❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 23 ✢ ขอขมาลาโทษ เฟิร์นพยายามติดต่อผมทั้งโทรศัพท์และไลน์หลายครั้ง แต่ผมไม่ได้เปิดอ่านหรือโทรกลับเลย แต่ถึงไม่โทรถาม ผมก็พอรู้อยู่แล้วว่าคงเกิดเรื่องวุ่นวายมากแค่ไหน ถ้ารู้แล้วทำให้วอกแวก ผมก็ต้องเลือกที่จะไม่รับรู้ไว้ก่อน จนกว่าจะถึงระยะที่ผมคิดว่าปลอดภัยแล้ว
วันที่ไปเชียงราย ผมเผลอไปอ่านไลน์เข้าเพราะเห็นมิสคอลล์จากน้องสาวที่พยายามโทรหาผมหลายครั้ง ก็เลยสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น พอตัดสินจอ่านไลน์แล้วจึงได้รู้ว่าปู่เสียแล้ว แต่ผมอ่านแค่นั้นแล้วก็ปิดไป แค่นี้ก็ยากเกินจะทำใจได้แล้ว แต่เอาเถอะ อย่างน้อยผมกับนัทก็ยังได้ไปทำบุญให้ปู่ด้วยกันที่วัดก่อนกลับ ผมจึงไม่รู้สึกผิดมากเกินไป
หลังจากกลับมาจากเชียงรายแล้ว ผมกับนัทก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านเช่าในตัวอำเภอเขาค้อที่โซ้ยอุตส่าห์ช่วยหาให้ โซ้ยก็ดีเหลือใจจนผมไม่รู้จะขอบคุณยังไง จากนั้นเราก็ตระเวนไปทั่วเขาค้อและภูทับเบิกทุกวันเพื่อศึกษาดูงานร้านกาแฟ รีสอร์ทและไร่สตรอเบอรี่เพิ่มเติม
ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์ เราสองคนก็ได้แบบร้านกาแฟจากเพื่อนของนัทที่ช่วยออกแบบแล้วส่งมาให้ดูทางอีเมล์ ผมกับนัทค่อนข้างพอใจกับแบบร้านกาแฟทรงผลสตอเบอรี่ที่เน้นให้มีกระจกใสรอบด้านเพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั่ว ปรับแบบอีกนิดๆ หน่อยก็น่าจะใช้ได้ ส่วนเรื่องกาแฟ คุณบี๋ก็ตกลงแล้วว่าจะขายเฟรนไชส์ให้เราสองคนในราคาพิเศษ ส่วนการทำไร่สตรอเบอรี่ เราก็ได้ศึกษาทั้งวิธีการปลูกแบบใช้ดิน ไม่ใช้ดินและการปลูกพืชลงบนต้นกล้วย รวมทั้งได้ศึกษาพันธุ์สตรอเบอรี่ต่างๆ ที่เราจะปลูกด้วย ในช่วงแรกกะว่าจะทดลองปลูกทั้งสามแบบและหลายๆ พันธุ์ หลังจากนั้นจึงจะเอาผลลัพธ์มาเปรียบเทียบกันก่อนจะตัดสินใจเลือก
รูปร่างความฝันของเราเริ่มมีตัวตนชัดเจนขึ้นแล้ว พรุ่งนี้ผมก็จะพานัทไปขอขมาน้านวลที่บ้าน เชื่อว่าน้านวลจะเข้าใจและให้อภัยเราสองคนอย่างแน่นอน เพราะน้านวลรับรู้เรื่องของผมกับนัทมาตลอด หลังจากนั้นแล้วผมกับนัทก็น่าจะเริ่มต้นทำตามความฝันของเราสองคนได้เสียที
ผมคิดว่าถึงระยะเวลาปลอดภัยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมควรจะรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผมพานัทหนีมาเสียที หลังจากที่ผมกับนัทกินข้าวเย็นด้วยกัน ผมจึงให้นัทอาบน้ำก่อน ก่อนที่ผมจะเดินออกมานั่งหน้าบ้านเช่าที่เป็นบ้านไม้เพื่อโทรหาน้องสาว ผมบอกนัทไว้แล้วว่าจะโทรหาที่บ้านวันนี้ นัทจึงไม่ติดใจสงสัยหรือเป็นห่วงเท่าไหร่
"เดี๋ยวก่อนนะคะพี่แฟรงค์ เฟิร์นขอขึ้นไปบนห้องก่อน เดี๋ยวพ่อกับแม่สงสัย" ทันที่ที่รับสาย เฟิร์นก็บอกผมด้วยประโยคนั้นก่อนที่จะได้ทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสียอีก
"ได้ๆ" ผมบอกแล้วก็นั่งรอ ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งกุกๆ กักๆ อยู่สักพักก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเป็นปกติ
"โอเคแล้วล่ะ พี่แฟรงค์เป็นไงมั่ง เฟิร์นเป็นห่วงพี่มากเลย" น้ำเสียงที่ถามมาบ่งบอกความรู้สึกตามที่พูดจนรู้สึกได้
"พี่สบายดี แล้วเฟิร์นล่ะ"
"สบายดีค่ะพี่แฟรงค์ แต่ก็วุ่นๆ เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ตอนนี้พี่แฟรงค์อยู่ที่ไหนคะ"
"อยู่เขาค้อ เช่าบ้านอยู่ พอดีได้เพื่อนสมัยประถมที่รู้จักกันช่วยหาให้ ไอ้โซ้ยไง เฟิร์นจำได้มั้ย"
"อ๋อ...จำได้ๆ อ้าว...เฟิร์นนึกว่าพี่แฟรงค์กับนัทจะไปอยู่บ้านน้านวลซะอีก"
"ยังหรอก พี่ยังไม่ได้พานัทไปขอขมาน้านวลเลย"
"เหรอคะ" เฟิร์นทำน้ำเสียงแปลกใจ
"พี่ว่าจะไปพรุ่งนี้ ตอนนี้พี่กับนัทยุ่งกันมากเลย เดินทางไปหลายที่ ไปดูรีสอร์ท ไร่สตรอเบอรี่ ร้านกาแฟ แล้วก็ให้เพื่อนนัทช่วยออกแบบร้านกาแฟให้ ตอนนี้ได้แบบมาแล้วนะ สวยมากเลยล่ะเฟิร์น เดี๋ยวพี่จะส่งไลน์ไปให้ดู พี่กับนัทชอบมาก พี่ก็กะว่าจะให้แผนทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วพี่ถึงจะพานัทไปขอขมาน้านวล ไม่อยากไปขอขมาทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไม่อยากให้น้านวลเป็นห่วงอนาคตของนัทถ้าอยู่กับพี่ แล้วพี่ก็อยากให้น้านวลเห็นความตั้งใจของเราสองคนด้วยว่าเราจริงจังขนาดไหน"
"ดีแล้วล่ะค่ะพี่แฟรงค์ เฟิร์นถึงเชื่อใจพี่ไงคะว่าพี่แฟรงค์ทำได้"
"แล้วตอนนี้ที่บ้านเป็นไงมั่ง พี่ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้โทรมาคุยกับเฟิร์นเลย ไม่ใช่พี่ไม่ห่วงที่บ้านนะ แต่พี่ก็ไม่อยากเขว กลัวรู้แล้วจะทำใจไม่ได้ พี่กลัวรู้แล้วพี่จะถอดใจซะก่อนน่ะเฟิร์น เข้าใจพี่นะ"
แล้วผมก็ได้ยินเสียงเฟิร์นถอนหายใจอย่างหนักใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีเรื่องวุ่นวายมากขนาดไหน
"เข้าใจค่ะพี่แฟรงค์ แต่ก็อย่างที่เฟิร์นเขียนไปในไลน์ ปู่เสียแล้ว ปู่ไปสบายแล้วล่ะ แต่ว่า..." น้ำเสียงของเฟิร์นฟังดูเศร้าเมื่อพูดถึงปู่
"แล้วพ่อก็โทษพี่ว่าเป็นต้นเหตุด้วยใช่มั้ย" ผมถามไปอย่างรู้ทัน
"ค่ะ" เฟิร์นตอบโดยไม่ลังเลแล้วก็พูดต่อ "พ่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ใครเข้าหน้าก็ไม่ติด พอปู่เสีย พ่อก็ยิ่งอารมณ์ร้าย ประกาศตัดพ่อตัดลูกกับพี่แฟรงค์ลั่นบ้านเลย ส่วนแม่ก็อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม่คิดถึงพี่แฟรงค์มากนะคะ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในบ้านไปแล้วตอนนี้"
พอได้ยินเฟิร์นพูดถึงแม่แล้ว น้ำตาลูกผู้ชายของผมก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว แม่คงคิดถึงลูกชายคนนี้มากเพราะเราไม่เคยจากกันไปไหน ป่านนี้คงจะเป็นห่วงผมใหญ่จนอาจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับไปแล้ว
"อย่าหาว่าเฟิร์นพูดบาปกับพ่อของตัวเองเลยนะคะพี่แฟรงค์ เรื่องทั้งหมด...เกิดมาจากพ่อของเรานั่นแหละค่ะ พ่อพรากพี่แฟรงค์ไปจากนัท พอพี่แฟรงค์คบเพียวเป็นแฟนก็หาทางผูกมัดพี่กับเพียวไว้ ยิ่งที่บ้านของเพียวเป็นหนี้เราก็ยิ่งเข้าทาง เอามาใช้บีบบังคับทางนั้นได้อีก แม่เพิ่งบอกเฟิร์นเมื่อไม่กี่วันว่าพ่อเป็นคนบังคับให้แม่ไปคุยกับนัทตอนที่นัทกำลังจะลาออก แม่บอกว่าแม่พูดกับนัทไม่ดีหลายอย่างเลย แม่เสียใจมากนะพี่แฟรงค์ที่แม่ต้องทำอย่างงั้น แค่นั้นยังไม่พอ พ่อยังไปบีบบังคับให้เพียวมาพูดกับนัทด้วยอีกคน นัทถึงทนไม่ไหวจนต้องหนีพี่แฟรงค์ไปไงคะ"
ผมอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่าพ่อจะทำถึงขนาดนี้ แสดงว่าวันนั้นที่นัทหนีไปก็เป็นเพราะแม่กับเพียวมาต่อว่านัทตามที่พ่อผมบีบบังคับแน่ๆ ผมยอมรับว่ายังติดใจนัทเรื่องนี้อยู่หน่อยๆ แต่พอรู้อย่างนี้แล้วก็หายข้องใจเสียที
"แล้วเพียวล่ะเฟิร์น" ผมถามเสียงแหบพร่า ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาโดยไม่คิดแม้แต่จะเช็ดออก
ผมได้ยินเสียงน้องสาวถอนหายใจอีกครั้ง แสดงว่าเพียวคงเจอปัญหาหนักไม่น้อยเหมือนกัน
"ไม่รู้จะพูดยังไง เมื่อก่อนเฟิร์นเคยไม่ชอบเพียวนะ แต่ตอนนี้รู้สึกสงสารมากเลย วันที่พี่แฟรงค์หนีไปกับนัท เพียวไม่ร้องไห้เลย ไม่มีน้ำตาเลยซักหยด แต่เห็นหน้าแล้วก็รู้ว่าเสียใจมาก เพียวนั่งเงียบไม่ยอมลุกไปไหน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยซักคน ขนาดพ่อกับแม่ของเพียวเองยังไม่กล้าไปพูดอะไรกับเพียวเลย แล้วเพียวก็กลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทางนั้นไม่ติดต่อกับบ้านเราอีกเลย พ่อก็ไม่ไปกดดันทางนั้น คิดว่าคงจะยกหนี้ให้ จะได้ไม่มีปัญหากัน เฟิร์นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะทำอะไรอีกหรือเปล่า ตอนนี้ไม่กล้าคุยกับพ่อเลย อ้อ...เฟิร์นเดาว่าเพียวคงเตรียมใจไว้แล้วล่ะว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะถูกบังคับ เพียวคงยอมหลีกทางให้พี่กับนัทไปตั้งนานแล้วล่ะ พี่แฟรงค์ก็อาจจะทำไม่ถูกกับเพียวนะ แต่คนที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปกันใหญ่ก็คือพ่อของเราเองนั่นแหละค่ะ"
ในขณะที่ฟังผมก็พลันนึกถึงเพียวตอนที่เกิดสนใจเธอเป็นครั้งแรกขึ้นมา ตอนนั้นเพื่อนผมชอบเพื่อนของเพียวอยู่ วันหนึ่งสองคนนั้นก็นัดกันไปดูหนัง แต่ดูเหมือนฝ่ายหญิงยังไม่ค่อยมั่นใจที่จะไปเที่ยวกับเพื่อนผมสองต่อสอง ก็เลยลากเพียวมาเป็นเพื่อนด้วยอีกคน แต่ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น เพื่อนคนอื่นๆ ก็เลยถูกชวนไปด้วย
วันนั้นผมว่างพอดีก็เลยตามไป เราไปกินข้าวกันก่อนแล้วก็ตามด้วยไอศครีม เพียวหยิบเมนูไอศครีมขึ้นมาดูแล้วก็เลือกไม่ถูก ถามไปถามมาก็บอกว่าเธอชอบกินไอศครีมมาก กินได้ทุกรสเลย ก็เลยอยากกินไปหมดเสียทุกอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดธรรมดาๆ ของเธอจะกระแทกเข้าไปในหัวใจผมอย่างรุนแรงได้ ความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับคนชอบกินไอศครีมทุกรสถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมนึกอยากจีบเธอขึ้นมาทั้งๆ ที่ผมแทบไม่เคยจีบผู้หญิงจริงจังเลย จะว่าไป ผมก็ไม่เคยสนใจเธอเลยด้วยซ้ำแม้ว่าจะเคยเจอกันมาก่อน จนกระทั่งได้ยินคำพูดนั้น
วันนี้ผมกลับพาเธอมาทิ้งไว้เสียกลางทาง ก็อาจจะจริงที่พ่อผมทำให้ทุกอย่างยากขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะผมเปลี่ยนใจกะทันหัน ชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่งก็คงไม่ต้องมาเจอชะตากรรมแบบนี้ ไม่ว่าจะยังไงผมก็ปฏิเสธความผิดพลาดครั้งนี้ไม่ได้ นี่คือบทเรียนที่ผมต้องจำไว้จนชั่วชีวิต แต่กระนั้น ผมก็ยังต้องเดินทางต่อไปกับสิ่งที่ผมเลือก เหมือนกับพายุที่ไม่เคยหันหลังกลับไปดูสิ่งที่มันพัดพาจนเสียหาย และไม่เคยเสียใจกับอานุภาพทำลายล้างของมันที่ทิ้งไว้ให้หลังจากที่พัดผ่านไป
ผมถอนหายใจหลังจากที่ฟังน้องสาวพูดจบ ไม่รู้ว่าชีวิตต้องเศร้าไปอีกนานแค่ไหน หวังเพียงว่าวันเวลาจะช่วยรักษาทุกคนที่บาดเจ็บให้หายดีในเร็ววันนี้เสียที
"ถ้ามีโอกาส พี่จะกลับไปขอโทษเค้า แต่ตอนนี้...พี่ขอทำตามความฝันของพี่กับนัทให้สำเร็จก่อน พี่ฝากดูแลพ่อกับแม่แทนพี่ด้วยนะเฟิร์น ถ้าแม่ถามหาพี่ เฟิร์นช่วยบอกแม่ด้วยว่าพี่สบายดี พี่ก็คิดถึงแม่ บอกแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงพี่นะ พี่เอาตัวรอดได้ อีกไม่เกินสองปี พี่จะกลับไปหา"
ผมพูดไปก็ร้องไห้ไป ชีวิตที่ไม่มีบรรยากาศของครอบครัวรายล้อมและคอยปกป้องนั้นช่างอ้างว้างสิ้นดี แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะต้องผ่านมันไปให้ได้
"พี่แฟรงค์ไม่ต้องห่วงหรอก เฟิร์นจะดูแลทุกอย่างแทนพี่แฟรงค์เอง พี่แฟรงค์ก็อย่าลืมดูแลตัวเองดีๆ ด้วย เฟิร์นจะเอาใจช่วยให้พี่แฟรงค์กับนัททำตามความฝันจนสำเร็จนะคะ"
ไปๆ มาๆ ทั้งพี่ทั้งน้องก็ร้องไห้ด้วยกัน สุดท้ายก็เลยได้คุยกันแค่นั้นเพราะไม่สามารถคุยกันต่อได้ ต้องวางสายไปในที่สุด ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้วที่ปิดการรับรู้ทุกอย่างไปก่อน ถึงยังไงผมก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจ เห็นคนบาดเจ็บล้มลงจากสิ่งที่ผมทำก็ย่อมรู้สึกเจ็บปวดเป็นธรรมดา อาจทำให้วอกแวกได้ แต่ผมก็ย้ำชัดกับตัวเองเสมอว่า...ผมจะไม่หันหลังกลับ
พอวางสายไปแล้วผมก็นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่โต๊ะหน้าบ้านอย่างเงียบๆ ครู่ใหญ่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงกอดรัดจากทางด้านหลัง ใครสักคนโน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของสบู่อ่อนๆ ที่โชยมาสัมผัสจมูก แม้ไม่หันไปมองผมก็รู้ดีว่าใคร
"พี่แฟรงค์"
"ว่าไงครับน้องนัท"
ผมยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ จากนั้นก็หันไปมองนัทที่ปล่อยมือจากผมแล้วก็ยืนตัวตรงอยู่ทางด้านหลัง เจ้าตัวคงอยากมาให้กำลังใจจึงส่งรอยยิ้มมาให้พี่ชายคนเศร้า
"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ"
"เสร็จตั้งนานแล้ว" ตอบแล้วนัทก็ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ ผม ก่อนจะกอดผมไว้ทางด้านข้างแล้วก็แนบใบหน้าอยู่ตรงอกผม
"ขอกอดพี่แฟรงค์หน่อยนะ อากาศมันหนาว"
ผมค่อยๆ คลี่ยิ้ม เอามือลูบผมนัทเบาๆ แล้วก็ก้มลงไปสูดดมเส้นผมที่สระสะอาดและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
"ชื่นใจจัง"
นัทค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมามองผม สายตาออดอ้อนนั้นทำให้ผมเอ็นดูจนอดขยี้ผมนัทเล่นเบาๆ ไม่ได้
"พี่แฟรงค์เหงาหรือเปล่า"
"ไม่เหงาหรอก ก็พี่มีนัทอยู่ด้วยทั้งคน จะเหงาได้ไง"
นัทยิ้มดีใจแล้วก็ซบหน้าลงกับอกผมตามเดิม "พี่แฟรงค์ตัวอุ่นจัง นัทชอบ"
นัทคงรู้ว่าผมกำลังเศร้าก็เลยพยายามอ้อนให้คนตัวอุ่นอารมณ์ดีขึ้น
"นัทขี้อ้อนไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ย" ผมพูดหยอกอย่างอารมณ์ดี
"นัทก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว จำไม่ได้เหรอว่านัทน่ะชอบอ้อนพี่แฟรงค์ให้ซื้อไอติมให้กินบ่อยๆ"
"จำได้สิ แล้วนัทจำได้หรือเปล่าล่ะว่าพี่เคยบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกพี่ เดี๋ยวนี้นะ นัทเรียกพี่แฟรงค์ๆ ทุกวันเลย ไม่ยอมเรียกแฟรงค์เฉยๆ"
นัทปล่อยผมออกจากอ้อมแขนแล้วก็นั่งตัวตรง ก่อนจะทำเสียงกระเง้ากระงอด "ไม่เอาหรอก เรียกพี่น่ะดีแล้ว ยังไงๆ พี่แฟรงค์ก็เป็นพี่ของนัท นัทชอบเรียกว่าพี่แฟรงค์มากกว่าแล้วล่ะ อบอุ่นดี"
แล้วเราสองคนก็ยิ้มให้กันท่ามกลางเสียงลมหนาวที่ยังคงพัดมาไม่ขาดสาย จังหวัดอื่นๆ อาจไม่ค่อยหนาวแล้ว แต่ที่เขาค้อยังคงหนาวอยู่
"เอาอย่างงั้นก็ได้" ผมบอกแล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังมากขึ้น
"พี่ขอโทษนัทด้วยนะที่พี่เคยคิดไม่ดีกับนัทเรื่องหนึ่ง"
นัทเอียงคอมองอย่างสงสัย "เรื่องอะไรเหรอ"
"ก็ตอนที่นัทหนีพี่ไปไง พี่บอกตรงๆ นะว่าพี่เคยรู้สึกแย่มาก เพราะเราสัญญากันแล้วว่าเราจะไม่ปล่อยมือกัน แต่พี่เข้าใจแล้วว่าทำไมนัทถึงต้องทำอย่างงั้น"
นัทไม่พูดหรือถามอะไรแต่รอคอยฟังผมอย่างสนใจ
"แม่พี่กับเพียวมากดดันนัทใช่มั้ย นัทถึงได้หนีพี่ไป" ผมตัดสินใจถามไปตามตรง
นัทมีท่าทางอึ้งๆ และไม่กล้าสบตาผม คงไม่คิดว่าผมจะรู้เรื่องนี้จนได้
"นัทไม่ตอบก็ไม่เป็นไร พี่แค่จะบอกนัทว่า...พี่ดีใจมากที่พี่ได้รู้ความจริงนี้ซะที ไม่งั้นพี่คงคาใจเรื่องนี้ไปอีกนานเลย"
ผมหยุดเว้นจังหวะแล้วก็ดึงมือนัทมากุมไว้ นัทมองดูมือนั้นแต่ยังไม่แสดงความรู้สึกที่ชัดเจนออกมา
"ทีหลัง...มีอะไรกดดันก็บอกพี่นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว ยิ่งตอนนี้...เราสองคนเปรียบเสมือนคนๆ เดียวกันแล้ว เราต้องหันหน้าเข้าหากัน มีอะไรนัทต้องบอกพี่ พี่เอง...มีอะไรก็จะบอกนัททุกอย่าง"
"นัทขอโทษ" นัททำหน้ารู้สึกผิด
ผมขำเบาๆ แล้วก็ยิ้มอย่างเอ็นดู "พี่น่ะ สงสารนัทจะตาย นัทไม่รู้เหรอ มีอะไรก็บอกพี่นะ"
นัทพยักหน้าแล้วก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมก็เลยดึงน้องรักมากอดปลอบใจเสียหน่อย ตอนที่โดนสองคนมาต่อว่าและกดดันคงเสียขวัญไม่น้อย มิน่าล่ะถึงหนีพี่ไป
"พี่แฟรงค์ อย่าโกรธนัทเรื่องนั้นอีกเลยนะ ถึงตอนนั้นนัทจะปล่อยมือพี่ แต่นัทก็รักพี่แฟรงค์นะ" คนน้องพูดปนสะอื้น
"พี่รู้ พี่ไม่ได้ต่อว่านัทซะหน่อย พี่แค่จะบอกว่าพี่ดีใจที่ได้รู้ต่างหาก จะได้หายคาใจซะที ไม่ต้องเสียใจเรื่องนี้อีกแล้วนะ" ผมเน้นย้ำเพราะกลัวนัทคิดเป็นอย่างอื่น
นัทพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็กอดผมแน่น
"พี่เข้าใจ ที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไปแล้วกัน แต่ต่อไป เราสองคนต้องเปิดใจคุยกันนะ"
"ต่อไปนัทจะบอกพี่ทุกอย่าง นัทสัญญา"
ผมอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ที่นัทร้องไห้เหมือนเด็ก ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป นัทกับเด็กชายนัทก็ยังอยู่กับผมเสมอ นี่แหละน้องนัทที่ผมเฝ้ารักเฝ้าดูแลมาตลอด
พอนัทสงบสติอารมณ์ได้แล้วผมจึงค่อยๆ ปล่อยนัทออกจากอ้อมแขน เรายิ้มให้กันแล้วก็ขำเบาๆ
"อยู่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่มา"
ผมบอกแล้วก็วิ่งหายเข้าไปข้างในบ้าน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าของผมเอง ปราดลงมานั่งข้างๆ แล้วก็ส่งผ้าเช็ดหน้าให้คนขี้แง
"ใช้ตามสบายเลยนะ เพราะครั้งต่อไปนัทต้องซักผ้า" ผมหยอกอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้เราสองคนผลัดกันทำงานบ้าน บางอย่างก็ช่วยกันทำ บางอย่างก็เปลี่ยนเวรกันทำ
นัทขำเบาๆ แล้วก็ซับน้ำตาจนแห้ง ก่อนจะเงยหน้ามาถามผม "ที่บ้านของพี่แฟรงค์เป็นไงมั่ง"
ผมเอามือสองข้างจับตรงต้นขาของตัวเองแล้วก้มหน้า ถอนหายใจแล้วก็หันไปยิ้มเศร้าๆ
"ก็อย่างที่พี่บอกวันนั้นแหละ พ่อพี่โกรธพี่มาก ตัดพ่อตัดลูกกับพี่ไปแล้ว ส่วนแม่...แม่คิดถึงพี่มาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนเพียวก็ไม่ได้ติดต่อกับที่บ้านพี่อีกเลย เฟิร์นบอกพี่ว่า...เพียวไม่ร้องไห้เลยตอนที่เราสองคนหนีออกมา ไม่มีน้ำตาซักหยด"
"เพียวคงเสียใจมากนะพี่แฟรงค์ถึงเป็นอย่างงั้น" นัทบอกเสียงเศร้า
ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับอย่างช้าๆ "พี่คบกับเพียวมาหลายปี พี่คิดว่าพี่รู้จักเค้านะ เพียวคงยอมปล่อยมือนานแล้วล่ะ แต่คนที่ไม่ยอมก็คือพ่อของพี่เอง นัทจำได้ใช่มั้ยที่พี่เคยเล่าให้ฟังว่าที่บ้านเพียวเป็นหนี้บ้านพี่อยู่ พ่อก็เลยเอาเรื่องนี้มากดดันทางนั้น พี่ขอโทษแทนพ่อพี่ด้วยนะนัท ที่แม่พี่กับเพียวไปหานัทวันนั้น พ่อพี่เป็นคนกดดันเอง"
นัทดูอึ้งไปพอสมควร แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไมพ่อผมถึงต้องทำอย่างนั้น
"แต่พ่อพี่แฟรงค์ก็รักพี่แฟรงค์มากนะ ไม่งั้นไม่ทำอย่างงี้หรอก" นัทพยายามมองในแง่ดี
ผมพยักหน้าเห็นด้วย "ก็ใช่ แต่มันผิดทางไปหน่อย แต่เอาเหอะ พี่เชื่อว่าสักวันพ่อของพี่จะเข้าใจ"
"นัทก็เชื่ออย่างงั้น" นัทพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความหวัง
"ดีแล้ว อ้อ...พรุ่งนี้นัทพร้อมแล้วใช่มั้ย"
นัทพยักหน้าแล้วก็ขำเบาๆ "นัทน่ะพร้อมอยู่แล้ว ว่าแต่คนที่พาลูกชาวบ้านเค้าหนีเหอะ พร้อมหรือยังล่ะ"
"พร้อมสิ เห็นมั้ย...เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว" ผมยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะเอามือลูบผมนัทเบาๆ อย่างรักใคร่
พรุ่งนี้คงเป็นวันชี้ชะตาอีกวันหนึ่งของเรา หวังว่าความดีที่ผมกับนัทพอจะมีอยู่บ้างจะให้เราสองคนผ่านไปได้ด้วยดี ยังไงๆ ผมก็เชื่อว่าฟ้าดินคงไม่ทอดทิ้งคนที่พยายามและตั้งใจอย่างเราสองคนอย่างแน่นอน
... ... ...
ผมกับนัทก้มลงกราบผู้สูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟาภายในบ้านพร้อมกันสามครั้ง จากนั้นก็ยกเท้าของท่านมาใส่ในกาละมังใบเล็กที่ใส่น้ำอบและลอยดอกมะลิ พอเริ่มลงมือล้างเท้าให้ท่าน ผมก็ถือโอกาสเป็นคนแรกในการกล่าวขอขมาก่อน
"น้านวลครับ ผมขอกราบขอขมาที่ผมพานัทหนีไปโดยไม่บอกกล่าว ทำให้น้านวลไม่สบายใจและเป็นห่วง ผมขอขมากรรมในสิ่งที่เคยล่วงเกิน ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในอนาคต ทั้งกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี หรือในสิ่งที่ทำให้น้านวลไม่สบายใจ ลูกกราบขออโหสิกรรมในสิ่งเหล่านั้นด้วย"
ผมนำเท้าของน้านวลมาวางบนขาของผมที่มีผ้ารองอยู่ ก่อนจะเช็ดให้แห้ง นัทก็ทำตามเช่นเดียวกัน หลังจากที่เช็ดเท้าของน้านวลจนแห้งแล้ว นัทก็เป็นคนกล่าวคำขอขมาตามที่เราสองคนไปค้นหาในอินเตอร์เน็ตมา นัทนั่งท่องอยู่หลายวันเลยทีเดียว
"พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่พระพาย พระแม่พระเพลิง ลูกมาขอกราบขมาลาโทษ ขอเป็นทิพยญาณนำความดีและกุศลผลบุญที่ลูกทำในครั้งนี้ไปบอกปู่ยมราช และนายนิติยบาลให้ด้วย ให้ช่วยจดบันทึกคุณงามความดีครั้งนี้ ที่ผ่านมาลูกจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ ลูกขอรับใช้กรรม แต่หลังจากนี้ไป ลูกกราบขอชีวิตใหม่จากบุพการี"
ผมกับนัทก้มหมอบลงก่อนที่จะนำเท้าของน้านวลมาวางไว้บนศีรษะของเราทั้งสอง จากนั้นผมจึงนำพานธูปเทียนแพที่วางอยู่ข้างๆ มอบให้น้านวลรับไป ก่อนที่นัทจะกล่าวขอขมาอีกครั้ง
"แม่ครับ ลูกขอขมา ขออโหสิกรรม ขอชีวิตใหม่ที่ดีให้ลูกด้วยนะครับ"
น้านวลเอามือลูบหัวของผมแล้วก็ย้ายไปลูบหัวของนัท ก่อนจะยิ้มอย่างตื้นตั้นใจและกล่าวคำอวยพรให้
"แม่ดีใจที่ลูกสองคนกลับมาหาแม่นะ แม่ไม่เคยโกรธลูกสองคนหรอก แม่รู้ว่านัทรักแฟรงค์และแฟรงค์ก็รักนัทมากแค่ไหน แม่เข้าใจความรักของลูกสองคน แม่มีความสุขที่ในที่สุดลูกสองคนก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แม่ก็ขออวยพรให้ลูกสองคนประสบแต่ความสุขความเจริญ คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สมความปราถนา ส่วนแฟรงค์ ต่อไปถ้าแฟรงค์อยากจะเรียกน้าว่าแม่ น้าก็ยินดีนะลูก"
ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ของนัทแล้วก็ยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ "ครับแม่นวล ตอนนี้...ผมคงไม่มีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวที่ผมรักแล้ว ขออนุญาตให้น้านวลเป็นแม่ของผมอีกคนละกันนะครับ"
น้านวลพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น ผมหันไปมองหน้านัทแล้วก็ยิ้มให้กัน ส่วนนิวที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างหลังก็พลอยยิ้มดีใจกับเราไปด้วย
พอถึงขั้นตอนสุดท้าย ผมกับนัทก็ตั้งจิตอธิษฐานถึงพระพุทธเจ้า ก่อนจะเอ่ยคำขออนุโทนาบุญพร้อมกันสองคน
"ลูกชื่อธนวรรธน์ โฆษะนาม/วศินภัทร์ ชลาสัย ขออนุโมทนาบุญจากพระพุทธเจ้าให้สำเร็จบุญนี้ให้ลูกด้วย ลูกขอนำกุศลบุญส่วนหนึ่งอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ติดตามลูกมาแต่อดีตชาติจนปัจจุบันให้รับกุศลของลูก ณ บัดนี้ เดี๋ยวนี้ รับเลยจ้ะ รับแล้วใช่ไหมจ๊ะ สาธุ สาธุ สาธุ"
พิธีขอขมาลาโทษบุพการีเสร็จสิ้นลงแล้วด้วยความยินดีของทุกคนที่อยู่ในห้อง นิวช่วยเอากาละมังไปเก็บให้ ส่วนผมกับนัทก็นำเสื้อใหม่ที่เราสองคนไปหาซื้อไกลถึงพิษณุโลกด้วยกันมาให้แม่ของนัท น้านวลหรือบัดนี้กลายเป็นแม่นวลของผมยิ้มอย่างพอใจ
"สวยมากลูก ขอบใจมากเลย"
"เอาไว้ใส่ตอนไปทำบุญให้พ่อนะครับแม่" นัทบอกพร้อมกับเอาศีรษะแนบลงบนตักของแม่ คงจะคิดถึงแม่มากทีเดียวเพราะไม่เจอกันหลายวัน
"อืม...ใช่ ใกล้จะครบรอบวันที่พ่อเสียแล้วจริงๆ ด้วย แม่ก็เกือบลืมไปเลย อ้อ เดี๋ยวเราไปคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าลูก"
นัทผละจากตักของแม่แล้วก็นั่งตัวตรง จากนั้นเราสองคนจึงลุกขึ้นยืนแล้วพาแม่นวลไปนั่งคุยกันที่โต๊ะหน้าบ้าน นิวตามมานั่งฟังด้วยอย่างเงียบๆ แม่นวลเคยบอกผมว่านิวเป็นผู้หญิงที่แทบไม่สนใจผู้ชายเลย ชอบทำงานและอยู่เงียบๆ มากกว่าที่จะไปสุงสิงกับใคร จนแม่นวลชักปลงว่าลูกสาวจะขึ้นคาน ดูๆ ไปแล้วก็ท่าจะจริง
ผมเอาไอแพดมาวางเอียงๆ บนโต๊ะ จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนดูภาพร้านกาแฟ Straw'ry Cafe ที่เพื่อนของนัทช่วยออกแบบให้แม่นวลกับนิวดู ผมกับนัทคอยช่วยกันนำเสนอ ถ้าใครลืมตรงไหนก็ช่วยเสริมให้กัน ดูเหมือนน้านวลกับนิวจะชอบมากทีเดียว มีเสียงฮือฮาเป็นระยะๆ พอหมดภาพร้านกาแฟแล้วก็เป็นภาพยี่ห้อกาแฟที่เราตั้งใจจะซื้อเฟรนไชส์ คุณบี๋ให้ข้อมูลและภาพประกอบมาแล้วก็เลยง่ายหน่อย ผมกับนัทตั้งใจว่าพอนำเสนอเสร็จแล้วก็จะให้แม่นวลลองชิมกาแฟยี่ห้อนี้ด้วย
จากนั้นเราก็นำเสนอภาพการปลูกสตรอเบอรี่แบบต่างๆ ที่เราไปศึกษามาพร้อมกับอธิบายว่าเราจะทดลองปลูกทั้งสามแบบและหลายๆ พันธุ์ก่อนตัดสินใจ ในขั้นตอนสุดท้าย เราก็นำเสนอแผนการทำงานที่เริ่มตั้งแต่การเตรียมปลูกสตรอเบอรี่ หาบริษัทมารับเหมาก่อสร้างร้านกาแฟให้ ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการรับสมัครคนมาทำงานในร้านกาแฟ และแผนที่เราจะทำให้ลูกค้ามี Story หรือมีเรื่องราวร่วมกับร้านของเรา ในระหว่างที่เปิดร้านกาแฟเราก็จะค่อยๆ สร้างรีสอร์ทไปด้วย เริ่มต้นที่ห้าหลังก่อน เน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศภูทับเบิกที่แตกต่าง อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติและมี Story ร่วมกับเราได้
พอเห็นรอยยิ้มภูมิใจของแม่นวลกับนิวแล้วก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าผลจะเป็นยังไง
"ดีมากลูก ลูกสองคนทำดีมาก ความจริง...แค่นัทเป็นลูกของแม่ ไม่มีแผนอะไรมาให้แม่ดู แม่ก็พร้อมที่จะช่วยเรื่องเงินลงทุนอยู่แล้ว พอเห็นนัทกับแฟรงค์ตั้งใจขนาดนี้ แม่จะไม่ช่วยก็คงเกินไปหน่อย เอาเป็นว่า...นัทกับแฟรงค์สบายใจได้เลยนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับธนาคารให้ นัทกับแฟรงค์ไปด้วยกันกับแม่ เอาแผนที่ลูกสองคนทำไปนำเสนอด้วย แม่ว่าไม่มีปัญหาหรอก ยังไงก็ได้อยู่แล้ว"
ผมกับนัทหันมายิ้มให้กันแล้วก็น้ำตาซึม กว่าเราสองคนจะเตรียมการนำเสนอได้ขนาดนี้ก็ต้องเดินทางไปหลายที่ อดหลับอดนอนช่วยกันทำไฟล์นำเสนออยู่หลายวัน ความเห็นไม่ตรงกันก็มีบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทะเลาะกัน ต้องใช้เวลาและความอดทนที่จะพูดคุยกันและทำให้ลงตัวอย่างที่เราอยากได้ เหนื่อยกันมากทีเดียว
สุดท้าย...เราก็ได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ข้างหน้าเสียที แค่นี้ก็คุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมดที่ใส่ลงไปแล้ว
ขอบคุณแม่นวลเหลือเกินที่ให้โอกาสเราสองคน ผมกับนัทจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน!- TBC -[/center]