เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)  (อ่าน 186290 ครั้ง)

ออฟไลน์ devilpoo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตามมาให้กำลังใจฟาง

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
อ้างถึง
อ้างถึง
ชักเริ่มสงสารฮ้องเต้สะแล้วสิ
รับมือหลายด้านเลย
[/size]

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ชงหยวน โปรดเห็นใจพี่ผัวด้วย

สงสารฮ่องเต้จิงๆ

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยน... (P.5วันที่ 28/5/59)


           ร่างสูงสง่างามในอาภรณ์สีเหลืองลวดลายมังกร บนศีรษะสวมมาลาสีเดียวกันห้อยด้วยไข่มุกสีเงินเม็ดเล็กยาวมาระดับปลายคางบดบังใบหน้าคมคายไปกว่าครึ่ง ดวงตาคมกริบทอดมองขุนนางน้อยใหญ่เบื้องล่างบัลลังก์อย่างพิจารณา การถกเถียงกันยังเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของบรรดาพระสนม และยังต้องมีการจัดงานเทศกาลหยวนเซียวเพื่อเชื่อมสารไมตรีจากเมืองใหญ่ต่างๆ ภายในแคว้น บ้างใกล้เคียงก็ได้นำบุตรีมาเจริญสัมพันธ์ไม่ตรี และเรื่องที่ขาดไม่ได้ในที่ประชุมวันนี้คือการที่เขายังไม่มีบุตรสืบทอดทายาทจึงเป็นที่กังวลของเหล่าขุนนาง
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งฟังพวกเขาถกเถียงกันไปมาอย่างเบื่อหน่ายเรื่องไหนเขาควรสอดแทรกก็จะกล่าวตัดบทและให้ขุนนางที่รับผิดชอบในส่วนนั้นจัดการไป ทุกเรื่องจัดการได้อย่างง่ายดายทว่าเรื่องการที่เขายังไม่มีโอรสธิดากลับเป็นเรื่องประเด็นร้อนในวันนี้ เหมือนกับว่ามีขุนนางบางคนต้องการใส่เชื้อเพลิงให้เรื่องบานปลายและใหญ่โตขึ้น
    
           “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางขั้นหนึ่งและสองบางกลุ่มคุกเข่าก้มหน้าลงอย่างอ้อนวอน ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่มองนิ่งๆ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการแสดงละครชุดนี้ แม้กระทั่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายยังเห็นด้วยกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำให้เขายกยิ้มมุมปากเพียงครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์
    
           “พวกเจ้าอยากให้เรามีโอรสพร้อมหมั่นหาสตรีงดงามมาให้ ข้าปลาบปลื้มใจนักเพียงแต่เวลานี้การตายพระสนมยังมีเงื่อนงำจะให้เราสำราญใจผู้เดียวได้อย่างไร อีกทั้งข้านั้นยังหนุ่มแน่นไม่ได้จะตายเข้าโลงในวันนี้หรือพรุ่งนี้เสียหน่อย พวกท่านร้อนรนกันถึงเพียงนี้หรือว่าข้าจะตายในวันนี้กันเล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้สบายในทว่าความหมายของคำพูดทำให้เหล่าขุนนางนั่งไม่ติด เพราะการกระทำเช่นนี้หากมองในแง่ร้ายก็เหมือนจะสาปแช่งให้กษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถสิ้นพระชนม์เร็วขึ้น
    
           “ฝ่าบาทกระหม่อมมิกล้า” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยพร้อมเพียงกัน ดวงตาพวกเขาแอบมองสบกันไปมา ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มดวงตาฉายแววเย็นชาอีกครั้ง
    
           “เอาเถิดข้ารู้ว่าพวกเจ้าหวังดี วันนี้เลิกประชุมเพียงแค่นี้ ส่วนงานพวกท่านที่รับผิดชอบหวังว่าจะทำให้แขกบ้านแขกเมืองพึงพอใจ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวตัดบทพร้อมลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ทอง เดินออกจากท้องพระโรงอย่างสง่างามเหมือนยามที่ก้าวเข้ามา
    
           “น้อมส่งเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้เดินกลับตำหนักตัวเอง แต่เดินไปยังตำหนักหลันฮวาห่างไกลจากตำหนักอื่นๆมากโขแม้จะดูโดดเดี่ยวและเงียบสงบ ทว่าภายในยังมีเสียงพูดคุยกันอยู่บ้าง เขาทอดมองเด็กน้อยวัยสิบหนาวกำลังถกเถียงปัญหากับฉีเห้อหลันอาจารย์ที่เขาจ้างมาสอนสั่งโดยเฉพาะ คนผู้นี้รอบรู้ทุกด้านเพียงแต่เป็นคนเก็บตัวหากเขาไม่ได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้คงจะยากที่จะได้คนผู้นี้มารับใช้
    
           “พระถวายพระพรเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าน่ารักเหมือนซาลาเปาในสายตาของลั่วเหยียนเจิ้งหันมามองพร้อมรอยยิ้มบาง กิริยาไว้ทีพร้อมคุกเข่าทำความเคารพสูงสุดดุจขุนนางผู้หนึ่งกระทำ เขาเพียงพยักหน้ารับเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เพ่ยอวี้จะแสดงกิริยาเช่นนี้ ดวงตากลมโตประกายความฉลาดตั้งแต่เยาว์วัย ฉีเห้อหลันหันมาคุกเข่าคารวะอีกคน ใบหน้าแสนธรรมดาของอีกฝ่ายที่ดูอย่างไรก็ขัดนันย์ตาเพราะมันเป็นหน้าปลอมๆ ฉายาของเจ้าตัวที่ยุทธภพมอบให้คือกวนอิมพันหน้า
    
          “ไม่ต้องมากพิธี” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ยกมือลูบหัวน้องเล็กอย่างเอ็นดู การใช้ชีวิตในวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่ฉลาดพอคงไม่มีชีวิตรอดอยู่ทุกวันนี้ มารดาของเพ่ยอวี้ได้สิ้นพระชนม์เมื่อสามปีก่อนอดีตพระนางเคยเป็นสายลับให้กับตนจึงได้รับปากว่าจะดูแลเพ่ยอวี้ให้อย่างดี เพราะเป็นความผิดพลาดของเขาที่ให้นางต้องตาย
    
           “ช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะมานั่งในศาลา ฉีเห้อหลันขยับกายถอยห่างพร้อมรินน้ำชาให้อย่างนอบน้อม
    
           “กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
    
           “องค์ชายสิบห้าขยันหมั่นเรียนรู้ ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจรับน้ำชามาจิบแก้กระหาย แล้วกล่าวบอกเสียงเรียบ
    
            “อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงพวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เจิ้นสั่งตัดชุดใหม่มาให้ได้รับหรือยัง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามมองน้องเล็กอย่างเอ็นดู ใบหน้าน่ารักยกยิ้มบางก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงมากขึ้น
    
            “กระหม่อมได้รับเมื่อเช้านี้ ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับพร้อมยกนิ้วหยิกแก้มขาวๆ ของน้องชายเล่นอย่างเอ็นดูและเหมือนคนถูกกระทำจะชื่นชอบเสียด้วย เขาหัวเราะในลำคอแผ่วเบาก่อนจะหันไปบอกฉีเห้อหลัน
    
           “ต่อไปนี้ช่วยสอนวิชากวนอิมพันหน้าให้เพ่ยอวี้ด้วย” ฉีเห้อหลันเงยหน้ามามองนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ แม้ไม่แน่ใจการกระทำของฮ่องเต้ผู้นี้ทว่าความจริงใจที่มอบให้เพ่ยอวี้องค์ชายสิบห้านั้นคือของจริงอย่างแน่นอน
    
           “พ่ะย่ะค่ะ”
    
           “ขอบพระทัยเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมร้องขออาจารย์มานานแต่ไม่ยอมรับปากเสียที” เพ่ยอวี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดีใจ ดวงตาวาวใสอย่างร่าเริงเมื่อคิดถึงเรื่องสนุกๆ รออยู่ข้างหน้า
    
          “อย่ามัวเล่นแต่สนุก เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มาก เพราะเจิ้นไม่ได้มาหาเจ้าบ่อยหนัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ให้ได้รู้หรือไม่” น้ำเสียงจริงใจและดวงตาห่วงใยที่ส่งมาทำให้เพ่ยอวี้พยักหน้ารับอย่างจริงจัง ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาน้ำใจเสด็จพี่ฮ่องเต้นั้นตนจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม
    
           “เจิ้นคงต้องกลับก่อนอยู่นานมิได้หนูแถวนี้ปากมากไปเสียหน่อยคงไม่เป็นการดีนัก” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนเดินกลับตำหนักซึ่งมีคนงามรออยู่
    
           “น้อมส่งเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของสองศิษย์อาจารย์น้อมส่งตามหลังมา ลั่วเหยียนเจิ้งเดินลัดเลาะตามอุทยานจนกระทั่งมาหยุดตำหนักลู่เฟย ดวงตาคมหรี่ตามองคนคุ้นตากำลังนั่งคุยกับจิวชงหยวนอย่างออกรส ข้างๆ คนทั้งคู่มีเด็กน้อยที่มีนัยน์ตาลึกลับเหลือบมองมาทางตน เพียงชั่วครู่ทั้งสองคนก็ได้หันมามองเขาเช่นกัน ทว่าเพียงแค่เหลือบมองและหันไปคุยกันต่ออย่างไม่สนใจฮ่องเต้อย่างเขา
    
            เขาโดนเมิน!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาหาทั้งคู่ซึ่งกำลังนั่งคุยกันพร้อมสมุดบันทึกที่ทั้งคู่ใช้ขีดเขียนในภาษาที่ไม่เข้าใจ จากที่คุยกันอย่างสนุกกลับเงียบเสียงลงจากนั้นก็เอ่ยขึ้นในภาษาที่ตนไม่อาจเข้าใจได้อีกครั้ง เขายืนนิ่งอยู่นานแต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจ มือหนาคว้าข้อมือหลิ่วเหวินอี้จากนั้นก็ลากออกจากห้องของจิวชงหยวนอย่างไม่สนใจเสียงโวยวายของน้องสะใภ้คนงาม ไม่สิตอนนี้ไม่งามแล้วมีแต่น่าฆ่าให้ตายนัก มาสอนสั่งคนของเขาให้กล้าเมินเขาได้อย่างไร
    
           “เดี๋ยวสิเจ้าจะลากข้าไปไหน” น้ำเสียงเย็นนิ่งของอีกฝ่าย ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตอบเงียบๆ นัยน์ตาของหลิ่วเหวินอี้เวลานี้แดงก่ำเล็กน้อย
    
           “พาเจ้าไปนอน” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับหน้าตาย คนโดนลากมองเขาอย่างอึ้งๆ เมื่อหันไปมองคนที่ชักชวนให้หลิ่วเหวินอี้เมินตน ตอนนี้เพียงแค่โบกมือบ้ายบายอย่างน่าหมั่นไส้ ลู่เฟยกลับมาจะให้สั่งสอนเสียให้เข็ดจะได้ไม่มีเวลามาป่วนคนของเขาเช่นนี้อีก
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองคนโดนลากที่ไม่ยอมขัดขืนด้วยความแปลกใจ ดวงตาคมมองสบดวงตาเรียวสวยมองที่เขานิ่งๆ จนคาดเดาไม่ออก
    
          “โกรธหรือ” หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบที่ทำให้เขารู้สึกผิดที่คิดอะไรเกินเหตุ
    
          “เปล่าแต่ท่านพี่เหยียนเจิ้งเป็นอะไร เมื่อครู่จิวชงหยวนกำลังสอนวิธีทำขนมบัวลอยให้ข้าไว้ทำให้ท่านทาน หรือว่าท่านไม่ชอบกินแล้ว”
   
          “ก็เจ้าเมินข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวพึมพำ นึกเสียดายที่ตนไม่เอ่ยถามสาเหตุก่อนเพียงแค่โดนหลิ่วเหวินอี้ไม่สนใจเขาเมื่อครู่หัวใจก็ร้อนรนและหงุดหงิดไปหมด
    
          “จิวชงหยวนบอกข้าว่าสอนแค่ครั้งเดียว ข้าจึงตั้งใจฟังเท่านั้นเอง” ดวงตาเรียวสวยมองสบกับเขานิ่งๆ ดวงตาฉายแววจริงจังจนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกผิด
    
           “ข้าขอโทษ”
    
            “ช่างเถอะเพราะข้าก็ไม่ชอบเข้าครัวอยู่แล้ว” คำตอบเรียบง่ายพร้อมแกะมือออก แต่ลั่วเหยียนเจิ้งจับกุมไว้แน่น ก่อนจะพาเดินกลับตำหนักโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ใบหน้างดงามที่แสดงความเย็นชาตลอดเวลานั้นตอนนี้ที่มุมปากกลับมีรอยยิ้มลึกลับแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ทว่าฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจกลับไม่ได้มองแม้แต่น้อย
    
            หลิ่วเหวินอี้กลับมาทานข้าวกลางวันพร้อมลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งตอนนี้ดูแปลกๆ จนน่าขบขัน คิดจะล่อลวงเขาเป็นฝ่ายเดียวหรืออย่างไร เขาไม่ได้โง่งมถึงเพียงนั้นเสียหน่อย หลังจากทานอาหารเรียบร้อยช่วงบ่ายจึงได้มีช่างตัดชุดเข้ามาวัดตัวแพรผ้าที่เลือกคือคนที่ลากเขามาเมื่อช่วงเที่ยง เขาไม่ได้ใส่ใจว่าเป็นสีอะไรแค่ให้วัดตัวก็ทำไปส่งๆ แค่นั้นเอง
    
            หลิ่วเหวินอี้หันกลับมามองฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจ ซึ่งเวลานี้นั่งมองเขานิ่งๆ ทว่าคิ้วขมวดเป็นปมเหมือนคนคิดไม่ตกทำให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่ได้ ก็เล่นจ้องมองซะจนเหมือนถอดเสื้อผ้าเขาอยู่รอมร่อ
    
            “หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”
    
            “นอนที่นี่ก่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนชวนนอนด้วยในเวลาบ่ายอย่างนี้ เขาส่ายหน้าเพราะอย่างไรคงไม่ไปนอนกลางวัน ทว่าร่างสูงกว่าเขาเพียงไม่กี่เซ็นต์กลับลากเข้าไปในห้องนอนใหญ่ใหญ่โตการจัดตกแต่งนับว่าสิ้นเปลืองมาก เตียงนอนขนาดใหญ่แม้กระทั่งสองคนตัวใหญ่นอนด้วยกันยังไม่รู้สึกอึดอัด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางนอนร่วมห้องกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เป็นแน่
    
           “ข้าจะไปนอนที่ห้อง” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเข้มใช้ลมปราณมาช่วยแกะมือตุ๊กแกออกจากมือตนเองด้วยความเร็ว ซึ่งอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวถึงกลับนิ่วหน้ามองมือที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างไม่พอใจ
    
            “เจ้ารังเกียจข้าหรือ” หลิ่วเหวินอี้มองคนเล่นบทเศร้าอย่างระอา ทว่าแววตาของลั่วเหยียนเจิ้งที่ส่งมาเวลานี้กลับทำให้โต้เถียงไม่ออก หากมีหูและหางก็คงจากลู่ลงแน่ๆ แต่เขาจะไม่ยอมให้ภาพลักษณ์หลอกลวงนี้มาก่อกวนหัวใจโดยเด็ดขาด หากไม่พูดอะไรสักอย่างคนที่เจ็บปวดคงไม่พ้นตัวเองเป็นแน่
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้ง ท่านเห็นข้าเป็นสิ่งใดกันแน่ พี่น้องร่วมสาบาน สหาย คนรัก พระสนม สิ่งแปลกใหม่สำหรับท่านหรือเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างจริงจัง หลายวันมานี้เขารู้สึกว่าจะโดนรุกหนักจนคนที่ไม่เคยสนใจสิ่งใดมาก่อนถึงกลับใจสั่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ตกลงหลุมรักคนมากเล่ห์ไร้หัวใจอย่างลั่วเหยียนเจิ้งแน่ๆ แม้ไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่คารมคมคายและความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายมันมากเกินจนกลัวว่าจะต่อต้านไม่ไหว ดวงตาคมกริบมองเขานิ่งงันไม่ได้ตอบคำถามอันใด หลิ่วเหวินอี้จึงถอยห่างออกมาแล้วกล่าวเสียงเรียบ
    
          “หากท่านพี่ตอบได้ช่วยกลับไปบอกข้าด้วย หากแค่หมากตัวหนึ่งข้าจะยอมช่วยท่านเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” กล่าวจบก็เดินจากไป ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเดินจากไปอย่างมั่นคง ความเย็นชามีอย่างไรก็ยังเป็นเช่นนั้นจนยากจะคาดเดาความในใจ ปล่อยให้สายตาคมกริบมองตามนิ่งงัน
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้เพราะคำถามนี้มันเหมือนแทงใจดำตัวเองเข้าอย่างจัง เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคิดเช่นไรกับหลิ่วเหวินอี้ รู้เพียงแต่ว่า อยากมีคนผู้นี้เคียงข้างตลอดไป...
    
           ร่างโปร่งเดินกลับห้องตัวเองด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เขาไม่เคยมีความรักเพราะชีวิตที่ผ่านมาแขวนอยู่ในเส้นด้ายตลอดมาจึงไม่คิดจะลงเอยกับใคร แต่ใจเขารู้ดีว่าเขายังชอบผู้หญิงเหมือนคนอื่นๆ ทว่าเกิดมาในชาตินี้ทำไมถึงมีแต่บุรุษเข้าหาตนเอง แต่คนที่ทำให้หนักใจจนออกจะกลัดกลุ้มคงจะเป็นลั่วเหยียนเจิ้ง เมื่อคืนอีกฝ่ายมาตามง้อเล่นพิณให้ฟังเพียงแค่ไม่ถึงวันก็ต้องมามีเรื่องให้ลำบากใจกันอีกแล้ว
    
           หลิ่วเหวินอี้เปลืองเสื้อผ้าลงไปแช่อ่างอาบน้ำเพื่อคลายความหนักใจ ห้องน้ำที่นี่ใหญ่โตยิ่งกว่าสระว่ายน้ำเสียอีก เขาดำหัวลงในน้ำเพื่อปิดกั้นความคิดของตัวเองชั่วคราว การกลั้นลมหายใจในน้ำเพียงแค่ใช้ลมปราณช่วยก็สามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งชั่วยาม ไม่รู้เวลานานไปเท่าไหร่จนกระทั่งรู้สึกว่าจิตใจสงบแล้วจึงผุดลุกขึ้นจากน้ำในอ่าง ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่ขอบอ่างน้ำ ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเหลืองในชุดเดิม มีเพียงมาลาคอบศีรษะเท่านั้นที่เอาออกไปแล้ว สายตามองมาที่เขาเหมือนมีเปลวเพลิงอยู่ในนั้นด้วยและมันเริ่มทำให้เขาหายใจติดขัดเป็นครั้งแรก
    
           “ท่าน...” หลิ่วเหวินอี้พูดไม่ออกเมื่อร่างนั้นพุ่งลงน้ำเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว และจะไม่ตกใจเลยหากว่าตัวเองไม่เปลือยล่อนจ้อนเช่นนี้ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความโกรธปนอับอาย ลั่วเหยียนเจิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาดวงตาคมมองเขาด้วยเปลวเพลิงปรารถนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    
           ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อถูกอีกฝ่ายจู่โจมด้วยริมฝีปากอ่อนนุ่ม ความร้อนแรงและวาบหวานอีกทั้งรสจูบที่ชำนาญของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกมึนงง ก่อนจะชะงักงันเมื่อมือปลาหมึกของอีกฝ่ายมาหยุดที่แท่งหยกร้อนผ่าวของตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะผลักร่างนั้นออกเต็มแรง
    
           ตูม!
    
           เสียงน้ำดังตามแรงกระเด็นของร่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่ทันตั้งตัว ทว่าเมื่อลุกขึ้นยืนดวงตาคมกริบกลับทอประกายวาววับพร้อมเลียริมฝีปากแผ่วเบาอย่างยั่วยวน หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างมองคนโรคจิตอย่างหวาดๆ จะลุกจากน้ำก็ไม่ได้
    
           “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ” ร้องสั่งเสียงหลงเมื่อเห็นลั่วเหยียนเจิ้งจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้ไม่รู้ว่าตัวเองมีสีหน้าเช่นไร รู้แค่ว่าตอนนี้เขาโกรธมาก นี่เพิ่งทิ้งคำถามให้เก็บไปคิดแต่กลับมาแสดงกิริยาหยาบช้าต่อเขาอย่างไม่น่าให้อภัย ดวงตาเย็นชาวาวโรจน์ด้วยความโมโห
    
           ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยกปลายนิ้วจับริมฝีปากของตัวเองแล้วเอ่ยพึมพำไม่ได้ศัพท์เหมือนคนไม่มีสติ ดวงตาคมกริบยังมองเขาด้วยความปรารถนา ทว่ายังสามารถสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้ เขาลอบหายใจอย่างโล่งอกนิดๆ อย่างน้อยน่าจะคุยกันรู้เรื่องว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
    
           “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ข้าแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง” ใบหน้าคมคายกลับมายิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม แม้ดวงตาจะปกปิดความร้อนแรงของเปลวเพลิงไม่หมดแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อครู่ หลิ่วเหวินอี้จ้องเขม่งยังไม่กล้าที่จะลดความระวังตัวเอง ทันใดนั้นร่างนั้นกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เสื้อคลุมลายมังกรประจำตำแหน่งของฮ่องเต้ถูกสวมใส่ให้อย่างอ่อนโยนจนเขาทำตัวไม่ถูก
    
           “ท่านออกไปก่อน” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเย็นนิ่ง มองคนที่อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรีมีครรภ์อย่างระแวดระวังเมื่อครู่นี้ก็ทำเอาใจหายใจคว่ำ แม้จะโดนล่อลวงทางใจแต่สภาพล่อแหลมเช่นนี้ไม่มีวันที่เขาจะยอมเอาคืนให้ตัวเองขาดทุนแน่ๆ
    
          “สัญญาก่อนว่าจะไม่หนีข้าไปไหน” หลิ่วเหวินอี้มองคนตรงหน้าอย่างฉงน แต่เมื่อนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ถึงได้เข้าใจ เขาไม่ใช่สตรีจะได้มาเสียใจกับเพียงแค่จูบเดียว และเขาไม่ได้งี่เง่าที่จะหนีไปง่ายๆ ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้
    
           “ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเพราะข้ากับท่านมีเรื่องต้องคุยกันยาว” หลิ่วเหวินอี้ออกคำสั่งเสียงเข้มที่ทำให้คนฟังยกยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เมื่อร่างสูงของลั่วเหยียนเจิ้งจากไปเขาถึงกับลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากเหตุการณ์เมื่อครู่สอนให้เขารู้ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน ที่สำคัญอย่าไว้ใจห้องน้ำบ้านคนอื่น!




    ลวนลามวันละนิดจิตใจแจ่มใส เจิ้นได้กล่าวเอาไว้ 5555 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ฉากนี้ชอบที่สุก ฮ้องเต้ลุกหนักสักที อ่านมาตั้งนานนึกว่า ฮ่องเต้ตายด้าน ไม่เห็นสนใจู้หญิง สนใจเหวินอี้ แต่ไม่คิดจะทำอะไร  เฮ้อ ส่วนเหวินอี้นี่ปกติดีทุกอย่าง ส่วนจิงชงหยวนน่ารักเหมือนเดิม วางแผนได้น่าหยิก เอาเรื่องบัวลอยไข่หวานมาใช้

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
 :m3: อร๊ายยยยย ในที่สุดก็เริ่มรุกแล้วสินะฮ่องเต้
นึกว่ากามตายด้านไปซะแย้ว  :hao6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2

ออฟไลน์ chouxcream59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ฮ่องเต้รู้ใจตัวเองแน่ๆแล้วใช่ไหม

ถ้าชอบก็บอกไปเลยว่าชอบ

ไม่ใช่คิดแค่ว่ารู้สึกดี และอยากอยู่ด้วย :katai1:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่21ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)


        ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาห้องของตนเองด้วยหัวใจสั่นระรัว ความตื่นเต้นปรารถนาฉายชัดในดวงตา ร่างเปลือยเปล่าของหลิ่วเหวินอี้กระตุ้นความต้องการจนแทบหยุดยั้งตัวเองไม่ไหว ร่างโปร่งแต่ไม่ได้บอบบางมีมัดกล้ามตามที่พึงมี ผิวขาวเนียนจนอยากจะสัมผัส ความงามของใบหน้าและเรือนร่างแทบปลุกอารมณ์ดิบเถื่อนที่กักเก็บเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ออกมา ความเย็นชาของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์น่าลุ่มหลง เขาไม่เคยรู้สึกอยากครอบครองใครเท่านี้มาก่อน หลังจากที่ถูกทิ้งคำถามเอาไว้เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดกับคำตอบเพราะอย่างไรเขาก็ต้องการคนผู้นี้มาอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าหลิ่วเหวินอี้อยากได้ตำแหน่งอะไรเขาจะมอบให้ทุกอย่างจึงได้เร่งรุดไปหา ทว่าไม่คาดคิดว่าจะได้พบเห็นภาพที่สวยงามจนละสายตาออกไปไม่ได้เช่นนี้
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งอาบน้ำเปลี่ยนชุดอีกครั้ง พร้อมมาปรากฏตัวที่ห้องของหลิ่วเหวินอี้ซึ่งนั่งรออยู่โต๊ะริมหน้าต่างอย่างสงบ ความเงียบงันและบรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายเวลานี้ทำให้เขาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก รู้เพียงแค่ว่าตอบไม่ถูกใจคงได้คุยด้วยกระบี่แน่ๆ แล้วเขาจะกล้าทำร้ายคนงามได้อย่างไร
    
          “เชิญนั่ง” น้ำเสียงเย็นนิ่งของอีกฝ่ายเขาควรจะชินชา ทว่าไม่รู้เหตุวันนี้เขารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนเป็นฝ่ายผิดอย่างไรอย่างนั้น ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยกิริยาปกติเช่นเดิม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มนิดๆ แม้จะรู้สึกแปลกๆภายในใจ ทว่าเขายังสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
    
          มือรินเหล้าองุ่นให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่รับไปวางไว้เท่านั้น ดวงตาเรียวสวยมองมาที่เขานิ่งๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยฝีมือของเขา เพียงแค่เห็นร่างกายก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เหตุใดเขาจึงถูกกระตุ้นได้ง่ายดายนัก
    
          “ท่านได้คำตอบหรือยัง” คำถามเรียบง่ายทว่าดวงตาเรียวจ้องเขม่ง ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบางก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเริงร่า    
    
          “ไม่เห็นต้องถามเลย เจ้าก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานข้าไง” คำตอบที่ทำให้คนฟังเม้มปากแน่น ดวงตาเย็นชามองมานิ่งๆ จนเริ่มทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งไม่ติด ผ่านไปครึ่งธูปที่คนตรงหน้าขยับตัวแต่ก่อนที่ร่างนั้นจะลุกหนีไปเขาจึงรีบคว้าร่างนั้นเอาไว้ ดวงตาตวัดมามองมันเฉยชากว่าทุกครั้งจนน่าใจหาย
    
           “เจ้าไม่พอใจกับคำตอบข้าหรือ” เอยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาคมมองคนตรงหน้าอย่างคาดหวัง เขาไม่เคยมีความรักแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าความรักมันเป็นรูปแบบไหน
    
          “เจ้าจูบพี่น้องร่วมสาบานทุกคนหรือไง” คำถามที่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งงันก่อนจะส่ายหน้าไปมา
    
          “ไม่ ข้าจูบเจ้าคนแรก” คำตอบอย่างจริงจังของเขาไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าหายโกรธ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ จึงลุกขึ้นลูบริมฝีปากของหลิ่วเหวินอี้แผ่วเบา ใบหน้างดงามหลบฝ่ามือของเขาพร้อมดวงตาที่เคยเย็นชาถลึงมองมาอย่างไม่พอใจ
    
           “เหยียนเจิ้ง” น้ำเสียงเย็นชาแต่แฝงไว้ด้วยความโกรธ แววตาวาวโรจน์ทว่ามันกลับดูน่ามองในสายตาของลั่วเหยียนเจิ้ง มือขวายังจับข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น
    
           “ปล่อย”
    
           “ปล่อยเจ้าก็หนี” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับหนักแน่น เขาคุ้นชินกับการออกคำสั่งทว่าสำหรับคนตรงหน้าเป็นกรณียกเว้น ยอมให้อีกฝ่ายสั่งเขาได้เพียงแต่มีขอบเขต
    
          “เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่ลั่วเหยียนเจิ้ง หากคิดว่าข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานอย่าทำรุ่มร่ามกับข้าอีก” คำถามจริงจังพร้อมดวงตาเย็นเยือกของอีกฝ่ายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก คำถามนี้เขารู้ดีว่าหลิ่วเหวินอี้ต้องการคำตอบแบบไหน ทว่าผู้ที่ไร้หัวใจอย่างตนจะมีความรักให้อีกฝ่ายได้อย่างไร และถึงจะมีแล้วเขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันคือความรักไม่ใช่ความปรารถนาที่อยากจะครอบครองอย่างเช่นในเวลานี้
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งปล่อยมือกลับไปนั่งลงเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้าด้วยความเฉยเมย ไม่ได้มีรอยยิ้มแต่งแต้มเช่นทุกครั้ง ทว่ารูปแบบประโยคและความสนิทชิดเชื้อที่มอบให้หลิ่วเหวินอี้ผู้นี้คือของจริง
    
         “อี้เอ๋อร์เจิ้นไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร เจิ้นเกิดมาก็มีแต่การเข่นฆ่า แย่งชิง  และมีแค่การโปรดปรานกับไม่โปรดแค่นั้นเอง และเวลานี้เจิ้นโปรดปรานอี้เอ๋อร์มาก มากจนอยากให้อยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าอี้เอ๋อร์ต้องการตำแหน่งอะไรเจิ้นให้ได้ทั้งนั้น” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่หยุดพูดมือก็รินสุราในเหยือกลงจอกแก้วอย่างเชื่องช้า ทว่าคนรับฟังกลับยืนนิ่งมองมาอย่างใจเย็น เขาชอบที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ คนตรงหน้ามีเหตุผลเมื่อยกสุราดื่มหมดจอกจึงได้กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงโทนเดิม
    
         “แต่เจิ้นรู้ดีว่าอี้เอ๋อร์ชอบอิสระมากกว่าในวังที่ไม่รู้ว่าจะตายเพราะถูกลอบฆ่าเมื่อไหร่ เจิ้นจึงไม่อยากคิดอะไรให้มากไปกว่านี้เพราะหากผิดหวังมา...” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวถึงตรงนี้มุมปากก็ยกยิ้มเหี้ยมโหดจนคนมองดูถอนหายใจแล้วกลับมานั่งที่เดิม
    
          “บ้านท่านกับบ้านข้าไม่เห็นต่างกันตรงไหน ที่ไหนก็ต้องการชีวิตข้าทั้งนั้น แต่ท่านก็เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” คำกล่าวเรียบนิ่ง ใบหน้างดงามหันออกไปนอกหน้าต่างทว่าใบหน้ากลับแดงขึ้นเล็กน้อย ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างนิ่งงันคนตรงหน้านับวันยิ่งทำให้ตนหลงใหล คำพูดเช่นนี้หากคิดเข้าข้างตัวเองก็เหมือนกับหลิ่วเหวินอี้ตอบรับที่จะอยู่ในวังกับเขาไม่ว่าด้วยฐานะอะไรก็ตาม
   
          ใบหน้าคมคายคิ้วคมเฉียงงดงามลงตัวกลับกดลึกยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นประเภทดีมาดีตอบ ร้ายมาจะตอบคืนอย่างแสนสาหัส แต่เรื่องนี้เขาต้องคิดให้หนักตอนแรกเขาเพียงต้องการให้หลิ่วเหวินอี้เป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น แต่การที่อีกฝ่ายไว้ใจตนเองเช่นนี้เขาต้องระวังความปลอดภัยชีวิตของอี้เอ๋อร์มากขึ้น วรยุทธของคนตรงหน้าไม่ได้ต่ำต้อยแต่ก็ยังน้อยกว่าตนอยู่สองส่วน
    
          “ข้าจะอยู่ช่วยงานท่านจนกว่าจะจับคนร้ายได้แต่มีข้อแม้สามข้อ” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาเรียวสวยมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอีกครั้ง
    
         “ข้อแรกท่านห้ามทำรุ่มร่ามกับข้า ข้อสองตำแหน่งสนมข้ารับไว้แค่เพียงในนามเท่านั้น หากจบงานถือว่าเป็นโมฆะ ข้อสามหากคิดอยากมีโอรสสืบทอดบัลลังก์ห้ามมาลวนลามข้า ข้าเป็นประเภทรักแรงเกลียดแรงของของข้า ข้าไม่ชอบแบ่งปันกับผู้ใด” ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองคนงามที่ยิ้มเย็นทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ทว่าความเหี้ยมโหดที่ปรากฏในดวงตาทำให้ยกยิ้มบาง คนตรงหน้าไม่คิดจะยอมลงให้เขาจริงๆ แต่ไม่ว่าข้อไหนก็เป็นข้อป้องกันตัวจากเขาทั้งนั้นรู้สึกขาดทุนอย่างบอกไม่ถูก
   
         “แล้วแค่จูบละ” หลิ่วเหวินอี้มองตาดุ แล้วกล่าวแบบกัดฟันเหมือนสะกดกลั้นความโมโหของตัวเอง
    
         “กลับไปทวนข้อแรกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบาง ยิ่งเห็นสีหน้าหลากหลายของอีกฝ่ายยิ่งอารมณ์ดี พลางครุ่นคิดหาวิธีเอาเปรียบอีกฝ่ายไว้ภายในใจ ผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูปกว่าเขาจะกล่าวตอบด้วย
    
          “เจิ้นจะเก็บไปพิจารณา เพียงแต่เวลาอี้เอ๋อร์เจ้าทำบัวลอยไข่หวานเป็นแล้วหรือไม่ เจิ้นอยากกินมากเลย”
    
          แค่กๆๆ
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นลูบหลังให้คนสำลักสุราจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาที่เคยเย็นชาเหลือบมองเขาเหมือนรู้ทัน จึงยกมือออกจากแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเสียดาย แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้
    
           “จิวชงหยวนมาท่านพี่ก็ไปขอให้ทำเองสิ เรื่องอะไรข้าจะทำให้กิน อีกอย่างข้าจดวิธียังไม่หมดท่านก็ลากข้าออกมา” ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองคนงามแม้แววตาจะเรียบนิ่ง ทว่าทำไมเขารู้สึกถูกกลั้นแกล้งอย่างไรอย่างนั้น หรือว่าคิดไปเอง?
    
          “จิวชงหยวนไม่ได้สอนอะไรผิดๆ แก่เจ้ามาใช่หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง จิวชงหยวนฉลาดและชอบกลั่นแกล้งเขาเป็นที่สุดจึงไม่น่าไว้วางใจเลยจะให้หลิ่วเหวินอี้รู้จักน้องสะใภ้คนนี้ว่าแต่ทั้งคู่ไปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
    
          “เหตุใดท่านพี่เหยียนเจิ้งกล่าวเช่นนั้นเล่า หรือว่าท่านไปทำสิ่งใดมาถึงได้หวาดระแวงน้องสะใภ้ตนเองเช่นนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักไปชั่วครู่ ก้มมองดวงตาเรียวสวยซึ่งเงยหน้าสบตาเขาด้วยรอยยิ้มบาง ความสวยงามบนใบหน้าทำให้เขาไม่อาจตัดใจปล่อยอีกฝ่ายจากไปได้
    
          ทว่าคำถามนี้ทำให้หวนคิดไปถึงอดีตที่ผ่านมาของตนเอง เขาไม่ได้ทำอะไรเลยครั้งแรกที่เจอก็แค่เล่นหมากล้อมกับอีกฝ่ายทั้งคืน แต่เมื่อย้อนกลับมาดูตัวเองว่าไปเขาก็โดนหลิ่วเหวินอี้บังคับเล่นหมากล้อมไม่ให้หลับให้นอนทั้งคืน หรือว่านี่เป็นกรรมตามสนอง? แต่เมื่อคิดถึงเรื่องอื่นเขาได้แกล้งลู่เฟยที่ปลอมตัวไปเป็นทหารเฝ้าจับตามองจิวชงหยวนระหว่างไปค่ายชายแดนให้หึงหวง หวังว่าเขาไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เองหรอกนะ
    
           “เปล่า เหตุใดอี้เอ๋อร์คิดเช่นนั้น” เอ่ยถามพร้อมจับเส้นผมเหมือนแพรไหมสีดำนุ่มมืออีกฝ่ายเล่นอย่างเบามือ ความนุ่มและสุขภาพดีทำให้รู้สึกดีอีกทั้งกลิ่นหอมดอกท้ออ่อนๆ ที่แผ่ออกมาทำให้เผลอยกขึ้นมาสูดดมความหอมอย่างไม่เกรงใจผู้เป็นเจ้าของ ร่างโปร่งยังนั่งบนเก้าอี้เช่นเดิมทว่าเขาซึ่งลุกขึ้นมายืนตั้งแต่หลิ่วเหวินอี้สำลักสุราก็ถือโอกาสลวนลามเล่นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาเหลือบมองเขาแล้วถอนหายใจออกมาอย่างระอา มุมปากยกยิ้มบางแม้จะเป็นคนเย็นชาทว่าเนื้อแท้ภายในใจกลับเป็นคนใจอ่อนเสียจนทำให้เขาเคยตัว
    
          “เหวินอี้ โปรดเรียกข้าว่าเหวินอี้” น้ำเสียงหงุดหงิดและมือหนาปัดมือเขาออกอย่างเย็นชาไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว แต่กลับทำให้เขาเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
    
          “ใครจะเรียกเจ้าอย่างไรเจิ้นไม่สน  แต่เจิ้นจะเรียกเจ้าว่าอี้เอ๋อร์” คำตอบที่แสนเอาแต่ใจ ทว่าคนถูกเรียกทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
    
           “วันนี้เจ้าคงเหนื่อยนอนพักเถอะ อีกสองวันมีงานเลี้ยงเจ้าต้องเข้าร่วมงานกับเจิ้นในฐานะพระสนมเข้าใจหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งออกคำสั่งเสียงเรียบ ดวงตาเรียวสวยตวัดมองมาด้วยสีหน้าเย็นเยือกทว่าริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างไม่ชอบใจกับการร่วมงานในครั้งนี้นัก เขาผละออกจากร่างโปร่งที่นั่งนิ่งเบือนหน้าหนีไปทางอื่น กิริยาดูแสนเย็นชาทว่ามันกลับดึงดูดให้ค้นหา
    
          ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีขาวเดินจากไปอย่างสง่างาม หลิ่วเหวินอี้จึงหันกลับมามองอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่เอาแต่ใจจนน่าฆ่า เจ้าเล่ห์แสนกลก็ที่หนึ่งได้คืบก็จะเอาศอกเขารู้สึกว่าช่วงนี้ใช้สมองรับมือกับเรื่องไร้สาระจนเหนื่อย
    
           “นายท่าน ท่านจะไม่ทิ้งพวกเราใช่หรือไม่ขอรับ”
    
            หลิ่วเหวินอี้หันไปมองเงาร่างสีดำที่มุมห้อง แม้จะเป็นเวลากลางวัน ทว่าวิชาพลางตัวของอีกาหมายเลขหนึ่งกลับเป็นหนึ่งในใต้หล้า ร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิทใบหน้าปกปิดไว้จนหมดเหลือเพียงดวงตาคมกริบที่มองมาอย่างหวาดหวั่น อีกาหนึ่งหายไปหลังจากให้ไปเก็บตัวระหว่างลั่วเหยียนเจิ้งตามล่าสืบข่าวอีกาดำเมื่อครั้งที่แล้ว และหลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็เงียบไปคาดว่าคงได้รู้ความจริงแล้วไม่เช่นนั้นคนที่กัดไม่ปล่อยอย่างฮ่องเต้ไร้ใจผู้นี้คงไม่นิ่งดูดายเช่นนี้
    
           “ทำไมคิดเช่นนั้น” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้ให้ความเย็นชาเลือนหายไปกลับกันมันกลับนิ่งสงบยิ่งกว่าเดิมจนผู้คนที่แอบมองไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อย ดวงตาเรียวสวยจ้องมองมู่ฉีอีกาหมายเลขหนึ่งที่เมื่อห้าปีก่อนควรจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเสียเอง ทว่ากลับเป็นเขาเองที่มีหยกดำและมีดสั้นหยินหยางซึ่งเป็นตัวแทนของอดีตหัวหน้ากลุ่มอีกาดำ ไม่รู้เหตุใดคำสั่งนั้นถึงสืบทอดกันมาอย่างเคร่งครัด แม้เขาจะมาทีหลังแต่ทุกคนกลับเชื่อฟังอีกทั้งยอมตายเพื่อเขา จนเวลาผ่านไปสองปีในที่สุดจึงได้รู้ว่าความจริงว่า ผู้เฒ่าอีกาที่ตายต่อหน้าผู้นั้นกลับเป็นท่านตาของเขาเองแต่ป่านนี้ทุกคนก็ยังไม่รู้ว่ามารดาไปอยู่ที่ใดกันแน่
    
          “นายท่านน่าจะรู้คำตอบดี” คำตอบที่แฝงไว้ด้วยความกังวลของมู่ฉีทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาเย็นชาฉายแววจริงจัง
    
          “มู่ฉีหากเจ้ารู้จักข้าดีย่อมรู้ว่าทุกการกระทำข้าย่อมมีเหตุผล หรือว่าข้าต้องแจ้งการกระทำแก่เจ้าทุกครั้งไปเช่นนั้นหรือ”
    
           “มู่ฉีผิดไปแล้ว นายท่านโปรดลงโทษข้าที่ไม่ไว้ใจท่าน” ร่างสูงนั่งลงคุกเข่าตรงหน้าอย่างนอบน้อมและยอมรับความผิดของตนเอง หลิ่วเหวินอี้มองดูนิ่งๆ มือแกร่งจอกสุราในมือแผ่วเบา ในตาเย็นชาเวลานี้ยากจะคาดเดาได้ง่าย
    
           “มู่ฉีนายน้อยจะมีคนรักหรือไม่เหตุใดเจ้าต้องร้อนรน” หลวนซานที่นอนนิ่งทำตัวเหมือนไร้ตัวตนอยู่บนคานไม้พลิกกายลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง มองคนตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจเพราะช่วงหลังๆ รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเจ้ากี้เจ้าการนายน้อยเหมือนเป็นเจ้านายเสียเอง
    
          “ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเหตุใดข้ารับใช่อย่างเจ้ามาใส่ร้ายข้า” ร่างสูงที่คุกเข่าปรายตาไปมองพร้อมตอบกลับเสียงดัง ดวงตาคมกริบมองผู้ติดตามหลิ่วเหวินอี้อย่างไม่พอใจ ใบหน้าสวยหวานเหมือนอิสตรีและยังมีนิสัยชอบแขวะชาวบ้านเหมือนพวกสตรีไม่มีผิด
    
          “เฮอะ เจ้าแค่จะอ้าปากข้าก็เห็นลิ้นไก่เจ้าแล้ว ทำตัวร้อนรนแทนพี่น้องคนอื่นแต่แท้จริงแล้วเจ้าคิดไม่ซื่อกับนายน้อยเสียมากกว่า” หลวนซานตอบกลับอย่างเหลืออด มองคนที่คุกเข่าอย่างไม่ยอมแพ้ มุมปากยกยิ้มเย้ยหยันแม้มู่ฉีจะทำงานไม่มีผิดพลาดภายนอกเหมือนคนเย็นชาทว่าแท้จริงแล้วขี้หงุดหงิดโมโหกับเขาทุกครั้ง แค่หลับตามองข้างเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายอิจฉาตนจึงหาเรื่องอยู่บ่อยครั้ง มีครั้งนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาต่อว่าเสียก่อน
    
          “หากพวกเจ้าอยากทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันไกลๆ ข้าจะได้พักผ่อน” แววตาเย็นเยียบของนายน้อยทำให้หลวนซานและคู่กัดปิดปากเงียบเลิกทะเลาะกันชั่วคราว เมื่อทั้งคู่สงบศึกกันได้หลิ่วเหวินอี้จึงกล่าวเสียงเรียบ
    
          “ตอนนี้ข้ารู้ดีว่าควรทำอะไร มู่ฉีข้าไม่เคยคิดทิ้งพรรคพวกที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี แม้ข้าจะอยู่ที่นี่แต่ใช่ว่าจะไม่กลับไป อีกอย่างข้าเป็นบุรุษมิได้ชมชอบตัดแขนเสื้อ แต่ภายภาคหน้าข้ามิอาจรู้ได้แต่ข้าจะระวัง ช่วงนี้คลื่นใต้น้ำภายในวังหลวงกำลังเริ่มเคลื่อนไหว มู่ฉีเจ้าสั่งคนแยกกลุ่มเพิ่มอีกสองกลุ่มไปสืบเรื่องนักฆ่าใบ้กับพวกรอยสักจากหนานเจียงมาให้ข้าเร็วที่สุด ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังกันแน่ จบงานนี้ข้าจะได้กลับบ้าน”
    
            หลิ่วเหวินอี้บอกกล่าวเสียงเรียบพร้อมเพิ่มคำสั่งอย่างจริงจังเพราะยิ่งนานไปยิ่งไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ลั่วเหยียนเจิ้งนั้นมากไปด้วยเล่ห์เขากลัวจะตกหลุมพรางรักของอีกฝ่ายเข้าสักวันเพราะฉะนั้นต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด
    
           “ขอรับ” มู่ฉีตอบรับอย่างจริงจังก่อนจะปรายตามองคู่กัดชั่วคราวอีกครั้ง พร้อมร่างสูงเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว หลวนซานเหลือบมองนายน้อยที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกังวล การที่จะตามหามารดาทำให้นายน้อยลงทุนมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วหากฮูหยินไม่มีชีวิตอยู่แล้วคุณชายสี่ผู้นี้จะเป็นเช่นไรต่อไป
    
           “นายน้อยจากที่ข้าฟังเมื่อครู่ฮ่องเต้ผู้นี้จริงใจกับท่านเพียงแต่เขาไม่อาจมอบหัวใจให้ใครได้ อนาคตข้างหน้าข้าเกรงว่า...” หลวนซานไม่กล้าจะกล่าวต่อ ได้แต่มองดูนายน้อยอย่างระวัง หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากดวงตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
    
          “หลวนซานภาพที่เจ้าเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่ยอมมอบหัวใจให้คนที่ไร้หัวใจหรอกวางใจเถอะ”
    
           น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของนายน้อยทำให้หลวนซานคลายความกังวล คุณชายสี่ไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาดทุกการวางแผนล้วนเป็นไปตามที่วางใจ ความฉลาดและความเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้เขาวางใจได้ระดับหนึ่งเพียงแต่เขาจะไม่มีวันทำให้หลิ่วเหวินอี้ผิดหวัง หากฮ่องเต้ไร้ใจทรยศหักหลังต่อความรู้สึกของนายน้อยต่อให้อยู่สูงค้ำฟ้าเขาจะสังหารให้ได้!
    
          “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้หันไปบอกหลวนซานที่ทำหน้าตาจริงจังเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เมื่อทุกคนออกไปแล้วดวงตาเย็นชาจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งอย่างเหม่อลอย แผนการของจิวชงหยวนที่บอกเขามาล้วนแล้วมีแต่น่าสนใจ จิวชงหยวนเป็นคนฉลาดและเก่งกาจอีกทั้งใบหน้างดงามราวอิสตรี ความเพียบพร้อมของอีกฝ่ายทำไมลั่วเหยียนเจิ้งไม่สนใจ ข้อนี้ทำให้อดที่จะสงสัยไม่ได้
    
           “ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่ไร้ใจภายนอกเหมือนคนอ่อนโยน ทว่าเนื้อแท้เป็นคนโหดเหี้ยมอีกทั้งทั้งโรคจิตอีกต่างหาก แต่จะโทษเจ้าตัวก็ไม่ได้เพราะสังคมของเหยียนเจิ้งเป็นเช่นนี้ ที่นี่หากไม่เข้มแข็งและมีอำนาจคงไม่มีชีวิตรอด หากเจ้าอยากได้ใจของคนผู้นี้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย ภายนอกเหมือนโปรดปรานเจ้าแต่ในใจนั้นแม้แต่ข้าก็ยากที่จะคาดเดาได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีหนทางเลยเจ้าที่เป็นเช่นนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของลั่วเหยียนเจิ้ง แต่จะเป็นการโปรดปรานชั่วคราวหรือว่าตลอดไปนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าเอง แต่หากให้ข้าคาดเดาเจ้าเองก็ไม่ได้ชมชอบลั่วเหยียนเจิ้งเหมือนคนรัก เจ้าเองคล้ายกับข้าที่คิดว่าชาตินี้จะไม่มีวันชอบผู้ชายโดยเด็ดขาด แต่ก็อย่างว่าหัวใจข้าไม่ใช่หินผาที่จะทนการตามตื้อและความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายได้ เจ้ากลับไปคิดให้ดีเถอะที่ข้ายอมพูดเรื่องเหล่านี้ให้ฟังเพราะอย่างไรเราก็ถือว่าเป็นคนที่เคยมาจากโลกเดียวกัน หากเจ้ารู้จักข้าดีจะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนชอบพูดพร่ำเพ้อกับคนอื่นเช่นนี้หรอก”
   
           นั่นเป็นคำพูดที่จิวชงหยวนกล่าวทิ้งไว้ให้เขาเก็บไปคิด จิวชงหยวนเหมือนจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ทว่ากลับมีความยุติธรรมกับทุกคน ไม่ได้ลำเอียงไปที่ใครแม้ลั่วเหยียนเจิ้งจะเป็นญาติฝ่าย เอิ่ม...สามี? แต่ก็ไม่ได้ลำเอียงยกความดีให้เสียทีเดียว ขณะเดียวกันกลับยอมเล่าเรื่องของครอบครัวให้คนนอกอย่างเขาฟัง หากมิใช่คนที่เคยมาจากโลกเดียวกันเชื่อว่าจิวชงหยวนคงไม่ยอมเปิดใจให้ถึงเพียงนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายจริงใจมาเขาย่อมเปิดเผยความจริงใจให้อีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
    
            แต่เรื่องลั่วเหยียนเจิ้งเขากลับไม่รู้เลยว่าตนคิดเช่นไรกันแน่ เขาไม่เคยมีความรักและยังปิดกลั้นความรู้สึกภายในใจมานานหลายปี จนคิดว่าชาตินี้คงไม่มีภรรยาทว่าช่วงหลังๆมานี้เขากลับรู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ให้นิ่งสงบได้ยากมากขึ้นเมื่อถูกอีกฝ่ายกระตุ้น หวังว่ากำแพงที่สร้างขึ้นภายในใจจะยังคงอยู่ไปอีกนาน เขาไม่อยากเป็นเหมือนจิวชงหยวนแม้อีกฝ่ายจะมีความสุข ทว่าหากเป็นผู้ถูกกระทำเขาขอแต่งกับสตรียังดีกว่าเจ็บตัวเสียเอง แต่หากงานนี้ผิดพลาดขึ้นมาเขาจะกดอีกฝ่ายลงไหมนะ...


ปล*เจิ้น ใช้สำหรับกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ชาย ที่ใช้แทนตัวเอง

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
มาให้กำลังใจคนเขียน
เรื่องก่อนอ่านแต่ไม่แสดงความเห็น
เวลาอ่านนิยายจีนโบราณชอบล้าเพราะตัวอักษรเย๊อะเยอะ
ถ้าใครดูหนังจีนแบบแย่งชิงบันลังก์บ่อยๆ จะเข้าใจพระเอกเลย
อำนาจราชศักดิ์ล้วนปูทางด้วยเลือดเนื้อแม้กระทั้งสายเลือดเดียวกัน

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
เฮ้อ เหนื่อยแทนนายเอกเลย
ต้องคิดหลายตลบหลายเรื่องเลย
สงสารนายเอกมากมาย

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่22เทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 5/6/59)

            ใบหน้างดงามซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทว่าเวลานี้นัยน์ตาสีดำสนิทกลับทอไว้ด้วยความหงุดหงิด แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาก็ทำให้นางกำนัลที่ทำหน้าที่แต่งกายให้ถึงกับสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่อง อาภรณ์สีม่วงถักทอด้วยเส้นไหมสีทองเป็นรูปหงส์สยายปีกงดงามจับตา เส้นผมสีดำเงางามม้วนขึ้นปักด้วยปิ่นทองลายเดียวกันกับชุด ความงดงามบนใบหน้าเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น อาภรณ์ที่สวมใสขับทอให้ผิวเขาเนียน ความสง่างามแลดูสูงส่งของหลิ่วเหวินอี้ยิ่งทำให้เหล่านางกำนัลนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม
    
           “พระสนมเรียบร้อยแล้วเพคะ” น้ำเสียงนอบน้อมจากเหล่านางกำนัลทำให้หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับพร้อมลอบหายใจอย่างโล่งอกเพราะตนโดนลากจากที่นอนมาแต่งตั้งแต่เข้ายามสี่ คำเรียกขานแม้ไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะนางกำนัลเหล่านี้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของลั่วเหยียนเจิ้งเท่านั้น
    
           “เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าที่ถูกส่งตัวมารับใช้พระสนมลั่วเหวินอี้แม้ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นทางการ ทว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนบอกว่าหากผู้ใดได้รับใช้ย่อมได้ดิบได้ดี ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินออกตำหนักด้วยกิริยาเป็นธรรมชาติแต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกลับรับรู้รัศมีเจิดจ้าของอีกฝ่าย
    
           “นายน้อยวันนี้จะมีการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” หลวนซานที่แต่งกายเป็นองครักษ์เดินติดตามมากระซิบข้างๆ แผ่วเบาที่ทำให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มบางอย่างไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ พลางคิดว่าผู้ใดช่างโง่เขลาสิ้นดีแม้เทศกาลหยวนเซียวในครั้ง ผู้คนมากมายภายในงานที่สำคัญยังมีจิวชงหยวนที่ขึ้นชื่อว่าหมอเทวดี่รักษาได้ทุกโรคจะมีใครมาตายต่อหน้าได้
    
          “คอยดูละครก็พอแล้ว” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกหลวนซานแผ่วเบาก่อนจะเดินไปยังห้องพักของลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเพราะเขาพักอยู่ตำหนักเดียวกับอีกฝ่ายเมื่อมองไปยังตำหนักดอกท้อที่กำลังอยู่ขั้นตอนการก่อสร้างซึ่งคืบหน้าไปมากกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้วคาดว่าไม่เกินสองเดือนคงเสร็จเรียบร้อย แต่เขาน่าจะทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเห็นทีตำหนักดอกท้อคงจะเป็นของผู้อื่นเสียแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หัวใจกลับรู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
    
           ขณะนั้นลั่วเหยียนเจิ้งเดินออกจากห้องมาจึงได้เห็นร่างโปร่งในอาภรณ์สีม่วงสด ความสง่างามของคนตรงหน้าช่างตราตรึงจนอยากเก็บไว้คนเดียว เมื่อไหร่กันที่ตนมีความคิดเช่นนี้ ดวงตาเรียวสวยหันมาสบตาเขาพลันนั้นหัวใจที่เงียบสงบกับเต้นระรัว ทุกครั้งที่เขาเห็นอีกฝ่ายเหตุใดหัวใจถึงได้เต้นแรงอย่างนี้
    
          หลิ่วเหวินอี้ที่ความรู้สึกไวหันไปมองสายตาที่ถูกจับจ้อง ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายถูกบดบังด้วยมาลาสีเดียวกันกับชุดซึ่งมีไข่มุขสีเงินเม็ดเล็กห้อยลงมาจนยากจะเห็นสายตาคู่นั้นว่าเป็นเช่นไร ความสง่างามของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงส่งจนมิกล้าจะอาจเอื้อม หากเขาหลงรักคนผู้นี้จริงคงได้ไปถูกคอตายกับต้นมะเขือเพราะความซ้ำใจแน่แท้
    
           “เจ้างดงามมากอี้เอ๋อร์” คำชมของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า คำชมนั้นมันสำหรับผู้หญิงไม่ใช่หรือ? แต่ว่าฮ่องเต้มากเล่ห์อย่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือเท็จเขาจะไม่ใส่ใจแล้วกัน
    
           “เจ้าไม่ชอบชุดที่ข้าเลือกให้หรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยถามอย่างฉงนเมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย แววตาคู่สวยเวลานี้มันนิ่งจนไม่อาจเดาอารมณ์ได้ หลิ่วเหวินอี้เป็นคนเดียวที่เขาไม่สามารถอ่านสายตาได้
    
            คำถามของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้ก้มมองชุดตัวเองอีกครั้ง ความเนียนนุ่มของเนื้อผ้าอีกทั้งลวดลายของชุดล้วนงดงาม จนอยากขอบคุณที่ไม่ตัดชุดอิสตรีให้เขาไม่เช่นนั้นคงได้ฆ่ากันก่อนจะได้เข้าร่วมงานแน่ๆ แต่ว่าลายหงส์ที่ตนสวมใส่เวลานี้มันทำให้รู้สึกขัดแย้งเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทว่าเวลานี้คร้านที่จะไถ่ถาม ทำแต่เพียงเป็นผู้เข้าร่วมงานและชมละครฉากใหญ่เท่านั้น
    
          “ป่านนี้ทุกคนรอท่านพี่อยู่ อย่าชักช้าเลยดีกว่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยตัดบท ก่อนจะหรี่ตามองมือของตัวเองที่เวลานี้ถูกมือหนาเกาะกุมไว้แน่น ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นปลาหมึกกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไรมือไม้ถึงได้เร็วอย่างนั้น แล้วข้อตกลงสามข้อที่ให้ไปนั้นไม่จดจำบ้างหรืออย่างไร
    
            “ท่านพี่เหยียนเจิ้งอย่าเนียน”
    
            “เจิ้นกลัวเจ้าหลงทาง จับไว้เช่นนั้นดีแล้วอีกอย่างในงานเจ้ายังไม่คุ้นเคยกับใครอยู่ข้างๆ เจิ้นจะได้ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าได้”
    
            คำกล่าวของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หากมีหางคงแกว่งไปมา หลิ่วเหวินอี้ได้กดคิ้วลึกลงยิ่งกว่าเดิมเพราะที่กล่าวมานั้นไม่มีสิ่งใดถูกต้อง ยิ่งเขาอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากเท่าไรเขาจะเป็นเป้าโจมตีทางสายตาจากบรรดาพระสนมของเจ้าตัวเป็นแน่ ที่สำคัญศัตรูจะหันมาเล่นงานเขาก่อนอย่างแน่นอน
    
            “ฝ่าบาทคงไม่เหมาะสมที่จะให้กระหม่อมเดินเคียงข้าง”
    
             หลิ่วเหวินอี้พูดสั้นๆ แต่แฝงไว้ด้วยจริงจัง เพราะไม่มีพระสนมที่ไหนเดินเคียงข้างฮ่องเต้มากสุดก็เดินตามหลังอย่างระวังเท่านั้นเพราะกฏระเบียบภายในวังหลวงมีมากมายหากไม่ระวังศีรษะอาจจะหลุดจากบ่าอย่างไม่รู้ตัว แม้ตนจะมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้อื่นแต่เขาไม่อยากโดนตำหนิหรือถูกดูถูกจากเหล่าขุนนางได้เช่นกัน
    
           “ผู้ใดมาตัดสินว่าเหมาะสมหรือไม่ แค่เจิ้นพอใจผู้ใดจะกล้าคัดค้าน” 
    
            รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างเบื่อหน่าย ยอมให้จับจูงไปตามเส้นทางอย่างว่าง่ายเพราะเถียงไปก็เประโยชน์อยู่ดี ได้แต่คอยรับมือกับสายตาเชือดเฉือนเหล่าพระสนมของลั่วเหยียนเจิ้งพร้อมด้วยศัตรูของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ว่าการรับมืออิสตรีเป็นงานที่ยากจริงๆ เห็นทีต้องคิดต้นทบดอกกับฟางเทียนฟงเสียแล้วที่ทำให้ตกตระกำลำบากเช่นนี้
    
           “ฝ่าบาทเสด็จ...”
    
           ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน เสียงขันทีเฝ้าหน้าประตูห้องโถงใหญ่ก็ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงแหบแห้งของตัวเองทว่าทุกคนกลับลุกขึ้นพร้อมคุกเข่ากันอย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างสูงสง่าก้าวเดินอย่างไม่ติดขัดผิดกับหลิ่วเหวินอี้ซึ่งรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เป็นผู้นำคนมาก็มากแต่ไม่เคยรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มาก่อน
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งจูงมือเขาตามเข้าไปด้วยท่าทีมั่นคงไม่ได้หวั่นต่อสายตาที่แอบมองทั้งหลายของเหล่าขุนนางและเหล่าพระสนมที่มีที่นั่งตำแหน่งของตนเอง ขณะเดียวกันหากเขาไม่โดนลากมาก็ไม่รู้จะไปนั่งที่ตรงไหนเช่นกัน บนบัลลังก์สีเหลืองทองนั้นดูสง่าน่าเกร็งขามซึ่งมีแต่ผู้คนอยากครอบครอง ดวงตาเย็นชากวาดมองรอบๆ ด้วยสีหน้าเฉยเมย แม้จะประหม่าไปบ้างทว่ากิริยาภายนอกกลับเย็นชาสูงส่ง
    
           หลิ่วเหวินอี้หยุดเดินเมื่ออีกฝ่ายใกล้จะถึงบัลลังก์จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่ไม่คิดว่าเขาจะลำบากใจบ้างหรือ ข้างกายมีแต่อิสตรีและไม่มีที่ว่างสำหรับเขา ลั่วเหยียนเจิ้งหันมามองเขาเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตามองที่นั่งข้างตน ดวงตาคมกริบหันไปมองผู้รับผิดชอบงานซึ่งตอนนี้ตัวสั่นระริกเหมือนรู้ความผิดพลาดของตนเอง
    
           “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์จะพาพระสนมองค์ใหม่มาจึงไม่ได้จัดที่นั่งให้ ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ชายร่างท้วมวัยกลางคนคุกเข่าลงอย่างร้อนรน ใบหน้ามีเหงื่อซึมอีกทั้งร่างกายสั่นระริกอย่างหวาดกลัว ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มละมุนทว่าคำกล่าวออกมาเชือดเชือนน่ากลัวจนทำให้คนฟังใจสั่นสะท้าน
    
            “เราเป็นคนเมตตาอ่อนโยนจะกล้าตำหนิขุนนางที่ตั้งใจทำงานได้อย่างไร เพียงแต่ความไม่รู้ของท่านทำให้พระสนมเราไม่มีที่นั่ง เราคงลำบากใจหากท่านไม่ไปสำนึกในคุกหลวงพร้อมรับไม้โบยหนึ่งร้อยไม้ พระสนมเราคงเสียใจ เช่นนี้แล้วทหารนำตัวไปสำนึกตามเจตนาพระสนมเราเถิด” ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวจบหลิ่วเหวินอี้จึงเงยหน้ามองสบคนเจ้าเล่ห์อย่างเย็นเยือก นี่มันใส่ร้ายเขาเห็นๆ ทำเป็นพูดดีกล่าวอ้างความต้องการของเขาอย่างหน้าด้านๆ มันน่าฆ่านัก
    
            “พระสนมโปรดละเว้นกระหม่อมด้วยครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางร่างท้วมที่ดูจากชุดคงเป็นแค่ขุนนางขั้นสอง เพียงการกล้าหักหน้าฮ่องเต้ได้คงมีพระสนมคนอื่นหนุนหลังอยู่ เขาปลายตาเย็นชามองอย่างเงียบงัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะนี่เป็นความต้องการของฮ่องเต้ผู้มากไปด้วยเล่ห์ หากได้เอ่ยปากไปแล้วจะคืนคำได้อย่างไร แล้วเรื่องอะไรเขาจะช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักด้วย
    
            “ข้าจะไปนั่งกับจิวชงหยวน” หลิ่วเหวินอี้บอกความตั้งใจของตนเองมองไปยังตำแหน่งว่างข้างๆ จิวชงหยวนซึ่งมองดูละครฉากนี้ด้วยตาประกายจนน่าหมั่นไส้
    
           “ที่ตรงนั้นไม่ว่างสำหรับอี้เอ๋อร์ มานั่งกับเจิ้นดีกว่า” กล่าวจบก็ลากอีกฝ่ายไปนั่งตรงข้างบัลลังก์ซึ่งใช้สายตาให้เหล่าสนมขยับที่นั่งให้ แม้พวกนางไม่กล้าปริปากได้แต่เพียงทำตามพร้อมสายตาเชือดเชือนเกลียดชังไปให้หลิ่วเหวินอี้เท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ยังอยู่ในสายตาของเหล่าขุนนางพร้อมเชื้อพระวงศ์โดยเพราะไทฮ่องไทเฮาพระมารดาของพระองค์เอง
    
            “ลุกขึ้น”
    
            ทันทีที่คำสั่งนี้ออกไปเหล่าขุนนางถึงกลับลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเหตุการณ์เมื่อครู่นี้พวกมันคิดว่าฝ่าบาทจะลืมเหล่าขุนนางคนอื่นไปเสียแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตการแสดงต่างๆ จึงเริ่มขึ้นพร้อมอาหารมากมาย วันนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์อยู่กันพร้อมหน้า ทุกสายตาล้วนจับจ้องหลิ่วเหวินอี้พระสนมคนใหม่ด้วยความสนใจ ความงดงามและสูงส่งอีกทั้งความเย็นชาที่แผ่ออกมาทำให้ทุกคนหันไปด้วยความสนใจทว่าแต่ละคนคามคิดล้วนหลากหลายต่างกันไป
    
             “เจ้าว่าพระสนมของฝ่าบาทกับพี่สะใภ้ห้าคิดว่าผู้ใดงดงามกว่ากัน” ลั่วหวังอู๋องค์ชายเจ็ดที่ไปอยู่ชายแดนมาหลายปีเอ่ยถามสวามีที่นั่งข้างกายด้วยรอยยิ้มมองดูความงดงามของเหล่าพี่สะใภ้อย่างสนใจ แม่ทัพห่านหลงเหลือบมองภรรยาตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉยก่อนจะตอบกลับเสียงหนักแน่น
    
          “เจ้างดงามที่สุด”
    
           แค่ก ๆ ๆ
    
           “.....”
    
           ลั่วหวังอู๋ที่กำลังดื่มสุราหยกน้ำค้างถึงกับสำลักจนหน้าดำหน้าแดง มองค้อนสามีอย่างขวยเขินทำให้มู่เหรินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พูดอะไรไม่ออก มองสามีภรรยาหยอกกันแล้วรู้สึกปวดใจ หลายปีมานี้ตนไม่เคยพบเจอคนที่ใช่เสียที
    
            “น้องมู่เหรินเจ้าว่าพี่สะใภ้คนใดงดงามที่สุด” แม้เสียงดนตรีจะไพเราะเพียงใดลั่วหวังอู๋ยังไม่ทิ้งความรื่นเริงของตนเอง มู่เหรินหันกลับไปมองจิวชงหยวนพระชายาของพี่ห้าก่อนจะเงยหน้าไปทางบนบัลลังก์ความงดงามเย็นชาที่แผ่ออกมาทำให้สะดุดใจ ความเย็นชาและความนิ่งสงบของอีกฝ่ายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอยากปราบความพยศไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้หลงใหลผู้นี้มากขนาดนี้ บรรยากาศรอบกายแตกต่างจากจิวชงหยวนโดยสิ้นเชิง
    
          “พี่สะใภ้จิวชงหยวนมีความงดงามดุจเทพเซียนมาเกิด ส่วนพระสนมหลิ่วเหวินอี้ความงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า” คำตอบของมู่เหรินทำให้ลั่วหวังอู๋มองตามอย่างมึนงง
    
           “อ๋องมู่เหรินจะบอกเจ้าว่าพระชายาจิวชงหยวนงดงามดุจไม่ใช่มนุษย์จึงไม่อาจเปรียบเทียบกับมนุษย์ธรรมดาได้ ส่วนพระสนมหลิ่วเหวินอี้นั้นแม้จะงดงามแต่ยังดูเหมือนมนุษย์เดินดินมากกว่าพระชายาอีกทั้งงดงามที่สุดในใต้หล้าทว่าสำหรับข้าแล้วเจ้างดงามที่สุด” แม่ทัพห่านหลงกล่าวอธิบายให้ภรรยาฟังเสียงเรียบใบหน้านิ่งเฉยทว่าคนฟังทั้งคู่กับทำหน้าปุเลี่ยน อาหารตรงหน้ารสชาติหวานบาดคอไปหมด!
    
            หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองมุมหนึ่งในงานเลี้ยงชั่วครู่ การที่มีวรยุทธสูงส่งทำให้ได้ยินการนินทาตนเองได้อย่างชัดเจน เขามองคนสปอยภรรยาตัวเองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลิกสนใจ เมื่อจับจิตสังหารเพียงชั่วครู่ของใครบางคน อาภรณ์สีเขียวอ่อนแม้ไม่สะดุดตาแต่จิตสังหารเพียงชั่วพริบตาทำให้เห็นร่างโปร่งบางที่อยู่เกือบท้ายแถวของราษวงศ์
    
            ใบหน้างดงามเหมือนอิสตรีแม้จะด้อยกว่าตนก็ตาม ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มน้อยๆ ขณะเหลือบมองมาที่เขา กิริยาภายนอกดูเหมือนเจียมเนื้อเจียมตัวเมื่อคุยกับขุนนางข้างกาย เขาจะไม่สนใจเลยหากคู่นี้มิใช่คนที่เขาแอบไปเจอคืนนั้น เมื่อย้อนกลับมาที่ตัวเองพลันรู้สึกตกใจเพราะเมื่อครั้งที่ตนเองโดนจู่โจมเหตุใดเขาไม่อาเจียน มีแต่ความขุ่นเคืองและโทสะต่ออีกฝ่ายเท่านั้น
    
             “เจ้าชอบหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้รั้งสายตากลับมามองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความเฉยเมย การเต้นระบำหน้าท้องเบื้องหน้านับว่างดงามและเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าสายตาของพวกนางล้วนชะม้ายชายตาให้ผู้เป็นฮ่องเต้อย่างเอียงอาย จึงเหลือบมองคนที่ยิ้มอ่อนโยนอย่างหมั่นไส้ มีสนมในตำหนักกว่าครึ่งร้อยและยังมีรอต่อคิวของวันนี้อีกมากมาย สักวันคงได้ตายด้วยน้ำมือสตรี จิตใจของสตรีนั้นล้ำลึกจนยากจะคาดเดาหวังว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะรู้เท่าทันจิตใจสตรีหรอกนะ
    
              “ก็ดี” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงเรียบ ทว่าทำให้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทางขวามือของลั่วเหยียนเจิ้งมองตามด้วยความสนพระทัย
    
             ตำแหน่งฮ่องเฮายังว่าง ไทฮ่องไทเฮาเองก็ไม่ชอบการบังคับบุตรชายได้แต่เพียงลอบสังเกตคนที่พระองค์โปรดปรานในเวลานี้เท่านั้น แม้จะเป็นบุรุษแต่นางเองก็ไม่ได้รู้สึกขัดแย้งเพราะองค์ชายห้าลู่เฟยก็ยังมีภรรยาเป็นบุรุษเช่นกันอีกทั้งความสามารถของจิวชงหยวนนั้นมากมายนัก แต่คนตรงข้ามพระนางเวลานี้จะช่วยสร้างผลประโยชน์แก่บุตรตนเองได้หรือไม่ยังมิอาจรู้ เพียงแต่รัศมีความงามและความเย็นชาของคนผู้นี้ช่างน่าสนพระทัยจริงๆ
    
             “เจ้าโปรดพวกนางหรือไม่” คำถามนี้ทำให้หลิ่วเหวินอี้จ้องมองเขม่ง ใบหน้าอ่อนโยนกับมุมปากที่แต่งแต้มรอยยิ้มจอมปลอมคงมีแผนชั่วภายในใจแน่ๆ
    
            “มีบุรุษไหนเลยจะไม่โปรดอิสตรี หรือพระองค์จะมอบพวกนางให้กระหม่อม” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากมองตอบอย่างท้าทาย เสียงเพลงไพเราะดังไปทั่งห้องโถงใหญ่ เสียงตอบโต้ของเขาจึงพอได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น ใบหน้าคมคายบูดบึ้งเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    
           “เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือไง” คำตอบที่ไม่เกินจากที่คาดเดาทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจ หันไปมองสายตาทิ่มแทงของเหล่าสนมที่มองตามอย่างอิจฉาด้วยความเฉยเมยพวกนางไม่มีค่าให้ใส่ใจ
    
            “คณะทูตแคว้นโจวเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่นั่งดื่มกินอย่างอารมณ์ดีก็มีขันทีหน้าประตูเข้ามารายงาน ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือไล่นางระบำออกไป เตรียมการเสด็จมาของแคว้นพันธมิตรที่จะมาผูกสัมพันธ์ไมตรี
    
             หลิ่วเหวินอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่ได้แตะอาหารตรงหน้าแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวสวยมองไปยังคณะทูตที่เดินเข้ามาเขาหรี่ตามองอย่างสนใจเพราะคนที่เดินเข้ามาเป็นคนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้เมื่อครั้นไปสืบข่าวที่นั่น ไป๋หู่องค์ชายแปดของแคว้นโจว ข้างหลังพระองค์หากคาดเดาไม่ผิดคงเป็นธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง แม้จะปกครองแว่นแคว้นของตนเองอย่างผาสุกแต่ก็ยังมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีเมืองใกล้เคียงไว้เผื่อเกิดสงครามขึ้น
    
           ครั้งนี้ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มบางก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งทางตำแหน่งราชทูตและคณะที่แวะมาเยี่ยมเยียน หลิ่วเหวินอี้มองดูเงียบๆ แคว้นลั่วหยางถือว่าเป็นแคว้นที่ใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นโจว หากสองแคว้นนี้ร่วมมือกันแคว้นอื่นคงไม่กล้าก่อสงคราม
    
            หลังจากที่องค์ชายแปดไป๋หูทักทายกับฮ่องเต้ของแคว้นลั่วหยางจบเจ้าก็เข้าไปทักทายจิวชงหยวนคล้ายกับรู้จักกันดี ก่อนที่จะเดินไปนั่งประจำตำแหน่งตนเองพร้อมสตรีที่ติดตามมาด้วย นางทอดสายตามองมายังลั่วเหยียนเจิ้งอย่างเหนียมอาย
    
            “องค์ชายแปดไป๋หู่เดินทางมาเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีพร้อมด้วยองค์หญิงสิบสองหมู่ตานหมายจะให้นางมาเป็นสนมของข้าเจ้ามีความเห็นเป็นเช่นไร” น้ำเสียงรื่นเริงที่เอ่ยถามทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมอง ก่อนจะเบือนหน้าไปมองที่ประทับขององค์หญิงหมู่ตานแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จะคิดเห็นเช่นไรแล้วอย่างไรไม่เห็นเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย เขาแค่รับหน้าที่จับกบฏช่วยเท่านั้น
    
          “ก็เหมาะดี”
    
           คำตอบเรียบง่ายโดยน้ำเสียงไม่มีอารมณ์อื่นแอบแฝงแม้แต่น้อยทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ สิ่งที่เขาลงทุนยอมตามใจทุกอย่างอีกทั้งพยายามชิดใกล้ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่มีอ่อนไหว ไม่หึงหวงเขาบ้างหรืออย่างไร
    
            “เรายินดีอย่างยิ่งที่จะรับไมตรีจากองค์ชายเก้า เราจะรับองค์หญิงสิบสองหมู่ตานมาเป็นพระสนมตำแหน่งกุ้ยเหริน มิทราบว่าองค์ชายแปดเห็นเช่นไร”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาเสียงนุ่มอ่อนโยน ทว่าตำแหน่งนี้แม้จะยังไม่สูงส่งแต่หากได้รับการโปรดปรานอาจจะได้เลื่อนขั้นดีไม่ดีในอนาคตข้างหน้าตำแหน่งฮ่องเฮาอาจเป็นของตนซึ่งทำให้เหล่านางสนมคนอื่นๆ มองตามด้วยความอิจฉาเพราะพวกนางล้วนอยู่ตำแหน่งพระสนมระดับล่างเท่านั้น ส่วนคนที่อยู่สูงกว่าพวกนางในเวลานี้ล้วนตายตกและอยู่ตำหนักเย็นหมดแล้ว
    
           “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
    
            หมู่ตานตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน องค์ชายแปดไป๋หู่ก็พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะมองบุรุษที่นั่งอยู่ข้างบัลลังก์ซึ่งสมควรเป็นตำแหน่งฮ่องเฮาอย่างประหลาดใจ ความงดงามเย็นชาของคนผู้นั้นยังจำได้ไม่ลืมเลือน หลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขยะตระกูล แต่กลับเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาเมื่อห้าปีก่อนจากการลอบสังหารของกบฎ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่
    
          “คนผู้นี้คือ...” ไป๋หู่เอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจว่าตนไม่ได้ดูผิดไป ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างไม่พอใจนักที่คนของตนเองถูกผู้อื่นจับจ้องมากขนาดนี้
    
           “หวงกุ้ยเฟยสนมรักของเรา” ตำแหน่งที่ถูกยัดเยียด ทำให้หลิ่วเหวินอี้ที่นั่งนิ่งเป็นหินสลักมานานนิ่วหน้ามองคนเอาเรื่องวุ่นวายมาให้อย่างเบื่อหน่าย และคำกล่าวนี้เรียกเสียงฮือฮาจากรอบข้างอย่างดีเพราะตำแหน่งนี้รองลงมาแค่ตำแหน่งฮ่องเฮาเท่านั้น เวลานี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาเหมือนเป็นตัวประหลาด ทว่าเขากลับเคยชินกับสายตาผู้คนจึงทำให้ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
    
           “ละครวันนี้ช่างน่าสนุกจริงๆ”
    
           จิวชงหยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบากับลูกศิษย์ตัวน้อย พลางผิวปากมองความวุ่นวายตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี เหลือบมองน้ำจัณฑ์ที่มีพิษไร้ลักษณ์ผสมมาด้วยขึ้นดื่มอย่างไม่สะทกสะท้าน ทว่าดวงตากลับมองหาตัวการอย่างรื่นเริง มีหมอเทวดาเช่นตนนั่งหัวโด่อยู่นี่ยังมีใครอาจหาญไม่กลัวตายอีก คิดไว้แล้วเชียวว่าลั่วเหยียนเจิ้งได้ขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้ได้ง่ายเกินไป เวลานี้งูพิษที่หลับใหลตัวนี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ อยากรู้นักจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะใช้แผนการใดรับมือกับงูพิษชนิดนี้...




ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่23ภรรยา? ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)


           หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นโดยการแต่งตั้งพระสนมตำแหน่งขั้นสูงอย่างไม่มีเหตุผลทำให้เหล่าขุนนางบางคนไม่พอใจ อีกทั้งพระสนมตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยนั้นยังเป็นบุรุษที่ไม่มีที่ไปที่มา และความเย็นชาสูงส่งที่เห็นทำให้คนที่คิดก่อกบฏเริ่มหวาดระแวงเพราะอาจเป็นเชื้อพระวงศ์จากแคว้นอื่นได้ แต่ได้ลงมือไปแล้วจึงไม่อาจถอนตัวได้ในขณะนี้ คนที่ดูเหมือนนั่งไม่ติดเวลานี้กลับเป็นองค์ชายลั่วหลิงเห้อองค์ชายเก้าซึ่งนั่งอยู่ข้างองค์ชายสิบหลิงเซียวซึ่งเหยียดยิ้มสังเวชคนข้างตัว ทว่ากลับแสร้งก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้คน แม้จะตอบโต้พูดคุยกับผู้อื่นบ้างแต่กิริยาที่มองอย่างไรก็ดูน่าสมเพช ความอ่อนแอขี้ขลาดขององค์ชายสิบทำให้ผู้อื่นไม่เห็นอยู่ในสายตา
    
         ขณะเดียวกันองค์ชายสิบห้าน้องเล็กสุดแม้อาภรณ์จะงดงามล้ำค่าแต่เรียบง่ายไม่สะดุดตามากนักอีกทั้งใบหน้าน่ารักนั้นดูไร้เดียงสาไม่มีพิษสงจึงทำให้ผู้คนไม่ได้หวาดระแวงซึ่งตอนนี้เจ้าตัวเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินผลไม้ที่คนใช้หน้าตาอัปลักษณ์ป้อนให้อย่างไม่สนใจผู้ใด พลันใดนั้นร่างสง่างามบนบัลลังก์ก็กระอีกโลหิตออกมาอย่างน่าตื่นตะลึง พร้อมหัวหน้าขันทีตะโกนก้องที่ทำให้คงฟังตื่นตระหนก
    
           “ฝ่าบาทโดนยาพิษ!”
    
            ทันทีที่เสียงประกาศก้องทำให้ผู้คนภายในงานดูวุ่นวายมากกว่าเดิม ประตูในห้องโถงถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ความโกลาหลตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนเพราะจากที่เคยตรวจร่างกายลั่วเหยียนเจิ้งนั้นเจ้าตัวสามารถต้านพิษได้หลากหลายชนิดจะมาโดนพิษแสนกระจอกเช่นนี้ได้อย่างไร
    
            หลิ่วเหวินอี้ประคองร่างสูงที่ทิ้งตัวมายังตนอย่างตื่นตระหนก อาหารวันนี้เขาไม่ได้แตะต้องจึงไม่ได้เป็นอะไรแม้จะไม่เชี่ยวชาญด้านยาพิษแต่หากไม่ไร้สีไร้กลิ่นก็พอดูออกบ้าง ใบหน้าคมคายซีดเผือดอีกทั้งกระอักโลหิตออกมาอย่างน่าหวาดกลัว เขามือสั่นเล็กน้อยขณะประคองร่างที่ซีดขาวเหมือนคนตาย
    
           “ท่านพี่” เอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจแม้จะรู้เรื่องนี้มาก่อนแต่ไม่คิดว่าจะบอกกล่าวจนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นอันตราย เรื่องนี้เป็นความผิดของเขาที่ไม่เอ่ยเตือน เขาคาดหวังความฉลาดล้ำของอีกฝ่ายมากเกินไปคิดว่าน่าจะรู้เท่าทันศัตรู หัวใจที่เคยเย็นชารู้สึกหนักอึ้งจนทำสิ่งใดไม่ถูก แม้ภายในใจจะหวาดหวั่นเพียงไรแต่กิริยาภายนอกในสายตาผู้อื่นนั้นมีแต่ความเย็นชาเฉยเมยต่อทุกสิ่ง พลันนั้นจิวชงหยวนพุ่งเข้ามาพร้อมจับชีพจรอีกฝ่ายอย่างเคร่งเครียดพร้อมสั่งเสียงเข้ม
    
          “พากลับไปห้องบรรทม”
    
           หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองจิวชงหยวนแล้วลอบหายใจอย่างโลกอก เพราะอย่างไรที่นี่ก็ยังมีหมอเทวดา เขาลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไรหรือว่าคนในอ้อมแขนเวลานี้มีอิทธิพลกับหัวใจตนมากจนเกินไป เสียงหวีดร้องของเหล่าสตรีไม่ได้เข้าหูแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นแบกร่างลั่วเหยียนเจิ้งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้ผู้คนตามหาคนร้ายกันเอง ความเร็วดุจสายลมที่พัดผ่านทำให้ผู้ลอบสังหารถึงกับตื่นตระหนก พระสนมผู้นี้มีวรยุทธสูงล้ำคงยากที่จะลงมือสังหารได้ง่ายๆ เหมือนรายอื่นๆ
    
          หลิ่วเหวินอี้วางร่างสูงที่หนักเอาเรื่องลงเตียงนอนอย่างเบามือ ทว่าขณะผละออกมือหนาจับมือเขาไว้แน่น ใบหน้างดงามนิ่วขึ้นน้อยๆ เมื่อครู่ยังไม่มีเรี่ยวแรงเหตุใดตอนนี้ถึงมีแรง?
    
         “ลุกขึ้นได้แล้วไม่ต้องมาเสแสร้ง” จิวชงหยวนที่พุ่งตามหลังมาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
    
           คำพูดของจิวชงหยวนทำให้หลิ่วเหวินอี้กดคิ้วลึกลงกว่าเดิม ดวงตาเรียวมองสบหมอเทวดาที่ทำหน้าเบื่อๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบที่ทำให้คนฟังลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
    
           “ท่านพี่หากยังไม่ลุกขึ้นมา ข้าจะเอายาพิษของจริงให้ดื่มเดี๋ยวนี้แหละ” ทันทีที่กล่าวจบร่างสูงลุกขึ้นพรวดขึ้นมาหลิ่วเหวินอี้ถึงกับตัวแข็งค้างอย่างตื่นตะลึง ความรู้สึกห่วงใยและเป็นกังวลเมื่อครู่... เขารู้สึกพูดอะไรไม่ออกมาชั่วขณะทว่าในใจตอนนี้มีแต่โทสะจนแทบอยากจะฆ่าคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้า
    
          “เอ่อ...ข้าออกไปก่อน เคลียร์กันเองนะ” จิวชงหยวนยิ้มแหยเมื่อเห็นความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากคนสวย มองฮ่องเต้ที่ตอนนี้หน้าซีดของจริงอย่างนึกขำได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายเอาตัวรอดได้แล้วกัน
    
          “อี้เอ๋อร์เจิ้นไม่ได้ตั้งใจหลอกเจ้า” หลิ่วเหวินอี้ยังยืนนิ่งไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมามีเพียงดวงตาเรียวที่มองมาว่างเปล่าจนน่าใจหาย ความเย็นชาห่างเหินที่เห็นในเวลานี้ทำให้ลั่วเหยียนรู้สึกร้อนรนเป็นครั้งแรกในชีวิต มือหนาเกาะกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่นกลัวว่าหากปล่อยไปจะไม่ได้พบกันอีกครั้ง
    
           “อี้เอ๋อร์ที่เจิ้นทำเช่นนี้เพื่อหลอกให้ผู้ลงมือตายใจเท่านั้นเอง หากบอกเจ้าก่อนกลัวว่าพวกมันจะรู้ตัวและหนีรอดไปได้” น้ำเสียงอ้อนวอนของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ ความโมโหเมื่อครู่ลดลงกว่าครึ่งมาเมื่อย้อนกลับไปคิดด้วยเหตุและผลก็เป็นจริงดังที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวมา คนที่ผิดคือเขาเองที่ร้อนรนและขาดความรอบครอบไป
    
           ร่างโปร่งถูกดึงไปกอดรัดเอาไว้แนบแน่นความนิ่งงันของเจ้าของร่างทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกไม่ดี แต่เมื่อสบดวงตาเรียวสวยที่มีความสับสนอยู่เล็กน้อยก็รู้สึกเบาใจไปกว่าครึ่งเพราะคนตรงหน้าไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผล เพียงแต่ผิดที่เขาเอาความเป็นห่วงของผู้อื่นมาล้อเล่น แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าคนงามตรงหน้าห่วงตนมากแค่ไหน
    
           “ปล่อย” เสียงเย็นนิ่งเอ่ยออกคำสั่งเมื่อร่างโปร่งของตนเองถูกอีกฝ่ายเอารัดเอาเปรียบอีกแล้ว หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายคนตรงหน้านี้ไม่เคยยอมฟังข้อตกลงของเขาบ้างเลย มือหนายอมปล่อยเหมือนจะไม่เต็มใจมากนัก เวลานี้ข้างนอกเหมือนจะวุ่นวายทว่าภายในห้องบรรทมกลับรู้สึกเหน็บหนาวทำให้เหล่าองครักษ์เงาที่ติดตามเงียบซ่อนเร้นตัวเองทำเหมือนไร้ตัวตนต่อไป
    
           “ข้าจะกลับห้องเรื่องนี้จะจัดการอย่างไรก็ทำเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกกล่าวเสียงเรียบ ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าริมฝีปากยังมีคราบโลหิตติดอยู่ ไม่สิ น่าจะเรียกว่าน้ำหวานสีแดง เหตุใดตอนนั้นถึงได้สะเพร่าจนไม่เห็นความจริงข้อนี้กัน ตอนนี้รู้สึกกลัวใจตนเองขึ้นมาจนไม่อยากคิดหาเหตุผลของมัน
    
           “เดี๋ยวก่อนวันนี้เทศกาลหยวนเซียวเจ้าจะอุดอู้อยู่เพียงในห้องได้อย่างไร เดี๋ยวเจิ้นพาเจ้าไปออกไปเดินเล่นนอกเมือง” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนหาเรื่องออกนอกวังหลวงอย่างไม่พอใจนัก เมื่อครู่ยังทำเหมือนคนใกล้ตายแล้วจะเที่ยวเล่นข้างนอกได้อย่างไร ความหงุดหงิดภายในใจยังหายไปไม่หมดยิ่งเวลานี้เขาอยากจะซัดฝามือลงกลางหลังสักที แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น
    
          “ท่านจะไปอย่างไร เวลานี้พวกขุนนางขั้นสูงและเหล่าพี่น้องคงมากองกันหน้าห้องแล้ว”เอ่ยถามเสียงเย็นนิ่ง ดวงตาเย็นชามองตามอย่างหงุดหงิดไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะคิดตื้นเขินนี้
    
           “เจ้าอย่าห่วงเลย เดี๋ยวทางนี้จิวชงหยวนจะจัดการเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมกริบทอประกายวาววับ หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างเบื่อหน่ายเขาเคยได้ยินมาบ้างว่าก่อนที่จะเป็นฮ่องเต้อีกฝ่ายก็เป็นเพียงรัชทายาทที่แสนอ่อนแอ ขี้โรคเก็บตัวอยู่เพียงแค่ตำหนักตัวเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าผู้อื่นหลงเชื่อคนเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร ก่อนจะตอบรับเสียงเรียบมุมปากยกยิ้มลึกลับที่ทำให้คนถูกมองหวาดระแวง
    
            “ก็ได้ แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ...”
    
    
            เทศกาลหยวนเซียวนอกเมืองหลวงครึกครื้นไปด้วยผู้คนและต่างก็พาคู่ครองตัวเองออกมาเที่ยวเล่นบ้างก็มาปล่อยโคมลอยเป็นคู่กัน ของหวานอย่างเช่นถังหูลู่ที่ปั้นเป็นรูปชายหญิงมีวางขายหลายร้านจนเลือกซื้อไม่ถูก ส่วนผู้ที่มีเงินทองต่างก็พากันนั่งเรือสำราญล่องตามแม่น้ำ อีกทั้งมีการแสดงความสามารถของเหล่าสตรีเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบุรุษ หลังจากงานเลี้ยงภายในวังหลวงปั่นป่วนเวลานี้ขุนนางขั้นสูงยังไม่ได้ปรากฏตัวที่นี่นับว่าโชคดีไม่น้อย
    
            หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายแล้วใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าคมคายถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางของอิสตรีทำให้ดูงดงาม กิริยาก้าวเดินยิ่งเหมือนสตรีสูงศักดิ์อาภรณ์สีชมพูหวานของผู้หญิงทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่เบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็น ไม่คิดว่าคนที่เป็นถึงฮ่องเต้จะยอมทำตามคำสั่งเขาขนาดนี้ เวลานี้รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไปเพราะเจ้าตัวเหมือนจะชื่นชอบด้วยซ้ำไป
   
            “เจิ้นไม่สวยหรือเหตุใดต้องเบือนหน้าหนีด้วย” ใบหน้าที่ตกแต่งเหมือนสตรีโดยที่ไม่มีใครรับรู้ว่าคนคนนี้เป็นบุรุษทั้งแท่งยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูหลิ่วเหวินอี้คล้ายหยอกล้อ ใบหน้างดงามที่ไม่ตกแต่งสิ่งใดเอนกายหลบเล็กน้อย
    
             “ท่านระวังหน่อยสิ ตอนนี้ท่านแต่งกายเป็นสตรีอยู่ ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้กัน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเตือนเสียงเบา ดวงตาเรียวพยายามไม่มองคนข้างกายที่เกาะแขนเขาไว้แน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก แม้จะพยายามแกะออกหลายครั้งแต่ก็ยังไร้ผล แม้อีกฝ่ายเวลานี้จะดูงดงามเหมือนสตรีทั่วไปทว่าในใจก็ยังรับรู้ว่าคนตรงหน้าคือลั่วเหยียนเจิ้งไม่เปลี่ยนแปลง
    
            “งั้นอี้เอ๋อร์มาแต่งกายสตรีเป็นเพื่อนเจิ้นดีหรือไม่” ดวงตาคมเวลานี้ดูสวยขึ้นวาววับมองหลิ่วเหวินอี้อย่างคาดหวัง
   
          “ฝันไปเถอะ” เสียงเย็นนิ่งที่ตอบกลับมาอย่างไม่เสียเวลาคิด ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ หากคนข้างกายเวลานี้แต่งสตรี ผู้หญิงทั่วหล้าคงดับแสงกันไปหมด
    
            หลิ่วเหวินอี้พยายามเลิกสนใจคนข้างกาย ลากร่างที่ตามติดตัวเองไปร้านขายถังหูลู่เมื่อจ่ายเงินจึงหันมามองคนข้างกายสลับกับถังหูลู่ในมือที่เป็นรูปชายหญิงก่อนจะยื่นรูปผู้หญิงให้อีกฝ่ายพร้อมมุมปากยกยิ้มเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    
          “เหตุใดเจิ้นต้องได้รูปของสตรีเล่า ควรเป็นอี้เอ๋อร์ต่างหาก” ลั่วเหยียนเจิ้งประท้วงเสียงแผ่วมองคนงามตาปริบๆ ทว่าคนเย็นชาตรงหน้ากลับเบือนหน้าพร้อมกัดถังหูลู่ผู้ชายเข้าปากคล้ายกลั้นแกล้งเขาเป็นเรื่องสนุก แต่มีหรือฮ่องเต้เช่นเขาจะยินยอมได้โดยง่าย ยื่นใบหน้าไปใกล้พร้อมคว้าคออีกฝ่ายหันมา ริมฝีปากร้อนผ่าวกดลึกเข้าริมฝีปากของหลิ่วเหวินอี้โดยไม่สนใจสิ่งรอบกายอีกต่อไป ร่างโปร่งยืนแข็งค้างดวงตาเบิกกว้างคล้ายตื่นตะลึงทำให้มีโอกาสดูดกลืนความถังหูลู่ในปากรสชาติหวานล้ำในโพรงปากของคนในอ้อมกอดเวลานี้มันอร่อยยิ่งกว่าถังหูลู่ไม้ไหนๆ ที่กินมา
    
            หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะกล้าปล้นจูบเขาอย่างอุกอาจเช่นนี้ ประสบการณ์ที่เหนือล้ำทำให้สมองขาวโพลนจนไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร รับรู้เพียงความวาบหวามก่อเกิดขึ้นภายในใจอีกทั้งรสจูบหอมหวานดูดดื่มที่ถูกชักชวนจนทำให้เกือบเผลอตัว หากไม่มีสายตารอบกายทิ่มแทงมามีทั้งความอิจฉาและหมิ่นแคลนเขาคงสติหลุดแน่ๆ
    
            “โอ้ยๆๆ ยอมแล้ว เจิ้นยอมแล้วอี้เอ๋อร์คนดีปล่อยเจิ้นก่อน” หลิ่วเหวินอี้แสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหด ความเย็นเยือกแผ่ออกมาอย่างไร้ความปราณี มือขวาบิดหูซ้ายลั่วเหยียนเจิ้งเต็มแรงด้วยความโมโห ข้อตกลงเมื่อสามวันก่อนมันไม่เข้าหูบ้างเลยหรืออย่างไร
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้ง กฎข้อที่หนึ่งข้ามีว่าอย่างไร” น้ำเสียงหวานอย่างผิดปกติ นัยน์ตาวาวโรจน์ริมฝีปากแสยะยิ้มดูอีกทั้งไอเย็นแผ่ออกมาอย่างไม่มีกักเก็บเอาคนที่ติดตามหลบกายถอยห่างออกมาอย่างหวาดระแวง ทว่าคนก่อเรื่องกลับยิ้มอ่อนโยนรับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น พลางคิดว่า...
    
            มือต้องไวใจต้องนิ่ง เมื่อนั้นชัยชนะจะเป็นของตน?
    
           ใบหน้าที่ตกแต่งเหมือนสตรีทำให้หัวใจหลิ่วเหวินอี้เต้นผิดปกติอีกครั้ง ไม่ว่าคนตรงหน้าจะแต่งหญิงหรือชายหัวใจดวงนี้ก็ยังเต้นแรงเหมือนเดิม
    
            “เจิ้นทำอะไรผิด เจิ้นแค่อยากกินถังหูลู่ตัวผู้ชายเฉยๆ” คำกล่าวอย่างไร้ยางอายของจิ้งจอกตรงหน้าทำเอาคนที่มีจิตวิญญาณเกือบห้าสิบปีพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มือที่บิดหูปล่อยออกตั้งแต่เจ้าตัวร้องโวยวายแล้ว หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนแก้ตัวก่อนจะแสยะยิ้มเย็นอีกครั้ง ร่างโปร่งผละออกไปซื้อถังหูลู่ทุกร้านที่ขายเป็นผู้ชายก่อนจะหอบมากองไว้ให้คนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าอย่างมีโทสะ
    
           “กินให้หมด หากยังไม่พอข้าจะเหมาทุกร้านให้ท่านพี่หมดเลย” คำสั่งเย็นเยือกที่ทำเอาคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หันหาองครักษ์คู่กายก็หายหัวไปกันหมดเหลือเพียงแต่คนตรงหน้าที่ส่งสายตาทิ่มแทงมาให้ หากเขากินไม่หมดจริงๆ จะโดนงอนอีกแล้วหรือ?
    
           “เจ้าเป็นบุรุษเหตุใดต้องกลั้นแกล้งสตรีเช่นนี้ ไม่น่าละอายบ้างหรืออย่างไร” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองบุรุษชุดขาว ใบหน้าคมคายหมดจด ในมือมีพัดจีบโบกไปมาคล้ายคุณชายเจ้าสำอาง ร่างนั้นชะงักไปชั่วครู่เมื่อเห็นโฉมหน้าผู้ที่รังแกสตรี? อย่างชัดเจน เขามองคนที่ทำตัวเป็นฮีโร่อย่างขำขันหากคนผู้นี้รู้ว่าคนที่ออกหน้าช่วยเหลือเป็นชายทั้งแท่งจะทำสีหน้าอย่างไร
    
           “ข้ารังแกเรื่องใดกัน คุณชายท่านนี้เข้าใจผิดแล้ว นางเพียงชื่นชอบของหวานข้าใจดีเหมาซื้อมาให้นางไม่ถูกไม่ควรอันใด” น้ำเสียงรื่นเริงที่เอ่ยถามทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเหงื่อตกเพราะไม่เคยได้ยินน้ำเสียงสนุกสุขใจเช่นนี้มาก่อน เขาเหลือบมองคนสอดเรื่องชาวบ้านอย่างขัดใจนิดหน่อย แม้จะรู้สึกขอบคุณที่มาช่วยเหลือแต่ตอนนี้เหมือนงานจะเข้ามากกว่า
    
            “แต่เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเจ้ารังแกนาง เหยียดหยามนางอย่างไม่อายผู้คน หากเรื่องนี้ไปถึงบิดานางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” คำกล่าวของคุณชายผู้หวังดีทำให้หลิ่วเหวินอี้หน้ามืดครึ้มลงยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเย็นเยือกจ้องมองดวงตามืดบอดของคุณชายที่ทำตัวมีคุณธรรมอย่างทิ่มแทง คนที่เสียหายควรจะเป็นเขามากกว่าเหตุใดตนถึงเป็นฝ่ายผิดด้วย
    
            “คุณชายเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างข้ากับคนรัก ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือเพียงแต่ข้ามิได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งดัดเสียงให้แหลมเล็กคล้ายสตรีกล่าวบอกคุณชายผู้ตาบอดอย่างด้วยกิริยางดงามที่ทำให้คนมองรู้สึกอิจฉาและเห็นใจที่มีคนรัก? นิสัยแย่เช่นนี้
    
             หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่น หากมีรางวัลออสก้าเขาจะมอบให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวด้วยตัวเองเลย แล้วนั่นอะไร เหตุใดทำตัวเป็นผู้หญิงจนน่าหงุดหงิดเช่นนี้
    
            “แม่นางอย่าได้เกรงใจ ข้าเยี่ยเฟิงผู้มีคุณธรรมเห็นผู้คนถูกรังแกจะปล่อยผ่านได้อย่างไร” หลิ่วเหวินอี้มองผู้ที่อ้างคุณธรรมแต่สำหรับเขาต้องเรียกว่าสอดยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียมากกว่า เขาไม่ใช่คนดีในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องตนจะปล่อยผ่านได้อย่างไร ในเมื่อคิดว่าเขารังแกลั่วเหยียนเจิ้งเขาก็จะทำเดี๋ยวนี้! มือคว้าร่างคนข้างกายมากอดแนบชิด ดวงตาเย็นเยือกมองเยี่ยเฟิงอย่างท้าทาย
    
            “ไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเย็นพร้อมกอดร่างลั่วเหยียนเจิ้งก้าวจากไป ทว่าพัดจีบกลับขวางหน้าเอาไว้ ดวงตาเล็กเรียวของอีกฝ่ายหรี่ตามองมาอย่างไม่พอใจ พลันนั้นหยางซือหมิงและหลวนซานเข้ามาขัดขวาง
    
           “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณชาย นายท่านและนายหญิงเป็นสามีภรรยากันเหตุใดคนนอกอย่างท่านถึงได้อยากก้าวก่าย หรือท่านคิดเป็นอื่นกับนายหญิงของเรา”
    
            แค่กๆๆ
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินคำกล่าวของหลวนซาน ดวงตาคมเหลือบมองคนงามที่ยกยิ้มที่มุมปากอย่างน่าหมั่นไส้ ตำแหน่งภรรยาเขาจะยอมเป็นวันนี้วันเดียวแล้วกัน อย่าให้ถึงเวลาเขานะจะเอาคืนทบต้นและดอกเลยเชียว




      ขอบคุณกำลังใจที่มอบให้ค่าาา เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลงอีก จุ๊บๆ :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สนุกกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
โอย สงสารพระสนมยิ่งนัก หวงช่าง น่าทุบวันละสามเวลา

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ pattapong200320

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ chouxcream59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หวายยยๆๆ ชักอยากเห็นเหวินอี้อี้เอ๋อร์คนงามแต่งหญิงซะแล้วสิ
จะมีซักตอนมั้ยนะ คริคริคริ  :impress2:

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
โอ๊ยยยย เจิ้งลงทุนไปไหมมมมมมม

ยอมแต่งหญิงเพื่ออี้เอ๋อ สุดยอดจริงๆ o13

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่24ลอยโคมไฟ(P.5วันที่ 6/6/59)

          “เสน่ห์แรงจริงๆ นะ” หลิ่วเหวินอี้ปล่อยมือออกจากเอวอีกฝ่ายแล้วแขวะคนข้างกายอย่างหมั่นไส้ คุณชายที่รักคุณธรรมผู้นั้นไม่ได้ติดตามมาด้วยแล้ว แต่หากยังดื้อด้านตามมาเขาคงได้สั่งสอนด้วยกระบี่ข้อหายุ่งไม่เข้าเรื่องแน่ๆ
    
          “อี้เอ๋อร์กินน้ำส้มสายชูหรอกหรือ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนยิ้มละไมแล้วนิ่วหน้า สายตาสำรวจร่างสูงแม้จะแต่งเป็นสตรีทว่าไม่ว่ามองอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นบุรุษทั้งแท่ง
    
          “ข้าไม่เคยมีความรักแล้วจะกินน้ำส้มสายชูได้อย่างไร”
    
           “แต่ตอนนี้เจิ้นเป็นภรรยาอี้เอ๋อร์อยู่ เจ้าจะไม่รักเจิ้นเชียวหรือ” คำกล่าวของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทำให้หลิ่วเหวินอี้หน้าเห่อร้อนขึ้นมา แม้ครั้งแรกที่ได้ยินจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยทว่ายามนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนเอาคืนอย่างไรอย่างนั้น
    
          “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว นี่ถังหูลู่ท่านกินให้หมดไม่เช่นนั้นข้อตกลงข้อที่สามท่านพี่เหยียนเจิ้งจะต้องรับผิดชอบ” หลิ่วเหวินอี้ยัดถังหูลู่ในมือตัวเองยี่สิบกว่าไม้ให้คนข้างกายจนหมด พร้อมคำกล่าวข่มขู่ที่คนตรงหน้าละเมิดข้อตกลงอย่างหาญกล้าหากเขาปล่อยไปครั้งหน้าอาจถูกกระทำอย่างอุกอาจอีก
    
          “เจิ้นต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของตนเองอยู่แล้ว ว่าแต่หากเจิ้นแต่งตั้งเจ้าเป็นฮ่องเฮาอี้เอ๋อร์จะมีลูกให้เจิ้นได้หรือไม่”
    
           “ไปตายซะ!”
    
           หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างเสียเวลาคิด เขาเป็นผู้ชายจะท้องได้อย่างไรหากอยากมีลูกก็ท้องเองสิ เดี๋ยวสิ สรุปพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน! เขารู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยหรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์ที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างหมั่นไส้
    
            ปุง!!
    
            เสียงพลุถูกจุดแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้าดูงดงาม พวกเขาซึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำที่ห่างไกลผู้คนหันไปมองด้วยรอยยิ้ม เทศกาลหยวนเซียวคล้ายกับวันปีใหม่ มีการลอยโคมไฟเพื่อเกิดสิริมงคลให้กับตัวเอง
    
           “อี้เอ๋อร์เจิ้นรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่ข้างเจ้า” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายที่เหม่อมองท้องฟ้าดวงตาคมมีประกายลึกล้ำ เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอาจเพราะเข้าใจความหมายของคนข้างกาย แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดูคลุมเครือทว่าสักวันหนึ่งคงได้รู้ผล เพียงแต่เวลานี้ยังไม่อาจยอมรับได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คืออะไร รู้เพียงแค่ว่ามันทำให้หัวใจที่เย็นเยือกอบอุ่นขึ้นมา
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้น โคมไฟสีแดงงดงามก็ถูกองครักษ์นำมายื่นให้ เขารับมาไว้อย่างระวังหันไปมองคนข้างกายที่เหลือบมองมาทางตนนิ่งๆ ความจริงใจที่ส่งมาทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง
    
           “ลอยโคมไฟด้วยกันเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยชักชวน แม้จะเข้าใจความหมายของการลอยคู่ดี ทว่าเขากลับรู้สึกอยากทำเช่นนี้ ใบหน้างดงามส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีทำให้อดที่ยิ้มออกมาไม่ได้ คนตรงหน้าเวลาดูเก้อเขินนั้นน่ามองนักและยิ่งมีโทสะทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้เลย
    
         “อยากลอยก็ลอยคนเดียวสิ”
    
           ร่างโปร่งผละออกห่างจึงคว้าข้อมือหลิ่วเหวินอี้เอาไว้ ก่อนจะเดินไปตำแหน่งที่โล่งๆ พร้อมโคมไฟในมือขวา ทว่าร่างที่แข็งขืนของคนงามทำให้หันไปมอง ดวงตาเย็นชามองมานิ่งๆ เหมือนจะมองให้ทะลุจิตใจของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่เจอคำตอบเพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าที่ทำเช่นนี้เพราะเหตุผลใด เพียงแค่รู้ว่าหัวใจต้องการมีหลิ่วเหวินอี้อยู่เคียงข้างเท่านั้น เขาอาจเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากค้นหาคำตอบ เขากลัว... กลัวว่าจะมีจุดอ่อนและปกป้องจุดอ่อนนั้นไม่ได้ ยิ่งเวลาเช่นนี้เขาไม่ควรหาจุดอ่อนให้ตัวเองเพราะคนที่เสียใจอาจเป็นตัวเขาเอง
    
           หลิ่วเหวินอี้มองนัยน์ตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ยอมจุดโคมลอยตามอีกฝ่ายโดยไม่ได้อธิษฐานสิ่งใด แววตาของลั่วเหยียนเจิ้งเขามองได้อย่างทะลุปุโป่งอาจเป็นเพราะมีจิตวิญญาณร่วมห้าสิบปี ที่มีประสบการณ์ผ่านพ้นความเป็นความตายมาหลายครั้ง อดีตเขาก็ไม่ได้คิดจะรักใครเพราะชีวิตตนแขวนอยู่เส้นด้ายอีกทั้งไม่อยากให้มีจุดอ่อนจนศัตรูเข้ามาทำร้าย วงการเช่นนั้นยากนักที่จะมีความสุขโดยไม่ได้หวาดระแวง
    
          หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจที่ซักถามความรู้สึกของลั่วเหยียนเจิ้ง ยังทำตัวเฉกเช่นเดิมไม่ได้ทวงความยุติธรรมที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามข้อตกลง ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นคิดเสียว่าหมา? เลียปากก็พอจะได้ไม่ต้องมาคิดอะไรให้ปวดหัว
    
         “เจ้าอธิษฐานสิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนถามเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบที่ทำให้คนฟังหันมาหรี่ตามองพร้อมแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
    
         “ข้าขอให้ท่านไร้ทายาท”
    
          “อี้เอ๋อร์หากเจิ้นไร้ทายาท เจิ้นจะไม่ให้เจ้าลุกจากเตียงจนกว่าจะมีบุตรให้เจิ้นสักคนสองคนดีหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบมองดวงตาวาววับและคิดไปไกลอย่างระอา ร่างโปร่งเดินหนีไปอย่างเบื่อหน่าย โดยมีร่างสูงในอาภรณ์ของสตรีสูงศักดิ์เดินตามอย่างอารมณ์ดี ภาพที่เห็นทำให้เหล่าองครักษ์พูดไม่ออก แค่ฮ่องเต้แต่งเป็นสตรีก็นับว่าแปลกประหลาดแล้วทว่าทั้งคู่กลับคุยในเรื่องที่พวกมันมิอาจเข้าใจ!
    
          ว่า... บุรุษจะมีลูกได้ด้วยหรือ?
   
    
           ขณะที่ฮ่องเต้ออกไปสำราญอยู่ข้างนอก จิวชงหยวนผู้รับหน้าที่ขัดขวางเหล่าขุนนางชั้นสูงและเหล่าองค์ชายมิให้เข้าไปในห้องบรรทมเพียงแค่เอ่ยปากว่าอาการของฮ่องเต้อยู่ในช่วงรักษามิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย ด้วยชื่อเสียงขจรทั่วหล้าทำให้ผู้ที่คอยเฝ้าดูอาการต่างถอยกลับไปก่อน
    
          หนึ่งในนั้นมองดูด้วยความขัดใจที่มิอาจเป็นไปตามแผนการ เขาวางหมากผิดพลาดไปเพราะจิวชงหยวนไม่ได้ปรากฏในวังหลวงมานานกว่าสามปี นี่ยังไม่เห็นพี่ห้าย่อมหมายความว่าอีกไม่นานเจ้าตัวคงมาปรากฏที่นี่
    
          จิวชงหยวนมองตามร่างเหล่าองค์ชายที่จากไปอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เหลือเพียงองค์ชายสิบห้าเพ่ยอวี้ที่ตนไม่คุ้นเคยนักยืนมองตามอย่างกังวล สีหน้าและห่วงใยที่แท้จริงทำให้เขาเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปทำการใดมาถึงทำให้น้องเล็กของตนเป็นห่วงมากขนาดนี้ หลายปีมานี้คงมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
     
           “เจ้าเพ่ยอวี้ใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจเพราะไม่เคยได้คุยด้วย เด็กน้อยตรงหน้าพยักหน้ารับ มองมาที่เขาอย่างคาดหวังทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้
    
          “องค์ชายกลับไปเถอะ ฮ่องเต้อยู่ในมือข้าแล้วหากข้าไม่อนุญาตให้ตาย ก็ตายไม่ได้หรอก” เพ่ยอวี้เงยหน้ามองจิวชงหยวนชั่วครู่ แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินจากไปพร้อมด้วยผู้ติดตามที่หน้าตาแสนธรรมดาทว่าในสายตาหมอเทวดายอมรับว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดยอดฝีมือถึงได้มาอยู่กับองค์ชายน้อยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์
    
          เมื่อทุกคนกลับไปแล้วจิวชงหยวนจึงหมุนกายกลับมาห้องบรรทมของฮ่องเต้ซึ่งว่างเปล่าอีกครั้ง แผนการในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดคิดลอบสังหารอย่างอาจหาญเช่นนี้ คลื่นใต้น้ำที่เงียบสงบมาหลายปีกำลังปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
    
          “อาจารย์เหตุใดต้องช่วยให้สองคนนั่นไปเที่ยวเล่นในเวลาเช่นนี้ด้วยขอรับ” เสียงเอ่ยถามจากร่างเล็กวัยสามขวบแต่ดวงตาล้ำลึกทำให้จิวชงหยวนหันไปมองแล้วยกยิ้มบาง
    
          “ข้าแค่อยากเห็นฮ่องเต้รู้จักความรักบ้าง”
    
           จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมเดินไปขยี้หัวเด็กน้อยที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างเอ็นดูซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอาจเพราะเริ่มชินชาไปแล้ว พรางคิดไปถึงคำถามของลูกศิษย์ โดยปกติเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นทว่าสำหรับลั่วเหยียนเจิ้งนั้นเขาถือว่าเป็นคนไข้จำเป็นต้องรักษา หากปล่อยไว้นานไปอาจทำให้จิตใจที่บิดเบี้ยวเข็นฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผลมากขึ้น หลังจากที่สังเกตมาหลิ่วเหวินอี้ผู้นั้นอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้หัวใจของฮ่องเต้สงบลงได้
    
          พลันใดนั้นมีเงาร่างสองเงาพุ่งเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าที่อาบเหงื่อเหมือนเร่งรีบกับการเดินทางทำให้สองศิษย์อาจารย์หันไปมองก่อนจะฉีกยิ้กยินดี ร่างที่เล็กกว่าหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ มองอาจารย์ตนเองอย่างตัดท้อ ทว่าทันทีที่เห็นร่างเล็กของเปาอี้ฟานก็พุ่งเข้ากอดพร้อมเอ่ยถามอย่างกังวล
    
          “อี้ฟานเจ้าไม่เป็นไรนะ อาจารย์กลั่นแกล้งเจ้าหรือไม่” จิวชงหยวนมองลูกศิษย์สองคนสำรวจร่างกายกันไปมาด้วยสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบกลั้นแกล้งลูกศิษย์ขนาดนั้นเสียหน่อย เมื่อเหลือบมองสายตาคมกริบที่จับจ้องมาอย่างคาดโทษได้แต่ยิ้มแหย เขาหนีมาก่อนแค่สามวันเองเหตุใดต้องทำหน้าบูดบึ้งเช่นนั้นด้วย    
    
          “หยวนน้อยข้าคิดว่าเจ้าคงมีแรงมากไปจนหนีมาก่อนเช่นนี้ เห็นทีข้าต้องลงโทษเจ้าเสียแล้ว” คำกล่าวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนตาเหลือก ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อร่างตนเองถูกรวบยกขึ้นพาดบ่ากว้างพุ่งทะยานออกจากห้องบรรทมลั่วเหยียนเจิ้ง
   
           ม่ายยย ปล่อยข้าก่อน...
    
