แตกที่ 21
…สายเกินไป...
เป็นอย่างที่เมษาว่า เที่ยงคืนกว่าหมอนั่นยังไม่กลับมาห้องของตัวเอง ส่วนปูนก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ดี เชื่อฟังเจ้านายด้วยการหอบข้าวของมาไว้ห้องของคณิตตั้งแต่พวกเขาเดินทางกลับมาถึงห้อง
ชายหนุ่มที่โดนความเครียดรุมเร้าจนนอนไม่หลับกำลังนั่งพิงหัวเตียงแล้วอ่านหนังสือในมือโดยอาศัยแสงจากโคมไฟเล็กๆ โดยมีบ้างบางครั้งที่คณิตจะละสายตาจากสิ่งที่น่าสนใจในมือนั้นลงแล้วหันมามองปูนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ
“นอนได้น่าอร่อยเหมือนเคยเลยนะ”
เขาพูดขึ้นมาเบาๆเมื่อเห็นว่าปูนกำลังสบายแค่ไหนในห้วงแห่งความฝัน มือที่เล็กกว่าเขานิดหน่อยกำชายเสื้อของคณิตไว้ไม่ยอมปล่อย และถึงแม้แสงจะแยงตาไปบ้างปูนก็ยังคงหันหน้ามาทางนี้จนทำให้ร่างสูงเหมือนโดนจับจ้องตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้อึดอัดหรอกนะกลับกันเขารู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำ
นึกถึงตอนหัวค่ำที่เกือบเล่าเรื่องของตัวเองให้ปูนฟังไป ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแต่คณิตคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเข้าใจเขาได้ง่ายๆมากกว่า อีกอย่างมันก็เป็นเพียงความกดดันที่เข้ามาจู่โจมเขาเป็นพักๆ แน่ล่ะตอนนี้อายุของเขาก็ปาไปเกือบสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กๆที่จะมาอ่อนไหวกับความเครียดแค่นี้
“อื้อ...ป๋า...”
คนที่หลับใหลคงเกิดหนาวขึ้นมาจึงขยับมาหาเขาทั้งที่ไม่ได้สติ แขนขาวๆของปูนยกขึ้นมาคว้าเองของคณิตมากอดไว้อาการคล้ายลูกแมวเวลาอ้อนอยากได้อะไรบางอย่าง คณิตหลุดขำความคิดของตัวเองก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาถ่ายรูปนั้นไว้แล้วโพสมันลงไปในไอจีส่วนตัวที่มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้น
ติ๊ง!
แต่ลงแค่ไม่ถึงนาทีก็มีคนมาคอมเม้นต์แล้ว
Mossine : เกินไปล่ะ ทำร้ายจิตใจคนโสดอย่างกูเกินไปล่ะ
KGinger : วู้วววว ยังไงครับยังไง เปิดตัวแล้วหรอไอ้สัด
Tooong : ดูท่าจะเพลียน่าดู ถนอมๆหน่อยเพื่อน
คณิตนั่งขำกับข้อความที่เพื่อนพิมพ์มาให้ไม่ขาดสาย เวลาป่านนี้แล้วพวกมันยังตอบมากันได้ แสดงว่าพวกที่อยู่กรุงเทพคงรวมหันกันไปนั่งดื่มอยู่ที่ไหนสักที่นั่นแหละ คณิตตอบข้อความเหล่านั้นไปบ้าง บางทีก็ด่ากลับไปจนคอมเม้นต์ใต้รูปภาพที่มีแคปชั่นธรรมดาๆว่า ‘กินอิ่มนอนหลับ’ ยาวเป็นหางว่าว และในขณะที่เขากับไอ้ขิงกำลังด่ากันอย่างเมามันนั่นเอง ก็มีคนๆหนึ่งมากดไลค์ที่รูปภาพ
‘Rattikarn_n liked your photo’
“ไอ้กาลมันยังไม่นอนอีกหรอวะ”
ร่างสูงขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่เพื่อนคนนี้จะมาเล่นโซเชียลมีเดียดึกๆ ไม่สิ มันแทบจะไม่เล่นเลยมากกว่า รูปสุดท้ายที่รัตติกาลเคยอัพก็เป็นรูปถ่ายที่สนามบินเหมือนกับกำลังจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งเท่านั้น คณิตกำลังจะทักเพื่อนกลับไปแต่จู่ๆคนที่นอนอยู่ข้างๆก็ตื่นขึ้น
“ป๋ายังไม่นอนอีกหรอ”
เสียงติ๊งๆที่ดังอยู่เป็นพักๆปลุกร่างเล็กให้ตื่นขึ้นจากนิทราแสนหวาน ปูนว่าพลางขยี้ตาเป็นเด็กๆ แถมคณิตยังแอบเห็นว่าอีกฝ่ายแอบปาดน้ำลายที่ไหลย้อนตรงมุมปากออกไปด้วย
“คุยกับเพื่อนอยู่น่ะ”
“ไม่ต้องคุยแล้ว...นอนเถอะปูนง่วง”
“ง่วงก็นอนก่อนเลย เดี๋ยวปิดไฟให้”
“ไม่เอา ป๋าไม่นอนด้วยปูนนอนไม่หลับ”
อื้อหือ...นอนไม่หลับเลยเนอะ รอยน้ำลายเป็นดวงๆนั่นยังกองให้เห็นอยู่ทนโท่ คณิตส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ไม่ได้พูดให้ปูนอาย เขามองแอคเคาท์ของรัตติกาลอีกครั้งแต่ก็ยอมตัดใจปิดมันลงพร้อมกับโคมไฟตรงหัวเตียง คณิตล้มตัวลงนอนหันมาหาปูนที่ยิ้มแป้นก่อนจะโอบคนตัวเล็กให้เขยิบเข้ามาใกล้ๆ แสงไฟเพียงเล็กน้อยที่ส่องมาจากข้างนอกทำให้คณิตเห็นว่าปูนกำลังทำหน้าตาเป็นสุขแค่ไหน
ให้ตายสิ ไม่เหลือคราบเด็กร้ายๆให้เห็นเลยแฮะ...
“ฝันดีนะปูน”
.
.
.
.
.
.
.
น่าเบื่อชะมัด...ปูนบ่นกับตัวเองแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน
ถึงจะบอกว่ามาอยู่ที่นี่เพราะคณิตแต่ข้อแลกเปลี่ยนที่ทำกับเมษานั้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มปั้นยิ้มแล้วหันไปโปรยมันใส่นายทหารคนที่นั่งอยู่ข้างๆปล่อยให้เจ้านายเจรจาธุรกิจกับท่านพิเชษฐ์ที่เขาเคยได้ยินเพียงแค่ชื่อต่อไปโดยไม่ปริปากออกความคิดเห็นใดๆ...เพียงแต่คราวนี้เขาค่อนข้างจะตั้งใจฟังมัน
“ลุงไม่ว่าอะไรอยู่แล้วถ้าจะมีโรงแรมดังๆมาเปิดที่นี่ตั้งสองที่ ดีซะอีก ชาวบ้านแถวนี้เขาจะได้มีรายได้เพิ่ม”
“ขอบคุณนะครับ ที่คุณลุงให้โอกาส”
“ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่มันก็มีข้อจำกัดบางอย่างนะ ที่แถวนี้จะทำอะไรสักอย่างเรื่องมันค่อนข้างยุ่งยาก ว่าแต่ได้คุยกับคณิตบ้างไหมคิดจะทำในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ลุงไม่อยากให้มีปัญหา”
แม้จะเป็นคนแก่ที่ยิ้มง่ายแต่สายตาไม่ได้ฝ้าฟางลงไปเลยสินะ ปูนเหลือบมองหน้าของท่านพิเชษฐ์แล้วคิดแบบนั้นในใจ ส่วนเมษาก็ยังยิ้มอย่างเคย
“ผมกับคณิตเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มอปลาย ถึงจะไม่ถึงขั้นสนิทสนมแต่ก็คิดว่าเรารู้จักกันพอสมควร”
“จริงหรอ ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
“ครับ ถึงช่วงมหาลัยคณิตจะเลือกเรียนคณะอักษรก็เถอะ แต่ด้วยฐานะของเราทั้งคู่ยังไงสักวันเราก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี”
มือที่เคยกุมกันไว้หลวมๆเผลอปล่อยออกจากกันเมื่อเมษาพูดเรื่องนั้นออกมา เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าฝ่ายนั้นที่เอาแต่มองไปยังนายทหารยศใหญ่หาใช่คนธรรมดาที่มีแต่คำถามอยู่ในหัวอย่างเขา
อักษร...ป๋าเรียนคณะอักษรงั้นหรอ
“ลุงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ถึงได้เป็นห่วงอย่างนี้ไง”
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ไปกินข้าวด้วยกันไหม จะเที่ยงแล้ว”
เมษาตอบรับข้อตกลงนั้นส่วนปูนกลับไม่อยากไปเลยสักนิด แต่ก็ต้องพับความสงสัยนั้นลงกระเป๋าไปพร้อมเอกสารบางจำนวนหนึ่งที่เมษาส่งมาให้ก่อนจะเดินตามร่างสูงไปยังรถอีกคันของท่านพิเชษฐ์ที่ส่งมารับพวกเขาตั้งแต่เช้า
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จฉันจะไปทำธุระบางอย่างก่อน เธอจะกลับไปหาคณิตที่โรงแรมก็ได้นะ”
“ธุระอะไรครับ เกี่ยวกับงานรึเปล่า”
“ไม่เกี่ยวหรอก ทำไม ถ้าเกี่ยวจะขอตามมาด้วยรึไง”
ปูนเบ้ปาก เบื่อคนคนนี้ทำเหมือนจะรู้ความคิดเขาไปเสียทุกอย่าง
“ใช่ ถึงผมจะมาที่นี่เพราะว่าเพื่อนคุณก็เถอะ แต่ถ้าคุณมีงานที่อยากให้ผมช่วยผมก็ควรจะต้องทำมันไม่ใช่รึไง”
เมษาหรี่ตาลงอย่างไม่เชื่อคำพูดของปูนเท่าไหร่
“เธอนี่นะจะช่วยฉัน”
“อืม ถ้าเป็นงานง่ายๆล่ะก็”
“แล้วถ้าฉันบอกให้ทรยศคณิตล่ะเธอจะทำไหม”
คำถามของเมษาเหมือนอะไรสักอย่างที่มาจุกอยู่ในลำคอของปูนทำให้พูดไม่ออก ร่างเล็กเดาไม่ออกจริงๆว่าคำถามนี้เป็นเพียงคำถามที่ไร้ความหมายหรือมีความนัยอะไรแฝงอยู่ในนั้น
“ถ้าคุณสั่งให้ผมทรยศเขา ก็เท่ากับว่าคุณทรยศเพื่อนตัวเอง”
“ก็ใช่ แต่เธอรู้ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคณิตน่ะ...มันพิเศษ”
คราวนี้เมษาเป็นฝ่ายที่เงียบไป นิ้วที่สามารถชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้เคาะไปตรงที่วางแขนเป็นจังหวะจนเกิดเป็นเสียงน่ารำคาญที่ปูนไม่ชอบเอาซะเลย
“รู้ไหมปูนนอกจากมิตรที่ไว้ใจได้แล้วคนเราต้องการอะไรอีก”
“...”
“ศัตรูที่เท่าเทียม...นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วนึกถึงภาพการแข่งขันระหว่างเขาและคณิตที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในสมัยเด็กๆ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเล่น และแม้แต่เรื่องผู้หญิง คณิตก็เป็นคนที่ทำให้เมษาสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่เสมอมา จนกระทั่ง...ตอนที่คณิตตัดสินใจเลิกเป็นคู่แข่งกับเขา
“ฉันคาดหวังกับเธอไว้สูงนะปูน”
“ครับ?”
“ช่างเถอะ ว่าแต่ฉันขอถามอะไรเธอสักอย่างได้ไหม”
เมษายิ้มพรายในขณะที่ปูนรู้สึกแปลกๆเพราะดวงตาคู่นั้นมันไม่ได้ยิ้มไปด้วย เขาเงียบไปไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธอาจจะเพราะความรู้สึกข้างในที่ร้องตะโกนออกมาว่า คำถามที่เมษากำลังจะถามออกมานั้น...อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเขาก็ได้
.
.
.
.
.
.
.
ถึงวันนี้จะไม่มีนัดกับท่านพิเชษฐ์แต่คณิตก็ต้องออกมาทำงานด้วยการลงมาสำรวจพื้นที่และหาข้อมูลจากชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานทหาร บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ทำกินอยู่แถวนี้ตั้งแต่สมัยก่อน ชายหนุ่มมาในชุดลำลองสบายๆ สิ่งที่พกไปก็มีเพียงแค่กล้องและสมุดบันทึกเล่มเล็กๆที่เขาใช้จดวิถีชีวิตที่น่าสนใจของคนแถบนี้ รวมถึงจุดเด่นของพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น
“พ่อหนุ่มๆ ซื้อทองม้วนไหมจ๊ะ”
คณิตลงกล้องในมือลงแล้วหันไปมองยายแก่คนหนึ่งในชุดคอกระเช้าที่ถือตะกร้าหวายใบเขื่องเอาไว้โดยที่ในนั้นมีขนมไทยมากมายแต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นทองม้วนของดีของสัตหีบนี่แหละ
“ขายยังไงครับยาย”
“ห่อล่ะสามสิบจ๊ะ อย่างอื่นก็มีนะ ยายทำเองอร่อยๆทั้งนั้น”
คณิตยิ้มรับเขาเลือกเอาทองม้วนห่อใหญ่และขนมไทยอีกสองสามอย่าง โดยไม่วายคิดถึงลูกชายแม่ค้าขนมหวานอย่างปูนไม่ได้
“ขอบใจนะจ๊ะ ว่าแต่พ่อหนุ่มมาเที่ยวหรอ แปลกจังทำไมมาคนเดียว”
ยายแก่พูดกับคณิตหลังจากทอนเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอมองชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่ามากด้วยความเอ็นดู แถมยังชื่นชมผิวพรรณขาวๆที่ค่อนข้างจะผิดไปจากคนทะเลแถวนี้
“เปล่าหรอกครับ พอดีผมมาทำงานน่ะยาย”
“งานอะไรรึ”
“จะมาสร้างโรงแรมครับ ที่ที่ให้คนต่างถิ่นเขามาพักกันน่ะ”
คณิตอธิบายเพิ่มกลัวยายแกจะไม่เข้าใจ
“อ่อ ไอ้ที่ใหญ่ๆโตๆหน่อยใช่ไหม ยายเคยเห็นตอนหลานมันพาไปเดินเที่ยวแถวพัทยา”
“ประมานนั้นแหละครับ พอดีมีผู้ใหญ่เขาอยากให้สร้างไว้ สัตหีบคนจะได้มาเที่ยวกันมากขึ้น ยายจะได้ขายของได้เยอะๆไง”
“ขายของได้เยอะๆมันก็ดีหรอก แต่ยายไม่ค่อยชอบตึกใหญ่ๆพวกนั้นเลย”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ยายว่ามันไม่เหมาะกับที่นี่ คนสัตหีบเราอยู่กันง่ายๆ เช้าทำงานเย็นก็กลับบ้านนอน สถานที่เที่ยวมันก็พอมีอยู่หรอกแต่มันก็เงียบๆไม่อึกทึกเหมือนที่อื่น”
คณิตฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะเท่าที่สังเกตมา วิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้ค่อนข้างสงบ ติดจะเงียบๆเลยด้วยซ้ำ
“ส่วนใหญ่คนเขามาเที่ยวก็จะมานั่งริมทะเลกัน แต่ยายก็ไม่อยากให้คนมาเยอะๆหรอกนะ คนเยอะเงินเยอะจริง แต่ขยะมันก็เยอะด้วย หาดเมื่อก่อนที่ว่าขาวน้ำที่ว่าใสก็มีแต่ขยะเต็มไปหมด นี่ก็มีอยู่หาดหนึ่ง ทีวีเขามาถ่ายพอออกอากาศคนก็แห่มาเที่ยวแล้วตอนนี้เป็นไง สกปรกไม่เหลือเค้าเดิม”
ยายแก่บ่นไปตามความรู้สึกของตัวเองที่เห็นที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ ร่างสูงรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้วคิดตาม แล้วลองนึกภาพว่าหากวันหนึ่งทะเลที่เงียบสงบแถบนี้กลายมาเป็นทะเลที่วุ่นวายเหมือนกับที่อื่นคงน่าเสียดายไม่น้อย
ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่นานจนคณิตแกะขนมที่ซื้อจากยายแกมากินเสียหมดเลยต้องซื้อใหม่อีกรอบ โดยที่คราวนี้ยายแกก็ใจดีแถมขนมอย่างอื่นมาอีกจนคณิตตัดสินใจจะกลับไปที่โรงแรมก่อน เพราะเริ่มรู้สึกล้าๆแล้วเหมือนกัน
ทันทีที่กลับมาถึงคณิตก็เดินตรงขึ้นไปยังห้องพักของตัวเองที่ยังไม่ทันเปิดประตูเขาก็สัมผัสถึงไอเย็นที่ลอดออกมาได้ ชายหนุ่มส่ายหัวน้อยๆเมื่อเปิดเข้าไปแล้วเห็นคนตัวเล็กที่ออกไปกับเมษาตั้งแต่เช้ากำลังนอนหลับสบายโดยที่ในมือยังถือรีโมททีวีค้างไว้อยู่เลย
“ปูน ตื่นได้แล้ว อย่านอนตอนเย็น”
ชายหนุ่มสะกิดแก้มของปูนเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะหลับไม่ลึกมากดวงตากลมๆนั้นจึงค่อยๆลืมขึ้นแล้วมองไปรอบๆจนมาหยุดอยู่ที่ตัวเขา
“อื้อ...ป๋ากลับมาแล้วหรอ”
“อืม แล้วเธอล่ะ ทำไมไม่อยู่กับไอ้เมษ”
“เขาไปทำธุระน่ะเลยเอาผมมาปล่อยไว้ที่นี่ก่อน”
ปูนยันกายขึ้นนั่งพลางขยี้ตาน้อยๆเพราะยังมึนๆอยู่ คณิตก็ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู ไม่รู้สิ สำหรับเขาเวลาปูนเพิ่งตื่นใหม่ๆน่ะ ดูน่ารักไม่มีพิษมีภัยที่สุดแล้ว คณิตยื่นมือไปข้างหน้าหวังจะช่วยจัดทรงผมยุ่งๆนั่นให้เข้าที่ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำมัน ปูนก็สะดุ้งและเผลอปัดมันออก
เพี้ยะ!
“...”
“เฮ้ย ขอโทษๆ ผมแค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ”
เด็กหนุ่มพูดแก้ตัวก่อนจะจับเอามือของคณิตที่แรงเพราะโดนตนตีมาลูบเบาๆแล้วแกล้งเป่าเหมือนกับเวลาปลอบเด็กๆ คณิตเองก็คิดว่าปูนคงแค่ยังมึนๆเพราะโดนปลุกก็ไม่ว่าอะไร
“ช่างเถอะ ว่าแต่เย็นนี้เธอต้องออกไปไหนไหม ไอ้เมษมันบอกไว้รึเปล่า”
“ก็ไม่นะ เห็นเขาบอกว่าจะไปไหนก็ไม่รู้กับท่านพิเชษฐ์เนี่ยแหละ”
“งั้นดีเลย เดี๋ยวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปที่หนึ่งกับฉันนะ”
ปูนเอนคอน้อยๆด้วยความสงสัย จนคณิตอดใจไม่ไหวก้มลงมาจูบแก้มของคนตัวเล็กเบาๆก่อนจะตอบ
“ไปเดินงานวัดกัน”
(มีต่อเม้นต์ล่าง)