❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 19 ✢ The Elope Wedding 9 มกราคม...ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่ตัดสินใจมาพบกับผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง ผู้หญิงที่ทำให้ผมเจ็บแทบปางตาย แถมยังหลอกใช้ผมสารพัดจนผมแทบหมดเนื้อหมดตัว แต่ด้วยความสงสัยว่าเรื่องสำคัญที่เธออยากจะคุยด้วยว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ในที่สุดผมก็มาหาเธอจนได้
เธอลงมารอผมอยูข้างล่างพอดีเมื่อผมมาถึงคอนโดของเธอ สภาพเธอดูเปลี่ยนไปพอสมควร จากเคยยิ้มสดใสก็กลับดูอมทุกข์ เราทักทายกันเพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พาผมขึ้นไปที่ห้องของเธอ สถานที่ที่ผมเคยมาใช้เวลาอยู่เป็นวันๆ เมื่อไม่นานนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแค่สองเดือนผ่านไป ความผูกพันของผมกับเธอคนนี้กลับมลายหายไปสิ้น ไม่ใช่ว่าลืม แต่ผมไม่อยากนึกถึงเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวของอดีตที่ผมเคยมีกับเธอ
พอเธอเชื้อเชิญให้ผมนั่งและหาน้ำท่ามาให้ ซองสีน้ำตาลที่โป่งนูนออกมาเล็กน้อยก็ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าผม ผมมองดูซองสีน้ำตาลนั้นด้วยสายตามีคำถามแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
"พี่คงคืนให้นัทได้เท่านี้ น้อยกว่าที่นัทให้พี่มาเยอะอยู่ เอาไว้คราวหลังพี่จะหามาคืนให้อีกละกัน"
ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วพิจารณาดูซองสีน้ำตาลตรงหน้า แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันทันที
"นัทเปิดดูสิ"
ผมมองหน้าต้องตาเหมือนกับไม่แน่ใจว่าจะเปิดดีหรือไม่ แต่สักพักก็ยอมเปิดซองสีน้ำตาลนั้นออกดู ข้างในมีธนบัตรหนึ่งพันบาทอยู่สามสี่ปึกใหญ่ๆ
"พอดีพี่ขายร้านไป หักลบกลบหนี้แล้วก็เหลือไม่เยอะหรอก แบ่งมาคืนให้นัทเท่านี้ก่อน"
ผมปิดซองนั้นแล้วก็ไม่แตะมันอีก ไม่เปิดปากพูดคำใดๆ จนต้องตาคงรู้สึกอึดอัด
"ตอนนี้...พี่ไม่ได้ทำงานที่โรงแรมนั่นแล้ว ไอ้หมอนั่นมันเลวมาก มันหลอกพี่ แล้วมันก็กดดันให้พี่ต้องออกจากงานด้วย"
ผมนั่งฟังอารมณ์น้อยใจปนเคียดแค้นของเธอด้วยอาการเฉยเมย ถ้าต้องตาด่า "ไอ้หมอนั่น" ว่าเลวมาก แล้วสิ่งที่เธอทำกับผมตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ โชคดีจริงๆ ที่เวรกรรมยุคดิจิตอลรวดเร็วทันใจเหลือเกิน ผมไม่ต้องเสียเวลาเผาพริกเผาเกลือให้เหนื่อยเลย
"นัท...นัทยังรักพี่อยู่หรือเปล่า"
ผมมองหน้าต้องตานิ่ง ท่าทางที่เฉยเมยของผมขนาดนี้ ถ้าเธอยังดูไม่ออกก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
"ว่าไงล่ะนัท นัทยังรักพี่อยู่หรือเปล่า"
ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วก็หันหน้าหนี
"จะขอให้เรากลับมาเหมือนเดิมเหรอครับ" ในที่สุดผมก็ยอมเปิดปากถามออกไปเสียที
"นัท...พี่ยังรักนัทอยู่นะ พี่ขอโทษที่พี่เคยทำไม่ดีกับนัท พี่เสียใจนะนัท ตอนนี้...พี่รู้แล้วว่าใครรักพี่จริง พี่สำนึกผิดแล้วนัท นัทยกโทษให้พี่ได้มั้ย"
ผมหันกลับมามองต้องตาอีกครั้ง เธอทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ แถมยังวิงวอนออดอ้อนให้ผมกลับมาหาเธออีก ช่างดูน่าสงสารเหลือเกิน