           แม้จะร้องขอปานใดกลับไร้แววว่าลู่เฟยจะปล่อยตน มีเพียงเสียงแว่วของลูกศิษย์ตามหลังมาแล้วรู้สึกปลงๆ ได้แต่รอรับการลงโทษอย่างจนใจ หวังแต่ว่าพรุ่งนี้จะสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้หรอกนะ
    
          “โชคดีขอรับท่านอาจารย์”

   
           หลิ่วเหวินอี้เดินลงเรือสำราญที่จอดเทียบท่าซึ่งกำลังเตรียมจะไปล่องแม่น้ำเมื่อใกล้ถึงเวลาซึ่งมีเรือหลายลำจอดอยู่ล้อมรอบเรือสำราญขนาดกลาง ที่นั่นมีสตรีมากมายต่างแสดงการความสามารถของตนเองอย่างสุดความสามารถ เพราะเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองพบเจอเนื้อคู่ แม้บางคนจะถูกตกแต่งเป็นภรรยารองแต่นับว่ามีวาสนาสำหรับบางคนที่เป็นเพียงบุตรีของภรรยาลำดับต่ำต้อย
    
           การที่ได้มาเยือนเมืองหลวงแต่ไม่ได้ดูสาวงามนับว่ามาไม่ถึงแคว้นลั่วหยางที่มีชื่อเสียงเรื่องของหญิงงาม หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย ความสง่างามเหมือนสตรีสูงส่งทำให้ผู้คนหันมาสนใจเป็นระยะ บ้างอยากทักทายแต่ตอนนี้มีองครักษ์ติดตามไม่ห่างทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้
    
           “เหตุใดเจ้าต้องมาดูพวกนางแสดง เจิ้นดีดพิณให้เจ้าฟังที่ตำหนักก็ได้” หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ใส่ใจคนบ่นขณะที่เดินติดไม่ห่าง หากใครตาไม่บอดคงรู้ว่าสตรีข้างกายกำลังตามตื้อเขาอยู่หาได้เป็นฝ่ายรังแกนาง?ไม่ แม้จะแต่งกายเป็นสตรีแต่กิริยาไม่ได้อ่อนนุ่มนิ่มเหมือนสตรีทั่วไป ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจลั่วเหยียนเจิ้งมากขึ้นสายตาเหล่าบุรุษที่มองมามีทั้งความชื่นชมและปรารถนา ทว่าคนถูกมองคล้ายกับชินชาไม่ได้ใส่ใจสิ่งไร้ค่านอกสายตาตนเลยแม้แต่น้อย
    
            “ตอนนี้ท่านพี่โดนพิษเป็นตายเท่ากันจะมาเล่นพิณร้องรำให้ข้าดูได้อย่างไร” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
    
            “งั้นเจิ้นเล่นให้เจ้าฟังที่นี่ก็ได้” กล่าวจบร่างสูงในอาภรณ์ของสตรีก็ดีดตัวพุ่งลงไปยังเรือของหญิงงามอย่างไม่ฟังคำคัดค้านผู้ใด หลิ่วเหวินอี้ยกมือกุมหน้าผากอย่างปลงตก ตอนนี้เขายืนอยู่กาบเรือสำราญสำหรับบุคคลทั่วไป ที่นี่จึงไม่ค่อยมีตระกูลสูงมากนักและเวลานี้เหล่าบุตรธิดาของเหล่าขุนนางชั้นสูงก็เริ่มทยอยกันมาบ้างแล้ว หากมีคนจำเขาได้ความลับที่ลั่วเหยียนเจิ้งปกปิดไว้คงเปิดเผยแน่ๆ
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งหยิบหน้ากากสีเงินครึ่งหน้ามาปกปิดใบหน้าตนเองเอาไว้ เหล่าองครักษ์ที่ติดตามก็ทำเฉกเช่นเดียวกันคล้ายกับรู้ว่าต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้
    
            “ซือหมิงปกตินายเจ้าวู่วามเช่นนี้หรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามองครักษ์ของฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์ที่เริ่มกลายร่างเป็นเด็กที่เอาแต่ใจอย่างมึนงง เขารู้สึกจะเริ่มตามพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของลั่วเหยียนเจิ้งไม่ทันเสียแล้ว เจ้าเล่ห์และยังเอาแต่ใจจนเขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
    
            “เอ่อ...กระหม่อมก็เพิ่งจะเคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงตอบกลับเสียงอ่อย เหงื่อเต็มหน้าผากอย่างหวาดหวั่น ปกติฮ่องเต้จะเจ้าเล่ห์เพอุบายวางหมากกลอย่างระมัดระวังเสมอ แม้จะมีหุนหันบางครั้งแต่ไม่มีพฤติกรรมเหมือนกินน้ำส้มสายชูเช่นนี้มาก่อน แค่พระองค์แต่งกายเป็นสตรีเขาก็ตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว
    
            หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองตามร่างลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งเดินไปพูดคุยกับสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก่อนจะรับพิณมานั่งแสดงร่วมกับเหล่าสตรีวัยกำดัดซึ่งบางคนมีการร้องเพลงบ้างก็ร่ายรำ ทันทีที่ถึงคิวของลั่วเหยียนเจิ้งผู้คนมากมายต่างจับจ้องไปที่สตรีผู้งดงามและดูสูงศักดิ์ เสียงพิณหวานละมุนดังไปทั่วเรือสำราญน้อยใหญ่ บทเพลงไพเราะจนยากจะละสายตาออกไป บุรุษมากมายต่างมายืนมองที่กาบเรือจนแทบไม่มีที่เว้นว่าง ร่างงดงามพร้อมเพลงพิณที่เหนือชั้นกว่าสตรีคนไหนๆ ทว่าสายตาคมคู่นั้นหันมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่กลับสร้างเสียงฮือฮาให้คนที่ไม่รู้ความจริงว่าผู้ที่นั่งอยู่ที่ตรงนั้นเป็นชาย!
    
           “ท่านกล้าให้ภรรยาตัวเองไปแสดงความสามารถให้บุรุษเชยชมได้อย่างไร” น้ำเสียงจริงจังที่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ ทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองเล็กน้อย ทว่าคนข้างกายเขาเวลานี้กลับเป็นคนเดียวที่เคยกล่าวหาเขาเมื่อครั้งก่อน
    
          “นี่ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ” เมื่อไม่ได้รับความสนใจ เยี่ยเฟิงจึงกระชากแขนบุรุษรูปงามให้หันมาทางตน ทว่าหลิ่วเหวินอี้ไม่ทันได้ตั้งตัวร่างโปร่งจึงปลิวไปตามแรงชากปะทะกับอกแกร่งของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุครั้งนี้คนภายนอกกลับมองเห็นว่าทั้งคู่กำลังโอบกอดกันอย่างไม่อายฟ้าดิน ดวงตาคมกริบของผู้ที่ดีดพิณวาวโรจน์ จิตสังหารพุ่งเข้าหาบุรุษชุดที่บังอาจแตะต้องคนของตน
    
           “ขอโทษข้ามิได้ตั้งใจ”
    
            หลิ่วเหวินอี้ผละออกจากคนตรงหน้าที่สูงไล่เลี่ยกับตนอย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวสวยภายใต้หน้ากากจ้องมองคนตรงหน้าอย่างล้ำลึก เขาไม่ได้โวยวายการที่คนผู้นี้จดจำเขาได้ทั้งๆ ที่สวมหน้ากากย่อมหมายความว่าเยี่ยเฟิงผู้นี้ติดตามพวกเขาตลอดเวลาเพราะเขาไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ
    
           “เจ้าติดตามพวกข้ามาทำไม” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบ ยกมือขึ้นไม่ให้เหล่าองครักษ์และผู้ติดตามเข้ามาสอดแทรก คนตรงหน้าเกาศีรษะตัวเองเล็กน้อยคล้ายขวยเขินทำให้เขานิ่วหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ
    
            “ข้าเปล่าตามพวกเจ้าเพียงแค่บังเอิญเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้ไม่เชื่อกับคำแก้ตัวนั้นเหลือบมองด้านหลังเยี่ยเฟิงที่มีคนติดตามไม่ห่างเช่นกัน หากคนตรงหน้าไม่ใช่ชาวยุทธก็น่าจะเป็นบุตรขุนนางคนใดคนหนึ่งเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้แสร้งทำตัวมีคุณธรรมมารบกวนพวกเขา หรือว่า?
    
            “มิใช่ว่าเจ้าสนใจข้าหรอกหรือ”
    
            แค่กๆ ๆ
    
             เยี่ยเฟิงสำลักน้ำลายตัวเองพร้อมรีบโบกพัดไปมาคล้ายกับว่าอากาศบนเรือลำนี้มันร้อนจนใบหน้าเห่อร้อนไปหมด กิริยาของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ ก่อนจะหันไปทางจิตสังหารของหลิ่วเหวินอี้ที่ทิ่มแทงมาอีกทั้งดนตรีที่บรรเลงร้อนแรงจนเหมือนจะฆ่าคนได้
    
             “เดี๋ยวสิ ไยเจ้ากล่าวหาข้าเช่นนั้น เจ้าเป็นบุรุษเหตุใดข้าต้องสนใจเจ้า ข้าสนใจภรรยาเจ้าต่างหาก” เยี่ยเฟิงรีบกล่าวแก้ตัวโดยลืมเรื่องผิดศิลธรรมซึ่งผิดกับการแสดงตัวมีคุณธรรมตั้งแต่แรก
    
             หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับคำแก้ตัวไม่ขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบจนกระทั่งตอนนี้สายตาเจ้าตัวไม่ได้หันไปมองลั่วเหยียนเจิ้งในร่างสตรีแม้แต่น้อย เขาไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าผู้ใดสนใจตัวเอง เพียงแต่บางครั้งแกล้งปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปบ้างเท่านั้นเอง
    
            “เอ่อ...เจ้าไม่หึงหวงภรรยาเจ้าบ้างหรือ” คำถามที่เหมือนหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกใส่ใจ หันไปทางลั่วเหยียนเจิ้งที่ยังคงไว้ด้วยกิริยาของสตรีสูงศักดิ์กำลังเล่นเพลงที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยจิตสังหารที่ทำให้เยี่ยเฟิงหันไปมองด้วยความสนใจก่อนจะนิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาไม่ได้แปลกใจจิตสังหารระดับนี้หากยังเฉยชาอยู่ได้แสดงว่าวรยุทธสูงส่งกว่าลั่วเหยียนเจิ้ง
    
            หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้สนใจจิตสังหารและสายตาคาดโทษของลั่วเหยียนเจิ้งที่ส่งมา แต่กวาดสายตามองรอบเรือสำราญซึ่งมีบุรุษมากหน้าหลายตาโยนผ้าเช็ดหน้าให้หมายจะได้นางมาเป็นภรรยา เพียงแต่พวกเขาคงต้องผิดหวัง
    
           “ดูเหมือนภรรยาเจ้าจะหึงหวงข้ากับเจ้า หรือว่าคิดไปเอง?” หลิ่วเหวินอี้หันมามองเยี่ยเฟิงที่จ้องมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสีหน้าจริงจัง พัดจีบในมือหุบเข้าหากันพร้อมเคาะลงที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆ เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจะมาหึงหวงทำไม
    
           “ท่านคงคิดมากไป”
    
            “หากเช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่หึงหวงนาง หรือว่าพวกเจ้ามิได้แต่งงานกันจริงๆ” เยี่ยเฟิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง หลิ่วเหวินอี้มองคนเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาล้ำลึกยากจะคาดเดา มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยซึ่งทำให้คนมองใจสั่นระรัว
    
            “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่าน” ทันทีที่เพลงจบลงลั่วเหยียนเจิ้งก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างเยี่ยเฟิงด้วยสีหน้าหงุดหงิด คิดไว้ไม่มีผิดจอมยุทธผู้คุณธรรมคิดจะช่วยเหลือสตรีแต่กลับไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย
    
            “เอ่อ...แม่นางข้าขออภัยที่ทำให้โกรธเคือง ข้าขอตัวก่อน” เยี่ยเฟิงบอกกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโอบอ้อมอารี ก่อนจะรีบผละออกไปเมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู
    
            “ท่านไม่น่ารีบมาเลย” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเสียดายเมื่อครู่นี้แทบจะรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยเฟิงเป็นใครกันแน่ หากได้สนทนาเพิ่มอีกสักนิดน่าจะรู้ ทว่าสายตาเย็นเยือกที่ส่งมาทำให้หันไปมองอีกครั้ง
    
            “ข้าพูดอะไรผิดหรือ?” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ดวงตาเรียวสวยจับจ้องอย่างไม่เข้าใจทำให้คนโมโหหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุอยากโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายซะเดี๋ยวนั้นเลย
    
             “ไม่ เจ้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้น เจิ้นผิดเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างปลงตก จ้องมองคนเย็นชาไร้หัวใจแล้วรู้สึกเศร้า ที่ผ่านมาตนไม่มีความสำคัญกับคนตรงหน้าบ้างเลยหรืออย่างไร
    
               หลิ่วเหวินอี้มองคนหางลู่หูลู่อย่างไม่ใส่ใจ ความจริงเขารู้ดีว่าลั่วเหยียนเจิ้งต้องการอะไร เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกหึงหวงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ การที่จะชอบใครสักคนใช่ว่าจูบเดียวจะรักได้เลย อีกอย่างคนตรงหน้าเขาเวลานี้เพียงแค่หึงหวงสิ่งที่คิดว่าเป็นของตัวเองเท่านั้น หาใช่เพราะความรักไม่
    
               สิ่งสำคัญที่สุดเขายังอยากรักษาเอกราชตัวเองเอาไว้!


                 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:


ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 5/6/59)

           เพล้ง!
    
           ณ ตำหนักหลิ่งเห้อทางฝั่งตะวันตก เวลานี้องค์ชายเก้าผู้ที่ทำตัวปลีกวิเวกไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดเพียงแค่ร่วมงานเป็นบางครั้ง เวลานี้ปาจอกสุราในมือด้วยโทสะ ริมฝีปากเม้มแน่นเหตุการณ์ในครั้งผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย ไม่คิดว่าจิวชงหยวนจะเข้าร่วมงานนี้ด้วย คนผู้นี้ร้อยพิษไม่กล้ำกลายซ้ำร้ายยังรักษาได้ทุกสารพัดพิษอย่างน่ากลัว วรยุทธสูงล้ำจนไม่มีผู้ใดกล้าต่อกร เขาจึงทำเป็นเสือหลับใหลไม่เคลื่อนไหว ปล่อยให้มังกรวางใจและไม่ระหวาดระแวง ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ แต่ตอนนี้จบสิ้นไปแล้ว
   
          “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งวู่วาม พระวรกายของฮ่องเต้นั้นไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก พิษไร้ลักษณ์อาจซึมเข้ากระแสโลหิตได้ แม้จะมีหมอเทวดาอยู่เคียงข้างแต่พิษชนิดนี้ก็นับว่าร้ายกาจอีกทั้งยังมีพิษหนอนแดงที่หลับใหลอยู่ในพิษไร้ลักษณ์พวกมันอาจจะยังไม่เจอ แต่ถึงจะเจอพิษหนอนแดงคงได้วิ่งเข้าสู่หัวใจไปแล้ว” เงาร่างบอบบางอยู่ด้านหลังผ้าม่านเอ่ยเตือนเสียงเรียบ ทำให้เจ้าของห้องหันไปมองอย่างขัดใจได้แต่เม้มปากแน่นมากขึ้นเมื่อไม่อาจโต้เถียงคนที่อยู่เบื้องหน้าตนได้
    
          “เอายาแก้พิษของเดือนนี้มา” แม้จะโดนข่มเหงทว่าสายเลือดของราชวงค์ชั้นสูงก็ยังมีความเย่อหยิ่งชวนให้คนมองตามด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แม้จะสูงศักดิ์กว่าตนทว่ากลับมีความขี้ขลาดกลัวตายเหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไปจนอดที่จะผิดหวังไม่ได้
    
          “นายท่านให้มาแค่ครึ่งเดียวเพราะฉะนั้นยานี่อยู่ได้แค่ครึ่งเดือน นายท่านคาดเดาได้ถูกต้องว่าฝ่าบาทมิอาจทำงานนี้สำเร็จ หลังจากนี้อีกครึ่งเดือนหากฝ่าบาทยังไม่สามารถกำจัดพระสนมหลิ่วเหวินอี้ได้ ชีวิตท่านก็คงไร้ความหมายอีกต่อไป”
    
           ทันทีกล่าวจบร่างบอบบางในอาภรณ์สีดำก็เลือนหายไป มีเพียงขวดยาเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ ปล่อยให้เจ้าของห้องได้แต่กำหมัดแน่นกระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บแค้น ความผิดพลาดเดียวทำให้ก้าวถอยหลังก็ไม่ได้ จะก้าวไปข้างหน้าก็มีแต่หุบเหวแค่มองไปเบื้องหน้าก็เห็นจุดจบของตัวเองได้เลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจให้คนที่รักตายได้!
    
           ลั่วหลิ่งเห้อเช็ดโลหิตที่มุมปากก่อนจะเดินไปคว้าขวดยาที่ถูกทิ้งไว้ต่างหน้าลงไปยังชั้นใต้ดินอย่างเงียบเชียบที่แห่งนี้แม้จะอยู่ชั้นใต้ดินแต่ไม่ได้อับชื้น ข้าวของเครื่องใช้ล้วนมีค่า ทว่าบนเตียงนอนกลับมีร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งนอนอยู่ มือเท้าของคนผู้นี้ถูกพันธนาการเอาไว้จนดิ้นไม่ได้ ใบหน้าแสนธรรมดาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทำให้คนที่มาเยือนปวดร้าวในอก แม้แต่คนที่รักก็ไม่อาจปกป้องได้ มีกองกำลังเป็นของตัวเองแต่กลับพ่ายแพ้ให้งูพิษที่พร้อมจะทำลายราชวงค์ลั่วหยาง
    
          “ฉางเอ๋อร์อดทนอีกนิด เปิ่นหวางจะหาทางรักษาเจ้าให้ได้” มือหนาลูบไล้ใบหน้าที่แสนธรรมดาทว่าหัวใจของคนตรงหน้านี้ทำให้องค์ชายเช่นตนไม่อาจทอดทิ้งได้
    
           “ฝ่าบาทฆ่ากระหม่อมอย่าทำเช่นนี้ อย่าทรมานตนเองพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของร่างที่นอนอย่างทรมานคืนสติกลับมาเมื่อสัมผัสถึงการคงอยู่ของใครบางคน ลั่วหลิ่งเห้อส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับข้อเสนอ
    
           “ฉางเอ๋อร์เปิ่นหวางไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าจะตายไม่ได้”
    
            “ฝ่าบาทชีวิตกระหม่อมมีหน้าที่ปกป้องพระองค์แต่เวลานี้กระหม่อมกลับเป็นภาระให้ฝ่าบาท ได้โปรดสังหารกระหม่อม เพียงแค่นี้ฝ่าบาทมิต้องทำตามคนชั่วพวกนั้น อย่าได้กระหม่อมรู้สึกรังเกียจตัวเองไปมากกว่านี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาอ้อนวอนและจริงจังของคนในอ้อมกอดทำให้ลั่วหลิ่งเห้อส่ายหน้าอย่างจริงจังเช่นกัน
    
           “ฉางเอ๋อร์คนดี หากไม่มีเจ้าแล้วเปิ่นหวางจะมีชีวิตเพื่ออะไร หากครั้งนี้เรามีชีวิตรอดไปได้เปิ่นหวางจะพาเจ้าไปอยู่ในที่สงบ เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ต้องกลัวใครมาฆ่า ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจผู้ใด”
    
            คำกล่าวขององค์ชายเก้าทำให้องครักษ์เจี่ยงฉางน้ำตาไหลริน  ชั่วชีวิตนี้มันไม่รู้จะตอบแทนองค์ชายเก้าผู้นี้อย่างไรต่อให้มอบร่างกายและหัวใจให้ก็มิอาจทดแทนสิ่งที่พระองค์มอบให้แก่มันมา ดวงตาอ่อนล้าหลับตาลงไม่อยากมองดวงตาเศร้าหมองของคนที่รักอีกทั้งเป็นเจ้าชีวิตของมัน เพียงแต่การที่พระองค์ได้ส่งคนของตนไปลอบสังหารฮ่องเต้ต่อให้มีอีกร้อยชีวิตก็คงไม่เพียงพอ หากตนไม่ใช่จุดอ่อนของลั่วหลิ่งเห้อทางเดินของคนรักคงไม่มาจบเช่นนี้
    
           “กินยาก่อนนะฉางเอ๋อร์คนดี”
    
            ลั่วหลิ่งเห้อบอกเสียงอ่อนโยน กอดประคองร่างนั้นอย่างถนอมพร้อมยกขวดยาเข้าปากตนเองจากนั้นจึงก้มจูบลงที่ปากซีดเซียวของคนในอ้อมกอด การป้อนยาที่หัวใจสองดวงหล่อหลวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หนึ่งองครักษ์ผู้ทักษ์ดีอีกหนึ่งองค์ชายสูงศักดิ์ที่ไม่หวังสิ่งใดนอกจากอยู่เคียงข้างคนในอ้อมกอด
    
            เหตุการณ์ตรงหน้าองครักษ์เงาของฮ่องเต้ซึ่งขึ้นตรงต่อพระองค์เพียงผู้เดียว ปกติฝ่าบาทอยู่ที่ใดผู้เป็นเงาย่อมไม่ควรห่างกาย ทว่าด้วยครั้งนี้เป็นคำสั่งของลั่วเหยียนเจิ้งโดยตรงจึงมิอาจปฏิเสธได้ อีกทั้งปกติพระองค์ไม่ออกคำสั่งกับตนมากนักหากมิใช่เรื่องสำคัญจริงๆ เมื่อรับรู้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงเร้นกายจากไปอย่างเงียบงันเหมือนกับตอนเข้ามา คำสั่งคือติดตามและรายงานผลมิได้ให้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้!

    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาห้องบรรทมอีกครั้งหลังจากพาหลิ่วเหวินอี้ไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวง เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้หัวใจที่ด้านชารู้สึกแปลกใหม่มากขึ้น เขารู้สึกน้อยใจกับคนเย็นชาเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน ในห้องเวลานี้เหลือเพียงกวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายที่ให้รอรับหน้าที่อยู่ที่นี่ เขาโบกมือไล่ทีหนึ่งก่อนจะหันไปมองเงาของตนเอง
    
           “สิ่งที่ฝ่าบาทสงสัยล้วนไม่ผิดเพี้ยนพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานสั้นๆ ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับ คิ้วคมเฉียงขมวดลึกครุ่นคิดไปถึงลั่วหลิ่งเห้อองค์ชายเก้าผู้ที่ชื่นชอบการเที่ยวเล่น ไม่เคยทำผลงานใดให้เสด็จพ่อพึงพอใจมาก่อน แม้ไม่ได้หมายแย่งชิงอำนาจทว่าเขาเองก็ไม่ได้วางใจ คอยจับตามองทุกคนอยู่ตลอด
    
           “ไม่คิดว่าน้องเก้าจะยอมทำตามผู้อื่นได้ง่ายๆ มีสิ่งใดที่ยังไม่ได้รายงาน” เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนเป็นไปได้ยากที่ลั่วหลิ่งเห้อจะลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้ แม้น้องเก้ามีความหยิ่งทรนงตนแต่ก็รู้จักการประมาณตัวเองไม่ทำอะไรสิ้นคิดอย่างนี้ เป็นไปได้ว่ามีคนคาดคั้นอยู่เบื้องหลัง แต่ว่าเหตุผลใดกันที่ทำให้น้องเก้าถึงยินยอมลดตัวลงมาเชื่อฟังผู้อื่น
    
            “องครักษ์เจี่ยงฉางโดนหนอนพิษแดงควบคุมพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้า ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเย็นเยือก มันผู้ใดที่กล้าข่มขู่เชื้อพระวงศ์โดยใช้คนรักเป็นเครื่องมือช่างกล้าท้าทายอำนาจเขาซะเหลือเกิน เขาพอรู้มาบ้างว่าองครักษ์เจี่ยงฉางเป็นคนรักของลั่วหลิ่งเห้อ และเหตุนี้เองที่องค์ชายเก้าผู้นี้ไม่หมายชิงอำนาจเพราะกลัวคนรักจะตกอยู่ในอันตราย แต่สุดท้ายก็หลีกหนีไม่พ้นช่างน่าอดสู่นัก
     
            องครักษ์เจี่ยงฉางครั้งแรกเขาจดจำไม่ได้เพราะรูปลักษณ์ที่แสนธรรมดา รูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่อ่อนแอเขาไม่รู้เหตุใดน้องเก้าถึงได้มอบความรักให้กับคนที่ดูธรรมดาเช่นนี้ เรื่องนี้เขาไม่ได้ใส่ใจเพราะไม่เห็นถึงความสัมพันธ์ทว่าครั้งนี้คงไม่อาจละเลยได้อีก
    
           “เจ้าได้ติดตามไปหรือไม่”
    
           “ไม่พ่ะย่ะค่ะ นางเป็นคนของเผ่ามูซอผู้ที่นับถือภูตผีปีศาจและมีวิชาหายตัวได้พ่ะย่ะค่ะ”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกดคิ้วลึกยิ่งกว่าเดิมเมื่อเรื่องนี้ชักจะวุ่นวายมากขึ้น ลั่วหยางปกครองราษฎรมาอย่างผาสุกไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพและชนเผ่ากลุ่มน้อยใหญ่ ทว่าเหตุใดกันคนพวกนั้นถึงมายุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนัก คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ประมาทไม่ได้เสียแล้ว เขาโบกมือไล่หนึ่งทีเงาร่างนั้นก็เลือนหายไป ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเงาหากไม่จำเป็นเขาจะไม่เรียกใช้งาน คนผู้นี้เขาเป็นคนสอนวิชาทุกอย่างให้เองการเคลื่อนไหวและพลังลมปราณล้วนถึงขั้นปรมาจารย์
    
         “หนอนพิษแดงแม้แต่หมอเทวดาอย่างจิวชงหยวนยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้หรือไม่”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งพึมพำถึงพิษร้ายที่คนรักของน้องเก้าโดนเล่นงาน พิษชนิดนี้แม้แต่เขาเองยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร แม้จะมีพิษหลากหลายที่รู้จักและแก้ได้ แต่หนอนพิษแดงมันเป็นคุณไสยชนิดหนึ่ง แต่เขาโชคดีที่ร่างกายมีไข่มุขพันปีอยู่ในร่างขณะที่อยู่ในหุบเขาเร้นลับทำให้รับรู้สิ่งชั่วร้ายในจอกสุราในวันนี้ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาและลิขิตไม่ให้เขาตาย เพราะฉะนั้นเขาจะสั่งสอนคนที่คิดทำร้ายอย่างสาสม!

    
            เช้าวันรุ่งขึ้นอาการประชวรของฮ่องเต้ถูกปิดเงียบ มีเพียงขุนนางชั้นสูงที่ร่วมงานเมื่อคืนกับเหล่าองค์ชายเท่านั้นที่รู้ความจริงข้อนี้ การหาตัวคนร้ายจับได้แต่เพียงนางกำนัลชั้นต่ำที่รินสุราซึ่งถูกสังหารจนหมดสิ้นแล้ว ตำหนักห้องบรรทมถูกปิดเงียบมีเพียงหัวหน้าขันทีซึ่งอยู่หน้าห้องคอยกีดกันผู้ที่เข้าเฝ้าอย่างจริงจัง ยิ่งสร้างความสงสัยแก่ผู้คนเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีหมอเทวดาจิวชงหยวนอยู่ด้วยแต่ว่าพระอาการไม่ดีขึ้น จนในที่สุดเรื่องที่พระองค์เจอพิษหนอนแดงก็ดังออกไป สร้างความตื่นตระหนกแก่ขุนนางน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก และเหล่าองค์ชายต่างก็เก็บตัวเงียบ มีบ้างที่แวะเวียนมาไถ่ถามอาการ เหตุการณ์ในครั้งนี้ยืนยาวไปกว่าหนึ่งสัปดาห์
    
           ทว่าคนที่ทุกคนใคร่อยากรู้อาการกำลังนั่งอยู่ยอดไม้ไผ่ตำหนักตะวันออกมองดูการเคลื่อนไหวขององค์ชายสิบหลิงเซียวอย่างเงียบงัน ดวงตาคมกริบทอประกายวาวโรจน์มุมปากยกยิ้มเยือกเย็น ทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลายวันมานี้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นี้ทำการทำงานจริงจังมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนขี้เล่นหยอกล้อเขาเมื่อคืนนั้น ดวงตาทอประกายวาววับเขารู้ความหมายดีเพราะเมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะจับมือสังหารที่ลอบเข้ามาฆ่าเขาได้ ซึ่งเป็นนักฆ่าที่มีรอยสักและวันถัดมาคือนักฆ่าใบ้ซึ่งสืบเรื่องได้ความว่าเป็นคนที่มาจากตำหนักขององค์ชายเก้าและสิบ เพียงแต่เวลานี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ
    
          “หนอนพิษแดงจิวชงหยวนแก้ไม่ได้จริงๆ หรือ” หลังจากทนนั่งยุงกัดมานานจึงได้เอ่ยถาม เขาไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจสองคนนั่นแม้แต่น้อยแม้จะเป็นผู้ส่งคนมาลอบสังหารแต่ก็รับรู้สาเหตุที่องค์ชายเก้ากระทำ ถึงตอนนี้ยังไม่ได้ควบคุมตัวไว้แต่ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของลั่วเยียนเจิ้งจนหมดสิ้น
    
           “จิวชงหยวนค้นคว้าอยู่แต่ยังไม่คืบหน้า หนอนพิษแดงเป็นพิษคุณไสยจึงต้องใช้เวลามากหน่อย”
    
            หลิ่วเหวินอี้มองคนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถอ่านได้ว่ารู้สึกเช่นไรกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ภายนอกเหมือนคนอ่อนโยน มีคุณธรรมสูงส่งทว่าแท้จริงแล้วจิตใจกลับเย็นชา โหดเหี้ยมไร้ความปราณี ซ้ำร้ายยังทรมานนักฆ่าพวกนั้นจนอยากตายก็ไม่ได้ ความลับที่พรั่งพลูออกมาก็ไม่ได้ทำให้ตายอย่างสงบได้ แค่คิดไปถึงอดีตจิตใจเขากลับรู้สึกว่างเปล่าไปหมด
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าคิดว่าเจิ้นเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่”
    
           หลิ่วเหวินอี้รั้งสายตากลับมามองคนที่เอ่ยถาม กดคิ้วลึกลงมากขึ้นอย่างครุ่นคิด เหตุใดถึงเอ่ยถามคำถามนี้ แววตาเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นในดวงตาคมกริบคู่นั้นทำให้ชะงักไปชั่วครู่ เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนจึงพอจะเข้าใจกับคำถาม ภาระหน้าที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันแต่ตำแหน่งที่อยู่บนบ่าของลั่วเหยียนเจิ้งนั้นหนักหนามาก อีกทั้งไม่มีผู้ใดที่จะวางใจได้เมื่อไหร่ที่พลาดพลั้งชีวิตก็คงถึงจุดจบ ชีวิตเขากับลั่วเหยียนเจิ้งไม่ต่างกันนัก แต่เวลานี้เขารู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่อย่างน้อยก็ยังทำตัวเที่ยวเล่นได้บ้าง
    
          “ท่านพี่เหยียนเจิ้งปกครองได้ดี เพียงแต่กิเลสในใจมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด หากได้ขึ้นหลังเสือแล้วมิอาจลงมาได้ ท่านพี่น่าจะรู้ความหมายดี” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มที่มุมปาก เหตุใดเขาจะไม่รู้
    
          “เจ้ากลัวไหมที่จะอยู่บนหลังเสือร่วมกับเจิ้น” คำถามที่มีนัยน์ได้หลายอย่างทำให้ใบหน้างดงามกดคิ้วคมลงลึกยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเรียวสวยมองสบดวงตาคมกริบที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนหลอกล่อให้ตกหลุมพราง ทว่าคนโดนหลอกล่อกลับนั่งนิ่งไม่ได้ร้อนใจกับสายตาที่มองมาอย่างเฝ้ารอคำตอบ
    
          “คำพูดร้อยคำไม่อาจเชื่อใจได้ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์” คำตอบที่ครอบคลุมในทุกๆ ความหมายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไป รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าเหม่อมองไปท้องฟ้า ความรู้สึกวางใจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน แม้กระทั้งน้องห้าที่ช่วยเหลือมาโดยตลอดก็ยังให้ความรู้สึกแตกต่าง
    
            หลิ่วเหวินอี้มองคนยกยิ้มบางด้วยสีหน้านิ่งเฉย ความรู้สึกที่มีให้ลั่วเหยียนเจิ้งในเวลานี้เป็นเพียงสหายผู้หนึ่งเท่านั้น แม้หัวใจจะเต้นแรงเป็นบางครั้งแต่เขายังสามารถควบคุมร่างกายและจิตใจได้อย่างมั่นคง แม้จะไม่เคยมีความรักแต่เขาเชื่อเสมอว่าคนผู้นั้นจะต้องทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองและยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่รัก แม้กระทั้งชีวิตตัวเองก็ยังให้ได้ แต่ว่าตอนนี้... เขายังไม่รู้สึกเช่นนั้น
    
          “มาแล้ว”
    
           หลิ่วเหวินอี้หันไปยังทิศทางการเคลื่อนไหวของเงาร่างสีดำ ที่พุ่งเข้าไปยังตำหนักขององค์ชายสิบหลิงเซียว พลันนั้นลั่วเหยียนเจิ้งก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณบางอย่าง เงาลึกลับมากมายพุ่งทะยานแยกออกไปนับสิบสาย เขามองด้วยความประหลาดใจ นับว่าน่าหวาดกลัวที่ลั่วเหยียนเจิ้งมีกองกำลังลึกลับและเก่งกาจเช่นนี้
    
          “ลงมือเด็ดขาดแล้วสินะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเสียงเรียบนิ่งมองคนออกคำสั่งข้างกายที่มีสีหน้าจริงจังอีกครั้ง อาภรณ์สีดำที่สวมใส่ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเหมือนมัจจุราชที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้คนมากขึ้น
    
    
            ขณะเดียวกันภายในตำหนักหลิงเซียวซึ่งมีกองกำลังลับแอบซุกซ่อนอยู่เวลานี้ กำลังนั่งปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ใบหน้างดงามขมวดคิ้วลึกอย่างไม่พึงพอใจคนที่โปรดปรานออกความเห็นให้รีบสังหารฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้ง เวลานี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะวิ่งแจ้นมาหาเขา อาภรณ์สีแดงขับผิวขาวให้ดูงดงามสง่าสูงส่งทว่าดวงตาเย็นเยือกที่สาดส่องมองเหล่าคนโปรดปรานมีแต่ตำหนิ ติเตือนทำให้พวกมันก้มหัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กอดเอวบางเข้าหาอย่างออดอ้อน
    
           “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งมีโทสะ พวกกระหม่อมเห็นสมควรแล้วที่จะชิงลงมือในครั้งนี้ จิวชงหยวนกับลู่เฟยแม้จะช่วยรักษาชีวิตฮ่องเต้ไว้แต่หนอนพิษแดงอีกไม่นานคงกำเริบเมื่อนั้นไม่ว่าผู้ใดก็แก้ไม่ได้”
    
           “แต่ทั้งคู่ยังอยู่ เวลานี้เสด็จพี่ประชวร พวกเจ้าย่อมไม่ควรปรากฏตัว” น้ำเสียงสงบนิ่งแต่สายตาเย็นเยือกมองลูกน้องไม่มีความปราณีแม้แต่น้อย ก่อนจะนิ่วหน้ามองออกไปข้างนอกอย่างตื่นตระหนก
    
           “เพราะความสะเพร่าของพวกเจ้า ทำให้พวกมันรู้ตัวแล้ว เรียกรวมตัวสังหารคนที่ขัดขวางไว้ให้หมด คืนนี้หากพวกมันไม่ตายก็เป็นพวกเราเอง” คำสั่งเหี้ยมโหด ทว่าทุกคนกลับเรียกอาวุธของตัวเองออกมาพร้อมสัญญาณบางอย่างที่พุ่งขึ้นฟ้า ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว!
    
            ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำถักทอด้วยไหมสีเหลืองทองด้วยลายมังกรดูสง่างาม ทว่าเวลานี้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเหมือนพญามัจจุราชที่ทำให้คนมองอกสั่นขวัญผวา ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามายังตำหนักหลิงเซียวด้วยสีหน้านิ่งเฉยมองความวุ่นวายเบื้องหน้าแล้วยกยิ้มที่มุมปาก ความน่ากลัวของฮ่องเต้ผู้นี้ยังไม่ค่อยมีคนพบเห็น การต่อสู้อย่างดุเดือดรอบกายไม่ได้ทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ในมือมีกระบี่หยกสีขาวการตวัดกระบี่หนึ่งรอบทำให้ผู้ที่พุ่งเขามาล้มตายลงอย่างง่ายดาย
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งมองร่างโปร่งในอาภรณ์สีแดงงดงามยืนถือกระบี่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเย็นชา จิตสังหารพุ่งเข้ามาอย่างมีความปราณี มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มเย้ยหยันไม่ได้หวาดหวั่นกับความพ่ายแพ้ที่ใกล้จะมาถึงแม้แต่น้อย น่าเสียดายนักที่เขาต้องสูญเสียพี่น้องไปอีกหนึ่งคน
    
         “สมกับเป็นท่านพี่ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างท่านพี่คงไม่ปล่อยให้ข้าได้คิดทบทวนให้นานกว่านี้” น้ำเสียงเรียบนิ่งของผู้ที่สวมใส่อาภรณ์สีแดงตรงหน้าไม่ได้ทำให้หัวใจลั่วเหยียนเจิ้งสั่นไหว มีแต่รอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น ทว่าความอ่อนโยนบนใบหน้าเวลานี้กลับดูน่าสะพรึงกลัวต่อผู้พบเห็น
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้เอ่ยตอบ มองคนที่เคยแกล้งตัวสั่นหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ๆ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก อรสรพิษที่หลับใหลตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาที่เย็นเยียบคู่นั้นมีแต่ความโหดเหี้ยมไร้ความปราณี
    
          “เจ้าอยากได้บัลลังก์มากหรือหลิงเซียว”
    
          “ฮ่าๆๆ บัลลังก์เลือดเช่นนั้นหรือที่ข้าอยากได้ เปล่าเลยท่านพี่ แต่ข้าเกลียดชังคนที่นั่งอยู่บนนั้น รู้ไหมท่านพี่เพราะเหตุใด”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองใบหน้างดงามของน้องสิบอย่างแสนเสียดาย ใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นไม่ได้น่าดูนัก เหตุใดน้องชายที่น่ารักเขาถึงได้มีจิตใจวิปลาสเช่นนี้ เขามองดูนิ่งๆ ไม่ได้ตอบคำถามหรือเอ่ยถามสิ่งใด รอบกายมีแต่เสียงกระบี่และพลังยุทธตอบโต้กันไปมาอย่างรุนแรง ทว่าพวกเขายังมองกันนิ่งๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบกาย มีบ้างที่ตวัดกระบี่เข้าหาร่างที่พุ่งเข้ามาหาตน
    
           “บัลลังก์เลือดนั่นท่านได้มันมาแต่ต้องเหยียบย่ำชีวิตของผู้คนมามากเท่าไหร่ พี่น้องของท่านพี่ต้องสังหารไปเท่าไหร่ ไม่สิ ท่านพี่เหยียนเจิ้งไม่ได้ทำอะไรเลยแค่ยืนเฉยๆ ทำตัวอ่อนแอรอให้คนโง่อย่างพี่ห้าและพี่เจ็ดคอยถากถางเส้นทางให้แล้วนั่งบนบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มผู้มีชัย ฮ่าๆๆ พวกเขาช่างโง่งมเหลือเกิน”
    
          เสียงหัวเราะของหลิงเซียวดังก้องไปทั่ว จิตใจดำมืดเกินที่จะเยียวยา ตรรกะความคิดที่ไร้เหตุผลและแก่นสารทำให้หลิ่วเหวินอี้ยืนมองอยู่บนยอดไม้มองตามอย่างนึกสงสาร วังหลวงล้วนผลิตบุคลากรที่มีจิตใจน่าหวาดหวั่นเสียจริง คนเช่นนี้น่ากลัวเพราะไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการทำลาย แม้แต่ชีวิตตนเองก็ไม่อาจเห็นความสำคัญด้วยซ้ำไป เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในที่ลั่วเหยียนเจิ้งต้องสะสางเองจึงไม่ได้ยื่นมือไปข้องเกี่ยว
    
          แม้กระทั่งองค์ชายห้าและจิวชงหยวนยังไม่ขอยุ่งเรื่องนี้ด้วย เหตุผลง่ายๆ คือหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว ต่อไปนี้ลั่วเหยียนเจิ้งต้องพิสูจน์การเป็นฮ่องเต้และรักษาตำแหน่งด้วยตนเอง ซึ่งเขาก็เห็นด้วยอยู่ลึกๆ ดวงตาเรียวคมมองเหตุการณ์เบื้องล่างด้วยความนิ่งเฉย ทว่าในใจนั้นได้แต่ภาวนา
    
          ขอให้ปลอดภัยนะพี่เหยียนเจิ้ง...


 ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์มากค่าา  เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้แน่

แต่จะจัดการกับพวกกบฎยังไง?

ให้พวกนั้นไม่กล้ามายุ่งอีก

ชีวิตจะได้สงบขึ้นมาหน่อย :katai1:

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
มาอัพเร็วมากๆค่ะ ตอนนี้เริ่มเข้มข้นแล้ว   อี้เออร์ใจแข็งเหลือเกิน ส่วนฮ่องเต้ก็เริ่มร้ายมากๆ   นึกถึงหย่งเจิ้นในเรื่องปู้ปู้จิงซินเลยค่ะ  รักนะ แต่ก็ต้องรักษาอำนาจจนรั่วซีทนไม่ไหว รัก แต่ไม่กล้าอยู่กับพญามังกรเลือดเย็นไร้หัวใจ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด