอบคำถามจากดวงจันทร์ถึงทางโลก(?)

Q : คุณตาณไม่ได้รักพระราชา แล้วทำไมถึงมีลูกด้วยกันถึงสี่คนล่ะคะ?

ตาณ : ใครว่าไม่ได้รักล่ะครับ (ยิ้ม) พวกคุณก็อย่าไปเชื่อในสิ่งที่เชษฐ์พูดนักเลย ถ้ารู้จักมันดีเหมือนที่ผมรู้จัก คุณจะรู้ว่าคำพูดมันต้องหารเกินครึ่งตลอดครับ ส่วนเรื่องลูก อืม...(ทำท่าคิด) ผมว่ารอลุ้นต่อไปดีกว่าครับ เดี๋ยวคนเขียนก็เฉลยนะ (ยิ้ม)

ปล. ขอยื่นใบลาไปเที่ยวต่างจังหวัด 5 วันนะค้า กลับมาอีกทีหลังวันปีใหม่เลย

H a p p y    N e w   Y e a r ล่วงหน้าก๊าาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 27-12-2015 11:08:01
รอค่า   :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 27-12-2015 11:23:42
ว้าาาาา อยากกอ่านต่ออีก รอหลังปีใหม่สินะ เที่ยวให้สนุกนะๆ
เทพกระต่ายนี่เชื่อบางเรื่องไม่ได้จริงๆนั่นแหละ ขี้แกล้งสุดๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 27-12-2015 11:44:47
 :hao5:

คุณเชษฐ์โดนจับตัวไป จะโดนอะไรบ้าง ฮือๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 27-12-2015 11:55:41
รอๆๆ  :z13:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-12-2015 12:10:58
Happy New Year!
เที่ยวสนุก เดินทางปลอดภัยนะคะ

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 27-12-2015 12:13:01
เรื่องนี้คุณเมียเขาใหญ่น้องม่วงหมายเลข 3 ต้องเชื่อฟัง
เที่ยวให้สนุกนะค้า จะอ่านตอนเก่ารอไปพลางๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: VampirezBadz ที่ 27-12-2015 14:07:27
วีวี่สู้ๆ วีวี่สู้ๆ เด๋วนะ แล้วสามคนที่ว่า เค้าเป็นครายยยย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 27-12-2015 14:15:04
ค้างแรงงงงงงงง :katai1:
โหดมากอ่ะคนเขียน แง กลับมาเถิดดดดด ; ___ ;
อยากอ่านต่อแล้ว ติดเรื่องนี้งอมแงมมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 27-12-2015 17:17:52
ลาตั้งหลายวันแน่ะ รอนะครับ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 27-12-2015 17:40:36
อุ่ย อยากอ่านคู่พระราชา ราขินีเลยตอนนี้ 5555

พันธมิตร ใครฟะ ลุ้นๆๆๆ งานนี้น่าสนุกแน่
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 27-12-2015 20:14:50
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-12-2015 23:10:15
เง้ออออ!! รีบมาต่อน้า ขอตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 27-12-2015 23:17:31
หูกระต่าย!! คือแพ้มาก ยอมมมมมมาก 5555 :man1:
เที่ยวปีใหม่ให้สนุกนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 27-12-2015 23:24:29
ขอตอนชดเชยยาวๆนะครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 28-12-2015 17:01:59


จากพาร์ทเลือกราชา มาถึงพาร์ทเดินทางและต่อสู้แล้ว...
รออ่านเลยค่ะว่าดวงจันทร์ที่เราคิดว่ามีแต่กระต่ายตำข้าวนี่จะมีอะไรซ่อนเอาไว้บ้าง

Happy New Year ล่วงหน้านะคะ!!  :L2:

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 28-12-2015 18:05:05
 o13
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.10 ::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 28-12-2015 22:51:09
พันธมิตรทั้งสามคนจะเป็นใครนะ มารอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Far Far Away ที่ 29-12-2015 14:12:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 29-12-2015 21:13:17
มนุษย์กระต่วยน่ารักมาก อยากให้มีที่บ้านสักคนสองคน *___*
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนเหมียว ที่ 30-12-2015 17:19:02
อ่านเพลินเลยยยย. เจ้าชายกระต่ายน่ารักมากกกก เท่ห์ หล่อ เก่ง ครบสูตร แอบมีมุมขี้เขิน เอ..หรือ ...จริงๆแล้วพ่อคุณก็เป็นหมาป่าห่มหนังกระต่ายรึเปล่า5555  นายเอกของเรา ก็น่าเอ็นดู   :katai2-1:  เที่ยวให้สนุกนะคะ เดินทางปลอดภัยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 30-12-2015 18:07:51
พันธมิตรทั้งสามเป็นใครเนี่ย น้องวีเคยเจอแล้วเหรอ
เรื่องนี้มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอดเลย ชอบอ่ะ
ว่าแต่นาเทล กำลังเนียนจีบว่าที่เทพกระต่ายธาอยู่หรือเปล่า  :o8:
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ
แล้วก็สุขสันต์ปีใหม่ มีความสุขมาก ๆ น้า  :L1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: fannaio ที่ 30-12-2015 19:05:04
อยากบอกว่าดีใจมากกกกค่ะ ที่เห็นเหล่ากระต่ายน้อยอ้วนกลมน่าฟัดมาที่เล้า

ปกติตามที่เด็กดีตลอดเลย อ่านไม่ต่ำกว่า 10 รอบ 555 เขินจัง

ขอบคุณผู้แต่งมากๆๆๆค่ะ

เรื่องนี้เป็นเหมือนพลังให้เราหลายครั้งๆ ที่เหนื่อยจากงาน  :mew6:

ชอบ ชอบมากถึงขึ้นซื้อตุ๊กตากระต่ายมากอดมาฟัด ของใช้ทุกอย่างก็เริ่มเป็นกระต่ายแล้วค่ะ 55

ติดตามอยู่นะคะ สุขสันต์วันปีใหม่ด้วยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.11::: Update 27/12/2015 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 01-01-2016 14:27:05
ตามติดชีวิตต่าย พระชายาช่างเป็นคนคิดบวกเสียเหลือเกิน ฮาไม่เกรงใจกันเลย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -12-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 02-01-2016 22:15:04
-12-
ชายผู้มีนามว่า ดาเนส โลว์





พวกคุณเคยดูรายการแกล้งคนกันไหมครับ? แบบที่หลอกให้เขามาร่วมทำอะไรสักอย่างแล้วสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คนๆ นั้นหลงเชื่อจนสนิทใจอะไรแบบนั้นอ่ะ

ตอนผมเปิดคลิปในยูทูปนั่งดูรายการพวกนี้กับไอ้ธา จำได้เลยว่าพวกเราฮากันท้องขัดท้องแข็ง ไอ้เพื่อนผมน่ะตัวดีเลยบอกแค่นี้ก็ดูไม่ออกว่าโดนเขาหลอกเข้าให้แล้ว ตอนนั้นผมก็ฮาไปกับมันนะ ในฐานะคนนอกคือเรารู้ไงว่าแขกรับเชิญนั้นน่ะถูกหลอกเต็มเปา ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีคนจัดฉากให้เป็นไปตามความต้องการของผู้จัดรายการ กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าถูกหลอกก็เผลอปล่อยไก่ไปเกือบหมดเล้าแล้ว

แต่หากลองมองมุมกลับกัน ถ้าเป็นเราที่ถูกจัดให้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับแขกรับเชิญเหล่านั้น...เราจะมองออกหรือเปล่าว่าตัวเรากำลังถูกหลอกอยู่?

ผมเคยคิดนะว่าอย่างน้อยถ้าถูกใครจัดฉากมันต้องมีอะไรสักอย่างให้จับสังเกตได้ ยกเว้นเหล่าคนที่ทีมงานจัดเตรียมมาจะเป็นนักแสดงระดับเทพ แอคติ้งได้แนบเนียนจนน่าเขวี้ยงโล่ทองคำใส่ให้เอาไว้ประดับบ้าน จะอะไรก็ตามแต่ ผมคิดว่าคนอย่างผมคงไม่มีวันถูกหลอกให้เชื่อได้สนิทใจแล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากเล่นตามบทที่พวกเขากำหนดมาตั้งแต่แรก

มาวันนี้ผมถึงได้รู้ว่าผมตีค่าความสามารถของตัวเองสูงไป

ใช่ ผมถูกหลอก...จากคนที่แสดงบทบาทได้ดีเยี่ยมระดับเดียวกับนักแสดงรางวัลออสก้าที่น่าเอาโล่ทองคำทุ่มหัวให้เลือดอาบต่างน้ำไปเลย

เชอเชส กล้าดียังไงมาหลอกผม!!!!

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าการแสดงของข้าจะแนบเนียนถึงเพียงนั้น ดี! ขนาดพระชายาอยู่ใกล้ยังจับสังเกตไม่ได้ งั้นเราคงไม่ต้องห่วงพวกหน่วยสังเกตการณ์กันแล้วล่ะ ป่านนี้คงเร่งรีบเดินทางไปรายงาน ‘ผิดๆ’ ให้เจ้านายพวกมันฟังกันแล้ว!”

ชายตัวบะเริ่มที่ถูกแนะนำว่ามีดีกรีเป็นถึงแม่ทัพเจ็ดดาบแห่งแห่งอาณาจักรเงาจันทร์หัวเราะจนเกวียนทั้งหลังสะเทือน ขณะนี้พวกเรากำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง(ลับๆ)มุ่งสู่อาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีป โดยมีสององครักษ์ของนาเทลเป็นผู้คุมเกวียนที่เทียมด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาดหูยาวๆ เหมือนกระต่ายแต่รูปร่างกลับคล้ายม้า สี่องครักษ์ของเชอเชสนำหน้าไปดูลู่ทางก่อน ส่วนสองคนที่ปิดท้ายขบวนเป็นองครักษ์คนสนิทของซอโร

ตำแหน่งในเกวียนถูกจัดให้นั่งตามใจผมที่อารมณ์กำลังเดือดปุดๆ ผมไล่เชอเชสไปนั่งหน้าคู่กับนาเทล ถัดมาเป็นสององครักษ์ของแม่ทัพเจ็ดดาบที่นั่งตัวแข็งคั่นกลางระหว่างสามเจ้าชายกับเจ้านายตนเอง ปิดท้ายด้วยผมกับไอ้ธาที่ขึ้นเกวียนมาได้ก็เอนหัวลงหมอนแล้วหลับไปเหมือนตอนเราไปทัศนศึกษากันไม่มีผิด

‘ดาเนส โลว์’ แม่ทัพจากแดนอื่นที่ไม่รู้กลายมาเป็นสหายคนสนิทของคุณเชษฐ์ได้ยังไง ยังคงหัวเราะถูกใจกับวีรกรรมของตนเองที่ทำเอาผมหน้าม้านอยากถลาไปถีบสิ่งมีชีวิตสีม่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ถามว่า ดาเนส โลว์ ที่นี่ว่านี้คือใคร

ผมเกริ่นไปแล้วใช่ไหมว่าเขาคือแม่ทัพเจ็ดดาบที่มีตำแหน่งใหญ่โตโคตรๆ ในอาณาจักรเงาจันทร์ คุณอาจงงว่าผมจะเดือดเชอเชสเรื่องนี้ทำไม ถ้าไม่ใช่ว่า ดาเนส โลว์ คนนี้คือคนเดียวกับที่บุกเข้าห้องของเจ้าชายรัชทายาท แล้วเจอเชอเชสปิดฉากด้วยสภาพที่พรุนเป็นเม่นคนนั้น!

สิ่งแรกที่ทำให้ในหัวผมลั่นเปรี๊ยะคือตอนที่ชายร่างใหญ่หุ่นหมีคนนี้แนะนำตัวแล้วเล่าให้ฟังว่าที่แท้แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในห้องเจ้าชายรัชทายาทวันนั้น สรุปสั้นๆ คือมันเป็นแผนการของคุณเชษฐ์ที่ใช้ซ้อนแผนพวกที่คิดจะจับตัวผมไปอีกที ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นโดยมีนักแสดงหลักคือเจ้าชายรัชทายาทของอาณาจักรแสงจันทร์ที่ทำทีเป็นเข้ามาช่วยชายาของตนจัดการกับเหล่าวายร้ายที่บุกมา

โอเค ตรงนั้นผมเข้าใจ ผมทำใจยอมรับมันได้ แต่ที่ทำให้ผมปรี๊ดแตกจริงๆ คือตอนที่ท่านดาเนสเปิดปากแซวเจ้าม่วงด้วยคำพูดที่ทำให้ลมปราณในตัวผมแทบแตกซ่านว่า “เห่อเมีย” มีอย่างที่ไหนสู้ๆ กันอยู่แล้วเจียดเวลาไปออเซาะเมียเสียอย่างนั้น เล่นเอาบรรยากาศเดือดเลือดพล่านแทบหวานกลายเป็นทุ่งดอกไม้ไม่เกรงใจอีกหลายชีวิตที่ขยับขากันไม่ถูกเลย

ท่านดาเนสที่ตอนนั้นยังจับเค้าลางไม่ได้ว่าเงาหัวคนที่ตนมองว่าเป็นหลานรักอาจจะหายไปในไม่ช้ายังคงพล่ามต่อไปว่า ตอนที่เห็นเชอเชสอุ้มผมด้วยท่าเจ้าสาววิ่งเข้าใส่ตัวเขา เจ้าตัวแทบหลุดขำก๊ากว่าหลานรักมันช่างคิดไปได้ คงสนุกที่ได้เห็นผมหน้าซีดปากสั่นกอดคอเขาราวกับรักนักหนา ไหนจะยังแหกปากร้องเสียงดังลั่นตอนดิ่งลงจากชั้นสามของปราสาทให้ใครบางคนหาช่องทางลวนลามผมที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อนั่นอีก โฮกกก

เวลานี้ผมเลยทั้งโกรธ ทั้งยัวะ ทั้งอยากจับกระต่ายแถวนี้มาถลกหนัง ย่างไฟ แทะเนื้อให้เหลือแต่กระดูก ลองดูสิว่าคราวหน้าจะยังกล้าทำกับผมแบบนี้อยู่อีกไหม!?

‘ไม่มีคราวหน้าแล้วครับ ข้าให้สัญญา’

เสียงอ่อยของกระต่ายทำผิดที่นั่งอยู่หน้าสุดดังขึ้นมาในหัว ส่วนเจ้าตัวก็ทำหน้าหงอย หลังงุ้ม คอตก ถ้าเป็นในร่างกระต่ายผมคงใจอ่อนยวบ แต่ในร่างผู้ชายตัวโตๆ ที่มีความผิดติดตัวแบบนี้

ขอแบนไปห้าวัน!

คิดดังขนาดนั้นย่อมส่งไปถึงคนที่แอบอ่านใจผมตลอดเวลาอย่างไม่ต้องสงสัย เชอเชสหน้าเสีย หูลู่ลงยิ่งกว่าเก่า ไม่ทันไรผมก็ได้ยินเสียงปุ้งที่คุ้นหูดังขึ้นเบาๆ ก่อนกระต่ายตัวสีม่วงเทาจะกระโดดมาเกาะขาผมช้อนตาอ้อนแบบหมดมาดเจ้าชาย

‘ท่านวี...’

สายตาพิฆาตคลับคล้ายจะเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีใส ผมนี่ถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะถูกใจของท่านดาเนสที่ดังถล่มเกวียนจนไอ้ธาปรือตาตื่นขึ้นมาดูว่ามันจะหัวเราะอะไรนักหนาวะแล้วหลับต่อ แรงกระตุกจากอุ้งตีนนุ่มทำให้กำแพงในใจที่ก่อไว้ถล่มครืนในพริบตา ในเมื่อเชอเชสลงทุนง้อผมขนาดนี้แล้ว...ผมจะใจอ่อนสักครั้งยอมหายโกรธแล้วก็ได้

‘ไหนนายเคยบอกว่าการที่ให้คนอื่นมาเห็นร่างนี้มันเสียเกียรติไง ทำอะไรไม่คิด’

ผมอุ้มเจ้าตัวนุ่มขึ้นมาพาดไหล่เหมือนที่ชอบทำประจำตอนอยู่บนโลก เชอเชสใช้หัวที่ปกคลุมด้วยขนนุ่มนิ่มไถเข้ากับหน้าผมออดอ้อนอย่างรู้งาน

‘ถ้ามันทำให้ท่านวีหายโกรธได้ ข้ายินดียอมอยู่ในร่างนี้ไปชั่วชีวิตครับ’

เจ้านี่รู้จักจับจุดอ่อนของผมมาใช้ให้เกิดประโยชน์แฮะ...

‘คนอื่นจะมองดูไม่ดีเอานะ’ ผมลองเงยหน้ามองคนอื่นๆ ที่อยู่ในเกวียน นอกจากไอ้ธาที่หลับไม่รู้เรื่องกับใครเขาแล้ว นอกนั้นต่างพากันนั่งหลังตรงมองไปข้างหน้ากันหมด แม้แต่ท่านดาเนสยังกอดอกทำทีเป็นไม่สนใจพวกเราทั้งที่เมื่อกี้ยังหัวเราะลั่นอยู่เลย

‘ปล่อยให้มองไปสิครับ คนกันเองทั้งนั้น ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง’

กระต่ายตัวโตที่เนื้อแท้แล้วคือเด็กอายุสิบห้าบ่นงุบงิบตรงไหล่ผม ขนนุ่มๆ ทำให้ผมหยุดมือที่จะลูบมันไม่ได้ จะว่าไปนี่ก็หลายวันแล้วนะที่ผมกับเชอเชสแยกกันนอน ตอนกลางคืนเลยไม่มีตุ๊กตากระต่ายตัวอุ่นๆ ให้กอดเลย

‘เห็นข้าเป็นเพียงตุ๊กตากอดนอนของท่านเองหรือ...’ เจ้าตัวปุกปุยช้อนตาขึ้นมองผมอีกแล้ว ทำดาเมจคนรักสัตว์ตัวเล็กรัวๆ จนแทบจะลืมหมดแล้วว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมโกรธเขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดไหน

‘เชอเชส อย่าอ้อนให้มันมาก’ นิ้วผมจิ้มจมูกสีดำที่เปียกชื้นตรงหน้าเบาๆ ดันมันนิดๆ ให้เจ้าสีม่วงหน้าแหงนจนต้องสะบัดหน้าหนีนิ้วผมที่กำลังรังแกมันอยู่ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูสุดพลัง ผมถึงได้ชอบให้เจ้าตัวอยู่ในร่างนี้ไง!

‘อย่าให้ถึงทีข้ารังแกท่านบ้างแล้วกันครับ’

เจ้าสีม่วงจ้องคาดโทษไว้แต่เนิ่นๆ ให้ผมหัวเราะขำแล้วสนทนาเรื่องอื่นไปตลอดทาง โดยหารู้ไม่ว่าคำขู่ในวันนี้...กำลังจะทำให้ผมซวยในวันหน้า ซวยแบบที่ว่าถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่เอ่ยปากยุแหย่เจ้าม่วงตัวนี้ด้วยคำพูดที่ว่า ‘แล้วฉันจะรอดู’ เด็ดขาด!!!



สภาพอากาศบริเวณรอยต่อระหว่างสองดินแดนนับว่าหนาวมากสำหรับคนที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองร้อนอย่างผม เสื้อผ้าที่ยาอุลเตรียมไว้ให้นั้นหนาและอุ่นพอที่จะไม่ให้เลือดในกายจับตัวเป็นน้ำแข็ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายสั่น มือและเท้ายังเย็นเฉียบจนต้องซุกตัวเข้าหาไอ้ธาตลอดเวลา อย่างน้อยเบียดๆ กันก็ช่วยให้อุ่นขึ้นกว่าเดิม...นิดนึง

“มึง...แม่ง...กูหนาว”

ปากว่าที่เทพกระต่ายสั่นหงึกๆ เหมือนถูกเอาตัวไปแช่ในถังน้ำใส่น้ำแข็ง มันซุกตัวอยู่ในผ้านวมที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในเกวียน ข้างใต้เป็นชุดคลุมหนังสัตว์ผืนหนาอีกชั้นที่กันลมได้ดี ให้ความอบอุ่นไม่น้อย แต่ไม่ช่วยให้ความหนาวมันหายไปได้ ไอ้ธาที่ขี้หนาวกว่าผมเลยตัวสั่นเป็นลูกนก ถ้าก่อเตาผิงไฟในเกวียนหลังนี้ได้มันคงทำไปแล้ว

“เออ กูหนาวน้อยกว่ามึงที่ไหน ผ้าห่มแม่งก็แย่งกูไปหมด กูเองก็หนาวนะเว้ยยยย” แล้วศึกชิงผ้าห่มตรงหลังเกวียนก็บังเกิดขึ้นให้คนอื่นหันมามองยิ้มๆ แต่ละคนเพียงแค่สวมชุดคลุมเพิ่มเท่านั้น ไม่มีเอ่ยปากบ่นว่าหนาวให้ได้ยินเลยสักแอะ ไม่รู้กระต่ายพวกนี้หนังหนากันเกินไปหรือว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้เปราะบางเกินไปกันแน่ ทั้งคณะเลยมีแค่ผมกับไอ้ธาที่แทบจะสิงร่างกันอยู่แล้วถ้ามันช่วยให้หายหนาวได้

‘รอบกายพวกข้าสามารถร่ายเวทย์ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสภาพอากาศได้ เลยไม่ทรมานกับความเย็นพวกนี้น่ะครับ’ เชอเชสช่วยไขข้อข้องใจให้ก่อนที่ผมจะนึกสงสัยว่าใต้ผิวของพวกกระต่ายนี่มีชั้นไขมันอยู่กี่ชั้นถึงได้ทนหนาวได้ดีจนน่าถลกหนังเอามาทำเป็นเสื้อคลุม

โถ๊ะ...ที่แท้ก็พึ่งเวทมนต์

ตาของผมหรี่ลงก่อนส่งผ่านความคิดไปหาเจ้าสีม่วงเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ‘นี่เชอเชส ถ้านายใช้เวทมนต์คลุมร่างนายได้ ทำไมไม่เผื่อแผ่มาให้ผมบ้างห๊ะ ผมหนาวจะตายอยู่แล้ววววว’ ด้วยความที่อารมณ์เสีย ผมเลยบ่นเจ้าม่วงที่กลับไปนั่งประจำที่ตัวเองแล้วซะเสียงยาว บ่งบอกให้รู้ว่าหนาวมาก หนาวโคตรๆ หนาวไม่ไหวแล้ว ฮึก ผมยังไม่อยากเป็นตุ๊กตาหิมะนะ…

‘ใช่ว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นนะครับ แต่มนต์บทนี้ใช้กับผู้อื่นไม่ได้ ได้แค่ตัวเองเท่านั้น’

ฮือออ ไอ้มนต์ขี้งก... บทจะสร้างขึ้นมาทั้งทีก็คิดเผื่อแผ่ผู้อื่นด้วยสิโว้ย ไม่ใช่เห็นแก่ตัวใช้ได้คนเดียว!

‘เอ่อ... ท่านวีลองมานั่งกับข้าดูไหม เผื่อจะช่วยอะไรได้’ เจ้าม่วงลองเสนอ ผมเลยรีบสนองด้วยการตะโกนบอกให้เซริมกับฟาฮาที่เปลี่ยนมาเป็นคนขับเกวียนแทนองครักษ์ของนาเทลหยุดรถก่อน จากนั้นก็ขอแลกที่กับเจ้าชายลำดับสองที่เจ้าตัวยอมสละให้โดยง่ายก่อนกระโดดลงจากเกวียนเดินไปนั่งข้างไอ้ธาที่หัวหายจมกองผ้าห่มไปแล้ว ส่วนผมที่มีมือเชอเชสช่วยฉุดขึ้นจากหน้าเกวียนก็ยิ้มร่าโผเข้าหาเจ้าม่วงอย่างยินดี

นี่มันเครื่องทำความร้อนเคลื่อนที่ชัดๆ !

“ตัวนายโคตรอุ่นเลยอ่ะ เชอเชสสสสส”

พอกอดเขาได้ก็ซุกตัวเข้าหาอย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งสิ้น ถ้าให้เทียบกับความหนาวที่สะเทือนไปทั้งร่าง ผมยอมถูกมองว่าเป็นคนหน้าไม่อายดีกว่ากลับไปนั่งทนหนาวเป็นไหนๆ

ท่านดาเนสที่ทนเห็นคนสวีทกันตำตาไม่ได้เลยแสร้งไอโขลกอย่างกับวัณโรคกินอยู่ครู่หนึ่ง แต่เจ้าม่วงกับผมหาได้สนใจไม่ เขาจัดให้ผมนั่งกลางหว่างขาเขา ส่วนตัวใหญ่ๆ ของเจ้าม่วงก็โอบรอบหลังผมเหมือนผ้าห่มผืนหนึ่งที่คลุมตัวผมจนมิด ทั้งโคตรอุ่นและโคตรสบายจนผมแทบผล็อยหลับได้เชียวล่ะ

“อีกนานไหมกว่าพวกเราจะถึง?” ผมหาเรื่องชวนผ้าห่มผืนใหม่คุยขณะมองม่านหนังสัตว์สีน้ำตาลที่ใช้กันลมหนาวได้ดีระดับหนึ่ง ล่าสุดเห็นฟาฮารายงานว่าพวกเรามาถึงเขตแดนที่อยู่ติดกับอาณาเขตเงาจันทร์แล้ว อีกไม่นานต้องสละเกวียนทิ้งแล้วเดินทางด้วยเท้าแทน ไม่งั้นจะเป็นจุดสนใจเกินไปจนแผนการที่วางเอาไว้ล่มได้

“ไม่น่าเกินสี่ชั่วยามก็น่าจะถึงแล้วครับ”

โอเค งั้นผมขอหลับเอาแรงก่อนละกัน...



ความเร็วของเกวียนเทียมม้าหูกระต่ายช่วยย่นระยะทางจากปราสาทคริสตัลมาถึงชายแดนที่ติดกับอาณาจักรอื่นในเวลาแค่วันเศษ ทางตอนเหนือของอาณาจักรแสงจันทร์ยามนี้เริ่มมีสีฟ้าเงินปกคลุมแทนที่สีเหลืองอ่อนของผืนหญ้า ตอนลงจากเกวียนผมเลยลองสัมผัสพื้นดินบริเวณนี้ดูปรากฏว่ามันมีความเย็นไม่ต่างจากน้ำแข็ง เป็นปุยนุ่มมือที่พอช้อนขึ้นมาก็ละลายคล้ายเกล็ดหิมะ

“เชอเชส ผมอยากได้สตอเบอรี่กับนมข้นจังเลย”

เจ้าม่วงหันมายิ้มๆ เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ผมก็ได้ขนมสองชิ้นมากินเล่น ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มแบกย่ามสะพายบ่าเตรียมลุยด่านหิมะกันเต็มที่

“จากนี้ไปลมจะค่อนข้างแรง สวมนี่ไว้นะครับ” เชอเชสดึงฮู้ดที่ติดมากับเสื้อคลุมสวมหัวให้ผม ก่อนเจ้าตัวจะอุ้มผมขึ้นแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่เริ่มทบทวนเส้นทางการเดินทางอีกครั้ง

เป้าหมายของพวกเราในครั้งนี้ไม่ใช่เมืองหลวงของอาณาจักรเงาจันทร์ แต่เป็นปราสาทหลังงามกลางป่าที่ตั้งอยู่ภายใต้เขตการปกครองของขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่มีชื่อว่า กัลชาเร ซีนัส ท่านลุงหมีดาเนสเล่าว่าชายแก่คนนี้เป็นหนึ่งในขุนนางที่มีอำนาจมากในสภา ทั้งยังเป็นแกนนำ(ลับๆ)ต่อต้านการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองดินแดนอีกด้วย ว่าง่ายๆ คือเป็นตัวปัญหาระดับบิ๊กบอสที่วางแผนจะชิงตัวผมไปให้เจ้าชายคนหนึ่งที่แม้แต่ท่านดาเนสก็ยังเดาไม่ถูกว่าเป็นองค์ไหน คุณเชษฐ์เลยยอมเสี่ยงเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อสืบหาตัวการจากภายในอีกที นี่คุณพี่คิดว่าตัวเองเป็นนักสืบเด็กร้อยศพอยู่รึไง!?

'นักสืบเด็กร้อยศพ?' เจ้าม่วงแหงนคอมองผมที่นั่งตากลมอยู่บนบ่า

'พูดไปนายก็ไม่รู้จักหรอก อย่าได้สนใจเลย' ผมบอกปัดๆ แล้วนั่งฟังจุดที่ต้องระวังเพิ่มเติมอีกหลายจุดที่มีทหารยามเดินตรวจตราอย่างเข้มงวด

ท่านลุงหมีมีเล่าให้ฟังแบบดราม่าด้วยว่ากว่าจะได้ข้อมูลนี้มาเขาต้องสังเวยชีวิตลูกน้องไปถึงหกคน เสร็จแล้วก็ชี้หน้าทำตาดุใส่พวกผมเรียงตัว ประกาศกร้าวด้วยเสียงอันดังว่าใครก็ตามที่ทำแผนนี้ล่ม โดนจับตัวได้ หรือว่าพลัดหลงจนเสียแผน อย่าหวังเลยว่าจะได้มีลมหายใจกลับไปนอนตีพุงที่อาณาจักรแสงจันทร์ เขาจะฝังมันผู้นั้นให้กลายเป็นศพไปร่วมสังสรรค์กับนายทหารผู้พลีชีพเพื่อข้อมูลสำคัญเหล่านั้นเสีย ผมนี่ขนลุกไปถึงขนตูด รีบจับหัวเชอเชสกดลงดูแผนที่ ย้ำกับเขาซ้ำๆ ว่าจงจำให้ขึ้นใจอย่าได้พาผมหลงเป็นอันขาด

ผมยังไม่อยากเป็นผีเฝ้าป่าอยู่บนดวงจันทร์!

“ไง อยู่บนนั้นสบายป่ะมึง”

เสียงยียวนกวนบาทาที่แสนคุ้นหูดังขึ้น คนที่เรียกผมว่ามึงมันก็มีอยู่แค่คนเดียว พอลองมองตามต้นเสียงก็พบว่าไอ้เพื่อนยากนามธารายืนเท้าเอวแสยะยิ้มมาให้ แหม๋มึง มาซะครบเชียวนะครับ ทั้งผ้าคลุม ผ้านวม หมวกขนสัตว์(ที่ยึดนาเทลมา) จะเดินทางชุดนี้จริงดิ?

“กูมีไรจะอวด” มันยักคิ้ว(ที่คิดว่า)หล่อมากมาให้แล้วสะบัดผ้านวมทิ้งลงพื้น ยืนจังก้าท้าลมหนาวแบบไม่มีอาการสั่นให้เห็นเลยสักนิด “ไงล่ะ ชมกูดิ” มันเชิดหน้าพูด

“ชมไรวะ?” ผมงงกับมันจริงๆ นะเออ

“ชมว่ากูเก่ง เทพ เมพสัดๆ”

“พ่องดิ เล่นไรไร้สาระ” ผมเอ็ดมันเสียงเบา ก็ดันเล่นอะไรไม่รู้จักเวลาจนได้สายตาคาดโทษมาจากลุงหมีเลยไหมล่ะ

“แม่ง... เล่นด้วยแค่นี้เคารพถึงบุพการีกูอีกละ ใช่ซี๊ เดี๋ยวนี้น้องธามันไม่สำคัญเท่าสามีมึงแล้วหนิ!” มันว่าอย่างงอนๆ ให้ผมสะกิดหัวเจ้าม่วงบอกให้ปล่อยผมลงหน่อย ผมจะลงไปเตะก้นไอ้คนขี้งอนสักป้าบให้หายหมั่นไส้

“อย่ามาทำท่าตุ๊ดแตกแดกไก่แถวนี้ มีอะไรจะอวดก็รีบๆ อวดมา กูรอดูอยู่”

จากที่รีดน้ำตาทำท่าประหนึ่งเป็นพจธาจากบ้านทรายทราม เจ้าเพื่อนบ้าของผมกลับพลิกบทบาทได้ไวยิ่งกว่ากิ่งก่าเปลี่ยนสี มันเต๊ะท่าเท้าเอวแอ่นพุงให้ผมดูท่าเดิม ผมที่ผละออกจากเครื่องทำความร้อนส่วนตัวมองมันเร็วๆ แล้วคือกูไม่เก็ทไงครับ เลยถามมันไปว่า “อะไรของมึง มึงต้องการอะไรจากสังคมครับเพื่อนธาครับ”

“อุว๊ะ ทำไมกูมีเพื่อนโง่งี้วะ”

“ก่อนว่ากูโง่ มึงช่วยดูด้วยว่าความคิดตัวเองปรกติเหมือนชาวบ้านเขามั้ย ไอ้ฟายแต้งกิ้วเลิฟมึง” แล้วฝ่ามืองามๆ ของพระชายาอย่างผมก็ตบมันป้าบอย่างที่พวกคณะตลกเขาชอบทำกัน

“ฟาย กูงอนไม่บอกมึงแล้ว” ลูกชายคนเล็กแห่งบ้านนฤคมนตรีขี้ไม่ตรงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? เท่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่ ป.1 มันไม่เคยมีอาการแบบนี้แสดงออกมาให้เห็นเลยนะ

“ตามใจ ไม่ง้อนะเว้ย”

“แสรดดด มึงง้อกูหน่อยเหอะ ง้อกูนิดไม่ทำให้สามีมึงหึงหรอกโว๊ะ”

“โว๊ะ ทำไมต้องวกเข้าเรื่องเชอเชสตลอดเลยวะ มึงจงใจใช่ป่ะ” คำก็สามีมึง สองคำก็สามีมึง มึงพูดคำอื่นไม่เป็นแล้วดิ ไอ้เกรียนเกี๋ยนธา!

“เหยดดดด ชัดเจนนะฮะว่าสามีคุณกรวีมีชื่อว่าอะไร ฮ่าๆๆๆ”

ผมโก่งคอด่าไอ้ธาจนลืมหนาว ส่วนเจ้าเพื่อนบ้าของผมก็ขุดเรื่องงี่เง่ามาประจานผมอีก เราโต้ตอบกันไปมาโดยหารู้ไม่ว่ารอบด้านเงียบเสียงกันหมดแล้ว ผมที่ไหวพริบดีกว่าไอ้ธานิดนึงเริ่มขมวดคิ้วเมื่อจับสัมผัสแปลกๆ ได้ ไอ้อาการหนาวยะเยือกไปถึงกระดูกนี่ทำไมมันคุ้นๆ จังหว่า

พอลองเงยหน้ามองเงาสูงใหญ่ที่ทาบทับลงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ก็เป็นอันโป๊ะเชะ กูซวยหล่าวว พูดคำอื่นไม่ได้นอกจากงานเข้าแล้วไอ้วีเอ๊ยยยย

“แหะๆ” ผมส่งรอยยิ้มที่คิดว่าน่ารักที่สุดในชีวิตไปให้ไอ้ธา หรือจะพูดให้ถูกต้องคือ คนที่ยืนอยู่หลังไอ้ธาตอนนี้ ต่างหาก

“อะไรของมึง อยู่ดีๆ ทำหน้าปัญญาอ่อนซะ”

คนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองได้แต่เอียงคอสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมถึงได้ทำตัวเรียบร้อยว่าง่ายดั่งกุลสตรีไทยขึ้นมากะทันหัน

ข้าง-หลัง-มึง

ผมพยายามส่งซิกให้ไอ้เพื่อนโง่ของผมที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เอาแต่ถามอยู่นั่นแหละว่า “อะไรของมึงวะ”

เชี่ยยย ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันแล้ว เอาเป็นว่า “ตัวใครตัวมันละกันมึง” พูดจบให้ไอ้คนงงก็งงต่อไป ส่วนผมขอลี้ภัยไปซุกเครื่องทำความร้อนส่วนตัวก่อนล่ะ

อย่าถามเลยครับว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อไป บอกได้แค่ว่าเสียงโหยหวนของหมาธาน่ากลัวสลัด หลังจากนั้นมันก็ทำตัวหงิมๆ ไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้ท่านลุงหมีดาเนสอีกเลย




-----------------------------------------------------------------------

H N Y 2016 ค่าาาา
ขอให้พันธมิตรแห่งดวงจันทร์ทุกท่านแฮปปี้ทุกวัน ฝันหวานทุกคืน ชื่นมื่นตลอดปีกันถ้วนหน้านะคร้าบบบบ
//ส่งจูบ ม๊วฟฟฟฟ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 02-01-2016 23:53:52
เชอเชสน่ารักว่ะ กรวีก็นะ น่ารัก+ต๋องนิดๆ ฮ่าๆๆ ท่านธาต้องให้นาเทลปราบถึงจะเอาอยู่ คึคึ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: VampirezBadz ที่ 03-01-2016 09:59:36
นั้ลร๊าคคคคคคค กรวีเชอเชสคือนิพพาน  :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 03-01-2016 11:53:24
น่ารักกก
ยังไม่หายคิดถึงเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 03-01-2016 12:39:31
เชอเชสน่าร๊ากกกกกกก ท่านวีก็ฮาเหมือนเดิม ชอบ >_____<
รอตอนต่อไปนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 03-01-2016 15:31:36
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-01-2016 15:53:39
ฝูงกระต่ายขนฟูสีรุ้งออกรบ มุ้งมิ้งที่สุด!

ความสามารถในการอ้อนของเชอเชสนี่พุ่งทะลุดวงจันทร์มากกกกกกก ยอมใจเลย

เพื่อนธากับเพื่อนวีนี่สมกับเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ป. 1 มาก เกรียนถึงกระดูก 55555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 03-01-2016 16:42:30
แบบนี้นี่เอง ลุงหมีคือสายสินะ
ไงหล่ะธา สงสัยโดนลุงหมีตื้บเข้าให้ เงียบเลย 5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Far Far Away ที่ 03-01-2016 18:12:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: NakiDGM14 ที่ 03-01-2016 18:13:17
มาอ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดแล้วขอคุกเข่าคำนักคนแต่งแปป

ปกติเป็นคนเส้นลึกพอสมควรมาเจอเรื่องนี้หัวเราะจนกรามแทบค้างเลยค่ะ 55555555555555 ดีนะนอนอ่านในห้อง หัวเราะแปลกๆได้ไม่มีใครเอ็ด

ชอบวีกะธามากกกกกกก สองคนนี้นี่เพื่อนรัก(หักเหลี่ยมโหด)จริงๆ ส่วนเชอเชสก็น่ารัก อยากจะอุ้มมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว!!!

บรรยายอ่านง่าย สนุก ลื่นไหลมากค่ะ!! ชอบ ชอบมาก! บวกเป็ด กดเม้น แล้วปักธงติดตามนะคะ!!!  :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-01-2016 19:00:50
เชอเชสมุ้งมิ้งสุดๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-01-2016 19:08:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 03-01-2016 21:57:25
แอบเหนื่อยแทนท่านลุงหมีดาเนส เจอผู้ร่วมเดินทางแบบสองแสบเนี่ย 555  :laugh:
เชอเชสน่ารักที่สุดอ่ะ คิดแล้วเชียวว่าน้องวีคิดปุ๊บ ร่างกระต่ายต้องมา มาจริง ๆ ด้วย ฮามากกก
แล้วยังมาหวานกันไม่แคร์สื่อซะอีกนะ น้องวีโดนจับจุดได้ซะขนาดนี้แล้วจะไปไหนรอด เนอะ
ส่วนพี่นาเทลกับเพื่อนธานี่ จะรอฉากหวาน ๆคงอีกนาน ว่าที่เทพธาแสบเกิน
ชอบที่แม้แต่ม้าลากเกวียน ก็ยังมีหูกระต่ายอ่ะ นึกภาพตามแบบ น่ารักมากกกก ชอบ ๆ
อ่านไปก็ตื่นเต้นไปด้วย เหมือนกำลังอ่านนิยายแฟนตาซีผจญภัยเลย ชอบมากเลยค่ะ
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :L1:
 
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.12::: Update 02/01/2015 (P.5)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 05-01-2016 17:52:41


เอ... อ่านแล้วก็งง ๆ ในสภาพของดาเนส
คือตัวเป็นหมี แต่มีหูกระต่าย คือ แบบมันโมเอ้แต่ไม่สุด
(ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ แต่มันรู้สึกเหมือนจับหนุ่มกล้ามมาแต่งตัวเป็นบันนี่
แค่นึกภาพตาม อีป้าก็หายใจแรงปากคอแห้งผากอยากกินหมีขึ้นมาเลย หึ หึ หึ)

เรื่องพระนายหรือพี่ชายและเพื่อนสนิทสุดเกรียนนี่เราไม่เม้าท์แล้ว เพราะเรามักหมี ฮ่า ฮ่า ฮ่า
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ^^  :mew1:


หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -13-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 05-01-2016 19:19:03
-13-
สัตว์กินเนื้อกับสัตว์กินหญ้า
 




การลักลอบเข้าเขตแดนของอาณาจักรอื่นผ่านไปได้ด้วยดีเมื่อคนเด็กสุดในที่นี้สำแดงฤทธิ์เดชออกมาให้เห็น ผมกับไอ้ธาร้องว้าวปรบมืออวยกันยกใหญ่ตอนเห็นม่านพลังสีใส(ที่ตอนแรกมองไม่เห็น)กระเพื่อมตัวเป็นวงคลื่นก่อนจะถูกแหวกออกเป็นซุ้มโค้งรูปประตูให้พวกเราลักลอบเข้าบ้านคนอื่นได้แบบสัญญาณเตือนภัยไม่ร้องดัง

ก่อนออกเดินทางเชอเชสเคยบอกกับผมว่าพลังของซอโรนั้นจำเป็น ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าไอ้จำเป็นที่ว่านั่นมันสำคัญไฉน พอได้มาเห็นเจ้าสี่เจาะเขตแดนขั้นแรกที่ครอบรอบอาณาจักรเงาจันทร์เอาไว้ ผมถึงเพิ่งตรัสรู้เอาเดี๋ยวนั้นว่าเจ้าชายกระต่ายแต่ละคนนี่พลังไม่ธรรมดาเลยสักคน

หลังตีฝ่าวงล้อมเขตแดนขั้นแรกมาได้ ท่านลุงหมีดาเนสก็ได้แบ่งกำลังพลออกเป็นสี่กลุ่มด้วยกันเพื่อให้ง่ายต่อการแฝงตัว และลดความเสี่ยงที่จะถูกพบเจอระหว่างเดินทางเนื่องจากจำนวนคนที่มากเกินไป

แน่นอนว่าคนที่ผละออกจากเครื่องทำความร้อนส่วนตัวไปเมื่อไหร่ก็เสี่ยงต่อการแข็งตายเมื่อนั้นอย่างผมถูกจับให้ไปกับเชอเชสอย่างไม่ต้องสงสัย ...และไม่มีใครกล้าค้าน เพราะเจ้าม่วงเล่นแบกผมแบบไม่ยอมปล่อย เป็นการบอกกลายๆ ว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้ผมแยกไปกับคนอื่นเด็ดขาด เข้าทำนองชายาข้าข้าดูแลเองได้ ลองจับแยกดูสิได้มีเรื่องกันสักตั้ง …ลองเป็นอีแบบนี้แล้วคิดว่ายังจะมีใครกล้ามาแยกพวกผมออกจากกันอีกไหม?

คำตอบคือตัวผมที่ยังถูกเชอเชสอุ้มอยู่นี่ไงครับ

ส่วนสมาชิกอีกสองคนที่ถูกถีบ(?)มารวมกลุ่มอยู่กับผมเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี อย่าๆ... ไม่ใช่ไอ้ธากับนาเทลครับ แต่เป็นเจ้าดำกับเจ้าสีเงินต่างหากที่ถูกจับกลุ่มให้ตามมาอารักขาพวกผม

ทำไมถึงเป็นสองคนนี้น่ะหรือ? เพราะฟาฮามีสกิลรักษาติดตัวไงครับ เวลาเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายต้องการหมอด่วนก็สามารถใช้บริการได้ทันที ในฐานะชายาแห่งดวงจันทร์และรัชทายาทที่จะได้ขึ้นครองอาณาจักรแสงจันทร์ในอนาคต ความสำคัญของพวกผมจึงถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้นๆ ของกลุ่ม นาเทลเลยเจาะจงขอตัวฟาฮาให้เป็นผู้ติดตามพวกผม หลังฟังที่เจ้าชายลำดับสองอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นฟาฮา ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยหมด

ส่วนเจ้าดำถูกเลือกตามหลังมาติดๆ เชอเชสให้ความเห็นว่าฟาฮากับเซริมเขาเป็นคู่หูกัน การทำงานเข้าขากันย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ท่านลุงหมีดาเนสเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นเลยจับเจ้าดำเข้ากลุ่มผมเป็นสมาชิกคนสุดท้าย ให้เจ้าตัวยิ้มกว้างเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจผิดกับบรรยากาศเคร่งเครียดของคนที่เหลืออยู่

หลังกลุ่มของผมจัดสมาชิกได้ครบลงตัว ที่เหลือก็จับกลุ่มกันได้ง่ายขึ้น ไอ้ธาไปกับนาเทลและสององครักษ์ของเขา ซอโรถูกท่านลุงดาเนสลากไปทำลายเขตแดนรอบปราสาทด้วยกันพร้อมกับทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพเจ็ดดาบ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นการเอาคนที่เหลือมารวมกัน มีทิชากับจาเรลและสององครักษ์ส่วนตัวของซอโรที่ตีหน้าจ๋อยสนิทเมื่อต้องถูกจับแยกกับเจ้านายของตัวเอง

“พวกเจ้าจงจำเส้นทางของตนเอาไว้ให้ดี เราจะไปรวมกลุ่มกันอีกทีที่ม่านป่าหลังปราสาท จำไว้ ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ผลสีทองคำ ในป่านั้นมีอยู่เพียงต้นเดียวพวกเจ้าคงหาเจอได้ไม่ยาก หากใครมาไม่ทันก่อนอาทิตย์ตกดิน ข้าจะดำเนินแผนการต่อโดยไม่รั้งรอ ใครที่พลาดท่าเสียทีกลางทาง จงหาทางเอาชีวิตรอดกันเอาเอง เข้าใจชัดเจนหรือไม่?”

ดวงตาคู่คมมองปราดพวกผมเรียงตัว มันเป็นสายตาของนักรบที่พร้อมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อให้แผนการที่ตั้งไว้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผมเผลอสบตาคู่นั้นแล้วสะดุ้งโหยงรีบพยักหน้ารัวๆ รับรองเลยว่าผมจะทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นให้เชอเชสอุ้มได้ง่ายๆ ไม่ก่อปัญหาอะไรแน่นอนฮับ

“ดี ขอให้เทพีแห่งดวงจันทร์จงอำนวยพรแก่พวกเจ้า” ลุงหมียกปลายนิ้วขึ้นแตะหน้าผากให้คนอื่นๆ ทำตาม ไอ้เราก็ทำตามน้ำไปแบบงงๆ อำนวยพรก็อำนวยพร ขึ้นชื่อว่าพรจากผู้ใหญ่ รับๆ ไว้มีแต่ได้ไม่มีเสีย

“ขอเทพีแห่งดวงจันทร์จงอำนวยพรแด่ท่านเช่นกัน” ชาวกระต่ายพูดตอบในประโยคเดียวกัน

“...นะจ๊ะมึง”

ส่วนสามคำที่ต่อท้ายมาให้ผมโดยเฉพาะนี่ คงรู้นะฮะว่ามันออกมาจากปากใคร...



เส้นทางที่พวกผมจับฉลากมาได้(?) เป็นผืนป่ารกชัฏที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีฟ้าเงินจนบรรยากาศยิ่งเย็นยะเยือก แตกต่างจากดินแดนน้ำแข็งที่จำลองขึ้นจากฝีมือมนุษย์อย่างทาบไม่ติด เสียงย่ำเท้าลงบนเกล็ดน้ำแข็งที่ถูกบดจนอัดรวมกันค่อนข้างเสียดหู ลมหนาวที่ปะทะเข้าหน้าก็ช่างไร้ความปราณีต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้มนตราไม่ได้อย่างผมซะเหลือเกิน

“หนาวมากหรือครับ?” เชอเชสที่จับผมอุ้มในท่าประจำที่ไม่ใช่การนั่งพาดบ่าเหมือนตอนแรกก้มลงถามผมที่ซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกเขามากกว่าเก่า

สารภาพตามตรง ผมไม่เคยรู้สึกอิจฉาไอ้ธาครั้งไหนเท่านี้มาก่อนเลยที่มันสามารถใช้เวทมนต์ทำให้ตัวเองอุ่นได้ ...ก็ที่มันแอ่นพุงอวดผมนั่นล่ะครับ เท้าเอวยืนจังก้าเพื่อจะบอกว่าตัวข้าไม่หนาวแล้วเพราะนาเทลได้สอนร่ายมนต์บทนั้นให้ ว่าที่เทพกระต่ายอย่างมันที่ได้รับพรจากดวงจันทร์จนสามารถใช้เวทมนต์ได้จึงสบายแฮไป ต่างจากผมที่ใช้เวทย์อะไรไม่ได้สักอย่างจนอยากล้มตัวลงไปกระซิกๆ ที่พื้นกับความไม่ยุติธรรมในครั้งนี้ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้เชอเชออุ้มเดินหน้าต่อไป(อนาถจริงกรู)

กลุ่มของผมมีเซริมที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจจับสิ่งผิดปรกติคอยเดินนำหน้า เชอเชสอยู่กลาง ปิดท้ายด้วยฟาฮาที่คอยระวังหลังให้ทุกคนพร้อมกับลบรอยเท้าไปด้วย พวกเราเดินทางกันค่อนข้างเร็วเพื่อแข่งกับเวลาโดยมีเส้นตายอยู่ที่พระอาทิตย์ตกดิน

แต่เคยได้ยินกันไหมครับ ที่เขาว่ากันว่าพระเจ้ามักประทานบททดสอบมาให้มนุษย์อย่างเราเสมอ ชีวิตง่ายไปมันจะมีอะไรให้ตื่นเต้น ประเดี๋ยวมันจะไม่เร้าใจ

That's why คำๆ นี้ถึงดังออกมาจากปากเจ้าดำที่กระโดดลิ่วๆ นำหน้ามาโดยตลอด

”หยุดก่อนขอรับ”

ครับ หยุดก่อนครับ เจอคำนี้ทีไรไอ้สิ่งที่มาเยือนต่อจากนี้ไม่เคยจะมีเรื่องดีเลยสักอย่าง ไม่เจอสัตว์ป่าก็เจอศัตรู ถ้ามี ก. กับ ข. ให้เลือก ผมขอเลือกข้อ ก. เป็นคำตอบสุดท้าย แล้วไปนั่งลุ้นรอฟังคำตอบที่ต้องบอกว่าเสียใจด้วย คุณตอบผิด คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ ข. ศัตรูจ้า เย้~

ผมอยากจะร้องไห้เมื่อเชอเชส ฟาฮาและเจ้าดำรีบถลาเข้าหาพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุดจนแทบจะสิงเป็นร่างเดียวกัน เจ้าสีเงินรีบร่ายมนตรารัวเร็วแข่งกับเวลา ไม่นานนักแสงสีขาวประกายมุกก็ครอบคลุมร่างพวกเราทั้งหมดเอาไว้พอดีกับเงาร่างสีฟ้าเงินที่กลืนไปกับดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้จะปรากฏกายขึ้นฝูงใหญ่ พวกมันเคลื่อนไหวรวดเร็วไปในทิศทางเดียวกัน หนึ่งในนั้นหยุดทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหากลิ่นแปลกปลอมที่จับสัมผัสได้บางเบา ร่างสีขาวโพลนกระโดดออกจากกลุ่มไปยืนทะนงองอาจอยู่บนก้อนหินใหญ่ยักษ์ สักพักก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นคนเพื่อใช้พลังอะไรบางอย่างให้คนที่แอบซุ่มอยู่ไม่ไกลอย่างผมนึกอยากร้องไห้กลับบ้านขึ้นมาครามครัน

นั่นมันมนุษย์หมาป่านี่นา...

หมาป่า=สัตว์กินเนื้อ=นักล่า

กระต่าย=สัตว์กินหญ้า=จะเอาอะไรไปสู้หมาป่า=ตายแหงแซะไม่ต้องสงสัย

ตรรกะในใจของผมคำนวณผลลัพธ์ออกมาเรียบร้อยว่าทางรอดของฝั่งนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน ฮือออ นี่ผมต้องมาตายบนดวงจันทร์โดยไม่มีโอกาสได้กลับไปกอดพ่อกับแม่ที่บ้านจริงดิ ไม่เอาอย่างงั้นน้าาา

‘อย่าเพิ่งดูถูกฝีมือพวกข้าสิครับ’

เจ้าม่วงที่เริ่มอ่านใจผมเป็นกิจวัตรเริ่มทำเสียงเง้างอดกอดผมแน่นขึ้น เฮ้ยๆๆ เวลาอย่างนี้ยังมีกะจิตกะใจมากอดรัดฟัดแก้มผมอีกนะ จะหน้ามึนได้เนียนเกินไปแล้ว!

‘กำลังใจไงครับ’ ทุกทีก็อ้างคำๆ นี้ตลอด เปลี่ยนบ้างเหอะ ผมเอียน!

‘เอียน?’ เจอศัพท์วัยรุ่นของไทยเข้าไปหน่อยนี่ทำงงตลอด

‘ก็แปลว่า เบื่อ ไงเล่า!’

ร่างเจ้าสีม่วงชะงักไปนิด คิ้วตกลงหน่อยๆ ดูท่าคำว่า ‘เบื่อ’ ของผมจะเป็นอีกหนึ่งคำต้องห้ามสำหรับเจ้ากระต่ายนี่ซะแล้ว

‘ผมล้อเล่นนะ อย่าทำหน้างั้นสิ เดี๋ยวไม่มีแรงไปบู๊กับหมาพวกนั้นแล้วจะแย่เอานะ’

ตัวผมนี่แหละครับที่จะแย่... แค่เชอเชสสลัดผมทิ้งไว้กลางทางผมก็แข็งตายเพราะความหนาวได้แล้ว เรื่องจะแล่นไปพะบู๊กับคนอื่นเขานี่พับความคิดนี้เก็บทิ้งไปได้เลย

‘ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีวันทิ้งท่านได้ลง’

จ้ะ... พ่อคู้นนน จะทำคะแนนกับผมก็เลือกเวลาหน่อยไหม เจ้าหมาในร่างคนนั่นเริ่มลงมือทำอะไรก็ไม่รู้ไปแล้ว

‘เวทย์เสาะหา…’ ผู้รู้จริงเพียงมองปราดเดียวก็สามารถให้คำตอบกับผมได้ ผมฟังชื่อเวทย์แล้วของแทบขึ้น

แค่ชื่อเวทย์ก็ไม่น่าคบหาแล้วโว้ยยย!

‘ใจเย็นๆ ก่อนครับท่านวี เวทย์อำพรางของฟาฮาลบเลือนได้ทั้งกลิ่นและร่องรอย เจ้านั่นไม่มีทางสืบรู้หรอกว่าพวกเราหลบซ่อนตัวกันอยู่ตรงนี้ ที่ลองใช้เวทย์บทนั้นดูน่าจะทำไปตามสัญชาตญาณของเผ่ามากกว่า’

เชอเชสคงหมายถึงสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่สามารถรับรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเล็ดรอดอยู่บริเวณนี้ ทว่ากลับจับสัมผัสอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะรูป รส กลิ่น เสียง เลยเปลี่ยนจากการตามหาด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดหันไปพึ่งพาเวทย์แทน จมูกไวและเซนส์ดีสมกับเป็นสัตว์จำพวกเจ้าตูบเลยเนอะ แต่ขอโทษ ฝีมือซ่อนตัวของกระต่ายฝั่งนี้นี่เทพกว่าครัช ฮ่าๆๆ

“ท่านนายกอง!”

หมาป่าสีฟ้าเงินอีกตัวกระโจนขึ้นไปบนก้อนหินรวดเดียวถึง มันกลายร่างเป็นชายหนุ่มผมยาวรูปไม่หล่อเท่าไหร่แต่หุ่นนี่นักเพาะกายมาเองชัดๆ เขาโน้มตัวลงกระซิบบอกข่าวบางอย่างกับคนที่มีตำแหน่งนายกองรั้งคออยู่ ให้รอยยิ้มน่าขนลุกผุดวาบขึ้นมาบนใบหน้าที่ติดเย็นชาของเจ้าตัว

“หึ ที่แท้พวกมันก็ฝ่าอาณาเขตของพวกเราเข้ามาแล้ว”

คำพูดนี้ทำเอากระต่ายสามตัวสะดุ้งกันเป็นแถว ไม่คิดว่าพวกมันจะรู้ตัวกันไวกว่าที่ท่านดาเนสคาดการณ์เอาไว้ถึงสี่ชั่วยาม

ผมอยากล้มลงไปกระซิกที่พื้นอีกรอบ งานยากแม่งดาหน้าเข้ามาอีกแล้วครับท่าน...

“จะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ ท่านนายกอง”

พี่เพาะกล้ามยังคงรั้งรอคำสั่งจากคนที่ตำแหน่งเหนือกว่า ชายผู้มีเรือนผมสีหมอกเพียงแค่นยิ้มจนดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกเปล่งประกายเรืองรองน่าขนลุก คำตอบที่หลุดออกมาจากปากสีซีดของเขาทำเอาแผ่นหลังของผมสะท้านเฮือก

“เราจะล่ากระต่ายกัน”



เผ่นป่าราบ งานนี้ต้องเผ่นป่าราบ!

ร่างทั้งร่างของผมสั่นสะเทือนเพราะกระต่ายรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นนามว่าเชอเชสกำลังพาผมทะยานหนีฝูงหมา(ป่า)ฝูงใหญ่ เน้นว่าใหญ่มาก แต่ละตัวขนาดน่ารักกำลังดี ถ้ายืนสองขานี่เผลอๆ แม่งสูงกว่ากูอีกครับ!

เชอเชส ไหนนายอวยนักว่าเวทย์อำพรางของฟาฮามันแหล่มสลัดไง ไหงพวกเราถึงถูกพบตัวได้เร็วขนาดนี้เล่า!?

ผมหลับตาปี๋ร้องโวยวายในใจ ใช่แล้วครับ หลังจากเจ้าหมาป่าสีขาวตัวนั้นพูดว่าจะ 'ล่า' กระต่าย หมาป่าสีฟ้าเงินที่ไม่รู้ย่องมาข้างหลังพวกผมตอนไหนก็ตวัดอุ้งตีนแถมด้วยเล็บแหลมเฟี้ยวตะปบลงมากะเอาหัวกระต่ายแถวนี้ขาดกันไปข้าง

ต่อจากนั้นจะเหลืออะไรอีกล่ะครับ วิ่งสิวิ่ง สี่คูณร้อย ห้าคูณเก้า เข้าเกียร์ D แล้วเหยียบมิดล้อฝ่าอากาศหนาวๆ ที่ทำเอาสองแก้มของผมด้านชาไปหมด

ฟาฮาที่วิ่งนำหน้าสะบัดดาบวูบวาบฟันร่างหมาตัวแล้วตัวเล่าที่เข้ามาขวางลู่วิ่ง(?) หน้าที่เปิดทางเป็นของเจ้าสีเงินที่ลงมือได้เฉียบขาดและดุดันกว่า ตามหลังมาคือเชอเชสที่ร่ายเวทย์โจมตีถล่มกลุ่มหมาที่วิ่งขนาบข้างขึ้นมาเหมือนอยากสนิทชิดเชื้อด้วย(แต่กูไม่) ปิดท้ายด้วยเจ้าดำเซริมที่คอยจัดการเก็บหมาที่กระโจนใส่จากทางข้างหลัง ถึงแม้จะทุลักทุเลและพลาดท่าจนเสียเลือดไปบ้างแต่เจ้าดำก็ไม่มีแม้แต่จะปริปากบ่น ส่วนผมเกาะเสื้อคลุมของเชอเชสแน่น ทำตัวเป็นตัวถ่วงที่ดีด้วยการอยู่นิ่งๆ และคิดหาทางออกให้พวกเราไปในตัว

'เชอเชส ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราได้เสียทีเจ้าหมาพวกนี้แน่ หาพื้นที่ที่ข้างหลังเป็นผาหินเถอะ อย่าดึงดันไปต่อในสภาพนี้เลย'

'แบบนั้นเขาเรียกว่าถูกไล่ต้อนจนจนมุมนะครับ ข้าไม่เห็นด้วย' เจ้าม่วงตอบกลับเสียงแข็ง ปากยังคงร่ายเวทย์โจมตีไปด้วย แยกประสาทเก่งซะจนผมยังนึกทึ่ง

'เชื่อผมเถอะเชอเชส ขืนยังฝืนวิ่งไปสู้ไปแบบนี้ พวกเราจะพลาดท่าเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น'

ความเร็วของหมาป่าที่เป็นสัตว์นักล่ามาตั้งแต่กำเนิดย่อมว่องไวและปราดเปรียวยิ่งกว่ากระต่ายที่มีพื้นฐานเป็นสัตว์รักสงบ ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังเป็นถึงเจ้าถิ่นที่เดินเหินป่านี้เสมือนเป็นสนามเด็กเล่นหน้าบ้าน ลำพังมาแค่สองสามตัวยังนับว่าจำนวนสูสีพอวัดกันที่ฝีมือได้ แต่นี่เล่นมากันเป็นกองทัพ ความได้เปรียบย่อมเห็นชัดจนได้แต่เป็นฝ่ายล่าถอย หรือพูดให้ถูกคือเป็นฝั่งที่ถูกไล่ล่าแต่เพียงฝ่ายเดียว ถึงจะโต้ตอบกลับไปได้บ้าง แต่พอล้มตัวหนึ่งไป อีกตัวก็เข้ามาแทนที่ โจมตีซ้ำๆ ไม่มีหยุดชะงักจนฝ่ายที่เหนื่อยหอบก่อนเริ่มโต้ตอบได้ช้าลง บาดแผลเริ่มปรากฏให้เห็นเต็มตัว อาบย้อมเสื้อผ้าสีเข้มจนได้กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ

'เชอเชส!'

ผมเร่งเร้าเจ้าม่วงที่ดูสถานการณ์ออกเหมือนกันว่าฝ่ายเราเป็นรองเจ้าถิ่นขนาดไหน เขาเม้มปากแน่น ก่อนตัดสินใจตะโกนสั่งสององครักษ์ให้วิ่งตามมา นำไปอีกทางที่ผมจำได้คร่าวๆ ว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ที่ถูกล้อมด้วยหินผา อย่างน้อยหลังติดหินก็ดีกว่าถูกหมาป่าฝูงใหญ่ตีวงล้อมเป็นวงกลมจนรับมือลำบากมากกว่าเดิมล่ะน่า!

“ท่านเชอเชส ที่นี่มัน...”

เซริมที่เห็นเงาสีดำทาบทับจนเกือบบดบังแสงตะวันจนมิดแอบผงะไปเล็กน้อยเมื่อเจอกับผาหินสูงชันตรงหน้า เจ้าดำหันไปจ้องตากับเจ้าสีเงินอย่างขอความเห็น ทว่าแม้แต่ฟาฮาก็ไม่มีคำตอบให้

“เชอเชสปล่อยผมลง ฟาฮา รักษาบาดแผลของตัวเองกับเซริมซะ เราจะตั้งรับเจ้าหมาพวกนั้นกันที่นี่”

ผมสั่งรวดเดียวให้กระต่ายทั้งสามเร่งมือทำตามโดยเร็ว หมาป่าสีเงินกลุ่มหนึ่งที่ตามติดมาโดนเชอเชสเก็บเรียบตรงปากทางเข้าไปแล้วกลุ่มหนึ่ง เราคงซื้อเวลาเพื่อเตรียมตัวได้อีกนิดหน่อยก่อนที่กองทัพหมาป่าทั้งหมดจะตามมาสมทบกับพวกกองหน้า ที่เวลานี้แยกเขี้ยวอวดฟันขาวตีวงล้อมเข้ามาใกล้พวกผมทุกที

'เชอเชสฟังผมนะ ต่อจากนี้ไม่ต้องเป็นห่วงผม หน้าที่ของนายคือกำจัดหมาพวกนั้นให้หมด ส่วนผม จะคอยสนับสนุนอยู่ตรงนี้เอง'

เจ้าม่วงทำหน้าเป็นห่วงเมื่อเห็นผมยืนสั่นท่ามกลางความหนาวที่โหดร้ายกับมนุษย์โลกอย่างผมมาก ผมเลยยิ้มกว้างให้เขาวางใจ หนาวแค่นี้น่ะไม่เท่าไหร่หรอก เทียบกับการถูกหมาขย้ำจนต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แล้ว อย่างหลังมันเป็นปัญหากับผมมากกว่าเยอะ!

'แต่...'

'ไม่มีแต่ทั้งนั้น รีบทำให้มันจบๆ ซะ ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว!'

ผมไม่ได้อยากทำตัวเป็นภรรยาขี้เหวี่ยงขี้วีนนะ แต่ผมหนาวนี่! หูผมเริ่มชา โพรงจมูกเริ่มแสบ มือเริ่มแข็งจากการถูกความเย็นกัดเซาะ ฮือออ อยากรีบกลับไปกอดเจ้าม่วงแล้วอ่ะ

'เข้าใจแล้วครับ' ไฟในกายกระต่ายบางตัวดูจะดุเดือดเลือดพล่านขึ้นมาแปลกๆ 'ข้าจะรีบจัดการ เจ้าพวกหมาโสโครกที่บังอาจทำให้ท่านต้องทนหนาวพวกนี้ให้เร็วที่สุด ช่วยอดทนอีกนิดนะครับ ท่านวี'

เอ่อะ... เมื่อกี้ผมเผลอพูดอะไรไม่คิดออกไปรึเปล่านะ?

แต่ช่างเถอะ เชอเชสมีไฟจะบู๊กับหมาขี้เรื้อนพวกนั้นก็ดีแล้ว ผมจะได้รีบกลับไปซุกความอุ่นจากเจ้าสีม่วงให้คลายหนาวเร็วๆ

อูยยย หนาวจริงวุ้ย!





-------------------------------------------------------------

นั่งอ่านคอมเม้นแล้วนั่งยิ้ม ดีใจที่มีคนชอบนิยายเกรียนๆ เรื่องนี้นะคะ  :กอด1:
บอกตามตรง ชีวิตจริงมีแต่คนบอกเราโคตรจะเรียบร้อยเลย(ทำไมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อกัน!) //พื้นฐานแล้วไม่ใช่คนตลก ออกแนวเล่าอะไรไปแล้วได้ยินเสียงการ้องด้วยซ้ำ (คือเพื่อนมันไม่ขำกันอ้ะ) การที่มาเขียนนิยายสายคอมเมดี้แล้วมีคนบอกว่าสนุก ขำ ฮามาก มันเลยทำให้เราค่อนข้างเซอไพรส์มากว่า เอ้ยยย จริงเหรอ! ไม่ได้หลอกกันใช่มั้ยเนี่ย (ยังงงอยู่จนถึงทุกวันนี้555555) เลยอยากจะขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กันนะคะ ตอนที่เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา เรามีความสุขกับมันมาก แล้วที่เอามาลงในเน็ตก็เพราะอยากแบ่งปันความสุข แบ่งปันโลกของเราที่มีน้องต่ายน่ารักน่าหยิกนี้ให้ทุกคนได้อ่านเหมือนกัน หวังว่านิยายของเราจะมอบความสุข / ความสนุก / รอยยิ้ม ให้ทุกคนได้ไม่มากก็น้อยนะค้าาา love u all :)
:hao7: :hao7: :hao7:

To : TIKA_n > ลุงหมีดาเนสเป็นเผ่าหมาป่าจ้า แต่แปรพรรคมาอยู่ฝั่งอาณาจักรแสงจันทร์เพราะเป็นเพื่อนสนิทคุณเชษฐ์ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 05-01-2016 19:27:51
จิ้มก่อน ยังไม่ได้อ่านนิยายแต่อ่านทอล์กเรียบร้อยแล้ว
สำหรับเราคือนิยายเรื่องนี้น่ารักมากกก ชอบพระเอกกระต่ายน้อยน่ารัก(?) สุดๆ นาเทลเราก็ชอบน้าา ที่เหลือ..เกรียนสัด 55 มาอัพต่อไปเรื่อยๆนะคะ วันนี้นั่งรีเฟรชหน้าหานิยายอัพอยู่ (แล้วก็เจอจริงๆหุหุ) สู้ๆต่อไปจ้าา
มาแบ่งโลกแห่งจินตนาการใบใหญ่กับคนอ่านต่อไปนะคะ
ปล.เชื่อจ้าว่าคนแต่งเป็นคนไสยๆ(?) 55
ปปล.ขอตอนต่อไปเลยมา!/โดนตบ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-01-2016 19:30:35
ความคิดที่ว่า อยากกลับไปกอดเจ้าม่วงแล้ว นี่ล่ะ เชื้อเพลิงชั้นดีที่จุดไฟให้เจ้าม่วงเลย  o13
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-01-2016 21:35:00
ฆ่ามานนนน
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 05-01-2016 21:36:18
กรวีและเชอเชสทั่นทั้งสองยังคงมุ่งมั่น(?) สร้างความมุ้งมิ้งงุ้งิ้เหลือเกิลลล ทั้งๆที่สถานการณ์คับขันเช่นนี้ 555555555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: missyaoi ที่ 06-01-2016 13:36:08
ขอร้องคนเขียนว่าอย่าทิ้งเรื่องนะคะ เพราะเราชอบมากกกกกกก น่ารัก กรี๊ดดดดด

ปล.บอกคนอื่นให้อัพ ไปอัพเรื่องตัวเองก่อนดีกว่าม้ายยยยย :z3:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 06-01-2016 13:40:12
งานนี้จิเป็นไงนะ.....รีบๆนะเชอเชส คุณชายาเค้าอยากกลับไปซุกเชอเชสไวๆแล้วเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-01-2016 14:04:23
วีอ่อยแบบไสย ๆ (?)
เจ้าหูม่วงสู้ไม่ถอยแน่ ๆ

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 06-01-2016 14:34:07
ถวายตัวเป็นแฟนคลับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 06-01-2016 15:35:25
อย่าลืมนะว่ากระต่ายเซ็กซ์จัด....
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.13::: Update 05/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 06-01-2016 20:25:45
ชักช้าอดกอดเมียนะจ๊ะ อิอิ :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -14-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 06-01-2016 22:29:08


-14-
อาวุธของผม โล่ของผม คนของผม



 
“วงแหวนผู้ผนึกพลังแห่งจันทรา จงแสดงร่างที่แท้จริงของเจ้าออกมาต่อหน้าข้า ในฐานะชายาแห่งดวงจันทร์ข้าขอบัญชา รีรีส!”

ประโยคปลดล็อคผนึกศาสตราวุธขั้นเทพของผมถูกเปล่งออกมาพร้อมกับนึกด่าโอตาคุที่สร้างอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาในใจ คุณเชษฐ์นะคุณเชษฐ์ ประโยคเท่ห์ๆ มีให้เลือกตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องเจาะจงเอาประโยคยอดฮิตของการ์ตูนสาวน้อยตาหวานที่ใช้คทาจิ้มการ์ดมาเป็นคีย์เวิร์ดด้วย(วะ)ครับ!

แหวนสองวงที่อยู่ภายใต้การครอบครองของผมเปล่งแสงตอบรับตามคำเรียก วงหนึ่งทอประกายสีขาวพิสุทธิ์ อีกวงเปล่งรัศมีสีน้ำเงินเรืองรอง สายลมที่ทำให้ผมหนาวขึ้นสามเท่าพัดกรูขึ้นมาจนชายผ้าพลิ้วไหวเสริมบารมีให้ผมดูดีขึ้นอีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

แต่คุณเชษฐ์ครับ...บางทีคุณอาจลืมคิดเผื่อกรณีที่ต้องใช้เจ้าแหวนสองวงนี้ในดินแดนน้ำแข็งที่แม่งหนาวจับจิตขยี้หัวใจ ไอ้เอฟเฟคพวกนี้บางทีลดละเลิกตัดๆ ไปบ้างก็ได้ ตัวผมแม่งจะแข็งตายอยู่แล้ว!

“สิบสองเขี้ยวจันทร์! โล่พิทักษ์จันทรา!”

นามที่ถูกตั้งขึ้นโดยเทพกระต่ายรุ่นที่ 43 ถูกเรียกขานออกมา พลันแหวนสีขาวปลอดบนนิ้วชี้ข้างขวาก็สลายกลายเป็นมวลสารสีเงินลอยละล่องอยู่รอบตัวผม

สาบานเหอะว่านี่คือโล่พิทักษ์จันทรา...

ถึงผมจะเคยลองฝึกใช้มันมาบ้างแล้ว แต่คือเข้าใจป่ะครับ ว่าโล่อ่ะโล่! มันควรเป็นอะไรที่แข็งๆ หนาๆ พอเอามาวางอยู่ตรงหน้าแล้วรู้สึกปลอดภัยเหมือนได้หลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ที่มั่นใจว่าอะไรก็ฟันแทงไม่เข้า มันต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? แต่นี่...

เฮ้อออ ผมล่ะไม่เข้าใจความคิดอันแสนบรรเจิดของคุณเชษฐ์เลยสักกะอย่าง แต่คนใช้อย่างผมจะพูดอะไรได้ ในเมื่อคนสร้างสร้างให้มันออกมาในรูปแบบนี้ ไอ้ผมที่ได้มาฟรีๆ(?)ก็ต้องกัดฟันใช้มันต่อไป

มีทางเลือกที่ไหนล่ะ...

 ขณะเดียวกัน พลอยสีฟ้าบนเนื้อแหวนสีน้ำเงินเข้มก็ส่องแสงเจิดจ้าก่อนจะพุ่งวาบออกไปรอบทิศเป็นเข็มนาฬิกา กำเนิดเป็นลูกไฟสิบสองดวงลุกไหม้อยู่กลางอากาศก่อนปลายศาสตราวุธแหลมคมจะค่อยๆ เผยคมเขี้ยวออกมาให้เห็นเป็นใบมีดแหลมเรียวสีน้ำเงินเข้มชี้เป้าไปที่อริศัตรู

ผมยกมือขึ้นกอดอกแล้วยกยิ้มขึ้นน้อยๆ แบบที่คิดว่าตัวเองจะดูดีที่สุดในท่วงท่านี้

แต่แม่ง...

ข้างหน้านี่ฟัดกันเละไม่สนใจฉากเปิดตัวของผมกันเลย!!!!!

“ท่านวี! ระวังครับ!!”

เจ้าม่วงที่ระเบิดพลังถล่มพวกหมาขี้เรื้อนจนล่าถอยไปไกลหันมาตะโกนบอกผม เส้นแสงสีทองพุ่งวาบขึ้นไปเหนือหัว เสียบทะลุร่างสีฟ้าเงินที่กระโจนลงมาจากหน้าผาแบบที่ล็อคเป้าไว้ตรงหัวผมแบบกะไม่พลาดเลยสักมิลเดียว คมหอกปักตรึงร่างไร้วิญญาณของเจ้าถิ่นบนผาหินห่างจากหัวผมไปไม่ถึงคืบ เลือดสดๆ ไหลรินลงมาเป็นสายให้สติผมขึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน

มัวแต่ทำเป็นเล่นไม่ได้แล้ว…

“บอกแต่ผมให้ระวัง ข้างหลังนายเปิดโล่งเชียวนะ”

ผมทะยานตัวทีเดียวถึงหน้าเจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ มือวาดขึ้นเหนือหัวก่อนสะบัดลงไปตรงหน้า มัจจุราชสีน้ำเงินพร้อมใจกันพุ่งเป้าไปที่หมาป่าตัวใหญ่ที่อาศัยจังหวะที่เชอเชสเผลอลอบโจมตีจากมุมอับ ผมนึกอโหสิให้เจ้าตูบตรงหน้านี่ในใจ ท่องเอาไว้

‘ไม่ฆ่ามัน มันก็ฆ่าเรา’

ฉึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คมมีดทั้งสิบสองทำงานได้ดีตามหน้าที่ของมัน ปักทะลุร่างสีฟ้าเงินจนขนของมันถูกย้อมด้วยสีแดงฉาน ร่างสี่ขาโอนเอนเล็กน้อยก่อนจะล้มตึงลงไปไร้ชีพจรของสิ่งมีชีวิต เชอเชสมองผมอย่างตกตะลึง เขาคงไม่คิดว่าผมจะกล้าลงมือได้เด็ดขาดและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

‘ใครว่าล่ะครับ ข้าเพียงแต่นึกทึ่งในตัวท่าน ชายาของข้ามีมุมที่น่าหลงใหลยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก’

เอ่อะ... มันหมายความว่าไงล่ะนั่น กูฆ่าหมานะครับไม่ใช่กำลังลูบหัวหมาสร้างภาพว่าตัวเองเป็นนายงามแสนดี มาบอกว่าหลงใหลนี่...แปลว่าเจ้ากระต่ายตัวนี้เป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงเรอะ!?

‘ข้าดูเป็นเช่นนั้นรึ?’

‘ก็เออน่ะเซ่!’

 “ท่านเชอเชส! ท่านวี!”

เซริมกับฟาฮากระโจนเข้ามาขัดบทสนทนา(ในใจ)ของผมกับเชอเชสเมื่อกองทัพหมาถอยร่นไปไกลเกินกว่าจะแยกตัวออกไปพะบู๊แบบฉายเดี่ยวได้อีกแล้ว “พวกมันปิดล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว จะเอาอย่างไรต่อดีขอรับ”

ผมกับเชอเชสลองมองตามที่เซริมรายงาน เป็นดั่งที่เจ้าดำพูดไว้ไม่มีผิด หมาป่าสีฟ้าเงินหลายสิบตัวยืนคุมอยู่ทั่วทุกทิศบนผาหิน ถ้าพวกมันคิดจะตั้งแคมป์กันที่นี่เห็นทีฝ่ายที่จะตกที่นั่งลำบากนั้นต้องเป็นพวกผมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ตอนนี้ผมขอ...

หมับ!

ขอกอดเจ้าม่วงเติมพลัง(ความอุ่น)ให้ตัวเองก่อนละกัน!

โอ๊ยยยย อุ่นจัง

“ตัวท่านเย็นไปหมดแล้ว”

เจ้าม่วงเองก็กอดผมกลับเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติที่มีคนกอดปุ๊บก็กอดตอบปั๊บ เขาถูๆ ตัวผมให้ความร้อนมันแล่นพล่านไปทั่วตัวผมเร็วขึ้น แม้การกระทำของเราจะไม่เข้ากับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานในตอนนี้เลย แต่เจ้าดำกับเจ้าสีเงินกลับหุบปากเงียบ ฟาฮาเพียงเบือนหน้าหลบไปอีกทางอย่างให้เกียรติ มีก็แต่เจ้าดำเซริมนี่ล่ะที่กล้ายิ้มล้อผมตรงๆ

เจ้าดำเอ๋ยเจ้าดำ... รอรอดจากที่นี่ไปได้เมื่อไหร่ผมขอกระโดดเตะสิ่งมีชีวิตดำๆ นี่สักทีเหอะ ขยันแซวกันได้ตลอด!

“เชอเชส ฟาฮา เซริม” ผมกระซิบเรียกเสียงเครียดให้กระต่ายทั้งสามหันมามองทางผม “อีกเดี๋ยวผมจะนับหนึ่งถึงสาม ให้เชอเชสนำหน้าตีฝ่าวงล้อมออกไป ผมจะคอยสนับสนุนอยู่ตรงกลาง ข้างหลังฝากพวกนายสองคนด้วยนะ”

“เอ๋!” เจ้าดำเบ้ปากเหมือนไม่อยากเห็นด้วยกับความคิดนี้ ผมเลยรีบส่งสายตาข่มขู่ให้อีกฝ่ายเงียบปากลง

“ฝั่งนั้นจำนวนน้อยลงกว่าตอนแรกตั้งเยอะ ทั้งยังไม่มีกำลังเสริมเข้ามาช่วย จากที่คะเนด้วยตาผม อย่างต่ำก็น่าจะบาดเจ็บและตายเกินครึ่ง ถ้าวัดกันด้วยฝีมือล่ะก็ทางเราเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ที่ต้องระวังก็มีแค่ตัวหัวหน้าที่ยืนคุมเชิงอยู่นั่น...” ผมเหลือบสายตาไปบนผาหินให้กระต่ายอีกสามรู้ว่าผมหมายถึงหมาป่าตัวไหน “ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมลงมือซักที แต่ทางที่ดีเรารีบออกจากที่นี่กันดีกว่า เส้นตายของท่านดาเนสยังดูน่ากลัวฝ่าฟูงหมาน้ำลายยืดพวกนี้ซะอีก พวกนายว่าจริงไหมล่ะ?”

“จริงครับ” เชอเชสรีบตอบเป็นคนแรก สีหน้าจริงจังซะจนผมนึกขำ ท่าทางเจ้าตัวจะรู้อิทธิฤทธิ์ของแม่ทัพเจ็ดดาบดีกว่าใคร ก็นับถือกันเป็นลุงหลานนี่นะ

ขนาดนายเหนือหัวของตนยังเห็นดีเห็นงามด้วย คนที่เป็นลูกน้องยังจะว่าอะไรได้อีกนอกจากยอมรับชะตากรรม(?)ทำตามคำสั่งของผมแต่โดยดี

ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนนับถอยหลัง “สาม...สอง...” มือค่อยๆ ละออกจากความอุ่นที่ไม่อยากปล่อยไปเลยให้ตายสิ เชอเชสยิ้มให้เหมือนเข้าใจ ก่อนร่างสูงใหญ่จะหมุนตัวออกวิ่งเมื่อผมนับถอยหลังจนครบ

พันจันทราส่องแสงเรืองอำนาจ พุ่งทะลวงทุกสิ่งที่ขวางหน้าช่วยเปิดทางให้พวกเราวิ่งกันได้ฉลุย เชอเชสชักดาบคู่กายเข้าปัดป้องเขี้ยวเล็บที่หลุดรอดออกมาจากรัศมีของพันจันทรา ร่างหมาป่าสีเงินบางตัวเริ่มกลับคืนสู่สภาพมนุษย์บ้างแล้วเมื่อรู้ดีว่าร่างสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ดีกว่าไม่สามารถต่อกรกับอาวุธที่เสกออกมาได้เรื่อยๆ อย่างพันจันทราได้ พวกมันเริ่มร่ายมนต์หากแต่ยังช้ากว่าจอมเวทย์เช่นฟาฮามากนัก ทันทีที่ขุมพลังในมือก่อตัวเป็นรูปร่าง ฟาฮาก็ร่ายมนต์ซ้อนทับสลายพลังเวทย์ในมือพวกนั้นไปจนหมดให้พวกหมาป่ายิ่งลนลานหนักกว่าเดิม

เชอเชสเคยบอกว่าฟาฮาเป็นจอมเวทย์สายสนับสนุน แม้ไม่มีเวทมนต์โจมตีแรงๆ เหมือนจอมเวทย์สายพลังธรรมชาติ แต่มนตราที่ฟาฮาถือครองอยู่นับว่ามีประโยชน์ยิ่งกว่ายามที่ต้องต่อสู้กับพวกใช้เวทย์ด้วยกัน ยิ่งเขาผนึกกำลังกับเซริมที่เป็นสายต่อสู้ที่แท้จริง การกำจัดศัตรูที่ถือคทาย่อมง่ายดายยิ่งกว่าไปพะบู๊กับพวกจับดาบถือโล่ อีกทั้งฝีดาบของฟาฮายังเจิดสะบัดไม่เป็นสองรองใคร เจ้าพวกหมาขี้เรื้อนที่บังอาจขวางทางกระต่ายบรมโคตรโหดทั้งสามคงได้นอนฝันร้ายกันไปอีกหลายคืน

ขวับ!!

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นเหนือหัวเจ้าม่วงที่นำอยู่หน้าสุด ผมเบิกตากว้าง รีบวาดมือขึ้นให้โล่หมอกสกัดกั้นการโจมตีที่มาจากมุมอับ ละอองแสงสีเงินควบแน่นกลางอากาศกลายเป็นโล่กระจกหกเหลี่ยมขวางกั้นอาวุธสังหารสีเงินได้ทันท่วงที ผมแหงนหน้าขึ้นมองตามทิศทางที่มีดสั้นเล่มนี้พุ่งตรงมาหมายเอาชีวิตคนของผมก็พบว่าเป็นเจ้าหมาป่าสีขาวที่ใช้ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบจ้องลงมาอยู่ก่อนแล้ว

“ชิ ออกโรงจนได้สิน่า” ผมก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าหมาป่าตนนี้คงไม่ยืนมองลูกน้องตกตายไปต่อหน้าเฉยๆ แน่ แต่ผมไม่คิดเลยว่ามันจะใจเย็นพอ...ให้พวกผมเริ่มหมดแรงก่อนค่อยลงมือ!

“ฝีมือไม่เลวเลยนี่ เจ้าพวกกระต่ายจากอาณาจักรแสงจันทร์ เล่นเอาลูกน้องของข้าไม่ตายก็สะบักสะบอมจนต้องกลับไปพักฟื้นยาวกันตั้งหลายคน นับว่าเก่งกาจใช้ได้”

ร่างสูงเพรียวที่เปี่ยมด้วยไออันตรายกระโดดลงมาจากหน้าผาที่มีความสูงเกินเจ็ดเมตร ตามมาด้วยเจ้ากล้ามที่กระโดดลงมาทีเดียวก็สร้างแรงสั่นสะเทือนไม่น้อยจนหิมะที่คากองอยู่ตามกิ่งไม้ถล่มลงมาจนหมดต้น ข้างหลังเป็นกองกำลังที่ดูมีฝีมือมากกว่าเจ้าพวกที่เข้ามาฟัดกับผมในตอนแรกอย่างทาบไม่ติด

ผมแอบขยับเข้าไปชิดเจ้าม่วงที่เหยียบเบรกตั้งแต่อีกฝ่ายเปิดปากทะยานตัวลงมาจากหน้าผาแล้ว

อา...ตอดความอุ่นเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็นับว่าไม่เลวเลยนะ หวังว่าเจ้าหัวหน้าหมาป่านั่นจะพูดยาวๆ หน่อย ร่ายอาขยานแบบกะเอาให้พวกผมหลับเลยก็ได้ ผมจะได้มีเวลาสะสมความอุ่นเอาไปใช้พะบู๊ต่อได้ไงล่ะ

“พวกท่านก็ชมกันเกินไป ฝีมือลูกน้องของกลุ่มหมาป่าสีหมอกเองก็ใช่ว่าแย่ เล่นเอาพวกข้าเสียเวลาไปมากเลยเชียวล่ะ” เจ้าม่วงสนทนาตอบช่วยซื้อเวลาให้ผมกักตุนความอุ่นเข้าหาตัว รู้ใจผมสมกับที่อยู่ด้วยกันมาเกือบสองเดือน เอาไว้กลับไปปราสาทคริสตัลเมื่อไหร่ผมจะขยี้ขนให้เป็นรางวัลแล้วกันนะ

‘เห~ เปลี่ยนจากลูบขนเป็นอย่างอื่นมิได้หรือครับ?’ ดวงตาสีม่วงเทาหันมาจ้องผมตาพราว เห็นแบบนี้แล้วคิดว่าผมยังจะยอมให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอีกไหม

‘ได้ บอกมาละกันว่าอยากได้อะไรเป็นรางวัล’ ในฐานะที่เจ้าม่วงทำตัวเป็นเด็กดีมาโดยตลอด อะไรที่ให้ได้ผมก็พร้อมให้ แต่ถ้าขออะไรแปลกๆ มานี่มีโบกนะ บอกไว้ก่อน...

‘ทราบแล้วครับ’

เชอเชสฉีกยิ้มอารมณ์ดี ขณะที่หมาป่าสีขาวในร่างคนขยับเดินเข้ามาใกล้อีกนิด ผมถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายตัวสูงมากกว่าที่คิด เขาเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีฟ้าเทาที่เน้นความคล่องตัวมากกว่าชุดป้องกันที่ทำจากเกราะอ่อน ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา หากไปเดินอวดโฉมที่เมืองไทยคงได้มีแมวมองตามฉุดให้ไปทำงานด้วย ก็เล่นหล่อระดับพระกาฬชนิดหาตัวจับได้ยากขนาดนี้เลยนี่นะ แต่ไอ้ตาเย็นๆ คู่นั้น...ไม่ต้องใช้มันจ้องมาทางผมได้ป่าววะ

“ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด หนึ่งในเจ้าชายแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ผู้สูงศักดิ์ถึงได้ลักลอบเข้ามายังอาณาเขตของเราด้วย ที่นี่มิใช่ที่ที่ท่านนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปได้ง่ายๆ หรอกนะ” เจ้าขาวแผ่รัศมีมาคุกดดันพวกผมจนบรรยากาศดูติดลบเพิ่มขึ้นอีกหลายองศา

เฮ้ยๆๆ เลิกปล่อยไอเย็นสักที มือผมแข็งไปหมดแล้ว!

“ข้ามานี่ย่อมมีธุระสำคัญแน่” เชอเชสยืดตัวตอบอย่างองอาจสมฐานะ ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วว่าเขาเป็นใครก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

“ธุระสำคัญอันใดหรือถึงทำให้ท่านละเมิดสนธิสัญญา ประพฤติตนเช่นโจรถ่อยบุกเข้าเขตแดนคนอื่นเช่นนี้”

อุว้า...วาจาเชือดเฉือนไม่ใช่เล่นเลยแฮะเจ้าหมอนี่ เล่นเอาผมเจ็บจี๊ดแทนเชอเชสนิดๆ เลยนะ

“พูดถึงสนธิสัญญาขึ้นมาก็ดี” เจ้าม่วงที่ดูกรุ่นๆ อยู่ไม่น้อยแค่นเสียงฮึออกมาเสียงดัง “เช่นนั้นข้าจะบอกให้รู้ไว้ ว่าคนที่ละเมิดสนธิสัญญาก่อนหาใช่ทางเราไม่ เป็นพวกเจ้าต่างหากที่เหิมเกริมขนาดส่งคนไปชิงตัวเทพกระต่ายมากักขังไว้ยังที่แห่งนี้ ที่พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะนำตัวคนของเราคืนเท่านั้น”

“ว่าอย่างไรนะ…” เจ้าขาวเลิกปล่อยรังสีพิฆาตพร้อมกับปรับอุณหภูมิให้กลับมาเป็นปรกติแล้ว แต่ไอ้ปรกติที่ว่าแม่งก็แช่แข็งตัวผมได้อยู่ดี ตอนนี้ผมเลยต้องเปลี่ยนไปกอดเจ้าดำแทน(แม้มันจะไม่เต็มใจเลยสักนิด) ปล่อยให้เชอเชสรับหน้าที่โต้ตอบแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนแทบเชือดกันตายได้ด้วยคำพูดกับท่านนายกองของฝ่ายหมาป่าต่อไป

“คำพูดข้ายังมิชัดเจนพออีกหรือ?”

สองฝ่ายยืนประชันหน้าอย่างไม่มีใครยอมถอย บังเกิดความเงียบขึ้นจนได้ยินเสียงสายลมหวีดหวิว ฟาฮากับเซริมเริ่มขยับนิ้วบริหารนิ้วมือกันแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคงไม่พ้นบทบู๊เลือดสาดกระจายกันอีกแน่ แต่หนุ่มหล่อเจ้าของผมสีหมอกกลับทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงด้วยการสั่งให้นายทหารหมาป่าทุกตนลดอาวุธลง มือเขายกขึ้นแตะหน้าอกข้างขวาค้อมกายให้กับพวกเรา

“หากเป็นดั่งที่พวกท่านว่ามาจริง ย่อมต้องเป็นฝ่ายเราที่จะลากตัวผู้กระทำผิดมารับโทษให้สาสม ข้าในฐานะนายกองที่หนึ่งแห่งกองกำลังพิทักษ์เงาจันทร์ที่ขึ้นตรงต่อองค์กษัตริย์โดยตรง จักขอนำเรื่องนี้ขึ้นถวายรายงานแด่องค์ราชา และให้สัญญาว่าจะช่วยเหลือท่านอย่างสุดความสามารถในการพาตัวเทพกระต่ายออกมาขอรับ”

จบคำของเจ้าขาว ผมก็สะกิดถามเจ้าดำที่ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยผิดปรกติว่า “ตกลงเราไม่ต้องสู้กันแล้วใช่ป่ะ?”

“ท..ท่าทางจะเป็นอย่างนั้น...นะขอรับ”

คนที่ผมยึดแขนทั้งสองให้กอดรอบคอผมไว้จากทางข้างหลังตอบเสียงตะกุกตะกัก ผมเลยแหงนหน้าจนหลังหัวชิดอกเจ้าดำที่ตัวสูงกว่า มองอย่างสงสัยว่าอยู่ดีๆ เจ้าหมอนี่เป็นอะไร ไข้จับสั่นกะทันหันเรอะ?

“ท่านวี...ได้โปรดเห็นใจเซริมด้วยเถิด” ประโยคนี้ฟาฮาเป็นคนพูด เขากระซิบอยู่ไม่ไกลจากตัวผมและเซริมเท่าไหร่ ให้ผมขมวดคิ้วงงว่าต้องเห็นใจเจ้าดำเรื่องอะไร เจ้าสีเงินเลยบอกใบ้ให้ผมแค่ว่า “ลองมองข้างหน้าดูสิขอรับ ท่านจะรู้เอง”

ผมลองมองตาม แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีม่วงอมเทาที่ดูจะไม่ยิ้มตามปาก

เอ่อะ... การเจรจาก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีไม่ใช่เหรอ เจ้าขาวก็บอกว่าจะยอมช่วยแล้วนี่ แล้วที่เชอเชสทำหน้าอย่างนี้...โกรธ? งอน? ไม่พอใจ?

แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ???




-----------------------------------------------------------------

เชสซิโด้มันหึงหนูไงลูก...

Ps. มาอัพก่อนไปนอน ฝันหวาน ฝันเห็นกระต่ายสีม่วงนะค้า  :z2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 06-01-2016 22:31:17
มาจิ้มๆ ฝันดีค่ะคนเขียน
รอตอนต่อไปจ้า (ไม่ทันได้อ่านแต่ทวงอย่างต่อเนื่อง 55)
V
V
กรี๊ดดดด มีหึงด้วย กลับวังไปจัดหนักเลยนะ!
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-01-2016 22:35:04
ิอร๊ายยยยยยยยย


คนมันหนาวอ่ะนะ ><

เป็นเราก็กอดทุกคนถ้าหนาวขนาดนั้น LOL
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-01-2016 22:54:29
มีหึงๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 06-01-2016 23:01:34
 :oo1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 06-01-2016 23:50:21
มีหึงด้วยเว้ย!!  เอาล่ะไงเชสซิโด้จะทำไงทีนี้5555
ก็คนมันหนาวน่ะ ต้องเข้าหาความอบอุ่นเป็นธรรมดา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 06-01-2016 23:53:13
:)
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Nam-Ing ที่ 07-01-2016 00:44:16
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 07-01-2016 09:23:36
โตตรชอบ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 07-01-2016 09:53:18
พลิกล็อคซะงั้น เรานึกว่าหัวหน้าหมาต้องเอาคืนซะอีก 555555
วีวี่ แกโตจนเป็นเมีย(?)เค้าได้แล้วนะ เค้าหึงแกเว้ยยย วีใสใสเกิ๊นน
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 07-01-2016 10:04:09
อุต๊ะ กระต่ายหึงวุ้ย
5555 ก็คนมันหนาวนิ ใช่มั้ยวี คิๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: noksamsee ที่ 07-01-2016 10:16:39
 :mew5:รางวัล  เจ้าม่วงจะขออะไรเน้อเป็นรางวัล
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 07-01-2016 11:50:16
พึ่งมาอ่านจร้า~~~!!!!
เรื่องนี้พลอตเรื่องค่อนข้างแหวกแนว ชอบมากๆเลย
อ่านแล้วไม่น่าเบื่อ ^0^ ชอบวีมากคร้าแหวกแนวดี 555555
ตอนหน้าเจ้าดำจะเปนไงน๊า โดนลมเพชรหึง อิอิ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 07-01-2016 13:17:39
มาอ่านรวดเดียวสองตอนเลย สนุก ตื่นเต้น และฮาจริงอะไรจริง ชอบมากกกก
แต่ทำไม ว่าที่เทพกระต่ายธาใช้เวทย์มนต์ให้ตัวอุ่นได้ แต่พระชายาวีใช้ไม่ได้อ่ะ
เชอเชสเนี่ย ไม่ว่าเวลาไหน สถานการณ์ไหน ต้องได้อ้อนได้หยอดที่รักตลอดเลยนะ น่ารัก  :-[
จริง ๆ เผชิญหน้ากับศัตรูน่ากลัว ๆ อย่างนี้ มันต้องเครียดมากเลยนะเนี่ย
แต่เจอคำบรรยายแบบเกรียน ๆ ของพระชายาเข้าไป ความเครียดหายไปเกินครึ่งเลย 555
น้องวีโชว์ความสามารถได้สมกับเป็นพระชายาจริง ๆ อย่างเท่ห์อ่ะ เริ่มโหดแล้วด้วยนะ
ชอบหัวหน้าหมาป่าสีหมอกจัง  หล่อแบบเย็นชา แต่มีเหตุมีผล เท่ห์มาก  :o8:
รอตอนต่อไปจ้า ลมเพชรหึงของเจ้าม่วงจะเป็นเช่นไรหนอ ฮาาา

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.14::: Update 06/01/2015 (P.6)
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 07-01-2016 13:55:21
มีหึงด้วยอ่ะ~~~  :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -15-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 07-01-2016 17:58:40



-15-
ง้อกระต่ายก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอก(มั้ง)





กระต่ายของผมงอนตุ๊บป่องซะแล้ว...

หลังสงบศึกกับกลุ่มหมาป่าสีหมอกหันมาจับมือเป็นพันธมิตรกันแทน เจ้าม่วงก็จับผมอุ้มในท่าเจ้าสาว เดินดุ่มๆ ตามการนำของนายกองที่หนึ่งแห่งกองกำลังอะไรซักอย่างนั่นไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ บรรยากาศอึมครึมคลับคล้ายพายุจะเข้าเล่นเอาผมไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกปลายตีนให้กระต่ายหน้าบูดแถวนี้ขุ่นข้องหมองใจเพิ่ม แม้แต่เจ้าตัวพูดมากอย่างเซริมยังเฉาลงเหมือนผักเปื่อยเพราะถูกเจ้านายตัวเองหมายหัวเอาไว้เต็มกระบาล

“นี่…” ผมจิ้มอกเจ้าม่วงเรียกกระต่ายตัวโตที่ทำหน้าเครียดแบบไม่กลัวตะคริวแดกหน้า

“เชอเชส~~~” เพิ่มระดับเสียงเง้างอดขึ้นอีกนิด เวลาอ้อนอยากได้ของอะไรจากแม่ ผมก็ใช้วิธีนี้ทุกที แล้วมันก็ใช้ได้ผลแทบจะทุกครั้งด้วยถ้าคุณป๋าไม่โผล่เข้ามาซัดก้านคอผมซะก่อนข้อหาไปออเซาะเมียแก (แต่นั่นก็แม่ผมนะเฮ้ย!)

“นี่จะไม่พูดกับผมจริงๆ ใช่มั้ย!” ผมงัดตัวขึ้นมาจ้องหน้าเขา จับล็อคสองแก้มของเขาเอาไว้ไม่ให้หันหน้าหนีได้

“ทำอย่างนี้มันอันตรายนะครับท่านวี” เขาเตือนผมให้รู้ว่าเรากำลังอยู่บนทางลาดชันที่พร้อมจะกลิ้งโค่โร่ตกเขาไปได้ทุกเมื่อ ทำเป็นเสียงเข้มนะเจ้ากระต่ายนี่...

“บอกมาก่อนว่างอนผมเรื่องอะไร” ผมทำเสียงเข้มแข่ง ไม่ชอบเลยที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายโกรธ? งอน? น้อยใจ? ไม่พอใจ? หรืออะไรก็ช่างเหอะ มีอะไรก็พูดมันออกมาสิ แมนๆ อ่ะเขาคุยกันด้วยคำพูดนะเฮ้ย คุยไม่รู้เรื่องก็ค่อยใช้หมัดคุย ไอ้มาเงียบให้ผมมานั่งเดาใจนี่... ไม่ใช่แนวว่ะ

“ท่านวีไม่ทราบจริงๆ หรือครับ?”

ถ้ากระผมทราบ กระผมจะลงทุนง้อ(?)อย่างที่เป็นอยู่นี่ไหมล่ะครับ?

จากตาดุๆ ที่เฉียงขึ้นยี่สิบห้าองศาเริ่มผ่อนคลายลง ผมเห็นนะว่ามุมปากมีแอบกระตุกยิ้มด้วยอ่ะ

“ไม่ชอบที่ผมไปกอดเซริม?” ก็ไม่ได้อยากจะคิดว่าเขาหึงผมหรอกนะ เพราะเขาก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย มาหงมาหึงกันมันจั๊กกะจี้น้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

“ท่านเป็นชายาของข้า การไปอยู่ในอ้อมกอดผู้อื่นนับว่าไม่เหมาะสม”

อ้อ ที่แท้ก็ห่วงในเรื่องของความเหมาะสม

“อีกอย่าง...”

อีกอย่าง?

“ข้าไม่ชอบที่เห็นท่านไปกอดใคร และไม่ชอบ...ที่เห็นท่านตกอยู่ในวงแขนคนอื่นด้วย”

ชัดไหมล่ะไอ้วี...เจ้ากระต่ายนี่มันหึงมึงอยู่ชัดๆๆๆๆๆๆๆๆ

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” ผมยกมือหนึ่งขึ้นปิดหน้า อีกมือยกขึ้นยอมแพ้ รู้แล้วว่าตัวเองทำพลาดที่ตรงไหน “ทีหลังจะไม่เที่ยวกอดใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว เพราะงั้นเลิกงอนผมนะ”

“อืม... ถ้ายอมจูบข้าสักที ข้าจะทำเป็นไม่เห็นอะไรที่มันบาดใจก่อนหน้านี้ก็ได้ครับ”

เจ้ากระต่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าฉีกยิ้มโรคจิตออกมาให้เห็น แถมเดี๋ยวนี้ยังฉลาดรู้จักต่อรองกับผมซะด้วย อย่าเห็นว่าผมทำผิดแล้วคิดจะเอาเปรียบผมได้ง่ายๆ นะเอ้ย!

“จริงด้วยสิ ข้ายังไม่ได้ไตร่ตรองความผิดของเซริมเลย โทษฐานที่บังอาจกอดชายาของรัชทายาทนี่ต้องได้รับโทษอย่างไรบ้างนะ ฟาฮา” เจ้าชายลำดับสามหันไปถามองครักษ์สีเงินของตนเอง ให้หนึ่งกระต่ายตัวดำๆ กับผมที่เป็นคนพากระต่ายตัวนั้นซวยพากันสะดุ้งโหยงพร้อมเพรียง

หน้าเจ้าดำเซริมนี่เบ้ไปแล้วครับ อีกนิดได้มีน้ำตาไหลพรากอ่ะที่รู้ว่าจะต้องถูกทำโทษ เขาหันมาสบตากับผมปิ๊งๆ ที่มีรหัสมอสแฝงมาบอกให้ผมช่วยเขาด้วย

เออ ทีนี้ล่ะมาทำหน้าอ้อนนะ ปรกตินี่ขยันแซวกันชิบหายวายป่วง

“เท่าที่ข้าจำได้ ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินชายาแห่งดวงจันทร์จักต้องถูกโบยด้วยไม้จันทร์ยี่สิบครั้ง อดข้าวอดน้ำสามวัน และถูกปลดออกจากราชการ ห้ามเข้าวังอีกตลอดชีวิตขอรับ”

เหอออออ แค่กอดกันนิดเดียว(เพื่อป้องกันผมหนาวตาย)นี่ถึงกับโดนโบย งดข้าว งดน้ำ งดหนม(?) ถูกปลด โดนไล่ออกจากวังกันเลยเรอะ!?

โหดร้ายกันเกินไปแล้ว!!!

“เชอเชส นั่น(เบ๊)คนสำคัญของนายเลยนะ!” สองมือผมตะปบแก้มเจ้าม่วงอีกครั้ง พูดเตือนสติให้เขาเห็นถึงข้อดีของเซริมเข้าไว้ “ถ้านายลงโทษแล้วไล่เซริมออก ต่อจากนี้ใครจะช่วย(แบกของให้)นายห๊ะ เวลาที่นายต่อสู้ ใครจะเป็นโล่เป็นหอกให้นาย(ถ้าไม่ใช่เจ้าบ้านี่ที่ออกหน้าแทนตลอด) ไหนจะตอนกินข้าว ก็เป็นเจ้าดำนี่ไม่ใช่รึไงที่เป็นคน(หนู)ทดลองพิษให้น่ะ คิดสิคิด องครักษ์ที่(หลอก)ใช้งานง่าย ทำได้สารพัด ไม่เกี่ยงงอนว่าจะเป็นงานหนักงานเบาแบบนี้  นายจะไปหาที่ไหนได้อีก!”

ไอ้ข้อความที่ละไว้ในวงเล็บนั่นผมไม่ได้พูดออกไปหรอก แต่คนที่สามารถอ่านใจผมได้ย่อมต้องมองออกแน่ว่าผมต้องการจะสื่ออะไร ร่างเจ้าตัวโตที่อุ้มผมอยู่เลยดูสั่นๆ เล็กน้อย ใบหน้าเริ่มหลุดจากการเก๊กขรึม ผมก็อยากจะตบไหล่เขาแล้วบอกว่า ‘เฮ้ น้องชาย อยากขำก็ขำมาเลยดิ จะกั๊กเอาไว้ทำไม’ อยู่หรอกนะ แต่คิดอีกที...ไม่เอาดีกว่า เจ้าม่วงเวลานี้ยิ่งผีเข้าผีออกอยู่ เกิดพูดไปแล้วเขาไม่เล่นด้วยนี่มีแป้กนะวีนะ

ผมทิ้งตัวกลับมานอน(?)เรียบร้อยเหมือนเก่าเมื่อคุณนายกองหมาป่าเอ่ยปากเร่งให้พวกเราเดินตามให้ทัน บรรยากาศมาคุก่อนหน้านี้ดีขึ้นหนึ่งระดับอันเป็นผลมาจากการ(หลอก)ด่าเจ้าดำเซริมไปหนึ่งยก เจ้าม่วงดูจะอารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน อย่างน้อยก็ไม่แผ่รังสีกดดันจนผมเผลอเกร็งตามไปด้วยแล้ว

ในระหว่างที่นอนโดยสารยานพาหนะสีม่วงไปเรื่อยๆ ผมก็คิดหาทางง้อ(?)ต่อ ปรกติเจ้าม่วงไม่ใช่เด็กขี้งอน น้อยครั้งนักที่เขาจะทำตึงตังใส่ผม นั่นแปลว่าเขาคงน้อยใจจริงอะไรจริงที่ผมไปซุกคนอื่นนอกจากเขา

เฮ้อออ เกิดมาสิบเจ็ดปีแฟนยังไม่เคยมี ทำไมกูถึงข้ามขั้นมาได้สามีแล้วมาเรียนรู้วิธีง้อหนุ่มในภาคปฏิบัติแทนที่จะเป็นสาวน้อยตาหวานรูปร่างอวบอึ๋มด้วยวะ... ก็ได้แต่บ่นไปงั้นแหละครับคุณกรวี แกมีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะ เพราะงั้นคิดสิคิด ทางอื่นที่จะทำให้เจ้าม่วงของนายหายงอนโดยไม่ต้องจูบปากง้อน่ะ

“เชอเชสครับ”

เอาดิ กูเริ่มพูดสุภาพด้วยแล้วนะ จะไม่หายงอนก็ให้มันรู้ไป

“หายงอนวีนะ”

ผมช้อนตาอ้อน แทนตัวเองด้วยชื่อแทนที่จะเป็นคำว่าผม ปิดท้ายด้วยการยกสองมือขึ้นคล้องคออ้อนกระต่ายขี้น้อยใจด้วยมารยาทั้งหมดที่มี(ทำไมกูเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแรดจังวะ)

“นะ” กระเซ้าอีกนิดเพื่อสร้างดาเมจที่รุนแรงขั้น MAX

และผลลัพธ์ที่ได้...

“อ๊ากกกกกก หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะเชอเชส หยุด! หยุด!! ผมบอกให้หยุดไงเล่า!!!!!!!!”



โฮ...
ผมไปเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้อีกแล้ว!

ในขณะที่ผมยกสองมือขึ้นปิดหน้าไม่กล้าสบตาใคร ไอ้ตัวต้นเหตุดันเดินยิ้มแฉ่งอย่างกับอมดวงตะวันเข้าไปทั้งลูก แม่งงงงง คิดแล้วก็อยากจับกระต่ายแถวนี้ยัดลงหม้อ ต้มน้ำให้เดือด ตุ๋นให้เปื่อย เอาให้เนื้อยุ่ยจนจำสภาพไม่ได้เลยว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหนมาก่อน

เชอเชสนะเชอเชส กล้าดียังไงมาจับผมจูบต่อหน้ากระต่ายสองตัว บวกกับพวกหมาป่าที่จำนวนล่อไปอีกครึ่งร้อย อ๊ากๆๆๆ แค่คิดก็อยากจะลงไปกระซิกที่พื้น แดดิ้นด้วยความโกรธ เอาหน้าแนบหิมะให้หายร้อน ถ้าให้ดี เอาเจ้าตัวต้นเรื่องฝังแม่งทั้งเป็นใต้กองหิมะได้จะเป็นอะไรที่แหล่มเป็ดที่สุดในสามโลก!

ฮืออออ ผมอยากได้ยาลบล้างความจำ จะสาดแม่งล้างตาทุกคนที่ได้เห็นฉากอันไม่พึงประสงค์เมื่อครู่ จากนั้นก็เอามากลั้วปากต่อค่อยแดกแม่งให้ลืมเอง แต่ประเด็นคือผมไม่รู้จะไปหาไอ้ยาที่ว่านี่ที่ไหน ไว้เจอตัวคุณเชษฐ์เมื่อไหร่คงต้องลองถามเฮียแกดู เป็นเทพกระต่ายมาหลายปีถึงขั้นสร้างอาวุธและโล่สุดเจ๋งขึ้นมาได้ มันก็ต้องมีอะไรเด็ดๆ ให้ผมเอามาใช้ได้บ้างล่ะน่า

หรือผมจะจับเจ้าพวกนี้โหม่งต้นไม้เรียงตัวเลยดีวะ... เอาแม่งให้ความจำเสื่อมกันไปเลย

แต่ดูจากจำนวน...

เออ กูยอม

“กลุ้มใจขนาดนั้นเชียวหรือครับ?” พาหนะกระต่ายที่ยิ้มหน้าบานแข่งกับจานดาวเทียมบ้านผมถามยิ้มๆ เล่นเอาผมหน้าบูดหนักกว่าเก่าสิบเท่า ชิชะ ยังมีหน้ามาถาม

“ท่านเป็นชายาของข้า เรื่องพวกนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องอายใคร”

ผมรีบหันขวับไปถลึงตาใส่เขา

นี่มันตรรกะอะไรของเอ๊งงงงง!?!?!?

“หยุดเลยๆ” ผมยกมือขึ้นห้ามเจ้าตัวหน้าไม่อายที่กล้าปล้ำจูบผมต่อหน้าธารกำนัลกว่าครึ่งร้อย “ฟังนะเชอเชส ที่ประเทศของผมเขาค่อนข้างถือเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะกอด จูบ ลูบ คลำ หอมแก้ม หรืออะไรที่มันมากกว่านั้น ควรทำเวลาอยู่กันสองต่อสอง ไม่ใช่ต่อหน้าคนเป็นสิบๆ แบบนี้ เข้าใจไหม!?”

“แปลว่าถ้าอยู่กันสองคน ข้าสามารถทำได้สินะครับ”

“ชะ...” ผมเกือบหลวมตัวพูดคำว่าใช่ไปแล้ว ดีนะยังไหวตัวทัน เงยหน้ามองกระต่ายที่นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกทีแล้วตีหน้าเครียดขึ้นบ่งบอกว่าผมไม่เล่นด้วยนะเอ้ย “จะบ้าหรอ คนเราเวลาจะจูบกันมันต้องเต็มใจทั้งสองฝ่ายเซ่ ไม่ใช่มาบังคับจูบกันแบบนี้!”

“ท่านวีไม่อยากจูบกับข้าหรือ...”

เอาแล้วไง เจ้าม่วงนี่มันเริ่มงัดลูกอ้อนขึ้นมาใช้กับผมละไง ตานี่วิ้งๆ มาเลย ขาก็หยุดเดินอีกแล้ว เฮ้ยๆๆ เลิกตีหน้าเศร้าแล้วก้าวต่อไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปไม่ทันที่ท่านลุงหมีดาเนสนัดหรอก

“เชอเชส มันไม่ใช่อย่างนั้น...”

“แล้วมันอย่างไหนครับ”

โว๊ะ ทำไมต้องมาทำตาอ้อนเร่งเอาคำตอบด้วยวะ กูคิดไม่ทันนะเอ้ย!

“ก็...” คือแบบว่าคิดคำแถไม่ออกไงครับ เลยลากคำว่าก็ไปเสียยาวจนแทบจะกลายเป็นงูกินหางได้อยู่แล้ว

“ก็...?” ไอ้นี่ก็เร่งจัง

“อ่า...มันก็แบบว่า...ต้องดูอารมณ์ตอนนั้นด้วยมั้ง”

โอยยย เจ็บสีข้างแปล๊บๆ เลยว่ะไอ้วี แถไปแบบนี้เจ้าชายกระต่ายมันจะทรงเก็ทป่ะวะ ขนาดกูยังงงเลยว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เหอๆๆ

“อารมณ์สินะครับ...” เชอเชสผงกหัวเหมือนเข้าใจ แต่เข้าใจในทางไหนนี่ผมไม่คิดจะเอ่ยปากถามหรอกนะ เดี๋ยวงานเข้ากูอี๊กกกกกก



“ไอ้วี!!!”

“เชี่ยธา!!!”

“แสรดดด ทักกูได้น่าถีบมากกกกกกกก”

ผมหัวเราะฮ่าๆ เมื่อโดนเจ้าเพื่อนบ้าไล่ถีบจริงๆ อย่างที่ปากมันพูด ตอนนี้พวกเรามารวมพลกันใต้ต้นไม้ที่ออกผลสีทองคำกันครบหมดแล้วครับ โดยกลุ่มผมมาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย โดนท่านลุงหมีเอ็ดไปชุดใหญ่เลยที่ทำอะไรชักช้า แต่พออธิบายสถานการณ์ให้ฟังพร้อมกับแนะนำผู้ร่วมขบวนการคนใหม่ให้รู้จัก จากที่โดนถล่มน้ำลายด่าใส่ไม่ยั้งเลยแปรเปลี่ยนกลายเป็นคำชมโดยพลัน เรียกได้ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังตีนกันเลยทีเดียว

“ไม่พบหน้ากันเสียนาน หวังว่าท่านคงสบายดีนะขอรับ ท่านลุงดาเนส” เจ้าสีหมอกโค้งตัวคำนับแม่ทัพร่างหมีที่แย้มยิ้มอย่างยินดีที่ได้เจอลูกชายของเพื่อนสนิท

“ข้าสบายดี ไม่คิดเลยว่าเจ้าสามจะไปป๊ะกับเจ้าเข้าโดยบังเอิญ นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของมันแล้ว” ชายร่างใหญ่คล้องคอเจ้าม่วงไว้แน่น ให้นายกองหมาป่ารับรู้ว่าเจ้าสามที่ท่านดาเนสพูดถึงนั้นหมายถึงใคร

“ท่านลุงกล่าวเกินไปแล้ว ฝีมือของท่านเชอเชสยังเหนือกว่าข้าอยู่หลายขุมนัก หากมีอันต้องปะทะกันจริง คงเป็นฝ่ายข้าที่อาจพลาดพลั้งเสียทีก่อน”

“เจ้าก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ฮ่าๆๆ มาๆ เดี๋ยวข้าจะแนะนำเจ้าหนูพวกนี้ให้เจ้าได้รู้จัก” ว่าแล้วก็ฟาดฝ่ามืออรหันต์ลงกลางหลังเจ้าสีหมอกดังป้าบจนผมเผลอสะดุ้งแทน เหอๆๆ ไม่ยั้งมือกันเลยสักนิด...

ไอเย็นๆ ที่แผ่ออกมาร่างเจ้าสีหมอกอาจไม่สะเทือนคนหนังหนาอย่างลุงหมีได้ แต่กับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยอย่างผมที่ไม่มีเวทย์ทำให้ตัวอุ่นอย่างคนอื่นเขานี่รับเคราะห์เต็มๆ เลยนะครัช...แกร๊ซซซ

แล้วกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรก็เริ่มต้นขึ้น ท่านดาเนสแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกับ 'เทรซัส เพอนาเชส' บุตรชายคนที่สิบสี่ของแม่ทัพสี่คทาผู้เป็นสหายร่วมรบของท่านแม่ทัพเจ็ดดาบ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็ลูกของเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยืนยันอีกแรงว่าไว้ใจได้ ผู้ใหญ่การันตีมาแบบนี้ทุกคนเลยอ้าแขนต้อนรับแต่โดยดี ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอีกนิดก็กลับเข้าเรื่องที่ว่าจะบุกเข้าไปชิงตัวเทพกระต่ายคืนมาอย่างไรไม่ให้มันเอิกเกริกจนเกินไป

“นี่เป็นแผนที่ปราสาทหลังนี้ขอรับ”

บุตรชายแม่ทัพสี่คทาใช้เวทย์เสกแผนที่สามมิติขึ้นมาให้ผมกับไอ้ธาตาพราว มันเป็นแบบจำลองสมจริงที่มีบอกไว้หมดว่าห้องหับมีทั้งหมดกี่ห้อง มีชั้นทั้งหมดกี่ชั้น กระทั่งเส้นทางใต้ดินก็ยังมี ไม่ทราบเหมือนกันว่าพี่แกไปก๊อปปี้มาจากไหนถึงได้หาข้อมูลได้ละเอียดยิบขนาดที่กับดักมีกี่ชั้น วางไว้ตรงไหนบ้างก็ยังระบุไว้หมด

“ท่านลุง ข้าวางเขตแดนทับของเก่าเรียบร้อยแล้วนะขอรับ”

เจ้าสี่ที่หน้าซีดหน่อยๆ เพราะใช้พลังมากเกินไปเดินเซกลับมารวมกลุ่ม ข้างกายมีสององครักษ์หน้าตาน่ารักคอยดูแล เซริมเคยกระซิบบอกว่าอย่าได้ถูกหน้าตาองครักษ์ของซอโรหลอกเอาเด็ดขาด เห็นหวานๆ น่าแกล้งแบบนั้นแต่ดันโหดสุดในบรรดาองครักษ์ด้วยกัน ใครยังไม่อยากชะตาขาดก็อย่าได้เอาปากไปแกว่งวาจาหาเรื่องเจ้าโหดสองตัวนี้ให้เงาหัวหาย ดีไม่ดีจะได้กลายเป็นศพในวันรุ่งขึ้น โชคดีหน่อยก็อาจแค่บาดเจ็บปางตาย แต่ไม่ว่าทางไหนก็จบไม่สวยสักทาง

“เหนื่อยเจ้าแล้วน้องสี่ ไปพักผ่อนก่อนเถิด ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกข้าเอง”

นาเทลตบไหล่ซอโรแล้วยิ้มให้ เชอเชสเองก็ทำตามแล้วสั่งให้องครักษ์หน้าหวานทั้งสองพาน้องชายคนเล็กของตัวเองไปนั่งพักให้หายเหนื่อย ไม่ลืมกำชับย้ำว่าให้ดูแลให้ดี เป็นเด็กติดพี่ไม่พอยังเป็นโรคห่วงน้องจนเกินเหตุอีกด้วยแฮะ ครอบครัวนี้รักใคร่กลมเกลียวกันดีแต้ คนนอกอย่างผมเห็นยังปลื้มใจแทนพ่อแม่ที่เลี้ยงเจ้าพวกนี้มาเองกับมือ

“เอาล่ะ จากสายข่าวของข้าที่ได้รับรายงานมา จุดที่คาดว่าน่าจะใช้เป็นที่คุมขังเจ้าบ้านั่นมีอยู่สี่ที่ คือนี่ นี่ นี่ และนี่”

นิ้วชี้จิ้มลงไปบนภาพโฮโรแกรมเกิดเป็นมาร์คสีขาวบอกตำแหน่งขึ้นมาสี่จุด สถานที่แรกคือยอดปราสาทที่อยู่สูงได้ใจ ถัดไปเป็นห้องที่อยู่ชั้นสามฝั่งขวาของปราสาท จุดที่สามเป็นบริเวณห้องเก็บของที่อยู่ชั้นหนึ่งหลังห้องครัว และสุดท้าย ตำแหน่งที่ทำให้ทุกคนหนักใจและไม่อยากไปสำรวจมากที่สุด...ห้องคุมขังนักโทษที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทรมาน

'เชอเชส เราไปห้องฝั่งขวากันดีมั้ย'

ผมถามความเห็นเจ้าม่วงอย่างไว เจ้าตัวที่ยังไงก็ได้พยักหน้าบอกตามไหนตามนั้น กำลังจะเปิดปากบอกท่านลุงหมีว่าผมขอเลือกไปที่นี่กับเชอเชส แต่ก็ยังช้ากว่าใครอีกคนที่กลัวที่สูง และไม่ถูกจริตกับที่มืดแคบ คุกใต้ดินนี่มันยิ่งอยากหนีห่างให้ไกล

“ผมกับนาเทลรับอาสาไปดูที่นี่ให้เองครับ!” เจ้าเพื่อนบ้าของผมจิ้มจึกลงตำแหน่งเดียวกับที่ผมเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรก สีหน้าแม่งมุ่งมั่นมาก ลองเอ่ยปากกล้าแย่งกับมันดูสิคงได้มีมวยต่อยตีกันไปข้าง

“ได้ ตกลงตามนั้น”

 คำตัดสินของท่านลุงหมีเป็นใบเบิกทางให้ไอ้เพื่อนตัวดีหันมายักคิ้วใส่ผม ระดับไอ้ธาที่คบหากันมานานมีหรอจะไม่รู้ว่าผมเองก็อยากเลือกไปที่ห้องนี้เหมือนกัน มันเลยรีบตัดหน้าผมไงครับ แบบใครไวกว่าได้ก่อน ใครช้าก็อดแดกไปตามระเบียบ ผู้พ่ายแพ้มีแต่ต้องช้ำใจกลับไปเท่านั้น

และคนนั้นคือกรู...

“งั้นผม...”

ผมกำลังจะจิ้มตำแหน่งใหม่ที่ดูไฉไลไม่แพ้ห้องทางปีกขวา แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าสี่ที่อยากขึ้นที่สูงไปสูดอากาศเย็นๆ ให้ชุ่มปอด ตำแหน่งหอคอยสูงละลิ่วที่น่าจะเห็นวิวทิวทัศน์ของอาณาจักรน้ำแข็งเกือบหมดจุดนี้เลยตกเป็นสถานที่สำรวจของเจ้ากระต่ายตาแดงไป ซอโรยิ้มพอใจก่อนกลับไปนอนตักองครักษ์ตัวเองเพื่อฟื้นฟูพลังต่อ เล่นเอาผมพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งที่ถูกตัดหน้าไปถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน (ซึ่งคนหลังบ่นแม่งไม่ได้ด้วยดิ เพราะองครักษ์แม่งโหดสลัดจนไม่อยากมีเรื่องด้วย)

ตอนนี้เลยเหลืออีกแค่สองห้องที่ห้องหนึ่งโคตะระจะไม่พิสมัยสำหรับผมเลย ครั้งนี้ผมจึงไม่รอช้า รีบจิ้มจึกลงไปยังตำแหน่งที่อยู่โซนหลังของปราสาทแบบไม่กะยกพื้นที่สำรวจตรงส่วนนี้ให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น

แต่คุณครับ เคยได้ยินประโยคที่ว่า 'ฟ้ากลั่นแกล้ง' กันบ้างไหมครับ

วินาทีที่ผมก้าวขาไปข้างหน้า พร้อมกับพุ่งปลายนิ้วไปยังตำแหน่งที่ต้องการ เล็งแบบกะไม่พลาดด้วยใจที่ตั้งมั่น ทว่าจังหวะที่ส้นเท้าย่ำลงไปบนพื้น ความลื่นที่เกิดจากน้ำแข็งเกาะกุมพื้นหินจึงบังเกิด

อย่างกับเป็นภาพสโลโมชั่นที่ผมเห็นตัวนิ้วตัวเองค่อยๆ ชี้ขึ้นฟ้า ขาที่ลื่นปรื้ดชี้โด่ชี้เด่ตามแรงหมุน ตัวไถลเข้าไปใต้ภาพโฮโลแกรมรูปปราสาทที่สร้างขึ้นจากเวทย์ของมนุษย์หมาป่าตาสีฟ้าที่เย็นเจี๊ยบถึงใจ แล้วมันก็ดันพอดี๊พอดีกับที่ปลายนิ้วชี้ของผมจิ้มจึกไปตรงห้องที่อยู่ชั้นล่างสุดของปราสาทที่ไม่ต้องบรรยายก็คงพอทราบว่าแม่งจะโคตรหลอนชวนจิตป่วงขนาดไหน

เห็นมาร์คสีขาวระบุตำแหน่งที่ผมจิ้มลงไปประหนึ่งว่าที่นี่กูจองแล้ว ห้ามใครหน้าไหนมาแย่งเด็ดขาด มันทำให้ผมอยากจะแหกปากร้องตะโกนออกมาดังๆ

งานเข้าตูข้าอีกแล้ว ไอ้วีเอ๊ยยยยย!!!!





--------------------------------------------------------------------
สโลแกนของนุ้งวีที่เจ๊ํขอตั้งให้ > เป็นนายเอกเรื่องนี้ต้องอดทน เจอกระต่ายชนต้องไม่ตาย
ซวยไม่บันยะบันยังต่อไปค่ะลูก แม่ชอบเห็นหนูดิ้นรน 555555555  :z13:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-01-2016 18:56:17
 :m20: ซวยได้ตลอด
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 07-01-2016 20:05:15
ทำบุญบ้างนะลูก 555 :z10:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-01-2016 20:52:21
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 07-01-2016 21:12:48
โอ๊ยยยย อีหนูวีเอ๊ยยย จะซวยไปถึงไหน 555
แหมๆๆๆๆ มีการอดอ้อนสามีตัวเองซะด้วย แรดนะตัว! 555
ปล.มาอัพทุกวันอย่างนี้ ชอบ! มาอัพพรุ่งนี้ต่อน้าาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 07-01-2016 22:38:45
งานเข้า 5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 07-01-2016 23:33:10
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 08-01-2016 00:19:59
บนดวงจันทร์มีใครรับสะเดาะเคราะห์มั้ย
จะพาวีวี่ไปซะหน่อย 5555 สงสัยปีชงของนาง ก๊ากกก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-01-2016 04:09:56
คราวนี้แหละ ได้ทดลองฝีมือแน่ๆพระชายา5555
โอ๊ยยยยยยย!!  กระต่ายน่ารักง่ะ มีหึงมีหวงด้วย ถ้าได้แบบนี้สักคนคงดีไม่น้อย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-01-2016 12:47:36
อ่อยแบบมึน ๆ
สู้แบบมั่ว ๆ
นอกใจว่าที่สามีแบบไม่รู้ตัว
เลือกสถานที่สำรวจแบบซุ่มซ่าม

เออ....ดิ้นรนต่อไปนะ....
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 08-01-2016 15:04:21
 น่ารักนะเรื่องนี้ พอดีคำจริงๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 08-01-2016 15:34:43
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: loukmoo ที่ 08-01-2016 15:49:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-01-2016 19:43:17
ซวยจริงจริ๊งงงง :m20:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: missyaoi ที่ 09-01-2016 17:15:51
ชายาวีเค้าก็ตลก+ซวยได้ทุกสถานการณ์เน๊าะ :m20: บางทีไม่รู้จะสงสารหรือจะฮาดี 5555555 ชอบหัวส้มที่ตอนนี้เป็นหัวม่วงไปแล้ว ยิ่งตอนกลายเรื่องเป็นกระต่ายเพื่อง้อชายา ฮรืออออออออออออออออ น่ารักกกกกกกกกก ถ้าพี่เป็นชายาวี พี่จะขอให้กลายร่างแล้วจับฟัดพระสวามีทุกวันเลยค่าาาาา กรี๊สสสสสสสส
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.15::: Update 07/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 09-01-2016 23:47:38
อยากกอดเชอเชสแล้วววววว//โดนวีวี่ตบ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -16-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 10-01-2016 09:28:33



-16-
อาคมกลืนวิญญาณ




 
ผมขอยืนไว้อาลัยให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเองสักครู่หนึ่ง...

ไม่รู้ชาติที่แล้วผมไปทำกรรมอะไรเอาไว้นักหนา เกิดมาชาตินี้ถึงได้โดนพระเจ้ากลั่นแกล้ง เทวดาขัดขา เทพธิดาชังหน้า ซาตานรุมรัก ดวงมันเลยซวยไม่บันยะบันยัง ได้เปิดประสบการณ์ใหม่หลากหลายที่ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ลองสักครั้ง ทั้งเรื่องที่มีสามีเป็นตัวเป็นตน โดนผู้ชายด้วยกันปล้นจูบ ถูกเจ้าชายอุ้มแบบเจ้าหญิง และนี่ยังได้รับตั๋วเฟิร์สคลาสมาทัวร์ห้องใต้ดินของปราสาทหินหลังงามที่ตั้งอยู่บนดวงจันทร์

เอ็กซ์คลูซีฟกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!

หลังจัดกลุ่มกันใหม่แล้วแบ่งหน้าที่กันเสร็จสรรพ ท่านดาเนสก็ให้สัญญาณเริ่มลงมือปฏิบัติตามแผนการที่วางเอาไว้ ผมนี่แอบร้องกระซิกๆ อยู่ในใจที่ต้องไปเยี่ยมชมห้องขังนักโทษในคุกใต้ดินแทนที่จะเป็นส่วนอื่นๆ ของปราสาทหินหลังงาม

ในทีมของผมยังมีกระต่ายสามตัวหน้าเก่าเจ้าเดิม ที่เพิ่มขึ้นมามีแค่สิ่งมีชีวิตสีหมอกที่ท่านลุงหมีดาเนสส่งมาให้ช่วยคุ้มครองผมกับรัชทายาทคนสำคัญแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ หน้าพี่แกก็ดูเต็มใจจะช่วยคุ้มครองกูมากเลยครับ ตั้งแต่รับงานมาก็มีแต่กอดอกยืนเต๊ะหล่อ ไม่เปิดปากพูดอะไรกับผมเลยสักแอะ พอเข้าไปขอโทษเรื่องที่ผมกับพวกเชอเชสเจื๋อนลูกน้องในสังกัดเขาไปหลายตัว พี่แกเพียงพยักหน้ารับ บอกสั้นๆ ว่าไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นพี่แกก็กะเอาพวกผมถึงตายเหมือนกัน(ถ้าทำได้) ผมนี่ถึงกับร้องเหยดดดดดเสียงยาวอยู่ในใจ ห่างได้เป็นห่างไว้น่าจะเป็นผลดีต่อตัวผมมากกว่า

“ดูจากแผนผังของปราสาทแล้ว ลักลอบเข้าไปจากทางข้างหลังน่าจะดีที่สุดนะขอรับ”

เจ้าขาววิเคราะห์จากภาพโฮโลแกรมรูปปราสาทที่ให้เทรซัสช่วยเสกขึ้นมาอีกครั้ง ข้างๆ มีเจ้าดำชะเง้อคอมองอย่างสนใจ

เชอเชสลองขอความเห็นจากคนที่น่าจะชำนาญทางที่สุดดูบ้างว่าแผนการของฟาฮาโอเคดีไหม อยากแสดงความคิดเห็นอะไรหรือเปล่า เจ้าสีหมอกเพียงส่ายหน้าเบาๆ บอกทำตามที่ฟาฮาแนะนำมานั่นแหละเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว  พวกเราเลยจัดขบวนทัพกันใหม่ ให้เซริมนำหน้า ตามด้วยเทรซัส เชอเชส ผม และฟาฮาเป็นคนปิดท้าย

การลักลอบเข้าไปในปราสาทที่มีทหารยามพันธุ์โฮ่งเฝ้าอยู่ยั้วเยี้ยนี่เป็นอะไรที่ท้าทายมากสำหรับกระต่ายสามตัว ส่วนผมนี่...ได้แต่เดินตามเขาลูกเดียวครับ เจ้าม่วงมุดผมก็มุด เจ้าม่วงวิ่งผมก็รีบก้าวขาโกยตาม คิดภาพแล้วก็ตลกดีนะ เจ้าดำที่นำหน้าทำท่ายังไง คนที่เหลือก็พลอยทำตามไปด้วยเหมือนเรากำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่ จนกระทั่งมาถึงทางลงไปยังชั้นใต้ดินที่มีมนุษย์หมาป่ายืนเฝ้ายามอยู่หนาแน่น พวกนั้นเดินตรวจตรากันอย่างเข้มงวดจนผู้บุกรุกอย่างพวกผมหันหน้ามองกันอย่างแปลกใจ

ฟาฮาใช้เวทย์ลบเลือนกลิ่นอายพวกเราซ้ำสองก่อนตัวเขากับเซริมจะกระโจนออกจากที่ซ่อนเข้าไปย่ำยี(?)นายทหารผู้เคราะห์ร้ายสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าปากทางเข้า เชอเชสซัดพันจันทราเก็บกลุ่มที่กำลังเดินตรวจตราอยู่อีกฟาก เทรซัสจัดการอีกกลุ่มที่นั่งพักก๊งเหล้ากันอยู่ไม่ไกล ส่วนผม จะทำอะไรได้อีกนอกจากยืนให้กำลังใจทุกคนอย่างสุดความสามารถ...

หลังเก็บงานเสร็จเรียบร้อย ฟาฮาก็แสดงอภินิหารให้ผมปรบมือชื่นชมอีกครั้งด้วยการสร้างเวทย์ลวงตาทำทีเป็นว่าทหารชุดเมื่อกี้ยังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างแข็งขัน กว่าทหารชุดถัดไปจะมาผลัดเปลี่ยนเวรยาม พวกผมก็คงเผ่นแน่บไม่เหลือแม้แต่เงาหัวให้ไล่ตามไปแล้ว (คิดว่างั้นนะ)

ทางลงชั้นใต้ดินเหม็นกลิ่นอับนิดๆ มีคบเพลิงถูกจุดด้วยไฟเวทย์เว้นห่างเป็นช่วงๆ ทำให้บริเวณทางเดินไม่มืดชวนผีหลอกอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ ทางขวาเป็นผนังหินที่มีคราบอะไรไม่รู้เกรอะกรังเต็มไปหมด อีกข้างเป็นกรงเหล็กที่เอาไว้ใช้กักขังนักโทษ ยามนี้แต่ละห้องว่างเปล่าไร้ตัวคน พวกผมเลยเดินผ่านจุดตรงนี้ไปอย่างไร้ความสนใจ

เนื่องจากเซริมบุกตะลุยเข้ามาเคลียร์ทางให้ก่อนแล้ว ทางเดินจึงสะดวกปลอดโปร่งไม่มีสิ่งใดเกะกะขวางทางเพราะเจ้าดำทำงานเรียบร้อย เก็บร่างไร้สติของพวกทหารยามไว้ในกรงขังล็อคลงกลอนอย่างดีแบบที่น่าตบรางวัลให้ กระต่ายขยันแบบนี้เหมาะแก่การเก็บไว้ใช้งานยิ่งนัก!

“ช่วยด้วย... ช่วยพวกเราด้วยเถิด ปล่อยพวกเราออกไปที...”

พอเดินลึกเข้ามาอีกนิด นักโทษที่ถูกกักขังเอาไว้ห้องละหลายสิบคนก็พยายามยื่นมือออกรั้งตัวพวกผมเอาไว้ เชอเชสรีบกันตัวผมออกห่างจากกรงไปแนบสนิทชิดเชื้อกับกำแพงขึ้นราแทน คนที่เหลือเองก็เบี่ยงตัวหลบกันให้วุ่น แสงจากคบเพลิงทำให้ผมเห็นคนที่ถูกจับมาขังได้คร่าวๆ ส่วนใหญ่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เด็กเล็กที่ขนาดตัวเท่ายาอุลก็มีอยู่ตั้งหลายคน ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่นักโทษ น่าจะเป็นเด็กที่ถูกจับตัวมาขังมากกว่า

'เชอเชส เด็กพวกนี้...'

ผมกระตุกชายเสื้อเจ้าตัวโตที่เดินนำหน้า เวลานี้เจ้าม่วงไม่แย้มยิ้มชวนปวดจิตเหมือนยามปรกติอีกแล้ว เขาคงมาดสุขุมไว้มั่น เฝ้าระวังเต็มที่ เป็นภาพลักษณ์ที่ผมไม่ชินตาเอาซะเลย

'ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ ถ้าพวกเราปล่อยพวกเขาไปโดยไม่มีคนคอยคุ้มครอง ทหารยามที่เฝ้าระวังอยู่รอบนอกจะสังหารพวกเขาทันทีที่เจอตัว' เหตุผลที่เถียงไม่ออกตอบกลับมาให้ผมรู้ว่าควรใส่ใจกับอะไรก่อน ตอนนี้เลยได้แต่เดินตามการนำของคนข้างหน้าที่ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งระวังตัวแจเพิ่มขึ้นเท่านั้น

คบเพลิงที่เว้นช่วงห่างกันมากขึ้นทำให้ความอับชื้นหนาแน่นกว่าบริเวณที่พวกผมเดินผ่านมา จากกรงขังที่เป็นลูกกรงซี่ๆ ได้เปลี่ยนมาเป็นประตูเหล็กหนาบานทึบแทนที่ จากตรงนี้ยังมีทางเดินลงลึกไปอีกเป็นห้องกักขังนักโทษพิเศษและห้องที่ผมไม่อยากเข้าใกล้ที่สุด

...ห้องทรมาน...

เซริมเก็บทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าทางลงไปยังชั้น B2 ด้วยความเร็วที่แม้แต่ทหารหมาป่ายังมองตามไม่ทัน ปากทางที่ให้บรรยากาศน่าขนลุกผิดกับห้องขังโซนหน้าทะลักออกมาจนผมต้องรีบสะกิดไหล่เชอเชสขอไปยืนอยู่ข้างหน้าเขาแทน การมีเจ้าม่วงยืนประกบหลังเป็นอะไรที่ทำให้ผมอุ่นใจกว่าการที่เขาเดินนำอยู่ข้างหน้า เชอเชสเองก็ไม่ว่าอะไรกับคำขอที่เอาแต่ใจของผม เทรซัสมีหันมามองด้วยใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึก ส่วนกระต่ายอีกสองตัวที่เหลือไม่พูดอะไร ท่าทางจะชินแล้วที่เห็นผู้ชายสองคนออเซาะ(?)กัน...

“โล่พิทักษ์จันทรา”

ผมบังคับให้สายหมอกสีเงินรายล้อมรอบตัวพวกเราเอาไว้ ที่ไม่ได้เรียกใช้มันในตอนแรกเพราะแม่งกินพลังงานคนไร้เวทย์อย่างผมชิบหาย หากใช้งานมันตลอดเวลาไม่เกินสามชั่วโมงผมคงได้ลงไปนอนพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ ยิ่งถ้าใช้คู่กันกับสิบสองเขี้ยวจันทร์ที่กินพลังงานในตัวผมยิ่งกว่า...

เตรียมเตียงนอนให้ผมได้พักยาวๆ เลยเถอะ!

แสงสว่างที่เจิดจ้ายิ่งกว่าส่วนอื่นในชั้นใต้ดินอาบไล้พื้นหินหยาบและผนังที่อยู่ตรงสุดทางเดิน มีเสียงพูดคุยดังออกมาเป็นระยะ ฟังดูเคร่งเครียดขึงขัง เชอเชสพยักหน้าให้เจ้าดำไปดูลู่ทางก่อนที่จะลงมือ ร่างสูงในชุดทึมทึบที่กลืนไปกับผนังหินเอาหลังแนบกับกำแพง โผล่หัวออกไปดูสถานการณ์ นับจำนวนคนแล้วชูนิ้วโป้ง ชี้ กลางขึ้นบอกให้คนที่เหลือทราบว่าในห้องนั้นมีคนอยู่แปดคน ผมเห็นเชอเชสขยับมือตอบเซริมอีกสองสามครั้ง เจ้าดำก็ผลุบหายเข้าไปในห้องตามด้วยฟาฮาที่กระโจนเข้าไปร่วมวงกับเขาด้วย เสียงอ๊าก โอ๊ย วะ เฮ้ย ดังขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็เงียบลง ก่อนฟาฮาจะเดินทำหน้าเครียดออกมา

“ท่านเชอเชสขอรับ...” เขาพูดขึ้นเพียงเท่านั้น ให้ผมหันหน้าไปสบตาปิ๊งๆ กับเจ้าม่วงที่เก็บความกังวลเอาไว้ไม่มิด ผมเลยรีบก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องที่คาดว่าคุณเชษฐ์น่าจะถูกพามากักขังไว้ แล้วผมก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น...

ในห้องประมาณหกคูณหกเมตรเต็มไปด้วยเครื่องลงทัณฑ์ที่ส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียนออกมา บางชิ้นถูกอาบย้อมด้วยโลหิตจนแทบหาสีเก่าของมันไม่เจอ กลางห้องมีโต๊ะยาววางเรียงอยู่สามโต๊ะ ทำหน้าที่แทนเตียง บนนั้นมีศพที่ถูกชำแหละเละจนไม่เหลือเค้าร่างเดิมนอนเปลือยอยู่ ผมรีบชักตากลับก่อนที่อะไรๆ ในท้องจะพุ่งพรวดออกมาอวดสายตาหมาป่าและกระต่าย เชอเชสที่เดินตามมาข้างหลังขยับเข้ามาใกล้จนแผ่นหลังของผมแนบไปกับอกแกร่งของเขา ให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นนิดนึงที่มีที่พึ่งให้พักพิง

“ตรวจดูศพพวกนั้นซะ” เจ้าม่วงสั่งการคนสนิททั้งสองที่ตีหน้าเครียดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาเช็คศพกันด้วยวิธีไหน เพราะผมมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้นเมื่อเชอเชสใช้มือหนาของเขาปิดรอบดวงตาของผมเอาไว้ ส่วนท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างก็โอบรัดอยู่รอบคอของผม รั้งตัวผมเอาไว้ให้อยู่ในอ้อมกอดที่ทำให้หัวใจของผมค่อยๆ สงบลง

ยอมรับเลยว่าเจ้าม่วงคุมสติได้ดีกว่าผมมาก เขารับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างเยือกเย็นอย่างที่คนมีภาวะผู้นำพึงมี จัดการทุกอย่างได้ด้วยสติ ทั้งยังรอบคอบไม่ตื่นตูม ชั้นเชิงในส่วนนี้นับว่าผมยังห่างไกลกับเจ้าม่วงอยู่มาก คิดแล้วก็อยากยกนิ้วชมตัวเองเหลือเกินว่าสายตาของผมแหลมคมยิ่งนัก บทจะเลือกสามีทั้งทีก็ได้เทพม่วงคนนี้มาครอบครอง ไม่ให้ผมยืดอกภูมิใจ(นิดๆ)ได้ยังไงล่ะ

“มิใช่เทพกระต่ายขอรับ”

สิ้นเสียงฟาฮารายงาน ทั้งผมทั้งเซริมต่างถอนหายใจเป็นเสียงเดียวกัน มีก็แต่เชอเชสกับเทรซัสเท่านั้นที่นิ่งเงียบไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

“หมดหน้าที่ของพวกเราแล้ว รีบกลับไปที่นัดรวมตัวกันเถิด”

ฟาฮากับเซริมตอบรับคำสั่งนั้นอย่างพร้อมเพรียง เรียงขบวนเช่นตอนขามาก่อนก้าวเท้าออกจากห้อง ทว่ายังไม่ทันพ้นปากประตูที่เปิดโล่งเหมือนเชื้อเชิญให้คนนอกสามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อ วงแหวนที่ตราไว้บนพื้นพลันทำงานจนในห้องสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

เชอเชสรวบตัวผมขึ้นพาดบ่าพากระโจนออกนอกวงเวทย์สีแดงที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายอัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม พลันศพสามศพที่ถูกชำแหละไม่เหลือชิ้นดีถูกเส้นใยสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากวงเวทย์ตรึงรัดจนมีสภาพไม่ต่างจากดักแด้ ไอเวทย์ผันผวนรุนแรง เสียงคำรามดุจปีศาจที่ตะกายออกมาจากนรกภูมิดังก้องห้องทรมาน

ข้าเจ็บ... ข้าหนาว... ทรมานเหลือเกิน.....

คำเบสิคที่มักได้ยินในหนังผีดังเป็นซาวด์เอฟเฟคให้มนุษย์โลกผู้สง่างามเช่นผมขาสั่นแข่งกับพื้นดินที่กำลังไหวสะท้านจนได้ยินเสียงปริแตกของอาคารและข้าวของหล่นลงพื้นดังโคร้งเคร้ง

ผมเร่งให้เชอเชสรีบโกยสิบคูณล้าน(ร้อยไม่พอ) ขอเถอะ รีบๆ ออกไปซักที ถึงตอนอยู่บนโลกผมจะไม่ใช่คนกลัวผีขั้นเทพเท่าไอ้ธา แต่ไม่ใช่ว่าเจอผีอยู่ตรงหน้าแล้วผมจะไม่กลัวนะเฮ้ย!

“ข้าก็อยากพาท่านออกไปให้ไวที่สุดเช่นกันครับ ติดก็แต่...”

แต่อะไร!?

ผมที่โดนจับพาดไหล่ไม่รอให้เจ้าม่วงเฉลยคำตอบที่ไม่อยากฟังมาให้ เลยขอดันตัวเองขึ้นแล้วเอี้ยวตัวหันไปมองด้วยสองตาของตัวเอง ไม่อยากตะโกนออกมาว่าเช็ดโด้เพราะมันเป็นคำไม่สุภาพ แต่นาทีนี้ไม่มีคำไหนเหมาะเท่ากับคำนี้อีกแล้ว เพราะงั้นขอกุเถอะ...

เช็ดโด้!!! นั่นมันคืออะไร!?!?!?

พังผืดสีดำที่ไม่รู้งอกเงยขึ้นมาจากไหนกางแหปิดทางเข้าออกจนมิด เซริมกับฟาฮาพยายามใช้อาวุธประจำกายขององครักษ์ฟาดฟันเข้าใส่แต่กลับไม่เป็นผล แผงหนึ่งขาดก็มีเส้นสายเส้นใหม่เข้ามาแทนที่ เทรซัสที่เดินหล่อมาตลอดทางทดลองใช้เวทย์ไฟเผาผลาญเส้นใยเหล่านั้นดูแต่แม่งดันเหนียวแน่นทนทาน ที่สำคัญคือแม่งทนไฟ!

สถานการณ์ตอนนี้บอกได้เต็มปากเลยว่า ชิบหายแล้วครับ!

“อาคมกลืนวิญญาณ”

เจ้าม่วงกล่าวคำอันน่าหนักใจออกมาให้ทุกคนในที่นี้ได้ทราบร่วมกัน เซริมกับฟาฮาถึงกับชะงักการลงดาบหันมามอง คิ้วเรียวสวยของเทรซัสขมวดเข้าหากันคล้ายหนักใจ ไอ้ผมที่ไม่รู้ว่าอาคมที่ว่านี่คืออะไรก็ได้แต่เผลอเกร็งตามบรรยากาศที่เคร่งเครียดขึ้นกะทันหัน ไม่ต้องเอ่ยปากขอคำอธิบายจากใครผมก็พอเดาได้ว่าไอ้วงเวทย์สีแดงที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่แม่งหายนะแค่ไหน

อันที่จริงแค่ชื่อแม่งก็น่ากลัวสลัดแล้วเหอะ!

“มีวิธีทำลายไหม?” หนุ่มหล่อมาดเจ้าชายน้ำแข็งถามเสียงเครียด องครักษ์อีกสองชีวิตที่ติดตามมาด้วยพลันเอียงหูฟังตาม ทุกคนรอฟังคำตอบที่เปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังจากคนที่น่าจะรู้ดีที่สุด

“วิธีทำลายน่ะมี ทว่า...”

โอ๊ยยยย เวลาอย่างนี้ยังจะมาลีลาอีกนะเจ้ากระต่ายนี่!

“เชอเชส มีวิธีอะไรก็รีบๆ พูดมา หรือว่าจะรอให้มีอะไรโผล่มาก่อนนายค่อยพูดมันออกมาได้ห๊ะ!” ผมตะเบ็งเสียงใส่เจ้าชายที่ยอมวางผมลงกับพื้นแล้ว สีหน้าของเจ้าม่วงแลดูเคร่งเครียด เขาจ้องมองหน้าผมไม่วางตาจนผมชักเริ่มระแวง

เฮ้ยๆๆ ไม่ใช่ว่าไอ้วิธีทำลายอะไรนั่นมันจะมาเกี่ยวพันกับผมด้วยนะ...

“เป็นเช่นนั้น…”

เชี่ย! ทายถูกครั้งไหนไม่เคยเสียใจเท่านี้เลย(ว่ะ)ครับ!

“ยังไง?” ผมเร่งรัดถามเขา ขอแค่ไม่เลือดตกยางออก ผมพร้อมลุยทุกสถานการณ์

“เลือดของท่านสามารถทำลายอาคมนี้ลงได้”

เชี่ยยยยยยยยยย!!!

ผมแหกปากร้องลั่น(ในใจ)หนักกว่าเดิม อาคมใหญ่ขนาดนี้ไม่รู้ต้องใช้เลือดผมไปซักกี่ลิตรถึงจะทำลายมันลงได้

“แค่หยดสองหยด...พอไหม?” ผมลองถามหยั่งเชิง เห็นสีหน้าเครียดจัดของเจ้าม่วงที่แสดงออกมา กูว่ากูต้องเตรียมโลงไว้รอรับร่างตัวเองลงไปนอนแล้วล่ะครับ...

“ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วหรือขอรับ ท่านเชอเชส” ฟาฮาถามเสียงนุ่ม แต่ในน้ำเสียงนั้นยังกลบเกลื่อนความร้อนใจเอาไว้ไม่มิด ดูท่าอาคมกลืนวิญญาณอะไรนี่จะร้ายกาจพอตัว องครักษ์ที่รักษาความเยือกเย็นไว้ได้เสมอมาจึงแสดงท่าทีกระวนกระวายเช่นนี้ออกมาให้เห็น

“ไม่มีอีกแล้ว...” คำตอบของเชอเชสทำเอาผมต้องหลับตาลงเพื่อทำใจ

เอาวะ ไม่เสียเลือดตายก็ต้องตายเพราะอาคมชื่อสยึ๋มกึ๋ยสะท้านนรกนี่อยู่ดี เพราะงั้น...ผมมองคนตรงหน้า ไล่ไปอีกสามชีวิตที่เหลือ ก้มลงมองตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เฮ้ออออออ ผมจะยอมเป็นผู้พลีชีพให้ก็ได้ ถ้าผมเป็นอะไรไปอย่าลืมสร้างอนุสรณ์สดุษฎีชีวิตไอ้วีสุดหล่อคนนี้ให้ด้วยล่ะ...

‘ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่’

แววตาของเจ้าม่วงบ่งบอกว่าต่อให้เป็นมัจจุราชมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาก็จะไม่ยอมให้ตัวแทนจากนรกตนนั้นมาพรากดวงวิญญาณของผมไปโดยเด็ดขาด น่าแปลกนะที่คำพูดสั้นๆ ของเขามันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเสมอ แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง แค่มีเชอเชสอยู่กับผม ก็ทำให้ผมเชื่อเต็มร้อยว่าผมจะไม่เป็นอะไร...มั้ง

‘โธ่...ท่านวีครับ ไว้ใจในตัวข้าหน่อยสิ’ ปากเจ้าชายกระต่ายโค้งคว่ำเล็กน้อยเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ขัดใจ นั่นทำให้ผมยิ้มออกมาได้แม้รอบด้านจะเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนของเหล่าดวงวิญญาณที่ถูกทรมานก็เหอะ

ผมยิ้มขำเขาเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลง ตั้งสติกับสิ่งที่ต้องกระทำนับต่อจากนี้

อาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ปกป้องตัวผมถูกเรียกออกมาใช้งาน มีดสั้นสีน้ำเงินเล่มหนึ่งลอยมานอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือ ความคมของมันทำให้ผมหนาวสะท้านเล็กน้อยเมื่อนึกภาพที่ต้องใช้งานมันกรีดลงเนื้อของตัวเอง

ผมกำด้ามจับมันแน่น เลือกบริเวณท้องแขนเพื่อกรีดเรียกหยาดเลือดสดๆ ลงมาสลายอาคม เมื่อพร้อมรับความเจ็บแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีม่วงอมเทาเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองอีกนิด ก่อนหลับตาปี๋อีกครั้ง กลั้นใจกดคมมีดลงด้วยมืออันสั่นเทา

ทว่าวินาทีที่อาวุธสังหารกำลังจะตัดเฉือนกรีดเนื้อ เส้นใยสีดำที่พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นกลับรัดข้อมือข้างที่ถือมีดสั้นของผมไว้แน่น มันกระชากดึงมือผมไปข้างหลัง ไม่ยินยอมให้สิ่งที่เพียรสร้างขึ้นจากสิ่งชั่วร้ายถูกทำลายลงได้โดยง่าย

เชอเชสที่เห็นท่าไม่ดีรีบยกอาวุธคู่กายขึ้นฟาดฟันสิ่งที่รัดตรึงตัวผมเอาไว้ แต่เส้นใยที่เหนียวหนึบกลับทำงานได้ดีเกินคาด เมื่อถูกฟันก็สานตัวขึ้นใหม่ ไม่เพียงแต่บีบรัดตัวผมแน่นขึ้นยังลามไปถึงคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยผมถางหญ้า(?)พวกนี้อีก สภาพของพวกเราในตอนนี้เลยดำเมี่ยมกันถ้วนหน้า ถูกรัดตรึงเหมือนศพสามศพที่อยู่ใจกลางห้อง ต่อกรก็ไม่ได้ ขยับตัวก็ไม่ได้

ตายสนิทสมบูรณ์แบบ...

“ว๊ากกกกกก ปล่อยเซ่! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ จงขาดไปซะ!!!”

เสียงเจ้าดำเซริมผู้ไม่ย่อท้อดังอยู่ไม่ไกล ผมได้สินเสียงกวัดแกว่งดาบดังขึ้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเงียบหายไปทั้งเสียงฉัวะๆๆ และเสียงของเจ้าตัวขี้โวยวายเซริม ท่าทางจะถูกอุดปากไปแล้ว จะว่าไปก็ทำให้เงียบหูดี...

‘เชอเชส ทำไงต่อดีล่ะทีนี้...’ ผมทำตาละห้อยใส่เจ้าม่วงที่ถูกตรึงอยู่ไม่ห่างจากผมเท่าไหร่นัก โดนจับมัดด้วยสายระโยงรยางค์พวกนี้แล้วยังดูดีได้อีกนะเจ้าเด็กนี่... (มันใช่ประเด็นไหมวี)

‘ขืนปล่อยให้อาคมนี่ทำงานสมบูรณ์ พวกเราแย่แน่ครับ’ เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูเคร่งเครียดยิ่งนัก

ถ้าแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คือ ‘ตายหมู่’ ไม่ใช่รึไงครับ...

‘ขออภัย...ที่ข้าไม่สามารถปกป้องท่านได้อย่างที่เคยได้ลั่นวาจาไว้’

เฮ้ยๆๆ นี่มันใช่เวลามานั่งหูตกไหม หยุดคิด หยุดพูด เลิกโทษตัวเองเดี๋ยวนี้เลย นี่เป็นคำสั่ง!

‘แต่...’

‘ไม่ต้องมาแต่ ผมรู้ดีว่านายทำดีที่สุดแล้ว’

ดวงตาสีม่วงอมเทามองผมด้วยความรู้สึกหลากหลาย มันเหมือนจะดีใจ ซึ้งใจ อุ่นใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดนั่นทำให้ผมยิ่งนึกเอ็นดูเจ้าเด็กโตแต่ตัวคนนี้มากขึ้น และเป็นฝ่ายที่อยากปกป้องเขาบ้าง

แม้จะต้องแลกกับการเจ็บตัวของผมก็เถอะ...

‘ถ้ารอดไปจากที่นี่ได้ ขอขนมอร่อยๆ เป็นรางวัลให้ผมด้วยล่ะ’

ขอแค่นี้... ผมโลภน้อยเกินไปมั้ยนะ เฮ้อ...





------------------------------------------------------------
นุ้งวีไม่โลภ แต่มีกระต่ายบางตัวพร้อมมอบทุกอย่างให้หมดตัวอยู่นะคะลูก 55555555
นายเอกเรื่องนี้เกิดใต้ดาวมฤตยูค่ะ ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยต่อเนื่องและหวานกับเจ้าม่วงแบบมึนๆ ไปแบบนี้น่ะล่ะ ฮาาาา
มาพร้อมกับมอบใบลาให้สักสามวันค่ะ ไปต่างจังหวัดอีกแล้ว น่าจะกลับมาอัพประมาณวันพุธนะก๊าบบบบ (ลาก่อยวันหยุดที่ฉันเฝ้ารอ....:hao7: :hao7: :hao7:)
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 10-01-2016 10:15:46
ความซวยไม่เคยปราณีจริงๆ นะวี  :laugh:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 10-01-2016 10:17:17
รอๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2016 14:59:37
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-01-2016 15:06:19
สู้ๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 10-01-2016 15:40:36
จะได้เห็นคุณความดีของน้องวีก็คราวนี้แหละ5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 10-01-2016 15:44:21
หนูวีสู้ๆน้าา!
ทำธุระเสร็จแล้วรีบกลับมานะ! (เล่นเอาซะค้าง)
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-01-2016 16:17:31
ขนมกระต่ายหัวม่วงเอาไหมจ๊ะ?

อะไรมันจะดวงความซวยถล่มซ้ำซ้อนแบบนี้....
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 10-01-2016 17:45:41
วีวี่  ในที่สุดหนูก็มีประโยชน์ซะที 55555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-01-2016 23:31:34
จะทำยังไงล่ะทีนี้ :ling1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 10-01-2016 23:47:08
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 11-01-2016 08:07:58
หูยยยย อ่านแล้วตื่นเต้นมาก ชอบ ๆ ๆ ๆ
มาอยู่ในอณาจักรเงาจันทร์นี่ เหมือนมันคนละโลกกับอณาจักรแสงจันทร์เลย
มีแต่อะไร ๆ น่ากลัวเต็มไปหมด นึกภาพตามศพที่ถูกชำแหละนี่ สยองสุด ๆ
แต่น้องวีบรรยายทำให้คลายความน่ากลัวไปได้เยอะเลย
แถมเชอเชสยังพาฟินได้ทุกสถานการณ์อีก เป็นคู่ที่น่ารักตลอด ๆ
นึกถึงคนธรรมดา ๆ อย่างน้องวี ต้องมาเจอเรื่องโหด ๆ แบบนี้ มันน่ากลัวมากเลยนะ
แล้วจะคลายมนต์ ดันต้องมาใช้เลือดน้องวีอีก โถ ปรกติแค่มีดบาดนิดเดียวก็เจ็บแล้วอ่ะ
เอาใจช่วยทุกคน โดยเฉพาะน้องวีวี่ น่าสงสารที่สุดอ่ะ ฮืออ
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 12-01-2016 09:39:49


เริ่มจะดุเดือดแล้วสิ... ขอให้พระชายาวีและพ่อม่วงขนนุ่มกับบรรดาคนสนิทผ่านพ้นวิบากกรรมทั้งหลายไปได้นะคะ
แต่เอ... ที่คุณคนเขียนบอกว่าชอบให้วีดิ้นรน นี่ก็เท่ากับแกล้งพ่อม่วงไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ เพราะพ่อม่วงคงไม่ยอมปล่อยให้เมียตกระกำลำบากเพียงลำพังแน่ ๆ ถ้าไม่เห็นใจวีที่มาแย่งพ่อม่วงของป้าไป... ก็เห็นใจพ่อม่วงหน่อยเถอะค่ะ ป้าอ่านตามแล้วใจไม่ค่อยดีเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

รอตอนต่อไปค่ะ ^^  :pig4:

 

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้กิ๊ก ที่ 12-01-2016 17:42:25
อ่านรวดเดียวเลยจ้า มาต่อไวๆ น้า กำลังลุ้นว่าพระชายาวีกับน้องต่ายน้อย แอนด์เดอะแก๊งจะหนีออกไปยังไง ลุ้นๆๆๆๆ เรื่องนี้น่ารักมากขอบอก พระเอกนายเอกน่ารัก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 12-01-2016 23:37:54
รออยู่นะค้าา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 14-01-2016 17:47:37
รอลุ้นอยู่ครับ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 14-01-2016 23:21:52
:)
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.16::: Update 10/01/2015 (P.7)
เริ่มหัวข้อโดย: Air_Yaoi ที่ 20-01-2016 15:25:05
 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -17-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 20-01-2016 16:55:23



-17-
มันเป็นการเสียสละที่เจ็บชิบหายเลยครับ




 
อาคมสีแดงทอแสงเรืองรอง เส้นใยเหนียวแน่นสีดำแผ่ขยายเต็มพื้นที่ ท่ามกลางความวุ่นวายที่ระดับความปลอดภัยดิ่งวูบลงจนน่าใจหาย ผมได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจผ่านทางเส้นใยสีดำที่รัดแน่นรอบตัวผม

พอลองมองตามก็พบว่ามันเชื่อมต่อกับดักแด้สามศพที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น กลิ่นอันตรายแผ่กระจายออกมาจนฝ่ามือเย็นเยียบแผ่นหลังชื้นเหงื่อ สีหน้าเจ้าม่วงตอนนี้ดูย่ำแย่หนักกว่าเก่า แม้แต่เทรซัสที่ผมให้ฉายาหมาป่าน้ำแข็งเดินได้(ในใจ)ยังเหงื่อตกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ถ้าลองอ้างอิงจากการ์ตูนหลายเรื่องที่เคยอ่านและหนังหลายเรื่องที่เคยดู ผมทำนายให้เลยก็ได้ว่าหลังจากนี้ไอ้ดักแด้สามศพนั่นมันจะต้องกลายเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับพวกเราแน่นอน

ทายผิดผมให้ถีบเลยเอ้า!

“สิบสองเขี้ยวจันทร์…”

เมื่อสองแขนถูกมัดไว้แน่นยิ่งกว่าใช้เชือกไนล่อนผูกเงื่อนตายสักสิบทบ ผมก็หมดปัญญาที่จะทำร้ายตัวเองให้พอแค่บาดเจ็บนิด เรียกเลือดหน่อย ไอ้ที่จะสร้างรอยแผลให้มันน่ารักกรุบกริบนี่เลิกคิดไปได้เลย

ที่ผมต้องทำตอนนี้คือตั้งสมาธิให้มั่น พูดให้ดูดีลงมาหน่อยก็คือกูขอทำใจแป๊บครับ การจะใช้มีดแทงตัวเองทั้งที่ผมไม่ได้คิดอยากจะตายนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ อีกอย่าง ผมไม่ใช่พวกสาย M ที่ชื่นชอบความเจ็บปวดด้วย ไอ้บทโดนแทงแล้วร้องอ๊าๆ ขออีกๆ นี่ตัดทิ้งไปได้เลย ผมไม่ได้โรคจิตถึงขั้นนั้น!

‘ท่านวี... เวลาแบบนี้ท่านยังจะ...’ เสียงของเชอเชสดังขึ้นขัดความคิดฟุ้งซ่านของผมเรียกสติที่บินไปไกลถึงดาวมฤตยูให้กลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง

‘ผมยังจะอะไร?’ ผมขมวดคิ้วถามเขา นอกจากจะทำใจแล้วผมยังจะทำอะไรได้อีกห๊ะ!?

‘ไม่มีอะไรครับ...’ เจ้ากระต่ายหลบตาผมแบบส่อพิรุธเต็มขั้น แต่เอาเถอะ ผมรู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งไล่บี้เอาความจริงกับกระต่ายคิดลึกแถวนี้ ที่ผมต้องทำคือกัดฟันรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น และสวดภาวนาให้พระเจ้าชังน้ำหน้าผมต่ออีกนิด อย่าเพิ่งใจดีรับดวงวิญญาณของผมขึ้นสวรรค์ไปเลย!

ฉึก!!!

เสียงอาวุธปักเข้าเนื้อดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดแสนสาหัสตรงฝ่ามือข้างขวา กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งจนผมได้แต่เบ้หน้ากัดฟันแน่น รับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่นที่ไหลลงมาตามแขนอาบย้อมเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม ผมหายใจหอบหนัก น้ำใสๆ เอ่อคลอเต็มตา ได้ยินเสียงเชอเชสเรียกชื่อผมดังอยู่ตรงหน้าแต่ผมเจ็บปวดเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นมองเขา

หยาดโลหิตไหลรินลงสู่พื้นหินสีคล้ำเป็นด่างดวง เสียงวิญญาณโหยหวนดังขึ้นเหมือนถูกไฟนรกขุมใหม่โหมไหม้ เส้นใยที่ตรึงรัดข้อมือข้างขวาเอาไว้พลันคลายเกลียวออกเหมือนต้องของร้อน มือที่มีใบมีดสีน้ำเงินเข้มปักคาอยู่จึงร่วงหล่นลงข้างลำตัว เจ็บจนผมอยากแหงนหน้าร้องไห้โฮๆ แข่งกับเด็กเจ็ดขวบที่ปั่นจักรยานแล้วรถล้มคางแตก แต่ไม่ได้... ผมทำอย่างนั้นได้ซะที่ไหน ต่อหน้าคนตั้งเยอะตั้งแยะแบบนี้ผมต้องฉีกยิ้มแล้วบอกว่า ‘แค่นี้จิ๊บๆ’ สิ แต่...

ฮือออออออ เจ็บอ่ะ!!!

‘ท่านวี...’

เชอเชสไม่พูดอะไรมากไปกว่าการเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม ต่อให้ไม่ต้องเปิดตาดูผมก็พอจะรู้ว่าเขากำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาแบบไหน ที่ผมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก็เพราะกลัวว่าจะเผลอปล่อยโฮออกมาต่อหน้าเขานี่ล่ะ

ผมยกฝ่ามือที่เจ็บจนชาขึ้นมองบาดแผล ถึงแม้จะเลือดชุ่มแต่ปริมาณยังน้อยนักไม่เพียงพอต่อความต้องการ ผมเลยกัดฟันทนเจ็บอีกครั้ง สั่งให้มีดสั้นที่ปักคามือกระชากตัวออกไปจนหยาดเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากปากแผล ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้งจนผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

‘ท่านวี...เจ็บมากไหมครับ’

มันใช่คำถามที่ควรถามเวลานี้มั้ย T_T

กูเจ็บสิครับถามได้ โดนมีดจิ้มแล้วดึงออกนี่ไม่เจ็บเลยมั้ง ฮือออ

‘ท่านวีอ่าาา...’

‘ค..แค่นี้พอไหม?’ ผมพยายามกล้ำกลืนฝืนทนเงยหน้าขึ้นถามเจ้าม่วง ยื่นฝ่ามือที่แทบไม่เหลือสีเนื้อออกไปเพื่อถามเขา เชอเชสมีสีหน้ายู่ยับเหมือนเจ็บปวดแทนผม เขาปิดตาก้มลงส่ายหน้าเบาๆ ให้ผมสูดน้ำมูกขึ้นดังฟื้ด

ไม่พอสินะ... ฮึก

มหกรรมทรมานตัวเองเลยต้องเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเพื่อเพิ่มปริมาณเลือดให้เพียงพอต่อความต้องการ ต่อจากมือขวาก็ย้ายไปซ้ายบ้างให้ความเจ็บนี้มันเท่าเทียมกัน เสียง ฉึก! และ ฉัวะ! ดังขึ้นติดกันเมื่อผมรู้แกวแล้วว่าเสียบแล้วดึงออกเลยมันเจ็บน้อยกว่าการถูกใบมีดปักคา (มันใช่เรื่องที่กูควรเรียนรู้ป่ะวะ!?) เลือดสดๆ ไหลรินต่างน้ำจนกลายเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อมใต้ฝ่าเท้าให้เสียงกรีดร้องโหยหวนดังป่วนประสาทผมมากขึ้นไปอีก

แค่เสียเลือดกูก็หน้ามืดจะตายห่าอยู่แล้วครับ ไม่ต้องเพิ่มปริมาณเสียงทำร้ายเยื่อแก้วหูกูเพิ่มอีกก็ได้

ข้าพเจ้าจะเป็นลมได้อยู่แล้ว!

เส้นใยสีดำเมื่อเจออำนาจมืด(?)จากเลือดของผมพลันปล่อยร่างผมให้กลายเป็นอิสระ สองขาอ่อนย้วยจนตัวผมเซไปข้างหน้า แก้มปะทะเข้ากับเส้นใยเหนียวๆ ที่พันรอบอกเชอเชสไว้อย่างแน่นหนาจนขนลุกไปทั่วสันหลัง

“ท่านวี ใช้เลือดนั่นป้ายเส้นใยพวกนี้ทีครับ” เชอเชสเอ่ยเตือนผมให้รีบลงมือ ผมก็อยากเร่งทำตามให้อ่ะนะ แต่พอยื่นมือเข้าไปใกล้ก็ดันฉุกคิดขึ้นมาได้ซะก่อนว่าไอ้เส้นใยพวกนี้แม่งทำขึ้นมาจากอะไรก็ไม่รู้ เหม็นก็เหม็น เหนียวก็เหนียว ทั้งสัมผัสยังชวนยึกยือเหมือนตัวปลิงอีกต่างหาก จะให้ผมเอามือไปลูบไล้มันประหนึ่งเป็นผิวนางงามมันก็…แอบแหยงอยู่ง่ะ

จากจะลูบเลยเปลี่ยนเป็นคั้นหยดเลือดสดๆ ให้ไหลลงไปหยดโดนแทน แต่ปริมาณเลือดที่มือแม่งไม่ทันใจเลยครับ กระฉูดไปพรวดเดียวเสร็จก็เริ่มแห้งกรังจับตัวเป็นก้อนบ้างแล้ว ผมเลยต้องเรียกกำลังใจครั้งใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ใช้เขี้ยวจันทร์อันเดิมกรีดท้องแขนเป็นแนวยาวจนเลือดทะลักออกมาเป็นสาย ไม่รู้ว่ากว่าจะช่วยหมดครบทุกคนผมจะเสียเลือดตายไปก่อนหรือเปล่า ถ้าผมหน้ามืดสลบไปก็วานจัดการที่เหลือตามแต่เห็นสมควรเลยนะ เชอเชส

ผมสั่งเสีย(?)ไว้ล่วงหน้าเพราะเริ่มรู้สึกตาพร่าสมองเบลอขึ้นมาวูบหนึ่ง ดีนะแขนแกร่งของเชอเชสที่หลุดออกจากพันธนาการเอื้อมมารับร่างผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของเขาเสียก่อนที่ผมจะหงายเงิบไปนอนแอ้งแม้งโชว์พุงอวดสายตาชาวดวงจันทร์ เขาก้มลงมองมือของผมที่ห้อยต่องแต่งอย่างเป็นห่วง นิ้วโป้งช่วยเกลี่ยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกให้ แถมเนียนจูบหน้าผากผมชมว่าอดทนได้ดีมากไปอีกทีด้วย เวลาอย่างนี้ยังมาเอาเปรียบผมอีกนะ!

‘กำลังใจจากข้าไงครับ’

ไอ้กระต่ายหน้ามึน เห็นกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็อ้างคำนี้ตลอด!

“หยุดเลยๆ เอาเลือดของผมไปช่วยคนอื่นก่อนเร็ว เดี๋ยวมันแห้งแล้วผมได้ซวยกรีดแผลเพิ่มอีก”

เชอเชสพยักหน้ารับ แต่เขากลับรวบตัวผมขึ้นจนตัวลอยให้ผมที่ยังตั้งตัวไม่ติดได้แต่กอดรอบคอเขาจนลืมไปเลยว่าท้องแขนข้างหนึ่งมีแผลลากยาว งานนี้เลยร้องโอ๊ยซะดังลั่น หมดมาดแมนๆ ที่อุตส่าห์สร้างสมมาเลยโว้ยไอ้วี!

ว่าแต่เชอเชส... นายจะอุ้มผมทำไมห๊ะ? แถมยังไม่รีบพาผมไปหาสามคนนั่นอีก จะยืนเฉยทำด๋อยอะไรตรงนี้ครับคุณชาย ไหนว่าเวลาไม่คอยท่าไง!

“ปริมาณที่กองอยู่บนพื้นนี่น่าจะพอสำหรับสามคนนี้แล้วครับ”

เจ้าม่วงยิ้มๆ มองผมที่นอนขู่ฟ่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่เข้าใจหรอกว่าที่เจ้าม่วงนี่พูดมามันหมายถึงอะไร เลือดที่หยดลงพื้นไปแล้วมันเอามาใช้ได้ที่ไหน ไม่ซึมลงหินก็ติดตามไอ้พวกเส้นใยดำๆ นั่นไปหมดแล้ว

“วิธีน่ะหรือ นี่อย่างไรเล่า” สิ้นคำพูดของเจ้าชายกระต่าย ฝ่ามือของเขาพลันส่องแสงสีม่วงครามออกมาก่อเกิดเป็นสายพลังขุมหนึ่งที่สดสวยเหมือนกับลูกแก้วเวทมนต์

โลหิตที่ไหลรินลงพื้นอย่างสูญเปล่าพลันถูกดูดกลืนขึ้นมาจากร่องหิน กลั่นตัวเป็นหยดน้ำลอยขึ้นฝืนกฏแรงโน้มถ่วงโลก ค่อยๆ เติมเต็มภาชนะใสกลวงจนลูกแก้วสีม่วงครามถูกแทนที่ด้วยโลหิตสีแดงคล้ำ เชอเชสรอคอยอย่างใจเย็นจนปริมาณมันมากต่อความต้องการ จากนั้นก็ใช้พลังดันมันขึ้นสูง ดีดพลังอีกสายเข้าปะทะจนมันแตกโพล๊ะกลางอากาศกลายเป็นฝนเลือดที่สาดย้อมไปทั่วบริเวณ

คุณสมบัติพิเศษที่แฝงตัวอยู่ในเลือดของผม(ได้ยังไงก็ไม่รู้)ทำปฏิกิริยากับสิ่งชั่วร้ายทันทีจนเส้นใยสีดำต่างพากันคลายหนี นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นเลือดของผม ผมคงได้คิดว่านี่น่ะเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีกรรมหลายขั้นตอนจนสามารถขับไล่ภูติผีปีศาจได้

แต่บังเอิญกูรู้ไงครับ... รู้ดีเจ็บจี๊ดถึงใจเลยด้วย เลยไม่รู้จะคิดยังไงดีที่เห็นเลือดตัวเองแม่งใช้งานได้ดีไม่ต่างจากน้ำสะอาดที่ผ่านการปลุกเสกมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ไอ้ธาได้รู้แม่งคงซึ้งใจยิ่ง หน้าที่เป็นไม้กันผีถาวรคงไร้ทางหลีกเลี่ยงอีกต่อไป กอดไอ้วีคนนี้คงได้ผลดียิ่งกว่ากำไม้กางเขน ตกลงนี่กูยังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหมครับ ใครก็ได้ช่วยบอกที...

เสียงกรีดร้องดังระงมจนผมหลุดจากห้วงภวังค์ความเพ้อเจ้อ หลังเจอเลือดของผมสาดเข้าใส่ ฟาฮากับเทรซัสพลันหลุดออกจากการถูกจับตรึงกลับมายืนสง่าหน้าตายแข่งกันเหมือนเดิม ผิดกับเจ้าดำเซริมที่ถูกมัดเป็นก้อนกลมแข่งกับดักแด้ศพกลางห้อง พอสิ่งที่รัดตรึงผละตัวออกจึงหล่นตุ๊บลงมาหมดท่า หน้าจูบพื้นเต็มรัก ไม่เหลือมาดองครักษ์ผู้เกรียงไกรแม้แต่น้อย บอกว่าเป็นคนบ้ายังน่าเชื่อถือซะกว่า

‘ชอบแกล้งเซริมเสียจริงนะครับ’ เจ้าม่วงพูดเสียงนุ่ม ยิ้มอย่างอ่อนใจ มองผมคล้ายเอ็นดูทั้งที่ตัวเองอายุน้อยกว่าผมตั้งสามปี

‘ก็ลูกน้องคนสนิทของนายน่าแกล้งเองนิ’ ผมยกยิ้มขึ้นนิดนึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหยเกเมื่อขยับนิดความเจ็บก็ลามไปถึงบาดแผลที่มีด้วยกันถึงสามจุด

“ฟาฮา รักษาท่านวีซะ” เห็นดังนั้น เจ้าชายแห่งอาณาจักรแสงจันทร์จึงไม่รอช้ารีบสั่งการกับองครักษ์ประจำกายทันที

เจ้าขาวได้ยินดังนั้นก็รีบรับคำ ก้าวขาขึ้นมาวางฝ่ามือไว้เหนือปากแผล เรียวปากบางเฉียบได้รูปขมุบขมิบคาถาที่มีท่วงทำนองเหมือนบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ พลันวงเวทย์สีขาวบริสุทธิ์ทอวาบขึ้นส่งผ่านความอบอุ่นเข้าตรงสู่หัวใจ บาดแผลค่อยๆ สมานตัวเข้าหากันจนเหลือร่องรอยเบาบางที่แทบสังเกตไม่เห็น

“เอ่อ... ให้ฟาฮารักษาแบบนี้จะดีเหรอ?”

ถึงพวกเราแต่ละคนจะหลุดออกจากการกักกุมของเส้นใยสีดำพวกนั้นแล้ว แต่อาคมยังไม่ถูกทำลายลงสักหน่อย ปล่อยให้แผลปิดเลือดไม่ไหลแบบนี้มันจะไม่เป็นไรได้ไง

“เลือดตรงส่วนนั้น ต่อให้ท่านวีเค้นเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้หรอกครับ”

พูดอย่างนี้หมายความว่า ผมต้องแทงตรงอื่นที่ไม่ใช่ฝ่ามือใช่ไหม...?

หัวที่ผงกลงแทนคำตอบพาเอาในหัวได้ยินเสียงวิ้งๆ เหมือนสมองดับไปชั่วคราว บทจะฉลาดขึ้นมาทั้งทีก็ดันฉลาดในเรื่องที่ตัวเองจะต้องเจ็บตัวตลอดเลยนะไอ้วี!

“แล้วผมต้องแทงตรงไหน...”

ไม่อยากถามให้มันแสลงใจเล่นหรอกนะ แต่เสียงปริแตกของอาคารกับเสียงร้องที่ทวีขึ้นหนักหน่วงเหมือนวิญญาณทุกตนในที่นี้พร้อมใจกันปล่อยพลังเสียงแข่งร้องโอเปร่าขึ้นมา มันทำให้ผมอยากเร่งออกจากที่นี่ไวๆ

คิดถึงเตียงอุ่นๆ ขนมอร่อยๆ ชีวิตที่มีแต่กิน ขี้ เล่น นั่ง นอนจะตายอยู่แล้ว!

เชอเชสคิ้วขมวดปิดตาลงเหมือนต้องการใช้ความคิด ไม่รู้คิดจริงหรือกำลังกลุ้มกับความไร้สาระของผมอยู่กันแน่ น่าขัดใจจริงๆ ที่เขาปิดกั้นความคิดตัวเองได้หมดจนผมไม่สามารถอ่านใจเขาได้ยกเว้นแต่เขาจะยินยอมให้ผมรับรู้ ฉับพลันดวงตาเรียวสวยคู่นั้นก็เปิดออก เจ้าตัวเปิดปากพูดกับผมด้วยประโยคที่ทำเอาใจร่วงลงโถสวมแล้วถูกกดชักโครกลงคอห่าน (เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าใจผมมันร่วงลงไปลึกขนาดไหน...)

“จุดที่สามารถแทงได้และไม่ตายในทันที ตำแหน่งช่วงท้องน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ”

ไม่ตายในทันที... แม่งแปลได้อีกความหมายว่ากูมีสิทธิ์ตายได้ถูกไหม?

ฮือออ ผมอยากเขียนใบลาตายล่วงหน้า ไม่รู้ว่าคุณแม่ที่น่ารักของผมได้ทำประกันชีวิตเอาไว้ให้ลูกชายสุดหล่อแสนจะเพอร์เฟ็คสุดๆ คนนี้เอาไว้แล้วหรือยัง พินัยกรรมก็ยังไม่ได้เขียน จดหมายลาคนที่รักก็ยังไม่ได้ร่ายบรรยายความรู้สึกลงไปเลยสักฉบับ ทั้งยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะตั้งแยะ ให้ตายตอนนี้ผมก็คงกลายเป็นผีที่นอนตายตาไม่หลับ วิญญาณวนเวียนอยู่ในที่ที่ผูกพันไม่ยอมจากไปไหน ซ้ำยังไม่ได้ตายบนโลกที่ผมเกิดขึ้นมาอีก

ชีวิตไอ้วีดูจะน่ารันทดอดสูยิ่งกว่านางเอกในละครหลังข่าวเกินไปแล้ว!!!

“ไม่เหลือเวลาแล้ว จะทำสิ่งใดก็รีบตัดสินใจ มิเช่นนั้น ‘พวกมัน’ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไหร่ สถานการณ์คงเลวร้ายกว่านี้เป็นแน่” เป็นคนประหยัดคำพูดที่วาจามีค่าเทียบเท่าทองคำหนึ่งบาทพูดขึ้น เทรซัสมองผมที่เล่นบทโศกแข่งกับนางเอกในนิยายไทยด้วยสายตาเย็นเยียบเอาจริง

ผมลองมองตามที่อีกฝ่ายพูด ดักแด้สามศพมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าตอนแรกอักโข มีสภาพบวมเปล่งใกล้คลอดเต็มที ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะมีผีเสื้อแสนสวยฟักตัวออกมาหรือเป็นผีห่าซาตานนรกตัวใดถือกำเนิด รู้อย่างเดียว

กูต้องรีบจิ้มพุงตัวเองแล้วครัช!

“เชอเชส ผมขอยืมดาบของนายหน่อยได้ไหม” ดูยังไงมีดสั้นของผมก็อานุภาพเป็นรองกว่าดาบเล่มยาวอยู่หลายเท่า บทจะเรียกเลือดครั้งใหญ่ทั้งทีก็เอาให้แม่งสุดๆ ไปเลยดีกว่า เจ็บครั้งเดียว(?)เกินพอ

แต่เจ้าม่วงดันส่ายหน้าไม่ให้ผมยืมซะงั้น...

เฮ้ยๆๆ เวลาอย่างนี้มาทำงกเรอะ!?

“มิใช่ข้าไม่อยากให้นะครับ เพียงแต่...” เขาชักด้ามดาบออกจากฝัก เพียงแค่วูบเดียวก็จ้วงทะลวงเข้าใส่กลางลำตัวของผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

ผมหลับตาแน่น คิดถึงความเจ็บปวดที่เลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่พุ่งเข้ามา พร้อมกับด่าสวดส่งเจ้าม่วงในใจที่กล้าทำร้ายผมได้ลงคอ!

ทว่ารอแล้วรอเล่าความเจ็บปวดที่ความคิดนำไปก่อนหน้ากลับไม่เกิดขึ้นจนเครื่องหมายคำถามเด้งขึ้นเต็มหัว ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละข้าง ก้มลงมองเนื้อโลหะสีเงินที่เห็นอยู่ชัดคาตาว่าแม่งแทงทะลุหลังผมไปแล้ว

ใช่ แทงทะลุไปแล้ว และแทงทะลุไปเลย ไม่เจ็บ ไม่ปวด เหมือนผมเป็นภาพลวงตาที่ไม่สิ่งใดสามารถแตะต้องได้

นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกวะ?

หรือผมตายห่าไปแล้ว??

ที่ยืนอยู่นี่คือวิญญาณ???

โอ๊ยยย งง!

“ดาบของชาวแสงจันทร์มิอาจทำอันตรายต่อชายาแห่งดวงจันทร์ได้ครับ”

เจ้าม่วงเฉลยให้ฟังด้วยถ้อยคำเรียบรื่นแต่สถานะบรรลัยลงอย่างคำนวนหาผลลัพธ์ไม่ได้

เฮ้ยๆๆ อย่าบอกนะว่าผมต้องใช้มีดสั้นแทงพุงตัวเองจริงๆ น่ะ ความยาวมันแค่สี่นิ้วเองนะเฟร้ย กว่าผมจะแทงจนเลือดมันไหลเป็นก๊อกน้ำได้ ไม่ใช่ว่าต้องแทงซ้ำลงไปหลายๆ ครั้งจนกว่ามันจะได้เรอะ!?

จากที่โอกาสรอดต่ำเตี้ยเรี่ยนรกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความหวังไม่ยิ่งดิ่งลงเหวเอาชีวิตไปแขวนอยู่บนปากทางเข้าห้วงอเวจีเลยรึยังไง

ผมไม่ไหวจะเคลียร์อยู่แล้วนะ!

ในขณะที่ตกลงผลประโยชน์กันได้ไม่ลงตัว(?) ความหวังครั้งสุดท้ายของหมู่บ้านก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเจ้าชายขี่หมาขาวปรากฏตัวพร้อมกับอาวุธคู่กายที่สามารถทำร้ายผมได้แน่ๆ (นี่กูควรดีใจป่ะวะครับ?)

เทรซัสยื่นดาบของเขามาให้ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างกับฉาบความรู้สึกเอาไว้ด้วยน้ำแข็งพันปี พร้อมกันนั้นก็เสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษที่ทำให้ผมต้องฝืนกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

“ลองใช้ดาบของข้าดูจะเป็นไร ในเมื่อตกลงกันได้ลำบากนัก จะให้ข้าช่วงสงเคราะห์แทงเจ้าให้ด้วยเลยรึเปล่า ข้ายินดีรับหน้าที่นั้นด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง”

แววตาวาววับของหมาป่าสีขาวที่ครุกรุ่นไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดฉาบวาบออกมาให้องศาความหนาวเย็นในห้องลดฮวบลงกะทันหัน จนผมต้องกัดฟันฉีกยิ้มเป็นมิตรให้เจ้าสีหมอกใจร่มๆ ลงหน่อย ถึงแม้อีกฝ่ายจะเต็มใจจิ้มพุงผมให้หมดเรื่องหมดราวเป็นอย่างยิ่ง แต่กูนี่แหละครับที่เกรงใจคุณมึงอย่างยิ่งยวดไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!

และถ้าให้ดีจนน่าแจกทิปให้... เอาดาบที่ยื่นมาพาดลำคอผมไปไกลหน่อยเถอะพ่อคุณ เดี๋ยวผีผลักซาตานโผล่มาแกล้งขึ้นมาล่ะผมได้ตายห่าจริงๆ นะเออ!





--------------------------------------------------------------
มุ้งมิ้งกันต่อไป #มุ้งมิ้งในแบบเลือดสาดอ่ะนะ ฮ่าๆๆ

PS. ขอโทษืที่หายไปนานนะก๊า พอดีโดนลักพาตัวไปศรีราชามา พอกลับมาก็ไปงานนู้นงานนี้จนถึงวันเปิดเรียนก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาว่างเลยค่ะ T v T
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-01-2016 17:06:55
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2016 19:19:15
น่าสงสารพระชายาจริงๆ เลือดจะหมดตัวก่อนไหมล่ะนั่น

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 20-01-2016 21:45:33
วีน้อยกลอยใจของแม่น่าสงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-01-2016 22:18:19
โธ่.....ยอมสละเลือดเพื่อช่วยว่าที่สามีเชียว
พระชายาวีช่างหาญกล้ายิ่งนัก

ว่าแต่....เจ้าตัวม่วงขนนุ่มนี่ออกแนวซาดิสม์หน้าตายใช่ไหม? ...ตรงที่แทงแล้วไม่ตายทันที....โว๊ะ!



หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-01-2016 00:53:48
โดนแทงซะงั้น
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 21-01-2016 02:01:48
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 21-01-2016 03:32:29
มุ้งมิ้งเลือดสาดจริงๆ บางทีชายาวีก็ฮาเกิน
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 21-01-2016 09:42:24
เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วต้องทนคือวี หุหุ ภารกิจสมกับเป็นชายา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 21-01-2016 17:30:39
และแล้ว การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 21-01-2016 23:01:30
ตายๆ งานนี่นุ้งวีโชกเลือด
ระวังเป็นโลหิตจางนะ ขอบอก 5555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 22-01-2016 14:16:41
หนูวีจะตายไหมเนี่ยยย 55
รอตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 22-01-2016 14:29:42
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.17::: Update 20/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 22-01-2016 21:34:23


-18-
คำสัญญาของเจ้าชายแห่งดวงจันทร์




กี๊ซซซซซซซซ

เสียงร้องบาดหูของอสูรกายที่ใกล้จะถือกำเนิดดังสะท้านห้องลงทัณฑ์ มนุษย์อย่างผมต่อให้อุดหูสนิทแค่ไหนก็ยังปวดหูแทบตาย ไม่ต้องสืบเลยว่ากระต่ายกับหมาป่าที่มีประสาทสัมผัสด้านการรับฟังดีกว่ามนุษย์ตั้งหลายเท่าจะตะลัลล้ากันขนาดไหน

“โอย หูข้า...” เจ้าดำเซริมแทบลงไปแดดิ้นที่พื้น คนอื่นๆ ยังดีหน่อยที่รักษาภาพพจน์กันได้ดีเยี่ยม ยืนนิ่งทั้งที่คิ้วขมวด ปิดตาแน่น กัดฟัดกรอด ต้องขอยกนิ้วให้เลยว่าความอดทนของพวกนายนั้นช่างเป็นเลิศในใต้หล้า

“ไม่ได้การ มันเริ่มกัดกินเครื่องสังเวยแล้วขอรับ!”

ฟาฮาหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนท้องผูกถ่ายไม่ออกมาสามวันติด ซาวน์เอฟเฟคที่เป็นเสียงเขมือบแบบตะกรุมตะกรามดังขึ้นชวนสยองหนักประหนึ่งผมได้หลุดเข้ามาอยู่ในหนังสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน พอลองกวาดสายตาไปทางซ้ายหวังหาที่พึ่งให้ชวนอุ่นใจขึ้น ก็พบว่าเจ้าม่วงของผมกำลังยืนหน้าทะมึนบ่งบอกว่ากูโคตรกลุ้มอยู่ เบนไปทางขวาอีกนิดก็ปะทะเข้ากับดวงตาสีฟ้าที่มองมาแบบโคตะระจะกดดันกัน

เทรซัสครับ... ไม่ต้องมองผมซะเย็นเยียบขนาดนั้นก็ได้ ลูกกะตาคุณแทบจะพ่นน้ำแข็งใส่หน้าผมได้อยู่แล้ว!

อย่าลีลาให้มันมาก

จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ

หรือจะรอจนกว่า 'ไอ้นั่น' มันฟักตัวออกมาก่อนค่อยตัดสินใจได้!?

ความคิดอีกฝ่ายอ่านได้ไม่ยากเลยจากสายตาที่มองมา แม่งทั้งเร่งทั้งกดดัน บีบคั้นจิตใจอันแสนบอบบาง(?)ของผมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทำไมทุกสิ่งมันต้องมาลงที่ไอ้วีสุดหล่อคนนี้ตลอดเวย์เลยครับ หน้าที่เสียสละแห่งชาตินี้ไม่ต้องยัดให้ผมบ่อยนักก็ได้ ...กูเข็ดจะแย่แล้วนะ!

ผมฟาดฝ่ามือลงแก้มดังเพี๊ยะเรียกกำลังใจ ไม่ลุยอย่างสง่างามตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้ทำตอนไหนอีกแล้ว (ใช่เหรอวะไอ้วี?)

“เอ้า แทงมาเลย! ผมพร้อมแล้ว!” ผมปิดตาตะโกนดังลั่น กางสองแขนออกเตรียมพร้อมรับความเจ็บเต็มที่ นาทีนี้ไม่รู้ว่านับแกะแล้วจะช่วยอะไรไหม ขาผมแม่งสั่นพั่บๆ ไปหมดแล้ว!

หมาป่าสีหมอกได้ยินดังนั้นก็ช่างทำงานได้ว่องไวทันใจนัก ผมบอกให้แทงก็แทงฉัวะลงมาเลยแบบไม่มียั้งมือเลยสักกะนิด ชั่วขณะที่ปลายดาบเสือกตัวเข้ามาในพุงผ่านชั้นเนื้อหนังและไขมันอันอุดมสมบูรณ์ มันจุกก่อนค่อยรู้สึกเจ็บจนแทบจะลงไปชักดิ้นชักงอร้องงอแงบนพื้น ในจังหวะที่โลหะสีเงินถูกดึงชักกลับไป เลือดพลันทะลักออกมาเป็นสายน้ำพร้อมกับสติที่ถูกดีดผึงจนแตกกระเจิง

“อึก...!!!” สองมือกอบกุมบาดแผลที่เจ็บจี๊ดถึงใจลามไปถึงตับไตไส้ติ่ง เชอเชสหน้าตาตื่นรีบก้าวเข้ามารับร่างผมไว้ก่อนที่จะหงายหลังล้มลงจูบพื้น เสื้อผ้าชุดหนาของผมเปียกชุ่มไปด้วยสีแดงเลือด มือหนึ่งถูกกอบกุมไว้คล้ายกับคนใกล้ตายที่มีคนรักคอยดูใจอยู่ข้างๆ เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต

เชี่ย...ไม่เอาช็อตนี้ได้ไหม ผมยังไม่ตายและไม่พร้อมจะตายตอนนี้ด้วย!

“ร..รีบเอาเลือดผม...ไปใช้...เร็ว..เข้า.....”

ผมพยายามพูดให้เป็นภาษาที่สุดเท่าที่แรงอันน้อยนิดจะเอื้ออำนวย โดยลืมไปซะสนิทว่าตัวเองสามารถสื่อสารภาษาใจกับสิ่งมีชีวิตสีม่วงแถวนี้ได้

เชอเชสผงกหัวรับคำ รีบใช้เวทย์เดิมดูดกลืนเลือดทั้งหมดของผมขึ้นจากพื้นและเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม บอลเวทย์ลูกใหญ่บรรจุเลือดของผมไว้เต็มอัตรา ปริมาณมากกว่าที่ผมกับไอ้ธาเคยไปบริจาคที่สภากาชาดไทยร่วมกันซะอีก

ทีแรกผมก็คิดว่าเชอเชสจะซัดบอลเลือดลูกนั้นไปตรงกลางห้องเพื่อสลายอาคม ทว่าไม่ใช่ เขาใช้มันซัดใส่เส้นใยสีดำเหนียวหนืดที่ปิดกั้นทางเข้าออกห้องนี้แทน จากห้องที่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนาจึงค่อยคลายออกเผยให้เห็นทางรอดที่ทุกชีวิตในที่นี้พร้อมจะกระโดดเข้าใส่ ถ้าผมยังวิ่งไหว กูนี่แหละครับจะเป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกไปจากห้องนี้ก่อนใครเพื่อนเลย

“อย่าชักช้า รีบไปจากที่นี่เร็วเข้า!”

เจ้าม่วงออกคำสั่งกับสององครักษ์และหนึ่งนายกองจากต่างแดนทันทีที่เส้นทางเปิดออก แต่เพราะความกว้างมันเหลือแค่พอให้หนึ่งคนเดินผ่านได้ เชอเชสเลยจัดท่าให้ผมใหม่เปลี่ยนเป็นขึ้นขี่หลังเขาแทน ซึ่งการตกอยู่ในท่วงท่านี้มันทำให้เลือดจากบาดแผลของผมกระฉูดแล้วกระฉูดอีก เจ้าม่วงวิ่งทีปากแผลก็เปิดที เลือดมันเลยทะลักออกมาไม่หยุด กลิ่นสนิมเหล็กลอยตลบอบอวลจนผมคิดว่าชีวิตนี้คงไม่รอดแน่แล้ว...รอดได้กูแม่งโคตรตายยากเลยเหอะ สติสัมปชัญญะกำลังขาดลงทุกขณะ ทว่าความระทึกครั้งใหม่ที่ไล่หลังตามมาแม่งดันเสือกเป็นนาฬิกาปลุกชั้นดีที่ทำให้ผมตาสว่างยิ่งกว่ากระดกคาเฟอีนเข้าไปสามถ้วยติด

ฮว้างงงงงงง

เสียงคำรามลั่นของอสูรกายที่เพิ่งถือกำเนิดดังขึ้นประกาศศักดา ไอเย็นแผ่อนุภาพจนทุกชีวิตที่ตกอยู่ในอาณาเขตของมันขนลุกวาบไปทั่วสรรพางค์กาย หัวใจสัมผัสได้ถึงความกลัวที่ฝังลึกลงในจิตวิญญาณ เสียงโครมครามที่ดังไล่หลังตามมาทำเอาผมลืมเจ็บไปชั่วขณะ สิบเล็บเผลอกดจิกบ่าเจ้าม่วงแน่น ได้แต่เร่งบอกให้เจ้าม่วงขยับเท้าไวขึ้นอีกนิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น(?)

“เชอเชส พวกเด็กในกรงขัง!”

ผมร้องเตือนเมื่อการพังทลายของปราสาทมันเริ่มหนักขึ้นพร้อมกับตัวอะไรบางอย่างที่ยากจะจินตนาการถึงกำลังไล่หลังตามมา เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังอื้ออึงพร้อมกับมือหลายคู่ยื่นออกมาไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ

“ทราบแล้วครับ” เชอเชสรับคำอย่างว่าง่ายก่อนหันไปสั่งให้ฟาฮากับเซริมช่วยทำลายแม่กุญแจลงเพื่อปลดปล่อยเหล่าคนที่ถูกจับตัวมากักขังไว้ไม่ว่าจะด้วยความผิดอะไรก็ตาม

ทันทีที่ได้รับอิสระจากผู้บุกรุก ทุกชีวิตที่รักตัวกลัวตายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่รอช้ารีบโกยอ้าวออกจากที่คุมขังกันเร็วไว สองขาสับแข่งกับกระต่ายต่างอาณาจักรและท่านนายกองหมาป่าที่หน้านิ่งวิ่งอย่างไวไม่แพ้คนอื่น ครั้นไอหมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นมาครอบงำทางเดินทุกตารางนิ้วเอาไว้พร้อมกับกลิ่นอายชั่วร้ายที่เหม็นเน่าบรรลัยตามมา จากสองขาที่พากันโกยหน้าตั้งในร่างมนุษย์จึงเริ่มเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นหมาป่าตามเดิมแล้วพุ่งทะยานด้วยสี่เท้าแทน

เพียงพริบตาเดียว หมาป่าตัวเล็กตัวน้อยก็ซอยเท้าแซงหน้าพวกผมไปเรียบไม่เห็นฝุ่น เหลือทิ้งไว้แต่อีตัวข้างหลังที่ร้องฮว้างๆ ไล่ตามพวกผมมาอย่างกับแม่งน่ารักนักหนา ตาผมเริ่มปรือเมื่อเราหลุดออกมาจากทางลงไปยังชั้นใต้ดินกันได้ ยังไม่ทันจะได้งัดแรงที่เหลือร้องไชโยออกมาก็ต้องงับปากให้แน่นเพราะถูกปลายหอกนับสิบพุ่งจ่อมาที่คอหอย เหลือบตามองซ้ายขวาก็พบว่ามีเจ้าเด็กหมาป่าถูกทหารยามจับกุมตัวไปไม่น้อย ตาละห้อยหูตกกันไปตั้งหลายตัว

“ยอมวางอาวุธแล้วไปกับพวกเราซะ มิเช่นนั้น...” ยังไม่ทันที่นายทหารหมาป่าคนนั้นพูดจบ เสียงตูมที่ดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกสนั่นหวั่นไหวพลันบังเกิดแบบไม่มีใครตั้งตัวติด

เจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ไปเลียนแบบฉากเปิดตัวของก็อตซิลล่าอีท่าไหนได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือผืนดินพร้อมกับปากที่อ้ากว้างส่งเสียงทำลายประสาทหูออกมาต่อเนื่องไม่หยุด ลำพังแค่เสียงกรีดร้องของมันก็แทบจะกระชากวิญญาณคนฟังให้ออกจากร่างได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่มีความทนทานต่ำอย่างผม ซ้ำยังบาดเจ็บหนักแทบปางตาย...

โอย... ใครก็ได้ ช่วยกดปุ่มฉุกเฉินเรียกหมอด่วน… ผมนี่จะไม่ไหวแล้วครัช......

อ่อก..ก....

“ฟาฮา รีบรักษาท่านวีแล้วพาไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ซะ ทางนี้พวกข้าจะรับมือเอง!”

แว่วเสียงเจ้าชายกระต่ายยืนสั่งการด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ จากนั้นสติสตังผมก็ลอยละล่องไปในความฝัน ไม่นานก็รู้สึกถึงความอุ่นเหมือนมีใครเอาถุงน้ำร้อนมาวางไว้อยู่บนพุง ความเจ็บเริ่มเลือนหาย แทนที่ด้วยความสบายเหมือนกำลังนอนเล่นอยู่ในสวนหินที่แม่งทั้ง...หนาว...แข็ง... และเปียกชื้น?

เหวย?????

พรวด!

ผมทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมาทำหน้าเหรอหราใส่คนที่กำลังเท้าคางจ้องผมตาแป๋ว

หัวดำๆ แบบนี้... ตาดำๆ แบบนี้... หน้าเกรียนๆ แบบนี้...

ทั้งชีวิตที่ผมรู้จักมันก็มีอยู่แค่คนเดียว!

“ไงมึง ตื่นจากนิทราแล้วเหรอจ๊ะ นึกว่าต้องรอให้เจ้าชายกระต่ายมาจุมพิตซะอีกถึงจะฟื้นขึ้นมาได้”

ว่าที่เทพกระต่ายแห่งดวงจันทร์ฉีกยิ้มจนตาเกือบปิด บนหัวมันมีลูกสุนัขตัวหนึ่งเกาะอยู่ บนบ่าข้างซ้ายก็มีอีกหนึ่ง บนตักมันก็ด้วย ตรงเท้ามันก็มี รอบๆ นี่ล้อมกรอบเป็นคอกเลยครับ...

“มึง... และนี่...” ผมชี้ไปที่ลูกหมาป่าสีขาว สีเงิน สีฟ้า สีเทา มีตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และตัวโตเต็มวัยให้เลือกสรร ถัดไปไม่ห่างมีฟาฮานั่งพักสายตาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พี่กล้ามลูกน้องของเทรซัสคอยเฝ้าระวังให้พร้อมกับลูกน้องใต้การปกครองอีกหลายคน ผมลองมองซ้ายแลขวาดูแล้วก็ไม่พบคนอื่นอีก “เชอเชสกับคนอื่นๆ ล่ะ?”

คนที่กำลังฟัดพุงลูกหมาป่าอยู่แสยะยิ้มเหี้ยแบบไม่มี ม.ม้า ปิดท้ายออกมาแบบกะแซวผมเต็มที่ ตานี่วิ้งวับซะจนผมแทบจะกางสองนิ้วพุ่งไปทิ่มตาแม่งให้บอดทั้งสองข้างไปเลย

“อะไรๆ มองแบบนี้คือไร?”

“กูก็ไม่ได้อยากจะแซวอ่ะนะ แต่ตื่นมาก็เปิดปากถามหาสามีก่อนใครเพื่อนเลยนี่มันยังไงกันวะ เป็นห่วงเขา? รักเขาแล้วก็บอก หุหุ” มันยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะด้วยท่วงท่าที่บอกได้เลยว่าแรดมาก มีอุ้มหมาขึ้นมาเป็นโล่กำบังวิชาหมัดมวยของผมซะด้วย แมนชิบหายเลยใช้หมาเป็นโล่อ่ะ

“ตลกละ กูถามดีๆ เสือกกวนตีนกูอีก” ผมแจกค้อนมันวงใหญ่ก่อนก้มลงสำรวจพุงป่องๆ ของตัวเอง ไม่เจ็บ ไม่ปวด แถมเสื้อผ้ายังเป็นชุดใหม่แกะห่อ สวมทับอีกชั้นด้วยผ้าคลุมหนังสัตว์ผืนหนาที่ช่วยบรรเทาความหนาวไปได้มากโข “นี่มึงเปลี่ยนชุดให้กู?”

“เออ สำนึกบุญคุณกูด้วยล่ะ” มันยักคิ้วกวนบาทา จับอุ้งตีนหมาโบกไปมาด้วยท่วงท่าน่ารักแอ๊บแบ๊วเพื่อกวนตีนผม

“แล้วจะตอบคำถามกูได้ยัง?”

“เรื่องสามีมึง? คนอื่นๆ ? หรือจะเอาเป็นเรื่องเจ้าพวกนี้ก่อนดี?” ว่าแล้วมันก็ผายมือบอกให้รู้ว่า ‘เจ้าพวกนี้’ ที่มันพูด หมายถึงบรรดามะหมาสี่ขาครับที่นั่งกระดิกหางกันน่ารักน่าอุ้มกลับบ้าน

“ทุกอย่าง” เนื่องจากเสียเลือดไปมาก ถึงแม้จะได้รับการรักษาจนไม่หลงเหลือความเจ็บปวดแล้ว ทว่าร่างกายยังคงอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรงจะทำอะไร ผมเลยตอบไอ้ธาสั้นๆ ก่อนเอนตัวลงนอนเป็นเบาะมนุษย์ให้ลูกหมาป่าสองสามตัวขึ้นมานอนขดพึ่งพิงไออุ่น แต่ละตัวน่ารักน่าบี้ทั้งนั้น ไว้เชอเชสกลับมาก่อน ผมจะขอเขาเอากลับไปเลี้ยงด้วยสักตัวสองตัว

“งั้นเริ่มจากเจ้าพวกนี้ก่อนละกัน” เจ้าเพื่อนบ้าเอาตีนหมามาประทับหน้าผม แล้วปล่อยเจ้าตัวสีขาวลงให้มันเลียแก้มผมอยู่อย่างนั้นด้วยความรักใคร่(?)

“ฟาฮาบอกว่ามึงเป็นคนเอ่ยปากขอให้ช่วยเด็กพวกนี้ออกมาจากคุก ตอนเขาพามึงมารักษาตัวที่นี่ เจ้าพวกนี้ก็ตามมาด้วย อยู่เฝ้ามึงไม่ยอมไปไหนเลยว่ะ”

ลูกหมาป่านับสิบพร้อมใจกันเห่ารับคำพูดของไอ้ธา บ้างกระโดดขึ้นมาเลียหน้าแสดงความรัก บ้างเอาหัวถูไถออดอ้อน ต่อมความรักสัตว์ในตัวผมพลันโลดแล่นขึ้นมาทันที อยากจะจับเจ้าพวกนี้ฟัดเรียงตัวชะมัด ติดก็แต่สังขารตัวผมนั้นยังไม่พร้อมให้ทำอย่างนั้นได้ เลยได้แต่นอนแบ็บให้ลูกหมาป่าพวกนี้ย่ำยี(?)ต่อไป

“ส่วนคนอื่นๆ ...” เจ้าเพื่อนหัวดำยังคงหาเรื่องยืดเวลาที่จะพูดเรื่องเชอเชสออกไป โดยหารู้ไม่ว่าผมขี้เกียจรอเลยต่อสายตรงหาเจ้าม่วงของผมไปแล้วเรียบร้อย และได้ความว่านาเทลที่เชี่ยวชาญการใช้เวทมนต์และอาคมทุกรูปแบบได้รุดหน้าไปช่วยเชอเชสต่อกรกับอสูรหมื่นราตรี(ที่ตอนแรกกูนึกว่าชื่อดักแด้สามศพซะอีก) ตอนนี้กำลังฟัดกันนัวเนีย เหลือแค่ทำลายแกนกลางของเจ้าอสูรนี่ได้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไป

ทางด้านซอโรกับท่านลุงหมีดาเนสได้พบตัวคุณเชษฐ์แล้ว ทั้งสามคนรวมทั้งลูกน้องของแม่ทัพเจ็ดดาบกำลังไปช่วยพวกทิชากับจาเรลที่ห้องเก็บของหลังปราสาท ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เพราะอาคมกลืนวิญญาณที่วางไว้เป็นกับดับมันร้ายกาจถึงขั้นติดหนึ่งในสิบอาคมต้องห้ามบนดวงจันทร์ ถ้าไม่ได้เลือดของมนุษย์โลกเป็นสื่อกลางในการทำลายอาคม ต่อให้มีเก้าชีวิตก็ยากที่จะเอาตัวรอด

เสียงคำรามของอสูรที่ถูกอัญเชิญด้วยมนต์ดำกู่ร้องดังก้องน่านฟ้า เรียกให้ผมผุดลุกขึ้นนั่งจนทำเอาหมาป่าตัวน้อยทั้งหลายที่ยึดตัวผมเป็นเตียงนอนกลิ้งตกไปหลายตัว

ไม่เพียงแค่ผมที่รับรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงของสิ่งมีชีวิตที่สยายปีกบินขึ้นเหนือยอดปราสาท เจ้าพวกขนปุยต่างพร้อมใจกันย้ายที่นั่งมาซุกหลังผมกับไอ้ธาเหมือนเห็นเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่ละตัวหูตก ตัวสั่น หางจุกตูด มีก็แต่เจ้าขาวที่ไอ้ธาปล่อยมันเลียหน้าผมตัวเดียวเท่านั้นที่ตะเบ็งเห่าไอ้ตัวที่กระพือปีกบินอยู่ไม่ไกล

ตัวแค่นี้ยังทำเป็นซ่าส์ เดี๋ยวมันบินมาตามเสียงเรียกได้ตัวใครตัวมันนะเอ็ง...

อสูรตัวใหญ่ที่โผตัวขึ้นอวดศักดาเป็นสัตว์ประหลาดตัวเดียวกับที่ทลายชั้นใต้ดินแล้วปรากฏตัวขึ้นเหมือนก็อตซิลล่าในหนังก่อนที่สติของผมจะดับวูบไป ลำตัวสีดำมะเมื่อมนั้นช่างเด่นชัดเมื่อมันตัดกับท้องฟ้าสีเทาขาวของดินแดนน้ำแข็ง ส่วนหัวมันมีสามเศียร รูปหน้าเหมือนคนถักทอด้วยเส้นใยนับหมื่นเชื่อมต่อกับส่วนตัวที่เป็นสายระโยงระยางน่าขยะแขยง ริ้วสีดำโบกพัดไปตามสายลม เส้นสายสีดำเปรียบดั่งอาวุธใช้ทิ่มแทงทุกชีวิตที่เข้าใกล้

“เชี่ยแม่ง ตัวนี้ใหญ่กว่าที่กูเจออีก!”

ไอ้ธาผงะตามบรรดาหมาๆ ที่พร้อมใจกับขยับถอยหลังอย่างไม่ได้นัดหมาย จากคำบอกเล่าของนาเทลที่ส่งต่อมายังเชอเชสอีกที ทำให้ผมได้รู้ว่าเจ้าเพื่อนบ้านี่ก็พลีร่าง เอ๊ย พลีเลือดไปไม่น้อยเลยเหมือนกันกว่าจะรอดออกมาจากอาคมเจ้าปัญหานั้นมาได้

แต่คุณภาพชีวิตมันแลดูจะดีกว่าผมเยอะ เพราะอย่างน้อยนาเทลก็มีวิธีรับมือกับอาคมกลืนวิญญาณต่างจากเชอเชสที่ไม่ค่อยสันทัดด้านเวทมนต์เท่าไหร่ ไอ้ผมเลยจำเป็นต้องเสียเลือดไปเป็นลิตรกว่าจะเอาชีวิตรอดออกมาจากใจกลางของอาคมนั้นได้

“พวกนั้นจะไหวมั้ยวะ...”

ถามยังไม่ทันขาดคำ สายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาจนเห็นเส้นแสงสีฟ้าเงินสว่างวาบไปทั่วบริเวณ อสูรหมื่นราตรีกรีดร้องเสียงแหลมสูง พ่นไฟผลาญสีดำทมิฬออกจากปากเป็นวงกว้างแต่กลับถูกสายน้ำที่ไม่รู้ผุดขึ้นมาจากตอไหนสาดโครมเข้าใส่จนเปลวไฟมอดดับลงเหลือเพียงแค่เขม่าควันไฟลอยละล่องในอากาศ

การโจมตีระรอกสองโถมเข้าใส่ทันทีไม่ให้อสูรหมื่นราตรีตั้งตัวทัน พายุใบมีดถูกเรียกใช้จนเห็นสายลมบิดเกลียวห้อขึ้นเป็นวงสูงเหมือนพายุทอร์นาโด เงาร่างสีดำทะมึนถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ เส้นสายร่วงกระจายเกลื่อนฟ้าจนดูคล้ายสายพิรุณสีดำจากระยะไกล

เสียงร้องกราดเกรี้ยวดังก้องกังวาน ปีศาจร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมนต์ดำพยายามดิ้นรนออกจากสายลมที่ผูกมัดตัวมันไว้กลางอากาศ แต่พันธนการจากจอมเวทย์ที่ไอ้ธาการันตีความเจ๋งไว้ประมาณสามหน้ากระดาษเอสี่นั้นร้ายกาจยิ่ง เพียงอาคมชั้นสูงหนึ่งบทก็สามารถฉีกกระชากร่างใหญ่โตจนขาดกระจุย ตามด้วยสายฟ้าฟาดที่กระหน่ำซัดใส่แบบกะให้มันดำไหม้ไม่เหลือซาก ไม่นานนักอสูรหมื่นราตรีก็สิ้นชื่อ เหลือเพียงก้อนเนื้อสีดำกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งมันเคยถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้

ผมมองภาพบนฟ้าด้วยสายตาตะลึงงัน นี่น่ะหรือฝีมือที่แท้จริงของเจ้าชายลำดับสองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมขมังเวทย์ที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน...

“ไงล่ะมึง นาเทลแม่งโคตรของโคตรเทพเลยใช่ป่ะล่ะ!”

เกลอซี้ของผมอวยเจ้าม่วงคนพี่อย่างออกหน้าออกตา มะหมาในมือมันถูกจับเหวี่ยงจนแทบเห็นลายก้นหอยในดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าตัวน้อยที่น่าสงสาร

“มึง...จะดีใจก็เพลาๆ หน่อย อย่ารังแกหมา”

“เจ้านี่ชื่อซาร์ดีน”

มึงฟังกุมากครับเพื่อน... พูดไปคนละเรื่องเดียวกันเลย

“เอาชื่อปลามาตั้งให้หมาเนี่ยนะ?” น่าเห็นใจเจ้าสีเทาในมือไอ้เพื่อนบ้าของผมชิบหาย เป็นหมาป่าอยู่ดีๆ ดันได้ชื่อเป็นปลาทะเลที่มนุษย์โลกนิยมบริโภคกันซะงั้น เสียชาติเกิดดีแท้

“ก็สีมันดูน่าอร่อย”

นั่นหมาป่านะมึง...

ผมล้มตัวนอนอีกครั้งแบบขี้เกียจเถียง ที่เห็นผมเฉาไม่ใช่ว่าเบื่อความเกรียนของเพื่อนตัวเองหรอกนะ แต่หมดแรงด่าแล้วต่างหาก... การเสียเลือดมากเกินไปมันส่งผลกระทบต่อร่างกายค่อนข้างมาก ยามนี้ผมจึงต้องการการพักผ่อนที่มากกว่าปรกติ นี่ถ้าได้เตาผิงไฟด้วยจะดีมากๆๆๆๆ เลย

คิดถึงความอุ่นความอุ่นก็มา มาพร้อมกับวงแขนที่คุ้นเคยและกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้ใจผมสงบทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ปรือตาขึ้นมองก็พบรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นแต่ไม่โรคจิตเหมือนครั้งแรกๆ ที่พบกัน เป็นเชอเชสนั่นเองที่รวบตัวผมขึ้นจากพื้นมาอยู่ในอ้อมกอดของเขา ความอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาจนผมซุกตัวเข้าหาเขามากกว่าเก่า ไม่สนใจคำแซวของไอ้ธา ไม่สนใจเจ้าพวกลูกหมาป่าที่พากันเห่าหอนต้อนรับคนมาใหม่

“บาดเจ็บตรงไหนมั้ย?” ถามคนที่ทำหน้าที่เตาผิงส่วนตัวให้ผมได้อย่างดีเยี่ยม เสร็จจากการกำจัดอสูรหมื่นราตรีก็พุ่งมาหาผมทันทีแบบนี้ ...มันน่าดีใจนิดๆ แฮะ

“ไม่ครับ” กระต่ายขี้ฉวยโอกาสประทับความอุ่นลงบนหน้าผากผมหนึ่งที กอดรัดแน่นขึ้น เป็นการกระทำที่เหมือนปรกติแต่ผมกลับสัมผัสความผิดแปลกได้เจือจาง

“เป็นอะไรรึเปล่า?”

อยากจะงัดตัวขึ้นมาคุยด้วยให้รู้เรื่อง แต่ความหนักที่เปลือกตากลับมีมากกว่าเมื่อผมโดนมนต์บางอย่างทำให้ดำดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทราทั้งที่ไม่เต็มใจ

ก่อนจะเดินทางเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ผมได้ยินเสียงนุ่มของเจ้าสีม่วงดังขึ้นอยู่ข้างหู เป็นคำสัญญาที่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งใดที่ผมเคยได้รับจากเจ้าตัว

เขาบอกว่าเขาจะต้องเก่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้ เพื่อที่ในอนาคตผมจะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้อีก

เชอเชสให้สัญญาที่ทำให้ผมยิ้มบางๆ ก่อนยอมหลับใหลในอ้อมกอดเขาแต่โดยดี

เจ้าชายกระต่ายพระองค์นี้... ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกเขา



---------------------------------------------------------
ซึ้งๆ ปิดท้าย นุ้งวีเริ่มเปิดใจ(?)ละฮะะะะะะ
ปล. ชอบเวลาที่น้องธากับนุ้งวีอยู่ด้วยกันที่สุดแล้ว เวลาเขียนเพื่อนซี้สองคนนี้คุยกัน มันช่างปลื้มปริ่มระอาใจ5555555
ฝันดีก่ะทุกคนนนน
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-01-2016 21:52:31
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 22-01-2016 22:15:12
ตอนนี้นุ้งวีเสียเลือดคนอ่านก็อยากเสียเลือดบ้าง อิอิ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-01-2016 22:38:27
ชอบตอนวีกับธาอยู่ด้วยกันอีกคน มันเนียนแบบเพื่อนคุยกันจริง ๆ

อา...นอกจากจะมีชีวิตชิลด์ ๆ (?) อยู่ในดงกระต่ายขนนุ่ม นุ้งวีกับนุ้งธายังมีดลงหมาขนฟูให้ฟัดเล่นอีก

อิจฉาาาาาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 22-01-2016 23:24:26
หวานกันอีกแล้วค่ะ  :impress2: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 22-01-2016 23:32:56
เบื่อผัวเมียคู่นี้จริงๆ 55
รอตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-01-2016 00:33:55
น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: noksamsee ที่ 23-01-2016 09:30:19
 :mew3:ให้รางวัล ว่าที่สามีด้วยน่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: เกรียนเหมียว ที่ 23-01-2016 10:00:08
 :mew1: เจ้าส้มน่ารักเสมอ อยากจะเก่งขึ้นเพื่อปกป้องคนรัก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 23-01-2016 10:08:55
สองคู่
น่ารักจัง
เชอเชสวี
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 23-01-2016 12:38:20
สองคู่ชูชื่น อร๊าย!!  น่ารักเว่อวังอลังการมากค่ะ 555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 23-01-2016 12:46:23
เราว่าน้องวี เปิดใจให้ว่าที่สามีมานานแล้วนะ เล่นหวานกันออกสื่อตลอด ๆ เชียว  :-[
เชอเชส อบอุ่นอ่อนโยนตลอด ๆ เลย ตอนนี้ นาเทลก็เท่ห์มาก คู่ควรกับว่าที่เทพกระต่ายธาที่สุด อิอิ
ที่ชอบน้องวีที่สุด ตั้งแต่แรกเลยก็เรื่องรักสัตว์นี่แหละ โชคดีของเจ้าพวกลูกหมาแล้วที่ได้มาเจอน้องวี
เอากลับไปเลี้ยงหมดนี่เลยเถอะ เชอเชสไม่ว่าหรอกน่า ออกจะเกลียมัวขนาดนั้น 555
เราก็ชอบตอนสองเพื่อนซี้เค้าอยู่ด้วยกันมาก อะไรเครียด ๆ นี่หายหมดเลย ฮาได้ตลอด ๆ
รอตอนต่อไปจ้า ชอบเรื่องนี้มาก ๆ นะ ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 23-01-2016 18:48:05
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-01-2016 19:19:06
นุ้งวีเป็นคนตลก 555555
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 23-01-2016 19:31:37
ชอบตอนสองเพื่อนซี้อยู่ด้วยกัน อยากรู้คู่นาเทลกับธาจะเป็นไงบ้างน้อ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.18::: Update 22/01/2015 (P.8)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 24-01-2016 13:56:44
อยากมีเตาผิงแบบนี้บ้างง่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -19-
เริ่มหัวข้อโดย: varirinnara ที่ 24-01-2016 19:12:16



-19-
เซอร์ไพรส์หนักสามเด้ง

 



เมื่อผมตื่นขึ้นก็ได้รับข่าวดีอยู่สามอย่าง

หนึ่ง ท่านลุงหมีดาเนสจับตัว กัลชาเร ซีนัส ขุนนางที่วางแผนลักพาตัวเทพกระต่ายได้แล้ว ตอนนี้นำตัวไปคุมขังอยู่ในคุกหลวง และกำลังเริ่มสืบสาวตามเรื่องอยู่ว่ามีผู้บงการคนใดอีกบ้างที่ร่วมให้การสนับสนุนแผนการครั้งนี้

สอง เชอเชสรับบรรดาเด็กหมาป่ามาเลี้ยง(เพราะพวกมันตามติดผมแจไม่ยอมถูกจับแยก) ทำให้พอตื่นขึ้นมาก็พบดวงตาใสแจ๋วนับสิบคู่รุมล้อมพร้อมกับน้ำลายเต็มหน้า ผมได้มาสิบสี่ตัว ไอ้ธาได้ไปสิบสอง ต่อจากนี้คงไม่มีเวลามานั่งเหงากันอีกเพราะเจ้าตัวน้อยทั้งหลายคงป่วนชีวิตอันแสนสงบสุขของพวกเราน่าดู

และข่าวดี(?)อย่างสุดท้าย คุณเชษฐ์กับคุณตาณหาฤกษ์งามยามดีให้ผมกับเชอเชสได้แล้ว นั่นคืออีกสองเดือนนับจากนี้ อาณาจักรแสงจันทร์จะมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่เนื่องในโอกาสรัชทายาทแห่งแสงจันทร์จะเข้าอภิเษกสมรสกับชายาแห่งดวงจันทร์ หรือนั่นก็คือผม...

นี่ผมต้องออกเรือนแล้วจริงเหรอวะ แถมในฐานะเมียเจ้าชายกระต่าย...

เออ เอาเหอะ มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะบ่นหาสวรรค์วิมานอะไรอีกล่ะไอ้วี รีบแต่ง รีบรัก(?) จะได้รีบกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ไงล่ะ

“มึงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

ลูบหัวทักทายหมาป่าตัวน้อยยังไม่ทันจะครบตัว เสียงปานฟ้าผ่าของไอ้ธาก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูบานหนาถูกผลักดังปังจนสะดุ้งกันทั้งหมาทั้งคน

ไอ้คนบุกรุกแม่งก็หาได้สำนึกไม่ว่าทำให้หลายชีวิตหัวใจหลุดออกมาจากปากพร้อมกัน มันถลาเข้ามาหาเร็วไวพร้อมกับขบวนน้องหมาสิบสองตัวที่วิ่งตามมา บรรยากาศในห้องเลยดูคึกคักขึ้นทันตาเห็น หรือจะพูดให้ถูกคือแม่งวุ่นวายโคตรๆ เสียงเห่าหอนดังขรม ผมนี่โคตรปวดหู ขณะที่เจ้าเพื่อนบ้าหัวเราะฮ่าๆ ชอบใจ

“มีไรมึง” ผมถามเสียงเนือยแบบคนเพิ่งตื่น ยังคงเมาขี้ตาไม่หาย ฟันยังไม่ได้แปรง หิวก็หิว ตอนนี้เลยค่อนข้างนอยด์ อารมณ์ไม่แจ่มใส ซึ่งไอ้ธาก็ดูจะเข้าใจดี ใช่ว่ามันเคยเห็นผมเป็นแบบนี้ครั้งแรกซะที่ไหน

“ไปอาบน้ำแต่งตัวกัน กูมีไรจะเซอร์ไพรส์”

เจ้าเพื่อนหัวดำมันฉีกยิ้มกว้าง ฉุดมือผมขึ้นแล้ว ‘ลาก’ ให้ตามมันออกไป มีส่งเสียงบอกให้น้องหมาทั้งหลายวิ่งตามมาด้วย กองทัพสี่ขาขนาดเล็กเลยพุ่งตามติดแบบไม่มีตัวไหนงอแง วิ่งพันแข้งพันขาผมกับไอ้ธากันใหญ่ ไอ้ผมล่ะหวั่นใจจะเหยียบหมาแบนจริงๆ

ที่ที่มันพาผมมาคือห้องอาบน้ำส่วนตัวของเจ้าชายรัชทายาท ขนาดกว้างขวางกว่าห้องอาบน้ำรวมของบรรดาแขกจากต่างเมืองถึงสองเท่า พื้นปูด้วยหินหยาบกันลื่นที่เรืองแสงสีเหลืองทองเหมือนพื้นผิวของดวงจันทร์ สระสรงน้ำกอปรขึ้นจากหินเนียนเรียบสีเขียวอ่อนดุจหยก ตรงขอบสระมีหัวกระต่ายพ่นน้ำอยู่เก้าหัว ดวงตาตกแต่งด้วยอัญมณีสีแดงสุกสว่าง ในห้องนอกจากมียาอุลคอยรับใช้แล้ว ยังมีเด็กรับใช้ที่ผมเลือกให้มาปรนนิบัติอีกสามคนยืนสำรวมอยู่หน้าทางเข้า

“นี่เป็นชุดที่ใช้สำหรับคืนนี้ขอรับ” เจ้าสีเทายื่นชุดสีเหลืองนวลที่พับเรียบร้อยมาให้ ผมรับมันใส่ในตะกร้าที่วางเอาไว้ตรงมุมแต่งตัว เอ่ยขอบคุณเจ้าตัวน้อยที่คอยเป็นธุระให้เสมอด้วยรอยยิ้มที่ไอ้ธาชอบบ่นว่าลำเอียงชิบหาย ทีกับมันอ่ะไม่เคยได้หรอกไอ้รอยยิ้มอ่อนโยนแบบนี้ แน่สิ...ก็มึงมันเกรียนนิ

เจ้าสีเทาที่รับใช้ผมมาได้สักพักหนึ่งแล้วค้อมหัวให้ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแสงจันทร์ ก่อนถอยร่นลงไปอย่างรู้งานยืนรวมกับเด็กรับใช้คนอื่น

นับตั้งแต่พิธีต้อนรับชายาแห่งดวงจันทร์อะไรนั่น ผมก็ไม่ได้ให้พวกเขาปรนนิบัติเวลาผมอาบน้ำอีก ทีแรกพวกเขาไม่ยอมกันท่าเดียว จนผมต้องแล่นไปขอให้เชอเชสช่วยออกปากให้อีกแรงนั่นล่ะ เจ้าพวกตัวน้อยทั้งหลายถึงยอมคอยอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตูแทน

แต่ถึงจะยอมวางมือเรื่องอาบน้ำ พวกเขากลับไม่ยอมวางใจให้ผมแต่งตัวเอง(เพราะชุดชาวแสงจันทร์มันแต่งยากมาก ผมเคยลองแต่งเองไปที ออกมาโคตรชุ่ยเลยโดนรื้อแต่งใหม่หมด) เรื่องนี้ผมเลยไม่ขัดศรัทธาเจ้าพวกตัวน้อยอีก แค่ไม่ยอมเรื่องอาบน้ำก็ทำท่าเสียใจหูตกกันไปตั้งหลายวัน ขืนบอกว่าจะแต่งตัวเองอีก... ไม่รู้จะงัดกลเม็ดอะไรมาทำให้ผมรู้สึกผิดที่ลิดรอนงานพวกเขาไป

ผมเดินผ่านฉากกั้นที่คั่นระหว่างสระสรงน้ำกับหน้าประตูที่พวกยาอุลยืนรออยู่ ส่วนไอ้ธา...พาน้องหมาจากไปนานแล้ว เห็นว่าจะพาไปอาบน้ำแต่งตัวให้ใหม่จะได้กลิ่นตัวหอมฉุยน่าฟัด เวลานี้ความสงบเลยได้กลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งให้ผมได้พักผ่อนเต็มที่

หนึ่งเท้าหย่อนลงแตะอุณหภูมิน้ำที่เป็นน้ำนมสีขุ่นดูก่อน พบว่ามันร้อนกำลังดีก็ค่อยก้าวขาลงไปนอนแช่อย่างสบายอารมณ์ กลิ่นหอมของนมอ่อนๆ ทำให้ตัวผมเริ่มผ่อนคลาย เสียงน้ำที่ไหลรินผ่านปากของกระต่ายหินช่วยให้ในห้องไม่เงียบเหงาจนเกินไป

ผมเหม่อมองโคมไฟระย้ากลางห้องที่ทำจากคริสตัลสีขาวเงินทั้งยวงพาลคิดไปถึงพ่อแม่ที่ไม่รู้จะเป็นห่วงผมขนาดไหนถ้าได้รู้ว่าผมกับไอ้ธาหายตัวไป ถึงคุณเชษฐ์กับคุณตาณจะบอกว่าเวลาบนดวงจันทร์มันเร็วกว่าโลกอยู่หลายส่วน หนึ่งอาทิตย์ที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของโลก แต่ความห่างไกลและจำนวนชั่วโมงในแต่ละวันที่ไม่ต่างกันมากนัก ทำให้ผมรู้สึกว่าผมห่างจากพ่อแม่มานานเกินไปแล้ว

เฮ้อ...

“ท่านวี ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าขอรับ”

ยาอุลตัวน้อยถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดของผม ดูท่าเจ้าตัวจะเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่กลับมาผมก็เอาแต่นอนยาว เรื่องที่ผมบาดเจ็บหนักคงรู้ถึงหูเจ้าตัวไปบ้างแล้ว

“ผมสบายดี แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบกลับไป นอนแช่น้ำต่ออีกนิดก็ลุกขึ้นจากน้ำไปล้างตัว หลังสวมชุดที่ถูกจัดเตรียมมาเรียบร้อย ยาอุลกับเด็กรับใช้คนอื่นก็เข้ามาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องที่เหลือให้ ผ้าคาดเอวสีแดงสดถูกรัดเข้ารูป สายสร้อยที่ทำจากทองถูกคล้องตามมา ริบบิ้นสีเดียวกับผ้าคาดเอวถูกร้อยเข้ากับช่องเล็กตรงท่อนแขนก่อนผูกมัดเป็นโบว์

นาคิน เด็กรับใช้ประจำตัวผมอีกคนที่ตัวสูงกว่ายาอุลนิดหน่อยช่วยสวมถุงเท้าให้ ข้างๆ มีเด็กหูกระต่ายสีน้ำตาลอ่อนชื่อ ยูเซ รับช่วงต่อสวมรองเท้าหนังหุ้มข้อให้ผมอีกที ส่วนผมที่เริ่มยาวลงมาประบ่ามีเด็กน้อยหูสีดำนาม เมโช ช่วยหวีให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ยาอุลจึงกางเสื้อคลุมไหล่สีน้ำตาลอ่อนที่ทำจากหนังจิ้งจอกให้ผมสวมใส่เป็นการปิดท้าย จัดเต็มขนาดนี้ไม่รู้เจ้าเพื่อนตัวดีมีแผนจะเซอร์ไพรส์อะไรผม

แค่ทุกวันนี้ชีวิตกูยังเซอร์ไพรส์ไม่พอใช่ไหมมึง...

ว่าแต่เจ้าม่วงของผมหายตัวไปไหน ตั้งแต่ตื่นมาผมลองเรียกเขาดูหลายครั้งแต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาเลย พอถามยาอุลกับเด็กรับใช้คนอื่นๆ ก็ต่างพากันส่ายหัวไม่รู้กันหมด

จำได้ว่าก่อนผมจะหลับไป เชอเชสดูเคร่งเครียดกว่าที่เคยเป็น ทั้งคำสัญญาที่แม้จะดูเลือนรางแต่ตัวผมกลับจำได้ดี...

ไม่ใช่ว่าตอนนี้กำลังโทษตัวเองอยู่หรอกนะ?



“อ้าว เสร็จแล้วหรอ รอแป๊บๆ อีกสองคนก็เสร็จแล้ว”

เพื่อนธาที่วุ่นวายกับการจับเด็กน้อยล้างหน้าล้างตาหันมาบอกผม ตัวมันเปียกโชกไปครึ่งตัว อีกครึ่งก็เละเทะไม่แพ้กัน สงสัยตัวมันคงได้อาบน้ำใหม่เป็นคนสุดท้าย

“พระชายา!” เจ้าตัวเล็กที่มีใบหูกับพวงหางแบบหมาป่าวิ่งโร่เข้ามาเกาะแข้งเกาะขาผมเป็นการใหญ่ แต่ละคนใส่ชุดสีสันสดใส เป็นชุดยูกาตะแบบสั้นที่คลุมทับด้วยเสื้อหนังสัตว์กันหนาว รองเท้าหนังหุ้มข้อ โคตรของโคตรน่ารักน่าฟัด ผมเลยย่อตัวลง ถามชื่อเรียงคน ซึ่งเด็กน้อยทั้งหลายต่างแย่งกันบอกเสียงเจี๊ยวจ๊าว เล่นเอาผมฟังไม่ทันเลยทีเดียว

“แล้วเราล่ะ?” ผมถามคนสุดท้ายที่เอาแต่เกาะแขนผมลูกเดียวไม่พูดไม่จา เจ้าตัวเล็กนี่มีผมสีขาว ดวงตาสีม่วงใส ทำให้ผมนึกถึงลูกหมาป่าตัวจ้อยที่ไอ้ธาปล่อยให้เลียหน้าผมซะเปียกในตอนนั้น

จะใช่ตัวเดียวกับที่กล้าเห่าอสูรหมื่นราตรีตัวนั้นรึเปล่านะ?

“ตัวข้านั้นไร้นาม แต่พี่น้องเรียกข้าว่าเจ้าขาว” เด็กน้อยพูดแล้วก็กอดซบมือผมไม่ปล่อย ว่าแต่...เจ้าขาวนั่นมันใช่ชื่อที่ไหน

“ถ้าอย่างนั้น...ให้ผมตั้งชื่อให้เอาไหม?”

เจ้าตัวน้อยตาเป็นประกาย มองหน้าผมด้วยรอยยิ้มกว้างที่สดใสเหมือนดวงตะวัน “จริงหรือขอรับ!?”

“เอ๋ ขี้โกง~” หมาป่าตัวน้อยคนอื่นๆ พร้อมใจกันพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ชิโรอิ ดีมั้ย?”

ผมนึกถึงชื่อขนมญี่ปุ่นที่ชอบกิน เป็นคุกกี้วานิลลาสอดไส้ไวท์ช็อคโกแลตที่โคตรอร่อย กินทีแทบบินได้ เวลาไอ้ธาบินไปเที่ยวญี่ปุ่นกับที่บ้านก็มักจะซื้อสิ่งนี้มาเป็นของฝาก จะว่าไปก็เป็นเพราะมันซื้อมาฝากนี่ล่ะ ผมถึงได้คลั่งขนมชนิดนี้ซะจนต้องเจียดค่าขนมทุกเดือนไปซื้อกินให้หายอยาก พูดไปแล้วก็อยากกินแฮะ ไว้กลับไทยได้เมื่อไหร่จะไปซื้อกินเป็นอันดับแรกเลย

“ดีขอรับพระชายา!” ชิโรอิตัวน้อยตอบรับเสียงใส ท่าทางดีใจมากกับชื่อใหม่ที่ได้รับ ผมจึงลูบหัวเขาไปด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็เริ่มเสี้ยมสอน(?)ทันที

“ไม่ใช่พระชายา ไหนเรียก ‘พี่ชาย’ ซิ”

“พี่ชาย~”

เด็กทั้งหมดประสานเสียงเรียกผมเป็นเสียงเดียวกัน ดาเมจคูณยี่สิบสี่ ไอ้วีแทบฟินตาย

นะ...น่าร๊ากกกก

“ก๊ากกกกก ฮ่าๆๆๆ พี่ชาย...พี่ชายว่ะเฮ้ย!”

เจ้าเพื่อนบ้าของผมที่เพิ่งอาบน้ำให้เด็กหมาป่าอีกสองคนเสร็จปล่อยเสียงฮาก๊ากออกมาแบบไม่สำรวมมารยาทเลยสักนิด ให้คนที่เสี้ยมเด็กเรียกว่า ‘พี่ชาย’ แบบผมหน้าม้านไปวูบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นไปไล่เตะไอ้คนที่ตัวเปียกไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำให้เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อใหม่ซะให้เรียบร้อย ไอ้ธายังฮาผมต่ออีกนิดก่อนจะยกมือยอมแพ้หมุนตัวไปอาบน้ำดีๆ เมื่อเห็นผมหน้างอเป็นม้าหมากรุก

ไม่ถึงสิบนาทีดี คนที่อาบน้ำเร็วเป็นประจำก็โผล่หัวออกมาพร้อมกับชุดสีขาวสะอาดของว่าที่เทพกระต่าย มันสวมเสื้อคลุมสีขาวยาวกรอมเท้ากันหนาว ทั้งตัวเลยดูสว่างไสวให้กลิ่นอายบริสุทธิ์ดุจเทพทั้งที่ตัวจริงแม่งเกรียนยิ่งกว่าใคร

มันพาผมเดินนำขบวนเด็กหมาป่าตัวจ้อยให้ไปตามทางที่มุ่งสู่สวนใหญ่หลังปราสาท ข้างหลังมีองครักษ์ของนาเทลเดินตาม เห็นว่าเจ้าชายลำดับสองสั่งให้ตามอารักขาเพื่อนผมนับตั้งแต่กลับมาจากอาณาจักรเงาจันทร์ เป็นห่วงเป็นใยกันดีจนน่าแซววันละหลายๆ รอบ ติดก็แต่ฝั่งนั้นสถานะความสัมพันธ์ยังคลุมเครือ ต่างจากผมที่กำลังจะเข้าสู่พิธีอภิเษกในอีกสองเดือนข้างหน้า ลองกล้าแซวไอ้ธามันดูสิ ผมคงโดนมันเล่นกลับแบบไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลยทีนี้ เพราะงั้นเงียบปากเอาไว้ก่อนดีกว่า ไว้รอแซะทีเดียวเมื่ออะไรๆ มันชัดเจน(?)

“เดี๋ยวก่อนๆๆ มึงต้องผูกนี่ปิดตาด้วย” ไอ้ธาพูดขึ้นก่อนที่เราจะเดินผ่านหัวมุมโค้งสุดท้าย มันยื่นผ้าผืนยาวสีแดงสดใสมาให้ ถึงจะสงสัยว่าทำไมต้องทำอะไรให้ดูยุ่งยาก แต่พอมันลากเสียงยาวว่า เซอร์ไพรส์~ ผมถึงยอมปิดตาแต่โดยดี

นานๆ ทีถูกเซอร์ไพรส์จากคนที่เรารักก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกัน

“พี่ชาย จับมือข้าไว้นะขอรับ” เสียงเจ้าตัวน้อยสีขาวดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือเล็กที่สอดเข้ามากุมมือผมไว้ ผมยิ้มให้เขาที่คงยิ้มให้ผมอยู่เหมือนกัน ก่อนออกเดินตามเจ้าตัวเล็กด้วยจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป

สายลมที่หอบพัดเอากลิ่นดอกไม้เข้ามาปะทะจมูกทำให้อารมณ์ผมแจ่มใสขึ้นหลายระดับ เสียงไอ้ธากับเด็กคนอื่นๆ เงียบไปนานแล้ว มือเล็กที่จับมือผมไว้ก็ผละจากไปแล้วจนผมได้แต่ยืนเคว้งอยู่ลำพัง ไม่รู้จะแกะผ้าปิดตาออกได้ยัง แต่ไอ้ธายังไม่บอกให้เปิดซะหน่อย ก็ต้องปิดต่อไปงี้เหรอ?

ผมยืนหันหน้าไปมาเหมือนคนทำตัวไม่ถูก ก่อนสัมผัสได้ว่ามีใครมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขารวบตัวผมเข้าไปกอดจนร่างผมจมหายเข้าไปในวงแขนของเขา

กลิ่นนี้...สัมผัสนี้...

“เชอเชส?”

เขาไม่ตอบสิ่งใดแต่ผมมั่นใจว่าใช่แน่ เสียงหัวใจที่เต้นเป็นท่วงทำนองหนักแน่นทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้

เจ้าม่วงผละออกเล็กน้อย ก่อนทำบางสิ่งที่ทำให้ผมเบิกตากว้างแม้จะถูกปิดตาอยู่

เขาจูบผม

จูบที่เบาบางอ่อนโยน ประทับไว้เพียงภายนอกไม่ได้รุกล้ำเข้ามาแต่อย่างใด น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด ก่อนสะดุ้งเบาๆ เมื่อลิ้นหยุ่นร้อนไล่แตะตามริมฝีปาก

ผมเริ่มดิ้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้ธากับคนอื่นๆ อาจอยู่แถวนี้ เจ้าม่วงที่อ่านใจผมอยู่เป็นนิจเลยเอ่ยคำพูดชิดติดริมฝีปาก

“อย่าได้กังวลไปเลยครับ ที่นี่มีเพียงแค่ ‘เรา’ ”

จากนั้นริมฝีปากอุ่นก็ประทับกลับลงมาอีกรอบ ครั้งนี้ผมยอมผ่อนคลายตัวเองลง ยอมรับการรุกรานจากอีกคนที่ดำเนินไปอย่างทะนุถนอมผมเป็นที่สุด

“อ..อืม...เช..อ..เช..ส....” ผมเริ่มหอบหายใจติดขัด เมื่อการจูบครั้งนี้ดำเนินยาวนานกว่าที่คิด แขนแกร่งรวบเอวผมเข้าหาตัว มือหนึ่งเชยคางผมขึ้นให้รับจูบที่หนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งไหน เขาไม่ปล่อยให้ผมหายใจ จนผมต้องเรียนรู้วิธีที่จะหายใจด้วยตัวเองไม่งั้นคงได้ขาดอากาศหายใจตายไปซะก่อน

“ทำไมถึงยอมให้ข้าจูบแต่โดยดีครับ?” เขายอมผละออก เกี่ยวชายผ้าปิดตาลงให้ผมสบเข้ากับดวงตาสีม่วงเทาของเขา

ผมนิ่งคิด ก่อนเผยรอยยิ้มออกมา “นั่นสินะ... ถือว่าเป็นรางวัลให้กับเจ้าชายแถวนี้ที่คอยดูแลผมแล้วกัน” พูดแล้วก็ต้องขำออกมาเมื่อกระต่ายแถวนี้เก็บหูเก็บหางไม่มิด หน้างี้แดงจัดแต่ยังเก๊กท่าขรึมอยู่นั่นอ่ะ

อันที่จริงผมยังแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ยอมให้เจ้าม่วงจูบผมแต่โดยดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมยังโวยวายลั่นป่าอยู่เลยที่ถูกอีกฝ่ายจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

ทว่าคราวนี้กลับผิดกัน หัวใจผมรู้สึกโหยหาเจ้าม่วงอย่างบอกไม่ถูกนับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา พอไม่เห็นแม้แต่เงาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหายไปไหน พอเรียกไม่ตอบก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาจนต้องถามหาเอากับคนอื่น เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองติดเจ้าม่วงไม่น้อยก็ตอนนั้น เพราะงั้นตอนที่อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้น และโอบกอดผมเอาไว้ ...มันทำให้ผมดีใจ และเผลอโอนอ่อนผ่อนตามไปกับรสจูบที่เขามอบให้

“ข้ารักท่าน”

คำสารภาพที่ไม่คิดว่าจะได้ยินดังออกมาจากปากของเจ้าชายลำดับสามแห่งราชวงศ์แสงจันทร์

เขาจับจ้องผมด้วยสายตาจริงจัง ไร้ซึ่งแววล้อเล่น เป็นความรู้สึกที่หนักแน่นจนใบหน้าผมเห่อร้อนขึ้นมาจนสัมผัสได้

“ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่หัวใจข้าไม่เคยโกหก” เขาจับมือผมให้แนบลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่มันเต้นรัวเร็ว อาจจะพอๆ กับหัวใจของผมที่ตอนนี้แม่งแทบจะเต้นแร็พได้

“ข้าห่วงท่าน ข้าหวงท่าน ยิ่งได้เห็นท่านบาดเจ็บต่อหน้าโดยที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมอง...มันทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกแทงด้วยมีดกริชนับร้อยเสียอีก” ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมสะท้านไปกับคำพูดจริงจังที่โคตรเวอร์ประโยคนั้น

น...นี่มันอะไรกัน ทำไมผมถึงหวั่นไหวไปกับคำพูดพวกนี้ได้นะ

หัวใจเอ๋ย สงบสิ บางทีแกก็เต้นดังเกินไปแล้ว!

เชอเชสยิ้ม เขายกมือขึ้นแตะข้างแก้มของผมที่เห่อร้อนไปหมด ไม่ต้องส่องกระจกก็พอเดาได้ว่ามันขึ้นสีเป็นสีอะไร คงใช่สีเขียวหรอกเวลาอย่างนี้!

“ความจริงใจของข้า...ข้าอยากให้ท่านได้รับรู้เอาไว้”

เจ้าชายแห่งดวงจันทร์คุกเข่าลงตรงหน้าผม เอาหน้าผากแนบเข้ากับหลังมือเช่นเดียวกับยามที่ผมเลือกเขาเป็นรัชทายาทแห่งดวงจันทร์ ฉากหลังเป็นสวนดอกไม้ที่ช่วยโหมให้บรรยากาศหอมหวานยิ่งดูน่าจดจำ

ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงที่กำลังจะถูกคนรักขอแต่งงานเลยวะ

เชอเชสประทับจูบลงบนหลังมือของผม ช้อนตาขึ้นมองด้วยดวงตาคมกริบที่ติดเจ้าเล่ห์หน่อยๆ(?)

“ท่านเดาได้เก่งนัก”

หัวใจของผมแทบเด้งออกมาจากอก ทายเล่นๆ แม่งเสือกฟลุ๊คถูกซะงั้น!?

“เอาจริงดิ?”

“ข้าเคยหลอกท่านเล่นหรือ?”

ก็ดูจะบ่อยอยู่นะ...

เจ้าตัวหลุดขำออกมาจนผมเผลอยิ้มตาม บรรยากาศสบายๆ ถูกเข้ามาแทนที่ จนผมคิดไม่ออกเลยว่าเมื่อกี้เราไปเล่นบทหวานกันได้ยังไง หรือผมจะยังอึนจากอาการเสียเลือดไม่หายเลยเผลอปล่อยตัวไปนะ?

“เผลอบ่อยๆ ก็ดีนะครับ”

“เดี๋ยวเจอทุบ” ผมกำหมัดขู่เขา ซึ่งเจ้าม่วงก็ดูกลัวมาก เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนยืดกายขึ้นสูงเต็มสัดส่วน

มือใหญ่ยื่นออกมาตรงหน้า บังเกิดเป็นแสงสีม่วงสว่างสดใสที่ร้อยรัดเป็นวง เผยให้เห็นวงแหวนสีเหลืองทองที่ประดับด้วยอัญมณีสีม่วงเหมือนสีตาของคนตรงหน้า

“ข้ารู้ดีว่าการอภิเษกของเราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ ทว่าข้าก็อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง จริงใจ จนผมไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย

“ท่านวี...แต่งงานกับข้านะครับ”

เจ้าม่วงพูดกับผมขนาดนี้แล้ว คำตอบของผมจะเป็นอื่นได้อีกหรือนอกจาก...

“อื้อ...”

สิ้นเสียงตอบรับ วงแหวนเหนือฝ่ามือเจ้าม่วงก็พุ่งวาบเข้ามาในนิ้วนางข้างซ้ายของผม เชอเชสจับผมอุ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มดีใจที่ทำให้ใบหน้าดวงนี้หล่อเหลาหนักกว่าเก่า ก่อนเสียงเฮจะดังขึ้นรอบทิศจนผมสะดุ้ง พลุหลากสีถูกจุดขึ้นฟ้าเป็นการเฉลิมฉลองที่ทำเอากูเซอร์ไพรส์ของจริง

ไอ้ชิบหาย อย่าบอกนะว่าฉากเมื่อกี้นี่เห็นกันหมดแล้วน่ะ!

“ไอ้วี ดีใจด้วยนะ ก๊ากกกกกกกกกก เพื่อนกูเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วเว้ยยยยยย”

ชัดเลยเสียงนี้ ตอบคำถาม(ในใจ)กูได้ในประโยคเดียวเลยครับ!

“พี่ชาย! ดีใจด้วยนะขอรับ ดีใจด้วยๆๆๆ” บรรดาน้องหมาจากอาณาจักรเงาจันทร์ต่างพากันเฮโรมาล้อมรอบพวกผมเป็นวง

เชอเชสยังอุ้มผมอยู่ด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่กูนี่สิครับแทบจะสลบเหมือดอีกครั้งเมื่อเห็นนาเทล ซอโร ท่านทาคาลเดินตามเด็กพวกนี้ออกมา ตามด้วยคุณเชษฐ์ คุณตาณ พระราชา และบรรดาองครักษ์คนสนิทของพวกเจ้าชาย

โอยตาย กูตาย... ดูจากรอยยิ้มที่ติดมุมปากทุกคนแล้ว ชัดเลยว่าทั้ง ‘เห็น’ และ ‘ได้ยิน’ สิ่งที่เชอเชส ‘พูด’ และ ‘ทำ’ กับผมหมดแล้ว

เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นรอบทิศ ทั้งกับผมและเชอเชสที่ยิ้มไม่หุบ ก่อนพลุกระดาษจะถูกดึงใส่พวกเราทั้งสองคน พร้อมกับประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์เป็นรอบที่สามของวัน

“สุขสันต์วันเกิดนะมึงงงงงงงงงงง”

“สุขสันต์วันเกิดน้าพี่ชาย~”

“สุขสันต์วันเกิดนะหนูวี”

“สุขสันต์วันเกิดนะวีวี่!”

 “สุขสันต์วันเกิดนะขอรับ!”

วันเกิดของผมปีนี้...มีสิ่งที่น่าจดจำมากมายเหลือเกิน

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ ท่านวี”

พ่อครับ แม่ครับ ขอบคุณที่ให้ผมเกิดมาเจอผู้คนที่อบอุ่นเหล่านี้นะครับ




----------------------------------------------------

เจ้าม่วงมันรุกละก๊าบบบบบบบบ นุ้งวีถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว 5555555
ความมุ้งมิ้งพุ่งกระจายทำดาเมจมากบทนี้ หวังว่าอ่านแล้วจะนอนหลับฝันดีกันนะก๊าาา  :katai5:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 24-01-2016 19:32:49
ออร่าเมียเกรียนก็มา 5555555555 ท่านวีเกรียนจริงๆ โดนขอแต่งงานยังตลกอีก แหมแหม เขินล่ะสิ~
น้องหมาน่าจับฟัดมากเลยลูกกกก หืมมม  :hao7:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-01-2016 19:40:29
น่ารักมุ้งมิ้ง ฟินกระจายยย
เหล่ามะหมาน่ารัก พี่ชายยยย~~
เมื่อไรจะเข้าหอ จัดไปก่อนอภิเษกดีไหม คริๆ :hao6:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 24-01-2016 19:52:29
ฟิน
 :o8: :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: nunuchhh ที่ 24-01-2016 19:55:19
น่ารักจังตอนนี้ :impress2: :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 24-01-2016 19:58:18
ว้ายยยย ขอแต่งงานในวันเกิด โอย ๆ โรแมนติกที่สุดอ่ะเชอเชส  :m3:
ดีจังที่รับบรรดาน้องหมามาทั้งหมด ยี่สิบหกตัว โห ได้ครึกครี้นกันตลอด ไม่มีเหงาแน่
น้องวีรอแซะเพื่อนธา เราก็รอน้า คุณพี่นาเทลกับว่าที่เทพกระต่ายเนี่ย ตกลงอะไรยังไงคะ
รอวันเข้าพิธี น้องวีจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วว วันขอแต่งงานยังหวานขนาดนี้ วันแต่งจะหวานขนาดไหน หูย  :m1:
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 24-01-2016 20:59:23
โอ๊ย!! เซอร์ไพรส์หนักจริงๆ ทำเอาคนอ่านยิ้มแก้มแตกแล้วเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-01-2016 21:32:34
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: PiSCis ที่ 24-01-2016 21:46:26
น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกอ่ะ  :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 24-01-2016 22:47:08
นุ้งวีเกรียนจนกระทั่งตอนจะโดนขอแต่งงานเลยนะ อีกคู่ก็คลุมเคลือนะ แต่นาเทลก็ออกจะชัดเจนรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-01-2016 01:09:29
ดี้ดี
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 25-01-2016 01:11:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 25-01-2016 14:32:34
น่ารักกันทุกคน (และทุกตัว) เลย 5555+
 
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-01-2016 18:34:40
ชีวิตดี๊ดี พี่ชายจะมีสามีแล้วววว

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 25-01-2016 23:30:54
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 26-01-2016 00:22:32
เขินค่าาาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabity ที่ 26-01-2016 03:02:37
ว้ายยย โรแมนติก เขินจุง ว่าแต่...เมื่อไรจะอีโรติกนะ 55
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 26-01-2016 10:19:23
มุ่งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งที่สุด
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 26-01-2016 13:59:00


พ่อม่วงนี่น่ารักแท้เหลา
แอบทำตัวห่าง ๆ เพื่อให้ชายาวีห่วงหา
แล้วค่อย ๆ โผล่มาพร้อมเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานและวันเกิดในคราวเดียว
ชายาวีไม่แต่งด้วยก็บ้าแล้ว... ขนาดป้ายังแอบอิจฉาเลย โฮววว! ส่งลูกหมาป่ามาปลอบใจป้าสักตัวเซะ!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^  :L2:

หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Air_Yaoi ที่ 30-01-2016 10:05:20
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 01-02-2016 07:32:45
ฮืออออออ ลูกสาวจะออกเรือนแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Air_Yaoi ที่ 04-02-2016 15:14:20
 :katai5: :katai5: :katai5:
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 04-02-2016 18:43:43
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 27-02-2016 13:09:46
คิดถึงวีวี่ :hao4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 27-02-2016 20:14:44
เมื่อไหร่จะมาาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-02-2016 01:11:59
หายไปไหนน้าาา
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 29-02-2016 11:37:15
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกดี พล็อตแปลกมาก 55555 เล่นเอาคนรักสัตว์อย่างเราอ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: CHOKUN ที่ 02-03-2016 20:46:55
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Wannida ที่ 03-03-2016 22:13:51
ตามติด
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 11-03-2016 12:58:18
เพิ่งได้อ่าน มารอด้วยคนค่า

สนุกแบบอ่านได้เรื่อยๆๆ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 11-03-2016 14:32:30
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Kuro NaiChan ที่ 16-03-2016 14:50:28
เราและทุกคนรออยู่เสมอนะไรท์เพราะมันสนุกมากกกกกกกกก
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 17-03-2016 19:23:20
หายไปเลย
  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-04-2016 15:01:33
เมื่อไหร่หนอที่เธอจะกลับมา
คอยนับวันเวลาเธออัพตอนใหม่
หายไปนานแล้วทำไมไม่มาอัพใหม่
มาต่อจนจบได้ไหมฉันเฝ้ารอ


 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-04-2016 23:14:38
คิดถึง
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 16-05-2016 20:06:09
รอคอยยยย
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: MOLI ที่ 26-12-2016 14:07:16
ชอบบบบบบบ น่ารักมากกกกก โอ๊ยยยยยย
จิตใจของข้าพเจ้าจะพัง อะไรจะฟินได้ขนาดนี้
เรารอคอย ตอนต่อไปนะ สนุกมากๆเลย
อ่านได้เรื่อยๆ....แบบรวดเร็ว(5555) สนุกๆ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 26-12-2016 19:06:39
เข้ามาอ่านแล้วติดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 14-06-2017 15:21:30
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-12-2017 22:30:49
ตามอยู่เสมอ  :m15:

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ -1-
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-04-2018 00:20:14
เราตามมาจากกระทู้นิยายแนะนำ  :hao5: เราเจอกันช้าไป แง้

สนุกดี แต่ผู้แต่งหายไปไหนคะ มาแต่งต่อเร้ววว  :ling1:
หัวข้อ: Re: ชายาแห่งดวงจันทร์ :::Ch.19::: Update 24/01/2015 (P.9)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 06-04-2018 04:47:41
สนุกมากค่ะ อยากให้กลับมาลงต่อจัง ฮือ ชอบนุ้งกาตุ่ยทั้งหลาย :hao5: