ต่อจากตอนเมื่อครู่จ้า มันยาวไปเลยตัดมา><
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
ดึกสงัดภายในโรงเตี๊ยมสมใจซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งได้พักอาศัยอยู่ เวลานี้กลับมีเงาร่างของนักฆ่าซึ่งวรยุทธไม่ต่ำช้าทะยานเหยียบหลังคามาแผ่วเบา ดาวกระจายทอประกายคมกริบสะท้อนกับแสงจันทร์ขณะพุ่งเข้าหาร่างที่นอนอยู่บนเตียงนอนด้วยเร็วดุจเส้นแสง
เคร้ง!
ทว่ากระบี่หยกขาวสะท้อนปัดป้องดาวกระจายออกได้ทันท่วงที ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นต้านกระบี่ของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่แรงปะทะรุนแรงจากกำลังภายในของอีกฝ่ายทำให้ร่างนั้นกระเด็นติดผนังห้อง กำแพงพังลงอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้วรยุทธล้ำเลิศเช่นนี้เป็นสุนัขรับใช้คนในวังหลวง
ตูม!
ห้องพักหลิ่วเหวินอี้พักพังไปทั้งแถบ เจ้าของห้องลุกขึ้นนั่ง มองที่เกิดเหตุอย่างมึนงงชั่วครู่ก่อนจะชักมีดสั้นหยินหยางที่หัวเตียงเข้าไปช่วยผู้ที่ถูกทำร้าย
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ฉัวะ!!
ความรุนแรงที่โหมกระหน่ำเข้าหาคนทั้งคู่ทำให้มือที่ถือมีดสั้นสั่นสะท้าน การรับมือร่วมสองคนของนักฆ่าตรงหน้านับว่าดูถูกไม่ได้ เพราะแรงที่ลงน้ำหนักมานั้นแฝงไว้ด้วยลมปราณที่หนาแน่น อีกทั้งรับมือจากพวกเขาทั้งสองอย่างไม่มีพลาดพลั้ง
ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองนักฆ่าตรงหน้าอย่างกังวล กระบี่ที่ฟาดฟันเข้ามานั้นรุนแรงจนต้องก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก เหลือบมองผู้ที่ช่วยเหลือตนแล้วนิ่วหน้า เมื่อกระบี่ฟันเข้าไหลซ้ายของหลิ่วเหวินอี้อย่างรุนแรง เสื้อผ้าสีขาวอาบย้อมด้วยโลหิตสีแดงอย่างน่ากลัว ดวงตาคมกริบประกายคมกล้ามองนักฆ่าไม่กลัวตายด้วยโทสะที่ไม่รู้ว่าปะทุมาจากที่ใด กระบี่หยกขาวพุ่งเข้าหาร่างนั้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
สองร่างฟาดฟันพุ่งออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเร็ว ลั่วเหยียนเจิ้งดักทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปสังหารหลิ่วเหวินอี้ได้ จึงหลอกล้อออกจากโรงเตี๊ยมจนถึงนอกเมือง กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างหนักหน่วง ทั้งรุนแรงเซี่ยวกรากพื้นที่โดยรอบเป็นหลุมเป็นบ่อฝุ่นฟุ้งกระจาย เวลากลางคืนมีแต่แสงจันทราที่สะท้อนให้เห็นเงากระบี่ของกันและกัน แต่นับว่าไม่มีปัญหาอันใด
ผ่านไปร้อยกระบวนท่า ลั่วเหยียนเจิ้งมองศัตรูตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด ทว่าใบหน้ากลับแต้มรอยยิ้มอ่อนโยนดุจแสงตะวันยามเช้า ทำให้นักฆ่าผู้นั้นถึงกลับหงุดหงิดพร้อมกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน
“จะตายอยู่แล้วยังมายิ้มเหมือนคนบ้า มิน่านายท่านถึงเกลียดเจ้านัก” คำกล่าวโอหังอย่างไม่ได้หวาดกลัวกับตำแหน่งของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งใส่ใจเท่ากับคำว่านายท่าน!
“เช่นนั้นนายท่านของเจ้าเป็นผู้ใด ข้าตายจะได้บอกยมโลกได้ว่าผู้ใดคิดสังหารข้ากัน” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขณะกระบี่ในมือไม่ได้ลดแรงลงแม้แต่น้อย
ตูม!!!
ทั้งคู่ผงะออกจากกัน ลมปราณที่โหมกระหน่ำรุนแรงของทั้งคู่นับว่าร้ายกาจจนยากจะเชื่อว่ายังมีคนมีฝีมือเช่นนี้เก็บซ่อนตัวอยู่
“ฮ่าๆๆ ข้ามิได้โง่งม อย่าหลอกถามเสียให้ยาก” ร่างโปร่งในชุดดำของนักฆ่าหัวเราะลั่น แม้มุมปากจะมีเลือดไหลอกมาแต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“งั้นหรือ น่าเสียดายที่เจ้าทำงานพลาด” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มเย็น มองบุรุษชุดดำซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง ร่างที่ยืนตรงไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีกลับทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอย่างตื่นตะลึง ใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าสีเดียวกับชุดเหลือเพียงดวงตาเพ่งมองผู้ที่วางยาพิษตนอย่างไม่เชื่อสายตา
“สุนัขลอบกัด” มันกัดฟันแน่น เมื่อพิษร้ายที่ไม่รู้จักซึมเข้าเส้นลมปราณยิ่งขับพิษยิ่งแล่นเข้าเส้นเลือดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
“จุ๊ๆ อย่ากล่าวเช่นนั้นสิ ข้าไม่ได้อยู่สนามการแข่งประลองถึงจะได้มีกฎระเบียบ อีกอย่างข้าไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้มีใจคุณธรรมมากนัก คนที่ทำร้ายข้าต้องได้รับความเจ็บปวดร้อยเท่า แต่คนที่ทำร้ายคนที่ข้าสนใจต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานจะตายก็ไม่ได้ตาย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานละมุม มองดูร่างที่ดิ้นทุรนทุราย จะหนีก็หนีไม่ได้จะขับพิษก็ยิ่งเร่งให้มันทำงานเร็วขึ้นด้วยความพอใจ
“ชั่วช้า!” คำบริภาษของอีกฝ่ายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบาง เดินเข้ามามองร่างที่นอนคลุกฝุ่นด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ชมข้าเช่นนี้ข้าก็เขินแย่สิ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน มือซ้ายยกเกาคางตัวเองเบาๆ ยิ่งสร้างโทสะให้คนที่อยู่แทบเท้ามากขึ้น
“มารดามันเถอะ” ร่างนั้นยังสบถออกมาอย่างโกรธแค้น ที่ทำอะไรไม่ได้ ฝีมือสูงส่งแต่จะมาตายตกเพราะพิษร้ายที่ไม่รู้จัก ช่างน่าขันสิ้นดี!
“หื้ม เจ้าคงไม่อยากมีลิ้นไว้ใช้งานสินะ” ลั่วเหยียนเจิ้งใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนนิ่งเพราะฤทธิ์ยาเจ็ดมารหลอนกลืนกินดวงจิต มันมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ แต่กลับรับรู้ความเจ็บปวดที่เริ่มกัดกินเลือดในร่างกายช้าๆ และเพียงแค่หนึ่งเค่อจะเห็นภาพหลอนให้จ่มดิ่งลงในอดีตที่มืดมน ยาพวกนี้สำหรับมือสังหารเท่านั้น ความจริงเขาคิดจะสร้างยาเจ็ดนารีพิชิตสวรรค์สำหรับบำรุงร่างกายแต่ไม่รู้ไปผสมส่วนไหนผิดถึงได้ออกมาเป็นยาพิษที่รุนแรงเช่นนี้ได้
...อ่า จะโทษเขาไม่ได้หรอก ในเมื่อเขาได้เจริญรอยตามอาจารย์มาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเช่นนี้
อ๊ากกก
เสียงกรีดร้องอย่างทรมานของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งก้มมองแล้วยกยิ้มบาง แค่นี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามภาพหลอนจะค่อยๆ หายไป เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะให้รู้จักการทรมานที่แท้จริง
ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งบนขอนไม้รออย่างใจเย็น ร่างที่ส่งเสียงกรีดร้องพยายามเกลือกกลิ้งกับพื้นแต่ว่าร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจนึกทำให้มันได้แต่แหกปากกับความทรมานที่เหมือนเข็มนับพันทิ่มแทงเท่านั้น เวลานี้ภาพหลอนน่าจะหายไปแล้ว ดวงตาที่เคยคมกล้าเลื่อนลอย
“นายท่านของเจ้าเป็นใคร”
“นายท่านคือองค์ชาย...” มันกล่าวอย่างเลื่อนลอยก่อนจะชะงักกึก หันไปมามองคนถามอย่างมึนงง ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองคนจิตแข็งอย่างเบื่อหน่าย คิดว่าจะได้คำตอบง่ายๆ แต่กลับรับรู้ความจริงได้เร็วเกินความคาดหมาย
“เจ้า!ฝันไปเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่สติกลับคืนมาแล้วยิ้มเย็น ผู้ใดกันที่สร้างนักฆ่าที่น่าหวาดหวั่นได้อย่างนี้ ใครกันที่รอดหูรอดตาเขาไปได้
“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะใจแข็งไปได้นานเท่าไหร่กัน” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองคนกายลุกซันด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากเม้มแน่นแม้ต้องตายก็มิอาจแพร่งพราย ร่างสูงลุกจากขอนไม้เดินเข้าไปหาอย่างใจเย็น ในมือมีเม็ดยาบางอย่าง ดวงตามันเบิกกว้างเมื่อถูกยัดลงปากบังคับให้กลืนกินลงไป
ลั่วเหยียนเจิ้งมองมันอย่างใจเย็น ก่อนจะเป่านกหวีดขนาดเล็กที่ทำจากไม้ เป่าออกครั้งหนึ่งเพียงชั่วครู่ก็มีเงาร่างสีดำพุ่งมาคุกเขาเบื้องหน้าสามคน
“เจ้า...เอาอะไรให้ข้ากิน” ร่างที่นอนคดตัวอยู่กับพื้นเอ่ยถามตะกุกตะกักอย่างยากลำบาก ใบหน้าคมคายดังเทพสวรรค์หันมาส่งยิ้มหวานให้มัน พลันนั้นมันรู้สึกสยองเป็นครั้งแรกในชีวิต
“จับมันไปผูกกับต้นไม้ไว้แล้วถอดเสื้อผ้าให้หมด” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกองครักษ์เงาซึ่งเหลือบมองเหยื่อตรงหน้าอย่างเฉยชาก่อนจะรีบทำตามอย่างเร่งด่วน
“ส่วนเจ้าไปหารังมดมาให้ข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกคนที่ยังนั่งคุกเข่านิ่งอีกคนด้วยรอยยิ้มชวนขนหัวลุก ร่างนั้นรีบลุกพรวดไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็วกลัวว่าหากช้ากว่านี้คนที่จะโดนทรมานจะเป็นตนเองแทน ทว่าผู้อยู่ตำแหน่งสูงสุดยังได้ยินเสียงลอบกลืนน้ำลายพวกมันอย่างน่าขัน
“เอ่อ...ฝ่าบาทกระหม่อมขอบังอาจทูลถาม พระองค์เอาสิ่งใดให้มันกินพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาคุกเข่าใกล้เมื่อทำหน้าที่ตนเองเรียบร้อย ทว่าดวงตายังเหลือบมองร่างที่ถูกมัดเริ่มบิดเร้าไปมาอย่างน่าประหลาด อีกทั้งแท่งหยกแข็งขืนขึ้นมาชวนให้ระคายตายิ่งนัก เห็นการทรมานของฮ่องเต้ผู้นี้ทีไรรู้สึกสยดสยองเสียทุกครั้ง วีธีการล้วนแตกต่างกันไปแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว!
“หื้ม ข้าแค่เอายากำหนัดให้มันกินเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน คนฟังทั้งสามที่อยู่รอบๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก องครักษ์ที่เหลืออยู่สองคนถอยห่างออกไปประมาณสามก้าวพร้อมเพรียงกัน ทว่าผู้เป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายรับรู้ว่าตนได้กินสิ่งใดไปถึงกลับเบิกตากว้าง ความอับอายแล่นพล่านไปทั้งร่าง
“ฆ่าข้าซะ” มันตะโกนร้องขอความตายด้วยน้ำตาตกใน ความตายไม่น่าหวาดกลัวเท่ากับศักดิ์ศรีที่มีถูกเหยียบย่ำเล่นจะตายก็ตายไม่ได้ สองเท้าโดนมัดห้อยหัวหมุนไปมาจนตาลายอีกทั้งฤทธิ์ยาที่ออกทำให้ร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย ความปรารถนาที่จะปลดปล่อยแต่สองแขนถูกมัดไขว่ติดกันอยู่ด้านหลังมิอาจช่วยเหลือตนเองได้
“ตายหรือ ไม่ต้องกลัว เจ้าได้ตายสมใจแน่ แต่ก่อนอื่นเรามาเล่นกันก่อนเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มหวาน ขยับสองเท้าเข้าไปใกล้ร่างเหยื่อตัวน้อยที่มองด้วยดวงตาหวาดกลัว ความหยิ่งยะโสทรนงตัวไม่หลงเหลือให้เห็นอีก
ฉึก!