"ได้...ผมให้อภัยพี่ได้"
"จริงเหรอนัท"
ต้องตาทำท่าดีใจพลางเอื้อมมือมาจับมือผมไว้ ผมหรี่ตามองดูมือของเธออย่างไม่ชอบใจนัก สักพักเธอคงจะรู้ตัวก็เลยค่อยๆ ปล่อยมือผมออก
"ผมไม่เคยโกหกพี่นี่ครับ ถ้าผมบอกว่าให้อภัยได้...ก็แปลว่าผมให้อภัยได้จริงๆ" ผมเน้นเสียงตรงคำว่า "โกหก"
ต้องตาหน้าเจื่อนไปพอสมควร คงจะแสลงใจที่ได้ยินคำว่า "โกหก" นั่นเอง
"ส่วนเรื่องที่จะกลับมารักกัน ผมยังไม่ตอบละกัน แต่ผมอยากจะเล่าอะไรบางอย่างให้พี่ต้องตาฟัง"
ผมหยุดเว้นจังหวะดูความสนใจ พอเห็นต้องตาตั้งตารอฟังจึงเล่าสืบไป
"พี่รู้มั้ยว่าทำไมเมื่อก่อนผมถึงรักพี่ พี่ต้องตาจำผู้ชายคนนั้นได้มั้ย คนที่พี่ต้องตาเจอที่คอนโดผม ตอนที่พี่ไปเอาของที่ลืมไว้นั่นแหละ"
ต้องตาพยักหน้าน้อยๆ สายตามีคำถามและดูหวาดระแวง
"ตอนเด็กๆ ผมกับพี่เค้าเคยเรียนชั้นประถมด้วยกัน เราสองคนผูกพันกันมาก พี่เค้าดูแลผมดีกว่าใคร เพราะเค้าอยากมีน้องชาย แล้วเค้าก็รักผมเหมือนน้องชายจริงๆ ตามใจผมทุกอย่าง ผมอยากได้อะไรหามาให้ แต่แล้ว..เราสองคนก็จากกันไปเพราะพี่เค้ามาเรียนที่กรุงเทพ แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนกระทั่งวันนั้นที่พี่ต้องตาเห็นนั่นแหละ วันนั้น...คือวันที่ผมได้กลับมาเจอกับพี่เค้าอีกครั้งโดยบังเอิญ"
ผมมองหน้าต้องตาแล้วยิ้มกริ่ม
"พี่คนนี้อายุมากกว่าผมแค่สี่เดือนเศษๆ พอเค้าเกิดก่อนผม ก็เลยได้เรียนกันคนละชั้นกัน ตอนเด็กๆ ผมชอบเรียกเค้าว่าพี่ แต่พี่เค้าก็มักจะบอกผมว่าไม่ให้เรียกพี่ เพราะว่าอายุเราห่างกันไม่มาก แต่ผมก็ยังชอบเรียกเค้าว่าพี่บ่อยๆ แล้วพี่เค้าก็เตือนผมบ่อยๆ เหมือนกัน ผมก็ไม่เคยจำ พี่ต้องตาพอจะเดาออกมั้ยครับว่าผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังทำไม"
ต้องตาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "พี่ไม่เข้าใจ นัทกำลังพูดเรื่องอะไร"
ผมแค่นหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเธอจะฉลาดน้อยขนาดนี้จนไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องได้
"ผมรักพี่คนนี้ รักเค้ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะครับ รักฝังใจด้วย"
ต้องตาทำหน้าตกใจเล็กน้อย ความจริงคงตกใจมากแต่พยายามเก็บอาการไว้
"ผมไม่เคยลืมพี่เค้าเลย พี่ต้องตารู้มั้ยว่าเราไม่ได้เจอกันมาสิบสามปีแล้ว แต่พี่เค้าอยู่ในใจผมมาตลอด"
แล้วก็ถึงคราวที่ผมจะเฉลยเสียที
"พี่ต้องตาจำได้ใช่มั้ยว่าพี่เองก็เคยพูดแบบนี้กับผมบ่อยๆ ว่าไม่ให้ผมเรียกพี่ต้องตาว่าพี่ นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมสนใจพี่ เพราะพี่ต้องตา...ทำให้ผมนึกถึงพี่คนนี้ที่ผมเคยรักตอนเด็กๆ"
"นัทกำลังจะบอกอะไรพี่เหรอ"
ต้องตาถามอย่างหวาดระแวงและงุนงง
"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่จะบอกพี่ว่า...พี่ต้องตาเป็นแค่เงาของคนที่ผมรัก ไม่ใช่ตัวจริง เพราะฉะนั้น...ที่พี่ถามผมว่าผมยังรักพี่อยู่หรือเปล่า ผมคิดว่าพี่คงจะได้คำตอบแล้วนะครับ ผมเจอตัวจริงของคนที่ผมรักแล้ว พี่คิดว่าคนที่เป็นเงาหลอกๆ อย่างพี่...จะแทนตัวจริงได้หรือเปล่าล่ะครับ"
"นัท!"
ต้องตาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง คงคิดไม่ถึงว่าผมจะกล้าตอกหน้าเธออย่างนี้ ถึงผมไม่ใช่คนอาฆาตแค้นใคร แต่ผมก็อยากจะพูดให้เธอสำนึกมากดูบ้าง
"ส่วนเงินนี่...มันไม่ใช่เงินของผม ผมให้ไปแล้ว ไม่คิดอยากได้คืนหรอกครับ ขอบคุณพี่มากที่ยังอุตส่าห์หามาคืนให้ พี่เอาไว้ใช้ละกัน เงินแค่นี้...ไม่ตายผมก็หาใหม่ได้ แต่สิ่งที่ผมจะไม่เอากลับมาใหม่...ก็คือความรักที่ตกดินไปแล้ว ไม่ต้องเก็บมาคืนผมหรอกครับ คนที่อยากโง่เองอย่างผมยังพอจำได้ว่าใครทำอะไรไว้"
ผมบอกแล้วก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างผู้ชนะ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าเงินในซองกระดาษนี้ไม่ใช่เงินคืนหรอก แต่มันเป็นเงินลงทุนซื้อผมกลับไปต่างหาก
"เอาเป็นว่า...ผมให้อภัยพี่และขออโหสิให้ ลาก่อนนะครับ หวังว่าเราสองคนจะไม่ได้เจอกันอีก...ตลอดไป"
พูดจบผมก็ก้าวฉับๆ ไปที่ประตู ก่อนจะเปิดออกแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีกเลย ไม่อยากอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าต้องตากำลังร้องไห้เสียใจอยู่หรือเปล่า แต่ไม่ว่าเธอจะเสียใจหรือไม่เสียใจ เราหมดเวรหมดกรรมต่อกันแล้ว ต่างคนต่างจัดการชีวิตที่เหลือไปตามวิถีทางของตัวเองแล้วกัน
... ... ...
10 มกราคม ณ หนองจอกรีสอร์ทแอนด์ฟิชชิ่งปาร์คที่นี่ดูแปลกตาไปพอสมควรหลังจากที่ผมจากไป คงเป็นผลมาจากการปรับปรุงรีสอร์ทที่น่าจะใกล้เสร็จแล้วนั่นเอง แขกเหรื่อเดินทางมากันอย่างหนาตาทีเดียว มีรถจอดกระจายตามจุดต่างๆ มากกว่าปกติหลายเท่า เจ้าบ่าวและเจ้าสาวคงเป็นคนกว้างขวางมากทีเดียว
ช่วงที่ไม่ได้อยู่ที่รีสอร์ท ผมก็ระหกระเหเร่ร่อนไปสองสามที่ ตอนแรกไปอยู่กับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันคนหนึ่ง แต่รู้สึกเกรงใจก็เลยย้ายไปอยู่กับอีกคน ก่อนที่จะออกมาเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ข้างนอกคนเดียวเพราะไม่อยากรบกวนใคร ผมอยู่มาได้เกือบๆ สองอาทิตย์แล้ว สองสามวันแรกไม่ได้ทำอะไรเลย แต่อยู่เฉยๆ นานเข้าก็เลยเบื่อ ก็เลยติดต่อไปหาพี่ที่ทำงานเก่าว่ามีงานแปลเอกสารหรืองานล่ามให้ทำหรือเปล่า ก็ได้งานแปลเอกสารสามสี่ชิ้นมาทำแก้เหงาก่อนกลับบ้าน ผมตั้งใจจะกลับบ้านหลังงานแต่งงานของแฟรงค์นี่แหละ ไม่อยากลงไปแล้วขึ้นมาหลายรอบให้เหนื่อย ผมบอกแม่ไปแล้ว แม่ก็ไม่ว่าอะไร
แม่กับพี่นิวก็มาด้วย แต่แยกกันมากับผมเพราะแม่กับพี่นิวขึ้นเครื่องมาจากพิษณุโลกตั้งแต่เช้ามืด ตอนนี้อยู่ในงานแล้ว มีแต่ผมที่มาช้าหน่อยเพราะกว่าจะฝ่ารถติดในเมืองมาได้ก็ล่วงเลยเวลาพอสมควร อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากมาอยู่เห็นภาพบาดตาบาดใจนานๆ รดน้ำสังข์แล้วก็คงจะพาแม่กับพี่นิวกลับไปพักด้วยกันที่คอนโด ก่อนจะกลับด้วยกันทั้งสามคนพรุ่งนี้เช้าเลย
ผมหาที่จอดรถได้แล้วก็เดินลัดเลาะเข้าไปในงานอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง มีแต่คนที่ผมไม่รู้จักทั้งนั้นเลย ผมโทรหาแม่แล้วก็ถามว่าอยู่ตรงไหน แม่บอกมาแล้วแต่ผมฟังไม่ถนัดเพราะมีเสียงดังรอบข้างเต็มไปหมด ก็เลยบอกแม่ไปว่าค่อยเจอกันทีหลัง
พอใส่ซองแล้วผมก็เดินไปนั่งหน้าสุดเพราะอยากเจอใครบางคนชัดๆ มีเสียงพระสวดเจริญพระพุทธมนต์อยู่ แสดงว่าน่าจะผ่านพิธีรับไหว้ไปแล้ว แล้วในที่สุดผมก็ได้เจอคนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจเสียที บ่าวสาวกำลังช่วยกันใส่บาตร มีคนคอยยกของมาส่งให้คู่บ่าวสาวหยิบใส่บาตรพระที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะที่คลุมผ้าไว้อย่างสวยงาม หน้าตาที่สดใสของทั้งคู่บ่งบอกว่ามีความสุขมากแค่ไหนกับวันที่แสนพิเศษนี้
ก็ดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น ถึงผมจะเจ็บแค่ไหนที่เห็นคนที่รักที่สุดในชีวิตแต่งงานกับคนอื่น แต่ก็ยังเจ็บน้อยกว่าให้ผมต้องแย่งชิงของคนอื่นมาอย่างหน้าด้านๆ
แฟรงค์อยู่ในชุดแต่งงานแบบไทยสีขาวครีม ปกติก็ดูหล่ออยู่แล้ว พอใส่ชุดอย่างนี้ แต่งหน้าและทำผมด้วยก็ยิ่งหล่อเข้าไปใหญ่ เจ้าสาวในชุดไทยก็สวยหวานและดูดีไม่แพ้กัน ช่างเหมาะสมกันดีเหลือเกิน นี่แหละหนาที่เขาเรียกว่ากิ่งทองใบหยก
แฟรงค์ยังไม่เห็นผมหรอก อาจจะไม่สนใจแล้วก็ได้ว่าผมจะมาหรือเปล่า ผมจึงได้แต่นั่งไหว้พระมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบๆ เศร้าๆ ผมเห็นแม่กับพี่นิวแล้ว อยู่ไม่ไกลกันมาก แต่ผมก็ยังไม่เข้าไปหาเพราะไม่อยากเดินไปมารบกวนคนอื่นๆ ในงาน
จู่ๆ แฟรงค์ก็หันมาเจอผมในขณะที่กำลังหยิบของใส่บาตรโดยบังเอิญ ดูเหมือนจะหยุดชะงักเล็กน้อย ทำให้เพียวสงสัยและมองตามแฟรงค์มาด้วย พอเพียวหันมาเจอผมเธอก็ยิ้มเล็กน้อย แฟรงค์ก็ยิ้มเล็กน้อยให้ผมเช่นกัน ก่อนจะหันกลับไปหยิบของใส่บาตรร่วมกับเพียวตามเดิม
ผมอยากคุยกับแฟรงค์เหลือเกิน มีอย่างเดียวอย่างสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกแฟรงค์ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาโอกาสได้ยังไง เพราะหลังจากฟังสวดเจริญพุทธมนต์และรับอาหารบิณฑบาตแล้วก็จะเป็นพิธีรับน้ำสังข์ต่อเลย
"ใช่นัทหรือเปล่า"
เสียงๆ หนึ่งร้องทักขึ้นมาใกล้ๆ พอหันไปดูก็เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ถัดจากเก้าอี้ของผมไปสองตัวที่ว่างอยู่ แล้วเธอก็ลุกมานั่งข้างๆ ผม ก่อนจะพนมมือแต้ฟังพระสวดตามเดิม
"เฟิร์นเหรอ" ผมหันไปถามและพิศดูใบหน้าของคนข้างๆ
"ใช่" เฟิร์นหันมายิ้มดีใจ "ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะนัท ไม่ไปอยู่กับแม่กับพี่นิวล่ะ"
"ให้เสร็จพิธีก่อนละกัน นัทไม่อยากเดินไปเดินมารบกวนคนอื่น"
เฟิร์นหัวเราะชอบใจที่ได้ยินผมตอบอย่างนั้น
"นัทนี่เหมือนเดิมเลยนะ ขี้เกรงใจ ยกเว้นเกรงใจพี่แฟรงค์" เฟิร์นพูดหยอก
ผมพอรู้ความหมายที่เฟิร์นพูดอยู่บ้าง ก็เลยหัวเราะตามเธอไปด้วย
"กลับมาได้กี่วันแล้ว" ผมพยายามถามให้เสียงเบาที่สุดเพราะไม่อยากให้รบกวนคนข้างๆ
"อาทิตย์นึงแล้ว ยังไม่ค่อยได้ไปไหนเลย มัวแต่ช่วยพี่แฟรงค์เตรียมงานเตรียมสถานที่อยู่ อยู่แต่ในรีสอร์ทนี่แหละ แต่งงานกันทีนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ"
เฟิร์นพูดติดตลก ดูเธอเป็นคนสดใสมากทีเดียว แต่งตัวดี หน้าตาผิวพรรณก็ดี ดูสมกับคนที่เป็นคนมีความรู้ถึงด็อกเตอร์
"ก็เป็นธรรมดาแหละ เดี๋ยวก็หายเหนื่อยแล้ว แขกเยอะเหมือนกันนะ" ผมบอกพลางหันไปมองรอบๆ
เฟิร์นพยักหน้า "ใช่ๆ มากันเยอะๆ นั่นแหละดี จะได้มีสักขีพยานเยอะๆ ไง"
ฟังเฟิร์นพูดแล้วผมก็ขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
"พี่แฟรงค์กับเพียวเค้าเหมาะสมกันดีนะ" ผมชวนเปลี่ยนเรื่องคุย สายตาจับจ้องอยู่ที่คู่บ่าวสาวที่ยังคงใส่บาตรอยู่ อีกไม่นานก็น่าจะเสร็จแล้ว
"คงงั้นมั้ง"
ได้ยินน้ำเสียงอย่างนั้นผมก็เลยหันไปมองเฟิร์นด้วยความแปลกใจ แม้จะสงสัยกับคำพูดแปลกๆ ของเธอเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ไม่ได้ถามอยู่ดี
"เฟิร์นรู้มั้ยว่าเค้าจะไปฮันนี่มูนกันที่ไหน" ผมเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นอีกรอบ
"ไม่รู้ว่าจะได้ไปฮันนี่มูนด้วยกันหรือเปล่านะ หรือไม่ก็อาจจะไปแถวๆ ที่ๆ เคยคุ้นตาน่ะ แต่ไม่รู้ว่าใครไปกับใครนะ"
ผมรู้สึกว่าเฟิร์นชักจะพูดแปลกๆ มากขึ้นทุกที ก็เลยพยักหน้ารับรู้แล้วก็ไม่ได้คุยกับเธอต่อ หันไปฟังพระสวดมนต์แทน
หลังจากที่คู่บ่าวสาวได้ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังพระสวดพุทธมนต์ และถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแล้ว พิธีรดน้ำสังข์ก็จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า เฟิร์นขอตัวไปช่วยงานพอดี เราก็เลยแยกกันตั้งแต่ตอนนั้น
บังเอิญหูของผมแว่วได้ยินแฟรงค์พูดขึ้นมาว่าจะไปห้องน้ำ เพียงเท่านี้ผมก็หูผึ่ง พอเห็นแฟรงค์เดินออกไปแล้วผมก็แกล้งทำเป็นเดินออกไปคนละทางบ้าง ก่อนจะวิ่งไปทางที่ผมจำได้ว่ามีห้องน้ำอยู่ แล้วก็เห็นแผ่นหลังของแฟรงค์ไวๆ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำของรีสอร์ท
ผมยืนรออยู่จนกระทั่งแฟรงค์เสร็จธุระ แฟรงค์ไม่ใช้เวลานานนักเพราะแขกเหรื่อกำลังรอรดน้ำสังข์อยู่ พอแฟรงค์เดินมาใกล้ๆ แล้วผมจึงแสดงตัว
"พี่แฟรงค์"
แฟรงค์หยุดเดินและหันมามองผม เมื่อสายตาเราประสานกันแล้วผมก็แทบจะห้ามความรู้สึกข้างในไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะแฟรงค์เป็นเจ้าบ่าวของคนอื่น ผมก็คงจะวิ่งไปกอดแล้ว แฟรงค์ค่อยๆ ยิ้มให้ แต่ก็เป็นเพียงยิ้มบางๆ เท่านั้น
"นัท"
แค่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยผมก็แทบจะน้ำตาไหล ไม่ได้เจอกันเลยตั้งสามอาทิตย์ ไม่รู้ว่าแฟรงค์คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า แต่ผมคิดถึงแฟรงค์มาก ยิ่งนึกถึงจดหมายที่เขียนให้แฟรงค์แล้วก็ยิ่งเสียใจ มีหลายๆ ถ้อยคำที่ผมรู้ว่าคนอ่านคงเจ็บปวดมากทีเดียว แต่เขียนไปแล้วก็เอาคืนมาไม่ได้
"พี่แฟรงค์ นัทขอโทษนะที่นัท...ไม่เชื่อพี่ ขอแสดงความยินดีกับชีวิตคู่ที่เหมาะสมของพี่นะครับ"
ผมรู้ว่าหน้าตาและน้ำเสียงของผมคงเศร้ามากทีเดียวขณะที่พูดออกไป แฟรงค์เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ทำเหมือนไม่อยากเสวนากับผมเท่าไหร่ แต่ผมจะโทษใครได้ ผมทำตัวเองทั้งนั้น พอคิดได้ก็สายเสียแล้ว ผมเป็นคนเลือกปล่อยมือจากแฟรงค์เอง คนที่ไม่พยายามเพื่อความรักอย่างผมก็ควรได้รับผลเช่นนี้
"เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ พอดีเค้ารอทำพิธีรดน้ำสังข์กันอยู่"
ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก็ปล่อยให้แฟรงค์เดินจากไป ยืนมองอยู่อย่างนั้นสักพักก็เดินกลับมายังบริเวณที่จัดงานตามเดิม แล้วก็ไปหาแม่กับพี่นิวที่นั่งติดกันตรงมุมหนึ่งของงาน
"เพิ่งมาถึงเหรอลูก" แม่ผมถามอย่างแปลกใจพอผมนั่งลง
"มาถึงสักพักแล้วครับ พอดีนัทไม่อยากเดินไปมาก็เลยยังไม่ได้มาหาแม่"
แม่ผมพยักหน้ารับรู้ ผมหันไปมองพี่นิวแล้วก็ยิ้มให้
"ไง...พร้อมจะกลับไปช่วยพี่ขายขนมจีนแล้วใช่มั้ย" พี่นิวแซวพร้อมกับขำเบาๆ
ตอนนี้ที่บ้านผมรู้หมดแล้วว่าผมลาออก ไม่ได้ทำงานกับแฟรงค์แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้ได้ยังไง เดาว่าแม่ผมคงคุยกับแฟรงค์นั่นแหละถึงได้รู้ความจริง
"อืม...ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรแล้ว กลับบ้านเราดีกว่า"
"นี่จะกลับจริงๆ เหรอ พี่นึกว่าจะกลับมาสมัครทำงานกับแฟรงค์ต่อซะอีก"
"ไม่เอาดีกว่า กลับบ้านเรานั่นแหละ นัทไม่อยากทำงานให้คนอื่นรวยแล้ว ทำให้ครอบครัวเรามั่งดีกว่า"
พอผมพูดจบ แม่กับพี่นิวก็หันมามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ
"ให้มันจริงเถอะ"
ว่าแล้วแม่ก็ลูบผมของผมเบาๆ สัมผัสนี้ทำให้ผมนึกถึงแฟรงค์ขึ้นมาอีกจนได้ แต่จากนี้ไป ก็คงจะมีแต่แม่เท่านั้นที่จะทำอย่างนี้ให้ผม พี่แฟรงค์เป็นของคนอื่นไปแล้ว คงไม่อยากทำอย่างนี้ให้ผมอีก ขนาดเมื่อกี้ยังทำเหมือนไม่อยากจะคุยด้วยเลย
"อ้อ...แล้วแม่ได้คุยกับพ่อแม่พี่แฟรงค์หรือยังครับ" ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้
"คุยแล้ว เค้ายังบอกแม่กับพี่นิวเลยว่าให้มาพักที่รีสอร์ทซักคืนสองคืนก่อนกลับก็ได้ แต่แม่ก็ปฏิเสธไปเพราะว่านัดกับนัทไว้แล้ว"
ผมพยักหน้ารับรู้ หัวใจผมอ้างว้างและใจหายเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในงาน ผมคงจะกอดแม่ให้แม่ปลอบใจ ตอนนี้ผมไม่เหลือใครอื่นให้กอดแล้ว ก็คงเหลือแต่แม่ของตัวเองนี่แหละ
พิธีรดน้ำสังข์เริ่มขึ้นแล้ว บ่าวสาวเดินไปนั่งที่ตั่งรดน้ำสังข์ มีหมอนสำหรับรองมือและพานรองรับน้ำสังข์เตรียมไว้ ด้านหลังมีเพื่อนเจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนอยู่ จากนั้นพระสงฆ์ก็เจิมหน้าผากให้แก่บ่าวสาว พระเจิมให้ฝ่ายชายก่อนสามจุด พอถึงฝ่ายหญิง พระก็จับมือฝ่ายชายเจิมให้ฝ่ายหญิงสามจุดเช่นเดียวกันเพราะพระไม่สามารถแตะผู้หญิงได้โดยตรง จากนั้นก็สวมมงคลแฝดให้คู่บ่าวสาวคนละข้าง สายมงคลแฝดจะห่างกันประมาณสองศอก ส่วนปลายของมงคลจะโยงมาพันที่บาตรตักน้ำมนต์ พระสงฆ์จะส่งหางสายสิญจน์ไปโดยจับเป็นเส้นไว้ในมือ จนถึงพระองค์สุดท้ายก็จะวางสายสิญจน์ไว้ที่พาน
จากนั้นญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทยอยกันมารดน้ำสังข์ตามลำดับ ในระหว่างนี้พระสงฆ์จะสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลไปพร้อมกัน พ่อแม่ของแฟรงค์เป็นคนรดน้ำสังข์ก่อน จากนั้นจึงตามด้วยญาติฝ่ายหญิงและญาติคนอื่นๆ ของทั้งสองครอบครัว ผมไม่เห็นปู่ของแฟรงค์มาด้วยเลย ก็เลยเดาสุขภาพคงไม่เอื้ออำนวยให้มาได้
ผม แม่และพี่นิวไปยืนต่อแถวเข้าคิวรดน้ำสังข์ให้บ่าวสาว ให้แม่กับพี่นิวอยู่ข้างหน้าเพราะไม่อยากสองคนนี้ได้ยินว่าผมอวยพรคู่บ่าวสาวว่ายังไง
พอจำนวนคนข้างหน้าค่อยๆ ลงน้อยลงผมก็ยิ่งใจหายมากขึ้นและมากขึ้น นึกไม่ออกเลยว่าพอถึงคิวผม ผมจะอวยพรคู่บ่าวสาวว่ายังไงบ้าง
ผมมองแฟรงค์ที่นั่งอยู่เคียงข้างกับเพียวแล้วก็เหม่อมอง ภาพในความทรงจำตอนเด็กๆ ไหลผ่านเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง นึกถึงตอนที่แฟรงค์มายืนรอผมที่หน้าบ้านตอนเช้าๆ พร้อมจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์คู่ใจ ไม่ว่าผมจะช้ายังไงแฟรงค์ก็ไม่เคยบ่น มีแต่รอยยิ้มให้ผมเสมอ แฟรงค์จะรอจนกว่าผมจะเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยกัน ไปถึงโรงเรียนสายเพราะผมช้าแฟรงค์ก็จะไม่บ่นว่าผม เราเจอเพื่อนๆ ระหว่างทางบ้าง แต่คุยไปคุยมาก็มักจะเหลือแต่ผมกับแฟรงค์สองคนบ่อยๆ ก็เลยดูเหมือนว่าโลกนี้มีแต่เราสองคน
ตอนเลิกเรียน ผมกับแฟรงค์มีจุดนัดพบกันที่เรากำหนดไว้ให้มาเจอกันหนึ่งจุด ใครเลิกเรียนก่อนก็ให้มารอตรงจุดนั้น พอเจอกันแล้วเราถึงจะขี่จักรยานกลับบ้านด้วยกัน บางวันแฟรงค์ก็แวะที่ตลาด ซื้อไอศครีมให้ผมกิน ร้านประจำของเราก็คือร้านเจ๊กอ๋า ปัจจุบันนี้ร้านนี้ก็ยังอยู่ ขายทุกอย่างรวมทั้งไอศครีมด้วย
แฟรงค์ซื้อให้ผมกินแล้วก็นั่งมองอย่างมีความสุขเสมอ แล้วจู่ๆ ผมก็เกิดจำบทสนทนาหนึ่งขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ผมไม่น่าจะจำมันได้เลยเพราะนานมาแล้ว
"แฟรงค์ไม่กินเหรอ"
"ไม่กิน นัทกินเหอะ"
"ทำไมล่ะ ไม่ชอบกินไอติมเหรอ"
"ไม่ชอบเท่าไหร่"
"จริงเหรอ ถ้าพี่แฟรงค์อยากกิน นัทแบ่งให้ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ"
"ไม่เป็นไร แม่สอนแฟรงค์ว่า พี่ต้องเสียสละให้น้อง นัทเป็นน้องของแฟรงค์ แฟรงค์ก็ต้องเสียสละให้นัทไง"
"แต่ว่า...นัทไม่ใช่น้องแท้ๆ ของพี่แฟรงค์ซะหน่อย เฟิร์นต่างหากล่ะ" ผมทำหน้าเศร้า
"ใครบอก นัทเป็นน้องชายของแฟรงค์นะ ถ้านัทไม่ใช่น้องชายของแฟรงค์ แฟรงค์ไม่ซื้อไอติมให้กินหรอก แฟรงค์ซื้อไอติมให้นัทกินเพราะนัทเป็นน้องของแฟรงค์นะ นัทอย่าคิดมากสิ"
แล้วแฟรงค์ก็เอามือยีหัวผมเล่นเบาๆใช่...ถ้าใครได้ฟังประโยคนี้ที่แฟรงค์พูดกับผมแล้วยังไม่รู้ว่าแฟรงค์รักผมมาก คนๆ นั้นก็คงเสียสติไปแล้ว
"แฟรงค์ซื้อไอติมให้นัทกินเพราะนัทเป็นน้องของแฟรงค์นะ นัทอย่าคิดมากสิ"
คำพูดนี้ของแฟรงค์ดังก้องอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งรู้ว่าแฟรงค์รักผมมากเท่าไหร่ มันก็ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมได้สูญเสียคนที่รักผมมากที่สุดไปคนหนึ่งแล้ว
ผมมองดูแฟรงค์อีกครั้ง แล้วก็รำพึงรำพันในใจ
พี่แฟรงค์...พี่ชายที่แสนอบอุ่นของนัท นัทกำลังจะสูญเสียความรู้สึกพิเศษที่พี่เคยมีให้นัทไปแล้วใช่มั้ย นัทกลัว...กลัวต้องกลับไปเป็นเหมือนตอนมอหนึ่งอีก นัทไม่อยากทรมานอย่างนั้นอีกแล้ว พี่แฟรงค์ช่วยนัทด้วยคิดไปแล้วผมก็คงได้แต่สงสารตัวเอง คนที่ไม่พยายามเพื่อความรักอย่างผมคงไม่มีใครเชื่อใจอีกแล้ว แม้กระทั่งคนที่เคยรักผมมากๆ อย่างแฟรงค์ยังหมดความเชื่อใจเลย
อีกเพียงสามสี่คนก็จะถึงตาของผมแล้ว แฟรงค์มองมาที่ผมเช่นเดียวกัน และดูเหมือนจะคอยมองมาเรื่อยๆ แม้ในขณะที่รับพรจากแขกเหรื่อก็ยังคงมองมาที่ผม แต่ผมก็ไม่สามารถเดาได้เลยว่าสายตาคู่นั้นกำลังส่งสารอะไรออกมา
ตอนนี้แม่ผมกำลังอวยพรให้เพียว จากนั้นก็อวยพรให้แฟรงค์ แม่คืนน้ำสังข์แล้วก็มีคนตักน้ำสังข์ส่งให้พี่นิวบ้าง พี่นิวก็ทำเหมือนคนอื่นๆ อวยพรให้เจ้าสาวก่อนพร้อมกับรดน้ำสังข์ลงไป ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการอวยพรให้เจ้าบ่าวพร้อมกับรดน้ำสังข์เช่นเดียวกัน
พอมาถึงตาของผม พอรับสังข์มาแล้วผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าเพียว แฟรงค์ชำเลืองมองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกแล้วก็หันกลับไปตามเดิม ผมค่อยๆ รินน้ำสังข์ให้เพียวแล้วก็กล่าวคำอวยพรให้เธอ
"ยินดีด้วยนะเพียว ขอให้มีความสุขกับชีวิตครอบครัวมากๆ นะ รักกันให้มากๆ ดูแลกันให้ดีๆ มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองนะ"
แม้จะรู้สึกว่าคำอวยพรของผมดูเฝือไปหน่อย แต่มือไม้ผมก็สั่นจนเผลอรินน้ำสังข์ให้เพียวเกือบหมด หรืออาจจะหมดไปแล้วก็ได้
พอขยับมาหาแฟรงค์ แฟรงค์เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม ความรู้สึกตอนนี้ช่างเหมือนกับตอนที่แฟรงค์มาหาผมเป็นวันสุดท้ายก่อนจะไปเรียนต่อเหลือเกิน ผมกอดแฟรงค์แน่นแล้วก็ร้องไห้
"พี่แฟรงค์...แล้วนัทจะไปโรงเรียนกับใครล่ะ ใครจะซื้อไอติมให้นัทกิน นัทมีพี่ชายคนเดียว แล้วใครจะเป็นพี่ชายให้นัทล่ะ พี่แฟรงค์อย่าไปนะ นัทไม่อยากให้พี่แฟรงค์ไปเลย"
แฟรงค์กอดผมแน่นเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากลูบหลังปลอบใจ
"นัทไม่มีพ่อแล้ว นัทมีพี่แฟรงค์คนเดียว นัทมีพี่ชายคนเดียว พี่แฟรงค์ไปแล้วนัทจะอยู่กับใคร พี่แฟรงค์ไม่สงสารนัทเหรอ"
ผมเฝ้าคร่ำครวญปานจะขาดใจ คนที่กอดผมไว้ก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน แต่ไม่ว่าผมจะร้องไห้อ้อนวอนสักแค่ไหน สุดท้ายแฟรงค์ก็ต้องไปอยู่ดีแม้ว่าชีวิตจะยังอยู่ต่อไปได้ แต่สองสามปีแรกนั้นผมก็ทรมานจากความคิดถึงมากเหลือเกิน จนกระทั่งวันนั้นที่ผมขี่จักรยานไปยืนมองบ้านแฟรงค์เป็นครั้งสุดท้าย ผมถึงได้รู้ว่า...ผมรักแฟรงค์เข้าให้แล้ว ไม่รู้รักมาตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่ว่ารักครั้งนั้นของผมฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้
"พี่แฟรงค์ นัทขอให้พี่แฟรงค์มีความสุขมากๆ นะครับ ดูแลเพียวให้ดีๆ รักกันให้มากๆ รักกันตลอดไปนะครับ"
แล้วผมก็เอียงสังข์เพื่อจะรดน้ำสังข์ลงไป แต่กลับไม่เหลือน้ำเหลือแม้แต่หยดเดียวเพราะผมเผลอรดให้เพียวจนหมด แต่ถึงจะไม่มีน้ำสังข์เหลือแล้ว กลับมีหยดน้ำหนึ่งหยดรดลงไปแทน
น้ำตาของผมเอง!
ไม่รู้ว่าไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูเหมือนแฟรงค์จะตกใจมากทีเดียวที่น้ำที่รดลงไปบนมือของแฟรงค์ไม่ใช่น้ำสังข์ แต่กลับเป็นน้ำตาของเจ้าชายน้อยของพี่แฟรงค์
ผมรีบคืนสังข์ให้เด็กที่คอยเปลี่ยนน้ำสังข์ไป หันหลังแล้วก็รีบก้าวเดินออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่แฟรงค์จะเห็นน้ำตาหยดต่อไปของผมร่วงลงมา
เดินออกมาไม่ทันไร ผมก็ได้ยินเสียงคนร้องเอะอะเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติอยู่ข้างหลัง ยังไม่ทันได้หันไปมองด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งวิ่งมาจับข้อมือผม ไม่สิ น่าจะเรียกว่าฉุดเสียมากกว่า แล้วก็พาผมวิ่งออกไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวเลย
"นัท! ไปกับพี่เร็ว!"
เสียงที่ผมคุ้นเคยพูดเหมือนออกคำสั่ง แต่ผมก็ไม่โกรธหรอก ตรงกันข้ามผมกลับดีใจจนแทบกระโดด แม้ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปไหนหรือวิ่งไปทำอะไร ผมก็วิ่งตามไปอย่างสุดชีวิต ถ้าเป็นคนๆ นี้แล้ว จะพาผมไปไหนผมก็ยอมไปด้วยทั้งนั้น!- TBC -[/center]
อ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน