เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)  (อ่าน 186444 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
รักเรื่องนี้ชอบเรื่องนี้

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่26ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)

            ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าน้อยๆ กับคำพูดของน้องสิบผู้ที่ทำตัวป็นอสรพิษที่หลับใหลมาหลายปีด้วยความแปลกใจ ที่ทำเช่นนี้มาเนิ่นนานไม่ได้หมายแย่งชิงบัลลังก์แต่คิดจะทำลายราชวงค์ลั่วหยางโดยใช้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว หากเขาไม่เหมาะสมที่จะครองบัลลังก์แล้วผู้ใดกันที่ควรนั่งในตำแหน่งนั้นแทนเสด็จพ่อ
    
         “ข้าแค่ปกป้องชีวิตตนเองเอาไว้ สังหารผู้ที่คิดกบฏนั่นเป็นสิ่งสมควร หลิงเซียวหากไม่ใช่ข้าที่เหมาะสมแล้วผู้ใดเล่าควรได้ปกครอง หรือว่าเจ้าคิดจะล้มล้างอำนาจในวังหลวงโดยใช้ยุทธภพมายุ่งเกี่ยวเช่นนั้นหรือ”     “ท่านพี่คาดการณ์ได้ไม่ผิดเพียงแต่คลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย แต่ข้ามิได้โง่เขลาที่จะบอกแผนการแก่ท่านพี่” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าสงบนิ่งของหลิงเซียวไม่ได้เกินจากที่คาดหมายคนที่เจ้าแผนการล้วนไม่เผยสีหน้าที่แท้จริงให้ศัตรูได้พบเห็น แต่ที่ไม่เข้าใจเหตุใดหลิงเซียวถึงได้เกลียดชังราษวงศ์ลั่วหยางมากมายถึงเพียงนี้
    
          “โลหิตในกายเจ้าครึ่งหนึ่งเป็นของราษวงศ์ลั่วหยางเหตุใดต้องคิดทำลายแม้กระทั่งตัวเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างใจเย็น รอบกายการต่อสู้ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ทว่าคนตรงหน้าเขานั้นกลับมีรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ
    
           “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องรู้ ชีวิตท่านข้าขอแล้วกัน”
    
           เคร้ง!
    
           ตูม!!!
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งถอยหลังไปถึงสามก้าว ใบหน้าคมคายนิ่วหน้าน้อยๆ พลังลมปราณเมื่อครู่นี้รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง อสรพิษที่หลับใหลแอบไปฝึกวิชามาจนถึงขั้นสูงไม่ต่างจากตน ร่างสีแดงพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วแต่เขาซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเทพตกสวรรค์ฝู่ซานจะพ่ายแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนั้นหรือ ไม่มีทาง!
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่หยกขาวขึ้นต้านรับอีกครั้ง พลังลมปราณที่ผนึกลงในกระบี่โจมตีสะท้อนกลับจนร่างสีแดงกระเด็นห่างไปนับสิบก้าว ทว่าหลิงเซียวกลับยังทรงตัวได้ดี
    
           “คิดไว้ไม่มีผิดท่านพี่หาใช่ฮ่องเต้ที่ไร้วรยุทธ ที่ผ่านมาพวกมันช่างโง่เขลานัก แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ปีหน้าก็เป็นวันตายของท่าน”
    
          “อย่ามั่นใจนักหลิงเซียว” ลั่วเหยียนเจิ้งเค้นเสียงตอบโต้ ก่อนจะพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน เวลานี้ไม่มีคำว่าพี่น้อง มีเพียงคำว่าศัตรูเท่านั้น การลงมือที่รุนแรงทำให้ตำหนักทั้งหลังพังทลายลงอย่างง่ายดาย วรยุทธของทั้งคู่ล้วนอยู่ในขั้นสูงล้ำ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งกลับได้เปรียบความเร็วที่เหนือกว่า กระบี่สองสายฟาดฟันกันอย่างรวดเร็วดุจเส้นแสง
    
          ตูม!
    
           ลมปราณของทั้งคู่ประทะกันอย่างดุเดือด สองร่างกระเด็นถอยห่างกันออกห่างจากกัน พื้นดินโดยรอบแตกเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างน่าตกใจ ทว่าเงาร่างสีดำที่ปะทะกันต่างก็ต่อสู้กับศัตรูของตนเองจนไม่ได้หันมาสนใจเจ้านายที่ปะทะกัน มีเพียงสายตาคมกริบเหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้น
    
             อึก!
    
            หลิงเซียวกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แรงปะทะเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าตนยังด้อยกว่าพี่ชายจอมแสแสร้งผู้นี้มากนัก ไม่คิดว่าพี่ชายที่ทำตัวไร้ประโยชน์จะมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่คอยสืบตามข่าวมาหลายปีแต่ไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมีอาจารย์ผู้ฝึกสอน มือบางกำกระบี่แน่นขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างนั้นอีกครั้ง
    
            เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่หยกขาวต้านกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างว่องไว การโจมตีที่รวดเร็วและดุดัน ไม่ได้ทำให้ในใจหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ใบหน้าที่สงบนิ่งยิ่งสร้างแรงกดดันให้ศัตรูมากขึ้น รัศมีการโจมตีของทั้งคู่ทำให้ป่าไผ่ล้มลงและถูกตัดขาดต้นแล้วต้นเล่า
    
           หลิ่วเหวินอี้พลิ้วกายหลบรัศมีการโจมตีของทั้งคู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย มองดูความพินาศของตำหนักและสวนไผ่ด้วยความเย็นชา ดวงตาจับจ้องไปยังเงาร่างสีแดงและดำอย่างกังวลใจ หลิงเซียวเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและทำอะไรอย่างบ้าคลั่งไม่สนใจแม้แต่ชีวิตตนเอง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรที่ไม่อาจคาดเดาได้
    
             พรึบ!
    
            หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบรัศมีกระบี่ที่ฟาดผ่านมาได้อย่างคล่องแคล่ว เหลือบมองคนที่ลงมือกับตนด้วยสีหน้าเฉยชา แต่เมื่อเห็นเป็นผู้ใดกลับยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ชายชู้? ขององค์ชายสิบหลิงเซียว เสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เขาพบในคืนนั้น
    
           “ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่อสรพิษแดง” 
    
            ทันทีที่หลิ่วเหวินอี้เอ่ยคำร่างที่พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วชะงักงันขาที่ก้าวผิดจังหวะทำให้ร่างนั้นถลาลงดินหน้าทิ่มอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นหันไปมองพระสนมคนใหม่อย่างไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ใด คิ้วคมเฉียงกดลงลึกอย่างหวาดระแวง มองดูมุมปากที่ยกยิ้มทว่าแววตากลับเย็นนิ่งไม่มีสั่นไหวช่างน่าคุ้นเคยนักแต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนรู้จักพระสนมเป็นการส่วนตัว ไม่สิ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มอสรพิษแดง ใบหน้าคมคายเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
    
            “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงกดดันและสายตาที่ส่งมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากอย่างขำขัน เมื่อครู่นี้น่าเสียดายนักที่ไม่มีกล้องไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าหัวหน้าอสรพิษแดงจะทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้
    
            “คิดว่าเช่นไร”
    
             น้ำเสียงเย็นนิ่งที่เอ่ยตอบกลับมาทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายหรืออสรพิษแดงเซี่ยจวินครุ่นคิดอย่างหนักว่าเคยคุ้นเคยกับน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหน ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อว่าจะเจอคนที่ไม่อยากเจออีกครั้ง อีกาดำ! นี่หรือโฉมหน้าของคนกลุ่มอีกาดำ ทำไมรูปโฉมถึงได้งดงามไม่เหมาะสมกับชื่อกลุ่มเลยสักนิด
    
           เซี่ยจวินเคยเจออีกาดำมาแล้วกว่าห้าคน ทว่าคนที่ทีท่าสงบเยือกเย็นเช่นนี้ มีอยู่สองคนจึงมิอาจคาดเดาได้ว่าเป็นคนไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาก็ไม่อยากยุ่งด้วยมากที่สุด แม้จะเชี่ยวชาญด้านการใช้พิษทว่าทักษะพรางตัวและความเร็วของอีกฝ่ายทำให้มิอาจทำอะไรได้เช่นกัน
    
          “อีกาดำไยเจ้ามาอยู่ที่นี่” เซี่ยจวินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง คนของอีกานั้นมิอาจดูดายได้แม้ชื่อเสียงจะเหี้ยมโหดแต่ก็ทำงานตามใจตัวเอง มิคิดว่าวันนี้จะมาพบอีกาที่เปิดเผยตัวตนเช่นนี้
    
            “อสรพิษแดงยังอยู่ที่นี่ได้เหตุใดอีกาดำถึงจะอยู่มิได้ แต่น่าเสียดายที่วันนี้พวกเราต่างอยู่คนละฝั่ง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวอย่างสงบ ทว่าในมือปรากฏมีดสั้นหยินหยางเพราะไม่ว่าเช่นไรอสรพิษแดงก็ไม่อาจเป็นมิตรได้ ความโหดเหี้ยมไร้ความปราณีของเซี่ยจวินแม้กระทั่งลูกน้องยังต้องตัดลิ้นมิให้พูดในสิ่งที่ไม่ควร ซ้ำร้ายพวกมันล้วนโดนพิษหนอนแดงควบคุม หลังจากที่เคยจับตัวมาได้เมื่อไม่ได้รับยาแก้พิษภายในหนึ่งเดือนล้วนตกตายจนหมดสิ้น
    
          “หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงมิต้องเสียเวลาต่อรอง”
    
           เคร้ง!
    
            กระบี่ยาวคมกริบถูกต้านรับด้วยมีดสั้นหยินหยางอย่างทันท่วงที  ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าบุคคลที่มีมีดสั้นคู่นี้คือผู้ใด มันเคยพ่ายแพ้ไปแล้วหนึ่งครั้งคราวนั้นมันแทบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าเวลาผ่านไปมันก็ไม่ได้คิดจะไปแก้แค้นเพราะกลุ่มอีกามิใช่กระจอกที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้า!
    
           ที่สำคัญอีกาดำทำเหมือนไร้ตัวตน เช่นเดียวกับคนหอกิเลน พวกกลุ่มปริศนามีน้อยคนนักที่รู้จัก ทั้งหมดสี่กลุ่มด้วยกันหนึ่งหอกิเลน สองกลุ่มอีกาดำ สามวิหคดำ และสุดท้าย อสรพิษแดง ซึ่งเป็นมันเองที่เป็นหัวหน้า แม้ความสัมพันธ์พวกมันจะไม่ลงเอยกันนัก ทว่ายังใช้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสี่กลุ่มเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในยุทธภพทว่ามันกลับร้ายกาจกว่าพรรคใหญ่บางพวกเสียอีก แต่เมื่อได้ลงมือแล้วก็มิอาจถอยหลังได้
    
            เคร้ง!
    
            ตูม!!!
    
            หลิวเหวินอี้ต้านรับก่อนจะผนึกลมปราณเข้าไปยังมีดสั้นหยินหยางและตวัดเข้าหาร่างของเซี่ยจวินด้วยความเร็ว พลังที่ผนึกลมปราณไปห้าส่วนพลักร่างที่จู่โจมเข้าหาให้ถอยห่างไปกว่าสามเมตร  ใบหน้างดงามเย็นเยือกการลงมือเด็ดขาดไร้ความปราณีทำให้คู่ต่อสู้มิอาจประมาทได้อีกต่อไป
    
           เซี่ยจวินกลืนโลหิตที่อยู่ลำคอลงท้องไป ไม่อาจเผยให้ศัตรูได้เห็นว่าตนได้รับบาดเจ็บ การต่อสู้ที่ห่างหายไปกว่าสามปี คนผู้นี้ฝีมือสูงขึ้นจากเดิมมาก หากอยากชนะต้องงัดเอาทุกอย่างขึ้นมาต่อสู้แต่สุดท้ายเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะตนจะบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ นี่ยังไม่นับเหล่าองครักษ์เงาของฮ่องเต้ที่สังหารคนของตนดุจใบไม้ร่วง เมื่อมองไปยังเงาร่างสีแดงที่มีสภาพยับเยินได้แต่กัดฟันพุ่งเข้าหาหลิ่วเหวินอี้อีกครั้ง หากวันนี้มันไม่ชนะอาจจะเป็นวันตายของมันก็เป็นได้
    
           เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
          ตูม!!!
    
           การโจมตีของทั้งคู่ทำลายพื้นที่โดยรอบไม่ต่างจากคู่ของฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้ง ลมปราณสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง จนสะท้อนตีกลับทำให้สองร่างถอยห่างจากกัน แต่เพียงอึดใจก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง! การต่อสู้ที่ดุเดือด รุนแรงโหมกระหน่ำราวกลับพายุคลั่งทำลายดอกไม้ในสวนจนยับเยิน ทั้งคู่ต่อสู้พัวพันกันจนถอยห่างจากลั่วเหยียนเจิ้นไปไกลกว่าครึ่งลี้
    
           ฉัวะ!
    
           หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบคมกระบี่ที่ฟาดฟันมาอย่างหนักหน่วงแม้จะมีความเร็วที่เหนือกว่า ทว่าประสบการณ์ของเซี่ยจวินมิอาจดูถูกได้ คมมีดตัดเส้นผมไปปอยหนึ่งและเฉือนไหล่ไปอีกเล็กน้อย ใบหน้านิ่วเล็กน้อยเมื่อรับรู้สิ่งผิดปกติที่ไหล่ขวาของตนเอง ยาพิษ! นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้ในเวลานี้
    
            หลิ่วเหวินอี้พุ่งเข้าหาร่างนั้นพร้อมพลิกกายหลบคมกระบี่อย่างรวดเร็วดุจสายลม ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้มีดสั้นคู่หยินหยางฟาดฟันพากผ่านมีเพียงลมจนเกิดเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว
       
           ฉัวะ!
    
            ตูม!!
    
           เซี่ยจวินหล่นกระเด็นตกไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ร่างนั้นกระอักโลหิตออกมาคำโต หน้าอกมีคมมีดสั้นกรีดเป็นทางยาว เมื่อครู่มันเร็วมาก มากจนมิอาจมองตามได้ทัน
    
            อ๊ากกกก
    
           เสียงกรีดร้องของหลิงเซียวเรียกความสนใจให้ทั้งคู่หันไปมองอีกครั้ง แขนข้างซ้ายขององค์ชายสิบตอนนี้หลุดห้อยลงจนเกือบขาด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่าฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกันนับว่าฝีมือของทั้งคู่นั้นดูแคลนไม่ได้แม้แต่น้อย 
    
          ขณะที่ฮ่องเต้จะลงมืออีกครั้งร่างบอบบางสีดำก็พุ่งเข้ามาป้องกันไว้ได้อย่างหมดจดจนน่าทึ่ง ลั่วเหยียนเจิ้งหยุดมือมองอีกฝ่ายอย่างระวัง พลันใดนั้นมีหมอกควันปรากฏพร้อมร่างของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง พวกมันล้วนตายตกจากคมกระบี่จากองครักษ์เงาทว่ามันกลับลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไร้ชีวิต!    
    
             อึก!
    
             เพล้ง!!
    
             หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด เอนกายหลบกระบี่ที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าหาตนเองแม้สัมผัสจะเฉียบคมแต่มิอาจหลบพ้น กระบี่เสียบทะลุกลางอกอย่างรวดเร็ว พลันใดนั้นร่างกายรู้สึกปวดแสบจนมิอาจบรรยายได้แต่ก็ยังฝืนกระชากกระบี่ที่เขามองเห็นเป็นสีโลหิตซึ่งมันพยายามดูดเลือดในกายออกอย่างรวดเร็ว ลมปราณในร่างรู้สึกปั่นป่วนไปหมด
             
             “อี้เอ๋อร์!” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องเรียกร่างโปร่งที่เซเล็กน้อย แม้จะมองไม่เห็นสิ่งที่อีกฝ่ายจับเอาไว้แต่ความรู้สึกบอกมันไม่ใช่สิ่งที่ดี ร่างสูงพุ่งเข้าไปหาร่างนั้นทว่าถูกสะกัดกั้นด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น แม้จะไม่เห็นสิ่งที่ขวางกั้นทว่าสัมผัสที่เฉียบคมก็สามารถป้องกันไว้ได้ แต่มันมีมายมายจนน่าหงุดหงิด มองไปยังคนงามใบหน้าตอนนี้ซีดเผือด ทว่าลมปราณที่แผ่ออกมาเย็นเยือกอย่างน่ากลัว มีดสั้นหยินหยางหมุนรอบกาย ประกายการสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรงปะทะกับสิ่งที่ไม่เห็น มีเพียงประกายไฟออกมาเท่านั้น
    
            ตูม!!
    
            หลิ่วเหวินอี้เม้มริมฝีปากแน่น สิ่งที่ตนต่อสู้ในเวลานี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือมนุษย์ธรรมดา เขาได้ยินมาว่าเผ่ามูซอเป็นพวกนับถือภูติผีวิญญาณแต่เวลานี้กลับไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พบเป็นอะไรกันแน่ ลมปราณที่กักเก็บไว้ถูกดึงออกมาต่อต้านจนหมดสิ้น ลมปราณในร่างปั่นป่วนจนร่างเหมือนโดนฉีกกระชากแต่เวลานี้ไม่อาจผ่อนแรงได้
    
            เซี่ยจวินถือโอกาสนี้พุ่งเข้าหาทว่าขณะเดียวกันบุรุษชุดดำก็เข้ามาขวางทางเอาไว้ แรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้รู้ได้ว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มอีกาดำ มันยกมือเพียงครั้งเดียวกลุ่มอสรพิษแดงก็พุ่งเข้าไปเป็นคู่ต่อสู้แม้จะไม่ใช่คู่มือแต่ก็สามารถสกัดกั้นคนพวกนั้นไว้ได้ 
    
            เปรี๊ยะ!!
    
             ตูม!
    
             เวลานี้ทุกอย่างเหมือนจะเกินเลยจากที่คาดการณ์ไว้ พลังลมปราณสีทองที่ฟาดเข้าแทรกระหว่างกลางทำให้ทั้งสองฝั่งแยกออกจากกันรวดเร็ว พลันใดนั้นเพียงการโบกสะบัดเพียงครั้งเดียวเหล่าผีดิบที่ถูกปลุกชีพขึ้นมาก็ล้มลงสิ้นใจอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนที่ช่วยเหลือตนเองด้วยความทึ่ง ใบหน้าคมคายสาดประกายสังหารจนคนมองตัวสั่น
    
             ลู่เฟย! นี่หรือคือพลังลมปราณขององค์ชายห้า น่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียวเหล่าผีคืนชีพกลับตายลงอีกครั้ง
    
             อึก!
    
            “อี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องเรียกคนที่อยู่อีกฝั่งด้วยความร้อนรน เขาไม่เคยรู้สึกห่วงใครมากเท่านี้มาก่อน พลังที่มองไม่เห็นเวลานี้หายไปแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปหาร่างโปร่งอย่างร้อนรน ดวงตาเย็นชาที่มองมามีความเหนื่อยล้าเผยออกมา
    
            เคร้ง!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่เข้ามาขัดขวางด้วยแววตาเย็นเยือก ทว่าหลิงเซียวที่แขนซ้ายขาดห้อยกลับยังถือกระบี่ขัดขวางทุกวิธีทาง คำสั่งร้ายกาจที่ทำให้คนฟังโกรธเกรี้ยวจนแทบอยากสับร่างน้องร่วมสายเลือดเป็นหมื่นๆ ชิ้น
    
           “สังหารเหวินอี้เร็วเข้า!”
    
            หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเงาร่างบอบบางที่พุ่งเข้ามาหา มีดสั้นหยินหยางตวัดรับกระบี่โลหิตในมือของร่างบอบบางที่พุ่งเข้าหาตนด้วยความเร็ว แรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นทำให้ลมปราณแทบแตกซ่าน ความรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก
    
            ฉัวะ!
    
           หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อตวัดผ้าคลุมหน้าอีกฝ่ายออกจนหมด และด้วยความตกใจนี้เองที่ทำให้พลาดท่าจนมิอาจกล่าวสิ่งใดได้ กระบี่โลหิตเสียบทะลุกลางอกซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกว่าครั้งไหนๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มเย็นเยือกขณะที่แทงกระบี่หมายจะซ้ำเติม
    
             “ท่านแม่...”
    
              ร่างบอบบางชะงักงันถอยห่างออกมาอย่างตื่นตระหนก เสียงที่แม้จะเบาหวิวแต่กลับดังก้องไปภายในใจ ใบหน้างดงามซีดเผือดมองภาพตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ มือสองข้างสั่นเล็กน้อย
    
             “นภาเยือนถิ่น” นางกล่าวเพียงเท่านั้น ทุกคนที่เหลือต่างถอยจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หลิงเซียวองค์ชายสิบก็ถูกนำตัวไป ทุกอย่างตรงหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็วความพินาศตรงหน้าเหมือนกับความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ทว่าผู้เป็นฮ่องเต้กลับปล่อยไอเย็นเยือกไปทั่ว กระบี่หยกขาวเกรี้ยวกราดแยกเป็นร้อยสายพุ่งติดตามศัตรูและฟาดฟันดุจใบไม้ร่วง กระบี่สรรค์ยามนี้กลับถูกชโลมไปด้วยความโกรธทำให้อานุภาพรุนแรงกว่าครั้งไหน
    
             อ๊ากกก
    
             เสียงกรีดร้องท่ามกลางความมืดก่อนจะเงียบหายไป เหลือเพียงความเงียบงัน ลั่วเหยียนเจิ้งพุ่งกายเข้ามาหาร่างโปร่งสองมือสั่นระริกด้วยความกลัว
    
            อึก!
    
            ใบหน้างดงามซีดเผือดพร้อมกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งรับร่างที่ล้มลงได้อย่างหวุดหวิด เวลานี้หลิ่วเหวินอี้ดูบอบบางจนแทบสลายไปต่อหน้า
    
           “อี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า หัวใจหนักอึ้งและรู้สึกว่างเปล่าไปหมด เขาสูญเสียมามากแต่เวลานี้หัวใจที่เย็นเยือกกลับเจ็บปวดแทบทนไม่ได้ กอดประคองร่างนั้นขึ้นมาแม้ดวงตาเย็นชาจะมองมาแต่ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน
    
            “แฮ่กๆๆ ให้ตายสิ พวกนั้นตัวอะไรกันแน่” จิวชงหยวนที่กว่าจะเข้ามาเขตตะวันออกได้ถึงกลับหอบแฮ่กเพราะเขาเองก็เจอการสะกัดกั้นจากบางกลุ่มที่ใช้วิชาที่ไม่รู้จักมาก่อน แม้จะส่งลู่เฟยออกมาก่อนแต่ภาพที่เห็นตรงหน้าคงมาไม่ทันแน่ๆ ไม่สิ ลู่เฟยไม่ได้มาช้าเพราะพลังเทพก็มี เพียงแต่อีกฝ่ายคิดการใดกันแน่ถึงได้ลงมือช้าเช่นนี้ ใบหน้างดงามขมวดมุ่นมองหลิ่วเหวินอี้อย่างเป็นห่วง เขามองไปสำรวจร่างนั้นเพียงครู่ก่อนจะเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
    
            “หนอนพิษแดงอีกแล้ว! ไม่สินี่มันหนักกว่าเจี่ยงฉางอีกเพราะยังมีโลหิตกลืนกินที่แฝงไว้ในร่างกายด้วย”
    
             “หมายความว่าไง” น้ำเสียงและดวงตาที่เย็นเยือกของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งน้อยๆ ด้วยไม่เคยเห็นภาพลักษณ์เช่นนี้มาก่อน เมื่อมองไปเห็นลู่เฟยที่ยืนสงบนิ่งยิ่งทำให้เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่นี่เล่นแรงไปไหม เขายกมือลูบศรีษะเบาๆ เมื่อเจอสายตากดดันอีกฝ่าย
    
            “ก็เจอพิษเดียวกับเจี่ยงฉางแล้วก็พิษโลหิตกลืนกินซึ่งมันกินโลหิตและลมปราณของเหวินอี้เป็นอาหาร” เมื่อได้ยินเช่นนั้นลั่วเหยียนเจิ้งกำมือตัวเองแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น เมื่อก้มมองคนในอ้อมแขนความโกรธจึงจางลงบ้าง
    
            หลิ่วเหวินอี้รู้สึกใจหายเป็นครั้งแรก แม้จะคุ้นเคยชื่อพิษนี้ดีแต่หัวใจกลับสงบกว่าที่คิดไว้ การตายของเขาไม่ได้สลักสำคัญอะไร ชาติที่แล้วเจอเพื่อนรักทรยศหักหลัง มาชาตินี้กลับเป็นมารดาที่สังหารตัวเอง เขาหัวเราะออกมาอย่างขำขัน
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าต้องปลอดภัย” ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกร้อนรนเวลานี้คนในอ้อมกอดยังมีอารมณ์มาขำแต่ว่าหัวใจเขากลับเย็นเยือกไปหมด
    
            “ชงหยวนเจ้ารักษาได้หรือไม่”
    
             คำถามที่กดดันมาทำให้จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างหนักอก แม้เขาจะเป็นหมอเทวดาแต่เรื่องของคุณไสยเขาไม่ได้มีความรู้แม้แต่น้อย แม้จะพยายามหาทางแก้ไขแต่ทำได้แค่บรรเทาเท่านั้นในเวลานี้ หากใช้เวลาเพิ่มขึ้นเขาอาจหาทางแก้ไขได้ และมีอีกหนทางหนึ่งที่แก้ไขได้อย่างหมดจดคือยาอายุวัฒนะที่เหลือเพียงสองเม็ด แต่หากทำเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จะไม่ได้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป หากเป็นเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จะทำใจยอมรับได้หรือไม่ที่เห็นลั่วเหยียนเจิ้งตายไปก่อน
    
           “บัวหยกน้ำค้างพันปีที่แดนเซียนจะแก้ได้ เพียงแต่ไม่มีมนุษย์คนไหนขึ้นไปได้” ลู่เฟยกล่าวเหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนคิดอะไร ทว่าคำกล่าวนี้เหมือนดับความหวังลั่วเหยียนเจิ้งไปทันที สถานที่แห่งนั้นยังไม่มีใครเคยพบเห็นแล้วจะไปหาได้อย่างไร ไม่สิในร่างเขามีไข่มุกพันปีเพราะฉะนั้นโลหิตเขาน่าจะแก้ได้
    
           “ท่านคิดจะทำอะไร!” จิวชงหยวนร้องถามอย่างตกใจ เมื่อลั่วเหยียนเจิ้งกรีดข้อมือตนเองหยดโลหิตลงเข้าปากหลิ่วเหวินอี้ซึ่งเบิกตากว้างกับการกระทำของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ทว่าคนที่ชื่อว่าหมอเทวดากลับกระชากแขนออกอย่างหงุดหงิด
    
            “โลหิตท่านมีพิษกว่าร้อยชนิด เหวินอี้เวลานี้จะต้านทานพิษพวกนั้นได้อย่างไร แม้กายท่านจะมีไข่มุกพันปีแต่ใช่ว่าจะทำอะไรง่ายๆ อย่างนี้ได้”
    
           “แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร จะให้ข้ามองคนที่ข้ารักตายต่อหน้าหรือไง” จิวชงหยวนชะงักงัน เขาไม่เคยเห็นลั่วเหยียนเจิ้งร้อนรนเช่นนี้มาก่อน น้ำเสียงที่ตะคอกถามมันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทว่าเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดสิ่งใดออกมา
    
            หลิ่วเหวินอี้เวลานี้มองคนที่กอดตัวเองแน่นขึ้นอย่างตะลึงงัน ใบหน้าที่เจ็บปวดและดวงตาที่โกรธแค้นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คนที่เขาคิดว่าไม่มีหัวใจกำลังหลั่งน้ำตาเพื่อตนเอง ความเจ็บปวดที่ถาโถมเพราะพิษยังน้อยกว่าบาดแผลภายนอกที่โดนกอดแน่นเสียอีก แต่หัวใจที่ว่างเปล่ากลับเต้นแรงอีกครั้งเพียงแค่คำพูดว่ารักของคนที่ไม่คิดว่าจะมีใจให้ตนจริงๆ
    
            “พิษแค่นั้นไม่ได้ทำให้ข้าตายวันนี้เสียหน่อย แต่บาดแผลข้าที่ท่านกอดตอนนี้จะทำให้ข้าตายก่อน” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนในอ้อมกอดทำลั่วเหยียนเจิ้งสติกลับคืนมา
    
            “พากลับไปที่ห้องบรรทมท่านพี่ก่อนเถอะ” จิวชงหยวนกล่าวพร้อมหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะความวุ่นวายเช่นนี้แหละที่เขาไม่ชอบอยู่วังหลวง แม้ยุทธภพจะวุ่นวายไปบ้างแต่ก็ไม่ใครกล้ามาสังหารตนเช่นนี้ เพียงแค่กล่าวจบเงาร่างสีดำก็พุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงหันไปมองสามีตนเองอีกครั้ง
    
           “เจ้าเล่นแรงไปไหม รู้ว่าอยากให้รู้ใจตัวเองแต่วิธีนี้มันโหดร้ายเกินไป ก็รู้อยู่พิษพวกนั้นข้ายังหาทางแก้ไม่ได้ แล้วบัวหยกน้ำค้างพันปีบ้านั่นใครมันจะไปเอามาได้” จิวชงหยวนหันมาตำหนิลู่เฟยอย่างหงุดหงิด ที่เห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่น
    
           “เรียนรู้ที่จะรักและควรเรียนรู้ที่จะรักษาเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ใจตนเองและระวังมากขึ้น ฮ่องเต้ที่ดีย่อมมีจุดอ่อน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นกษัตริย์ทรราชย์”
    
             จิวชงหยวนนิ่วหน้าแม้จะไม่ชอบวิธีของลู่เฟยแต่ก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ ลั่วเหยียนเจิ้งฉลาดหลักแหลมแต่จิตใจที่บิดเบี้ยวอาจทำให้เดินเส้นทางที่ผิด กษัตร์ย์ทรราชย์เขารู้จักดีจุดจบย่อมไม่ตายดี หากมีคุณธรรมเต็มเปี่ยมย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ เมื่อได้คำตอบแล้วจึงทะยานตามร่างของลั่วเหยียนเจิ้งไปยังตำหนัก ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดไม่น้อย แล้วเขาจะแก้พิษหนอนแดงได้อย่างไร หรือว่าไปเอายาแก้พิษ?
    
              ไม่ว่าทางเลือกไหน ก็ยากเหมือนกัน...


            :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:   

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
คิดว่ายังไงคงไม่มีทางที่จะปล่ยให้น้องเหวินอี้ตายง่ายๆแน่   ให้รู้ใจตัวเองแบบนี้ดีที่สุด ได้พูดคำว่า รักออกมาเสียที     ขอชมในความขยันมากๆ ค่ะ อัพทุกวันเลย    และมีคำผิดที่เห็นคือ  ราษวงศ์   ต้องแก้เป็นราชวงศ์ค่ะ   ราช= ราชา ค่ะ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
 :hao6:อ้าาก บอกรักแล้ว ๆ กำลังน่าติดตามที่สุด

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อี้เอ๋อจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม หมอจะรักษาได้ใช่ไหม

สงสารจริงๆ โดนพิษที่ตอนนี้ยังหายามารักษาไม่ได้ :hao5:

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
อ่านทุกวัน สนุกมาก ชอบหนังจีน กำลังภายใน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่28(P.6วันที่ 14/6/59)

           ลั่วเหยียนเจิ้งวางร่างหลิ่วเหวินอี้ลงเตียงนอนอย่างแผ่วเบา มือสองข้างสั่นระริกคล้ายไม่กล้าแตะต้องแรงได้ ใบหน้างดงามของคนตรงหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว เวลานี้อี้เอ๋อร์ของเขาดูบอบบางพร้อมจะแตกสสลายไปง่ายๆ เช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่มันปวดร้าวจนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามคนที่หลับตาพริ้มด้วยเสียงสั่นพร่าด้วยความกลัวที่จะสูญเสียคนตรงหน้าไป เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกห่วงมากมายถึงเพียงนี้ คำถามของเขาทำให้คนนอนด้วยความเจ็บปวดปรือตาขึ้นมามองอย่างค้อนๆ หากมีแรงคงพ่นเป็นคำพูดว่า ท่านมาเจอเองไหม เป็นแน่
    
           “หากเจิ้นเจ็บแทนอี้เอ๋อร์ได้ก็ดีสินะ”  ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาด้วยความจริงที่กลั่นออกมาจากหัวใจ ส่วนคนฟังเวลานี้เริ่มเบลอไปหมด ความเจ็บปวดเหมือนร่างกายจะแตกสลายทำให้สติเริ่มพร่าเลือนทว่าสัมผัสที่อบอุ่นที่กอดประคองร่างตัวเองนั้นยังคงอยู่
    
           “ท่านพี่ช่วยถอยมาก่อนข้าจะรักษาเบื้องต้น” จิวชงหยวนที่ตามหลังมากล่าวเสียงเรียบ ในมือมีอุปกรณ์รักษาแผลและยารักษาบาดพิษบางส่วน ลั่วเหยียนเจิ้งขยับกายออกมายืนเบื้องหลังแม้ภายนอกจะดูสงบทว่าในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งไปหมด ในใจได้แต่คาดหวังว่าจะมีทางแก้ไขพิษร้ายนี้ได้
    
           จิวชงหยวนตรวจชีพจรที่แผ่วเบาอีกครั้ง บาดแผลนับว่าไม่สาหัสนักแม้จะโดนกระบี่ซ้ำกันถึงสองครั้งแต่ก็ยังห่างไกลหัวใจและไม่โดนจุดสำคัญ ทว่าสิ่งที่น่าห่วงตอนนี้คือพิษหนอนแดงกับโลหิตกลืนกิน เวลานี้หลิ่วเหวินอี้สลบไปแล้วแต่ใบหน้าที่ซีดเผือดนั้นน่าห่วงมาก เขาถอนหายใจหายาวิเศษหลายขนานออกมากรอกปากคนสลบแต่มันช่วยได้แค่บรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น
    
          “เป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจด้วยความกังวลไม่แพ้กัน ดวงตาเรียวคมเงยหน้ามามองเขานิ่งๆ
    
          “แม้ข้าจะเป็นหมอเทวดาแต่พิษพวกนี้ล้วนเป็นพิษคุณไสย โลหิตกลืนกินเป็นวิชาของพวกมาร อาจต้องใช้เวลา แต่มิอาจหายขาดได้มีเพียงบัวหยกน้ำค้างพันปีที่หุบเขาแห่งเซียนที่จะช่วยขับสิ่งชั่วร้ายภายในร่างกายได้ แต่ท่านพี่น่าจะรู้ว่ามันหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก” จิวชงหยวนกล่าวอย่างหนักใจ เพราะไม่คุ้นเคยกับพิษพวกนี้ แต่ความรู้ที่มีนั้นหากมีส่วนผสมครบทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา ปัญหาตอนนี้อยู่ที่วัตถุดิบในการปรุงยานั้นมันมิมีในโลกมนุษย์!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งหัวใจสั่นสะท้าน แม้ร่างสูงจะยืนนิ่งไม่ไหวติงทว่าในใจกลับอื้ออึงจนพูดไม่ออก เขาจะปล่อยให้คนตรงหน้าตายจริงๆ หรือ? ไม่! นั่นคือคำตอบที่อยู่ภายในใจแต่ว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นตนจะไปหาบัวหยกน้ำค้างพันปีได้จากที่ใด เมื่อมองคนที่ขึ้นชื่อว่าหมอเทวดายังมีสีหน้าหนักใจขนาดนั้น จิวชงหยวนไม่มีทางอื่นรักษาจริงๆ หรือ
    
           “มีวิธีอื่นหรือไม่” น้ำเสียงเย็นนิ่งที่เอ่ยถามทำให้คนมองคาดเดาไม่ถูกว่าคิดสิ่งใดอยู่ จิวชงหยวนทำแผลให้หลิ่วเหวินอี้เบามือก่อนจะหันมาสบตาผู้เป็นฮ่องเต้อีกครั้ง
    
           “มีอีกทาง ตามหาคนที่วางยาพิษและเอายาแก้มาให้ได้ เพียงแต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันคิดหายาแก้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งกำมือแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม จิวชงหยวนกล่าวได้ถูกหากยาแก้พิษมีส่วนผสมของบัวหยกน้ำค้างพันปีแล้วพวกมันจะหามาจากที่ใด ทางเดียวที่คิดได้คือมันไม่มียาแก้พิษ!
    
          “พิษหนอนแดงข้าคิดว่าไม่เกินสามวันน่าจะแก้ได้ แต่โลหิตกลืนกินนั้นข้ายังหาหนทางอื่นไม่ได้” จิวชงหยวนเอ่ยเสียงหนักแน่น ดวงตาเรียวมองคนที่มีความแค้นในอกอย่างเข้าใจ
    
         “ขอบคุณ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่งที่หลับใหลมือหนาปัดเส้นผมสีดำเงางามออกจากใบหน้าแผ่วเบา ใบหน้างดงามซีดเผือดและมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้า มุมปากแม้มแน่นเหมือนข่มความเจ็บปวดของตัวเอง ทว่าหัวใจเขากลับเจ็บปวดยิ่งกว่า ความรู้สึกเวลานี้แม้คนโง่เขลายังรู้ว่ามันคือความรัก กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีความรู้สึกเช่นนั้นหลงเหลืออยู่ในหัวใจ แต่หากค้นพบแล้วไยจะกล้าปล่อยให้คนที่รักตายต่อหน้าอีกตาเล่า
    
          “ร่างกายเหวินอี้จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เรามีเวลาแค่หนึ่งเดือนหากไม่...” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งเงียบทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนั้น จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าเงียบๆ ก่อนจะถอยออกมาปล่อยให้คนที่เคยไร้ใจรู้ใจตัวเองเสียที หากรักจริงมีหรือว่าจะไม่หาหนทางรอดให้กับคนที่รัก เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งน่าจะเข้าใจองค์ชายเก้าที่ถูกกักขังอยู่ห้องอาญารอรับโทษทัณฑ์มากขึ้น ส่วนเจี่ยงฉางยังอยู่กับเขาเพื่อค้นหายาแก้ หากเจี่ยงฉางหายได้หลิ่วเหวินอี้ย่อมมีโอกาสเช่นกัน
    
          “อี้เอ๋อร์เจิ้นขอโทษ หากเจิ้นไม่ประมาทเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” น้ำเสียงสั่นพร่าแต่แฝงไว้ด้วยเจ็บปวดในอก ความเสียใจถาโถมเข้ามาภายในใจ มือขวาลูบใบหน้างดงามอย่างแผ่วเบาก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากบางที่ตอนนี้ซีดเซียวไม่ต่างจากดวงหน้า รสจูบที่หอมหวานอย่างตราตรึงหากเขาต้องสูญเสียคนผู้นี้หัวใจที่เย็นเยือกคงไม่มีสิ่งใดเยียวยาอีกแล้ว
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งก้มลงจูบริมฝีปากที่ซีดเซียวของคนนอนนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาที่สั่นไหวเวลานี้เย็นเยือกมีแต่จิตสังหารที่เข้มข้นองครักษ์เงาถึงกับสั่นไหว ความเย่อหยิ่งของตนเองและความมั่นใจทำให้เขาต้องเกือบสูญเสียคนที่รัก มองไปนอกหน้าต่างอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องตามหาบัวหยกน้ำค้างพันปีมาให้ได้แม้ต้องตายเขาต้องนำมาให้ได้!
    
          “อี้เอ๋อร์คนดีรอเจิ้นอยู่ที่นี่ เจิ้นจะไปหาบัวหยกน้ำค้างพันปีมารักษาเจ้าให้ได้” ดวงตาที่เคยเยือกเย็นกลับอ่อนโยนลงเมื่อมองร่างที่หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด แม้เวลานี้ภายในวังหลวงจะวุ่นวายแต่หากชีวิตคนที่รักยังรักษาไม่ได้แล้วเขาจะกล้าปกครองเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร!
    
            ภายในคืนนั้นข่าวของฮ่องเต้ผู้ทรงมีจิตใจคุณธรรม อ่อนโยนดั่งสายน้ำได้ปราบกบฏดังไปทั่วทุกหัวแคว้น ขุนนางน้อยใหญ่ที่แอบเป็นสายและคิดทรยศต่อลั่วเหยียนเจิ้งถูกจับกุมได้อย่างรวดเร็ว หลักฐานการช่อโกงและรับสินบนของขุนนางขั้นหนึ่งและสองถูกนำมาเผยแพร่จนดิ้นไม่หลุด ยามนี้พวกมันถึงได้รู้อย่างแท้จริงว่าฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งมิได้โง่งมเบาปัญญา มิได้อ่อนแอดั่งที่เข้าใจ มิหน้ำซ้ำหลักฐานที่พวกมันได้ทำขึ้นแม้จะถูกซุกซ่อนอยู่ในที่ลับหรือชั้นใต้ดินถูกรื้อค้นและพบเห็นจนหมดสิ้น ภายในสองวันขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่คิดไม่ซื่อต่างสูญหายและล้มตายอย่างน่าเวทนา อีกทั้งถูกประหารทั้งตระกูล! ทำให้ขุนนางที่กำลังหลงผิดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เวลานี้ทำได้แต่ก้มหน้าทำงานอย่างซื่อสัตย์ เหล่าพระสนมนางในที่เป็นสายล้วนตายตกไม่ต่างกัน ยาพิษสิ้นใจคือสิ่งที่ประทานให้อย่างเลือดเย็น!
    
          ในวันที่สามฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งได้หายออกไปจากวังหลวงเพื่อภารกิจบางอย่างที่เวลานี้ถูกปิดเงียบ แต่ถึงแม้จะรู้พวกขุนนางที่ทำตัวซื่อสัตย์ต่างก้มหน้าทำงานของตนอย่างตั้งใจ เพราะพวกมันรู้แล้วว่าพระองค์นั้นมีสายลับมากถึงเพียงไหน แม้กระทั่งคนข้างตัวพวกมันเองก็อาจจะใช่ เรื่องราวภายในวังหลวงลั่วหยางถูกเก็บกวาดจนสะอาด แม้แต่หนูสักตัวก็ไม่มีเว้น!
    
           การลงมือเด็ดขาดในครั้งนี้ทำให้แคว้นลั่วหยางสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่น้องที่เหลือต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด และสืบตามหาหยกน้ำค้างพันปีอย่างเงียบงันตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัว แม้ทุกอย่างจะกลับมาสงบ ทว่าหัวใจของผู้ที่ลงมือโหดเหี้ยมกลับหนักอึ้งจนปวดร้าว
    
             เวลานี้ร่างสูงในอาภรณสีดำ ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีเงินครึ่งหน้ากำลังพุ่งทะยานไปตามหุบเขาน้อยใหญ่ไม่ว่าจะลึกลับเพียงใดเขาก็ก้าวย่างไปอย่างไม่มีหวาดกลัวอันตราย แต่ไม่ว่าไปที่ใดกลับไม่พบขุนเขาแห่งเซียนอย่างที่เล่าลือ
    
            “ฝ่าบาทพระองค์ควรหยุดพักพระวรกายบ้างพ่ะย่ะค่ะ พระองค์หักโหมมาห้าวันแล้วหากพระสนมหวงกุ้ยเฟยทรงทราบคงไม่ยินดีแน่พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงองค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยเตือนด้วยหัวใจเจ็บปวดเมื่อเห็นผู้เป็นนายไม่ห่วงใยตัวเองเช่นนี้
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ปรายตามองอย่างเย็นชา ก่อนจะท่องทะยานไปตามหุบเขาอย่างไม่มีย่อท้อ สองวันมานี้เขายังไม่เจอหุบเขาที่ว่า และยังไม่เจอหุบเขาเร้นลับที่อยู่ของอาจารย์ หากเจออาจารย์อีกสักครั้งอาจจะมีโอกาสช่วยอี้เอ๋อร์ได้
    
           หยางซือหมิงมองตามอย่างหนักใจก่อนจะรีบติดตามไปด้วยความเหนื่อยล้า หลายวันมานี้แทบจะไม่ได้พัก หากฝืนต่อไปอีกสักวันสองวันฝ่าบาทคงได้ตายก่อนพระสนมหลิ่วเหวินอี้แน่ๆ
    
           พลันใดนั้นกระบี่หยกสีขาวที่สงบนิ่งกลับทอแสงสีฟ้าอ่อนแล้วทะยานออกจากด้านหลังของลั่วเหยียนเจิ้ง ร่างสูงชะงักงันมองกระบี่อย่างระวัง พลันใดนั้นกระบี่หยกขาวตวัดเขียนเป็นตัวอักษรเรืองแสงสีทองอ่านได้ความว่า
    
    สายธารามิอาจไหลกลับ        ลาลับขอบฟ้าแด่แดนสวรรค์
    สิ่งยื้อใจอยู่ใกล้เหมือนกรรมบัง     ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองตาอักษรอย่างตะลึง ลายมืออาจารย์นั้นยังจำได้ แต่ปริศนาที่ถูกทิ้งไว้ทำให้หัวใจหวาดหวั่น นี่คือหนทางที่อาจารย์จะช่วยเขาได้ใช่ไหม แล้วเหตุใดอาจารย์ถึงไม่มาพบเขาด้วยตนเอง พลันใดนั้นกระบี่สีขาวก็กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งยังยืนนิ่งอยู่กับที่จนกระทั่งองครักษ์ตามมาทัน ใบหน้าคมคายเวลานี้แทบไร้สีเลือด คิ้วคมเฉียกดลึกครุ่นคิดไปถึงปริศนา สายธารามิอาจไหลกลับ คล้ายจะบอกว่าไม่มีสิ่งใดย้อนเวลากลับไปได้ ลาลับขอบฟ้าแด่แดนสวรรค์ นั่นคงหมายถึงมันมิได้อยู่ในดินแดนมนุษย์ธรรมดา หุบเขาแห่งเซียนอยู่บนสวรรค์เรื่องนี้เขาพอรู้จากลู่เฟยเพียงแต่เพราะความหวังอันน้อยนิดจึงคิดว่าจะมีหนทางไปหุบเขาได้บ้าง สิ่งยื้อใจอยู่ใกล้เหมือนกรรมบัง คงหมายถึงคนใกล้ตัว แต่ว่าผู้ใดจะมีหยกน้ำค้างพันปี แต่คงมิใช่จิวชงหยวนกับลู่เฟยแน่ๆ เพราะทั้งสองไม่ได้โป้ปดตน  ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร แสดงว่าคนผู้นี้มิใช่มนุษย์แล้วเป็นผู้ใดกัน
    
           “ฝ่าบาท” หยางซือหมิงเอ่ยเรียกอย่างกังวล เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดและร่างที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของพระองค์ ดวงตาคมกริบหันมามองจนแอบสะดุ้งในใจ
    
           “ซือหมิงเจ้าว่าผู้ใดเป็นจิ้งจอกมาร” คำถามของเจ้าเหนือเวลานี้ทำให้มันรู้สึกมึนงง
    
            “กระหม่อมไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบตรงไปตรงมาขององครักษ์ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างหงุดหงิด ไม่ได้เรื่อง!
    
            “โอ้ยยยย ร้อนๆ ๆ ๆ” เสียงคร่ำครวญโวยวายของใครบางคนพุ่งตรงมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างระวัง มือกระชับกระบี่หยกขาวอย่างไม่ไว้ใจ
    
           “ให้ตายสิ นี่มันร้อนอะไรอย่างนี้” เสียงโวยวายดูนุ่มทุ้ม ร่างโปร่งสีขาวพุ่งทะยานจะผ่านไป ทว่ากลับหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตาในอาภรณ์ลายพยัคฆ์ ร่างสีขาวงดงามและใบหน้าขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่เข้าใจ ในมือโยนหัวมันที่ร้อนๆ สลับไปมา ก่อนที่มันจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็งทันทีด้วยฝีมือของลั่วเหยียนเจิ้ง
    
            “โอ้ย หัวมันข้า โถ่ๆ แข็งไปซะแล้ว เจ้าแช่แข็งหัวมันร้อนๆ ข้าทำไม” ลั่วเหยียนเจิ้งกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ในเมื่อเห็นมันร้อนจะจับโยนไปโยนมาทำไม แล้วเหตุใดเขาต้องมาเจอศัตรูหัวใจด้วย!
    
             “โง่เง่า” ฟางเทียนฟงอ้าปากค้างมองคนด่าตัวเองอย่างตะลึง ก่อนจะสลับมองหัวมันที่แอบขโมยมา เขาอยากกินหัวมันร้อนๆ แต่ตอนนี้กลับถูกแช่แข็งจนกินไม่ได้ด้วยความเสียดาย ก่อนจะหรี่ตามองคนที่ทำลายอาหารมือเที่ยงของตนเองอย่างสนใจ
    
            “ฮ่องเต้อย่างเจ้าว่างงานจนมาเที่ยวเล่นที่นี่หรือ แล้วอี้เอ๋อร์ของข้าอยู่ไหนแล้วล่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งคิ้วกระตุกมองประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าอย่างหงุดหงิด อี้เอ๋อร์คนดีของเขาไปเป็นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นี้ตอนไหนกัน
    
            “เมียข้าไปเป็นคนของเจ้าตอนไหน” ดวงตาเย็นเยือกที่ส่งมาทำให้ฟางเทียนฟงหัวเราะในลำคออย่างนึกสนุก
    
            “อี้เอ๋อร์เป็นคนของข้าก่อนจะเจอเจ้าก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เอ่ยตอบอย่างยั่วโมโห ทว่าดวงตามองมานั้นดูใสซื่อจนน่าหมั่นไส้ ลั่วหยียนเจิ้งมองตามอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินหนีอย่างไม่ใส่ใจ ทะเลาะกันไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์สู้เอาเวลาไปหาหยกน้ำค้างพันปียังดีกว่าอีก    
    
              ฟางเทียนฟงหรี่ตามองคนเดินหนีตัวเองด้วยความประหลาดใจ ข่าวการทำลายกบฏแคว้นลั่วหยางดังไม่ถึงเจ็ดวัน แต่เจ้าตัวกลับมาเดินเล่นอยู่ในป่าลึกที่มนุษย์ไม่ควรมาอย่างใคร่สงสัย ใบหน้าคมคายที่ปกปิดด้วยหน้ากากสีเงินนั้นซีดเซียวดูอ่อนล้าแต่กลับมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพัก เขาแอบติดตามไปเงียบๆ เฝ้าดูพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างครุ่นคิด
    
                ฟางเทียนฟงติดตามลั่วเหยียนเจิ้งอีกสองวันก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาหวาดหวั่นพาดผ่านในแววตาอย่างน่าประหลาด เกิดอันใดขึ้นทำไมลั่วเหยียนเจิ้งถึงได้เดินทางข้ามเขาลูกนั้นลูกนี้อย่างไม่ย่อท้อ พอพักเหนื่อยก็ไปต่อ จนผู้ติดตามกลายเป็นผีตายซากไปแล้ว
    
            พรึบ!
    
               ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองคนที่มาดักรอเบื้องหน้าอย่างหวาดระแวงเขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายแอบตามมาแม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นร่างตรงหน้ากลับปรากฏภาพแปลกตาอย่างน่าประหลาด เกศาสีขาวโพนยาวจนลากพื้นดวงตาสีฟ้าอ่อนที่มองมาคล้ายจะสะกดจิต เขาส่ายหน้าไปมาเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง สงสัยเขาจะเหนื่อยล้าจนเห็นภาพประหลาดจากฟางเทียนฟงไปได้
    
             “เจ้าตามข้ามาทำไม” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง ดวงตาสีดำล้ำลึกจ้องมองมาที่เขาจนรู้สึกหวาดหวั่น คล้ายดวงตาที่อ่านทุกอย่างภายในใจ คนตรงหน้าเหมือนมนุษย์ธรรมดาขณะเดียวกันกลับดูแปลกตา สงสัยเขาต้องหยุดพักจริงๆ เสียแล้ว
    
            “ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเจ้าตามหาสิ่งใดกันแน่”
    
             “เจ้าพูดถึงอะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับนิ่งเรียบไม่ได้เผยพิรุจอันใดออกมา ทว่าร่างกายยังคงยืนมั่นคงเพื่อป้องกันอีกฝ่ายจะโจมตี แม้จะไม่มีจิตสังหารทว่าในใจกลับร้องเตือนว่าคนตรงหน้าอันตราย จากที่เคยปะทะกันสองครั้งก็ทำให้รู้ว่าวรยุทธแตกต่างกันหลายขั้น
    
            “หึ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อ?  ฮ่องเต้ไร้ใจเช่นเจ้ามีสิ่งใดสำคัญถึงได้ทุ่มเทถึงเพียงนี้ เจ้าคงไม่รู้ว่าสภาพตัวเองตอนนี้น่าเวทนาขนาดไหน”
    
           “เรื่องของข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างเย็นชา ความอ่อนโยนที่เคยมีไม่หลงเหลือแล้วในเวลานี้ มีแต่ความเย็นชาและโหดร้ายเท่านั้น
    
            “ข้าก็ไม่อยากยุ่งหรอก หากกระบี่หยกขาวไม่เรียกร้องหาข้าจนปวดแก้วหูขนาดนี้”
    
              ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองคนกอดอกยืนนิ่งมองกระบี่ของเขาอย่างหงุดหงิด ขณะเดียวกันมันก็ประกายเศร้าหมองจนหัวใจสั่นสะท้าน ความรู้สึกนี้อีกแล้ว! ฟางเทียนฟงต้องผ่านสิ่งใดมาบ้างถึงได้มีความเศร้าหมองในดวงตาจับจิตจับใจมากขนาดนี้ หรือว่าคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ฝู่ซานจริงๆ?
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งสงบสติอารมรณ์ตัวเองก่อนจะหยุดพัก เดินไปนั่งบนก้อนหินซึ่งไม่ไกลมากนักแล้วหันไปมองหยางซือหมิงที่นั่งลงกับพื้นจนไม่มีแรงพูดด้วยความรู้สึกผิด เหลือบมององค์รักษ์เงาของตนเองที่มีสภาพไม่ต่างกัน ซึ่งเขาก็คงไม่พ้นเหมือนผีตายซากอย่างสองคนนั่น
    
            “พักก่อนเถอะ”
    
            เพียงแค่คำสั่งสั้นๆ ทว่าหยางซือหมิงรู้สึกเหมือนแม่พระมาโปรด เขาหันไปมองฟางเทียนฟงอย่างขอบคุณสุดซึ้ง ก่อนจะล้มตัวนอนอย่างเอน็ดอนาจไม่หลงเหลือภาพลักษณ์องครักษ์ผู้สง่างามอีกต่อไป พลันนั้นเขารู้สึกอิจฉากวงไห่สหายร่วมตายที่มีหน้าที่อารักษ์พระสนมหลิ่วเหวินอี้ขึ้นมาทันที ไม่น่าเสนอตัวเลยเรา...
    



       :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
น่าสงสารที่สุด ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี
เจิ้นก็น่าสงสาร อี้เอ๋อก็น่าสงสาร
โดนหักหลังอีกแล้ว

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ pattapong200320

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
เทียนฟงมีใช่มั้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :katai4:

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ฟางเทียนต้องมียาแก้พิษอี้เอ๋อร์แน่ๆ  รีบๆบอกไปสิว่า อี้เอ๋อร์ป่วย

ออฟไลน์ little_pig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากๆค่ะ o13 o13  รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ :m13: :m13: :m13: :m13:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
 :ling3:

กะลังมันเลย :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)


          กลางดึกสงัดภายในตำหนักมังกรที่ประทับของฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเวลานี้มีร่างของพระสนมหลิ่วเหวินอี้นอนนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม ร่างโปร่งซีดเผือดในอาภรณ์สีขาวบางเบา ซึ่งตอนนี้มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มร่างด้วยความเจ็บปวดของพิษโลหิตกลืนกิน ข้างกายยังมีจิวชงหยวนที่ยินนิ่งสงบมองคนไข้ด้วยความหนักอึ้ง แม้เวลานี้พิษหนอนแดงคุณไสยได้ถูกกำจัดไปหมดแล้วแต่ยังหลงเหลือพิษโลหิตกลืนกินซึ่งร้ายกาจไม่แพ้พิษชนิดไหน เขาลองทดลองสมุนไพรที่ใกล้เคียงกันแต่ทำได้แค่ยับยั้งไว้ชั่วคราวนั้น ความรู้มากมายภายในหัวกลับไร้ประโยชน์เมื่อไม่มีวัตถุดิบในการปรุง
    
         “จะปล่อยไว้อย่างนี้หรือลู่เฟย” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่ยืนกอดอกอยู่ริมหน้าต่าง ร่างสูงสง่าตอนนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเทพ ดวงตาคมกริบมองมาที่คนรักอย่างอ่อนโยน ทว่าถ้อยคำที่ตอบกลับมาฟังดูโหดร้าย
    
         “ลิขิตสวรรค์ ข้ามิอาจแพร่งพราย พวกเขาล้วนมีชะตากรรม บัดนี้ข้ากลับมาเป็นเทพเต็มตัวแล้วมิอาจยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวได้มากนัก แค่คอยมองดูราษวงศ์ลั่วหยางได้อีกห้าสิบปีก็หมดหน้าที่ข้าอย่างแท้จริงแล้ว” จิวชงหยวนนิ่วหน้าไม่พอใจนัก หากลู่เฟยไม่นิ่งเฉยเพื่อนร่วมภพของเขาคงไม่จบลงเช่นนี้
    
        “แต่ข้าไม่ได้เป็นเทพ ข้าจะยื่นมือไปช่วยได้ไหม” รอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วยกมือลูบผมอย่างปลอบประโลม
    
        “หยวนน้อยเจ้าจะไปที่แดนเซียนไม่ได้ เทพโอสถก็มิอาจยื่นมือไปช่วยได้เช่นกัน เส้นทางนี้ลิขิตชะตาถึงสี่ชีวิตด้วยกัน หากลั่วเหยียนเจิ้งรู้จักเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง คนที่ได้รับผลดีในครั้งนี้มิใช่ผู้เดียว” คำกล่าวของลู่เฟยฟังดูมีปริศนา สี่ชีวิตที่เอ่ยถึงจิวชงหยวนมิเข้าใจแม้แต่น้อยว่าเป็นผู้ใด ดวงตาล้ำลึกของคนรักทำให้ปิดปากเงียบ บางครั้งไม่รู้อันใดเลยยังดีกว่า
    
         “ไปพักเถอะ วันนี้เจ้าทำได้ดีแล้ว”
    
          จิวชงหยวนเม้มปากแน่นมองคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงนอน เขาหันไปสั่งงานกับองครักษ์กวงไห่อีกครั้ง ก่อนจะเดินเร้นกายหายไปพร้อมด้วยเทพสวรรค์ลู่เฟย...
    
         ดวงตาเรียวสวยปรือขึ้นมามองรอบกายที่ไม่คุ้นเคย หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นยืนกวาดสายตามองผ่านความมืดอย่างระวัง พลันนั้นเขาได้เห็นลั่วเหยียนเจิ้งวิ่งทะยานผ่านหน้าเขาไป ความรวดเร็วดุจเส้นแสงทว่ากลับจดจำร่างนั้นเป็นอย่างดี ตามมาติดๆ ด้วยองครักษ์หยางซือหมิงที่เห็นไม่บ่อยนัก ทว่าทั้งคู่กลับพุ่งผ่านเขาไปเหมือนไม่มีใครมองไม่เห็น
    
         เกิดไรขึ้น หรือว่าเขาตายไปแล้ว?
    
         หลิ่วเหวินอี้รู้สึกมึนงงเล็กน้อย จำได้ว่าตัวเองบาดเจ็บสาหัส ทว่าตอนนี้ร่างกายกลับรู้สึกเบาหวิวไม่ได้เจ็บปวดอันใด ดวงตาเรียวมองตามแผ่นหลังที่หายไปของลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความสงสัย เขาพุ่งทะยานตามไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าเหนื่อยหอบ ทว่าคนตรงหน้าเขากลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าและแผ่นหลัง บ่งบอกความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้ง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเรียก ทว่าคนตรงหน้ากลับได้ยินที่ซ้ำร้ายเขายืนอยู่เบื้องหน้าแต่กลับไม่เห็นเขา เหลือบมองผู้ติดตามก็มีลักษณะเดียวกัน พลันใดนั้นหัวใจกลับสั่นสะท้าน เขาตายแล้วจริงๆ สินะ หัวใจที่ว่างเปล่ากลับรู้สึกสั่นสะท้าน ทว่าเมื่อยกมือจับกลางหน้าอกกลับไม่ได้ยินเสียงมันเต้นอีกครั้ง
    
          หลิ่วเหวินอี้เงยหน้าขึ้นมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก หากก่อนตายเขาไม่ได้ยินคำว่ารักจากคนไร้ใจและน้ำตาของมังกรเขาคงจากไปด้วยจิตใจสงบกว่านี้  ดวงตาที่เย็นชามองตามร่างของคนที่เคยบอกรักพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วบ้าง ช้าบ้างอย่างสับสน หากเขาตายแล้วฮ่องเต้เจ้าเล่ห์ผู้นี้มาทำอะไรที่นี่ มองรอบกายมีแต่ ป่า หุบเขาและสัตว์ดุร้ายเต็มไปหมด เพียงแค่มันตามความเร็วของทั้งคู่ไม่ทันเท่านั้นเอง
    
         เพียงแค่นึกถึงร่างของเขากับมาปรากฏอยู่ข้างกายลั่วเหยียนเจิ้งได้อย่างรวดเร็วแม้กระทั่งตัวเขาอย่างตกตะลึง เหตุใดเขาตายไม่ได้ไปเกิดใหม่เหมือนที่แล้วมาแต่กลับมาปรากฏกายอยู่ไม่ห่างคนที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานแต่คิดไม่เคยซื่อกับเขาแม้แต่น้อยเช่นนี้
    
         แม้จะร้องเรียกและพยายามจับร่างของลั่วเหยียนเจิ้งเอาไว้แต่กลับไร้ผล ทุกอย่างเขาไม่อาจแตะต้องได้เหมือนวิญญาณไร้ญาติทำได้เพียงตามติดเจ้ากรรมนายเวรจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อยู่อย่างนี้ เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้ผลจึงตามมองอย่างเงียบๆ วันที่หนึ่งเขามองด้วยความเฉยชา สงบนิ่ง วันที่สองความกังวลพาดผ่านในแววตา วันที่สามความรู้สึกห่วงใยจู่โจมหัวใจจนรู้สึกสั่นสะท้านทั้งร่าง เข้าวันที่สี่หลิ่วเหวินอี้ได้แต่เบือนหน้าหนีมิอาจมองภาพตรงหน้าได้ ร่างที่เคยสง่างามกลับคลุกฝุ่น อดมื้อกินมื้อ วันหนึ่งแทบไม่นอนเพียงแค่หลับตาหนึ่งก้านธูปก็เดินทางต่อ ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงฉายไปทั่วร่าง แต่กลับไม่แยแสร่างกายตัวเองแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นตรงหน้าเขาจะไม่สนใจไยดีเลยสักนิด หากมิใช่ว่าการกระทำที่ทำร้ายแม้กระทั่งตัวเองในเวลานี้ก็เพราะเพื่อตัวเขาเอง ร่างที่ทรุดโทรมวิ่งข้ามภูเขาลูกนั้นลูกนี้ สอดสายตามองหาสิ่งที่ตามหาอย่างแน่วแน่
    
            ....คนคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจผู้ใด แม้กระทั่งสายโลหิตเดียวกันกลับทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตกลับมาอีกครั้ง
    ...คนคนหนึ่งที่ไม่เคยห่วงใยผู้ใด กลับห่วงใยเขาอย่างแท้จริง
    ...และคนคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักคำว่ารัก กลับบอกรักเขาด้วยความจริงใจ
    
            แล้วจะให้เขามองภาพเจ็บปวดในแววตาเย็นชานั้นได้อย่างไร!
    
            เวลานี้หลิ่วเหวินอี้รู้แล้วว่าตนเองเป็นเพียงดวงจิตที่หลุดออกจากร่าง แต่คงอีกไม่นานเขาคงได้กลายเป็นวิญญาณจริงๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่หรือคนตาย เขาก็ไม่อยากให้ลั่วเหยียนเจิ้งทุ่มเทเพื่อเขามากมายถึงเพียงนี้ สิ่งที่ไม่มีในโลกมนุษย์จะหามาเจอได้อย่างไร และหากหาพบสุดท้ายเขาจะมาตอบแทนความรักให้คนตรงหน้านี้ได้หรือไม่
    
           หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งไม่กล้าที่จะหันไปมองเงาร่างที่พุ่งทะยานไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพัก แม้ภายนอกจะเฉยชากับสิ่งที่เห็น ทว่าในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งและสับสน ความขัดแย้งภายในใจทำให้ไม่อยากมอง ไม่อยากคิดสิ่งใดอีก เขาไม่เคยมีประสบการณ์ที่มีใครสักคนห่วงใยอย่างแท้จริงเช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ไม่รู้จะตอบรับสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างไร
    
           พลันใดนั้นหลิ่วเหวินอี้รับรู้ถึงพลังบางอย่างมาจากลั่วเหยียนเจิ้ง กระบี่หยกขาวที่อยู่ด้านหลังลอยออกมาเบื้องหน้าผู้เป็นเจ้าของมันส่องประกายสีฟ้าอ่อนออกมา พร้อมตวัดตัวอักษรสีทองงดงาม เพียงแค่คิดเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าฮ่องเต้ซึ่งบัดนี้ไม่หลงเหลือความสง่างามอีกแล้ว
    
             สายธารามิอาจไหลกลับ        ลาลับขอบฟ้าแด่แดนสวรรค์
    สิ่งยื้อใจอยู่ใกล้เหมือนกรรมบัง     ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร
        
             สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือปริศนา หลิ่วเหวินอี้มองดูกระบี่วิเศษที่มีเศษเสี้ยวดวงจิตของใครบางคนอยู่ ขณะนั้นเขามองเห็นร่างสูงสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏกายแม้จะเจือจางแต่ก็ชัดเจนในความรู้สึก แววตาล้ำลึกมองดูลั่วเหยียนเจิ้งคล้ายจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็น ร่างนั้นหันมามองทางเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน รัศมีรอบกายล้วนบอกได้ว่าไม่ธรรมดาทว่าน่าเสียดายที่ร่างนั้นเจือจางลงไปทุกทีก่อนจะหายไปกับสายลมพร้อมคำพูดที่ทิ้งไว้ในหนักอึ้งในอก
    
            “ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้” คำพูดที่แผ่วเบา คล้ายคนพูดไม่ได้อยู่ที่นี่เศษเสี้ยวดวงจิตในกระบี่คือผู้ใด เหตุใดจึงช่วยเขา แววตาล้ำลึกมีความเศร้าหมอง และอ้างว้างหมือนใครบางคนที่เขารู้จัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นี้คือคนที่ฟางเทียนฟงตามหา
    
            หลิ่วเหวินอี้หันกลับมามองลั่วเหยียนเจิ้งอีกครั้ง ใบหน้าคายขมวดคิ้วลึก เคร่งเครียดจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ร่างสูงยืนนิ่งครุ่นคิดถึงปริศนาที่ถูกทิ้งไว้ ทำให้เขาหวนคิดไปถึงความหมายของมัน
    
           “ฝ่าบาท” เสียงเรียกพร้อมลมหายใจติดขัดจากความเหนื่อยล้าของหยางซือหมิง ทว่าใบหน้านั้นเผยความห่วงใยเจ้าเหนือหัวอย่างจริงจัง  ทำให้หลิ่วเหวินอี้หันไปมองอย่างเวทนา ในเมื่อเจ้านายไม่หยุดพักแล้วผู้ติดตามจะกล้าพักได้อย่างไร สภาพตอนนี้ของทั้งคู่เห็นแล้วทำให้เขารู้สึกผิดภายในใจลึกๆ ขณะเดียวกันกลับรู้สึกยินดี
    
         “ซือหมิงเจ้าว่าผู้ใดเป็นจิ้งจอกมาร” คำถามของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้หันไปมองด้วยความสนใจ ความรู้สึกว่าเขารู้จักจิ้งจอกถาโถมเข้ามาในใจ จิ้งจอกคือปีศาจจิ้งจอกใช่หรือไม่ เขาครุ่นคิดกับตัวเองด้วยความสงสัย แต่หากเป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ น่าจะเป็น...
    
           พลันใดนั้นร่างสีขาวที่คุ้นตาก็พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงโวยวายเล็กน้อยแต่น้ำเสียงไม่ได้เดือดร้อนอย่างที่ร้องออกมาจริงๆ ภาพที่เห็นทำให้หลิ่วเหวินอี้พูดไม่ออก ฟางเทียนฟง ทุกอย่างตรงหน้าทำไมดูแปลกตาคนที่เขากำลังคิดถึงกลับปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนสวรรค์กำหนด ทว่าขณะเดียวกันกลับเหมือนมีม่านหมอกปิดบังหัวใจมิให้เห็นความจริง
    
           จากภาพที่เห็นลั่วเหยียนเจิ้งไม่เห็นร่างที่แท้จริงของฟางเทียนฟง ยกมือขึ้นลูบดวงตาแผ่วเบาเกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของเขา เมื่อครั้งตอนที่เขาเจอกระบี่โลหิตกลืนกินแทงทะลุกลางอกก็ยังสามารถมองเห็นมันได้ในขณะที่คนอื่นมิอาจมองเห็นได้ ที่สำคัญเขามองเห็นรัศมีสูงส่งได้จากลู่เฟย อำนาจที่ทำลายล้างเพียงแค่สะบัดมือทว่าเจ้าตัวเพียงแค่ช่วยเหลือเล็กน้อยและยืนมองอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น
    
           หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองสองคนที่ทะเลาะกันอย่างเด็กๆ ทว่าหัวข้อกลับเกี่ยวโยงกับเขา คำเรียกว่าเมียที่ออกจากปากของลั่วเหยียนเจิ้งในครั้งนี้ทำให้เขาหน้าแดงด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีใครเห็นเขาในเวลานี้แม้กระทั่งฟางเทียนฟงก็ไม่อาจเห็นเขาได้เช่นกัน แต่น่าแปลกที่เขาสามารถเห็นรูปลักษณ์ของฟางเทียนฟงได้ชัดเจน อาภรณ์สีขาวขับผิวให้ดูผ่องใส ขณะที่หางทั้งเก้าสะบัดไหวไปมาคล้ายอารมณ์ดีที่ได้ต่อปากต่อคำจากลั่วเหยียนเจิ้ง
    
          “จิ้งจอกเก้าหาง!”
    
           หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างอึ้งๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจน พลันใดนั้นข้อความปริศนากลับฉายชัดภายในใจ ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร เขาเม้มปากแน่นด้วยความตื่นเต้นทุกอย่างเหมือนถูกจัดฉากขึ้น ทว่ากลับเหมือนเส้นผมบังภูเขาเพราะลั่วเหยียนเจิ้งไม่มีทางรู้ว่าฟางเทียนฟงที่อยู่ตรงหน้าเขานี้มีหยกน้ำค้างพันปีที่กำลังตามหา ถึงแม้เขาจะร้องบอกก็ไร้ผลในเมื่อไม่มีคนเห็นเขาแล้วจะได้ยินหรืออย่างไร
    
          ทว่าน่าเสียดายที่ลั่วเหยียนเจิ้งมีทิฐิมากเกินจะเอ่ยถามหรือไม่ก็ยังไม่ไว้วางใจฟางเทียนฟง ร่างสูงเดินหนีและเร่งรีบเดินทางอีกครั้ง เขามองตามอย่างเสียดายที่ทั้งคู่มิอาจเป็นสหายที่ดีร่วมกันได้อาจเพราะการพบเจอของคนทั้งคู่ไม่ได้ดีนัก ที่สำคัญหากฟางเทียนฟงรู้แล้วจะกล้ามอบหยกน้ำค้างพันปีให้ลั่วเหยียนเจิ้งมารักษาเขาหรือไม่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับประมุขจิ้งจอกฟ้านั้นเพียงแค่มีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น

   “แปลกทำไมข้ารู้สึกมีคนแอบมอง” ฟางเทียนฟงพึมพำอย่างสงสัยแต่ด้วยอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดาจะมีใครรอดสายตาคนเองไปได้ สงสัยครุ่นคิดไปเอง จากนั้นจึงเลิกสนใจและแอบติดตามลั่วเหยียนเจิ้งไปเงียบๆ
    
            หลิ่วเหวินอี้พยายามเรียกฟางเทียนฟงแต่กลับไร้ผลจึงเริ่มถอดใจ และตามคนทั้งหมดไปถึงปลายทาง เวลาผ่านไปอีกสองวันจนร่างสูงของลั่วเหยียนเจิ้งเกินขีดจำกัดของตนเอง ทำให้เขายิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นขณะนั้นฟางเทียนฟงก็ออกไปจากที่หลบซ่อน เขารู้สึกโล่งอกในรอบสองวันที่อย่างน้อยคนหัวดื้อก็ยอมเชื่อฟัง
    
           “เจ้าบ้าจะให้ข้ารู้สึกผิดไปนานแค่ไหน” หลิ่วเหวินอี้สบถออกมาอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากแต่เฝ้าดูด้วยหัวใจเจ็บปวดและรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุของความยุ่งยาก สวรรค์ต้องการสิ่งใดกับเขากันแน่ถึงทำให้เห็นความพยายามมากมายของลั่วเหยียนเจิ้งถึงเพียงนี้...



 

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ little_pig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
ติดมากมายเหมือนกัน
ทำไมเรื่องมันเศร้าขนาดนี้
สงสารเจิ้น สงสารเหวิ้นอี้
ทั้งๆที่ความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า
แต่ไม่มีใครรู้....

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ิเหวินอี้รู้แล้วว่า ฮ่องเต้รัก  น่าสงสารมองคนรักตามหาบัวหิมะทั้งที่รู้ความรักแต่บอกอะไรไม่ได้   

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ chouxcream59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ๊าาาาาาา อยู่ใกล้ๆนี่เอง ฝ่าบาทมองให้ออกเร็วๆที จะได้ไปช่วยเหวินอี้ที่รักก  :a6:
รู้สึกร้อนใจ ว๊ากกกกก  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด