เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่24ลอยโคมไฟ(P.5วันที่ 6/6/59)
“เสน่ห์แรงจริงๆ นะ” หลิ่วเหวินอี้ปล่อยมือออกจากเอวอีกฝ่ายแล้วแขวะคนข้างกายอย่างหมั่นไส้ คุณชายที่รักคุณธรรมผู้นั้นไม่ได้ติดตามมาด้วยแล้ว แต่หากยังดื้อด้านตามมาเขาคงได้สั่งสอนด้วยกระบี่ข้อหายุ่งไม่เข้าเรื่องแน่ๆ
“อี้เอ๋อร์กินน้ำส้มสายชูหรอกหรือ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนยิ้มละไมแล้วนิ่วหน้า สายตาสำรวจร่างสูงแม้จะแต่งเป็นสตรีทว่าไม่ว่ามองอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นบุรุษทั้งแท่ง
“ข้าไม่เคยมีความรักแล้วจะกินน้ำส้มสายชูได้อย่างไร”
“แต่ตอนนี้เจิ้นเป็นภรรยาอี้เอ๋อร์อยู่ เจ้าจะไม่รักเจิ้นเชียวหรือ” คำกล่าวของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทำให้หลิ่วเหวินอี้หน้าเห่อร้อนขึ้นมา แม้ครั้งแรกที่ได้ยินจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยทว่ายามนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนเอาคืนอย่างไรอย่างนั้น
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว นี่ถังหูลู่ท่านกินให้หมดไม่เช่นนั้นข้อตกลงข้อที่สามท่านพี่เหยียนเจิ้งจะต้องรับผิดชอบ” หลิ่วเหวินอี้ยัดถังหูลู่ในมือตัวเองยี่สิบกว่าไม้ให้คนข้างกายจนหมด พร้อมคำกล่าวข่มขู่ที่คนตรงหน้าละเมิดข้อตกลงอย่างหาญกล้าหากเขาปล่อยไปครั้งหน้าอาจถูกกระทำอย่างอุกอาจอีก
“เจิ้นต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของตนเองอยู่แล้ว ว่าแต่หากเจิ้นแต่งตั้งเจ้าเป็นฮ่องเฮาอี้เอ๋อร์จะมีลูกให้เจิ้นได้หรือไม่”
“ไปตายซะ!”
หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างเสียเวลาคิด เขาเป็นผู้ชายจะท้องได้อย่างไรหากอยากมีลูกก็ท้องเองสิ เดี๋ยวสิ สรุปพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน! เขารู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยหรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์ที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างหมั่นไส้
ปุง!!
เสียงพลุถูกจุดแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้าดูงดงาม พวกเขาซึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำที่ห่างไกลผู้คนหันไปมองด้วยรอยยิ้ม เทศกาลหยวนเซียวคล้ายกับวันปีใหม่ มีการลอยโคมไฟเพื่อเกิดสิริมงคลให้กับตัวเอง
“อี้เอ๋อร์เจิ้นรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่ข้างเจ้า” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายที่เหม่อมองท้องฟ้าดวงตาคมมีประกายลึกล้ำ เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอาจเพราะเข้าใจความหมายของคนข้างกาย แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดูคลุมเครือทว่าสักวันหนึ่งคงได้รู้ผล เพียงแต่เวลานี้ยังไม่อาจยอมรับได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คืออะไร รู้เพียงแค่ว่ามันทำให้หัวใจที่เย็นเยือกอบอุ่นขึ้นมา
ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้น โคมไฟสีแดงงดงามก็ถูกองครักษ์นำมายื่นให้ เขารับมาไว้อย่างระวังหันไปมองคนข้างกายที่เหลือบมองมาทางตนนิ่งๆ ความจริงใจที่ส่งมาทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง
“ลอยโคมไฟด้วยกันเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยชักชวน แม้จะเข้าใจความหมายของการลอยคู่ดี ทว่าเขากลับรู้สึกอยากทำเช่นนี้ ใบหน้างดงามส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีทำให้อดที่ยิ้มออกมาไม่ได้ คนตรงหน้าเวลาดูเก้อเขินนั้นน่ามองนักและยิ่งมีโทสะทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้เลย
“อยากลอยก็ลอยคนเดียวสิ”
ร่างโปร่งผละออกห่างจึงคว้าข้อมือหลิ่วเหวินอี้เอาไว้ ก่อนจะเดินไปตำแหน่งที่โล่งๆ พร้อมโคมไฟในมือขวา ทว่าร่างที่แข็งขืนของคนงามทำให้หันไปมอง ดวงตาเย็นชามองมานิ่งๆ เหมือนจะมองให้ทะลุจิตใจของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่เจอคำตอบเพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าที่ทำเช่นนี้เพราะเหตุผลใด เพียงแค่รู้ว่าหัวใจต้องการมีหลิ่วเหวินอี้อยู่เคียงข้างเท่านั้น เขาอาจเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากค้นหาคำตอบ เขากลัว... กลัวว่าจะมีจุดอ่อนและปกป้องจุดอ่อนนั้นไม่ได้ ยิ่งเวลาเช่นนี้เขาไม่ควรหาจุดอ่อนให้ตัวเองเพราะคนที่เสียใจอาจเป็นตัวเขาเอง
หลิ่วเหวินอี้มองนัยน์ตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ยอมจุดโคมลอยตามอีกฝ่ายโดยไม่ได้อธิษฐานสิ่งใด แววตาของลั่วเหยียนเจิ้งเขามองได้อย่างทะลุปุโป่งอาจเป็นเพราะมีจิตวิญญาณร่วมห้าสิบปี ที่มีประสบการณ์ผ่านพ้นความเป็นความตายมาหลายครั้ง อดีตเขาก็ไม่ได้คิดจะรักใครเพราะชีวิตตนแขวนอยู่เส้นด้ายอีกทั้งไม่อยากให้มีจุดอ่อนจนศัตรูเข้ามาทำร้าย วงการเช่นนั้นยากนักที่จะมีความสุขโดยไม่ได้หวาดระแวง
หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจที่ซักถามความรู้สึกของลั่วเหยียนเจิ้ง ยังทำตัวเฉกเช่นเดิมไม่ได้ทวงความยุติธรรมที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามข้อตกลง ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นคิดเสียว่าหมา? เลียปากก็พอจะได้ไม่ต้องมาคิดอะไรให้ปวดหัว
“เจ้าอธิษฐานสิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนถามเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบที่ทำให้คนฟังหันมาหรี่ตามองพร้อมแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
“ข้าขอให้ท่านไร้ทายาท”
“อี้เอ๋อร์หากเจิ้นไร้ทายาท เจิ้นจะไม่ให้เจ้าลุกจากเตียงจนกว่าจะมีบุตรให้เจิ้นสักคนสองคนดีหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบมองดวงตาวาววับและคิดไปไกลอย่างระอา ร่างโปร่งเดินหนีไปอย่างเบื่อหน่าย โดยมีร่างสูงในอาภรณ์ของสตรีสูงศักดิ์เดินตามอย่างอารมณ์ดี ภาพที่เห็นทำให้เหล่าองครักษ์พูดไม่ออก แค่ฮ่องเต้แต่งเป็นสตรีก็นับว่าแปลกประหลาดแล้วทว่าทั้งคู่กลับคุยในเรื่องที่พวกมันมิอาจเข้าใจ!
ว่า... บุรุษจะมีลูกได้ด้วยหรือ?