กระบี่หยกขาวแทงตรงไหล่ซ้ายอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น ก่อนจะค่อยๆ ดึงออกร่างนั้นแข็งทื่อด้วยความเจ็บปวดแต่มันกลับไม่กรีดร้องออกมาแม้แต่น้อย
“นี่เป็นแผลที่เจ้าทำกับอี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวบอกด้วยรอยยิ้ม มองร่างที่อาบโลหิตสีแดงฉานชวนให้ดูงดงาม ทว่าเขากลับเฉยเมยต่อการลงมือของตน
“ฆ่าข้า” เสียงกัดฟันร้องขอความตายของเหยื่อตรงหน้าไม่ได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งสนใจเท่ารอยสักแมงป่องทะเลทรายกลางหน้าอกของพวกมัน เพราะครั้งที่แล้วก็เป็นรอยเดียวกันใบหน้าคมคายนิ่วขึ้นน้อยๆ หวนไปถึงคนที่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับทางตอนใต้แคว้นเจียงหนาน
“พวกเจ้าไปสืบที่มาของรอยสักแมงป่องกลางหน้าอกมาให้ข้า ข้าชักอยากเห็นหน้าคนที่อยากฆ่าข้าแล้วสิ” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปบอกองครักษ์เงาทั้งสองคน
“พ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเหลือบมองเงาร่างหนึ่งที่มาพร้อมกับรังมด ใบหน้าฉีกยิ้มยินดี คนที่เห็นถึงกับผวาก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความทรมานเมื่อรังมดแดงถูกเคาะลงบนร่างนั้นเบาๆ อีกทั้งฤทธิ์ยาที่ออกทำให้เหงื่อไหลอาบไปทั้งร่าง
“จะบอกข้าได้หรือยังว่าผู้ใดส่งเจ้ามา หากคำตอบพึงใจข้าจะละเว้นชีวิตเจ้าให้” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นชวนให้ผู้คนคล้อยตาม แต่ลางสังหรณ์ของมันบอกว่าไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องตาย ไม่ตายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้โรคจิตผู้นี้ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของนายท่าน!
ลั่วเหยียนเจิ้งมองร่างที่ดิ้นทุรนทุรายห้อยกับต้นไม้อย่างเบื่อหน่าย เพราะมันยอมตายแต่ไม่ยอมบอกกล่าวอันใด ยาพิษในร่างอีกทั้งยากำหนัดทำให้มันเกร็งไปทั้งร่างเลือดไหลออกตามปากตามจมูก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัวแต่ไม่ยอมพ่นความจริงออกมา
“ข้าเบื่อแล้วพวกเจ้าจัดการต่อเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อแล้วข้าให้พวกเจ้าไปสืบกลุ่มอีกาได้ความว่าอย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเมื่อเรื่องสำคัญที่มอบหมายให้ยังไม่หมด
“อีกาเป็นกลุ่มลึกลับที่รับงานตามใจชอบตนเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีที่อยู่แน่ชัด ไม่รู้ตัวตนของผู้เป็นหัวหน้าแม้แต่หอกิเลนที่ทำงานร่วมกันยังไม่รู้ความเป็นมาพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ากับคำตอบแต่ก็พยักหน้ารับ
“แล้วฟางเทียนฟง”
“ทูลฝ่าบาทฟางเทียนฟงเป็นประมุขจิ้งจอกฟ้าแต่ไม่ค่อยมีคนพบหน้าตา บ้างก็ว่าอัปลักษณ์ บ้างก็ว่างดงามดุจเซียนจิ้งจอกพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้องค์ชายลู่เฟยสนพระทัยอยู่อีกในไม่ช้าน่าจะได้คำตอบพ่ะย่ะค่ะ”
“ลู่เฟยสนใจ? น่าแปลกมีสิ่งใดที่ลู่เฟยสนใจมากกว่าจิวชงหยวนอีกหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งลูบคางแผ่วเบาครุ่นคิดไปถึงน้องชายคนที่ห้าซึ่งออกไปอยู่ยุทธภพร่วมกับหมอเทวดาคนงาม
อ๊ากกกก
เสียงกรีดร้องของเหยื่อดังขัดจังหวะความคิดอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งจึงคร้านจะใส่ใจจึงยกมือโบกปล่อยให้องครักษ์เงาจัดการต่อ ส่วนตัวเองก็ตรงดิ่งกลับโรงเตี๊ยมอีกครั้งเมื่อนึกได้ว่ายังมีคนบาดเจ็บอยู่ที่นั่น ร่างสูงพลิ้วไหวหายไปความมืดมีเพียงเสียงโหยหวนตามมาแผ่วเบาก่อนจะเงียบหายไป
ลั่วเหยียนเจิ้งมาถึงห้องก่อนจะชะงักงันเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งถอดเสื้อทำแผลให้ตนเองอย่างทุลักทุเล ดวงตาเย็นชาเหลือบมามองที่เขาเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น
“ข้าทำให้ แล้วสองคนนั่นไปไหนแล้ว”
“เที่ยวหอโคมเขียว” เสียงนิ่งเรียบตอบกลับมาทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะช่วยล้างแผลให้ผิวขาวเนียนมีบาดแผลลึก ดวงตาสั่นไหวอย่างรู้สึกผิดที่คนตรงหน้าต้องมาบาดเจ็บเพราะตนเอง
“ข้าขอโทษ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวแผ่วเบา ดวงตาเรียวคมเงยหน้ามองเขาเล็กน้อยแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ท่านไม่ได้ผิดอันใดจะขอโทษเรื่องอะไร” ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยขณะเทยาสมุนไพรลงไป ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่งไม่รู้เหตุใดคนตรงหน้าต้องเอาตัวมาเสี่ยงกับตนด้วย
“อยู่กับข้าอาจบาดเจ็บหนักกว่านี้” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวช้าๆ มองกิริยาของหลิ่วเหวินอี้ที่นั่งนิ่งและสะดุ้งน้อยๆ ขณะนิ้วเรียวเขาฟาดผ่านแผ่นหลังที่มีแผลเพิ่มอีกเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมุ่นเพราะจำได้ว่าก่อนจะหลอกล้อออกไปข้างนอกคนตรงหน้าเขามีบาดแผลแค่แห่งเดียว
“หนีไปได้คนหนึ่ง” น้ำเสียงราบนิ่งของคนที่นั่งนิ่งคล้ายรู้ทันทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักอีกครั้ง
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“ข้าแค่ตอบแทนบุญคุณที่ท่านเคยช่วยข้าไว้ อีกอย่างพรุ่งนี้เราก็แยกทางกันอยู่แล้วจะได้ไม่มีเรื่องติดค้างกันอีก”
น้ำเสียงเย็นชาทว่าดวงตาเรียวคมเบือนหน้าหนี ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักมืออีกครั้ง มองคนตรงหน้าอย่างใครพิจารณา อาการแง่งอนของอีกฝ่ายทำไมเขารู้สึกหัวใจเต้นแรง มือเรียวเผลอลูบแผ่นหลังที่บาดเจ็บอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ร่างนั้นสะดุ้งหันขวับกลับมามองไอเย็นเยือกแผ่ออกมาทำให้สติกลับมาอีกครั้ง ร่างโปร่งขาวผ่องเนียนนุ่มตรงหน้าทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ แต่ก็รีบทำแผลให้แม้จะเสียดายลูบแผ่นหลังขาวนั่นก็ตาม
“อี้เอ๋อร์” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว ขนกายลุกซันก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเมื่ออีกฝ่ายทำแผลเสร็จ เหลือบตามองคนเรียกชื่อชวนสยองด้วยสายตาเย็นๆ แต่เมื่อเห็นดวงตาสั่นไหวของอีกฝ่ายทำให้คำพูดที่จะต่อว่ากลืนลงคอเช่นเดิม และเบือนหน้าหนีอย่างไม่อยากรับรู้ความสั่นไหวในดวงตาคู่นั้น
“หากข้าไม่ใช่พี่เหยียนเจิ้งที่เจ้ารู้จัก เจ้ายังอยากตามข้ากลับบ้านหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่ชอบคนพูดโป้ปด ทว่าการได้รู้จักคนตรงหน้าเขาก็มิเคยได้กล่าวความจริงออกมาแม้แต่น้อย แล้วหากคนผู้นี้รู้ความจริงว่าเขาเป็นใครยังจะกล้าเรียกว่าท่านพี่เหยียนเจิ้งอีกหรือไม่
