07:10 น. : บ้านเลิศประสงค์ห้องนั่งเล่นยามเช้าประชุมพร้อมไปด้วยพี่ธาน ไอ้เข้มและไอ้เด่นที่รอผมกันพร้อมหน้า ผมยังไม่ได้อาบน้ำ วันนี้ตื่นสายกว่าปกติเพราะเมื่อคืนกลับดึก และเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้นอนไม่หลับ เผลอหลับไปได้เมื่อตอนรุ่งสาง เช้านี้เลยลงมาทั้งชุดนอน พวกมันพากันมองหน้าผมกะหลับกะเหลือ แผลจากการถูกชกเมื่อคืนคงส่งผลทำให้มีสีช้ำที่มุมปากและดึงดูดความสนใจของพวกมัน
“หน้ากูเหมือนญาติฝ่ายไหนของพวกมึงเหรอ” ผมถามส่ง ๆ เสียงต่ำลงอย่างเหนื่อยหน่าย โทรศัพท์มือถือของผมที่นำไว้ใช้สำหรับเรื่องงานวางหราอยู่กลางโต๊ะ ผมนั่งลงที่โซฟาพร้อมหยิบมันมาเปิดดู ภาพศพของไอ้มงคลสามรูปเด่นชัดว่าเสียชีวิตแน่นอน เมื่อแน่ใจแล้วจึงกดลบรูปภาพออกจากเครื่อง น้ำเปล่าแก้วของผมที่วางอยู่กลางโต๊ะเตรียมไว้พร้อม ถูกผมยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วก่อนพ่นลมหายใจออกทางปาก พวกมันนั่งเงียบรอฟัง ผมตาลอยมองโทรทัศน์ด้านหน้าอยู่พักหนึ่ง
“สั่งจบงานกับพี่ศรไปก่อน ส่งค่าแรงให้แกไป” ผมพูดขึ้นและเว้นจังหวะเงียบอีกครั้ง
“มึงคอยตามประกบไอ้เอก” ผมสั่ง เหลือบตาดำมองไปทางไอ้เข้มที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ
“ไม่ต้องลงมืออะไร ระหว่างนี้รอพี่ทัพ” ผมขยายความ
“ครับ” ทั้งสามคนขานรับ
“เป็นไปได้กูจะลงมือเอง” ผมพูดบอกเผื่อเป็นนัยยะว่าให้รอฟังคำสั่งจากผมเท่านั้น
ห้ามแตะต้องไอ้เอก“ครับนาย” ไอ้เข้มผงกหัวรับทราบ
“แล้วรถที่ออกจาก Blackfoot เมื่อคืนมันขนอะไร” ผมถาม เอื้อมหยิบเหยือกน้ำเปล่ารินเติมใส่แก้วอีกครึ่งแก้ว
“ไม่ทราบครับ เห็นแต่ว่าเป็นกล่องสีดำ ขนาดค่อนข้างใหญ่ สองคนแบก..หลายกล่อง มันขนเข้าไปที่โรงแรม Tsmith” ไอ้เข้มตอบ
“Tsmith ? โรงแรมของไอ้กายไม่ใช่เหรอ” ผมเหล่มอง
“ครับ” ไอ้เข้มผงกหัว
“พวกมันใช้ด้านหลังโรงแรมในการขน การ์ดเยอะมากครับ แต่แถวนั้นไม่มีกล้องวงจรปิดเลยสักตัว”
“งั้นเหรอ” ผมพ่นหัวเราะ
“แล้วคนของเราเจออะไรใน Blackfoot บ้างไหม”
“ครับ..ห้องฝั่งทิศตะวันออกของร้าน มีการ์ดของร้านสลับเข้าไปในนั้นบ่อย ๆ คล้ายกับองศาเดียวกับด้านหลังที่มันใช้ขนของออก มีการ์ดประจำหน้าห้อง ไม่ใช่ทางที่ลูกค้าควรผ่าน” ไอ้เข้มตอบด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนัก ผมพยักหน้ารับทราบ
“เท่านี้ใช่ไหม” ผมถาม
“ครับ”
ก๊อก ๆ ๆ“ตั้งโต๊ะแล้วนะเฮีย” พายุเดินมาบอก ผมปัดมืออนุญาตให้พวกมันแยกย้ายกันไปกินข้าวเช้า
“ดูเหนื่อยนะครับ” พี่ธานทัก
“หึ” ผมยิ้มนิดหน่อย ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมด อีกฝ่ายไม่เซ้าซี้ถามเกินควร ผมลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น ขณะเดียวกันก็สวนกับคนที่เพิ่งมาถึงพอดี สมุทรหยุดชะงักด้วยใบหน้าตกใจที่พบหน้าผมกะทันหัน ก่อนที่ดวงตาจะกวาดมองมาที่มุมปากของผมและจับจ้องมันอยู่จุดเดียว
“สวัสดีครับ” สมุทรผงกหัวทักทายพายุ พายุผงกหัวยิ้มให้น้อย ๆ
“ปากเฮียไปโดนอะไรมาน่ะ” พายุขมวดคิ้วสงสัย
“คู่นอนเมื่อคืนซาดิสม์ไปหน่อย” ผมตอบ จงใจแกล้งกวนไปถึงคนข้าง ๆ ที่ยืนอยู่ด้วย ผมเดินออกมาไม่ฟังเสียงพายุที่บ่นไล่หลัง
“แผลเก่าเพิ่งหาย ได้แผลใหม่มาอีกละ”“วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ” ผมถามระหว่างอาหารเช้า สมาชิกร่วมโต๊ะวันนี้มีเพียงผม พี่ธานและพายุ ส่วนไอ้ดินออกไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เห็นว่ามีกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วมเลยต้องไปโรงเรียนเช้าผิดเวลา
“ไม่มี วันนี้ก็เลยว่าจะออกไปซื้อของมาทำเบอร์เกอร์มื้อเย็นอะ” พายุตอบ ผมกินไปฟังไป
“พี่ธานเอาไส้กรอกด้วยไหม” พายุถาม
“ครับ” พี่เขายิ้มตอบ
“ยาทาแผลในปากค่ะคุณไฟ” ป้าอิ่มนำกระปุกยามาวางลงข้าง ๆ มือ ผมเหลือบมอง
“ขอบคุณครับ” ผมพูด เธอยิ้มอ่อนโยนก่อนออกจากห้อง ความเงียบบนโต๊ะทำให้ผมช้อนตาขึ้นมองน้องชาย และคิดว่ามันน่าจะเป็นคนสั่งให้ป้าแกนำยานี้มาให้
“วันหลังก็เลือกคู่นอนหน่อยสิ” มันประชด ทำหน้าเมินกลับไปตั้งใจกินอาหารต่อ
“จิ” ผมกลอกตา ปากเคี้ยวอาหารแรงขึ้นด้วยนึกหงุดหงิดขึ้นมาดื้อ ๆ แต่ไม่คิดที่จะปฏิเสธประเด็นซาดิสม์ที่น้องชายเชื่อไปแล้ว
เรื่องเมื่อคืนหวนกลับมา ฉากต่อฉาก คำถามที่ต้องการคำตอบ ความหงุดหงิดจากพฤติกรรมแปลก ๆ แทบถูกลบไปหมดเมื่อความรู้สึกถึงรสชาติของจูบนั้นแรงมากกว่า มันขยับเข้ามาแทนที่ขนาดที่แทบบดบังทุกอย่างได้มิดสนิท ลมหายใจ น้ำหนักที่ลง แล้วการกระทำอย่างนั้นยิ่งทำให้ผมเริ่มเข้าข้างตัวเองขึ้นมา เสือกเป็นประเด็นเพิ่มมาทำให้คิดไม่ตกตั้งแต่เมื่อคืน
“อ้ากกกกกกกก!” เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นกลางโต๊ะอาหารทันทีที่ภาพในหัวคิดไปเองต่าง ๆ นา ๆ สายตาคู่นั้นที่มองระหว่างจูบกันก็ลบภาพไม่ออกจากหัวผมเลย ผมควรต้องรีบดึงสติกลับมาซะ อ้า..
น่าหงุดหงิดฉิบเป๋ง ไม่รู้อารมณ์ไหนเป็นอารมณ์ไหนแน่ มันมั่วไปหมด
“อะไรของเฮียเนี้ย” พายุตกใจตาโต
“เฮ้อ!” ผมถอนหายใจแรง ทิ้งช้อนส้อมลงบนจาน นำมือลูบหน้าตัวเองขึ้นทั้งสองมือพร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“หงุดหงิดฉิบหาย” ผมพึมพำ ตามองเพดาน
“...
หงุดหงิดโว้ย!” ผมนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ทั้งพี่ธานและพายุหุบปากเงียบ
“อิ่มแล้ว” ผมตัดบทลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร คนร่วมโต๊ะมองตามแต่ไม่เอ่ยปากห้ามอะไร ยาทาแผลถูกหยิบติดมือออกมาด้วย ผมตรงขึ้นห้องนอนทันที อยากอาบน้ำให้สมองโล่งกว่านี้สักหน่อย
.
..
“ผมขอโทษนะครับที่ผมลงมือไปแบบนั้น”เสียงพูดคุยดังออกมาจากห้องครัวไทยแบบเปิดโล่งทางด้านหลังบ้าน หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย พบว่าทุกคนแยกย้ายกันไป ผมจึงกลับเข้าไปทำงานในห้องทำงาน วันนี้ไม่มีภารกิจที่จะต้องออกไปทำข้างนอก เลยถือเสียว่าหยุดให้พักผ่อน เวลาใกล้เที่ยงเต็มแก่ ผมวางมือจากตัวเลขของบัญชีจากที่ลูกน้องที่เชียงใหม่ส่งมาให้ลงมาที่ด้านล่างแต่ไม่พบใคร ที่โรงฝึกก็ไม่มีใครอยู่ ได้ยินเสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวแว่วดังมาจากด้านหลังบ้านจึงกะว่าจะเดินมาดูว่ามีใครอยู่บ้าง
“ไม่หรอก พี่เข้าใจ” พี่ธานตอบนุ่มนวล มีติดปลายเสียงหัวเราะในลำคอนิด ๆ ผมจึงสั่งให้ตัวเองหยุดยืนแอบฟังอยู่ตรงประตูทางออกโดยอัตโนมัติ ประโยคแบบนั้นคาดว่าน่าจะได้ยินอะไรเพิ่มเติม เพราะผมยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ธานฟังเลย
“ผมก็เข้าใจอยู่หรอกครับว่าอีกฝ่ายเป็นคนโมโหแรง แต่..เมื่อคืน สิ่งที่คุณไฟทำก็ทำเอาผมหงุดหงิดเหมือนกัน” สมุทรพูด คำพูดเชิงบ่นให้ฟังกลับใช้น้ำเสียงเรียบ ๆ น่าฟัง ผมหันหลังพิงกำแพงไว้ มือล้วงกระเป๋ากางเกงไปพลาง
“แต่กล้าเหมือนกันนะ หึ” พี่ธานพูดคล้ายชื่นชม
“ครับ เสี่ยงน่าดู” สมุทรตอบ ทั้งสองคนทิ้งน้ำเสียงอึดใจหนึ่ง
“ปกติคุณเขาก็ไม่ใช่คนโมโหง่ายหรอกนะ” พี่ธานพูดขึ้น เสียงคล้ายกับช้อนเคาะลงที่ปากกะละมังดัง เก้ง ๆ คลอไม่ดังนัก
“ครับ ผมพอจะดูออก..หลายครั้ง เหมือนคุณเขาพยายามควบคุมตัวเอง” สมุทรพูด
“คงเพราะรู้ว่าถ้าตัวเองโมโหขึ้นมาจริง ๆ ...” เขาทิ้งน้ำเสียงที่จะพูดต่อให้จบประโยค
“ตั้งแต่ที่สมุทรมาอยู่กับพวกเรา พี่ว่านายยังไม่เห็นที่คุณเขาโมโหจริงสักรอบเลยนะ” พี่ธานใช้น้ำเสียงติดทะเล้นนิดหน่อยเหมือนกับจะเบี่ยงประเด็นไม่ให้จริงจังนัก สมุทรหัวเราะน้อย ๆ ไม่ปฏิเสธ
“อ้า แต่อาจมีครั้งนึง ที่พัทยากับคนของเสี่ยปรีดาน่ะ แต่นั่น..สำหรับพี่ยังนั่นยังไม่ใช่ที่สุด ฮ่า ๆ ๆ”
“กับลูกน้องที่ทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ถึงคุณเขาจะโมโห แต่ก็แค่แป๊บเดียวนะ คุณเขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยหรอก แต่กับสมุทร..ไม่ใช่” พี่ธานพูด น้ำเสียงหนักแน่นจนใจผมชักเต้นผิดจังหวะ มันเหมือนกับว่าเรากำลังจะได้ฟังความในใจจากใครสักคนแบบที่นั่นจะออกมาจากใจจริง
“พี่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืน พี่ไม่เห็นกับตา ดังนั้นพี่พูดอะไรไม่ได้ นายเล่าเรื่องเมื่อคืนนี้หมดทุกอย่างยังล่ะ..” พี่ธานย้ำถาม มีความเจ้าเล่ห์จับผิดเห็นเด่นชัดว่าไม่เชื่อว่าสมุทรได้เล่าทุกรายละเอียดแล้ว สมุทรไม่ตอบ
“เอาเถอะ พี่คิดว่าสมุทรน่าจะมองออกนะ คุณเขาไม่เคยเป็นแบบนี้หรอก ไม่ตามหรอก ที่ผ่านมาไม่เคยตามใครไป” สิ้นเสียงจากพี่ธานก็ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากคู่สนทนา
“แล้วก็ ส่วนตัวพี่คิดว่าสมุทรทำไม่ถูกตั้งแต่แรก” “ครับ ผมทราบดี” สมุทรตอบ
“เราจงใจไม่โทรกลับ ทำแบบนั้นทำไม มีอะไรรึเปล่า ?” พี่เขาถาม แต่สมุทรกลับไม่ตอบ นั่นคือประเด็นที่ผมเองก็สงสัยไม่ต่าง
“คือว่า คุณพลอยเธอ..”
“ชอบคุณพลอยเหรอ ?”
“เปล่าครับ” สมุทรตอบ
“..คือว่า” เจ้าตัวอ้ำอึ้งก่อนที่ทั้งคู่จะเงียบไปครู่หนึ่ง
“หึ ช่างมันเถอะ เล่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” พี่ธานตัดบท
“แล้วเป็นไงบ้าง วันที่ไปเดทกับคุณเขาน่ะ” พี่ธานตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงแซว ๆ จนผมถึงกับพ่นลมหายใจออกทางปากและอดอมยิ้มไม่ได้ที่พี่ใหญ่ถามอะไรชวนขนลุกหู ขาที่ทำท่าจะก้าวเดินหนีกลับหันกลับมาอยู่ที่เดิมเพื่อรอฟังคำตอบ ฟังสักหน่อยคงไม่เป็นไร มือซ้ายลูบขึ้นที่ท้ายทอย หน้าก้มลงมองปลายเท้ารออย่างตั้งใจ
“จะสถานการณ์ไหนก็ยังเป็นคนที่รับมือยากเหมือนเดิมละครับ” สมุทรตอบเสียงเข้ม
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” คนฟังถึงกับหัวเราะชอบใจออกมา
“ถูกจูบไปบ้างแล้วรึยัง ?” ผมยิ้มกว้างกับสิ่งที่พี่ใหญ่มาหลอกถามกับสมุทรแทนที่จะถามผม
“.........” สมุทรไม่ตอบ
“เรียบร้อยแล้วสินะ กี่ครั้งเหรอ พี่ขอทายได้ไหม”
“อย่าทายเลยครับ” สมุทรรีบห้ามปราบทำเอาพี่ใหญ่หลุดขำ
“พี่ธานมีความอดทนสูงดีนะครับ” พี่ใหญ่ของบ้านถูกชม
“เปล่าเลย พี่ไม่เคยใช้ความอดทนกับการอยู่กับคุณไฟนะ” พี่ธานตอบทันที
“คุณเขานิสัยเหมือนคุณพ่อกับคุณปู่ผสมกันน่ะ”
“ไม่ใช่คนร้ายกาจซะทีเดียวหรอก แต่แค่ไม่ใช่คนขี้สงสารอะไรง่าย ๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดของคุณท่านที่มักใจอ่อนกับคนที่ท่านไว้ใจแล้วถูกหักหลังบ่อย ๆ คุณเขาฝังใจ..ก็เลยเป็นแบบนั้น ส่วนนิสัยทะลึ่งทะเล้น ไม่ไว้หน้าใครนี่ติดมาจากนายใหญ่ คุณปู่น่ะ แกค่อนข้างนักเลง”
“ใช้ความเข้าใจ เรา..ไม่เคยใช้ความอดทนในการอยู่ร่วมกันหรอก” พี่ธานพูด
“สมุทรใช้งั้นเหรอครับ ?” พี่เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ก็ไม่เชิงครับ กับคนแบบนั้นบางมุมมันก็ต้องมีบ้าง ผม..คงภูมิต้านทานต่ำไปหน่อยละมั้ง” สมุทรตอบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เช่นกัน
“หึ ๆ ๆ พี่ว่านายไม่ได้ใช้หรอกไอ้ความอดทนน่ะ แต่นายแค่ไม่รู้ตัว” พี่ธานแซว อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ
“ถามอะไรหน่อยได้ไหม ?”“ถ้า...” อยู่ ๆ น้ำเสียงของพี่เขาก็เปลี่ยนไป มันเป็นการเอ่ยอย่างเบาบางจนรู้สึกผิดแปลก
“ถ้าพี่ไม่บอกให้สมุทรคิดดูเรื่องที่ออกไปกับคุณเขาสองคน สมุทรยังจะตอบรับที่จะออกไปอยู่ไหม ?” พี่ธานถาม คำพูดประโยคกระชับสามารถเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายทำให้ผมรู้สึกหน้าชามากกว่าจะโกรธหรือโมโห แต่อย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอยากฮึดฮัดต้องการชกหน้าใครสักคน ความสับสนงงงวยเหมือนกับได้รับทราบความลับที่ถูกเปิด และได้สตินึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา คำถามดูเหมือนจะไม่ถูกให้คำตอบ เสียงทางด้านหลังครัวเงียบไปสนิท
“พี่สมุทรคร้าบ! วานหยิบตะกร้าให้หน่อยคร้าบ!” เสียงไอ้เด่นตะโกนดังมาจากทางสวนผัก
“มึงก็ไปหยิบเองสิวะ!” ไอ้เข้มต่อว่าน้องชาย
“เดี๋ยวพี่เอาให้” สมุทรขานรับ ผมยังคงยืนเฉยอยู่อย่างนั้น สมุทรที่อยู่ด้านนอกเดินผ่านหน้าผมไปเพื่อหยิบของตามที่ถูกไหว้วาน เขาเดินผ่านหน้าผมไปถึงสองรอบโดยไม่ทันหันมาสังเกตเห็นว่าผมยืนร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยพักหนึ่งแล้ว
“คุณไฟ” พี่ธานที่จะกลับเข้ามาในห้องครัวในบ้านถึงกับหยุดยืนตาเบิกกว้างที่เห็นผมยืนพิงกำแพงอยู่ ผมมองเฉย ไม่ได้โกรธหรอกแต่ว่า.. ความรู้สึกมันเฉยมากแบบที่ไม่อาจแสดงอารมณ์ใดต่อคนตรงหน้าที่หวังดีได้
“สรุปว่า” ผมเอ่ยเสียงเบา
“ที่หมอนั่นยอมออกไปกับผมง่าย ๆ เพราะเกรงใจพี่สินะ”
“คือ..” พี่ธานอ้ำอึ้ง สบตาผมเพียงครั้งคราวเท่านั้น แถมยังไม่ให้คำตอบฉะฉานอย่างทุกครั้งด้วย
“ผมก็รู้ลึก ๆ อยู่หรอกว่าหมอนั่นจะต้องเห็นว่ามันคือหน้าที่ แต่ไม่คิดว่าจะถูกขอร้องมาจากพี่ใหญ่ด้วย พอดีเลย..ผมกำลังเอาเรื่องเมื่อคืนมาปะติดปะต่อให้คิดเข้าข้างตัวเองอยู่พอดี” ผมยิ้มมุมปาก ตาสว่างได้สติกลับมาพอสมควร ถ้าผมไม่ทราบเรื่องนี้ผมจะคิดไปเองกระโดดโลดเต้นออกไปอีกหลายกิโลเลยมั้งครับ ไม่ว่าในเรื่องอะไร..
การคิดไปเองมันค่อนข้างเป็นกรณีใหญ่อยู่นะครับ
“คุณไฟครับ คือว่า” พี่ธานหน้าเจื่อน
“พี่ธานครับ ผมว่าจะทำกะทิก่อน” สมุทรที่ตามหลังมาถึงกับชะงักงันไปอีกคน ในมือของเขาถือกะละมังที่มีกากมะพร้าวอยู่ในนั้น เจ้าตัวคงเห็นสถานการณ์จากเราสองคนและอ่านออกจนหมด เขาจึงนิ่งลงเช่นกัน เราสามคนเงียบสนิท
“ดีจังเลยน้า ลูกน้องรักกันเนี่ย” ผมสบถหัวเราะ ประชดติดตลกก่อนหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
...............(ไฟ)..............
+
+
+
+