ขณะที่ฮ่องเต้ออกไปสำราญอยู่ข้างนอก จิวชงหยวนผู้รับหน้าที่ขัดขวางเหล่าขุนนางชั้นสูงและเหล่าองค์ชายมิให้เข้าไปในห้องบรรทมเพียงแค่เอ่ยปากว่าอาการของฮ่องเต้อยู่ในช่วงรักษามิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย ด้วยชื่อเสียงขจรทั่วหล้าทำให้ผู้ที่คอยเฝ้าดูอาการต่างถอยกลับไปก่อน
หนึ่งในนั้นมองดูด้วยความขัดใจที่มิอาจเป็นไปตามแผนการ เขาวางหมากผิดพลาดไปเพราะจิวชงหยวนไม่ได้ปรากฏในวังหลวงมานานกว่าสามปี นี่ยังไม่เห็นพี่ห้าย่อมหมายความว่าอีกไม่นานเจ้าตัวคงมาปรากฏที่นี่
จิวชงหยวนมองตามร่างเหล่าองค์ชายที่จากไปอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เหลือเพียงองค์ชายสิบห้าเพ่ยอวี้ที่ตนไม่คุ้นเคยนักยืนมองตามอย่างกังวล สีหน้าและห่วงใยที่แท้จริงทำให้เขาเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปทำการใดมาถึงทำให้น้องเล็กของตนเป็นห่วงมากขนาดนี้ หลายปีมานี้คงมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
“เจ้าเพ่ยอวี้ใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจเพราะไม่เคยได้คุยด้วย เด็กน้อยตรงหน้าพยักหน้ารับ มองมาที่เขาอย่างคาดหวังทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้
“องค์ชายกลับไปเถอะ ฮ่องเต้อยู่ในมือข้าแล้วหากข้าไม่อนุญาตให้ตาย ก็ตายไม่ได้หรอก” เพ่ยอวี้เงยหน้ามองจิวชงหยวนชั่วครู่ แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินจากไปพร้อมด้วยผู้ติดตามที่หน้าตาแสนธรรมดาทว่าในสายตาหมอเทวดายอมรับว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดยอดฝีมือถึงได้มาอยู่กับองค์ชายน้อยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์
เมื่อทุกคนกลับไปแล้วจิวชงหยวนจึงหมุนกายกลับมาห้องบรรทมของฮ่องเต้ซึ่งว่างเปล่าอีกครั้ง แผนการในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดคิดลอบสังหารอย่างอาจหาญเช่นนี้ คลื่นใต้น้ำที่เงียบสงบมาหลายปีกำลังปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
“อาจารย์เหตุใดต้องช่วยให้สองคนนั่นไปเที่ยวเล่นในเวลาเช่นนี้ด้วยขอรับ” เสียงเอ่ยถามจากร่างเล็กวัยสามขวบแต่ดวงตาล้ำลึกทำให้จิวชงหยวนหันไปมองแล้วยกยิ้มบาง
“ข้าแค่อยากเห็นฮ่องเต้รู้จักความรักบ้าง”
จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมเดินไปขยี้หัวเด็กน้อยที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างเอ็นดูซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอาจเพราะเริ่มชินชาไปแล้ว พรางคิดไปถึงคำถามของลูกศิษย์ โดยปกติเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นทว่าสำหรับลั่วเหยียนเจิ้งนั้นเขาถือว่าเป็นคนไข้จำเป็นต้องรักษา หากปล่อยไว้นานไปอาจทำให้จิตใจที่บิดเบี้ยวเข็นฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผลมากขึ้น หลังจากที่สังเกตมาหลิ่วเหวินอี้ผู้นั้นอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้หัวใจของฮ่องเต้สงบลงได้
พลันใดนั้นมีเงาร่างสองเงาพุ่งเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าที่อาบเหงื่อเหมือนเร่งรีบกับการเดินทางทำให้สองศิษย์อาจารย์หันไปมองก่อนจะฉีกยิ้กยินดี ร่างที่เล็กกว่าหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ มองอาจารย์ตนเองอย่างตัดท้อ ทว่าทันทีที่เห็นร่างเล็กของเปาอี้ฟานก็พุ่งเข้ากอดพร้อมเอ่ยถามอย่างกังวล
“อี้ฟานเจ้าไม่เป็นไรนะ อาจารย์กลั่นแกล้งเจ้าหรือไม่” จิวชงหยวนมองลูกศิษย์สองคนสำรวจร่างกายกันไปมาด้วยสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบกลั้นแกล้งลูกศิษย์ขนาดนั้นเสียหน่อย เมื่อเหลือบมองสายตาคมกริบที่จับจ้องมาอย่างคาดโทษได้แต่ยิ้มแหย เขาหนีมาก่อนแค่สามวันเองเหตุใดต้องทำหน้าบูดบึ้งเช่นนั้นด้วย
“หยวนน้อยข้าคิดว่าเจ้าคงมีแรงมากไปจนหนีมาก่อนเช่นนี้ เห็นทีข้าต้องลงโทษเจ้าเสียแล้ว” คำกล่าวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนตาเหลือก ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อร่างตนเองถูกรวบยกขึ้นพาดบ่ากว้างพุ่งทะยานออกจากห้องบรรทมลั่วเหยียนเจิ้ง
ม่ายยย ปล่อยข้าก่อน...
แม้จะร้องขอปานใดกลับไร้แววว่าลู่เฟยจะปล่อยตน มีเพียงเสียงแว่วของลูกศิษย์ตามหลังมาแล้วรู้สึกปลงๆ ได้แต่รอรับการลงโทษอย่างจนใจ หวังแต่ว่าพรุ่งนี้จะสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้หรอกนะ
“โชคดีขอรับท่านอาจารย์”
หลิ่วเหวินอี้เดินลงเรือสำราญที่จอดเทียบท่าซึ่งกำลังเตรียมจะไปล่องแม่น้ำเมื่อใกล้ถึงเวลาซึ่งมีเรือหลายลำจอดอยู่ล้อมรอบเรือสำราญขนาดกลาง ที่นั่นมีสตรีมากมายต่างแสดงการความสามารถของตนเองอย่างสุดความสามารถ เพราะเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองพบเจอเนื้อคู่ แม้บางคนจะถูกตกแต่งเป็นภรรยารองแต่นับว่ามีวาสนาสำหรับบางคนที่เป็นเพียงบุตรีของภรรยาลำดับต่ำต้อย
การที่ได้มาเยือนเมืองหลวงแต่ไม่ได้ดูสาวงามนับว่ามาไม่ถึงแคว้นลั่วหยางที่มีชื่อเสียงเรื่องของหญิงงาม หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย ความสง่างามเหมือนสตรีสูงส่งทำให้ผู้คนหันมาสนใจเป็นระยะ บ้างอยากทักทายแต่ตอนนี้มีองครักษ์ติดตามไม่ห่างทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้
“เหตุใดเจ้าต้องมาดูพวกนางแสดง เจิ้นดีดพิณให้เจ้าฟังที่ตำหนักก็ได้” หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ใส่ใจคนบ่นขณะที่เดินติดไม่ห่าง หากใครตาไม่บอดคงรู้ว่าสตรีข้างกายกำลังตามตื้อเขาอยู่หาได้เป็นฝ่ายรังแกนาง?ไม่ แม้จะแต่งกายเป็นสตรีแต่กิริยาไม่ได้อ่อนนุ่มนิ่มเหมือนสตรีทั่วไป ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจลั่วเหยียนเจิ้งมากขึ้นสายตาเหล่าบุรุษที่มองมามีทั้งความชื่นชมและปรารถนา ทว่าคนถูกมองคล้ายกับชินชาไม่ได้ใส่ใจสิ่งไร้ค่านอกสายตาตนเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ท่านพี่โดนพิษเป็นตายเท่ากันจะมาเล่นพิณร้องรำให้ข้าดูได้อย่างไร” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
“งั้นเจิ้นเล่นให้เจ้าฟังที่นี่ก็ได้” กล่าวจบร่างสูงในอาภรณ์ของสตรีก็ดีดตัวพุ่งลงไปยังเรือของหญิงงามอย่างไม่ฟังคำคัดค้านผู้ใด หลิ่วเหวินอี้ยกมือกุมหน้าผากอย่างปลงตก ตอนนี้เขายืนอยู่กาบเรือสำราญสำหรับบุคคลทั่วไป ที่นี่จึงไม่ค่อยมีตระกูลสูงมากนักและเวลานี้เหล่าบุตรธิดาของเหล่าขุนนางชั้นสูงก็เริ่มทยอยกันมาบ้างแล้ว หากมีคนจำเขาได้ความลับที่ลั่วเหยียนเจิ้งปกปิดไว้คงเปิดเผยแน่ๆ
ลั่วเหยียนเจิ้งหยิบหน้ากากสีเงินครึ่งหน้ามาปกปิดใบหน้าตนเองเอาไว้ เหล่าองครักษ์ที่ติดตามก็ทำเฉกเช่นเดียวกันคล้ายกับรู้ว่าต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้
“ซือหมิงปกตินายเจ้าวู่วามเช่นนี้หรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามองครักษ์ของฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์ที่เริ่มกลายร่างเป็นเด็กที่เอาแต่ใจอย่างมึนงง เขารู้สึกจะเริ่มตามพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของลั่วเหยียนเจิ้งไม่ทันเสียแล้ว เจ้าเล่ห์และยังเอาแต่ใจจนเขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
“เอ่อ...กระหม่อมก็เพิ่งจะเคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงตอบกลับเสียงอ่อย เหงื่อเต็มหน้าผากอย่างหวาดหวั่น ปกติฮ่องเต้จะเจ้าเล่ห์เพอุบายวางหมากกลอย่างระมัดระวังเสมอ แม้จะมีหุนหันบางครั้งแต่ไม่มีพฤติกรรมเหมือนกินน้ำส้มสายชูเช่นนี้มาก่อน แค่พระองค์แต่งกายเป็นสตรีเขาก็ตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว
หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองตามร่างลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งเดินไปพูดคุยกับสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก่อนจะรับพิณมานั่งแสดงร่วมกับเหล่าสตรีวัยกำดัดซึ่งบางคนมีการร้องเพลงบ้างก็ร่ายรำ ทันทีที่ถึงคิวของลั่วเหยียนเจิ้งผู้คนมากมายต่างจับจ้องไปที่สตรีผู้งดงามและดูสูงศักดิ์ เสียงพิณหวานละมุนดังไปทั่วเรือสำราญน้อยใหญ่ บทเพลงไพเราะจนยากจะละสายตาออกไป บุรุษมากมายต่างมายืนมองที่กาบเรือจนแทบไม่มีที่เว้นว่าง ร่างงดงามพร้อมเพลงพิณที่เหนือชั้นกว่าสตรีคนไหนๆ ทว่าสายตาคมคู่นั้นหันมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่กลับสร้างเสียงฮือฮาให้คนที่ไม่รู้ความจริงว่าผู้ที่นั่งอยู่ที่ตรงนั้นเป็นชาย!
“ท่านกล้าให้ภรรยาตัวเองไปแสดงความสามารถให้บุรุษเชยชมได้อย่างไร” น้ำเสียงจริงจังที่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ ทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองเล็กน้อย ทว่าคนข้างกายเขาเวลานี้กลับเป็นคนเดียวที่เคยกล่าวหาเขาเมื่อครั้งก่อน
“นี่ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ” เมื่อไม่ได้รับความสนใจ เยี่ยเฟิงจึงกระชากแขนบุรุษรูปงามให้หันมาทางตน ทว่าหลิ่วเหวินอี้ไม่ทันได้ตั้งตัวร่างโปร่งจึงปลิวไปตามแรงชากปะทะกับอกแกร่งของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุครั้งนี้คนภายนอกกลับมองเห็นว่าทั้งคู่กำลังโอบกอดกันอย่างไม่อายฟ้าดิน ดวงตาคมกริบของผู้ที่ดีดพิณวาวโรจน์ จิตสังหารพุ่งเข้าหาบุรุษชุดที่บังอาจแตะต้องคนของตน
“ขอโทษข้ามิได้ตั้งใจ”
หลิ่วเหวินอี้ผละออกจากคนตรงหน้าที่สูงไล่เลี่ยกับตนอย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวสวยภายใต้หน้ากากจ้องมองคนตรงหน้าอย่างล้ำลึก เขาไม่ได้โวยวายการที่คนผู้นี้จดจำเขาได้ทั้งๆ ที่สวมหน้ากากย่อมหมายความว่าเยี่ยเฟิงผู้นี้ติดตามพวกเขาตลอดเวลาเพราะเขาไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ
“เจ้าติดตามพวกข้ามาทำไม” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบ ยกมือขึ้นไม่ให้เหล่าองครักษ์และผู้ติดตามเข้ามาสอดแทรก คนตรงหน้าเกาศีรษะตัวเองเล็กน้อยคล้ายขวยเขินทำให้เขานิ่วหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าเปล่าตามพวกเจ้าเพียงแค่บังเอิญเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้ไม่เชื่อกับคำแก้ตัวนั้นเหลือบมองด้านหลังเยี่ยเฟิงที่มีคนติดตามไม่ห่างเช่นกัน หากคนตรงหน้าไม่ใช่ชาวยุทธก็น่าจะเป็นบุตรขุนนางคนใดคนหนึ่งเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้แสร้งทำตัวมีคุณธรรมมารบกวนพวกเขา หรือว่า?
“มิใช่ว่าเจ้าสนใจข้าหรอกหรือ”
แค่กๆ ๆ
เยี่ยเฟิงสำลักน้ำลายตัวเองพร้อมรีบโบกพัดไปมาคล้ายกับว่าอากาศบนเรือลำนี้มันร้อนจนใบหน้าเห่อร้อนไปหมด กิริยาของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ ก่อนจะหันไปทางจิตสังหารของหลิ่วเหวินอี้ที่ทิ่มแทงมาอีกทั้งดนตรีที่บรรเลงร้อนแรงจนเหมือนจะฆ่าคนได้
“เดี๋ยวสิ ไยเจ้ากล่าวหาข้าเช่นนั้น เจ้าเป็นบุรุษเหตุใดข้าต้องสนใจเจ้า ข้าสนใจภรรยาเจ้าต่างหาก” เยี่ยเฟิงรีบกล่าวแก้ตัวโดยลืมเรื่องผิดศิลธรรมซึ่งผิดกับการแสดงตัวมีคุณธรรมตั้งแต่แรก
หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับคำแก้ตัวไม่ขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบจนกระทั่งตอนนี้สายตาเจ้าตัวไม่ได้หันไปมองลั่วเหยียนเจิ้งในร่างสตรีแม้แต่น้อย เขาไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าผู้ใดสนใจตัวเอง เพียงแต่บางครั้งแกล้งปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปบ้างเท่านั้นเอง
“เอ่อ...เจ้าไม่หึงหวงภรรยาเจ้าบ้างหรือ” คำถามที่เหมือนหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกใส่ใจ หันไปทางลั่วเหยียนเจิ้งที่ยังคงไว้ด้วยกิริยาของสตรีสูงศักดิ์กำลังเล่นเพลงที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยจิตสังหารที่ทำให้เยี่ยเฟิงหันไปมองด้วยความสนใจก่อนจะนิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาไม่ได้แปลกใจจิตสังหารระดับนี้หากยังเฉยชาอยู่ได้แสดงว่าวรยุทธสูงส่งกว่าลั่วเหยียนเจิ้ง
หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้สนใจจิตสังหารและสายตาคาดโทษของลั่วเหยียนเจิ้งที่ส่งมา แต่กวาดสายตามองรอบเรือสำราญซึ่งมีบุรุษมากหน้าหลายตาโยนผ้าเช็ดหน้าให้หมายจะได้นางมาเป็นภรรยา เพียงแต่พวกเขาคงต้องผิดหวัง
“ดูเหมือนภรรยาเจ้าจะหึงหวงข้ากับเจ้า หรือว่าคิดไปเอง?” หลิ่วเหวินอี้หันมามองเยี่ยเฟิงที่จ้องมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสีหน้าจริงจัง พัดจีบในมือหุบเข้าหากันพร้อมเคาะลงที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆ เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจะมาหึงหวงทำไม
“ท่านคงคิดมากไป”
“หากเช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่หึงหวงนาง หรือว่าพวกเจ้ามิได้แต่งงานกันจริงๆ” เยี่ยเฟิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง หลิ่วเหวินอี้มองคนเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาล้ำลึกยากจะคาดเดา มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยซึ่งทำให้คนมองใจสั่นระรัว
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่าน” ทันทีที่เพลงจบลงลั่วเหยียนเจิ้งก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างเยี่ยเฟิงด้วยสีหน้าหงุดหงิด คิดไว้ไม่มีผิดจอมยุทธผู้คุณธรรมคิดจะช่วยเหลือสตรีแต่กลับไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย
“เอ่อ...แม่นางข้าขออภัยที่ทำให้โกรธเคือง ข้าขอตัวก่อน” เยี่ยเฟิงบอกกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโอบอ้อมอารี ก่อนจะรีบผละออกไปเมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู
“ท่านไม่น่ารีบมาเลย” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเสียดายเมื่อครู่นี้แทบจะรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยเฟิงเป็นใครกันแน่ หากได้สนทนาเพิ่มอีกสักนิดน่าจะรู้ ทว่าสายตาเย็นเยือกที่ส่งมาทำให้หันไปมองอีกครั้ง
“ข้าพูดอะไรผิดหรือ?” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ดวงตาเรียวสวยจับจ้องอย่างไม่เข้าใจทำให้คนโมโหหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุอยากโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายซะเดี๋ยวนั้นเลย
“ไม่ เจ้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้น เจิ้นผิดเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างปลงตก จ้องมองคนเย็นชาไร้หัวใจแล้วรู้สึกเศร้า ที่ผ่านมาตนไม่มีความสำคัญกับคนตรงหน้าบ้างเลยหรืออย่างไร
หลิ่วเหวินอี้มองคนหางลู่หูลู่อย่างไม่ใส่ใจ ความจริงเขารู้ดีว่าลั่วเหยียนเจิ้งต้องการอะไร เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกหึงหวงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ การที่จะชอบใครสักคนใช่ว่าจูบเดียวจะรักได้เลย อีกอย่างคนตรงหน้าเขาเวลานี้เพียงแค่หึงหวงสิ่งที่คิดว่าเป็นของตัวเองเท่านั้น หาใช่เพราะความรักไม่
สิ่งสำคัญที่สุดเขายังอยากรักษาเอกราชตัวเองเอาไว้!