“พี่เหยียนเจิ้งก็คือพี่เหยียนเจิ้งจะเป็นอื่นได้อย่างไร นอกเสียจากท่านไม่ใช่ ถึงกระนั้นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าเพราะอย่างไรท่านก็เป็นผู้มีพระคุณซึ่งความจริงข้อนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” น้ำเสียงนิ่งเรียบและดวงตาเฉยเมยเหมือนไม่ได้แยแสต่อสิ่งใด ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอึ้งไปอีกครั้ง เขาเกิดมายังไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน คิดว่าจิวชงหยวนน้องสะใภ้คนงามเป็นคนน่าประหลาดแล้วคนตรงหน้ายิ่งทำให้เขาสนใจยิ่งกว่า
“แม้ข้าจะเคยโป้ปดเจ้าอย่างนั้นหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามหยั่งเชิงอีกฝ่ายซึ่งหลิ่วเหวินอี้เพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่พร้อมคำตอบที่ทำให้โง่งมอยู่ชั่วครู่ หรือคนตรงหน้ามองผืนผ้าเป็นสีเทาไม่มองเห็นสิ่งใดดีงามและไม่เห็นสิ่งดำมืดจริงๆ
“ทุกคนย่อมมีความลับเป็นของตนเอง ข้าอาจจะเคยโป้ปดท่านพี่เหยียนเจิ้ง หรือท่านจะโป้ปดข้าไม่นับว่าแปลกอันใดเพราะเราสองคนไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนัก อีกอย่างไม่มีผู้ใดไม่มีความลับหรอกขอรับเพียงแต่เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกันเท่านั้น” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย ความคิดเห็นที่กล่าวออกมายาวเหยียดเป็นครั้งแรกที่ได้ยินจากปากคนตรงหน้า ทว่าคำพูดนั้นเป็นหลักสัจธรรมของมนุษย์จริงๆ ดวงตาหรี่ลงมองคนที่ขยับออกห่างตนเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“เจ้าคงไม่นึกอยากออกบวชหนีข้าหรอกนะ” ใบหน้างดงามอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาเย็นชามองเขานิ่งๆ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างระอา ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างมึนงง เขาพูดผิดตรงไหนกัน? ก็เห็นเจ้าตัวมองเห็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ได้ถึงเพียงนั้น
"ข้าจะไปพักที่ห้องสองคนนั่น” ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างเสียดายนิดหน่อย เมื่อครู่ผิวอีกฝ่ายเนียนนุ่มมือดีจริงๆ เสียดายไอเย็นที่แผ่มาพร้อมสายตาเย็นชาตวัดมองทำให้รีบทำแผลให้อีกฝ่ายจนเสร็จ
“หากคืนนี้เจ้าเล่นหมากล้อมชนะข้า ข้าจะให้ติดตามไปด้วย” ร่างโปร่งชะงักชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมามองดวงตาเย็นชามองมาที่เขานิ่งจนรู้สึกอึดอัด ทั้งๆ ที่ตนเป็นถึงฮ่องเต้ที่กดดันคนอื่นโดยไม่แยแสสิ่งใด ทว่ายามนี้สายตาคู่นี้กลับทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้หวาดกลัวแต่อยากยินยอมให้อีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าตน นี่เกิดอันใดขึ้นกับเขากันแน่!
ลั่วเหยียนเจิ้งหลับตาสะกดความรู้สึกแปลกๆ ไว้ในอกแล้วลืมตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง ว่าคนผู้นี้เหมาะสมที่จะพากลับเข้าวังหลวงหรือไม่ แล้วพากลับในฐานะอะไร?
“เชิญท่านชี้แนะ”
