❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 22 ✢ สองใจกับหนึ่งฝัน แสงแรกแห่งวันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้ว แม้ว่าภาพพระอาทิตย์โผล่พ้นเหนือทิวเขาจะเคยเป็นเรื่องธรรมดาสมัยเด็กๆ พอจากไปนานแล้วกลับมาเห็นอีกครั้ง ผมกับแฟรงค์ก็นอนมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง ทะเลหมอกสีขาวยิ่งช่วยสร้างฉากให้งดงามตระการตามากขึ้นไปอีก ไม่ต่างกับการนอนหลับใหลอยู่บนสรวงสวรรค์เลยทีเดียว
ผมรู้แล้วว่าทำไมราคารีสอร์ทที่นี่ถึงแพงมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นตั้งแต่มาถึงเมื่อวานจนกระทั่งตื่นนอนวันนี้ ล้วนแล้วแต่มีความสวยงาม ทำให้ผมรู้สึกเสียดายเงินหมื่นน้อยขึ้นมาหน่อย
ผมกอดแฟรงค์เบาๆ ซบลงบนอกเปล่าเปลือยที่แสนอบอุ่นแล้วก็ช้อนตาขึ้นมองอย่างมีความสุข ถ้าไม่ใช่เพราะความรักและความเอาใจใส่ของผู้ชายคนนี้ ผมก็คงไม่มีคืนแต่งงานที่แสนพิเศษขนาดนี้หรอก
"ขอบคุณพี่แฟรงค์มากนะ ถึงงานแต่งงานของเราจะเงียบเหงา มีแค่เราสองคน แต่นัทก็ประทับใจมากๆ ได้กินอาหารดีๆ ได้พักที่ดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังเจอวิวสวยๆ นัทไม่รู้จะขอบคุณพี่แฟรงค์ยังไงดี"
แฟรงค์กอดผมตอบเบาๆ พร้อมกับลูบผมของผมเล่นไปไปด้วย "เอาไว้ให้พ่อกับแม่ของเราสองคนเข้าใจแล้วก็ให้อภัยเราก่อนนะ แล้วพี่จะจัดงานแต่งงานของเราให้ดีกว่านี้ ไม่ให้นัทน้อยหน้าใครหรอก"
ผมยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ แฟรงค์ไม่ได้แค่พาผมหนีมาเท่านั้น แต่ยังอุตส่าห์ให้เกียรติด้วยการจัดงานแต่งงานอย่างง่ายๆ ทว่ามีความหมายยิ่งใหญ่ แม้ไม่ใหญ่โตโอ่อ่า ไม่มีแขกเหรื่อมากมาย แต่ความรักของแฟรงค์ก็ทำให้งานแต่งงานเมื่อคืนนี้พิเศษกว่างานแต่งงานใหญ่โตเหล่านั้นเสียอีก
"วันนี้เราจะเดินทางกันต่ออีกหน่อยนะ ไปดูที่ดินที่น้านวลซื้อไว้ที่ภูทับเบิกก่อน แล้วค่อยไปเชียงรายกันต่อ"
ผมพยักหน้าตกลง เราคุยกันเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าก่อนจะไปขอขมาแม่ของผม เราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ก่อนอื่นต้องไปดูที่ดินที่แม่ผมซื้อไว้ก่อนว่าเราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง จากนั้นก็จะไปเชียงรายเพื่อค้นหาเฟรนไชส์กาแฟที่ดีๆ ที่เราน่าจะสามารถเอามาทำตลาดต่อได้ง่าย เพราะถ้าเริ่มคิดสูตรกาแฟเองจากศูนย์ก็อาจจะใช้เวลามากเกินไป ต่อยอดจากคนเก่งๆ ที่ทำไว้ดีแล้วดีกว่า
"เราอาจจะต้องเหนื่อยกันหน่อยนะนัทตอนเริ่มต้น"
"ไม่เป็นไร นัทยอมเหนื่อย เหนื่อยกับพี่แฟรงค์ เหนื่อยเพื่อความฝันของเราสองคน เหนื่อยแค่ไหนก็ได้ นัทไม่มีปัญหาหรอก" ผมบอกด้วยเสียงหนักแน่น
"ขอบคุณนะที่นัทจะยอมเหนื่อยกับพี่ ถ้ารู้สึกว่าเหนื่อยเกินไปหรือกดดันเกินไปตอนไหน นัทบอกพี่นะ บางทีพี่ก็ชอบเผลอกดดันนัทมากไปโดยไม่รู้ตัว" แฟรงค์หัวเราะเบาๆ ตอนท้าย
"ได้ ถ้าเหนื่อยแล้วจะบอก" ผมหัวเราะเช่นกัน
"ไปอาบน้ำกันดีกว่า จะได้ไปกินข้าวเช้ากัน พี่มีเซอร์ไพรส์ให้นัทอีกนิดหน่อย"
"มีเซอร์ไพรส์อีกแล้วเหรอ เซอร์ไพรส์หลายเรื่องแล้วนะตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งหนีงานแต่ง พามาแต่งงาน แล้วก็...เมื่อคืนนี้"
แฟรงค์หัวเราะชอบใจเบาๆ ก่อนที่เราสองคนจะลุกขึ้นนั่ง ถึงจะเปลี่ยนบทบาทยังไง สุดท้ายก็ลงเอยด้วยกลับมาบทบาทเดิมอยู่ดี
"ชอบมั้ยล่ะ" แฟรงค์ถามยิ้มๆ สีหน้าดูเขินๆ ผมไม่ค่อยเห็นแฟรงค์ยิ้มเขินอย่างนี้เลย นานๆ จะได้เห็นที
"ก็...มีบ่อยๆ ก็ดีนะ" ผมบอกแล้วก็ยิ้มเขินบ้าง เขินยิ่งกว่าแฟรงค์เสียอีก
เราสองคนลุกจากเตียงแล้วก็ผลัดกันไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็แต่งตัวด้วยชุดสูทที่ใส่เมื่อวานอีกครั้ง ผมก็ชักอยากรู้แล้วสิว่าแฟรงค์เตรียมอะไรไว้ให้ผมประหลาดใจอีก แต่ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอก เอาเถอะ ผมเชื่อใจแฟรงค์ว่าต้องเป็นเรื่องดีๆ อย่างแน่นอน เพราะแฟรงค์ไม่เคยทำอะไรไม่ดีให้ผมเลย
... ... ...
ผมกับแฟรงค์กินข้าวเช้าด้วยกันที่ร้านกาแฟของรีสอร์ท เป็นอาหารเช้าแบบฝรั่งอย่างง่ายๆ ช่วงเช้าๆ ยังไม่มีแขกจากข้างนอกเข้ามา มีเพียงแขกที่พักที่รีสอร์ทไม่กี่คนนี้เท่านั้น เราใช้เวลากินไม่นานก็เสร็จเพราะแฟรงค์บอกว่าอยากให้กินเสร็จก่อนแปดโมงครึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับรีบมากเพราะมีเวลาอีกตั้งสี่สิบกว่านาที
พอถึงเวลาแปดโมงครึ่งผมก็เห็นโซ้ยจูงหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เดินเข้ามาหาเราสองคนที่ร้านกาแฟ มีผู้ชายอีกคนถือกล้องเดินตามมาด้วย ผมลุกขึ้นยืนมองแล้วก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
"อะไรเหรอพี่แฟรงค์ โซ้ยรู้ได้ไงว่าเราอยู่ที่นี่"
"ไม่งั้นจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ"
แฟรงค์ลุกขึ้นยืนแล้วก็จูงมือพาผมเดินมาหาโซ้ย ผมพยายามจะดึงมือออกเพราะยังเขินๆ อยู่ แต่แฟรงค์ก็ไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งเราสองคนมายืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนเก่าสมัยเรียนประถมของเรา
"ขอบใจมากนะโซ้ย"
"ไม่เป็นไรเพื่อน กูยินดีกับพวกมึงสองคนด้วยนะเว้ย"
พอฟังแฟรงค์กับโซ้ยคุยกันผมก็ยิ่งงงใหญ่ ก็เลยถามอย่างงงๆ "โซ้ยรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ"
โซ้ยหันมามองผมแล้วก็หัวเราะเบาๆ "คนแถวนี้เค้าก็รู้กันตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนคนที่ตลาดพูดกันใหญ่ว่ามึงสองคนท่าจะเป็นแฟนกัน พอไอ้แฟรงค์มันบอก กูก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่"
"อ้อ" ผมยิ้มแต่ก็ยังคงดูงงๆ อยู่
"แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ" ผมถามโซ้ยด้วยท่าทางไม่แน่ใจ โซ้ยก็หัวเราะอีก
"ก็เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พอทำใจได้"
"เริ่มเลยดีกว่า ผมมีเวลาประมาณชั่วโมงหนึ่งนะครับ เดี๋ยวต้องไปเชียงรายต่อ" แฟรงค์หันไปบอกน้องช่างภาพผู้ชายที่มากับโซ้ย
"ครับๆ" น้องคนนั้นรับคำอย่างเร็ว
"เฮ้ยโซ้ย กูฝากเรื่องหาบ้านเช่าให้กูหน่อยนะเว้ย ถ้าได้ในวันสองวันนี้ก็จะดีมาก" แฟรงค์ไม่ลืมที่จะเตือนเพื่อนก่อนจะทำอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่รู้
"เออๆ กูไม่ลืมหรอก เห็นกูอย่างงี้ กูก็กว้างขวางไม่ใช่เล่นนะเว้ย เรื่องแค่นี้สบายมาก" โซ้ยบอกอย่างภูมิใจ
"ขอบใจมากเพื่อน" แล้วแฟรงค์ก็หันไปบอกน้องช่างภาพ "เริ่มกันเลยครับ"
สรุปว่าแฟรงค์นัดโซ้ยให้หาช่างถ่ายภาพมาให้เพื่อที่จะถ่ายภาพแต่งงานของผมกับแฟรงค์ เราถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งไม่ทัน แฟรงค์ก็เลยอยากให้ถ่ายภาพโพสต์เว็ดดิ้งแทน แถมยังให้โซ้ยพาหมามาด้วยหนึ่งตัวเพื่อเป็นสัญลักษณ์จุดเริ่มต้นของเรา เพราะหมานี่แหละที่ทำให้ผมกับแฟรงค์ได้รู้จักและรักกันมาจนถึงวันนี้
แฟรงค์ขออนุญาตทางรีสอร์ทไว้แล้วว่าจะขอถ่ายภาพแต่งงานและจะนำสุนัขมาด้วย ทางนี้ก็ยินดี แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเสร็จทุกอย่างภายในเก้าโมงครึ่งก่อนที่ลูกค้าจากข้างนอกจะมาที่ร้าน เราจึงจำเป็นต้องทำเวลากันหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
พี่ชายที่แสนดีของผมทำให้ทุกอย่างถึงขนาดนี้ ถ้าจะไม่ประทับใจและไม่เซอร์ไพรส์ก็คงจะเกินไปหน่อย ผมประทับใจความทุ่มเทของแฟรงค์มากจนเกินจะสรรหาคำใดมาพูดได้ แฟรงค์ก็ยังคงเป็นแฟรงค์ที่ยอมเสียสละทุกอย่างให้ผม ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งมั่นใจว่าผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ติดตามผู้ชายคนนี้มา ยังไงๆ ก็เลือกฝากชีวิตไว้ไม่ผิดคนแน่นอน
พอถ่ายรูปเสร็จแล้ว โซ้ยก็พาหมากับช่างภาพกลับบ้านไป เรายังไม่ได้ภาพวันนี้เพราะต้องเอาไปตกแต่งให้สวยงามก่อน คงใช้เวลาอีกประมาณสองสามวันจึงจะเสร็จ แต่ผมก็ได้ดูภาพตัวอย่างจากกล้องของน้องคนเมื่อกี้บ้างแล้ว ทั้งวิว ทั้งคนและฝีมือของคนถ่ายต่างก็ช่วยทำให้ภาพออกมาดูดีมากทีเดียว ยิ่งทำให้ตื่นเต้นอยากเห็นภาพที่ตกแต่งทั้งหมดเร็วๆ
... ... ...
ผมกับแฟรงค์เดินทางออกมาจากรีสอร์ทแล้วก็มุ่งตรงไปดูที่ดินที่แม่ผมซื้อไว้ที่ภูทับเบิกก่อน ที่ดินตรงนี้ไม่ได้อยู่บนยอดเขาแต่อยู่ระหว่างทางขึ้นเขา ผมว่าก็ดีเหมือนกันเพราะเราจะได้ไม่ต้องขับรถขึ้นลงเขาที่คดเคี้ยวและลาดชันทุกวันๆ ที่ภูทับเบิกมีอุบัติเหตุช่วงหน้าท่องเที่ยวบ่อยมากเพราะถนนคดเคี้ยวและลาดชัน แต่ที่ดินที่แม่ซื้อไว้อยู่ไม่สูงมากจึงไม่ค่อยอันตราย
เราถ่ายรูปที่ดินไว้แล้วก็ออกเดินทางไปเชียงรายต่อทันที ระหว่างเดินทางจากเพชรบูรณ์มาเชียงราย แฟรงค์โทรหาเพื่อนหลายคนที่เคยมาเชียงรายเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับร้านกาแฟชื่อดังที่เพื่อนๆ เคยไปกิน ส่วนผมก็โทรหาเพื่อนๆ ที่พอจะช่วยเรื่องออกแบบร้านกาแฟให้มีรูปทรงคล้ายๆ ผลสตอเบอรี่ไปด้วย จนกระทั่งเจอคนที่พอจะช่วยได้ ผมจึงส่งภาพถ่ายแปลงที่ดินให้เพื่อนคนนั้นไปทางไลน์เพื่อเป็นข้อมูลในการออกแบบ อีกประมาณอาทิตย์หนึ่งผมก็น่าจะได้เห็นตัวอย่างแล้ว
ผมกับแฟรงค์เดินทางมาถึงตัวเมืองเชียงรายประมาณห้าโมงเย็น ยังไม่ทันได้หาที่พัก แฟรงค์ก็พาผมมาที่ร้านกาแฟร้านแรกที่เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้ลองมาชิมดูก่อน เป็นร้านที่เปิดขายในงานเทศกาลดอกไม้ประจำจังหวัดเชียงราย เจ้าของเป็นหนุ่มชาวเผ่าอาข่าชื่อคุณบี๋ อายุประมาณสามสิบสองปี มีตำแหน่งเป็น ส.จ. ด้วย
ผมกับแฟรงค์เดินชมดอกไม้และถ่ายรูปกันประมาณยี่สิบนาที ตอนแรกว่าจะไม่ถ่ายแล้วแต่พอเห็นสวนดอกไม้ที่จัดไว้อย่างสวยงามริมแม่น้ำกก เราสองคนก็อดไม่ได้ที่จะขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย ไหนๆ ก็มาแล้ว
ถ่ายรูปกันพอสมควรแล้วเราจึงเดินมาที่ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ตรงประตูทางออกติดริมแม่น้ำ แฟรงค์สั่งอเมริกาโน่ร้อน ส่วนผมสั่งเอสเพรสโซ่เย็นมาลองชิมดู
เย็นย่ำแล้วลูกค้าที่มาเที่ยวเทศกาลดอกไม้กลับบ้านไปจนเกือบหมด ที่ร้านจึงเหลือแค่ผมกับแฟรงค์นั่งกันอยู่สองคน นั่งกินไปตบยุงไปด้วย ผู้ชายที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของร้านเดินมายืนข้างๆ โต๊ะที่เรานั่ง เมื่อสังเกตดูก็เห็นว่าเป็นคนรูปร่างออกท้วมนิดๆ ผิวขาว ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนมีความสุขกับชีวิตและน่าจะเป็นคนใจดีด้วย
"เป็นไงครับรสชาติกาแฟของเรา" เจ้าของร้านถามพลางส่งยิ้มให้
ผมกับแฟรงค์จิบชิมแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ
"อร่อยมากเลยครับ ไม่ได้ยอเกินเหตุนะครับ ผมชอบกาแฟรสนี้แบบนี้ มันหอมมาก ฝาดหน่อยๆ ไม่หวานเกินไปด้วยครับ"
แฟรงค์บอกแล้วผมก็เสริมบ้าง "จริงๆ ผมก็ไม่ใช่คอกาแฟนะครับ แต่รสชาติแบบนี้ผมกินได้ อร่อยดี ไม่เคยกินกาแฟที่ไหนที่รสชาติดีแบบนี้มาก่อนเลยครับ"
ผมหันไปมองหน้าแฟรงค์ เราสองคนหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบชิมแล้วชิมอีก ต่างคนต่างถูกใจรสชาติด้วยกันทั้งคู่ ผมว่ารสชาติแบบนี้ขายได้แน่นอน แทบจะไม่ต้องไปหาร้านอื่นอีกแล้วเพราะรสชาติมีเอกลักษณ์มาก เจ้าของร้านได้ฟังเราสองคนแล้วก็ยิ้มแก้มแทบปริ
"กาแฟคั่วนี่เอามาจากไหนเหรอครับ รสชาติมีเอกลักษณ์ดี" แฟรงค์หันไปถามเจ้างของร้านหลังจากที่ชิมจนพอใจแล้ว
"ปลูกกันเองครับ เรามีไร่กาแฟอยู่ที่ดอยช้าง ทำเองหมดทุกขั้นตอนเลย ผ่านกระบวนการเอง คั่วเอง ทำบรรจุภัณฑ์เองด้วยครับ"
แฟรงค์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะถามสิ่งที่อยากรู้ "ทำส่งด้วยมั้ยครับ"
"เมื่อก่อนก็เคยทำครับ ทำส่งร้านกาแฟที่ขายตามปั๊มน้ำมัน แต่เดี๋ยวนี้ทำน้อยลงครับ เพราะว่าเราอยากจะโฟกัสที่ธุรกิจร้านกาแฟของเรามากกว่า ตอนนี้ก็เปิดอยู่สามสาขาในเชียงรายครับ กำลังจะขยายไปกรุงเทพกับเชียงใหม่ ให้ญาติๆ ช่วยกันทำอยู่ แต่อีกไม่นานจะขายเฟรนไชส์ด้วยครับ"
ผมกับแฟรงค์หันมามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม อย่างน้อยโชคชะตาก็น่าจะเป็นใจให้กับความตั้งใจของเราสองคนบ้าง แค่เดินทางมาวันแรกเราก็ได้ของดีแล้ว
"พอดีเรากำลังจะทำร้านกาแฟที่ภูทับเบิกครับ กำลังหากาแฟที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่พอดี พอชิมกาแฟของที่นี่แล้วรู้สึกว่าใช่เลยครับ ถ้าสนใจจะซื้อเฟรนไชส์ ต้องทำยังไงมั่งครับ" แฟรงค์พูดจบแล้วก็หยิบแก้วกาแฟมาจิบอีก
"อ้อ รอแป๊บนึงนะครับ"
ชายเจ้าของร้านบอกแล้วก็เดินหายเข้าไปในร้านที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวเพื่อให้บริการลูกค้าช่วงเทศกาลดอกไม้ ไม่นานนักก็กลับออกมาพร้อมกับยื่นนามบัตรให้เราคนละใบ
"นามบัตรผมนะครับ ถ้าสนใจก็ติดต่อมาได้เลยครับ อ้อ ผมชื่อบี๋นะครับ เป็นคนอาข่า"
ผมกับแฟรงค์รับบัตรมาแล้วก็มองคุณบี๋อย่างแปลกใจ ในนามบัตรมีชื่อที่อ่านดูก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อแบบคนไทยแน่ๆ ไม่เท่านั้น เจ้าของร้านคนนี้ยังพ่วงตำแหน่ง ส.จ. เข้าไปด้วย ถือว่าเป็นชาวอาข่าที่มีคุณภาพมากทีเดียว
"ปกติไม่เคยเจอชาวเขาแบบนี้ใช่มั้ยครับ" คุณบี๋ถามอย่างรู้ทัน คงจะเป็นเพราะเห็นเรามองด้วยสายตาทึ่งๆ
ผมกับแฟรงค์ยิ้มเป็นเชิงยอมรับ
"คุณสองคนมาจากเพชรบูรณ์กันเหรอครับ" คุณบี๋ถามต่อ
"ครับ ผมชื่อแฟรงค์นะครับ เคยทำรีสอร์ทแล้วก็มีร้านกาแฟเล็กๆ ที่กรุงเทพ นี่นัทครับ...แฟนผม จบปริญญาโทด้านการจัดการการท่องเที่ยวมา เราเพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เขาค้อครับ ก็ว่าจะทำรีสอร์ทแล้วก็ร้านกาแฟตามความฝันของเรานี่แหละครับ"
ผมรู้สึกตกใจพอสมควรที่จู่ๆ แฟรงค์ก็แนะนำคนแปลกหน้าว่าผมเป็นแฟน แถมยังเป็นผู้ชายอีก แต่คุณบี๋กลับยิ้ม ไม่มีทีท่าตกใจแม้แต่น้อย
"ครับ แต่งงานกันแล้วเหรอครับ" คุณบี๋ถามต่อ
"แต่งแล้วครับ เพิ่งแต่งกันเมื่อวานนี่เอง อืม...แปลกนะครับที่คุณบี๋ไม่เห็นจะตกใจเลย" แฟรงค์บอกตามตรงอย่างที่สงสัย เพราะปกติคนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ชายไม่น่ารับเรื่องอย่างนี้ได้
"อ้อ...ยินดีด้วยนะครับ สำหรับชาวอาข่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดามากครับ ที่เชียงราย มีหมู่บ้านหนึ่ง มีคนแบบคุณสองคนเยอะมาก พวกเราก็เลยไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติครับ"
ผมกับแฟรงค์มองหน้ากันด้วยความรู้สึกทึ่งอีกแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชาวเขาที่เรามองว่าไร้ความศิวิไลซ์จะสามารถเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมทางเพศได้ถึงขนาดนี้
"จริงเหรอครับ ไม่น่าเชื่อเลย คนพื้นราบในเมืองหลายๆ คนยังคิดแบบนี้ไม่ได้เลยครับ"
ผมบอกด้วยท่าทางชื่นชม แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเมื่อแฟรงค์ตบเผียะเข้าที่ข้อมือของผมที่วางราบอยู่บนโต๊ะนั่ง
"ขอโทษๆ พี่ตบยุงให้เฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก"
แฟรงค์รีบบอก คงเป็นเพราะกลัวผมจะเข้าใจผิด คุณบี๋มองดูเราสองคนแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
... ... ...
หลังจากชิมกาแฟและหาข้าวเย็นกินกันเรียบร้อยแล้ว แฟรงค์ก็พาผมตระเวนหารีสอร์ทเล็กๆ สำหรับพักคืนนี้ เราเลือกพักเพียงหนึ่งคืนเพราะไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า คงไปที่อื่นแล้วก็น่าจะพักใกล้ๆ ที่ที่จะไปเลยดีกว่า
พรุ่งนี้แฟรงค์จะพาผมไปดูไร่ชาฉุยฟง ไปดูไร่สตรอเบอรี่ที่ดอยช้าง แวะทานกาแฟกันที่นั่นเผื่อว่าจะเจอร้านกาแฟดีๆ อีก อย่างไรก็ตาม ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่ากาแฟที่ร้านเมื่อสักครู่นี้ค่อนข้างใช่อย่างที่ต้องการ แต่ก็อยากไปดูเพิ่มอีกเผื่อมีทางเลือกไว้ในกรณีที่คุณบี๋เกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมขายเฟรนไชส์ให้
เราได้รีสอร์ทเล็กๆ แห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงราย เดาว่าเจ้าของน่าจะเป็นชาวอาข่าอีกเช่นเดียวกัน เพราะลักษณะของรีสอร์ทมีการออกแบบบางอย่างแตกต่างไปจากคนเหนือ เท่าที่ผมทราบจากคุณบี๋มา ชาวอาข่าหลายคนที่พัฒนาตัวเองดีแล้วมักมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ปัจจุบันก็เริ่มมีมากขึ้นและลงจากดอยมาอยู่ปะปนกับคนเมือง
"นัทอาบน้ำก่อนละกันนะ" แฟรงค์บอกผมเมื่อเราเข้ามาในห้องพักแล้ว
ผมมองไปรอบๆ ห้องพักที่ไม่ใหญ่มากนัก ถ้าเทียบกับคืนที่ผ่านมาแล้วก็ต่างกับลิบลับเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก
"ได้ๆ พี่แฟรงค์เหนื่อยมั้ยวันนี้" ผมไม่ขัดข้องเพราะคิดว่าแฟรงค์คงเหนื่อยขับรถมาทั้งวัน จึงอยากนั่งพักผ่อนก่อนอาบน้ำ
"ไม่เหนื่อยหรอก นัทล่ะ เหนื่อยหรือเปล่า"
ผมส่ายหน้าแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะเปิดกระเป๋าที่ลากมาด้วยออก หยิบเสื้อผ้าที่จะใช้ทั้งของผมและแฟรงค์แล้วเอาไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า แฟรงค์เดินออกไปที่ระเบียงด้านนอก ผมมองตามแต่ไม่ได้ตามไปด้วยเพราะอยากให้แฟรงค์มีเวลาส่วนตัวของตัวเองบ้าง
ผมเดินเข้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ ปล่อยให้แฟรงค์ยืนคิดอะไรเงียบๆ อยู่ที่ระเบียงคนเดียว
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย เดินมาที่ตู้เสื้อผ้าแล้วก็หยิบกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาวมาใส่อย่างเคย หวีผมพอให้เป็นทรงแล้วก็มองหาแฟรงค์ที่ระเบียงห้อง ผมไม่เห็นแฟรงค์ยืนอยู่ตรงนั้นก็เลยสงสัย พอเพ่งมองหาดีๆ จึงเห็นว่าแฟรงค์นั่งชันเข่าอยู่กับพื้น
ผมขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปหาแฟรงค์ตรงระเบียงด้วยใจคอที่ไม่สู้ดี คงต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ แฟรงค์ถึงลงไปนั่งกับพื้น อาการอย่างนี้ไม่น่าอยู่ในวิสัยปกติ พอเห็นแฟรงค์เต็มตาแล้วผมก็ตกใจไม่น้อย
"พี่แฟรงค์!"
แฟรงค์เงยหน้าขึ้นมามองผม ท่าทางคล้ายกับคนกำลังร้องไห้ ใช่แล้ว ผมเห็นหยดน้ำตาของแฟรงค์ไหลลงมาเป็นทาง แม้ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ผมก็คิดกังวลอยู่แล้วว่าหลังจากที่เราหนีมา ต้องมีเรื่องไม่ดีหลายอย่างเกิดขึ้นที่บ้านของแฟรงค์แน่ๆ
"นัท ปู่พี่เสียแล้ว เมื่อกลางวันนี้นี่เอง" แฟรงค์บอกผมด้วยเสียงสั่นเครือ
ผมตกใจจนขนลุกไปทั้งตัว เห็นแฟรงค์กำโทรศัพท์มือถือไว้ก็พอจะเข้าใจว่าแฟรงค์รู้ได้ยังไง ตั้งแต่หนีออกมาจากงานแต่งงาน จนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ แฟรงค์ไม่ยอมโทรหาน้องสาว ไม่เปิดดูไลน์ ใช้โทรศัพท์เสร็จแล้วก็จะปิดเครื่องทันที ไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ ที่จะทำให้ใจหวั่นไหว พอผมเห็นแฟรงค์ทำอย่างนั้นผมก็ทำตามบ้าง ไม่โทรหาแม่หรือพี่นิว ไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ เช่นเดียวกัน แต่สุดท้ายแฟรงค์ก็คงอดใจไม่ได้ ผลจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น
ผมเดินไปหาแฟรงค์แล้วก็ย่อตัวลงนั่งข้างๆ แฟรงค์วางโทรศัพท์ลงกับพื้นแล้วก็โผเข้ากอดผมแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
"นัท" แฟรงค์เรียกชื่อผมแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ
ผมพลอยร้องไห้ด้วยความสงสารแฟรงค์ไปด้วย รู้และเข้าใจดีว่าแฟรงค์เจ็บปวดมากแค่ไหนที่ต้องสูญเสียคนสำคัญในครอบครัว แต่ตัวเองกลับต้องมาอยู่ตรงนี้ คิดๆ แล้วก็อยากจะบอกให้แฟรงค์กลับบ้านไปเสียเดี๋ยวนี้ ผมไม่อยากให้แฟรงค์ต้องสูญเสียมากขนาดนี้เพื่อผมเลย มันโหดร้ายเกินไปที่คนๆ หนึ่งจะยอมสูญเสียมากถึงขนาดนี้
แฟรงค์ไม่พูดอะไรเอาแต่กอดผมแน่นและร้องไห้ แม้จะพยายามเข้มแข็งมาตลอดทั้งวัน แต่พอเจอเรื่องอย่างนี้เข้าไปก็คงทนไม่ไหว ผมอดสงสัยไม่ได้เลยว่าทำไมความรักครั้งนี้ถึงต้องแลกมาด้วยความสูญเสียเหลือคณานับ ไม่รู้เลยว่าจะทานทนต่อไปกันได้สักกี่น้ำ
"พี่แฟรงค์จะกลับบ้านมั้ย" ผมตัดสินใจถามไป ถึงยังไงผมก็เชื่อว่าพ่อกับแม่ของแฟรงค์คงไม่ใจร้ายใจดำกับลูกของตัวเองหรอก
แฟรงค์ส่ายหัวแล้วก็ละล่ำละลักพูด "พี่กลับไม่ได้หรอกนัท พี่จะไม่ยอมกลับไปจนกว่าเราสองคนจะทำตามความฝันของเราสำเร็จ"
"โธ่...พี่แฟรงค์" ผมรู้สึกสะท้อนใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงได้แต่กอดแฟรงค์แน่นด้วยความสงสารจับจิตจับใจ
"เฟิร์นบอกว่า...พ่อพี่เค้าตัดพ่อตัดลูกกับพี่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะกลับไปตอนนี้หรอก"
คราวนี้ผมยิ่งกอดแฟรงค์แน่นด้วยความสะเทือนใจ แม้ว่าจะเจ็บปวดและสูญเสียมากแค่ไหน แต่แฟรงค์ก็ไม่คิดจะหันหลังกลับเพื่อที่จะพาผมไปต่อ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายคนนี้จะยอมทุ่มเทเพื่อความรักมากขนาดนี้ หัวใจของแฟรงค์ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน จนทำให้ผมรู้สึกละอายใจกับหลายๆ อย่างที่ผมทำก่อนหน้านี้
"เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปทำบุญที่วัดให้ปู่พี่แฟรงค์ด้วยกันนะ" ผมละล่ำละลักบอกเช่นเดียวกัน
แฟรงค์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย "นัทอย่าทิ้งพี่ไปไหนอีกนะ เราเหลือกันแค่สองคนแล้ว พี่ไม่เหลือใครแล้วนะนัท"
ผมพยักหน้าแล้วก็ครางฮือด้วยความสงสารในชะตาชีวิตของคนรัก ต่อจากนี้ไป นอกจากเราจะจับมือกันทำงานเพื่อความฝันของเราแล้ว วันไหนที่เสียใจหรือท้อแท้จนทนไม่ไหว เราก็คงต้องร้องไห้และปลอบใจกันสองคนอย่างนี้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมกับแฟรงค์ก็ยังคงต้องเดินไปต่อ แม้ว่าจะสะดุดบ้าง แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีกันและกัน ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างเมื่อก่อน ใครล้มเราก็ช่วยให้กำลังใจและฉุดดึงกันไป เราจะยิ้มและจับมือกันไว้เสมอไม่ว่าจะหัวเราะหรือมีน้ำตา
ผมนับถือในความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของแฟรงค์เหลือเกิน แฟรงค์ได้สอนให้ผมเห็นแล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นยังไง เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ยอมแพ้หรือคิดถอดใจง่ายๆ อีกแล้ว เพราะเรายังมีสองหัวใจที่ยังเต้นอยู่ และอีกหนึ่งความฝันของเราที่รอคอยการพิสูจน์ ถ้าเราผ่านบททดสอบนี้ไปได้แล้ว ผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเราจะได้รับสิ่งดีๆ อย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าจะมีใครอีกมั้ยที่ต้องยอมแลกเพื่อความรักมากขนาดนี้ แต่เราสองคนก็เลือกแล้วว่าจะยอมแลก!- TBC -[/center]