❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 16 ✢ กรรมของคนหน้าด้าน เช้านี้คงเป็นเช้าแรกที่ในรอบเกือบเดือนที่แฟรงค์ตื่นนอนขึ้นมาแล้วเจอผมนอนอยู่ข้างๆ พอตื่นมาเจอกันแล้วก็ยิ้มมีความสุขใหญ่เลย นอนคลอเคลียกับผมเพลินจนเหมือนไม่อยากลุกไปไหน ผมเตือนอยู่หลายรอบกว่าจะยอมลุกไปอาบน้ำ เพิ่งจะเคยเห็นแฟรงค์ดื้อบ้างก็วันนี้แหละ แต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
หลังจากที่เราสองคนอาบน้ำและแต่งตัวเรียบร้อย ผมกับแฟรงค์ก็ยืนมองหน้ากันหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ตรวจดูความเรียบร้อยให้กันและกันก่อนจะออกจากบ้านไป
"พี่ชายของผมนี่จะหล่อไปถึงไหนนะ แต่งตัวเนี้ยบ เท่ สมาร์ท แถมยังหุ่นดีมีซิกซ์แพ็คอีกต่างหาก"
ผมบอกพลางมองอย่างชื่นชมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แฟรงค์แต่งตัวดูดีสมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ แม้ว่าจะไม่ใส่สูทผูกเนกไทก็ตาม
"แล้วนัทรู้มั้ย หน้าหล่อๆ ของพี่...เอาไว้ให้นัทมองเท่านั้น ส่วนหุ่นซิกซ์แพ็ค...ก็เอาไว้ให้นัทนอนกอดคนเดียว"
แฟรงค์พูดหยอกเล่นแต่ก็ทำเอาผมเขิน แล้วแฟรงค์ก็จับไหล่สองข้างของผมไว้ ประสานสายตากัน
"จำไว้นะนัท อย่าฟังใครนอกจากพี่ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็อย่าสนใจ และที่สำคัญ...อย่าปล่อยมือพี่อย่างเด็ดขาด"
แฟรงค์ย้ำเรื่องนี้อีกแล้ว น้ำเสียงหนักแน่นของแฟรงค์แม้จะทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น แต่ลึกๆ ก็กลัวไม่น้อย แฟรงค์พูดเหมือนกับรู้ว่าจะมีใครมาพูดอะไรกับผมเสียอย่างนั้น
ผมพยักหน้ารับคำ ยิ้มบางๆ "นัทจะเชื่อพี่แฟรงค์คนเดียวนะ"
แฟรงค์ยิ้มอย่างพอใจแล้วลูบผมของผมเบาๆ
"ดีมากน้องพี่ เชื่อพี่ไว้ไม่เสียหลาย อ้อ...เดี๋ยววันนี้พี่จะกลับบ้านก่อนนะ ปู่เพิ่งออกจากโรงบาลมา ยังไม่ได้เจอหน้าปู่เลย เมื่อวานกลับบ้านไปก็มีเรื่องซะก่อน"
"มีเรื่องอะไรเหรอพี่แฟรงค์" ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย
แฟรงค์คงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากจึงทำท่าทางอึกอัก ผมชักเกรงว่าตัวเองจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของแฟรงค์มากไปก็เลยพูดออกตัว
"นัทก็ถามไปงั้นแหละ ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรหรอก"
แฟรงค์ถอนหายใจ สีหน้าดูเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ครุ่นคิดอยู่สักพักจึงตัดสินใจบอกผม
"พี่ทะเลาะกับพ่อ...เรื่องที่พี่จะไม่ยอมแต่งงานกับเพียวนั่นแหละ แล้วพี่ก็บอกพ่อไปด้วยว่า...พี่รักนัท"
ผมมองแฟรงค์อย่างเห็นใจระคนตกใจ คงไม่แปลกที่แฟรงค์จะทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้ คงยากที่จะมีพ่อที่ไหนยอมให้ลูกชายมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน ถ้าพ่อผมยังอยู่ ผมก็อาจเจอปัญหาเหมือนแฟรงค์ก็ได้
"ช่วงนี้...เราสองคนต้องเข้มแข็งมากๆ นะนัท อย่าหวั่นไหวเป็นอันขาด แล้วพี่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้นัทฟังว่าทุกอย่างเป็นมายังไง อ้อ...อีกอย่างนึง ก่อนที่นัทจะกลับบ้าน พี่จะขอมานอนกับนัททุกวันนะ นัทไม่ว่าอะไรพี่ใช่มั้ย"
แฟรงค์เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้ม สายตาที่มองผมมายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสน่หาเหมือนเช่นเคย ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีปัญหากับเรื่องที่แฟรงค์ขอ
"เดี๋ยวตอนเย็นๆ พี่จะซื้อฮาเกนดาสมาให้นะ อยากได้รสอะไรก็ไลน์ไปบอกพี่ พี่จะซื้อให้ทุกรสที่นัทอยากกินเลย"
พอได้ยินเรื่องไอศครีมผมก็ตาลุกเป็นประกาย แค่ได้ยินชื่อยี่ห้อก็อยากกินเสียเดี๋ยวนี้
"พี่แฟรงค์ใจดีจัง เดี๋ยวนัทส่งไลน์ไปบอกนะ"
แฟรงค์ลูบผมของผมเบาๆ อีกครั้ง ผมชอบสัมผัสนี้ของแฟรงค์เหลือเกิน ยิ่งมาพร้อมกับสายตาหวานฉ่ำด้วยแล้วผมก็แทบละลายอยู่ตรงนี้
"พี่ใจดีกับเจ้าชายน้อยของพี่อยู่แล้ว"
นี่คงเป็นครั้งแรกที่แฟรงค์เรียกผมว่า "เจ้าชายน้อย" ช่างสรรหาคำมาพูดจนเห็นภาพพจน์ชัดเจน จะว่าไปผมก็คงเป็นเจ้าชายน้อยอย่างที่แฟรงค์ว่ามานานแล้ว ความดูแลเอาใจใส่ของแฟรงค์ที่มีให้ผมพิสูจน์คำพูดนี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าชายน้อยคนนี้ก็อยู่ในหัวใจของพี่แฟรงค์เสมอ
ผมสวมกอดแฟรงค์แล้วก็ซบลงเบาๆ ที่ไหล่ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียอย่างนั้น กลับบ้านไปคราวนี้ ผมไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาหาแฟรงค์อีกหรือเปล่า ยิ่งรู้ว่าแฟรงค์มีปัญหากับครอบครัวก็ยิ่งไม่มั่นใจ เหตุการณ์ต่อจากนี้คงพลิกผันและแปรปรวนจนไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยยังไง
ผมรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง...หรืออาจจะเรียกว่า "เลว" ก็ได้ ที่ยอมมีความสัมพันธ์กับแฟรงค์ในเวลานี้ เพลงรักบาปที่เราสองคนบรรเลงขึ้นคงฟังระคายหูของใครต่อใครไม่น้อย แต่สำหรับผม มันอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะเหลือทิ้งไว้ให้ผมจดจำ...ในวันที่รักหมดหนทางไป
ผมกอดแฟรงค์แน่นขึ้น แฟรงค์ตอบสนองด้วยแรงกอดรัดที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน ยิ่งรู้ว่าอ้อมกอดนี้อบอุ่นมากแค่ไหน ยิ่งรู้ว่าคนๆ นี้รักผมมากเพียงใด ผมก็ยิ่งใจหายและหวาดกลัวว่าทั้งหมดนี้...จะเป็นเพียงเมฆหมอกฝัน ที่วันหนึ่งลมจะพัดพาหายวับไปกับตา
... ... ...
ช่วงเช้าผมสะสางงานที่เกี่ยวกับการเงินกับพนักงานบัญชีจนเสร็จเรียบร้อย แล้วก็กลับมาที่ห้องทำงานของผมกับแฟรงค์ ตรวจดูงานอื่นๆ ก็พบว่าเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ผมยังสะสางไม่หมด วันนี้ผมอาจจะทำเสร็จหมดเลย ไม่เหลืองานให้ต้องสะสางในอีกสามวันที่เหลือ ก็น่าจะดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาไปดูแลลูกค้าที่บ่อตกปลาให้แฟรงค์บ้าง
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น พอประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ผมก็เห็นคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาหาผมถึงที่นี่ คงจะมาหาผมนั่นแหละเพราะในห้องนี้ไม่มีใครนอกจากผม ที่สำคัญ คนที่มาหาคงจะรู้อยู่แล้วว่าแฟรงค์ไม่อยู่ที่รีสอร์ท
ผมลุกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินไปสวัสดีผู้มาเยือน แม้จะยิ้มแต่ก็สังหรณ์ใจว่าคงมีเรื่องสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นแล้วแม่ของแฟรงค์คงไม่มาหาผมถึงที่นี่แน่นอน
"สวัสดีครับป้า มาหานัทเหรอครับ"
ผู้สูงวัยกว่ารับไหว้และพยักหน้า แม้มีแป้งและเครื่องแต่งหน้าทาทับ ผมก็พอสังเกตเห็นร่องรอยอิดโรยและแววตาที่ดูกังวลของแม่แฟรงค์ได้ ท่าจะมีเรื่องหนักใจมาคุยกับผมแน่แล้ว
"ใช่จ้ะ เราไปหาที่นั่งคุยกันข้างนอกดีมั้ย"
"ได้ครับ" ผมบอกแล้วก็หันรีหันขวาง "เดี๋ยวผมขอเวลาเซฟไฟล์แป๊บนึงนะครับ"
แม่ของแฟรงค์พยักหน้า ผมจึงเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน เซฟไฟล์งานที่ทำค้างไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องพร้อมกับแม่ของแฟรงค์ที่ดูเงียบจนน่ากลัว
ผมพาแม่ของแฟรงค์มานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ริมบ่อตกปลา มีโต๊ะจัดไว้ให้ลูกค้านั่งพักอยู่สองสามตัว เราเลือกหนึ่งในนั้นแล้วก็นั่งลงตรงข้ามกัน สีหน้าของผู้สูงวัยกว่ายังคงดูเหมือนครุ่นคิดตลอดเวลาตั้งแต่เดินออกมาจากห้องทำงาน
แม่ของแฟรงค์ถอนหายใจก่อนจะเริ่มการสนทนากับผม "นัทจะกลับบ้านวันไหนเหรอลูก"
"ก็ทำงานอีกสามวัน แล้วนัทก็ว่าจะกลับเช้าของอีกวันเลยครับ เดินทางเช้าๆ จะได้ไม่ถึงบ้านค่ำมาก"
แม่ของแฟรงค์พยักหน้ารับรู้ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง
"ป้า...อยากจะเล่าอะไรบางอย่างให้นัทฟัง ไม่รู้ว่านัทพอจะมีเวลาคุยกับป้าสักครึ่งชั่วโมงมั้ย มีงานด่วนหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ"
แม่ของแฟรงค์ครุ่นคิดและมองหน้าผมเหมือนกับไม่รู้ว่าจะเล่าดีหรือเปล่า
"เรื่องผมกับแฟรงค์หรือเปล่าครับ" ผมตัดสินใจถามไป
แม่ของแฟรงค์พยักหน้า เว้นจังหวะนานพอสมควรจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องนั้นให้ผมฟัง
"ตอนแฟรงค์เรียนชั้นปอหกที่เขาค้อ ตอนนั้น...นัทกับแฟรงค์ยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่าผู้ใหญ่เห็นอะไร ลุงกับป้าได้ยินคนในตลาดเค้าพูดกันว่า...แฟรงค์กับนัทสนิทกันมาก สนิทกันจนเหมือน...ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือพี่น้อง ตอนนั้นลุงกับป้าก็คิดว่าคนพวกนั้นคงจะคิดมากไป ไม่มีอะไรทำจนต้องนินทาแม้กระทั่งเด็กๆ แต่พอลุงกับป้าลองสังเกตดูดีๆ อยู่หลายเดือน ก็รู้สึกว่า...นัทกับลูกชายของป้า...ใกล้ชิดกันมากจน..."
แม่ของแฟรงค์ดูเหมือนจะไม่กล้าพูดเรื่องนั้นออกมาตรงๆ แต่ผมก็พอจะเดาได้ไม่ยาก
"พอดีว่าช่วงนั้นธุรกิจรีสอร์ทของลุงกับป้าที่เขาค้อมีปัญหา ก็เรื้อรังมาหลายปีนั่นแหละ เราก็เลยตัดสินใจขายธุรกิจทิ้ง ช่วงที่รอขายก็ให้แฟรงค์ย้ายไปเรียนกรุงเทพก่อน พอขายได้ก็เลยย้ายเฟิร์นตามไปอีกคน หลังจากนั้น ครอบครัวของลุงกับป้าก็ไม่เคยกลับไปที่เขาค้ออีกเลย ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจอย่างหนึ่ง แล้วก็..."
แล้วแม่ของแฟรงค์ก็ถอนหายใจอีก มองดูผมด้วยสีหน้าคล้ายว่าจะเห็นใจ ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นานจึงตัดสินใจถามผม
"นัทพอจะรู้ใช่มั้ยว่าทำไม...แฟรงค์ถึงไม่ได้กลับมาหานัทเลย"
ผมหันหน้าไปทางอื่น คราวนี้เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ
"พอจะรู้ครับ แฟรงค์เค้าไม่ได้บอกผมตรงๆ หรอก แต่ฟังดูแล้วผมก็พอจะเดาได้"
"ป้าขอโทษนะลูก" แม่ของแฟรงค์พูดสวนมาทันที
ผมสบตากับแม่ของแฟรงค์ เธอดูเห็นใจผมมาก แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่า เธอคงไม่ได้มาคุยกับผมเพื่อจะบอกว่าเห็นใจผมแค่นี้แน่
"ลุงกับป้าคิดว่าทำแบบนี้แล้ว...จะช่วยตัดไฟแต่ต้นลมได้ ก็เลยไม่ยอมให้แฟรงค์มาหานัท ทั้งๆ ที่รู้ว่าแฟรงค์คิดถึงนัทมากแค่ไหน บางวันไม่ยอมกินข้าว เอาแต่นั่งดูรูปที่ถ่ายกับนัทที่มีติดตัวมาใบเดียว เค้าเคยขอพ่อมาหานัทบ่อยๆ แต่ลุงก็ไม่ยอมให้มา จากนั้นเราก็เลยหากิจกรรมให้แฟรงค์ทำ ไม่ให้อยู่ว่างๆ เพราะกลัวเค้าจะคิดฟุ้งซ่าน ก็ดูเหมือนว่าแฟรงค์ลืมเรื่องเก่าๆ ไปหมดแล้ว กลับมาเป็นคนสดใสร่าเริงเหมือนเดิม เค้าได้เจอคนใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ ลุงกับป้าก็เลยสบายใจขึ้นมาได้หน่อย แต่ก็มาหนักใจอีกทีตอนที่แฟรงค์ไม่ยอมมีแฟน กลุ้มใจกันอยู่หลายปี แต่สุดท้ายเราก็โชคดีที่แฟรงค์ได้เจอหนูเพียว เค้าสองคนรักกันมากนะ ประคับประคองกันมาเป็นอย่างดี จนกระทั่ง...ตกลงจะแต่งงานกัน ครอบครัวของเราดีใจมากที่แฟรงค์จะเป็นฝั่งเป็นฝา โดยเฉพาะลุง ลุงเค้าดีใจมากนะนัทเพราะเค้าฝากความหวังไว้ที่แฟรงค์ทุกอย่าง ปู่ของแฟรงค์ก็รักแฟรงค์มาก ก็หวังพึ่งหลานนี่แหละที่จะช่วยสืบสกุลและสืบทอดธุรกิจต่อไป"
ผมรับฟังเรื่องที่แม่ของแฟรงค์เล่าด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก เดาไม่ถูกเลยว่าคนเล่าต้องการสื่ออะไรกันแน่
"ป้ารู้นะว่าแฟรงค์กับนัทรู้สึกยังไงต่อกัน แต่ป้า...ก็ไม่อยากให้แฟรงค์กับนัททำอย่างงี้เลย"
แม่ของแฟรงค์ยิงเข้าตรงจุดจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ถ้าลองพูดมาอย่างนี้แล้ว ผมก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายมาเพื่อเหตุผลใด
"แล้วป้า...ไม่อยากให้พี่แฟรงค์มีความสุขเหรอครับ" ผมกลั้นใจถามกลับไป
แม่ของแฟรงค์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คืนกลับสู่สีหน้าเดิม
"ชีวิตของคนเรา...มีอะไรให้ต้องทำมากกว่าความรักนะลูก แฟรงค์น่ะ...เค้าเป็นความหวังหลายอย่างของครอบครัวเรา เป็นลูกชายคนเดียวที่พ่อเค้าก็หวังว่าจะให้ช่วยสืบสกุลให้ สืบทอดธุรกิจของปู่ต่อไป ปู่ของแฟรงค์ตั้งใจจะยกเป็นมรดกให้หลานชายอีกไม่นานนี้ แฟรงค์เค้าต้องดูแลหลายอย่างให้ครอบครัวเรา..."
แม่ของแฟรงค์หยุดคิด ผมก็เลยถือโอกาสพูดบ้าง
"ถ้างั้นก็แปลว่า...ถ้าแฟรงค์กับผมรักกัน แฟรงค์ก็จะดูแลธุรกิจและสืบทอดตระกูลให้ครอบครัวไม่ได้ใช่มั้ยครับ"
แม่ของแฟรงค์สบตาผม สายตายังดูเหมือนเห็นใจผมเหมือนเดิม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการหรอก
"ป้าก็ไม่รู้ว่าจะบอกนัทยังไง แต่ถ้าไม่มีแฟรงค์...ครอบครัวเราก็จะลำบาก ลำบากมากๆ เลยล่ะ"
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นึกถึงเรื่องที่แฟรงค์เพิ่งเตือนไว้เมื่อเช้าว่าไม่ให้หวั่นไหว แต่พอเจออย่างนี้เข้าไป ผมก็เริ่มสั่นคลอนเหมือนกัน
"แล้วความสุขของแฟรงค์ล่ะครับป้า ไม่เห็นมีใครพูดถึงความสุขของแฟรงค์เลย แฟรงค์เค้าจะต้องอยู่กับชีวิตอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนครับ"
ผมพูดไปแล้วก็จะร้องไห้ รู้สึกสงสารแฟรงค์จับจิตจับใจที่ต้องอยู่ในครอบครัวที่บีบบังคับขนาดนี้
"ความจริง...ป้าก็ไม่เห็นว่าก่อนหน้านี้แฟรงค์เค้าจะมีความทุกข์อะไรนะ ป้าหมายถึง...ก่อนที่แฟรงค์จะเจอนัทอีกครั้ง ชีวิตของเค้าก็คงจะเดินไปตามวิถีของผู้ชายคนหนึ่ง ทำงาน แต่งงาน มีลูก ดูแลครอบครัว ป้าไม่เห็นว่าเค้าจะมีปัญหาอะไรเลย จนกระทั่ง..."
แม่ของแฟรงค์ละไว้ในฐานที่เข้าใจ นั่นแปลว่าผมเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับครอบครัวของแฟรงค์ ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี แฟรงค์ก็กำลังจะแต่งงานมีครอบครัวเหมือนผู้ชายคนหนึ่ง แต่แฟรงค์ดันมาเจอตัวปัญหาอย่างผมเสียก่อน
ก็คงจะจริง...ถ้าแฟรงค์ไม่เจอผม ชีวิตของแฟรงค์ก็คงเดินไปตามวิถีของผู้ชายคนหนึ่ง
แม่ของแฟรงค์ถอนหายใจ สายตาที่มองผมอย่างเห็นใจกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกดีแม้แต่น้อยเลย
"ป้าเสียใจนะ แล้วป้าก็ต้องขอโทษนัทด้วย ยังไงๆ พ่อของแฟรงค์ก็คงไม่ยอม ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ป้าขอบอกตรงๆ ว่า...ป้าไม่เห็นความเป็นไปได้เลยที่แฟรงค์กับนัทจะ..."
ละไว้ในฐานที่เข้าใจอีกครั้ง แล้วก็พูดสืบไป
"ลุงกับป้า...ไม่รังเกียจหรอกนะที่แฟรงค์กับนัทจะคบกันต่อไปในฐานะ...พี่น้อง...หรือเพื่อน แต่ถ้ามากกว่านั้น..."
ดูเหมือนจะมีเรื่องที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจหลายเรื่อง ก็เอาเป็นว่าผมเข้าใจดีทุกอย่างละกัน อย่าว่าแต่คบกันเป็นเพื่อนหรือพี่น้องเลย แม้เป็นแค่คนรู้จักก็ยังมากพอที่จะสร้างความระคายเคืองและหวาดระแวงให้ครอบครัวนี้ได้ ไม่มีใครในครอบครัวของแฟรงค์ต้องการผม แล้วทำไมผมจะต้องอยู่เป็นหนามในใจให้ครอบครัวคนอื่นด้วยเล่า
ผมยกมือป้ายน้ำตาที่รินไหลลงมาอย่างช่วยไม่ได้ คงไม่ต้องถามผมว่ารู้สึกยังไง เจ็บปวดแค่ไหน แต่ดูเหมือนแค่นั้นยังไม่พอ ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน เหมือนมีใครเอาเข็มนับร้อยนับพันมาทิ่มแทงผมพร้อมๆ กันเลยทีเดียว
"นัทปล่อยมือพี่เค้าเถอะลูก อย่าทำลายอนาคตของแฟรงค์เลย ครอบครัวเราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ถือว่าป้าขอร้องละกัน"
พอจบประโยคแม่ของแฟรงค์ก็ลุกขึ้น ก่อนจะเดินดุ่มๆ ออกไปโดยไม่หันมามองผมที่ก้มหน้าร้องไห้ปานจะขาดใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าครอบครัวนี้ไม่ต้องการผม แล้วผมกับแฟรงค์จะอยู่ด้วยกันได้ยังไง อีกอย่าง ในเมื่อแม่ของแฟรงค์ขอร้องผมถึงขนาดนี้ ผมควรจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปหรือเปล่า ถ้าอยู่ต่อ...ก็คงไม่ใช่คนแล้ว
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมดังขึ้น พอหยิบมาดูก็เห็นแฟรงค์ส่งไลน์มาถามว่าจะเอาไอศครีมรสอะไรบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบแฟรงค์ไป เห็นความเป็นห่วงเป็นใยและเอาใจใส่ของแฟรงค์ผมก็ยิ่งใจหาย
"พี่แฟรงค์ นัทจะไม่ไหวแล้ว พี่แฟรงค์ช่วยนัทด้วย"
ผมคงทำได้แค่พูดคนเดียวอยู่ตรงนี้ แฟรงค์คงไม่สามารถรับรู้ว่าเจ้าชายน้อยของพี่แฟรงค์กำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวด ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วก็ค่อยๆ ยืนขึ้น ก่อนจะวิ่งไปหาห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อล้างหน้าล้างตาให้อยู่ในสภาพพอกลับไปทำงานต่อได้
... ... ...
ไม่น่าเชื่อว่าผมจะมีสติมากพอจนสะสางงานได้หมดในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว พอเสร็จแล้วก็เดินออกมาดูตรงบ่อตกปลา น่าแปลกที่บ่ายสองแล้วยังไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย น่าจะเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันธรรมดา ผมว่าจะเข้าไปคุยกับพนักงานที่ร้านอาหารกลางน้ำเสียหน่อย ก็บังเอิญได้เจอแขกคนที่สองของผมเสียก่อน
"เพียว"
ผมเรียกชื่อผู้หญิงที่เดินมาหาอย่างตกใจ ก่อนกินข้าวกลางวันก็โดนเล่นงานมาแล้วหนึ่งรอบโดยแม่ของแฟรงค์ บ่ายนี้ผมคงไม่พ้นโดนอีกรอบแน่ๆ แล้วก็จริงอย่างที่ผมเดาเสียด้วย
"เพียวขอคุยกับนัทหน่อยได้มั้ย ไม่นานหรอก แค่ครึ่งชั่วโมง" เพียวถามเสียงเรียบ แต่แววตากลับมีแววเศร้าและกังวล
มีหรือที่ผมจะปฏิเสธได้ แต่คราวนี้ผมพาเพียวเข้ามาคุยกันในห้องทำงานของแฟรงค์ กลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ให้ลูกค้าเห็น คงดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
พอเข้ามาในห้องทำงาน ยังไม่ทันจะได้เชื้อเชิญให้นั่งด้วยซ้ำ เพียวก็เปิดฉากการสนทนาของเราทันที
"นัทกับพี่แฟรงค์ไม่ควรจะทำอย่างงี้กับเพียวนะ"
ผมปิดประตูเสร็จก็ยืนนิ่งตกตะลึงอยู่ตรงนั้น แม้น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูเกรี้ยวกราดแต่ก็รู้ว่าคนพูดไม่พอใจ
"ทำอะไรกันน่ะ เกรงอกเกรงใจเพียวกันมั่ง เพียวยังเป็นคู่หมั้นของแฟรงค์อยู่นะ"
พูดจบเพียวก็ร้องไห้ ผมรู้สึกหน้าชาไปหมดเพราะกำลังถูกด่าว่าแอบขโมยกินของคนอื่น จนในที่สุดเจ้าของที่แท้จริงก็ทนดูไม่ไหว ต้องออกโรงมาปรามบ้าง
"เพียวรู้จักกับพี่แฟรงค์มาสี่ปีกว่า เราไม่เคยมีปัญหาอย่างนี้เลย เราสองคนก็รักกันอยู่ดีๆ วางแผนชีวิตไว้ด้วยกัน เตรียมพร้อมไว้ทุกอย่าง รอแค่อีกไม่กี่วันเท่านั้น แต่พอนัทมา...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป นัทเข้าใจความรู้สึกของเพียวมั้ย ผู้หญิง...ที่จะโดนคู่หมั้นทิ้งให้ม่ายขันหมากอยู่รอมร่อ ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วันเราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ทำไมมันต้องแบบนี้ด้วย แล้วเพียวจะทำยังไง นัทบอกมาซิว่าเพียวควรจะทำยังไง"
เพียวควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่แล้ว เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นและตัดพ้อต่อว่าผมใหญ่ แต่คนที่แอบขโมยกินของคนอื่นอย่างผมจะมีสิทธิ์ไปเถียงอะไรได้
"ทำไมจะต้องทำบาปทำกรรมกับผู้หญิงคนนึงอย่างงี้ด้วย ไม่รู้เหรอว่าที่ทำไปมันบาปแค่ไหน มันผิดศีลธรรมนะนัท แล้วทำกันไปได้ยังไง เห็นเพียวเป็นอะไรกัน คิดว่าเพียวไม่รู้สึกอะไรเหรอ คิดว่าเพียวไม่มีหัวใจเลยหรือไง!"
เพียวสาดอารมณ์ใส่ผมอย่างไม่ลดละ ผมหน้าชาแล้วหน้าชาอีก
"เพียว...นัทขอโทษ" ผมคงบอกเพียวได้แค่นี้ ไม่มีคำพูดใดที่ดีกว่านี้ที่ผมจะสรรหามาพูดได้
"เพียวไม่ต้องการคำขอโทษ เพียวอยากให้นัทปล่อยเราสองคนไป ได้มั้ย ถ้าไม่มีนัท...พี่แฟรงค์เค้าก็คงไม่เป็นแบบนี้ เราสองคนก็คงจะแต่งงานกันตามที่วางแผนไว้ แล้วก็จะมีลูกด้วยกัน เราคุยกันมาหมดแล้ว เราวางแผนกันมาหมดแล้วว่าเราจะแต่งงานกันตอนไหน จะมีลูกคน ลูกชายกี่คน ลูกสาวกี่คน แต่ทุกอย่างมันพังลงหมดเลย! ตั้งแต่นัทเข้ามา!"
ใครไม่ถูกด่าอย่างนี้บ้างคงไม่รู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน ผมร้องไห้อย่างอดสูใจ ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาถูกใครด่าว่าอย่างนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อผมไม่หักห้ามใจตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดก็ยังแอบกินของคนอื่น ช่างหน้าด้านสิ้นดี
"นัทไปจากชีวิตเราสองคนได้มั้ย หรือนัทอยากจะเห็นชีวิตของผู้หญิงคนนึงพังลงต่อหน้าต่อตา ไม่สงสารกันมั่งเหรอ ถ้านัทเป็นเพียว นัทจะทำยังไง"
ผมทรงไม่อยู่แล้ว ค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งพิงประตูอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
"ตอบเพียวมาสินัท ไปจากชีวิตเราสองคนได้มั้ย เพียวกับพี่แฟรงค์จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่าเป็นมารผจญให้เราสองคนเลย"
ผมเอามืออุดปากเพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้เสียงดัง ในเมื่อเพียวขอกันถึงขนาดนี้ ผมคงไม่ใจกล้าหน้าด้านขโมยของคนอื่นกินต่อ บาปรักของผมกับแฟรงค์ควรจะต้องยุติเสียที ความจริงก็ควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาว่าเอาเสียก่อนถึงค่อยคิดได้
ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ ไม่สามารถพูดคำใดออกไปได้เลย
"ถ้างั้น...นัทก็ควรจะไปจากเราสองคนให้เร็วที่สุด หยุดทำบาปทำกรรมกับลูกผู้หญิงคนนึงที่ไม่มีทางสู้ได้แล้วนะนัท"
ผมปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น เกิดมาชาตินี้ขอให้มีแค่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่จะโดนใครด่าว่าอย่างนี้ นี่แหละคือผลกรรมของการที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง ยอมให้อำนาจดำฤษณาครอบงำจนลืมคิดถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สุดท้ายก็ต้องมาเสียใจภายหลังเมื่อเจ้าของตัวจริงมาทวงคืน
นี่ผมทำอะไรลงไปกับชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง!? ผมทำอย่างนี้ไปได้ยังไง!? ช่างน่าละอายใจเหลือเกิน
"งั้นก็ดีแล้ว เพียวหวังว่า...นัทจะไม่ผิดคำพูด"
เพียวเดินมาที่ประตู ผมเขยิบหลีกทางให้เธอเปิดประตูออกไปแต่โดยดี พอไม่มีใครอยู่ในห้องนี้แล้วผมก็ร้องไห้อย่างสุดกลั้น ปลดปล่อยทุกอย่างที่เก็บกดไว้ในใจอย่างเต็มที่
แฟรงค์ส่งไลน์มาถามผมเรื่องไอศครีมอีกแล้ว พอผมไม่ตอบแฟรงค์ก็เลยบอกว่าจะซื้อรสเดิมที่เคยซื้อมาให้ ผมอยากตะโกนบอกแฟรงค์เหลือเกินว่าไม่ต้องซื้อมาแล้ว คืนนี้เราไม่ควรจะพบกันด้วยซ้ำไป ผมจะหน้าด้านหน้าทนแอบกินของคนอื่นทั้งๆ ที่เจ้าของตัวจริงมาทวงแล้วได้ยังไง
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วโดนโซเซไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาอีกรอบ เหลือเวลาไม่มากแล้ว ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ฉะนั้น ผมจะตรวจดูงานรอบสุดท้ายให้เรียบร้อยภายในวันนี้ ผมไม่ได้อยู่ต่ออีกสามวันอย่างที่ตั้งใจแต่แรก
พอล้างหน้าล้างตาเสร็จผมก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน ตรวจดูเอกสารและไฟล์งานต่างๆ จนมั่นใจว่าไม่มีตกค้าง จากนั้นผมก็เดินไปคุยกับแก้วตาเผื่อว่ายังมีอะไรที่ผมติดค้างไว้อยู่หรือเปล่า พอแก้วตาบอกว่าไม่มีผมจึงกลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง เก็บคอมพิวเตอร์ใส่กระเป๋าเตรียมกลับที่พัก
เสียงไลน์ดังเตือนอีกแล้ว ผมนึกว่าแฟรงค์ไลน์มาหาจึงเปิดอ่าน แต่คราวนี้ไม่ใช่ คนที่ส่งมาคือคนที่เคยทำผมเจ็บปวดแทบปางตายเมื่อไม่นานนี้นั่นเอง
"พี่อยากเจอนัทจริงๆ นะ นัทมาหาพี่อีกสักครั้งได้มั้ย แล้วพี่จะไม่ขอให้นัทมาหาพี่อีกเลย"ผมไม่เคยนึกอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้งมาก่อนเลย จึงได้แต่กำโทรศัพท์ไว้แน่นก่อนจะเผลอบันดาลโทสะปาทิ้งไปจริงๆ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไรกันแน่ถึงได้เจอแต่เรื่องร้ายๆ ในวันเดียวกัน ต้องตาเลิกกับหัวหน้าแผนกคนนั้นแล้ว หวังว่าเธอคงไม่คิดจะขอให้ผมกลับไปคืนดีกับเธออีก ผมไม่มีหัวใจเหลือให้ใครแล้ว
ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงอย่างหัวเสีย หยิบกระเป๋าคอมพิวเตอร์มาถือไว้ กำลังจะเดินออกไปประตูก็ห้องทำงานก็เปิดออกเสียก่อน
"พี่แฟรงค์"
ผมอุทานเสียงเบา แฟรงค์ยิ้มหวานให้ผมอย่างดีใจที่ได้พบกัน ในมือถือถุงกระดาษที่เข้าใจว่าเป็นไอศครีมของโปรดของผมมาด้วย
"จะกลับแล้วเหรอนัท ทำงานเสร็จไวจัง" แฟรงค์ถามแล้วก็ปิดประตูห้อง ก่อนจะเดินตรงมาหาผม
นี่ไง...ผู้ชายที่ผมรักแต่ไม่มีสิทธิ์รัก ก็เลยต้องแอบขโมยกินของคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ ผมพยายามข่มความรู้สึกข้างในอย่างเต็มที่ ผมจะต้องไม่ร้องไห้ จะต้องไม่เศร้า จะต้องไม่ทำให้แฟรงค์ลำบากใจก่อนที่ผมจะจากไป ผมก็เลยต้องพยายามฝืนยิ้ม ทั้งๆ ที่ในหัวใจผมร้องไห้อย่างหนัก
"เสร็จแล้ว นัทเคลียร์งานให้พี่แฟรงค์เสร็จหมดแล้วนะ ไม่มีอะไรค้างเลย"
แฟรงค์พยักหน้ารับรู้ วางถุงกระดาษไว้บนโต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วก็เดินมากอดผมจากทางด้านหลัง ก่อนหอมแก้มผมหนึ่งฟอดอย่างรักใคร่
"คิดถึงนัทจัง" แล้วแฟรงค์ก็ปล่อยผมออกเพราะเห็นว่ายังอยู่ในที่ทำงาน
"มา ให้พี่ช่วยถือ เจ้าชายน้อยของพี่"
แฟรงค์ยื่นมือมาขอช่วยถือกระเป๋าคอมพิวเตอร์ที่ผมถือไว้ ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งให้แต่โดยดี ไหนๆ ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมอยากให้แฟรงค์มีความสุขที่ได้ดูแลผมเหมือนอย่างเคย แล้วคืนนี้...ผมก็จะดูแลแฟรงค์เป็นอย่างดีเช่นกัน
"พี่แฟรงค์น่ารักจัง"
แฟรงค์ถือกระเป๋ามือเดียวแล้วก็เอามือที่เหลือมาลูบผมของผมเบาๆ
"ถ้าพี่น่ารักนัทก็ต้องรักพี่คนเดียวนะ"
แฟรงค์มองผมด้วยสายตามีความสุข ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือว่าแฟรงค์จะคิดเหมือนผมว่าเราควรใช้เวลาที่เหลือให้มีความสุขมากที่สุด
"ไปเร็ว เดี๋ยวไอติมละลาย"
แฟรงค์ฉวยถุงกระดาษบนโต๊ทำงานมาถือไว้อีกข้างแล้วก็เดินนำออกไป เห็นแผ่นหลังตั้งตรงของแฟรงค์แล้วผมก็นึกอยากกอดเหลือเกิน ผมรอจังหวะจนกระทั่งเราสองคนเดินเข้ามาในที่พัก พอแฟรงค์วางของเรียบร้อยแล้วผมก็เดินเข้าไปกอดแฟรงค์จากทางด้านหลังบ้าง ภาวนาในใจว่าอย่าให้สัมผัสที่แสนอบอุ่นนี้เป็นครั้งสุดท้ายเลย
"พี่แฟรงค์ นัทรักพี่แฟรงค์นะ ถ้าเกิดวันนึงนัทไม่มีโอกาสได้บอกรักพี่แฟรงค์อีก พี่แฟรงค์รู้ไว้นะว่านัท...รักพี่แฟรงค์ที่สุดในชีวิต"
ผมพยายามสะกดกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่ แต่กระนั้นก็มีซึมๆ ออกมาบ้าง เราอุตส่าห์หากันจนเจอแล้ว แต่กลับมาเจอกันในวันที่ทุกอย่างไม่เป็นใจเสียเลย แฟรงค์กุมมือสองข้างของผมที่จับอยู่ตรงเอวแฟรงค์ไว้ ก่อนจะหันมายิ้มให้
"ทำไมพูดแปลกๆ อย่างงั้นล่ะนัท พูดเหมือนจะหนีพี่ไปไหนเลย"
แฟรงค์พูดหยอกเล่น แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนใครเอามีดมากรีดใจก็ไม่ปาน จะเอายังไงกับรักครั้งนี้ดีหนอ จะหน้าด้านสู้ต่อไป หรือจะปล่อยแฟรงค์ให้กลับไปหาเพียวและครอบครัวเหมือนเดิม คนเหล่านั้นต้องการแฟรงค์ให้ช่วยเติมเต็มหลายอย่าง บางอย่างก็สำคัญมากเพราะหมายถึงความอยู่รอดของคนทั้งครอบครัว แล้วความรักของผมสำคัญมากขนาดนั้นหรือเปล่า!?- TBC -[/center]
อำลาตำนานรัก "ต้น-สน"อ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน