ตอนที่ 42
..ไฟ..7 ปีก่อน
โฮ่ง ๆ ๆ ๆ“บานเย็น ..บานเย็น” เจ้าของสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์เอ่ยปากเรียกเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอหันรีหันขวางทั้งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ร่างไร้วิญญาณของบุคคลอันเป็นที่รักนอนอยู่ใกล้ปากประตู
“ชู่! หงส์ กูเอง” “ไฟ...ลุงช้าง ลุงช้างอยู่ไหน อยู่ตรงนี้ไหม กูไม่ได้ยินเสียงลุงแกมาสักพักแล้ว” หงส์พูด ดวงตาทั้งสองข้างถูกปิดไว้สนิท แขนทั้งสองข้างของเธอไขว้มัดติดกับเสาที่ด้านหลัง สีหน้าร้อนรนเพิ่งปรากฏเมื่อถามถึงคนชื่อนั้น ผมไม่ตอบ เดินย่องเบาเข้าไปหาเธออย่างระวัง วางปืนลงกับพื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่คล้ายพร้อมทำลายทิ้ง
“ไฟ ตอบกู” น้ำเสียงของหงส์เริ่มสั่นเครือ ผมยังคงเฉย เสียบมีดพกพาตัดเชือกที่มัดแขนของหงส์ไว้แน่นจนเป็นแผลเหวอะ
“โชคดีที่กูเอาบานเย็นมาด้วย” ผมพูดคนละเรื่อง เพราะสุนัขแสนรู้ของหงส์ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น
“อึก! ระ..ระยำ” หงส์เบะปาก ตัวสั่นเทิ้ม หัวห้อยหักลงอย่างหมดอาลัยในชีวิต
กลิ่นเลือดโชยเตะจมูกปะทะแรงจนไม่สามารถปกปิดความจริงไว้ได้อีก ผมคิดว่าหงส์คงรู้ดีแต่เพียงแค่พยายามหลอกตัวเองก็เท่านั้น หากผมเปิดผ้าปิดตาของเธอออก เธอจะต้องยอมรับความจริงตรงหน้า น้ำตาไหลผ่านเนื้อผ้าจนย้อยลงมาเปื้อนปากที่แห้งผากของเธอ เชือกที่แขนและที่เท้าถูกแก้ออกเป็นอิสระ ผ้าสีดำที่ปิดตาอยู่ปลดลงจนมันร่วงหล่นลงพื้น หงส์ยังคงก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น ใบหน้าขยับเงยขึ้นอย่างเนิบช้ามองไปยังร่างของลุงช้างที่คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วหลายชั่วโมง
“กะ...” หงส์พูดไม่ออก ปากขยับแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา มีเพียงน้ำตาที่พรั่งพรูเปื้อนเต็มใบหน้า ผมหยิบปืนที่วางอยู่พร้อมลุกขึ้นยืน คว้าศีรษะของเธอมากอดไว้
“กูมาช้า กูผิดเอง” ผมเอ่ยขอโทษ
“ฮื้ออออ!” หงส์อร้องโฮกลั้นไม่อยู่ซุกหน้าลงที่ตัวผม เสียงร้องไห้ที่ปล่อยทุกสิ่งอย่างอย่างกับไม่ใช่เสียงของผู้หญิง ตัวของเธอสั่นขึ้นเรื่อย ๆ อยู่สักพักและก็หยุดเงียบไปเอง
“คุณไฟ เราต้องไปแล้วครับ” พี่ธานโผล่หน้าเข้ามา
“ทางลาดตระเวนบอกให้พวกเรารีบกลับออกไปก่อนที่พวกมันที่เหลือจะตามมาอีก ทีมลาดตระเวนจะเตรียมเข้าบุกที่นี่ เราต้องรีบออก” พี่ธานพูด ผมพยักหน้ารับทราบ ส่งสัญญาณไปยังลุงช้างที่นอนอยู่ พี่ธานกวักมือเรียกลูกน้องในทีมของเราให้รีบนำญาติผู้ใหญ่กลับออกไปด้วยกัน
“ไปเถอะ” ผมกระซิบบอก มือลูบแก้มหงส์เป็นการย้ำเรียกสติเธอ อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ผลักตัวผมออกอย่างแรง ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่รีรอ ผมได้เพียงแต่ออกปากห้าม เสียงโหวกเหวกโวยวายของอีกฝ่ายหนึ่งในป่าที่กำลังกลับมาถึงทำให้ผมจำเป็นต้องลั่นไกปืนเพื่อยิงคุ้มกันหงส์ที่เดินดุ่ม ๆ อย่างแน่วแน่ออกไปอย่างไร้สิ่งกำบัง ทันทีนั้นเองพวกมันถึงได้รู้ตัวว่าถูกพวกผมบุกเข้ามาทำลายรังของพวกมันไปเสียแล้ว
ปัง !!!!! ตู้มมมม !!!!!!“หงส์!” ผมตะโกนลั่น วิ่งตามหลังอีกฝ่ายที่ย่ำเท้าตรงเข้าหาศัตรูที่อยู่ในป่าอย่างมีเป้าหมาย ไร้ความเกรงกลัว คล้ายกับรู้ว่าใครเป็นใคร เสียงของพี่ธานวิทยุย้ำเรียกทหารลาดตระเวนที่เราเพิ่งแยกกันมาก่อนหน้านี้ เพื่อหวังว่าจะตามคนของเราได้เร็วขึ้น ปืนถล่มยิงซึ่งกันและกันระห่ำ ผมจับจ้องเพียงหงส์เท่านั้นด้วยกลัวว่าจะคลาดสายตากันอีก ชายคนหนึ่งที่ถูกหงส์พุ่งเข้าใส่มีสีหน้าแสยะเย้ยหยันและพร้อมต่อสู้กับเธออย่างไม่เกรงใจกัน ผมได้เพียงแต่ปล่อยให้เพื่อนได้ทำตามใจและทำได้เพียงยิงสะกัดป้องกันตัวไปรอบด้านให้เธอเท่านั้น
“อ้ากกกก!!!” หงส์ร้องคำราม สีหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง หมัดกระหน่ำซ้ำไปที่หน้าของผู้ชายที่ถูกเธอคร่อมทับเอาได้ในไม่กี่วินาที ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเลือดจากการถูกชกซ้ำ ๆ ปืนตกกระเด็นไปไกลเกินจะเอื้อมถึง ดูท่าแล้วหงส์จะไม่เหนื่อยง่าย ๆ บานเย็นเห่าเรียกเจ้านายด้วยความเป็นห่วง ขาหน้าของมันเด้งขึ้นสูงจากการยื้อกับโซ่ที่ล่ามคอของมันไว้เพื่อฉุดห้ามไม่ให้เข้ามาตรงนี้
เสื้อแขนสั้นของเพื่อนผมที่สวมใส่เป็นตัวเดียวกันกับเมื่อเช้านี้ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเสื้อกล้ามที่ขาดหลุดลุ่ยจนแทบปกปิดหน้าอกของเธอเอาไว้ไม่มิด สกปรก ดูก็รู้ว่าคงถูกใครบางคนทำให้มันฉีกขาดจนเสียสภาพ กล้ามเนื้อแขนที่หงส์ฟูมฟักมาเป็นอย่างดีปูดนูนกว่าปกติ เห็นชัดต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
.. พี่ธานที่ซุ่มยิงอยู่ใกล้กับตัวกระท่อมส่งสัญญาณมือมาทางผมเพื่อบอกว่าเราไม่สามารถอยู่ได้นานเกินกว่านี้ ผมจึงเข้าไปกอดเอวของหงส์เพื่อจะช้อนตัวเธอขึ้นมา
“เราต้องไปแล้ว” ผมกระซิบที่ข้างหู หงส์หยุดนิ่ง หลังมือเปื้อนไปด้วยขี้ดินและเลือดสีแดงสด เธอทั้งร้องไห้ ทั้งหอบเหนื่อยขณะเดียวกัน ผมกอดเอวของหงส์ไว้แน่น เสียงยิงต่อสู้รอบตัวเรากระหน่ำดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ยิงซะ” หงส์พูดด้วยน้ำเสียงที่ช่างเบาบาง
“ฮิ ๆ ๆ อีเปรต!” ชายที่นอนอยู่พยายามแสยะหัวเราะให้เธอ เลือดไหลออกจากปากเยิ้มเป็นทาง
“ยิงมันนน!!!” หงส์ตะโกนลั่น ถ้าหากไม่มีเสียงปืนที่ยิงสู้กันอยู่ ณ ตอนนี้ เสียงของเธอคงสะท้อนก้องดังทั่วป่าเป็นแน่ ผมจ่อกระบอกปืนไปยังกลางหน้าผากของเป้าหมายเพื่อย้ำให้แน่ใจว่ามันจะตายในทันทีต่อหน้าเราทั้งคู่ ชายตรงหน้าเบิกตาโตเพิ่งรู้สำนึก...
ปัง!“ไฟ...มัน ฆ่าลุง อึก ฮื่อ!” หงส์เบะปากร้องโฮออกมาอีกครั้ง ทั้งเหงื่อทั้งน้ำตาผสมปนเปจนแยกไม่ออก
“กูจะตามไปฆ่ามัน”
“หงส์...มันตายแล้ว” ผมกระซิบเตือนให้เธอเย็นลง กระสุนเจาะเข้ากลางหน้าผากและดวงตาที่ค้างเติ่ง เป็นการจากไปที่ไม่ดี
“ไอ้เหี้ย..” หงส์พึมพำเสียงเครือ
“อึก ไอ้เหี้ย! ..เหี้ย! เหี้ย! อ้ากกกกก!!” ขาของหงส์กระทืบไปที่ร่างไร้วิญญาญนั่นซ้ำ ๆ อย่างคับแค้น ใบหน้าที่ถูกกระทืบซ้ำด้วยรองเท้าบูทเดินป่าบุบเบี้ยวไปมา สติที่ไร้การควบคุมทำให้ผมจำเป็นต้องออกแรงอุ้มตัวเธอเพื่อบังคับให้ลุกขึ้น หงส์ตัวลอยผละออกมาได้
“ฮื้ออออ ฮึก! ฮื่อ ๆ ๆ” เธอพยายามที่จะดิ้นตัวสู้แรงผมอย่างไม่ได้สติ ขาที่ลอยสูงเหนือพื้นยังคงเตะปัดป่ายไปกลางอากาศซ้ำ ๆ ลูกน้องที่มาด้วยกันเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาคุ้มกันเราทั้งคู่
“ได้ตัวตัวประกันทั้งหมดแล้ว พวกเราขอออกพื้นที่ ย้ำ! ต้านไม่ไหว ขอออกพื้นที่ เปลี่ยน!”
เสียงของพี่ธานดังก้องไปทั่ว มีแต่เสียงของพี่ธานเท่านั้นที่ผมได้ยิน06:15 น. “ฮ้า!” ผมสะดุ้งตื่นตัวโยน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตกเตียง
“คุณไฟ!” นั่นเสียงของสมุทร ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ เพื่อปรับสภาพ
“นั่นมัน...เรื่องสั้น ของเพื่อนเก่า” ผมพึมพำ ทิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขอบคุณที่เมื่อครู่นี้มันเป็นแค่ความฝันในอดีต กลิ่นวันวานแย่เกินกว่าที่จะสานฝันต่อ
“พูดว่าอะไรนะครับ ?” สมุทรขยับใบหน้าเข้ามาหาใกล้ ๆ
“ที่ไหน..?” ผมถาม เสียงแทบเค้นไม่ออกมาจากลำคอได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราอยู่กันบนรถของโรงพยาบาลและกำลังเคลื่อนตัวไปที่ไหนสักแห่ง
“วันใหม่แล้วครับ ผ่าตัดเอากระสุนออกเสร็จเรียบร้อย คุณหงส์ให้พาคุณกลับไปพักฟื้นที่บ้านของเธอน่ะครับ” สมุทรเรียบเรียงลำดับให้ผมเสียครบ ใบหน้าของเขากำลังดีใจจนออกนอกหน้า ไม่รู้ว่ารู้ตัวรึเปล่า หรือไม่แน่ ผมอาจจะตาฝาดจากผลกระทบที่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่ก็ได้
“คิดถึงฉันไหม ?” ผมยิงคำถามโต้ง ๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย พยาบาลสองนางที่นั่งอยู่คนละฝั่งขนาบซ้ายขวาถึงกับปิดปากอมยิ้มออกมา คนถูกถามถึงกับชะงัก ทำสีหน้าไม่ถูก
“อึดอย่างที่คุณหมอบอกไว้จริง ๆ ด้วยนะคะ” พยาบาลที่นั่งอยู่ขวามือพูดแซว ช่วยให้บรรยากาศปกติขึ้นหน่อย
“ยัยนั่นมือหนักอย่างกับผู้ชาย” ผมบ่น พูดถึงแล้วก็รู้สึกเจ็บที่แผลขึ้นมาเลย
“คุณหมอบอกด้วยค่ะว่าคุณเจ้าชู้ ให้พวกเราระวังตัว” เธอฟ้องยิ้ม ๆ
“เปล่าสักหน่อยครับ” ผมอมยิ้ม จ้องมองเธอก่อนเหลือบไปยังสมุทร
“แล้ว...หน้าท้องผมสวยไหมครับ ?” ผมกระซิบถาม
“ค่ะ เสียดายว่ามีแผลเป็นซะแล้ว” เธอแซวกลับ
“หึ นั่นสินะ แบบนี้ผมจะลืมลงเหรอครับนี่” ผมอมยิ้มมุมปาก พูดลอย ๆ ไม่ได้มองหน้าใคร
“คิก ๆ ๆ” พวกเธอปิดปากหัวเราะด้วยท่าทางเขินอาย สมุทรเหล่สายตาพลางอมยิ้มออกมานิดหน่อย
ระยะทางจากโรงพยาบาลถึงบ้านของหงส์ค่อนข้างไกล เพราะบ้านของหงส์ตั้งอยู่นอกตัวเมือง คาดคะเนตามเวลาดูแล้วน่าจะเกือบสามสิบกิโลเมตรเห็นจะได้
.. บ้านไม้สักหลังใหญ่โอ่อ่าเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นบ้านของบุคคลที่เป็นที่เคารพของคนในจังหวัด บริเวณบ้านล้อมรอบไปด้วยป่าและต้นไม้ขนาดสูงใหญ่ บ้านพักสำหรับคนงานแยกตัวออกไปเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นแบบที่หลานสาวของเจ้าของบ้านต้องการ ส่วนบ้านรับรองแขกมีทั้งหมดสองหลังแยกออกทางปีกซ้ายและปีกขวาจากหลังหลัก เพื่อสาเหตุที่ว่าจะได้ดูแลญาติที่มาพักได้ทั่วถึง ทรงใต้ถุนสูงเมตรครึ่งเปิดโล่ง คอกเลี้ยงม้า บ้านของสุนัข ลานจอดรถ ลานกีฬา ลานฝักสวนครัวขนาดกลางสำหรับหยิบใช้สอยได้ในทันทีที่ต้องการปรุงอาหาร โรงครัวกลางสำหรับคนงานและแม่บ้านเป็นไปอย่างเรียบง่ายและอิงธรรมชาติ ผิดจากรูปแบบของบ้านที่ออกแบบในแนวร่วมสมัย หากมองจากคนภายนอกที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนคงจะคิดว่าบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยญาติพี่น้องที่อยู่อาศัยมากมายเป็นครอบครัวใหญ่ แต่เปล่าเลย บ้านหลังนี้มีเพียงเพียงปู่กับหลานสาวเพียงคนเดียว และหลานชายอีกคนที่มักมาอาศัยที่ประเทศไทยเป็นครั้งคราวเท่านั้น
“เคยมาแบบปกติบ้างไหม” น้ำเสียงแหบทุ้มน่าเกรงขามของชายสูงอายุเอ่ยคล้ายประชด เลขจวนเข้าแปดสิบแล้วแต่กลับยังเดินคล่องปร๋อ แถมโครงสร้างของรูปร่างก็ยังดีอยู่มากอีกด้วย กล้ามเนื้อที่หย่อนยานไปบ้างตามอายุยังคงมีบางอย่างทิ้งไว้แสดงให้เห็นว่าสมัยหนุ่ม ๆ หุ่นสมบูรณ์แบบอย่างชายชาตรีมากเพียงไร
ผมนอนอยู่บนที่นอนที่วางราบกับพื้นในห้องนั่งเล่นติดกับระเบียงชานบ้าน ลูกน้องของปู่เปิดประตูมุ้งลวดจีบออกเพื่อให้เจ้าของบ้านเข้ามาได้สะดวก ผมอมยิ้ม ยกมือไหว้ปู่ที่ไม่ได้พบหน้ามาพักใหญ่
“แค่อยากทดลองว่าหงส์มันเก่งขึ้นแค่ไหนแล้วน่ะครับ” ผมพูด
“หึ ๆ ๆ” ปู่หาญหัวเราะชอบใจ ลูกน้องของปู่เข้ามาเลื่อนเก้าอี้ให้แกนั่งที่ข้าง ๆ ผมและปลีกตัวออกไปจากตรงนี้โดยไม่ต้องออกปากไล่ ปู่เข้ามาจับมือผมตอบคล้ายบอกให้ผมลดมือลงได้แล้ว เราต่างยิ้มมองกันและกัน ไม้เท้าคุ้นตาเป็นอีกอันที่พายุเป็นคนเลือกซื้อให้ ปู่หาญชอบแบบเนื้อไม้เบาและคล่องมือ รูปแบบไม่ต้องหรูหราผิดกับความชอบของป๋าจงลิบลับ มือซ้ายของปู่หาญกุมอยู่บนหัวไม้เท้าและมือขวาวางทับมือซ้ายอีกทีหนึ่ง
“แล้วผมก็ชอบพักที่นี่ด้วย” ผมบอก ปู่หัวเราะขึ้นจมูกอีกครั้ง
ปู่หาญ หรือที่เรียกกันติดปากชาวบ้านว่า “กำนันหาญ” ทั้ง ๆ ที่ออกจากหน้าที่ของการเป็นกำนันมานานปีแล้วแต่ยังคงเป็นที่น่าเกรงขามและนับถือของคนหลายต่อหลายรุ่น ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ปู่หาญเป็นเพื่อนรุ่นน้องของปู่ผม สมัยเป็นเด็กทั้งผมและหงส์ก็มักวิ่งเล่นสนุกกันแถว ๆ นี้ สมัยหนุ่ม ๆ ปู่หาญเคยเป็นข้าราชการตำรวจ แต่มีเหตุทำให้ต้องลาออกหลังจากที่ภรรยาของตนเสียชีวิตในขณะที่ปู่ออกปฏิบัติหน้าที่ ใคร ๆ ต่างก็รู้สาเหตุการเสียชีวิตของเธอ บ้านของปู่ถูกโจรขึ้นปล้นโดยญาติสนิทของผู้ร้ายที่ปู่เคยจับกุม
“มือตกงั้นรึ ?” ปู่อมยิ้มมีเล่ศนัย คำถามแนวเดียวกับหลานสาวอย่างกับนัดกันมา
“แก่แล้วนี่ครับ” ผมพูด
“ของแบบนี้ ยิ่งแก่มันต้องยิ่งเก๋าสิวะ” ปู่ยิ้มแซวอย่างรู้ทัน ผมแสยะยิ้มกว้างปฏิเสธไม่ออก เล่นมุกปัดประเด็นกับคนรุ่นนี้นี่ไม่ง่ายจริง ๆ
“แล้ว...ปู่พาสาวขึ้นบ้านได้แล้วรึยังครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง
ตั้งแต่ที่ภรรยาของปู่หาญเสียไป ปู่ก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนขึ้นบ้านนี้ได้อีกเลย แม้จะมีสาวใหญ่สาวน้อยมากหน้าหลายตาพยายามเข้าหาให้ปู่เลือก แต่ก็ไม่เคยผ่านด่านหลานสาวได้สักคน แน่นอนละครับ ถึงแม้ปู่แกจะอายุมากแล้ว แต่หากมองภาพรวมที่ฐานะ บริวารและการวางตัวของปู่แล้วละก็ สมัยรุ่น ๆ หกสิบน่ะแกยังเนื้อหอมอยู่เลย ผมเคยเห็นสาวแตกเนื้อย่างยี่สิบจ้องจะงาบปู่ตาเป็นมัน เรียกว่ามองข้ามหัวผมกับพี่ธานไปลับเลยละครับ
“ฉันเบื่อเรื่องผู้หญิงมานานแล้ว” ปู่ยิ้มตอบ
“ของแบบนี้มันเบื่อกันได้ด้วยเหรอปู่” ผมว่า
“หึ ๆ ๆ” อีกฝ่ายหลุดขำ
“มาก็ดีแล้ว พรุ่งนี้รุ่งเช้าปู่ต้องไปอยู่ดูไร่ของชาวบ้านสองวัน ฝากที่นี่ด้วยแล้วกันนะ”
“หลานปู่สิครับต้องดูแลผม” ผมพูดทีเล่นทีจริง
“ใครมาจีบมันก็พากันเผ่นหนีหางจุกตูดกันหมด เฮ้อ!” ปู่พูดความในใจคล้ายอัดอั้นมานาน
“คนงานที่ไร่กลัวมันมากกว่ากลัวฉันซะอีก ฉันก็เลยว่าจะรอแกให้มาขอมันไปเป็นเมีย” ปู่เขม่นตาแกมบังคับ
“หึ ๆ ไม่ละครับ เกรงใจ”ผมตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้นี่” ปู่เงยหน้าหัวเราะลั่น
“เฮ้อ โต ๆ กันหมดแล้วสินะ” ปู่อมยิ้มด้วยสีหน้าอ่อนโยนลง สีหน้าแบบที่ทำให้ผมพูดไม่ออก
“เอาล่ะ...ตามสบายเถอะ มีอะไรเรียกใช้ได้เลย ฉันสั่งทุกคนไว้หมดแล้ว”
“ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยที่มารบกวนอยู่เรื่อย” ผมขยับตัวพร้อมผงกหัวเล็กน้อย
“พูดอะไร เราก็รบกวนกันมาตลอดชีวิตอยู่แล้วนี่นะ” ปู่ว่า ยันไม้เท้าลุกขึ้นยืน
“พายุสบายดีใช่ไหม ไม้เท้านี่มีประโยชน์จริง ๆ” ปู่ชมของที่อยู่ในมือ ผมยิ้มกว้าง ลูกน้องคนสนิทของปู่ที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างรีบเข้ามาเพื่อเปิดประตูทันทีที่เห็นว่าเจ้านายของตนลุกขึ้นยืน เมื่อปู่หาญออกไป ลูกน้องของปู่ทุกคนหันมาผงกหัวเป็นเชิงบอกลาผมก่อนจากด้วย
“เด่น...” ผมเรียกหา ไม่มีวี่แววของเสียงตอบรับ
“ไอ้เด่น!” ผมขึ้นเสียงนิดหน่อย
“ครับนาย!” อีกฝ่ายขานรับ ฝีเท้าวิ่งฉับ ๆ มาอย่างรีบร้อน
“มึงอยากตายเหรอวะไอ้สัสเอ๊ย จะให้กูตะโกนเรียกจนท้องแตกก่อนรึไงวะ” ผมบ่น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาง่าย ๆ เกลียดคนที่เรียกแล้วไม่ขานตอบ มันน่าถีบให้กระเด็น
“ขอโทษครับนาย” มันผงกหัวปลก ๆ
“ต่อสายหาพี่ธานให้กูหน่อยซิ” ผมสั่ง รับรู้ได้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองจวนเจียนจะหลับอีกรอบ จึงต้องการที่จะคุยธุระกับพี่ธานให้เสร็จเรียบร้อยหายคาใจ รวมถึงอยากสั่งงานเกี่ยวกับพายุและไอ้ดินด้วย
- - - - - - - - - - - - - - -