เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่26ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าน้อยๆ กับคำพูดของน้องสิบผู้ที่ทำตัวป็นอสรพิษที่หลับใหลมาหลายปีด้วยความแปลกใจ ที่ทำเช่นนี้มาเนิ่นนานไม่ได้หมายแย่งชิงบัลลังก์แต่คิดจะทำลายราชวงค์ลั่วหยางโดยใช้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว หากเขาไม่เหมาะสมที่จะครองบัลลังก์แล้วผู้ใดกันที่ควรนั่งในตำแหน่งนั้นแทนเสด็จพ่อ
“ข้าแค่ปกป้องชีวิตตนเองเอาไว้ สังหารผู้ที่คิดกบฏนั่นเป็นสิ่งสมควร หลิงเซียวหากไม่ใช่ข้าที่เหมาะสมแล้วผู้ใดเล่าควรได้ปกครอง หรือว่าเจ้าคิดจะล้มล้างอำนาจในวังหลวงโดยใช้ยุทธภพมายุ่งเกี่ยวเช่นนั้นหรือ” “ท่านพี่คาดการณ์ได้ไม่ผิดเพียงแต่คลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย แต่ข้ามิได้โง่เขลาที่จะบอกแผนการแก่ท่านพี่” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าสงบนิ่งของหลิงเซียวไม่ได้เกินจากที่คาดหมายคนที่เจ้าแผนการล้วนไม่เผยสีหน้าที่แท้จริงให้ศัตรูได้พบเห็น แต่ที่ไม่เข้าใจเหตุใดหลิงเซียวถึงได้เกลียดชังราษวงศ์ลั่วหยางมากมายถึงเพียงนี้
“โลหิตในกายเจ้าครึ่งหนึ่งเป็นของราษวงศ์ลั่วหยางเหตุใดต้องคิดทำลายแม้กระทั่งตัวเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างใจเย็น รอบกายการต่อสู้ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ทว่าคนตรงหน้าเขานั้นกลับมีรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ
“ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องรู้ ชีวิตท่านข้าขอแล้วกัน”
เคร้ง!
ตูม!!!
ลั่วเหยียนเจิ้งถอยหลังไปถึงสามก้าว ใบหน้าคมคายนิ่วหน้าน้อยๆ พลังลมปราณเมื่อครู่นี้รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง อสรพิษที่หลับใหลแอบไปฝึกวิชามาจนถึงขั้นสูงไม่ต่างจากตน ร่างสีแดงพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วแต่เขาซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเทพตกสวรรค์ฝู่ซานจะพ่ายแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนั้นหรือ ไม่มีทาง!
ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่หยกขาวขึ้นต้านรับอีกครั้ง พลังลมปราณที่ผนึกลงในกระบี่โจมตีสะท้อนกลับจนร่างสีแดงกระเด็นห่างไปนับสิบก้าว ทว่าหลิงเซียวกลับยังทรงตัวได้ดี
“คิดไว้ไม่มีผิดท่านพี่หาใช่ฮ่องเต้ที่ไร้วรยุทธ ที่ผ่านมาพวกมันช่างโง่เขลานัก แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ปีหน้าก็เป็นวันตายของท่าน”
“อย่ามั่นใจนักหลิงเซียว” ลั่วเหยียนเจิ้งเค้นเสียงตอบโต้ ก่อนจะพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน เวลานี้ไม่มีคำว่าพี่น้อง มีเพียงคำว่าศัตรูเท่านั้น การลงมือที่รุนแรงทำให้ตำหนักทั้งหลังพังทลายลงอย่างง่ายดาย วรยุทธของทั้งคู่ล้วนอยู่ในขั้นสูงล้ำ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งกลับได้เปรียบความเร็วที่เหนือกว่า กระบี่สองสายฟาดฟันกันอย่างรวดเร็วดุจเส้นแสง
ตูม!
ลมปราณของทั้งคู่ประทะกันอย่างดุเดือด สองร่างกระเด็นถอยห่างกันออกห่างจากกัน พื้นดินโดยรอบแตกเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างน่าตกใจ ทว่าเงาร่างสีดำที่ปะทะกันต่างก็ต่อสู้กับศัตรูของตนเองจนไม่ได้หันมาสนใจเจ้านายที่ปะทะกัน มีเพียงสายตาคมกริบเหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้น
อึก!
หลิงเซียวกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แรงปะทะเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าตนยังด้อยกว่าพี่ชายจอมแสแสร้งผู้นี้มากนัก ไม่คิดว่าพี่ชายที่ทำตัวไร้ประโยชน์จะมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่คอยสืบตามข่าวมาหลายปีแต่ไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมีอาจารย์ผู้ฝึกสอน มือบางกำกระบี่แน่นขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างนั้นอีกครั้ง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่หยกขาวต้านกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างว่องไว การโจมตีที่รวดเร็วและดุดัน ไม่ได้ทำให้ในใจหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ใบหน้าที่สงบนิ่งยิ่งสร้างแรงกดดันให้ศัตรูมากขึ้น รัศมีการโจมตีของทั้งคู่ทำให้ป่าไผ่ล้มลงและถูกตัดขาดต้นแล้วต้นเล่า
หลิ่วเหวินอี้พลิ้วกายหลบรัศมีการโจมตีของทั้งคู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย มองดูความพินาศของตำหนักและสวนไผ่ด้วยความเย็นชา ดวงตาจับจ้องไปยังเงาร่างสีแดงและดำอย่างกังวลใจ หลิงเซียวเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและทำอะไรอย่างบ้าคลั่งไม่สนใจแม้แต่ชีวิตตนเอง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรที่ไม่อาจคาดเดาได้
พรึบ!
หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบรัศมีกระบี่ที่ฟาดผ่านมาได้อย่างคล่องแคล่ว เหลือบมองคนที่ลงมือกับตนด้วยสีหน้าเฉยชา แต่เมื่อเห็นเป็นผู้ใดกลับยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ชายชู้? ขององค์ชายสิบหลิงเซียว เสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เขาพบในคืนนั้น
“ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่อสรพิษแดง”
ทันทีที่หลิ่วเหวินอี้เอ่ยคำร่างที่พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วชะงักงันขาที่ก้าวผิดจังหวะทำให้ร่างนั้นถลาลงดินหน้าทิ่มอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นหันไปมองพระสนมคนใหม่อย่างไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ใด คิ้วคมเฉียงกดลงลึกอย่างหวาดระแวง มองดูมุมปากที่ยกยิ้มทว่าแววตากลับเย็นนิ่งไม่มีสั่นไหวช่างน่าคุ้นเคยนักแต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนรู้จักพระสนมเป็นการส่วนตัว ไม่สิ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มอสรพิษแดง ใบหน้าคมคายเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงกดดันและสายตาที่ส่งมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากอย่างขำขัน เมื่อครู่นี้น่าเสียดายนักที่ไม่มีกล้องไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าหัวหน้าอสรพิษแดงจะทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้
“คิดว่าเช่นไร”
น้ำเสียงเย็นนิ่งที่เอ่ยตอบกลับมาทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายหรืออสรพิษแดงเซี่ยจวินครุ่นคิดอย่างหนักว่าเคยคุ้นเคยกับน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหน ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อว่าจะเจอคนที่ไม่อยากเจออีกครั้ง อีกาดำ! นี่หรือโฉมหน้าของคนกลุ่มอีกาดำ ทำไมรูปโฉมถึงได้งดงามไม่เหมาะสมกับชื่อกลุ่มเลยสักนิด
เซี่ยจวินเคยเจออีกาดำมาแล้วกว่าห้าคน ทว่าคนที่ทีท่าสงบเยือกเย็นเช่นนี้ มีอยู่สองคนจึงมิอาจคาดเดาได้ว่าเป็นคนไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาก็ไม่อยากยุ่งด้วยมากที่สุด แม้จะเชี่ยวชาญด้านการใช้พิษทว่าทักษะพรางตัวและความเร็วของอีกฝ่ายทำให้มิอาจทำอะไรได้เช่นกัน
“อีกาดำไยเจ้ามาอยู่ที่นี่” เซี่ยจวินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง คนของอีกานั้นมิอาจดูดายได้แม้ชื่อเสียงจะเหี้ยมโหดแต่ก็ทำงานตามใจตัวเอง มิคิดว่าวันนี้จะมาพบอีกาที่เปิดเผยตัวตนเช่นนี้
“อสรพิษแดงยังอยู่ที่นี่ได้เหตุใดอีกาดำถึงจะอยู่มิได้ แต่น่าเสียดายที่วันนี้พวกเราต่างอยู่คนละฝั่ง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวอย่างสงบ ทว่าในมือปรากฏมีดสั้นหยินหยางเพราะไม่ว่าเช่นไรอสรพิษแดงก็ไม่อาจเป็นมิตรได้ ความโหดเหี้ยมไร้ความปราณีของเซี่ยจวินแม้กระทั่งลูกน้องยังต้องตัดลิ้นมิให้พูดในสิ่งที่ไม่ควร ซ้ำร้ายพวกมันล้วนโดนพิษหนอนแดงควบคุม หลังจากที่เคยจับตัวมาได้เมื่อไม่ได้รับยาแก้พิษภายในหนึ่งเดือนล้วนตกตายจนหมดสิ้น
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงมิต้องเสียเวลาต่อรอง”
เคร้ง!
กระบี่ยาวคมกริบถูกต้านรับด้วยมีดสั้นหยินหยางอย่างทันท่วงที ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าบุคคลที่มีมีดสั้นคู่นี้คือผู้ใด มันเคยพ่ายแพ้ไปแล้วหนึ่งครั้งคราวนั้นมันแทบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าเวลาผ่านไปมันก็ไม่ได้คิดจะไปแก้แค้นเพราะกลุ่มอีกามิใช่กระจอกที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้า!
ที่สำคัญอีกาดำทำเหมือนไร้ตัวตน เช่นเดียวกับคนหอกิเลน พวกกลุ่มปริศนามีน้อยคนนักที่รู้จัก ทั้งหมดสี่กลุ่มด้วยกันหนึ่งหอกิเลน สองกลุ่มอีกาดำ สามวิหคดำ และสุดท้าย อสรพิษแดง ซึ่งเป็นมันเองที่เป็นหัวหน้า แม้ความสัมพันธ์พวกมันจะไม่ลงเอยกันนัก ทว่ายังใช้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสี่กลุ่มเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในยุทธภพทว่ามันกลับร้ายกาจกว่าพรรคใหญ่บางพวกเสียอีก แต่เมื่อได้ลงมือแล้วก็มิอาจถอยหลังได้
เคร้ง!
ตูม!!!
หลิวเหวินอี้ต้านรับก่อนจะผนึกลมปราณเข้าไปยังมีดสั้นหยินหยางและตวัดเข้าหาร่างของเซี่ยจวินด้วยความเร็ว พลังที่ผนึกลมปราณไปห้าส่วนพลักร่างที่จู่โจมเข้าหาให้ถอยห่างไปกว่าสามเมตร ใบหน้างดงามเย็นเยือกการลงมือเด็ดขาดไร้ความปราณีทำให้คู่ต่อสู้มิอาจประมาทได้อีกต่อไป
เซี่ยจวินกลืนโลหิตที่อยู่ลำคอลงท้องไป ไม่อาจเผยให้ศัตรูได้เห็นว่าตนได้รับบาดเจ็บ การต่อสู้ที่ห่างหายไปกว่าสามปี คนผู้นี้ฝีมือสูงขึ้นจากเดิมมาก หากอยากชนะต้องงัดเอาทุกอย่างขึ้นมาต่อสู้แต่สุดท้ายเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะตนจะบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ นี่ยังไม่นับเหล่าองครักษ์เงาของฮ่องเต้ที่สังหารคนของตนดุจใบไม้ร่วง เมื่อมองไปยังเงาร่างสีแดงที่มีสภาพยับเยินได้แต่กัดฟันพุ่งเข้าหาหลิ่วเหวินอี้อีกครั้ง หากวันนี้มันไม่ชนะอาจจะเป็นวันตายของมันก็เป็นได้
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
ตูม!!!
การโจมตีของทั้งคู่ทำลายพื้นที่โดยรอบไม่ต่างจากคู่ของฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้ง ลมปราณสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง จนสะท้อนตีกลับทำให้สองร่างถอยห่างจากกัน แต่เพียงอึดใจก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง! การต่อสู้ที่ดุเดือด รุนแรงโหมกระหน่ำราวกลับพายุคลั่งทำลายดอกไม้ในสวนจนยับเยิน ทั้งคู่ต่อสู้พัวพันกันจนถอยห่างจากลั่วเหยียนเจิ้นไปไกลกว่าครึ่งลี้
ฉัวะ!
หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบคมกระบี่ที่ฟาดฟันมาอย่างหนักหน่วงแม้จะมีความเร็วที่เหนือกว่า ทว่าประสบการณ์ของเซี่ยจวินมิอาจดูถูกได้ คมมีดตัดเส้นผมไปปอยหนึ่งและเฉือนไหล่ไปอีกเล็กน้อย ใบหน้านิ่วเล็กน้อยเมื่อรับรู้สิ่งผิดปกติที่ไหล่ขวาของตนเอง ยาพิษ! นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้ในเวลานี้
หลิ่วเหวินอี้พุ่งเข้าหาร่างนั้นพร้อมพลิกกายหลบคมกระบี่อย่างรวดเร็วดุจสายลม ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้มีดสั้นคู่หยินหยางฟาดฟันพากผ่านมีเพียงลมจนเกิดเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว
ฉัวะ!
ตูม!!
เซี่ยจวินหล่นกระเด็นตกไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ร่างนั้นกระอักโลหิตออกมาคำโต หน้าอกมีคมมีดสั้นกรีดเป็นทางยาว เมื่อครู่มันเร็วมาก มากจนมิอาจมองตามได้ทัน
อ๊ากกกก
เสียงกรีดร้องของหลิงเซียวเรียกความสนใจให้ทั้งคู่หันไปมองอีกครั้ง แขนข้างซ้ายขององค์ชายสิบตอนนี้หลุดห้อยลงจนเกือบขาด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่าฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกันนับว่าฝีมือของทั้งคู่นั้นดูแคลนไม่ได้แม้แต่น้อย
ขณะที่ฮ่องเต้จะลงมืออีกครั้งร่างบอบบางสีดำก็พุ่งเข้ามาป้องกันไว้ได้อย่างหมดจดจนน่าทึ่ง ลั่วเหยียนเจิ้งหยุดมือมองอีกฝ่ายอย่างระวัง พลันใดนั้นมีหมอกควันปรากฏพร้อมร่างของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง พวกมันล้วนตายตกจากคมกระบี่จากองครักษ์เงาทว่ามันกลับลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไร้ชีวิต!
อึก!
เพล้ง!!
หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด เอนกายหลบกระบี่ที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าหาตนเองแม้สัมผัสจะเฉียบคมแต่มิอาจหลบพ้น กระบี่เสียบทะลุกลางอกอย่างรวดเร็ว พลันใดนั้นร่างกายรู้สึกปวดแสบจนมิอาจบรรยายได้แต่ก็ยังฝืนกระชากกระบี่ที่เขามองเห็นเป็นสีโลหิตซึ่งมันพยายามดูดเลือดในกายออกอย่างรวดเร็ว ลมปราณในร่างรู้สึกปั่นป่วนไปหมด
“อี้เอ๋อร์!” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องเรียกร่างโปร่งที่เซเล็กน้อย แม้จะมองไม่เห็นสิ่งที่อีกฝ่ายจับเอาไว้แต่ความรู้สึกบอกมันไม่ใช่สิ่งที่ดี ร่างสูงพุ่งเข้าไปหาร่างนั้นทว่าถูกสะกัดกั้นด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น แม้จะไม่เห็นสิ่งที่ขวางกั้นทว่าสัมผัสที่เฉียบคมก็สามารถป้องกันไว้ได้ แต่มันมีมายมายจนน่าหงุดหงิด มองไปยังคนงามใบหน้าตอนนี้ซีดเผือด ทว่าลมปราณที่แผ่ออกมาเย็นเยือกอย่างน่ากลัว มีดสั้นหยินหยางหมุนรอบกาย ประกายการสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรงปะทะกับสิ่งที่ไม่เห็น มีเพียงประกายไฟออกมาเท่านั้น
ตูม!!
หลิ่วเหวินอี้เม้มริมฝีปากแน่น สิ่งที่ตนต่อสู้ในเวลานี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือมนุษย์ธรรมดา เขาได้ยินมาว่าเผ่ามูซอเป็นพวกนับถือภูติผีวิญญาณแต่เวลานี้กลับไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พบเป็นอะไรกันแน่ ลมปราณที่กักเก็บไว้ถูกดึงออกมาต่อต้านจนหมดสิ้น ลมปราณในร่างปั่นป่วนจนร่างเหมือนโดนฉีกกระชากแต่เวลานี้ไม่อาจผ่อนแรงได้
เซี่ยจวินถือโอกาสนี้พุ่งเข้าหาทว่าขณะเดียวกันบุรุษชุดดำก็เข้ามาขวางทางเอาไว้ แรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้รู้ได้ว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มอีกาดำ มันยกมือเพียงครั้งเดียวกลุ่มอสรพิษแดงก็พุ่งเข้าไปเป็นคู่ต่อสู้แม้จะไม่ใช่คู่มือแต่ก็สามารถสกัดกั้นคนพวกนั้นไว้ได้
เปรี๊ยะ!!
ตูม!
เวลานี้ทุกอย่างเหมือนจะเกินเลยจากที่คาดการณ์ไว้ พลังลมปราณสีทองที่ฟาดเข้าแทรกระหว่างกลางทำให้ทั้งสองฝั่งแยกออกจากกันรวดเร็ว พลันใดนั้นเพียงการโบกสะบัดเพียงครั้งเดียวเหล่าผีดิบที่ถูกปลุกชีพขึ้นมาก็ล้มลงสิ้นใจอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนที่ช่วยเหลือตนเองด้วยความทึ่ง ใบหน้าคมคายสาดประกายสังหารจนคนมองตัวสั่น
ลู่เฟย! นี่หรือคือพลังลมปราณขององค์ชายห้า น่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียวเหล่าผีคืนชีพกลับตายลงอีกครั้ง
อึก!
“อี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องเรียกคนที่อยู่อีกฝั่งด้วยความร้อนรน เขาไม่เคยรู้สึกห่วงใครมากเท่านี้มาก่อน พลังที่มองไม่เห็นเวลานี้หายไปแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปหาร่างโปร่งอย่างร้อนรน ดวงตาเย็นชาที่มองมามีความเหนื่อยล้าเผยออกมา
เคร้ง!
ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่เข้ามาขัดขวางด้วยแววตาเย็นเยือก ทว่าหลิงเซียวที่แขนซ้ายขาดห้อยกลับยังถือกระบี่ขัดขวางทุกวิธีทาง คำสั่งร้ายกาจที่ทำให้คนฟังโกรธเกรี้ยวจนแทบอยากสับร่างน้องร่วมสายเลือดเป็นหมื่นๆ ชิ้น
“สังหารเหวินอี้เร็วเข้า!”
หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเงาร่างบอบบางที่พุ่งเข้ามาหา มีดสั้นหยินหยางตวัดรับกระบี่โลหิตในมือของร่างบอบบางที่พุ่งเข้าหาตนด้วยความเร็ว แรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นทำให้ลมปราณแทบแตกซ่าน ความรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก
ฉัวะ!
หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อตวัดผ้าคลุมหน้าอีกฝ่ายออกจนหมด และด้วยความตกใจนี้เองที่ทำให้พลาดท่าจนมิอาจกล่าวสิ่งใดได้ กระบี่โลหิตเสียบทะลุกลางอกซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกว่าครั้งไหนๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มเย็นเยือกขณะที่แทงกระบี่หมายจะซ้ำเติม
“ท่านแม่...”
ร่างบอบบางชะงักงันถอยห่างออกมาอย่างตื่นตระหนก เสียงที่แม้จะเบาหวิวแต่กลับดังก้องไปภายในใจ ใบหน้างดงามซีดเผือดมองภาพตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ มือสองข้างสั่นเล็กน้อย
“นภาเยือนถิ่น” นางกล่าวเพียงเท่านั้น ทุกคนที่เหลือต่างถอยจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หลิงเซียวองค์ชายสิบก็ถูกนำตัวไป ทุกอย่างตรงหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็วความพินาศตรงหน้าเหมือนกับความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ทว่าผู้เป็นฮ่องเต้กลับปล่อยไอเย็นเยือกไปทั่ว กระบี่หยกขาวเกรี้ยวกราดแยกเป็นร้อยสายพุ่งติดตามศัตรูและฟาดฟันดุจใบไม้ร่วง กระบี่สรรค์ยามนี้กลับถูกชโลมไปด้วยความโกรธทำให้อานุภาพรุนแรงกว่าครั้งไหน
อ๊ากกก
เสียงกรีดร้องท่ามกลางความมืดก่อนจะเงียบหายไป เหลือเพียงความเงียบงัน ลั่วเหยียนเจิ้งพุ่งกายเข้ามาหาร่างโปร่งสองมือสั่นระริกด้วยความกลัว
อึก!
ใบหน้างดงามซีดเผือดพร้อมกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งรับร่างที่ล้มลงได้อย่างหวุดหวิด เวลานี้หลิ่วเหวินอี้ดูบอบบางจนแทบสลายไปต่อหน้า
“อี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า หัวใจหนักอึ้งและรู้สึกว่างเปล่าไปหมด เขาสูญเสียมามากแต่เวลานี้หัวใจที่เย็นเยือกกลับเจ็บปวดแทบทนไม่ได้ กอดประคองร่างนั้นขึ้นมาแม้ดวงตาเย็นชาจะมองมาแต่ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน
“แฮ่กๆๆ ให้ตายสิ พวกนั้นตัวอะไรกันแน่” จิวชงหยวนที่กว่าจะเข้ามาเขตตะวันออกได้ถึงกลับหอบแฮ่กเพราะเขาเองก็เจอการสะกัดกั้นจากบางกลุ่มที่ใช้วิชาที่ไม่รู้จักมาก่อน แม้จะส่งลู่เฟยออกมาก่อนแต่ภาพที่เห็นตรงหน้าคงมาไม่ทันแน่ๆ ไม่สิ ลู่เฟยไม่ได้มาช้าเพราะพลังเทพก็มี เพียงแต่อีกฝ่ายคิดการใดกันแน่ถึงได้ลงมือช้าเช่นนี้ ใบหน้างดงามขมวดมุ่นมองหลิ่วเหวินอี้อย่างเป็นห่วง เขามองไปสำรวจร่างนั้นเพียงครู่ก่อนจะเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
“หนอนพิษแดงอีกแล้ว! ไม่สินี่มันหนักกว่าเจี่ยงฉางอีกเพราะยังมีโลหิตกลืนกินที่แฝงไว้ในร่างกายด้วย”
“หมายความว่าไง” น้ำเสียงและดวงตาที่เย็นเยือกของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งน้อยๆ ด้วยไม่เคยเห็นภาพลักษณ์เช่นนี้มาก่อน เมื่อมองไปเห็นลู่เฟยที่ยืนสงบนิ่งยิ่งทำให้เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่นี่เล่นแรงไปไหม เขายกมือลูบศรีษะเบาๆ เมื่อเจอสายตากดดันอีกฝ่าย
“ก็เจอพิษเดียวกับเจี่ยงฉางแล้วก็พิษโลหิตกลืนกินซึ่งมันกินโลหิตและลมปราณของเหวินอี้เป็นอาหาร” เมื่อได้ยินเช่นนั้นลั่วเหยียนเจิ้งกำมือตัวเองแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น เมื่อก้มมองคนในอ้อมแขนความโกรธจึงจางลงบ้าง
หลิ่วเหวินอี้รู้สึกใจหายเป็นครั้งแรก แม้จะคุ้นเคยชื่อพิษนี้ดีแต่หัวใจกลับสงบกว่าที่คิดไว้ การตายของเขาไม่ได้สลักสำคัญอะไร ชาติที่แล้วเจอเพื่อนรักทรยศหักหลัง มาชาตินี้กลับเป็นมารดาที่สังหารตัวเอง เขาหัวเราะออกมาอย่างขำขัน
“อี้เอ๋อร์เจ้าต้องปลอดภัย” ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกร้อนรนเวลานี้คนในอ้อมกอดยังมีอารมณ์มาขำแต่ว่าหัวใจเขากลับเย็นเยือกไปหมด
“ชงหยวนเจ้ารักษาได้หรือไม่”
คำถามที่กดดันมาทำให้จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างหนักอก แม้เขาจะเป็นหมอเทวดาแต่เรื่องของคุณไสยเขาไม่ได้มีความรู้แม้แต่น้อย แม้จะพยายามหาทางแก้ไขแต่ทำได้แค่บรรเทาเท่านั้นในเวลานี้ หากใช้เวลาเพิ่มขึ้นเขาอาจหาทางแก้ไขได้ และมีอีกหนทางหนึ่งที่แก้ไขได้อย่างหมดจดคือยาอายุวัฒนะที่เหลือเพียงสองเม็ด แต่หากทำเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จะไม่ได้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป หากเป็นเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จะทำใจยอมรับได้หรือไม่ที่เห็นลั่วเหยียนเจิ้งตายไปก่อน
“บัวหยกน้ำค้างพันปีที่แดนเซียนจะแก้ได้ เพียงแต่ไม่มีมนุษย์คนไหนขึ้นไปได้” ลู่เฟยกล่าวเหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนคิดอะไร ทว่าคำกล่าวนี้เหมือนดับความหวังลั่วเหยียนเจิ้งไปทันที สถานที่แห่งนั้นยังไม่มีใครเคยพบเห็นแล้วจะไปหาได้อย่างไร ไม่สิในร่างเขามีไข่มุกพันปีเพราะฉะนั้นโลหิตเขาน่าจะแก้ได้
“ท่านคิดจะทำอะไร!” จิวชงหยวนร้องถามอย่างตกใจ เมื่อลั่วเหยียนเจิ้งกรีดข้อมือตนเองหยดโลหิตลงเข้าปากหลิ่วเหวินอี้ซึ่งเบิกตากว้างกับการกระทำของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ทว่าคนที่ชื่อว่าหมอเทวดากลับกระชากแขนออกอย่างหงุดหงิด
“โลหิตท่านมีพิษกว่าร้อยชนิด เหวินอี้เวลานี้จะต้านทานพิษพวกนั้นได้อย่างไร แม้กายท่านจะมีไข่มุกพันปีแต่ใช่ว่าจะทำอะไรง่ายๆ อย่างนี้ได้”
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร จะให้ข้ามองคนที่ข้ารักตายต่อหน้าหรือไง” จิวชงหยวนชะงักงัน เขาไม่เคยเห็นลั่วเหยียนเจิ้งร้อนรนเช่นนี้มาก่อน น้ำเสียงที่ตะคอกถามมันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทว่าเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดสิ่งใดออกมา
หลิ่วเหวินอี้เวลานี้มองคนที่กอดตัวเองแน่นขึ้นอย่างตะลึงงัน ใบหน้าที่เจ็บปวดและดวงตาที่โกรธแค้นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คนที่เขาคิดว่าไม่มีหัวใจกำลังหลั่งน้ำตาเพื่อตนเอง ความเจ็บปวดที่ถาโถมเพราะพิษยังน้อยกว่าบาดแผลภายนอกที่โดนกอดแน่นเสียอีก แต่หัวใจที่ว่างเปล่ากลับเต้นแรงอีกครั้งเพียงแค่คำพูดว่ารักของคนที่ไม่คิดว่าจะมีใจให้ตนจริงๆ
“พิษแค่นั้นไม่ได้ทำให้ข้าตายวันนี้เสียหน่อย แต่บาดแผลข้าที่ท่านกอดตอนนี้จะทำให้ข้าตายก่อน” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนในอ้อมกอดทำลั่วเหยียนเจิ้งสติกลับคืนมา
“พากลับไปที่ห้องบรรทมท่านพี่ก่อนเถอะ” จิวชงหยวนกล่าวพร้อมหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะความวุ่นวายเช่นนี้แหละที่เขาไม่ชอบอยู่วังหลวง แม้ยุทธภพจะวุ่นวายไปบ้างแต่ก็ไม่ใครกล้ามาสังหารตนเช่นนี้ เพียงแค่กล่าวจบเงาร่างสีดำก็พุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงหันไปมองสามีตนเองอีกครั้ง
“เจ้าเล่นแรงไปไหม รู้ว่าอยากให้รู้ใจตัวเองแต่วิธีนี้มันโหดร้ายเกินไป ก็รู้อยู่พิษพวกนั้นข้ายังหาทางแก้ไม่ได้ แล้วบัวหยกน้ำค้างพันปีบ้านั่นใครมันจะไปเอามาได้” จิวชงหยวนหันมาตำหนิลู่เฟยอย่างหงุดหงิด ที่เห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่น
“เรียนรู้ที่จะรักและควรเรียนรู้ที่จะรักษาเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ใจตนเองและระวังมากขึ้น ฮ่องเต้ที่ดีย่อมมีจุดอ่อน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นกษัตริย์ทรราชย์”
จิวชงหยวนนิ่วหน้าแม้จะไม่ชอบวิธีของลู่เฟยแต่ก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ ลั่วเหยียนเจิ้งฉลาดหลักแหลมแต่จิตใจที่บิดเบี้ยวอาจทำให้เดินเส้นทางที่ผิด กษัตร์ย์ทรราชย์เขารู้จักดีจุดจบย่อมไม่ตายดี หากมีคุณธรรมเต็มเปี่ยมย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ เมื่อได้คำตอบแล้วจึงทะยานตามร่างของลั่วเหยียนเจิ้งไปยังตำหนัก ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดไม่น้อย แล้วเขาจะแก้พิษหนอนแดงได้อย่างไร หรือว่าไปเอายาแก้พิษ?
ไม่ว่าทางเลือกไหน ก็ยากเหมือนกัน...